ช่วงนี้ทั่วโลกเกิดปัญหาอย่างมากมาย เร็วๆนี้นอกจากบ้านก็ Greece "จราจล" อย่างที่คาดคะเนกันไว้ ..ผลจาก Globalization ทำให้กระจาย"ความมั่งคั่ง"จากประเทศรวยสู่ประเทศจน --ทำให้"ความั่งคั่ง" ไปสร้างความขัดแย้ง "ภายในประเทศ ซึ่งเป็นชนวนสู่สงครามกลางเมืองของประเทศต่างๆนั่นเอง" ที่ผ่าน "อินโดก็เพิ่งจะก้าวข้ามความวุ่นวายมาหมาดๆ ตอนนี้ "ไทย" กำลังแย่" --ผมว่ามันเป็น Trend ใหม่ของโลก และเราต้องเรียนรู้"ที่จะอยู่กับความวุ่นวาย"
คำถามที่เกิดขึ้นคือ คุณจะ"อยู่กับความวุ่นวายอย่างไร เมื่อมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน" ในชีวิตประจำวันผมเชื่อว่าทุกคนสามารถดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เรื่อง"เงิน"จะทำอย่างไร ... สิ่งที่ผมเฝ้าสังเกตจากเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆที่เกิดขึ้น ..สิ่งที่ทำให้"นักลงทุนส่วนใหญ่"ขาดทุนคือ "การใช้อารมณ์ตัดสินใจในการลงทุน" ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อ"บ้านเมืองวุ่นวาย" อารมณ์จะขึ้นลงผันผวนอย่างมาก --วิธีการแก้ปัญหาคือ เราต้อง"ตัดอารมณ์ออกไป" แล้วดูว่า เวลานี้อะไรคือ ทางเลือกที่เหมาะกับคุณ !!
--อย่างแรกคือ บ้าน หากใครคิดจะกู้ซื้อบ้าน ช่วงนี้นับเป็นเวลาที่ดี เพราะ"ดอกเบี้ย"ต่ำ และมี Supply ในตลาดเยอะ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่"ยังไม่มีบ้าน"แล้วคิดจะมีบ้าน ...แต่ในแง่ของการซื้อเพื่อ"การลงทุน" ผมมองว่า Real Estate ไม่ใช่ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่สูง(เพราะในระยะยาว"ที่ดิน"เท่านั้นที่มี ราคาขึ้น.. ไม่ใช่"ตัวบ้าน" แต่ตลาด Real Estate ในปัจจุบันเน้นขาย"ตัวบ้าน" เช่น คอนโด ,ทาวน์โฮม หรือ แม้แต่บ้านเดี่ยว(ราคาสูง) แต่ที่ดินจริงๆเล็กนิดเดียว ..ดูแล้ว ไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่า)
--ในเรื่องของ "ทอง"นับว่าเป็นของที่"ฮิต"มากขณะนี้ ซึ่งถ้าให้มอง ผมว่าราคาทองก็ขึ้นมาเยอะแล้ว แต่โอกาสที่"ราคาจะขึ้นต่อ"ก็เป็นไปได้ ขึ้นกับว่า"ความไม่แน่นอน"ในเศรษฐกิจยังมี-- ทองก็มีโอกาสขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้า"เศรษฐกิจดี ทองจะไม่ไปไหน (คล้ายกับช่วงปี 1980 -2000 "20 ปี"ที่ราคาทองไม่ไปไหน).. ดังนั้น การ"เล่นทอง"จึงควรใช้"เงินนอน"เท่านั้น และถือเป็น"ส่วนหนึ่งของPort"..ไม่ควรเป็นสัดส่วนหลักในการลงทุน (ควรมีใน Port ไม่เกิน 5-10%)
--"พันธบัตรและ Bond" น่าสนใจที่จะถือไว้เป็นส่วนที่ "ป้องกันความเสี่ยง" เพราะในส่วนนี้สามารถเปลี่ยนเป็นเงินในตลาดรองได้ทุกเมื่อ (สัดส่วน น่าจะอยู่ที่ประมาณ 20-25% ของ Port)
--"หุ้น"(ระยะยาว)-- (ควรมีใน port ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ประมาณ 50 -75%)ของ Port การลงทุน(ผมมองว่า หุ้นน่าสนใจมาก เมื่อเทียบกับ ทางเลือกอื่นๆที่มีในขณะนี้) แต่เงินที่"ลงทุน"ควรจะเป็นเงินนอน หรือ เงินเย็น เท่านั้น และการลงทุน"ควรเป็นหุ้นปันผล(สูง) แต่ P/BV ต่ำ ที่ลงในระยะยาวเท่านั้น"
--"เล่นหุ้นระยะสั้น" --ในเวลานี้ อยู่ที่ "คุณชอบเล่นการพนันแค่ไหน" ถ้าชอบมาก ก็"เล่นหุ้นรายวันเลย" เพราะความ มันส์ คล้ายๆ กับ เข้าบ่อน ยังไงยังงั้นเลย (ส่วนนี้ไม่นับว่า"เป็นการลงทุน"ให้ถือว่า"พนันเล่นๆชิวๆ..แบบเงินเหลือๆ ไม่รู้ทำอะไรประมาณนั้น)
--"ประกันชีวิต" ควรมีเท่าทีจำเป็น เช่นสำหรับ หักภาษีเท่านั้น ..เพราะเงินที่คุณจ่ายบริษัทประกัน เขาก็เอาไปซื้อ "พันธบัตรรัฐบาล"เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้าคุณมีเงินนอนมากๆ ไปซื้อ พันธบัตรโดยตรง จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าประกันชีวิต..จริงมั๊ยครับ!!
--"กองทุนอสังหา" ก็มีบ้างได้ แต่จริงๆ พวกนี้บริษัทที่เอา ทรัพย์สิน มาขายให้ "กองทุน" อย่าง Central หรือ Ticon เขาบวก Premium อยู่แล้ว เช่น ตึก 1,000 ล้าน แต่พอเขาขายให้"กองทุนรวม"เขาขาย 2,000 ล้าน ดังนั้น เขาบวกกำไรไปแล้ว .. Central กับ Ticon รับไปเต็มๆ แถมยังได้ค่า บริหารสินทรัพย์ อีกต่อ (ไอ้ที่บอกว่าผลตอบแทน 10% มันมีอะไรแอบแฝง เพราะในระยะยาว ตัว NAV อาจลดส่งผลให้ เงินต้นต้นคุณลดลงตาม)..สู้คุณไปซื้อหุ้นของ CPN เลยไม่ดีกว่าหรือ ..อย่างไรก็ตาม ข้อดีของ Real estate Fund ก็คือ ราคาจะผันผวนน้อยกว่าหุ้น หรือ เงินต้นของคุณอาจลดลงน้อยกว่า ดอกเบี้ยปันผลรายปีที่กองทุนเหล่านี้ให้ก็เป็นได้ ดังนั้น ผมก็ไม่ได้ปิดตายโอกาสในการลงทุนตัวนี้ ขึ้นกับว่า มันเหมาะกับสถานะการเงินของคุณหรือไม่นั่นเอง
--"Commodity" เช่น "น้ำมัน" ในเมืองไทยลงทุนทางตรงได้ยาก จะได้ก็แค่ผ่านทาง "กองทุน" ซึ่งผมมองว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" เพราะใน"ระยะยาว"น้ำมันขึ้นลงเป็น Cycle และรอบนี้ เมื่ออยู่ใน Cycle ขาขึ้น ..ถ้ามองอนาคตก็มีโอกาสที่จะเข้า"ขาลง" และขาดทุนได้ ดังนั้น การลงทุนในตัว"น้ำมัน"โดยตรง ถือว่าเสี่ยงมาก หากคุณไม่เชี่ยวชาญ ..ดังนั้น แนะนำว่าให้ลงผ่านบริษัทน้ำมันแทน อย่าง PTT เป็นต้น ซึ่งจะได้รับอานิสงค์จาก"ขาขึ้น" แต่ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรมีความเข้าใจใน บริษัท พอสมควร (อย่าง PTT ผมมองว่า เวลานี้"หุ้น"ราคาไม่แพง แต่ในระยะสั้นได้รับผลกระทบจากการเมืองมาก ดังนั้น เงินที่มาลงถ้าเป็นระยะยาวจึงจะเหมาะสมกว่า)
--สรุปได้ว่า แต่ละทางเลือกต้องขึ้นกับ "ฐานะการเงินของแต่ละคน" ..จึงไม่ควร "หลับหูหลับตาลงทุน" หรือ ลงทุนตาม"กระแส"เพราะมีโอกาสขาดทุนสูง (ยกตัวอย่าง การลงทุนผ่าน RMF/LTF ที่หลายคนคิดว่า "ได้ทันทีคือภาษี" แต่บางครั้ง "อาจไม่คุ้ม" ..ทั้งนี้ขึ้นกับประเภทของกองทุนด้วย เช่น กองทุนลงหุ้น ก็ไม่ต่างกับที่เรา"ซื้อหุ้นเอง" แต่"กองทุน"คือ มีคนซื้อขายให้เราแทน แต่เขาคิดเงินค่า บริหาร ...ซึ่งจริงๆ"หลักการลงทุนของหลายๆกองทุน"ขัดกับ หลักการลงทุน"หุ้น" ที่ระยะยาวมีโอกาสที่จะกำไรสูงกว่า ดังนั้น "การเล่นสั้น"ของกองทุน-- ทำให้โอกาสขาดทุนสูงในเบี้องต้น อีกทั้งยังคิดค่า Fee ที่เป็นมุมที่ "เสีย 2 เด้ง"สำหรับ ผู้ลงทุน .. หรือ อย่างกองทุนตราสารหนี้ ก็คือ ไปลงใน"พันธบัตรต่างๆ"แต่เขาคิดค่า Fee ซึ่งถ้าเราไปซื้อ "พันธบัตรเอง".. เราจะไม่เสียค่า Fee แถมแต่ละปีเราจะได้รับดอกเบี้ยจากพันธบัตรด้วย ..ซึ่งในระยะยาวการประหยัดภาษีทันที 30% อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย.. ดังนั้น การลงทุน"ต้องมีความเข้าใจ"ไม่ใช่ตาม Trend เพราะส่วนใหญ่"แหกตา"ทั้งนั้น --.....((ของดีไม่มีใครเขามาวิ่งแจกคุณหรอก ..เขาก็เก็บไว้ลงทุนเองไม่ดีกว่าหรือ หุ หุ หุ ...))
เขียนโดย pawawit ที่http://pawawit.blogspot.com