เก็บตกจากพระอาจารย์

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หนูเคารพพระอาจารย์องค์หนึ่งมาก ๆ ค่ะ
จึงอยากนำมาลง เผื่อจะมีท่านใดจริตเดียวกันบ้าง
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

สติกับการตกใจ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เดือนนี้หลวงพ่อเทศน์ย้ำบ่อย เรื่องที่พอมีคนยกพระพุทธรูปมาจะถวายสังฆทาน แล้วองค์พระจะหล่นใส่ หลายคนก็ตกใจร้องกัน แต่ตัวท่านเองกลับนิ่งเฉย ไม่รู้สึกอะไร

ท่านบอกว่า "เวลาที่พวกเรารู้สึกตกใจนั้น มันเป็นการส่งจิตออกนอกแล้วสติมันดึงกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับใจมันวูบออกไป

ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วจะเห็นได้เองว่า เวลาเจออะไรก็ไม่รู้สึกตกใจ ต่อให้สิ่งนั้นเกิดต่อหน้าแบบฉับพลันก็ตาม มันก็ยังนิ่งอยู่ได้"

..............................

ฉันใดฉันนั้นกับการลงทุนเลยค่ะ
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ก้อนหินกลางน้ำ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

หลวงพ่อบอกว่า "ในเรื่องการปฏิบัติเราต้องทำเสมือนว่าเป็นก้อนหินที่อยู่กลางลำน้ำ โดยไม่หวั่นไหวลอยตามกระแสน้ำไป แต่อย่าทำเป็นเสมือนใบไม้ใบหญ้า ที่แตกแพ ลอยไปตามกระแส"
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 4

โพสต์

นอกจากนี้ท่านได้สอนให้พวกเรามองทุกอย่างให้เป็นครู
โดยท่านยกภาษิตที่ว่า"ขงเบ้งคนเดียว ก็สู้ช่างถักรองเท้า ๓ คนไม่ได้ จำไว้ เห็นขอทาน ๓ คนเดินมา ต้องคิดว่า อย่างน้อย ๆ ๑ ใน ๓ คนนั้นต้องเป็นครูให้แก่เราได้"
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 5

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:นอกจากนี้ท่านได้สอนให้พวกเรามองทุกอย่างให้เป็นครู
โดยท่านยกภาษิตที่ว่า"ขงเบ้งคนเดียว ก็สู้ช่างถักรองเท้า ๓ คนไม่ได้ จำไว้ เห็นขอทาน ๓ คนเดินมา ต้องคิดว่า อย่างน้อย ๆ ๑ ใน ๓ คนนั้นต้องเป็นครูให้แก่เราได้"
อันนี้เป็นสุภาษิตของจีนค่ะ
ยกมาว่าขงเบ้งเก่งมาก ๆ แต่ก็คงไปถักรองเท้าแข่งกับชางไม่ได้
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ในเรื่องของความเชื่อ หลวงพ่อบอกว่า
" ความเชื่อ ๔ ประการ คือ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง และท้ายสุดตถาคตโพธิศรัทธา คือ ความศรัทธาเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่มีตรงนั้น มันจะขาดศรัทธาปสาทะที่เกิดขึ้นในใจของเรา

ดังนั้น ในศาสนาทุกศาสนา ในการปฏิบัติทุกระดับชั้น มันต้องเริ่มด้วยศรัทธาก่อน ไม่มีศรัทธาไม่มาทำแน่"
อีหนูตีแตก
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ชอบยกชุดเลย :lol:

ชอบคำสอน

ชอบซิกเนเจอร์
ชอบอวตาร
ชอบชื่อคนโพสต์ แปลไม่ออก คิดได้ไง

ถาปนิก(ตีไม่แตก)
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ชอบเหมือนกันครับ
ถ้ามีอีก นำมาโพสให้อ่านอีกน๊ะครับ :D
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 9

โพสต์

สถาปนิกต่างดาว เขียน:ชอบยกชุดเลย :lol:

ชอบคำสอน

ชอบซิกเนเจอร์
ชอบอวตาร
ชอบชื่อคนโพสต์ แปลไม่ออก คิดได้ไง

ถาปนิก(ตีไม่แตก)
อ่องอ๋า เป็นชื่อเล่นของหนูเองค่ะ
มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า ทารกตัวน้อย ๆ (แบบที่นอนถือไพ่อยู่แหละค่ะ)

แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ไพ่ที่ถือเป็น full house แบบจุ๋มจิ๋มค่ะ
คือตีแตกแบบเด็ก ๆ อาจหัวแตกได้ทุกเมื่อ 555

ขอบคุณที่ชอบค่ะ
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 10

โพสต์

saichon เขียน:ชอบเหมือนกันครับ
ถ้ามีอีก นำมาโพสให้อ่านอีกน๊ะครับ :D
มีอีกเยอะเลยค่ะ
ตั้งแต่ระดับทั่ว ๆ ไป สำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน
กับถึงแบบกรรมฐาน(สมถะ-วิปัสสนา)เข้มข้น
จนกระทั่งหลุดพ้นเลยค่ะ

ชอบแบบไหนบอกได้นะคะ

ใจจริงที่หันมาสนใจการลงทุนแนวนี้ก็เพราะดูจะสอดคล้องกับหลักธรรมได้มากที่สุดแล้ว
แล้วก็พบว่า ปัญหาจริง ๆ ก็คือใจของเราเอง จะคุมได้ไหม ได้แค่ไหน
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ถาม : โรคไข้หวัดหมู เป็นอย่างไร?

ตอบ : ก็เป็นหวัดยังไงล่ะ
เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บมันเกิดจากกรรมเก่าที่สร้างไว้ ถ้าหากเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำกรรมไว้ ยังไงก็ไม่เป็น แต่ถ้าสร้างกรรมไว้ก็ยึดพุทธานุภาพ ธรรมนุภาพ สังฆานุภาพ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง สิ่งที่ควรจะเป็นก็ปลาสไปด้วยพุทธบารมี

ถาม : ขอบารมีหลวงพี่ปกปักรักษาผมตลอดไปนะครับ

ตอบ : เอาสัก ๕ นาทีได้หรือเปล่า?

ถาม : ขอจนเข้านิพพานเลยครับ
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 12

โพสต์

หลวงพ่อบอกว่า
การสะเดาะเคราะห์สวดบังสุกุลต่าง ๆ ถ้ามองให้ลึก ๆ แล้ว เป็นการกลัวตายอย่างหนึ่ง
ทำไมถึงกลัวตายก็เพราะว่ายังไม่พร้อมที่จะตาย ทำไมถึงยังไม่พร้อมที่จะตาย ก็เพราะว่าไม่แน่ใจว่าตายแล้วจะได้ไปดี ได้ไปสุคตินั่นเอง
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 13

โพสต์

โพสต์นี้สุดท้ายของวันนี้นะคะ
ว่าด้วยเรื่องภรรยาค่ะ

วธกาภริยา เมียเหมือนเพชฌฆาต
โจรีภริยา เมียเหมือนโจร ทรัพย์สินในบ้านนอกจากไม่ช่วยรักษา ยังยักยอกทรัพย์สารพัด
สขีภริยา เมียเหมือนเพื่อน คู่ทุกข์คู่ยากกอดคอกันไป
มาตาภริยา เมียเหมือนแม่ สารพัดจะเลี้ยงดูเอาอกเอาใจทุกอย่าง
ภคินีภริยา เมียเหมือนน้อง มันอ้อนตลอด ประเภทนี้ต้องคอยบ้องหู ไม่งั้นเดี๋ยวมันล้น
ทาสีภริยา เมียเหมือนทาส ประเภทจิกหัวใช้งานขนาดไหนไม่พูดสักคำ ทำงก ๆ ทั้งวัน
อัยยาภริยา เมียเหมือนเจ้านาย ถ้าผัวเป็นทาสี เมียต้องเป็นอัยยา แต่ถ้าเมียเป็นอัยยา ผัวต้องเป็นทาสี ตรงกันข้ามพอดี คนหนึ่งเป็นเจ้านายคนหนึ่งเป็นทาส

หลวงพ่อก็เล่าเรื่องอัยยาภริยาให้ฟังว่า ผัวมันไปคุยกับเพื่อนว่า "โอยเมียเหรอ ผมไม่กลัวหรอก ตวาดคำเดียว เงียบไปเลย" ปรากฏว่าจู่ ๆ เมียเดินมา เพื่อนก็เลยถามต่อว่า "แกตวาดเมียว่ายังไงวะ"
ผัวเห็นเมียเดินมารีบบอกทันทีว่า "อ๋อ เมียใช้ให้ไปซักผ้า ตูตวาดคำเดียวว่าเอากะละมังมา เมียเงียบไปเลย" ผัวมันเอาตัวรอดเก่ง

หลวงพ่อบอกว่า พวกนี้ปฏิภาณมันไว ถ้าฝึกกรรมฐานมีสิทธิ์ได้ปฏิสัมภิทาญาณ

เรื่องของสามีภรรยาพระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องมีสมชีวิธรรม มีธรรมเสมอกัน คือ สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกัน สมศีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีทาน การให้เสมอกัน สมปัญญา ต้องมีปัญญาเสมอกัน ไม่เช่นนั้นอยู่กันยาก คนหนึ่งทำทาน คนหนึ่งไม่ยินดีด้วย ก็พัง

๕๕๕๕๕๕๕ ไม่รู้ว่าจะตรงใจกับท่านใดบ้างหรือเปล่า
อีหนูตีแตก
อนัตตา
Verified User
โพสต์: 447
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 14

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:
เรื่องของสามีภรรยาพระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องมีสมชีวิธรรม มีธรรมเสมอกัน คือ สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกัน สมศีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีทาน การให้เสมอกัน สมปัญญา ต้องมีปัญญาเสมอกัน ไม่เช่นนั้นอยู่กันยาก คนหนึ่งทำทาน คนหนึ่งไม่ยินดีด้วย ก็พัง

๕๕๕๕๕๕๕ ไม่รู้ว่าจะตรงใจกับท่านใดบ้างหรือเปล่า
สรุปสั้นๆ คือคู่แท้ต้องมี ศัทธา ศีล จาคะ(ให้ทาน) และปัญญาเสมอกัน
ใช่ไหมครับ ผมว่าใกล้เคียงนะ ดูจากหลายๆ คู่รอบๆ ตัว ถ้าฝ่ายใดฝ่านนึง
สุดโต่งไปก็มักจะลงเอยด้วยการเลิกรา

ปล. คิดได้ไง อีหนูตีแตก
จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 15

โพสต์

อนัตตา เขียน:สรุปสั้นๆ คือคู่แท้ต้องมี ศัทธา ศีล จาคะ(ให้ทาน) และปัญญาเสมอกัน
ใช่ไหมครับ ผมว่าใกล้เคียงนะ ดูจากหลายๆ คู่รอบๆ ตัว ถ้าฝ่ายใดฝ่านนึง
สุดโต่งไปก็มักจะลงเอยด้วยการเลิกรา

ปล. คิดได้ไง อีหนูตีแตก
หลายคู่รอบ ๆ ตัวหนูเป็นแบบนี้เลยค่ะ ซ้ำมีลูกกันแล้วด้วย
ก็ต้องลงเอยที่ ฝ่ายที่มีธรรมสูงกว่าต้องรักษากำลังของอีกฝ่ายค่ะ
ประคับประคองกันไป ลูกโตแล้วค่อยว่าอีกที
อีหนูตีแตก
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 16

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:มีอีกเยอะเลยค่ะ
ตั้งแต่ระดับทั่ว ๆ ไป สำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน
กับถึงแบบกรรมฐาน(สมถะ-วิปัสสนา)เข้มข้น
จนกระทั่งหลุดพ้นเลยค่ะ

ชอบแบบไหนบอกได้นะคะ

ใจจริงที่หันมาสนใจการลงทุนแนวนี้ก็เพราะดูจะสอดคล้องกับหลักธรรมได้มากที่สุดแล้ว
แล้วก็พบว่า ปัญหาจริง ๆ ก็คือใจของเราเอง จะคุมได้ไหม ได้แค่ไหน
ผมชอบระดับที่กำลังโพสนี่แหละครับ
(แฮ่...เรียกระดับไม่ถูกครับ :oops: )
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 17

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน: หลายคู่รอบ ๆ ตัวหนูเป็นแบบนี้เลยค่ะ ซ้ำมีลูกกันแล้วด้วย
ก็ต้องลงเอยที่ ฝ่ายที่มีธรรมสูงกว่าต้องรักษากำลังของอีกฝ่ายค่ะ
ประคับประคองกันไป ลูกโตแล้วค่อยว่าอีกที
ข้างบนเป็นความเห็นของหนูเอง ซึ่งในโอกาสต่อไปพยายามจะไม่ให้มีดีกว่าเพราะมันก็ผิด ๆ ถูก ๆ เกรงจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีค่ะ  :oops:
saichon เขียน:ผมชอบระดับที่กำลังโพสนี่แหละครับ
(แฮ่...เรียกระดับไม่ถูกครับ :oops: )
สรุปว่า ระดับตามใจคนโพสต์นะคะ (เรียกไม่ถูกเหมือนกันเพราะก็จะปน ๆ กันมาค่ะ)
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 18

โพสต์

หลวงพ่อเล่าเรื่องการทำนาให้ฟัง ว่ามีอยู่รายหนึ่ง เจอทีไรเขาก็ทำนา ทำทั้งปีต่อเนื่องมาตลอด

แล้วท่านก็วกเข้ามาหาเรื่องการปฏิบัติว่า ลักษณะของการทำต่อเนื่องแบบนั้น มันทำให้ได้ผลต่อเนื่องตลอด เหมือนลักษณะการปฏิบัติ ทำอย่างไรเราจะทำให้ได้ต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลดีกับใจ

การปฏิบัติของพวกเราในปัจจุบันส่วนใหญ่มันทำเฉพาะตอนนั่ง พอเลิกแล้วเลิกเลย กลับไปก็ไม่ได้รักษาอารมณ์ต่อ การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเหมือนว่ายทวนน้ำตลอด การปฏิบัติก็เหมือนกันต้องว่ายทวนน้ำำ พวกเรานั่งทำแค่ ๑ ชั่วโมง แล้วปล่อยมันลอยตามน้ำ ๒๓ ชั่วโมง จากนั้นค่อยกลับมาว่ายใหม่ แล้วก็ปล่อยลอยตามน้ำอีก ว่ายใหม่ และก็ปล่อยอีก เราจะกลายเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ไม่มีผลงานเพิ่มเลย

ดังนั้น ถ้าทำได้แล้วมันต้องรักษาอารมณ์ให้ได้ด้วย โดยการเอาสติเข้าไปควบคุมเอาไว้
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 19

โพสต์

มีพี่คนหนึ่งมาในลักษณะของผู้มีความกังวลใจ ได้มากราบหลวงพ่อ

หลวงพ่อเลยเมตตาบอกว่า "ไม่ต้องไปกังวลล่วงหน้า จำเอาไว้ว่าคนเรามีบุญมีกรรมเป็นของตัวเอง ถ้าวาระบุญยังรักษาอยู่..อย่างไรถึงเวลามันก็ต้องมีคนช่วยเหลือ ถ้าหากวาระกรรมเข้ามาตัดรอน ต่อให้มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมก็อาจจะต้องสูญเสียไปหมด อย่าไปห่วงเลย มีหน้าที่ทำดีละชั่วเท่านั้น

ละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ เรื่องอื่นไม่ต้องไปกังวล มันยังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าบอกว่า
อตีตํ นานุโสจนฺติ อย่าไปคำนึงถึงอดีต เพราะมันผ่านมาแล้ว รถที่มันวิ่งเลยไปแล้ว เราขึ้นไม่ได้หรอก
นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต รถที่ยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้หรอก
ปจฺจุปนฺเนน ยาเปนฺติ เอาใจจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น เพราะว่ารถขบวนนี้ที่จะออกเราจึงจะขึ้นมันได้
เราถึงได้มีวันเดียวและตอนนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปกังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ทำหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดขึ้นช่างมัน"

พี่เขาก็บอกไปว่ากังวลว่าตัวเองจะไม่มีอะไร
หลวงพ่อก็บอกว่า "คนไม่มีอะไรเลยอาตมาขอยืนยันว่าน่าอิจฉามาก มันไม่มีอะไรเลยก็ไม่มีอะไรจะเสีย"
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 20

โพสต์

มีประโยคหนึ่งที่หลวงพ่อชอบพูดบ่อย ๆ แทบทุกเดือน

"ในเทวตาสังยุต
เทวดาเขากล่าวคาถาว่า คนมีบุตรปลาบปลื้มเพราะบุตร คนมีโคปลาบปลื้มเพราะโค
แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค"

"มองกันคนละมุม"
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 21

โพสต์

หลวงพ่อได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติแก่ท่านหนึ่งไปว่า
"ให้ระวังไว้ ระยะแรก ๆ พอสมาธิมันเริ่มทรงตัว มันไม่อยากพูดกับใคร มันจะมีความสุขอยู่กับสมาธิ เราต้องผ่านขั้นตอนนี้ไประยะหนึ่งจนสามารถปรับให้เข้าออกในสมาธิได้ตามที่เราต้องการแล้ว มันจึงจะกลับเป็นคนปกติอีกที

ช่วงที่ไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็บอกเขาแล้วกัน ว่ากำลังรักษาสมาธิอยู่ อย่าเพิ่งมายุ่ง ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้า

ถ้าอารมณ์มันทรงตัวต่อให้มีคนมาตะโกนอยู่ข้างหูมันก็ไม่ใส่ใจ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนอื่น รู้หมดทุกอย่างแต่ไม่ไปสนใจมัน"
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 22

โพสต์

หลวงพ่อบอกว่า
"เมื่อทำไประยะหนึ่ง ถ้าใจมันเริ่มทรงตัว มีข้อให้ระวังอยู่ว่า รักโลภโกรธหลงมันเหมือนกับโดนเก็บกด มันจะหาจังหวะเอาคืน แล้วมันทำให้เราเป็นคนกระทบอะไรง่าย

บางทีได้ยินปุ๊บโกรธเลย เห็นปุ๊บโกรธเลย แล้วปฏิกิริยาตอบโต้จะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าถึงเวลานั้นบางท่านที่ไม่เข้าใจก็จะว่า 'มันเป็นนักปฏิบัติภาษาอะไร' ให้ระวังตรงนี้ไว้ให้ดี จะต้องเจอทุกคน เพียงถ้าหากสติสมาธิของเราสมบูรณ์ มันจะระงับปากของเราไว้ได้ทัน แต่มันจะอกแตกตาย

ตอนนั้นจะเป็นการรบที่สนุกมาก ทำอย่างไรที่เราจะชนะเขาได้ ค่อย ๆ ทำมันจะมีพัฒนาการทีละขั้น

ถ้าพวกนี้โผล่อย่าคิดว่าตัวเองเลว ให้รู้ว่าก่อนหน้านั้นเราก็มีเป็นปกติ แต่เราไม่เห็นหน้ามัน มันเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำมันนิ่งจะสะท้อนเห็นเงาหน้ามัน เห็นหน้ามันชัดและออกอาการแรง จนกว่าจะมีวิธีจัดการกับมันได้

ถ้าวันไหน ๆ กระทบกับใครเขามากเกินกว่าปกติ ให้รู้ไว้ว่ามันมาแล้ว"
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 23

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:ถ้าพวกนี้โผล่อย่าคิดว่าตัวเองเลว ให้รู้ว่าก่อนหน้านั้นเราก็มีเป็นปกติ แต่เราไม่เห็นหน้ามัน มันเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำมันนิ่งจะสะท้อนเห็นเงาหน้ามัน เห็นหน้ามันชัดและออกอาการแรง จนกว่าจะมีวิธีจัดการกับมันได้
ขอขยายความเล็กน้อยค่ะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยกับนักปฏิบัติ คือ แต่ก่อนตอนชั่วมาก ๆ กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองชั่ว(เพราะขาดหมดทั้งศีลสมาธิปัญญา) จิตเหมือนโคลนขุ่นมองไม่เห็นอะไรเลย

ต่อเมื่อมาปฏิบัติจิตมีความนิ่งขึ้นเหมือนน้ำที่เริ่มใสเพราะตะกอนนอนก้น พอกิเลสเกิดจึงเห็นชัด คราวนี้จะรู้สึกว่าตัวเองชั่วจริง ๆ เลวอีกแล้ว

ซึ่งความจริงก็คือ มันเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ อย่าย่อท้อต่อการปฏิบัติเพื่อขัดเกลาให้เราดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
อีหนูตีแตก
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 24

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:หลวงพ่อบอกว่า
"เมื่อทำไประยะหนึ่ง ถ้าใจมันเริ่มทรงตัว มีข้อให้ระวังอยู่ว่า รักโลภโกรธหลงมันเหมือนกับโดนเก็บกด มันจะหาจังหวะเอาคืน แล้วมันทำให้เราเป็นคนกระทบอะไรง่าย

บางทีได้ยินปุ๊บโกรธเลย เห็นปุ๊บโกรธเลย แล้วปฏิกิริยาตอบโต้จะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าถึงเวลานั้นบางท่านที่ไม่เข้าใจก็จะว่า 'มันเป็นนักปฏิบัติภาษาอะไร' ให้ระวังตรงนี้ไว้ให้ดี จะต้องเจอทุกคน เพียงถ้าหากสติสมาธิของเราสมบูรณ์ มันจะระงับปากของเราไว้ได้ทัน แต่มันจะอกแตกตาย

ตอนนั้นจะเป็นการรบที่สนุกมาก ทำอย่างไรที่เราจะชนะเขาได้ ค่อย ๆ ทำมันจะมีพัฒนาการทีละขั้น

ถ้าพวกนี้โผล่อย่าคิดว่าตัวเองเลว ให้รู้ว่าก่อนหน้านั้นเราก็มีเป็นปกติ แต่เราไม่เห็นหน้ามัน มันเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำมันนิ่งจะสะท้อนเห็นเงาหน้ามัน เห็นหน้ามันชัดและออกอาการแรง จนกว่าจะมีวิธีจัดการกับมันได้

ถ้าวันไหน ๆ กระทบกับใครเขามากเกินกว่าปกติ ให้รู้ไว้ว่ามันมาแล้ว"
อุย...
ข้อนี้คล้ายกับที่ผมเป็นตอนนี้เลย...
(แฮ่...แต่ไม่รู้มั่วหรือเปล่าน๊ะครับ :oops: )
เมื่อ2ปีก่อนพี่ป้อมเคยสอนให้ผมทำวิปัสนาครับ
ผมก็ลองทำผิดทำถูกมาเรื่อยๆ
หลังๆผมเริ่มรู้สึกว่าผมหงุดหงิดง่ายขึ้นกว่าก่อน
ไม่รู้เพราะมันโดนเก็บกดหรือเปล่า
ผมลองคุยเรื่องการแก้กับพี่ป้อม นอกจากการตามรู้ทันมันแล้ว
พี่ป้อมให้ผมใช้ศีลในการคุมไม่ให้มันไปกระทบกับคนรอบข้างร่วมด้วย

เอ...ว่าแต่พระอาจารย์ของพี่อ่องอ๋านี่ เป็นท่านเดียวกับพระอาจารย์ของพี่ป้อมหรือเปล่าครับเนี๊ย... :roll:
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 25

โพสต์

saichon เขียน: เอ...ว่าแต่พระอาจารย์ของพี่อ่องอ๋านี่ เป็นท่านเดียวกับพระอาจารย์ของพี่ป้อมหรือเปล่าครับเนี๊ย... :roll:
หากพระอาจารย์ของพี่ท่านที่ว่านี้ เคยไปธุดงค์ป่าแถวฝั่งพม่าบ่อย ๆ ก็น่าจะใช่องค์เดียวกันค่ะ   :)
อีหนูตีแตก
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 26

โพสต์

อ่องอ๋า เขียน:ขอขยายความเล็กน้อยค่ะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยกับนักปฏิบัติ คือ แต่ก่อนตอนชั่วมาก ๆ กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองชั่ว(เพราะขาดหมดทั้งศีลสมาธิปัญญา) จิตเหมือนโคลนขุ่นมองไม่เห็นอะไรเลย

ต่อเมื่อมาปฏิบัติจิตมีความนิ่งขึ้นเหมือนน้ำที่เริ่มใสเพราะตะกอนนอนก้น พอกิเลสเกิดจึงเห็นชัด คราวนี้จะรู้สึกว่าตัวเองชั่วจริง ๆ เลวอีกแล้ว

ซึ่งความจริงก็คือ มันเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ อย่าย่อท้อต่อการปฏิบัติเพื่อขัดเกลาให้เราดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
ที่คิดว่าตัวเองชั่วก็กำลังเป็นครับ
เช่นทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวไป อยู่ๆก็แว๊บขึ้นมาว่าตนเองชั่วจัง

แบบนี้นี่แสดงว่ามาถูกทางเหรอครับ :roll:
(แฮ่...ถ้ามั่วหรือทำให้กระทู้เลอะก็ขออภัยน๊ะครับ)
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 27

โพสต์

หลวงพ่อบอกกล่าวในเรื่องปัญญาว่า

"ปัญญามีพื้นฐานมาจากสมาธิ ต้องเน้นสมาธิให้มาก ๆ ขึ้น ถ้ามันทรงตัวจริงมันจะมีปัญญาเกิดขึ้นเพราะจิตที่สงบมันจะเห็นช่องทางเอง

แต่ขณะเดียวกัน ถ้ามีหลักการหรือวิธีการอะไรที่สามารถชักนำให้ปัญญามันเกิดขึ้นได้ เราก็ทำตาม แรก ๆ ก็เหมือนกับมานั่งท่องจำ ท่องไป ๆ ก็อาจจะปิ๊งขึ้นมาเอง

แบบเดียวกับพระนันทะเถระ ที่จะแต่งงาน แล้วพระพุทธเจ้าก็พาไปบวชเสียก่อน พระนันทะบวชแล้วก็ไม่มีความสุข อยากสึกทุกวัน ท้ายสุดพระพุทธเจ้าเห็นว่าทรมานมากพอแล้ว ก็เลยไปถามพระนันทะว่าอยากสึกไหม พระนันทะก็บอกว่าอยากสึก (สึกไปแต่งงาน เพราะนางชลบทกัลยาณีรออยู่) พระพุทธเจ้าเลยพาพระนันทะไปดาวดึงส์ พอพระนันทะเห็นนางฟ้า ความอยากแต่งงานกับนางชนบทกัลยาณีหมดทันที อยากได้นางฟ้ามากกว่า เพราะสวยทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าหากว่าอยากได้นางฟ้า ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรม ถ้าทำได้สำเร็จสัญญาว่าจะยกให้ พระพุทธเจ้าให้นางฟ้าทั้งหมดเป็นพยานว่าตถาคตพูดจริง นางฟ้าทั้งหมดรับปากเป็นเสียงเดียวกัน ว่าถ้าพระนันทะทำได้ พร้อมไปด้วยทันที

พระนันทะกลับไปก็ขอกรรมฐานจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ให้อาการ ๓๒ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ไปเรื่อย แรก ๆ ก็ท่องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก ฯลฯ พอท่องไป คราวนี้ก็เกิดปัญญาขึ้นมาว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่ในตัวเราเองนี่ แสดงว่าในร่างกายเราจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแน่นอน มีแต่ส่วนประกอบขึ้นมาเท่านั้นเอง ตัวเราก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้จะไปใคร่ดีอะไร สภาพจิตของท่านก็ค่อย ๆ ถอนความยินดีภายในร่างกาย ในเมื่อไม่ไปยึดไปติดอยู่ในร่างกาย ก็ไม่ยึดทั้งหมด จบเท่านั้นเอง...

ก็ปรากฏว่าบรรดาพระทั้งหลายไปนินทาว่า พระนันทะปฏิบัติธรรมะเพื่อต้องการนางฟ้า เรื่องไปเข้าหูพระนันทะเข้า พระนันทะพอท่านกลายเป็นพระอรหันต์ก็เลยมาบอกเลิกสัญญากับพระพุทธเจ้าเอง บอกว่าตอนนี้ปฏิบัติโดยไม่ต้องการนางฟ้าแล้ว ขอคืนสัญญาที่ให้ไว้กับพระพุทธเจ้า ตอนนี้อยู่ด้วยตัวเองได้แล้วไม่ต้องแลกด้วยนางฟ้า"


สรุปก็คือ ในเรื่องของปัญญาต้องใช้สมาธิเป็นส่วนสำคัญ ยิ่งสมาธิทรงตัวก็จะทำให้เกิดปัญญาได้ง่าย และในขณะเดียวกันปัญญาก็สามารถเกิดได้จากสัญญา(การจำ) สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมา เมื่อจำแล้วนำมาขบคิด พิจารณา ปฏิบัติตามไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดเป็นปัญญาได้
อีหนูตีแตก
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 28

โพสต์

saichon เขียน:ที่คิดว่าตัวเองชั่วก็กำลังเป็นครับ
เช่นทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวไป อยู่ๆก็แว๊บขึ้นมาว่าตนเองชั่วจัง

แบบนี้นี่แสดงว่ามาถูกทางเหรอครับ :roll:
(แฮ่...ถ้ามั่วหรือทำให้กระทู้เลอะก็ขออภัยน๊ะครับ)
ไม่เลอะหรอกค่ะ ในเรื่องการปฏิบัติก็มักเกิดข้อสงสัยกันเป็นประจำอยู่แล้ว หนูคนหนึ่งล่ะ ตัวขี้สงสัยเลย ถามได้ทั้งวันค่ะ

ตามปกติคนชั่วจริง ๆ มักไม่รู้ว่าตัวเองชั่ว
คล้าย ๆ กับ คนโง่จะนึกว่าตัวฉลาด คนฉลาดจะไม่อวดตนและรู้ว่าหนทางที่จะทำให้ตนฉลาดกว่านี้ หรือผู้ที่ฉลาดกว่าเรานั้นยังมีอยู่

ถ้าแว๊บขึ้นมาได้นี่ก็แสดงว่ามีสติอยู่กับปัจจุบัน คือรู้ตัวอยู่พอสมควรแล้วเพียงแต่ยังไม่เร็วพอ ที่ดียิ่ง ๆ กว่านี้ก็ยังมีรอเราอยู่อีกค่ะ

พระอาจารย์บอกว่าหากปฏิบัติให้อารมณ์ทรงตัวอยู่ให้ได้ตลอด ปัญญาจะเกิด ความเร็วในการจะรู้ว่าอะไรดีไม่ดีจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

จะบอกว่ามาถูกทางแล้วหรือ หนูไม่กล้าตอบแบบฟันธง เพราะปัญญาหนูยังไม่มากพอค่ะ ทุกวันนี้เวลามีปัญหาหนูก็ต้องจดแล้วหาโอกาสไปกราบเรียนถามครูอาจารย์อยู่เลยค่ะ

คุณ saichon ปฏิบัติมาแบบไหนหรือคะ พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ค่ะ ยินดีอย่างยิ่ง  :D
อีหนูตีแตก
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ผมทำโดยการตามดูกายดูจิตตัวเองเอาครับ

เช่น ผมเป็นคนชอบเผลอแล้วก็คิดฟุ้งซ่านครับ
พอผมเผลอหรือคิดผมก็พยายามกลับมารู้ตัว
พอโกรธก็รู้ทันมันตามที่มันเป็น โดยไม่ไปปรุงแต่งมัน(ไม่ไปร่วมใส่อารมณ์กับมัน)
ประมาณนี้แหละครับ ผมชอบที่วิธีนี้ทำได้ตลอดเวลา
พอมีกิเลสตัวไหนมาผมก็แค่ตามรู้ทันมันแค่นั้นเองครับ
ทำง่ายๆแบบนี้แหละครับ ผิดถูกยังไงรบกวนชี้แนะด้วยน๊ะครับ :D
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

เก็บตกจากพระอาจารย์

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ไหน ๆ เป็นกระทู้ลงทุน ขอแทรกเรื่องนี้สักเล็กน้อย กึ่ง ๆ เล่าประวัติตัวเอง
(อันนี้สิเลอะเทอะของจริง ๕๕)

เมื่อหลายปีก่อน หนูเคยเทรดหุ้นมาแล้วค่ะ ไม่ได้เพิ่งจะเริ่ม
ตอนนั้นรู้จักดร.นิเวศน์แล้วแต่รู้สึกว่าแนวลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นช้าค่ะ ไม่ทันใจโจ๋ เลยเล่นแบบเก็งกำไรตลอด

แต่ก็ไม่เคยขาดทุนนะคะ เพียงแต่ได้ไม่เยอะอย่างที่คิดเท่านั้นเอง(แหงะ)

เล่นได้ไม่กี่เดือน เงินทีคิดว่าเย็นมันก็ดันไม่เย็นอย่างที่คิด เลยถอนตัวออกไป

ระหว่างนั้นก็เกิดวิบากเข้า(หนักกว่างานเข้าหลายเท่า) เกิดเห็นทุกข์ขึ้นมา และในเวลาใกล้ ๆ กันก็ได้พบกับครูบาอาจารย์ ที่ปัจจุบันนี้ กราบได้อย่างเต็มหัวใจค่ะ

พอกลับมาจะลงทุนอีกครั้ง ก็เริ่มมองโลกและตลาดหุ้นเปลี่ยนไป
หากจะกลับไปเล่นหุ้นแบบเดิม ใจมันจะโดนความโลภครอบงำทุกวัน วันละหลายชั่วโมง เงินที่ได้มาก็เป็นการจ้องจะได้จากคนอื่น เพราะมันไม่ได้เกิดจากการเติบโตของกิจการ แล้วมันจะมาจากไหนนอกจากเปลี่ยนมือกันเฉย ๆ

ก็เลยไปขุดหนังสือดร.ออกมาอ่านอีกหลายรอบค่ะ เห็นว่าการลงทุนแบบนี้แหละคือทางออก

หนูเรียนจบคณะบัญชี(บริหาร)มานะคะ แต่โคตรเกลียดบัญชีเลยค่ะ พยามทุกวิถีทางที่จะเรียนบัญชีน้อยตัวที่สุด(๒ ตัวเอง) ไฟแนนซ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ได้ D+ มาแล้ว เรียนจบก็ดีใจสุด ๆ ไม่ได้ทำงานแนวที่เรียนมาเลยค่ะ

ไม่น่าเชื่อ วันนี้ต้องขุดยาขมถ้วยเดิมขึ้นมาจนได้ ๕๕๕

ที่เอาธรรมะมาลงก็เพราะเห็นพี่ ๆ เว็บนี้ใจดีทุกคน หลายท่านก็เข้ามาในแวดวงนี้อยู่แล้ว ก็เลยเอามาลง คงจะไปกันได้ค่ะ

............

หลวงพ่อก็เคยพูดถึงวอเร็น บัฟเฟตต์อยู่บ่อยครั้ง ถ้าหาไฟล์เจอจะเอามาลงให้อ่านค่ะ
อีหนูตีแตก
โพสต์โพสต์