ธรรมะ ธรรมชาติ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1441

โพสต์

sakana_sushi เขียน:ผมยังมีข้อสงสัยเรื่องนี้น่ะครับ รบกวนถามหน่อยนะครับ เห็นคุยกันเรื่องจิตอยู่แต่คำถามนี้คาใจมานานแล้วครับ อยากได้ความคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อเอาไปพิจารณา

ผมสงสัยว่า การฆ่าสัตว์มันบาปเป็นการสร้างกรรมไม่ดีเพิ่ม แล้วถ้าเราเป็นทหารต้องไปออกรบล่ะครับ
ถ้าเราไม่ฆ่าเราก็ตายเพื่อนเราก็ตายต้องป้องกันตัวเอง ตอนนี้ผมเลยคิดว่าถ้าฆ่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันก็บาปและเป็นการสร้างกรรมไม่ดีเพิ่ม
แต่พอมาคิดอีกทางถ้าผมไม่ฆ่า ผมก็ต้องตายเพื่อนผมก็ต้องตาย ถ้าเป็นแบบนี้พี่ๆเพื่อนๆคิดว่าอย่างไรบ้างครับ
พอดีผ่านเข้ามา ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น

หากเป็นผู้ที่หวังการตัดกิเลสเป็นเป้าหมายสูงสุดเพื่อหวังการหลุดพ้นแล้ว แรกเริ่มเลย เขาก็จะไม่เข้ามาในอาชีพนี้ค่ะ
หรือหากมีความจำเป็นบังคับต้องมาเป็นทหารจริง ๆ เขาก็จะไม่ฆ่าใครค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะมันก็บาปและเป็นการสร้างกรรมไม่ดีเพิ่ม อย่างที่คุณ sakana_sushi บอกมา บุคคลเหล่านี้จะรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง

แต่ก็จะมีบุคคลอีกประเภทหนึ่่งที่ยอมแม้กระทั่งรับบาปทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น ขอเพียงสามารถช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์(หรือในกรณีนี้คือความตาย) บุคคลประเภทนี้ ลุยแหลกค่ะ ทางพระพุทธศาสนาคนเหล่านี้ก็คือกำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกในกาลข้างหน้า ไม่ได้หวังการหลุดพ้น

ส่วนคนทั่ว ๆ ไป ก็ลุยแหลกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ต้องตาย ในทางพระท่านก็จะให้วัตถุมงคลบ้าง เพื่อคุ้มครองป้องกันภัย และเพื่อให้จิตของคนเหล่านี้เกาะอยู่ในทางดีให้มากที่สุด ประมาณว่าหากตายก็จะได้ไปดีเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง

สรุปว่าแต่ละคนก็เป็นไปตามกฏของกรรม จะเลือกทำแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร
เพื่อพ้นทุกข์
เพื่อช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์
หรือดิ้นรนไปเรื่อย ๆ ตามสภาพแวดล้อม
อีหนูตีแตก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Akira_R
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 0

^^"

โพสต์ที่ 1442

โพสต์

:P  ที่สวนโมกข์ หรือวัดธารน้ำไหล เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยการศึกษาด้วยตนเอง จากการทำสมาธิ การทำวัตร การฟังเทปบรรยายธรรมของท่านพระพุทธทาส และการทำความสะอาดวัดค่ะ

ที่นี่เป็นธรรมะสายปัญญา การตัดตัวกู ของกู เป็นอะไรที่ make sense และเข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่เรียวได้เคยศึกษาธรรมะมาแทบจะลบความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับพระธรรมที่เรียวเคยมี และส่วนตัวที่ประทับใจและ surprise มากๆคือท่านพระพุทธทาสตอบคำถามทุกข้อที่เรียวมี จนบางครั้งขนลุกเลย >_< มีอะไรที่แปลกๆรึบังเอิญ เกิดขึ้นกับเรียวตลอดการปฏิบัติ ^^

เป็นการเป็นอยู่อย่างง่าย คือติดดินมากๆ อยู่กับธรรมชาติทุกลมหายใจ  ไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งกาย การกินอยู่ ที่นอน มีให้หมด ขอให้เราตั่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างเดียวเป็นพอ เรื่องทำบุญนั้นตามศรัทธา ไม่มีบังคับหรือตั้งจำนวนว่าควรจะให้เท่าใด จะไปกี่วันก็ได้ค่ะ แล้วก็เป็นการรักษาศีลแปด โดยรอบวัดมีธรรมชาติให้ศึกษาเยอะมาก สัตว์ก็เยอะค่ะ ^^

ส่วนถ้าอยากปฏิบัติแบบเป็นคอร์สอาณาปานสติ จะมีกำหนดเวลาและจำนวนผู้ปฏิบัติค่ะ จะเป็นที่สวนโมกข์นานาชาติ อยู่ตรงข้ามวัดธานน้ำไหล เป็นการถือศีลแปดและการทำวิปัสนาอย่างเคร่ง ต้องปิดวาจาและนอนเดี่ยว มีการให้ใบเหลือง ใบแดง ไล่กลับบ้านได้ง่ายๆหากเตือนแล้ว 1 ครั้งแล้วยังทำอีก นอนหมอนไม้ ทานมังสวิรัติ มีธารน้ำร้อนให้แช่เท้าผ่อนคลาย ^^ มีคอร์สทุกเดือน เดือนนี้วันที่ 19 - 27 จะเป็นช่วงประมาณนี้ทุกเดือนค่ะ ไปก่อนได้ก่อน ไม่แน่ใจว่ามีจองรึเปล่า แต่คาดว่าไม่มี -_-lll

เวบนี้ค่ะ http://www.suanmok.com/index.php?lay=sh ... =538678924

อีกที่ก็ที่ ทีปภาวัน อยู่ที่เกาะสมุย หลวงพ่อโพ เจ้าอาวาสสวนโมกข์ เป็นคอร์ส 7 วันต่ำสุด อยู่บนภูเขา มีธรรมชาติที่สวยงามและสงบมาก คนกรุงเทพไปกันเยอะค่ะ ข้อมูลตามเวบนี้เลย http://www.dipabhavan.com/

ถ้าพี่ๆเพื่อนๆท่านไหนจะเดินทางไป อยากช่วยพระอาจารย์ทำงานก็เอาโนตบุคไปก็ได้ค่ะ ส่วนเรียว เย็นวันพฤหัสนี้จะกลับไปอีกครั้งค่ะ ^^ นั่งรถไฟรถนอนไปสะดวกมากๆ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดด้วย (คราวก่อนเดินทางคนเดียว กลัวมากมาย -*- )

เงินที่หมดไปส่วนใหญ่คือการเอาไปซื้อหนังสือท่านพระพุทธทาส haha shopเพลินเพราะคิดว่าจะไปกดเงินเพิ่มได้ ปรากฎเกิดสถารการณ์จากม๊อบ กดเงินไม่ได้ ดีนะซื้อตั๋วกลับไว้ก่อนแล้ว T-T
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1443

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:แต่ก็จะมีบุคคลอีกประเภทหนึ่่งที่ยอมแม้กระทั่งรับบาปทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น ขอเพียงสามารถช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์(หรือในกรณีนี้คือความตาย) บุคคลประเภทนี้ ลุยแหลกค่ะ ทางพระพุทธศาสนาคนเหล่านี้ก็คือกำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกในกาลข้างหน้า ไม่ได้หวังการหลุดพ้น
ขออธิบายเพิ่มเติม
เขาเหล่านี้เพื่อสิ่งที่(ตนเองคิด)ว่าถูกต้อง เพื่อปกป้องบริวาร จะกำจัดผู้ที่เข้ามารุกรานอย่างเต็มกำลัง

ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่มีใครผิดใครถูก มีแต่บุคคลที่ว่ายเวียนไปตามแรงกรรมค่ะ  :D
อีหนูตีแตก
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1444

โพสต์

ขอบคุณมากเลยครับพี่พอใจ กับ คุณอ่องอ๋า ครับ

ผมจะลองไปคิดพิจารณาดูต่อ

อำนาจกรรมก็มีจริงๆ แต่เกือบทุกทางเราก็มีทางเลือกให้เลือกปฏิบัติอยู่เกือบตลอด อย่างเป็นทหารเกณฑ์ก็มีทางเลือกว่าจะยิงหรือไม่ยิง อาชีพฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เราก็มีทางเลือกที่จะไปทำอย่างอื่น อยู่ที่ว่าเราจะเลือกไปทางไหน ถ้าเราไม่ยึดติดกับชีวิตและหน้าที่ของเราเวลาเป็นทหารเกณฑ์เราก็จะไม่ต้องก่อกรรมทำเข็ญเพิ่ม แต่ก็ยากจริงๆครับเรื่องนี้ คนเราถึงหลุดพ้นได้ยาก

มีอีกเรื่องหนึ่ีงอยากยกเป็นตัวอย่างครับ ตอนนี้มีเพื่อนผมคนหนึ่ง เขาคิดพิจารณาของเขาเองนะครับ ผมก็ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรไม่อยากฟันธงว่าเขาผิดหรือถูกอยากให้เขาคิดได้ด้วยตัวเองน่ะครับ คือ
เขาบอกว่าทางสายกลางของพระพุทธเจ้า คือการรักษาสมดุลระหว่างความดีและความเลวในตัวเอง เหมือนหนังกำลังภายในที่ฝ่ายดีต้องมีความชั่วเพื่อไปปราบคนเลว แล้วเขาก็บอกอีกว่าพระพุทธเจ้าท่านก็มีความชั่วในตัวเองเพราะถ้าท่านไม่มีท่านก็จะไม่ช่วยใครเลยก็บาปอยู่ดี(ประโยคนี้ผมฟังแล้วก็อึ้ง แต่ก็ไมไ่ด้ว่าอะไรเขาครับ เพราะเขาก็คิดพิจารณาด้วยตัวของเขาเองด้วยเหตุผลข้างต้นน่ะครับ)

แต่เท่าที่ผมเข้าใจมาทางสายกลางไม่ใช่แบบนี้ ทางสายกลางหมายถึงไม่หย่อนยานไม่ตึงจนเกินไป ไม่ยึดติดทั้งซ้ายและขวา แต่เราอยู่ตรงกลาง ไม่ยึดติดอะไร แล้วใช้ปัญญาชักนำในการกระทำไม่ใช่กิเลส

ผมเลยคิด บัวก็มีหลายเหล่า ก็เลยคิดว่าเรื่องเดียวกันยังเข้าใจได้ต่างกัน ก็เลยต้องให้เขาคิดพิจารณาเองแ้ล้วครับ แต่ในความคิดของผมผมก็อยากให้เพื่อนเข้าใจอะไรมากขึ้น หรือตัวผมอาจจะคิดผิดก็อยากจะเข้าใจอะไรมากขึ้นเหมือนกันครับ จะได้ไปพิจารณาเพิ่ม พี่ๆเพื่อนๆเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ อาจจะถามมากเกินรบกวนด้วยครับ พอดีผมฝึกสมาธิมานาน เห็นมีกระทู้นี้เลยชอบครับมีคนสนใจธรรมะเหมือนกันอยู่ ผมหาคนคุยด้วยยากครับมีเพื่อนผมชอบธรรมะไม่กี่คนเอง ไว้มีเวลาผมจะลองมาย้อนอ่านหมดทั้งกระทู้เลยครับ พอดีตอนนี้อ่านทบทวนกระทู้ของพี่โจอยู่ครับ

เอ่อ มีเทคนิคอย่างไรบ้างครับกับการอ่านหน้าจอคอมเป็นระยะเวลานานๆ แม่ผมบอก มองจอทั้งวันเดี๋ยวก็ตาบอดหรอก  :D
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1445

โพสต์

ก็ปล่อยเขาไปก่อนค่ะ ยังไม่มีโอกาส บางทีอาจยังไม่ใช่วาระของเรา เราไปเถียงก็เท่านั้น

ส่วนเรื่องคอม ตอนนี้ก็กลัวตัวเองจะตาบอดอยู่เหมือนกัน ๕๕๕
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1446

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:ก็ปล่อยเขาไปก่อนค่ะ ยังไม่มีโอกาส บางทีอาจยังไม่ใช่วาระของเรา เราไปเถียงก็เท่านั้น

ส่วนเรื่องคอม ตอนนี้ก็กลัวตัวเองจะตาบอดอยู่เหมือนกัน ๕๕๕
เขาค่ะ พิมพ์ผิดขออภัย
อีหนูตีแตก
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1447

โพสต์

ก็จริงนะครับ คงยังไม่ใช่วาระของเขาจริงๆ สักวันวาระมาถึงก็คงจะรู้ได้ด้วยตนเอง
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1448

โพสต์

การฆ่าอย่างไรไม่เป็นบาป





                 การฆ่าสัตว์ที่จะถือว่าเป็นการละเมิดศีลและเป็นบาปโดยสมบูรณ์ (ปาณาติบาต) ต้องประกอบด้วยเงื่อนไข ๕ ประการ

(๑)  สัตว์มีชีวิต

(๒)  รู้ว่าสัตว์มีชีวิต

(๓)  มีจิตคิดจะฆ่า

(๔)  พยายามฆ่า

(๕)  สัตว์ตาย

การฆ่าสัตว์จะถือว่า บาปมากบาปน้อย มีเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาก็คือ เจตนา ถ้ามีเจตนาฆ่ารุนแรงในลักษณะตั้งใจหรือวางแผนไว้ก่อน  บาปก็หนัก ผลกรรมก็รุนแรง ในทางกฎหมายก็ถือเช่นเดียวกันโดยกล่าวว่า กรรมย่อมส่อเจตนา แต่การฆ่าที่ไม่มีเจตนา ก็ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่เป็นเพียง กิริยา อย่างหนึ่งเท่านั้น เช่น พระรูปหนึ่งตาบอดเดินไปเหยียบแมลงเม่าตายเป็นเบือ มีคนไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เจตนาฆ่าไม่มี ก็ไม่ถือว่าเป็นบาป

การที่เราฆ่าสัตว์โดยอ้างเหตุผลว่า สัตว์นั้นเป็นอันตรายต่อเรา ถามว่าบาปไหม ก็ตอบได้ว่า บาป เหมือนกัน แต่จะบาปมากบาปน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ เจตนา และองค์ประกอบสี่ประการดังกล่าวมาข้างต้น นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาเกณฑ์ต่อไปนี้ร่วมด้วยเช่น

-เป็นสัตว์ใหญ่ หรือเป็นสัตว์เลก

ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่  ก็ถือว่า บาปมาก สัตว์เล็กก็บาปน้อย

-เป็นสัตว์มีคุณมาก หรือมีคุณน้อย

ถ้ามีคุณมากอย่างคน ควาย วัว ก็มีบาปมาก แต่ถ้ามีคุณน้อย ก็บาปน้อยลงตามส่วน (ขออนุญาตไม่ยกตัวอย่างเดี๋ยวสัตว์เล็กๆ ทั้งหลายจะเดือดร้อน)

การที่เราบอกว่า สัตว์บางชนิด เราจำเป็นต้องฆ่า เพราะเขาเป็นอันตรายต่อเรา นี่ก็เป็นทัศนะหนึ่งที่พอฟังได้ แต่หากมองในมุมกลับกัน บางทีสัตว์ก็อาจพูดถึงคนในทางกลับกันว่า คนเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อเขา ดังนั้น เขาก็จำเป็นต้องฆ่าคน เช่น งูเห่า งูจงอาง เห็นคนมาก็กัดจนถึงแก่ชีวิต บางทีถ้ามองในมุมของสัตว์  ก็อาจกล่าวได้ว่า สัตว์ก็อาจมีความชอบธรรมในการฆ่าคนเหมือนกัน ดังนั้น การที่เราจะอ้างว่า เราจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ เพราะสัตว์เป็นอันตรายต่อเรา ก็ต้องพยายามมองในมุมกลับกันได้ อย่ามองในลักษณะ เอาคนเป็นศูนย์กลาง เสมอไป ถ้าเราลองมองอะไรหลายๆ มุม ก็จะพบว่า บางครั้งเหตุที่เราอ้างขึ้นมาเพื่อฆ่าสัตว์นั้น เป็นเหตุอันไม่ควรอ้าง แต่เป็นเพราะเราเห็นแก่ตัวต่างหาก

คนที่มีอาชีพฆ่าสัตว์ ก็บาปอยู่แล้ว จะบาปมากบาปน้อย ก็ให้พิจารณาตามเกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนเพชรฆาต  ถ้าไม่มีเจตนาฆ่า ก็บาปน้อย แต่ถ้ามีเจตนาฆ่ามาเป็นตัวร่วมและทำการฆ่าอย่างสนุกสนาน มีความสุขจากการฆ่า ก็แน่นอนว่าบาป ยิ่งฆ่าคนไม่ผิด หรือฆ่าคนที่มีคุณค่าชีวิตมาก ก็บาปมาก แต่ถ้าฆ่านักโทษอุกฉกรรจ์ที่เป็นคนผิดจริง ก็บาปน้อย จะไม่ให้บาปเลยนั้นหายากมาก ยกเว้นเพชฌฆาตที่มีใจบริสุทธิ์ ฆ่าเพียงเพราะเป็นหน้าที่ ไม่มีเจตนฆ่าร่วมในการฆ่าเลย ก็ไม่บาป แต่โดยมาก คนอย่างนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

คราวหนึ่ง เพชรฆาตอาชีพ เคยสารภาพให้ฟังว่า เมื่อตอนแรกที่เขารับหน้าที่ฆ่าคนด้วยการยิงเป้านักโทษนั้น นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลงเป็นอาทิตย์ หลับตา ลืมตา ก็เห็นแต่คนที่ตัวเองประหาร แต่พอฆ่าคนที่สอง สาม สี่ และห้า เขารู้สึกสนุก รื่นรมย์ เขาบอกอีกว่า เขาจำเสียงกระสุนที่เจาะชำแรกลงไปบนเนื้อนักโทษได้อย่างถนัดถนี่ จำกลิ่นเนื้อไหม้ที่เกิดจากการเสียดทานจากความร้อนแรงของกระสุนที่พุ่งเข้าไปฝังอยู่ในร่างของนักโทษได้ จำสภาพนักโทษที่ดิ้นพลาดๆ แล้วแน่นิ่งคาหลักได้จนลมหายใจเฮือกสุดท้ายขาดห้วงไป ได้เป็นอย่างดี เขาบอกอีกว่า เห็นภาพเหล่านี้แล้ว มีความสุขชะมัด ต่อมาเมื่อเกษียณแล้ว เขาจึงรู้สึกผิดมหันต์และตัดสินใจบวชไม่สึกเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับนักโทษเหล่านั้น

เห็นไหมว่า การฆ่าอาจนำมาซึ่งความสุขในเบื้องต้น แต่มีผลเป็นความทุกข์ตรมขมไหม้ในบั้นปลายอย่างนี้แน่นอน ใครที่มีความสุขจากการฆ่า จึงมีโอกาสถูกเขาฆ่าตอบ

หนึ่งถูกฆ่า จนวางวายทำลายขันธ์ลงไปจริงๆ

สองถูกฆ่า จากความสุข จมอยู่กับความทุกข์เพราะความรู้สึกผิดไปจนตาย

คุณไม่ต้องกังวลว่า หากไม่มีใครฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว สัตว์จะไม่ถูกฆ่า โลกมีวัฏจักรของมันเอง คือ มีทั้งผู้ล่า และผู้ถูกล่า นี่คือ ห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกหยุดการฆ่าแล้วมาสมาทานศีลได้ทั้งหมดหรอก

สิ่งสำคัญที่เราทำได้ก็คือ เห็นเขาฆ่า อย่าไปฆ่าร่วมกับเขา อย่าสนับสนุนเขา อย่ามีความสุขจากการฆ่า และเหนืออื่นใด อย่าเกิดมาให้เขาฆ่าบ่อยๆ ภารกิจของเราในชีวิตนี้ก็คือ ปฏิบัติธรรมไป จนอยู่เหนือเกิดเหนือตาย ก็จะได้อยู่เหนือการฆ่าอย่างถาวร แต่ก่อนอื่นในชีวิตนี้ สิ่งที่คุณควรฆ่าก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ กิเลส เพราะการฆ่ากิเลส ฆ่าอย่างไรก็ไม่บาป
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1449

โพสต์

por_jai เขียน:สติรับรู้สภาวะ
ปัญญารับรู้ลักษณะ
เกิดสติจึงเกิดสมาธิ
เกิดสมาธิจึงเกิดปัญญา


พระอาจารย์ปราโมทย์
พี่ป้อมคะ หนูกำลังไล่อ่านกระทู้พี่อยู่ค่ะ ยาวมาก
หนูขอรบกวนถามพี่นะคะ
คือหนูไม่เข้าใจคำว่า สัมปชัญญะ สติ กับสมาธิค่ะ ว่ามันต่างกันอย่างไรค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
อีหนูตีแตก
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1450

โพสต์

sakana_sushi เขียน:ผมยังมีข้อสงสัยเรื่องนี้น่ะครับ รบกวนถามหน่อยนะครับ เห็นคุยกันเรื่องจิตอยู่แต่คำถามนี้คาใจมานานแล้วครับ อยากได้ความคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อเอาไปพิจารณา

ผมสงสัยว่า การฆ่าสัตว์มันบาปเป็นการสร้างกรรมไม่ดีเพิ่ม แล้วถ้าเราเป็นทหารต้องไปออกรบล่ะครับ
ถ้าเราไม่ฆ่าเราก็ตายเพื่อนเราก็ตายต้องป้องกันตัวเอง ตอนนี้ผมเลยคิดว่าถ้าฆ่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันก็บาปและเป็นการสร้างกรรมไม่ดีเพิ่ม
แต่พอมาคิดอีกทางถ้าผมไม่ฆ่า ผมก็ต้องตายเพื่อนผมก็ต้องตาย ถ้าเป็นแบบนี้พี่ๆเพื่อนๆคิดว่าอย่างไรบ้างครับ
ถ้าคุณไม่ใช้คนจำพวกนี้ ท่านก็นิพพานได้ครับ ถ้านิพพานแล้ว ก็จะไม่มีมัจจุราช ตามท่านได้อีกต่อไป

บุคลประเภทใดบ้างที่ไม่สามารถบรรลุธรรม


" ข้าแต่พระนาคเสน พวกที่ปฏิบัติชอบได้ธรรมาภิสมัยเหมือนกันทั้งนั้นหรือ ? "

" ขอถวายพระพร บางพวกก็ได้ บางพวกก็ไม่ได้ "


" ใครได้ ใครไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ? "

" ขอถวายพระพร พวกที่ไม่ได้นั้น มีอยู่หลายจำพวก คือ

เดรัจฉาน ๑
เปรต ๑
มิจฉาทิฏฐิ ๑
ผู้ลวงโลก ๑
ผู้ฆ่ามารดา ๑
ผู้ฆ่าบิดา ๑
ผู้ฆ่าพระอรหันต์ ๑
ผู้ทำสังฆเภท ๑ ( ทำสงฆ์ให้แตกกัน )
ผู้ทำโลหิตุบาท ๑ ( ทำให้พระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต )
ผู้เป็นไถยสังวาส ๑ ( ปลอมบวช )

ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑
ผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ๑
ผู้มีอาบัติสังฆาทิเสสติดตัว ๑
บัณเฑาะก์ ๑ (กระเทย)
อุภโตพยัญชนก ๑ ( คนสอง เพศ )
เด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ ๑

พวกเหล่านี้ถึงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้ธรรมาภิสมัย " พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน บุคคล ๑๕ จำพวกเบื้องต้น เป็นพวกทำผิด จะได้ธรรมาภิสมัยหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่จำพวกที่ ๑๖ คือเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบนี้แหละเป็นปัญหา
เพราะเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ ยังไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มานะ มิจฉาทิฏฐิ อรติกามวิตกอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรมดาผู้ที่ห่างไกลจากกิเลส สมควรจะรู้แจ้งแทงตลอดซึ่งอริยสัจ ๔ ไม่ใช่หรือ ? "
พระนาคเสนเสนอ อธิบายว่า

" ขอถวายพระพร ข้อนี้ขอจงทรงฟัง เหตุผล คือถ้าเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ รู้จักเกิดราคะโทสะ โมหะ รู้จักมัวเมาในสิ่งที่ควรมัวเมา รู้จักยินดี ไม่ยินดี รู้จักนึกถึงกุศลอกุศล ก็จักมีธรรมาภิสมัย แต่เด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบนั้น จิตมีกำลังน้อย ส่วนพระนิพพานเป็นของใหญ่ ของหนักจึงไม่อาจรู้แจ้งแทงตลอดนิพพานได้

เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังน้อย ไม่อาจยกภูเขาสิเนรุราชได้ฉันนั้น หรือเปรียบเหมือนหยาดน้ำอันเล็กน้อย ไม่อาจซึมไปทั่วแผ่นดินใหญ่ได้ หรือเปรียบเหมือนเปลวไฟเล็กน้อย ไม่อาจทำให้สว่างทั่วโลกได้ หรือเปรียบเหมือนตัวหนอนไม่อาจกลืนช้างได้ฉะนั้น " " ข้าแต่พระนาคเสน ตามที่พระผู้เป็นเจ้า แก้มานี้ โยมเข้าใจดีแล้ว "
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1451

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:พี่ป้อมคะ หนูกำลังไล่อ่านกระทู้พี่อยู่ค่ะ ยาวมาก
หนูขอรบกวนถามพี่นะคะ
คือหนูไม่เข้าใจคำว่า สัมปชัญญะ สติ กับสมาธิค่ะ ว่ามันต่างกันอย่างไรค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
คือหนูรู้สึกว่า ปัญญามันจะเกิดจากการพิจารณาตอนที่มีสมาธิ แต่สตินี้สิ เหมือนมันเกิดขึ้นเอง เมื่อไหร่มีสมาธิก็เห็นสติอยู่กับตัวอยู่ตลอดอยู่แล้ว แล้วอะไรมันมาก่อนกัน หรือว่าหนูเข้าใจคำว่าสติผิดไปก็ไม่รู้ค่ะ ยิ่งถามยิ่งงง
อีหนูตีแตก
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1452

โพสต์

ขอบคุณพี่ smith_sanguan มากเลยครับ ยกตัวอย่างมาทำให้ผมเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ไว้มีอะไรผมจะมาถามต่อ แล้วคิดต่อครับ ชอบครับเรื่องธรรมมะ
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1453

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:พี่ป้อมคะ หนูกำลังไล่อ่านกระทู้พี่อยู่ค่ะ ยาวมาก
หนูขอรบกวนถามพี่นะคะ
คือหนูไม่เข้าใจคำว่า สัมปชัญญะ สติ กับสมาธิค่ะ ว่ามันต่างกันอย่างไรค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ผมฟังมาจากพี่ Richy ที่เขียนหนังสือเรื่องแก้กรรม นะครับ สมัยก่อนผมก็งงเหมือนกันครับว่าคำว่า ทำสมาธินี่คืออะไร เพราะสมัยก่อนผมทำสมาธิ ผมจะใช้กำหนดลมหายใจทำมาหลายปีครับตั้งแต่ป4 แต่พอเ้ข้ามหาลัยผมก็เลิกทำ แล้วเพิ่งมาเริ่มทำจริงๆจังเมื่อปลายปีที่แล้วเองครับ
ประกอบกับที่ได้เริ่มทำใหม่เพราะฟังพี่ Richy ผมอยากรู้ครับว่าเขาเป็นพวกหลอกเอาเงินหรือเปล่า พอฟังดูเขาก็ไม่ได้อหลอกเอาเงิน แล้วความคิดที่เขาเสนอก็ไม่ได้ทำให้คนงมงาย ให้คนไปปฏิบัติเอาเอง ส่วนรายละเอียดพี่เขามีเว็บครับ ต้องลองเอาไฟล์ mp3 ไปดูแล้วพิจารณาดูนะครับว่าจะเชื่อหรืออะไรส่วนไหน (pm มาได้ครับ) ชื่อเว็บ แต่คุณ อ่องอ๋าน่าจะรู้จักพี่เขาบ้างแล้ว :D

ว่าไปซะยาวแล้ว ก็มาเข้าเรื่องดีกว่า เรื่อง สมาธิ เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ คือเราต้องแยกให้ออกว่าสมาธิคืออะไร  ส่วนตัวผมฟังเรื่องการทำสมาธิทำอย่างไรจากพี่ Richy แล้วกระจ่างครับ

สมาธิคือ การที่ให้ จิตสงบ+มีสติ
จิตสงบ คือ ความว่างเปล่า
สติ คือ การรับรู้ รับรู้เฉยๆ เช่นเราทำสมาธิแล้วมีรถวิ่งผ่าน เรารับรู้ว่ามีเสียงรถวิ่ง แต่ไม่ต้องไปนึกตาม เพราะว่าถ้านึกตามจิตเราจะไม่สงบ ไม่ว่างเปล่า

ส่วนการทำสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจ การเพ่งดวงแก้ว หรืออะไรก็แล้วแต่ รู้สึกเขาจะเรียกว่า อะไรกี่กองๆนี่แหละครับ ผมจำไม่ได้เหมือนกัน พอดีผมเน้นปฏิบัติไม่ได้เน้นเรื่องภาษาบาลีว่าเรียกว่าอะไร เอาเป็นว่าการทำสมาธิ ให้ทำวิธีที่ถูกจริตกับเราก็พอครับ โดยส่วนตัวของผม เลยเป็นการจับความรู้สึกเอา ใช้ลมหายใจแล้วผมไม่เกิดสมาธิครับ ส่วนตัวผมไม่เคยนั่งแบบวิปัสนานะครับ เพราะยังไม่ถึงขั้น ผมนั่งไปยังเกิดอาการต่างๆอยู่ ยังไปต่อไม่เป็นครับ ตอนนี้ผมเลยไปปรึกษากับหลวงพี่ที่วัดแห่งหนึ่งสม่ำเสมอ จะได้ไม่หลงทาง  :D
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1454

โพสต์

sakana_sushi เขียน:สมาธิคือ การที่ให้ จิตสงบ+มีสติ
จิตสงบ คือ ความว่างเปล่า
สติ คือ การรับรู้ รับรู้เฉยๆ เช่นเราทำสมาธิแล้วมีรถวิ่งผ่าน เรารับรู้ว่ามีเสียงรถวิ่ง แต่ไม่ต้องไปนึกตาม เพราะว่าถ้านึกตามจิตเราจะไม่สงบ ไม่ว่างเปล่า:D
ถ้าจากคำอธิบายนี้ ทำสมาธิอย่างเดียวก็เท่ากับรวบยอดใช่ไหมคะ สติจะมาด้วยอยู่แล้ว

ปกติเวลามีปัญหาก็จะถามหลวงพ่อเหมือนกันค่ะ แต่อีกหลายวันกว่าจะมีโอกาสไปกราบ ถ้าถึงวันนั้นยังไม่เข้าใจก็คงต้องกราบเรียนถามท่านค่ะ

ว่าแต่เรามายึดกระทู้พี่ป้อมแล้ว ขออภัยด้วยค่ะพี่
อีหนูตีแตก
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1455

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:ถ้าจากคำอธิบายนี้ ทำสมาธิอย่างเดียวก็เท่ากับรวบยอดใช่ไหมคะ สติจะมาด้วยอยู่แล้ว

ปกติเวลามีปัญหาก็จะถามหลวงพ่อเหมือนกันค่ะ แต่อีกหลายวันกว่าจะมีโอกาสไปกราบ ถ้าถึงวันนั้นยังไม่เข้าใจก็คงต้องกราบเรียนถามท่านค่ะ

ว่าแต่เรามายึดกระทู้พี่ป้อมแล้ว ขออภัยด้วยค่ะพี่
เช่นกันครับมายึดกระทู้พี่พอใจซะแล้ว เดี๋ยวปั๊มแข่งกับพี่ฮงเลย ล้อเล่นนะครับ

ต่อครับ ถ้าถามว่ารวบยอดหรือเปล่าก็คงต้องใช่ครับ เพราะถ้าจะเกิดสมาธิเราจะต้องมีสติ+จิตสงบ พร้อมๆกันถึงจะเกิดครับ สติก็เหมือนSubset ของสมาธิน่ะครับ ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดช่วยด้วยนะครับ ผมก็ไม่ได้รู้หมด รู้เท่าที่ปฏิบัติมา :D
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1456

โพสต์

แล้วสัมปชัญญะล่ะคะ
ยังไม่จบ ๕๕๕
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1457

โพสต์

คุณ sakana_sushi เป็นทหารหรือคะ นึกว่าถามเพราะสงสัยเฉย ๆ
ถ้าเคยเป็นทหารแล้วกังวลก็สบายใจได้ค่ะ
ครูบาอาจารย์สายหนูเป็นทหารก่อนจะบวชเป็นพระหลายองค์เลยค่ะ
เคยฆ่าคนมาด้วย(ตอนเป็นทหาร) แต่พอบวชท่านก็เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบค่ะ เรื่องได้มรรคผลสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อยู่ค่ะ
สรุปว่าฆราวาสเริ่มต้นใหม่ได้เสมอถ้าไม่ได้ทำกรรมหนัก(อนันตริยกรรม) ได้เปรียบพระก็ตรงนี้
อีหนูตีแตก
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1458

โพสต์

[quote="saichon"][quote="RONNAPUM"][quote="saichon"][quote="RONNAPUM"]แค่ นั่งเฉยๆๆ แค่รู้ว่า เราทำอะไร แล้วปล่อยมันไป
ไม่น่าเชื่อ (แต่ก็ต้องเชื่อ ) ว่าจะทำให้เราเปลี่ยนได้เพียงนี้
เพื่อนๆพี่ๆครับ ลองดูซิครับ ลองหัดดูซิครับ
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1459

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:แล้วสัมปชัญญะล่ะคะ
ยังไม่จบ ๕๕๕
ผมไปค้นมาจากเว็บนึง เขาบอกว่า

สติ แปลว่า การระลึกได้
สัมปชัญญะ แปลว่าการรู้ตัว

สัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นธรรมที่มีอุปการะ คู่กับสติ เป็นธรรมที่เอื้อกับสติ

ผมว่าเวลาทำสมาธิ สองตัวนี้ต้องมาคู่กันด้วยนะครับ ดูจากความหมายก็ต่างกันนิดเดียว อย่างที่ผมบอกผมเน้นปฏิบัติจับความรู้ึสึกเอา แต่ถ้าเปิดเว็บมาหลายๆเว็บความหมายแบบนี้ ผมว่าสองอย่างนี้ ถ้าทำสมาธิ สติก็ต้องมาพร้อมกับสัมปชัญญะครับเพราะถ้าไม่มีสัมปชัญญะก็ไม่น่าจะเกิดสติ ก็คือต้องรู้ตัวแล้วก็ต้องระลึกได้ว่ารู้ตัวคือรู้ตัวอะไร แต่ไม่ต้องไปคิดตาม(จิตสงบ)
อาจจะงงนะครับ มันอธิบายยาก ต้องลองปฏิบัติดูครับ แล้วจะเข้าใจด้วยตนเอง  :D
เวลาทำมันจะคล้ายๆกับว่าเรากำลังหลับอยู่แต่เรารู้ตัวหมดน่ะครับ
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1460

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:คุณ sakana_sushi เป็นทหารหรือคะ นึกว่าถามเพราะสงสัยเฉย ๆ
ถ้าเคยเป็นทหารแล้วกังวลก็สบายใจได้ค่ะ
ครูบาอาจารย์สายหนูเป็นทหารก่อนจะบวชเป็นพระหลายองค์เลยค่ะ
เคยฆ่าคนมาด้วย(ตอนเป็นทหาร) แต่พอบวชท่านก็เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบค่ะ เรื่องได้มรรคผลสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อยู่ค่ะ
สรุปว่าฆราวาสเริ่มต้นใหม่ได้เสมอถ้าไม่ได้ทำกรรมหนัก(อนันตริยกรรม) ได้เปรียบพระก็ตรงนี้
อ๋อเปล่าครับผมไม่ได้เป็นทหาร เพิ่งเรียนจบมหาลัยครับ

พอดีผมดูหนังแล้วแบบคิดขึ้นมาว่า ถ้าเกิดเป็นแบบนี้แล้วเราควรจะทำอย่างไร ถ้าทำไปทางไหนเกิดผลอะไรอย่างไรครับ
นึกขึ้นมาอีกทีก็คงต้องลองไปอ่านเรื่องราวของท่านอุงคุลิมาร ยังไม่เคยอ่านเลยครับมีแต่ได้ยินมา :D
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1461

โพสต์

sakana_sushi เขียน: ผมไปค้นมาจากเว็บนึง เขาบอกว่า

สติ แปลว่า การระลึกได้
สัมปชัญญะ แปลว่าการรู้ตัว

สัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นธรรมที่มีอุปการะ คู่กับสติ เป็นธรรมที่เอื้อกับสติ
เห็นนิยามที่คุณ sakana_sushi ยกมา ตอนนี้เลยเริ่มมีความคิดขึ้นมาแล้วค่ะ ว่าไม่ต้องไปรู้มันดีกว่า ปฏิบัติไปก็พอค่ะ ๕๕๕๕๕

แต่ต้องขอบคุณคุณ sakana_sushi มากค่ะพี่อุตส่าห์พยายามอธิบาย อย่างน้อยตอนนี้หนูก็เข้าใจคำว่าสติมากขึ้นแล้ว
อีหนูตีแตก
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1462

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:เห็นนิยามที่คุณ sakana_sushi ยกมา ตอนนี้เลยเริ่มมีความคิดขึ้นมาแล้วค่ะ ว่าไม่ต้องไปรู้มันดีกว่า ปฏิบัติไปก็พอค่ะ ๕๕๕๕๕

แต่ต้องขอบคุณคุณ sakana_sushi มากค่ะพี่อุตส่าห์พยายามอธิบาย อย่างน้อยตอนนี้หนูก็เข้าใจคำว่าสติมากขึ้นแล้ว
ไม่เป็นไรครับผม ผมก็ยังค้นหาคำตอบต่างๆไปเรื่อยๆอยู่เลยครับ
แต่จริงๆครับ ปฏิบัติเลยดีกว่า เอาแค่รู้ว่าต้องทำอย่างไร อาจจะงงๆแรกๆ แต่พอทำแล้วจะเข้าใจอะไรมากขึ้นครับ :D
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1463

โพสต์

ที่คิดอย่างนั้นก็เพราะลองนึกไปถึงตอนปฏิบัติใหม่ ๆ ค่ะ ก็จะไล่มาเรื่อย ขณิก อุปจาร แล้วก็ฌาน แล้วก็อยากรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหน ถึงฌานหรือเปล่า ฌานอะไร ก็กางตำราดู ก็มานั่งแกะ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกคัตา ฯลฯ พยายามนึกทำความเข้าใจแต่ละตัว พอรู้แล้วก็ผ่าน

ผ่านไป ๔ เดือน มีคนถาม วิตก วิจารณ์ คืออะไร ตอบไม่ได้ค่ะ ลืม
แต่ถามว่ายังปฏิบัติอยู่ไหม ปฏิบัติอยู่ ยังผ่านมันอยู่ไหม ยังผ่านอยู่ แต่มานั่งอธิบายปรากฏว่าบอกไม่ได้นึกไม่ออกค่ะ

อีกอย่างหนึ่งที่หนูเห็นว่าเป็นข้อเสียก็คือ มันจะทำให้เราไปกังวลกับมันเกินไป ยิ่งหากเกิดขึ้นขณะกำลังทำสมาธิ ก็จะทำให้เราฟุ้งซ่านไปเสียอีก

ทำเป็นพูดไป อีกเดี๋ยวก็มีเรื่องมาถามอีก หนูเป็นคนขี้ถามค่ะ ถามได้ทั้งวัน ๕๕๕ รอตอบด้วยนะคะ
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1464

โพสต์

[quote="sakana_sushi"]ผมฟังมาจากพี่ Richy ที่เขียนหนังสือเรื่องแก้กรรม นะครับ สมัยก่อนผมก็งงเหมือนกันครับว่าคำว่า ทำสมาธินี่คืออะไร เพราะสมัยก่อนผมทำสมาธิ ผมจะใช้กำหนดลมหายใจทำมาหลายปีครับตั้งแต่ป4 แต่พอเ้ข้ามหาลัยผมก็เลิกทำ แล้วเพิ่งมาเริ่มทำจริงๆจังเมื่อปลายปีที่แล้วเองครับ
ประกอบกับที่ได้เริ่มทำใหม่เพราะฟังพี่ Richy ผมอยากรู้ครับว่าเขาเป็นพวกหลอกเอาเงินหรือเปล่า พอฟังดูเขาก็ไม่ได้อหลอกเอาเงิน แล้วความคิดที่เขาเสนอก็ไม่ได้ทำให้คนงมงาย ให้คนไปปฏิบัติเอาเอง ส่วนรายละเอียดพี่เขามีเว็บครับ ต้องลองเอาไฟล์ mp3 ไปดูแล้วพิจารณาดูนะครับว่าจะเชื่อหรืออะไรส่วนไหน (pm มาได้ครับ) ชื่อเว็บ แต่คุณ อ่องอ๋าน่าจะรู้จักพี่เขาบ้างแล้ว :D

ว่าไปซะยาวแล้ว ก็มาเข้าเรื่องดีกว่า เรื่อง สมาธิ เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ คือเราต้องแยกให้ออกว่าสมาธิคืออะไร
อีหนูตีแตก
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1465

โพสต์

Smith เขียน: สิ่งที่คุณควรฆ่าก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ “กิเลส” เพราะการฆ่ากิเลส ฆ่าอย่างไรก็ไม่บาป
:8) ฆ่ากิเลส...ฮ่า...
     มันเป็นแชมป์โลกเจ้าจักรวาลเชียวนะ
     เปรียบมวยกันเรานะเป็นเด็กน้อย เพิ่งรู้ความ ชกลมฟืดฟาด
     เวลามันมารู้สึกให้ทันก็เก่งโพดแล้วครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1466

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:พี่ป้อมคะ หนูกำลังไล่อ่านกระทู้พี่อยู่ค่ะ ยาวมาก
หนูขอรบกวนถามพี่นะคะ
คือหนูไม่เข้าใจคำว่า สัมปชัญญะ สติ กับสมาธิค่ะ ว่ามันต่างกันอย่างไรค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
:8) ในกระทู้นี้ผมก็โพสไปตามความเข้าใจนะครับ
     ไม่ได้รับประกันว่าจะถูกต้อง
     ถือว่าแลกเปลี่ยนความรู้กันก็ละกัน
     ความเข้าใจของผมต่อธรรมชาตินี้ก็มีพัฒนาการบ้างในบางด้าน
     ที่ยกตัวอย่างมาถาม
     ผมอ่านแล้วเข้าใจว่าตอนที่โพสคงไปอ่านเจอแล้วเท่ห์ดี
     ก็เลยนำมาโพสไว้อ่านกันลืม
     มาอ่านตอนนี้เวลานี้ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ

     สติรับรู้สภาวะ  
     สตินั้นมีธรรมชาติเป็นอนัตตา คือมันเกิดของมันเอง
     แต่เราฝึกมันได้
     เหมือนเราเจออะไรบ่อยๆ ก็คุ้นเคยรู้จักดีขึ้น ชำนาญขึ้น
     สติก็เช่นกัน
     ผมนั้นจะว่าไปสมัยก่อนเป็นดั่งหลวงพ่อเทศน์คือวันนึงหลงน้อยมาก
     วันนึงหลงครั้งเดียว
     หลงตั้งกะตื่นยันหลับ เห็นไหมครับครั้งเดียวจริงๆ
     ผมยังคิดว่าหลงน้อยดีซะอีก...ฮ่า...
     ฟังหลวงพ่อเทศน์่บ่อยๆว่าพวกหลงน้อยอย่างนี้ก็พวกสัตว์ไง
     หมาแมวใกล้ๆตัวเรา
     สังเกตุไหมตาหน้ามันลอยๆๆๆทั้งวันแหละ
     อย่างนี้หลวงพ่อบอกไม่ได้การแน่
     หลงต้องให้รู้เร็วๆ ยิ่งหลงบ่อยมากเท่าไรยิ่งดี
     สอนกลับข้างซะงั้น
     เอ้าผมก็ทำตาม พอหลงก็พยายามรู้สึกๆๆ มันก็รู้สึกๆๆๆบ่อยขึ้นมาเอง
     ดังนั้นทุกวันนี้ประโยคนี้จึงพอเข้าใจแล้วครับ
     สภาวะในที่นี่ก็คือสภาวะอารมณ์ที่มากระทบเราทางทวารทั้ง6นั่นเอง
     มากระทบ เรารู้ มากระทบ เรารู้
     ตอนที่รู้ ก็รู้เพราะสติไงครับ
     สติทุกวันนี้กับผมเป็นเพื่่อนสนิทกัน
     เขาแว่บๆๆๆๆมาเรื่อยๆๆๆๆ
     คุ้นเคยกันดี
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1467

โพสต์

เกิดสติจึงเกิดสมาธิ

     ต่อกันติดกับประโยคข้างบนทันทีเลย
     ทุกครั้งที่มีสติรับรู้สภาวะ ก็จะเกิดสมาธิ
     ในกรณีนี้หลวงพ่อบอกว่าเป็นขณิกสมาธิ หรือสมาธิชั่วขณะจิต
     เรียกอีกอย่างว่าสมาธิคนจน คือเป็นสมาธิน้อยๆ แว่บๆๆ
     ต้องสะสมไปเรื่อยๆ เหมือนหยดน้ำใส่ถ้วยแก้ว ก็นานหน่อยกว่าจะเต็ม
     แต่จริตผมเหมาะกับการทำเช่นนี้ก็ต้องเป็นเช่นนี้ไป ไม่มีทางเลือก
     เนื่องด้วยสมาธิตัวนี้เป็นสมาธิน้อยๆ
     ผมไม่คุ้นเคยกับเขาเท่าไร
     จำหน้าตากันไม่ี่ค่อยได้
     รู้แต่ว่าพอสติมาแว่บ อารมณ์ที่รับรู้จากทวารทั้งหก
     มันก็จะไม่ปรุงต่อ
     ทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี
     โดยเฉพาะถ้าเป็นกิเลส
     มันก็จะมาหุ้มจิตบังคับให้ผมทำอะไรผิดศีลไปไม่ได้
     (ก็ไม่ใช่ทุกครั้งไปดอกนะ ที่เสียท่าโดนมันเคลือบโดนมันหุ้มก็ออกจะบ่อย)

      สมาธินั้นหลวงพ่อเทศน์เคล็ดไว้ให้จำให้ฝึกไว้ชัดเจน
      ความสุขทำให้เกิดสมาธิ
      อะไรที่ทำให้เราสุข จะทำให้เราเกิดสมาธิ
      ฟังเพลงที่ชอบ อ่านหนังสือที่ชอบ
      คนหลับยากแต่ยอมตื่นมานั่งเชียร์บอลดึกๆดื่นๆไม่ง่วงเหงาหาวนอน
      ตอนดูถ้ามีใครไปถ่ายวีดีโอมาดู จะเห็นว่าคนกลุ่มนี้ระหว่างดูบอลมีสมาธิสูงมาก
      เรื่องนี้ผมอธิบายไม่ได้ชัด
      เคยแต่ฟังหลวงพ่อว่าพระสายวัดป่า ล้วนมีสมาธิสูง
      เป็นระดับอัปนาสมาธิที่คงอยู่ได้ครั้งละนานๆ
      สมาธิระดับนี้เป็นสมาธิคนรวย ตรงข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง

      ที่น่าสังเกตุอีกอย่างของชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไป
      ถ้าเราไปถามดูว่าเขานิยามคำว่าภาวนานั้นเป็นอย่างไร
      เกือบทั้งหมดจะบอกว่า
      ก็ต้องนั่งสมาธิสิ...ฮ่า...ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าไม่จริงหรอก
      นั่งสมาธิเป็นแค่ซับเซทนึงเท่านั้น
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
sakana_sushi
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1468

โพสต์

por_jai เขียน:
:8) ฆ่ากิเลส...ฮ่า...
"สุขใดยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี"
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1469

โพสต์

ปัญญารับรู้ลักษณะ

เกิดสมาธิจึงเกิดปัญญา


:8) ผมยังไปไม่ถึงไหนเลยครับ
     จำได้แต่ที่หลวงพ่อเทศน์
     หลวงพ่อว่าปัญญาในที่นี้ไม่ใช่ปัญญาฉลาดเฉลียวทางโลก
     แต่เป็นตัวสะสมความรู้ที่สติเขาสะสมให้จิต
     ให้จิตเขารู้สึกๆๆๆๆๆๆในความจริงของธรรมชาติด้วยตัวเขาเอง
     จากปริมาณจนข้นเป็นคุณภาพ
     รับรู้ว่า ตัวกูของกูนั้น ที่จริงมันไม่มี
     ก็มีสิ่งหนึ่งเป็นนามธรรม มาตัดสินว่าถึงบางอ้อ...แล้วนะ
     นี่แหละตัวปัญญาในธรรมชาติ

ปล.ส่วนที่ถามมาเรื่องสัมปชัญญะ
    ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ
    ที่แว่บๆๆกับผมทุกวันนี้คงปนๆกันอยู่ทั้งสติ กับ สัมปชัญญะ
    แต่ผมแยกบ่ได้ครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1470

โพสต์

ปล.ส่วนที่ถามมาเรื่องสัมปชัญญะ
   ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ
   ที่แว่บๆๆกับผมทุกวันนี้คงปนๆกันอยู่ทั้งสติ กับ สัมปชัญญะ
   แต่ผมแยกบ่ได้ครับ
:D  :D
มันเป็นสิ่งเพียงถูกรู้ถูกดูครับ
อย่าไปซีเรียสเลยครับ
. . .