คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

กระทู้คุณค่า มีประโยชน์ ความรู้ดีดี เป็นประโยชน์เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แค่ไหนก็ตาม
ภาพประจำตัวสมาชิก
ch_army
Verified User
โพสต์: 1352
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1261

โพสต์

pom :
และแล้วผมก็ยังไม่รู้วิธีmark ข้อความที่อยากจะreferถึง
ช่วยหน่อย กลัวคนอ่านจะรำคาญ
ใช่อย่างนี้หรือเปล่าครับ
ถ้าอย่างนี้กดปุ่ม QUote ก่อนแล้วพิมพ์ข้อความ หรือ copy มาวางเสร็จแล้วกด Quote อีกทีก็ใช่ได้แล้วครับ

แต่หากทำตัวหนาก็ พิมพ์ไปก่อนแล้วลากเมาส์ตรงข้อความที่จะให้เป็นตัวหนาแล้วกดตัว B ในจอครับ
http://inspirationword.blogspot.com

-กำลังใจ มีอยู่ในตัวคุณ-
-พัฒนาทัศนคติ สู่ชีวิตแห่งชัยชนะ-
ภาพประจำตัวสมาชิก
mtidus
Verified User
โพสต์: 37
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1262

โพสต์

cha_rmy said
เอ พี่ๆนี่ลูกมีครอบครัวกัน หมดทุกคนเลยหรือครับอืม อย่างนี้ตอนนี้ลูกกำลังซนเนี่ย เหนื่อยไหมครับ อยากรู้แฮะ แล้วพ่อ-แม่รุ่นใหม่ๆอย่างพี่ๆ เลี้ยงดูแนวไหนกันครับ ตอนนี้มันมี trend การเลี้ยงลูกใหม่ๆไหมครับ
เดี๋ยวนี้พ่อแม่มีลูกกันน้อย มีอะไรก็ทุ่มเทให้เต็มร้อย
ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นผลดีกับเด็กเสมอไป
ลูกของคนชั้นกลางจนถึงชั้นบน กินดีอยู่ดี
นอนแอร์ อาบน้ำอุ่น กินสเต็ค ไม่ต้องทำงานไม่ว่าในบ้านหรือนอกบ้าน
มีpercentageที่จะเรียนหนังสือได้ดีกว่าลูกคนหาเช้ากินค่ำ
แต่จะแกร่งและแก้ปัญหาได้ดีกว่าหรือเปล่า ก็น่าคิด

ขอบคุณมากๆเรื่อง mark ข้อความ เดี๋ยวจะลองดู
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1263

โพสต์

chatchai เขียน:น้องวิบูลย์ ถ้ากลัวว่าลาออกแล้วไม่มีอะไรทำ ก็ลองมีลูกซักสองสามคน แล้วเลี้ยงเองดูซิครับ มีอะไรทำทั้งวันแน่ๆครับ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับพี่chatchai
นี่ถ้ามีลูกจริงๆคงเกี่ยงกันระหว่างผมกับภรรยาว่าใครจะลาออกมาเลี้ยงลูก
จะว่าไปเลี้ยงเด็กสมัยนี้มันยากจริงๆนะครับ
เพราะสื่อและสิ่งยั่วยวนใจมันเยอะจริงๆ

หลานผมผู้ชายก็เอาแต่เล่นเกมส์
ไม่สนใจใคร ดีหน่อยที่โตจะเข้ามหาลัยแล้วก็เล่นเกมส์น้อยลง
แต่ไปติดเพื่อนมากขึ้น

เด็กสมัยนี้เรียนกันหัวโต กวดวิชากันไม่มีวันหยุด
เห็นแล้วเหนื่อยแทน
จบปริญญามาก็เป็นลูกจ้างเหมือนเดิม

ปรากฏว่าเพื่อนที่เรียนไม่เก่งมาก
กลับไปได้ดีกว่านะ ในระยะยาว
เพราะกล้าลอง กล้าสู้ ไม่คิดเป็นลูกจ้าง

เพื่อนผมคนนึงเป็นหมอ
เจอกันงานเลี้ยงรุ่น บอกเพื่อนๆว่า
เรียนเก่งนี่ก็เป็น"ทุกข์"เหมือนกันนะ
เพราะไปเรียนหมอ
แต่เพิ่งมารู้ตัวเองว่าชอบ"การเงิน"มากกว่าก็ตอนจบมาแล้วสิบกว่าปี
แต่เล่นหุ้นขาดทุน SCIB-C1 ไปหลายแสนในวันเดียว

ผมเลยบอกว่า
ไม่เป็นไร
เป็นหมอก็รู้เรื่องการเงินได้
เป็นหมอก็เป็นนักลงทุนได้
ไม่เสียงานด้วย

ว่าแล้วก็ให้ไปติดตามอ่านคอลัมน์ในบิสวีค
และหาหนังสือการลงทุนมาอ่าน

จนถึงวันนี้ยังไม่ได้ติดต่อกันเลย
ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง

ก็แค่เล่าให้ฟังเฉยๆครับ
ว่าเด็กในอนาคตอาจจะเป็นเหมือนเพื่อนผมคนนี้ก็ได้
กวดวิชากันแทบเป็นแทบตาย
ชีวิตมีแต่การเรียน ไม่มีการเล่น
หลังจากเรียนจบออกมา สุดท้ายก็ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองทำอยู่

เอาไว้เล่าให้พ่อแม่ท่านอื่นๆฟังได้ครับ
โดยเฉพาะพวกที่อยากให้ลูกทำในสิ่งที่ตัวเองฝันแต่ไม่ได้ทำ
เลยยัดเยียดให้ลูกทำแทน........
ผมว่ามีเยอะนะ พ่อแม่แบบนี้
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1264

โพสต์

ว่าเด็กในอนาคตอาจจะเป็นเหมือนเพื่อนผมคนนี้ก็ได้
กวดวิชากันแทบเป็นแทบตาย
ชีวิตมีแต่การเรียน ไม่มีการเล่น
หลังจากเรียนจบออกมา สุดท้ายก็ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองทำอยู่
สมัยนี้ผมว่าดีกว่าสมัยก่อนเยอะครับ เพราะมีโรงเรียนดีๆที่ไม่เน้นวิชาการอย่างเดียวพอควร แต่ก็ยังคงมีพ่อแม่ไม่น้อยที่ยังคงยึดติดกับการเข้าโรงเรียนดีๆ เพื่อที่ลูกๆโตขึ้นจะได้เป็นหมอ วิศวะ

คงมีส่วนน้อยที่ให้ลูกมีความสุขในการเรียนรู้ครับ เมหือนนักลงทุนแนว VI ที่ยังน้อยอยู่มาก แต่มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นครับ
sunrise
Verified User
โพสต์: 2266
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1265

โพสต์

ผมอีกคนครับ

เรียนวิศวะจบมา ไม่ได้ใช้เลย
เสียดายเหมือนกัน

น่าจะเรียนการเงินตั้งแต่แรก
ไม่น่าเรียนเพื่อจบมาเป็นลูกจ้างเลย :cry:

รอมีลูกแล้ว ผมจะบังคับลูกเรียนการเงินครับ :oops:

ตอนนี้ต้องรอหาแม่ของลูกก่อน :D
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1266

โพสต์

พอดีมีกระทู้นึงคุณForrestGump ถามมาผมว่าดีมาก
เลยขอมาตัดแปะไว้ในกระทู้นี้ด้วยนะครับ
ForrestGump เขียน:
Post subject: เรื่องการเป็น VI พันธ์แท้ขอถามคุณมน คุณวิบูลย์ คุณครรชิต.... คุณฉัตรชัย และทุกๆท่าน เกี่ยวกับเรื่อง VI พันธ์แท้

เท่าที่ผมได้ติดตามอ่านกระทู้ และPM สอบถามเรื่องการลงทุนแนว Value Investment ของคุณวิบูลย์ คุณ มน คุณ ครรชิต คุณฉัตรชัย คุณเวป คุณนักดูดาว คุณลูกอีสาน และท่านอื่นๆ ซึ่งมีประสบการณ์การลงทุนมายาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ และ ศึกษาและทดลอง ประยุกต์ใช้หลักการ VI มานานพอสมควร ผมซึ่งเป็นมือใหม่พยายามขอความรู้และศึกษาจากข้างต้น

โดยเฉพาะคุณวิบูลย์ กับ คุณมน จะเน้นย้ำมากๆ เลยสองเรื่องคือ
1. หลักการที่ดี พื้นฐานแนวคิดที่แน่น "สำคัญกว่า" วิธีการและสูตรสำเร็จ เพราะการลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์
2. คุณภาพกิจการ "สำคัญกว่า" การวิเคราะห์เชิงปริมาณเช่นงบการเงิน หรือ ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ

มือใหม่มักต้องการสูตรสำเร็จ ซึ่งทั้งสองท่านบอกว่าไม่มี ต้องศึกษา ประยุกต์ หาประสบการณ์และบ่มเพาะให้เป็นแนวทางการลงทุนของตัวเอง

ส่วนคุณ WEB บอกผมว่า ให้
1. อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน สะสมความรู้ และทดลองใช้แนวคิด หลักการมาประยุกต์กับการลงทุน อย่าเพิ่งใจร้อนลงทุนจริงๆ ให้ศึกษาจนแน่ใจก่อน มั่นใจแล้วค่อยลงทุน โอกาสลงทุนมีมาเรื่อยๆ ไม่เคยสาย แต่ถ้า "ไม่รู้และเสี่ยง"" ที่จะลงทุนไปแล้ว ขาดทุนจะเจ็บหนักมากๆ ขอให้"ใจเย็นและอดทน" เพราะ การลงทุนเป็นเรื่องของ ระยะเวลาที่ยาวนาน
2. อย่าเอาแต่อ่านหนังสือหุ้น ให้อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสารธุรกิจให้มากๆ จะเข้าใจธุรกิจ ภาพโดยรวม และเข้าใจคุณภาพกิจการได้ดียิ่งขึ้น

และผมประทับใจประโยคทองของคุณครรชิต The King of Data and Information ประจำเวปเรา คือ

" ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ ถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี" ไม่มีสูตรสำเร็จในการคิดมูลค่านี้ คุณต้องรู้ซึ่งในกิจการ นั้นๆ

เห็นภาพการลงทุน VI ได้ชัดเจนมาก

ส่วนของคุณฉัตรชัย ก็ลงทุนตามแนวถนัดประมาณว่า ดูงบกระแสเงินสดได้ลึกซึ้ง และดูคุณภาพกิจการควบคู่ไปด้วย

รวมถึง Mr.Warren Buffett ที่บอกว่า การซื้อหุ้นที่ดีที่สุดเมื่อเราคิดเหมือนเราซึ้อธุรกิจ ยิ่งคิดเป็นธุรกิจมากเท่าไหร่ ยิ่งดีกว่าคิดว่าเป็นแค่หุ้น และกฎทองของการลงทุนคือ 1. อย่าขาดทุน และ 2. ให้กลับได้กฎข้อที่ 1

คุณหมอยรรยงค์ก็ยังบอกว่า ไม่รู้คือเสี่ยง

ยิ่งผมอ่านผมยิ่งรู้ตัวเองว่า "่อ่อนด้อย" เหลือเกินในโลกการลงทุน ผมเป็นแค่มือใหม่ ที่ต้องการ "สูตรสำเร็จ" อย่างที่พี่ๆ ทั้งหลายบอกจริงๆ ใครมีประสบการณ์เหมือนผมบ้าง? ช่ีวยแสดงความคิดเห็นมาด้วยครับ

พี่ๆ ทุกท่าน ล้วนแต่บอกว่า หลักการ และ คุณภาพกิจการ สำคัญกว่า วิธีการ และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ซึ่ง หลักการและคุณภาพกิจการ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างนามธรรม ชี้วัดได้ยาก เป็นศิลปะที่ต้องเรียนรู้เอง ล้มเอง ถึงจะค่อยๆ เข้าใจ

รบกวน คุณวิบูลย์ คุณ มน คุณ ครรชิต คุณฉัตรชัย และท่านผู้รู้อื่นๆ กรุณา ชี้แนะแนวทางการศึกษาการลงทุนของแต่ละท่าน ว่าผมควรจะทำอย่างไร ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแนวทาง VI ด้วยเถิดครับ

ขอบพระคุณทุกท่านครับ


mrdew เขียน:

ที่เค้าบอกว่าไม่ให้อ่านหนังสือหุ้นอย่างเดียว เค้าก็คงจะหมายถึงว่า หลักการอย่างเดียวมันยังไม่พอ บางอย่างในหนังสืออ่านจะเหมาะกับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ก็อาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้ รู้เรื่องหุ้นอย่างเดียว ก็คงไม่พอ ต้องรู้ในหลาย ๆ เรื่อง หัดสังเกต หัดคิด หาอะไรที่เหมาะกับตัวเอง อะไรแบบนี้มั้งครับ

ส่วนตัวผมก็ยังอ่อนประสบการณ์อยู่เหมือนกันครับ ทฤษฎีพื้นฐานอะไรก็รู้พอสมควร ศึกษามาก็มากพอดู หนังสือพวกทฤษฎีวิชาการจ๋าก็อ่านนะ ช่วงแรก ๆ ก็ขี้เกียจเหมือนกัน แต่ก็ต้องอ่านเพราะมันคือ พื้นฐานที่ควรรู้
แต่ผมมักจะชอบอ่านกระทู้ที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์สูงคุยกัน อ่านหนังสือที่บอกถึงประสบการณ์ในการลงทุนของนักลงทุนดัง ๆ หลาย ๆ ท่าน

ผมคิดว่าคุยกับผู้รู้ 1 นาที ดีกว่าอ่านหนังสือ 1,000 หน้า

ตอนแรกเริ่มศึกษาใหม่ ๆ ผมก็กะจะเป็นนักเก็งกำไร แหม ๆ ผลตอบแทนดี ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ ใคร ๆ ก็อยากให้อ่ะเน๊อะ

แต่จากการศึกษาเรียนรู้จากนักลงทุุนท่านอื่น ๆ ผมก็พบว่ามันเป็นไปได้น้อยมาก ที่เราจะชนะตลาดได้มากกว่าแพ้ นอกจากเราจะมี inside หรือเป็นขาใหญ่ ขาปั่น แต่กว่าจะถึงขั้นนั้น คงหมดค่าครูไปมหาศาล

ผมคิดว่า value investment คงจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับผม ก็เลยมาศึกษาแนวนี้ดีกว่า บัญชี การเงิน เศรษฐศาสตร์ การตลาด ก็เคยเรียนมาบ้าง (ต้องขุดถึงจะเจอ) วิชาละ 3-9 หน่วย ก็จะมีโอกาสได้ใช้


บทสรุปที่ได้ก็คือ
ศึกษาหุ้นที่คิดว่าดี ถ้ามันดีก็รอวันที่มันจะตกลงมา แต่พื้นฐานไม่เปลี่ยน แล้วค่อยซื้อ ถือไปจนกว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือเราคิดว่าุหุ้นตัวนี้ไม่ดี หรือมีตัวอื่นที่ดีกว่า ค่อยขาย ระหว่างที่ถือ มีปันผลก็ทะยอยซื้อเพิ่มเพื่อเฉลี่ยต้นทุน ถ้ามันยังดีอยู่ก็ถือมันไปตลอดชีวิต เก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน

ผมจะเล่านิทานให้ฟัง

มีคนอยู่คนหนึ่งอ่านหนังสือตำราการว่ายน้ำอย่างขมักเขม้น
อ่านอยู่เป็นเวลานานจนหนังสือเกี่ยวกับการว่ายน้ำอ่านจนหมดทุกเล่ม
เขาซาบซึ้งเกี่ยวกับการว่ายน้ำและรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวิธีการว่ายน้ำที่ถูกต้อง
แต่เขาไม่เคยแม้แต่เอาขาจุ่มน้ำสักครั้ง!!!!

วันหนึ่งเขาเดินไปที่สะพานไม้เหนือแม่น้ำในหมู่บ้าน
เห็นเด็กๆดำผุดดำว่ายแบบตามีตามเกิด

เขาบอกเด็กเหล่านั้นเด็กพวกนั้นว่ายผิดวิธี
ผิดจากตำรา

เด็กคนหนึ่งบอกเขาว่า ถ้าแน่จริงก็มาว่ายแข่งกันไหม

เขาคิดว่า ว่ายน้ำไม่น่าจะยากอะไร
เขาศึกษาหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับการว่ายน้ำมาแล้ว
เขามั่นใจเต็มที่

ว่าแล้วก็ถอดเสื้อกระโดดลงแม่น้ำทันที

เขาพยายามจะทำตามที่หนังสือบอก
แต่กลับทำไม่ได้

เขาพยายามตะเกียกตะกาย
แต่....สุดท้ายเขาก็จมลง
เพราะเขาไม่เคยแม้แต่เอาขาจุ่มน้ำมาก่อน

แต่โชคยังมี
เด็กที่เขาดูถูกไว้นั้นเป็นผู้ช่วยให้เขารอดจากการจมน้ำตาย

สุดท้ายเขาก็ขอบคุณเด็กพวกนั้น และไม่เคยว่ากล่าวใครอีกเลย

การลงทุนก็เหมือนการว่ายน้ำ
คุณจะไม่มีวันรู้จักการว่ายน้ำ ถ้าคุณไม่เคยลงมือว่าย
ถ้าคุณลงสระ แล้วคุณจะรู้เองว่า คุณควรจะทำอย่างไร
แต่ที่สำคัญ....อย่ากระโดลงแม่น้ำ ถ้าคุณยังไม่เคยลงสระตื้นๆ

ขอให้โชคดีครับ

ลูกอีสาน เขียน: _ลูกอีสาน
หลักการถูก ก็มีโอกาสที่จะไปถึงจุดหมายมากกว่าครึ่งแล้วครับ
ส่วนวิธีการเป็นเรื่องรอง แต่ก็ควรจะสอดคล้องกับหลักการ

หลักการในการลงทุนเน้นคุณค่า คือการลงทุนในกิจการที่ดี มีความสามารถในการแข่งขัน และควรซื้อมาในราคาที่ถูกหรือไม่แพงครับ

จุดพลาดที่ผมสังเกตุหลายครั้ง (แม้แต่ตัวผมเอง) คือมักซื้อที่ราคาไม่ถูกหรือค่อนข้างแพงครับ (margin of safety น้อย) กำไรก็เลยน้อยหรือบางครั้งอาจขาดทุน หากใจไม่แข็งพอที่จะถือเมื่อราคาลดลง


ส่วนการวิเคราะห์ตัวเลข กับวิเคราะห์คุณภาพ
มีความสำคัญทั้งคู่ครับ จะขาดตัวใดตัวนึงไม่ได้
แต่ผมคิดว่าคุณภาพต้องมาก่อนเสมอครับ

การวิเคราะห์ตัวเลข ก็ไม่ยากครับ แค่บวกลบคูณหารเป็น ส่วนงบการเงินต้องพยายามเข้าใจครับ อาจจะไปลงคอร์สเรียน หรือซื้อหนังสือมาอ่านเองก็ได้

การวิเคราะห์คุณภาพ ต้องอาศัยเวลา ติดตามข่าวสาร หนังสือพิมพ์ธุรกิจ ข่าวเศรษศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่ เราก็น่าจะทำอยู่แล้วนะครับ


ทั้งหมดที่กล่าวมา เราคงไม่สามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ครับ ต้องอาศัยเวลาประสบการณ์พอสมควร แม้แต่พี่ เพื่อนๆ ที่นี่ก็ลองผิดลองถูก มาแล้วทั้งนั้น กว่าจะลงเอยอย่างนี้ ไม่ต้องรีบร้อนครับ แต่ก็ไม่ควรผลัดวันประกันพรุ่ง เหมือนผู้รู้กล่าวว่า.....อนาคตเริ่มตั้งแต่วันวาน

ForrestGump เขียน:
ขอบคุณมุมมองดีๆ จากคุณลูกอีสานครับ

ว่าแต่เอ คุณลูกอีสานลงทุนมากี่ปีแล้วครับ แล้วค้นพบแนวทาง VI ในแบบของตัวเอง และมั่นใจการตัดสินใจในการลงทุนในปีไหนครับ

ผมเกรงว่า คนไอคิวต่ำกว่าปกติ(Forrestgump) จะต้องใช้เวลานานเกินแกงน่ะสินครับ
ลูกอีสาน เขียน:
ผมลงทุนมาประมาณ 5 ปี
แต่ติดตามข่าวสารมาตั้งแต่ปี 2530 ครับ
เพราะรู้ตัวเอง ว่าจะต้องมาทางนี้แน่ๆ

โชคร้ายเมื่อลงทุนใหม่ๆขาดทุนมากกว่า 50%
แต่มีโชคดีที่ตอนนั้น ยังมีเงินลงทุนไม่มาก เจ็บตัวก็เลยไม่มาก
ผมลงทุนครั้งแรกๆ ก็ลงทุนในแนวนี้เลย แต่ตอนนั้นตลาดยังอยู่ในช่วงขาลง
ก็เลยขาดทุนมาก ไม่ว่าซื้อหุ้นดีหรือไม่ดี
พอตลาดกลับตัว ก็เลยได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้บ้าง
หลังๆก็เลยมั่นใจในแนวทางนี้ครับ และโชคดีที่ได้เจอเพื่อนๆที่นี่ด้วย

ผมเป็นคนเรียนรู้ช้าครับ อ่าน-เรียน ครั้งแรกๆ มักไม่เข้าใจ ต้องอ่านซ้ำๆครับ
จบมหาลัยบ้านนอก ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.56 มาหาความรู้เพิ่มเติมที่ ม.รามคำแหง ตามประสาคนเงินน้อยครับ เพื่อนๆ หลายท่านที่นี่ คงมีโอกาสดีกว่าผม ดังนั้นไม่น่าจะมีข้อสงสัยเลยครับ ที่จะเรียนรู้จนประสบความสำเร็จมากกว่าผมครับ..
Mon money เขียน:


หลักการมากับความหนักแน่นของจิตใจครับ เชื่อว่าคุณมีหลักการที่ดีแล้วเห็นว่ากำลังฝึกจิตใจให้มั่นคง ลองเล่นเก็งกำไรกับหุ้นที่ขึ้นลงแรงๆและไม่ไหวหวั่นบ้างไหมละครับ แต่บอกก่อนนะว่าไม่เป็นผลดีต่อสุ๘ภาพจิตและกระเป๋าของคุณ ทางที่จะฝึกจิตใจที่ดีที่ผมใช้ได้ผลคือ เมื่อพบหุ้นดีๆ ตรวจสอบแล้วว่าซื้อได้ ผมจะยังไม่ซื้อเลย แต่เฝ้ามองนานแค่ไหนก็รอและมองทุกวันด้วย เมื่อVolumeจางๆ ราคานิ่งๆไม่ไหวติงเป็นเวลานานแรมเดือนแล้วผมถึงจะลุย เมื่อก่อนเจอก็ลุยเลย จุกเหมือนกัน อันนี้ต้องทนกว่าอันแรก ผมชอบหุ้นดีๆที่กำลังลง ไม่ชอบหุ้นที่ดีที่กำลังขึ้น ผมชอบรอ

ทั้งหลักการและวิธีการต้องเหมาะกับคุณ ว่ายน้ำก็ต้องมีท่าที่คุณถนัดที่สุด ต้องลองถึงจะเจอ ส่วนผมกับคุณวิบูลย์ลองมาแล้วทุกกระบวนท่า สรุปว่าเราเหมาะกับการรอและอดทนจริงๆ เราไม่ใช่นักรบประจันบาน เราคือเสนาธิการวางแผนในกระท่อมบัญชาศึกหมื่นลี้ครับ ดังนั้นประจันบานทีไรตายสนิททุกที

แนวของผมเอาไปใช้ได้ไม่ว่า แต่ต้องหาตัวเองให้เจอนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
harry
Verified User
โพสต์: 4200
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1267

โพสต์

:cry: :cry: ซึ้ง อ่านแล้วอ่านอีก ก็ยังดีเหมือนเดิม อยากให้มีมีตติ้งเร็ว ผมเชื่อว่าหลายๆคนอยากเจอพี่วิบูลย์ พี่มน พี่ฉัตรชัย พี่ลูกอีสานครับ

อยากให้ทางเว็บ มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของเว็บ เพื่อเวลาไปเยี่ยมชมบริษัท หรือให้สมาชิกได้มีสิ่งของไว้แสดงความเป็นสมาชิก แล้วจะหาพวกสิทธิพิเศษอะไรค่อยว่ากันทีหลังครับ
Expecto Patronum!!!!!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
ch_army
Verified User
โพสต์: 1352
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1268

โพสต์

ทำเป็นสติกเอร์ดีไหมครับคุณแฮรรี่
http://inspirationword.blogspot.com

-กำลังใจ มีอยู่ในตัวคุณ-
-พัฒนาทัศนคติ สู่ชีวิตแห่งชัยชนะ-
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1269

โพสต์

ทำเสื้อยือคอปก สกีนยีห้อVIกันดีไหม เอ้าใครก็ได้เป็นแม่งานหน่อยดิ ผมขอเป็นฝ่ายสนับสนุน
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ch_army
Verified User
โพสต์: 1352
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1270

โพสต์

งั้น เปิดอีกกระทู้ดีไหมครับว่า เราควรมีของฝากประจำ เวปเป็นอะไรดีเป็นโพลเลย เรียกให้คนเสนอของก่อนแล้วโหวตทีหลัง เสร็จแล้วค่อยหาอาสาสมัครมีตีราคาแล้วก็ออกแบ พร้อมจ้างผลิตเผื่อใครมีธุรกิจส่วนตัวก็เอาออเดอร์ไปได้จะได้ช่วยๆกัน
http://inspirationword.blogspot.com

-กำลังใจ มีอยู่ในตัวคุณ-
-พัฒนาทัศนคติ สู่ชีวิตแห่งชัยชนะ-
ภาพประจำตัวสมาชิก
harry
Verified User
โพสต์: 4200
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1271

โพสต์

Mon money เขียน:ทำเสื้อยือคอปก สกีนยีห้อVIกันดีไหม เอ้าใครก็ได้เป็นแม่งานหน่อยดิ ผมขอเป็นฝ่ายสนับสนุน

ผมมีเพื่อนทำเสื้ออยู่ แต่ไม่รู้ว่าใครจะหาได้ถูกกว่า จริงๆน่าจะเป้นรูปโลโก้เว็บนะครับ หรือไม่ก็ชื่อเว็บธรรมดา แต่เห็นชัดๆ
Expecto Patronum!!!!!!
sunrise
Verified User
โพสต์: 2266
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1272

โพสต์

:D

กระทู้นี้ เข้ามากี่ครั้งๆ ก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ความรู้ดีๆเสมอจริงๆครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
THiNK
Verified User
โพสต์: 107
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1273

โพสต์

Sunrise เขียน:เรียนวิศวะจบมา ไม่ได้ใช้เลย
เสียดายเหมือนกัน
ผมมองเห็นสองประเด็นในความคิดนี้

ประเด็นแรก
หากมองเป็นเรื่องเฉพาะทาง หรือสาขาอาชีพ อาจจะถูกต้องที่เป็นความผิดพลาดของการศึกษาที่เรียนมาแล้วไม่ได้ใช้
แต่ในพื้นฐานของการศึกษา ให้มากกว่านั้น และควรจะได้มากกว่านั้น
แม้แต่คนจบวิศวะเอง ทำงานวิศวะยังต้องเรียนรู้อีกมากในงานจริง
ดังนั้น สิ่งที่การศึกษาในโรงเรียนควรจะให้และคนเรียนควรจะเรียนคือ วิธีการคิดและการหาความรู้
หากมองในแง่นี้แล้ว วิชาภาษาไทย สังคม ก็มีความสำคัญพอๆกับคณิตศาสตร์ สำหรับวิศวะ
ดังนั้น สิ่งที่เรียนมา ไม่ว่าจะตรงกับสิ่งที่ทำหรือไม่ ย่อมไม่ไร้ประโยชน์
หาไม่แล้ว เมื่อออกจากโรงเรียน คนเราจะหยุดพัฒนา ...
ความฝันของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของท่านนายก ก็ไปไม่รอด


...ยกตัวอย่าง กระทู้นี้หลายๆคนไม่ชอบเพราะไม่มีสูตรสำเร็จ
...เนื่องจากการศึกษาไทยสอนสูตรสำเร็จมากเกินไปหรือเปล่า


ประเด็นที่สอง
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของการพัฒนาคนทางด้านเทคนิคของเมืองไทยคือ ความก้าวหน้าของสายอาชีพ
คนที่จะก้าวหน้าไปได้ดีและเร็วในสายอาชีพในเมืองไทย คือสายของบริหาร
หรือคิดไปเองก็ไม่รู้ แต่หากจะเติบโต เราต้องเป็นผู้บริหาร
นั่นทำให้คนทำงานด้านเทคนิคที่เก่งๆยากที่อยู่ในงานที่ตนชอบ
หรือเปลี่ยนความชอบ ความฝันของคนเมื่อเวลาผ่านไป
คิดถึงคนที่มีประสพการณ์ยาวนานและมีความสามารถขึ้นไปเป็นผู้บริหาร
ถึงเวลาที่พร้อมจะต่อยอด จากผู้ปฎิบัติ ไปเป็นผู้ค้นคว้าได้ คนเหล่านี้สูญไปมากต่อมาก

... หรือผมคิดมากไปเอง ...
yuttana3152
Verified User
โพสต์: 73
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1274

โพสต์

สวัสดีพี่ๆทุกคนครับ ผมติดตามกระทู้นี้มาตลอดตั้งแต่ต้นแต่ไม่เคยถามเลย รู้ตัวว่ายังไม่มีความรู้มาก กำลังพยายามอ่านหนังสือต่างๆที่ทุกท่านแนะนำอยู่ครับ เคยไป TVI meeting 1 ครั้ง อยากถามทุกท่านว่า
1 ผมจะหางบการเงินย้อนหลัง 5 ปีได้จากที่ไหนครับ ตอนนี้เป็นสมาชิก kimeng แต่ดูได้แต่ราคาและ ratio บางตัวย้อนหลังได้เท่านั้นครับ
2 ในการจะเข้าใจอุตสาหกรรมที่เราอยากจะลงทุน นอกจากอ่าน 56-1 ของบ่ริษัทที่เราเล็งไว้และ อ่านนสพ.ต่างๆ จะมีแหล่งข้อมูลไหนอีกบ้างครับ ที่รวบรวมเรื่องต่างๆของอุตสาหกรรมนั้นๆ(บางทีอยากจะเข้าใจอุตสาหกรรมนั้นอย่างรวดเร็ว)
ขอบคุณครับ
sunrise
Verified User
โพสต์: 2266
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1275

โพสต์

THiNK เขียน:
... หรือผมคิดมากไปเอง ...
ไม่ได้คิดมากหรอกครับ ก็แชร์ความคิดกัน
คือผมเสียดายที่รัฐบาล เสียภาษีให้ผมเรียนตั้งสี่ปี และก็เสียดายวิชาความรู้ที่เรียนมาครับ
ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องพึ่งตัวเองแล้ว ต้องไม่พึ่งที่บ้านแล้วน่ะครับ
แต่ตอนที่ไปได้งานจากบริษัท ก่อสร้างมหาชน ผลตอบแทนรับไม่ได้ครับ
ถ้าจำไม่ผิดนะครับ 6900 บาท และค่า กว ที่ไม่ได้เป็นเงินเดือนอีก 2000 บาทครับ
เลยต้องสละสิ่งที่เรียนไปทำงานอย่างอื่นครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1276

โพสต์

yuttana3152 เขียน:สวัสดีพี่ๆทุกคนครับ ผมติดตามกระทู้นี้มาตลอดตั้งแต่ต้นแต่ไม่เคยถามเลย รู้ตัวว่ายังไม่มีความรู้มาก กำลังพยายามอ่านหนังสือต่างๆที่ทุกท่านแนะนำอยู่ครับ เคยไป TVI meeting 1 ครั้ง อยากถามทุกท่านว่า
1 ผมจะหางบการเงินย้อนหลัง 5 ปีได้จากที่ไหนครับ ตอนนี้เป็นสมาชิก kimeng แต่ดูได้แต่ราคาและ ratio บางตัวย้อนหลังได้เท่านั้นครับ
ในเวปของกิมเอ็ง
ให้เข้าไปดูใน News
จะมีงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนย้อนหลังเป็น 10 ปีครับ
yuttana3152 เขียน:2 ในการจะเข้าใจอุตสาหกรรมที่เราอยากจะลงทุน นอกจากอ่าน 56-1 ของบ่ริษัทที่เราเล็งไว้และ อ่านนสพ.ต่างๆ จะมีแหล่งข้อมูลไหนอีกบ้างครับ ที่รวบรวมเรื่องต่างๆของอุตสาหกรรมนั้นๆ(บางทีอยากจะเข้าใจอุตสาหกรรมนั้นอย่างรวดเร็ว)
ขอบคุณครับ
นอกจาก 56-1 และนสพ
ก็คงต้องหาเอาเองละครับ
เพราะไม่คิดว่าจะมีที่ไหนที่มีข้อมูลของอุตสาหกรรมทุกประเภทในตลาดหุ้นอยู่ในที่เดียว

จากประสบการณ์พบว่าการสอบถามจากผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมนั้น
ก็ได้ประโยชน์มากที่เดียว
ทั้งที่ทำงานอยู่ปัจจุบัน และที่เคยทำแล้วออกไปแล้ว

เรียกว่าการทำ Scuttlebutt
ลองหาอ่านบทความเก่าๆใน Bizweek ดูครับ
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1277

โพสต์

เอามาฝาก ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านกันหรือยัง
อ่านอีกรอบก็ดีนะครับ

...........................................................................................................

เซียนหุ้น' สอนรายย่อยลงทุน
วิกรม....

"การลงทุนในหุ้นต้องยึดหลัก ความจริง ความงาม และความรัก"

สุวภา...

"การลงทุนในหุ้นก็เหมือนเพลง "จงรัก" ไม่ให้ถามหาอดีต แต่ให้มองไปยังอนาคต"

นิเวศน์...

"หลักซื้อหุ้นเหมือนเลือกธุรกิจ คิดเสียว่า ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย กล้าซื้อมั้ย"

----เซียนหุ้น' สอนรายย่อยลงทุน

"ตลาดหุ้นเปิดโอกาสให้กับทุกคน แต่มิใช่ทุกคนจะเหมาะกับตลาดหุ้น"

เป็นคำกล่าวของ "วิกรม เกษมวุฒิ" เซียนหุ้นรุ่นเก๋าอีกคนหนึ่งในแวดวงตลาดหุ้นไทยที่ต้องการจะย้ำเตือนว่า ไม่ใช่นักลงทุนทุกคนหรอกจะประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทองกับการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นเสมอไป

แต่ตลาดหุ้นก็ยังเป็นแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่หอมหวลยวนใจให้ผู้ลงทุนเข้ามาแสวงหาผลกำไร ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลังเสียทีเดียว หากผู้ลงทุนได้เรียนรู้อย่างจริงจัง

ส่วนหนึ่งของประสบการณ์และคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้น จากปากเซียนหุ้นพันธุ์แท้ เช่น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ วิกรม เกษมวุฒิ หรือแม้แต่ผู้อยู่เบื้องหลังการนำหุ้นใหม่เข้าตลาด และอดีตผู้จัดการกองทุนรวม อย่าง สุวภา เจริญยิ่ง น่าจะนำมาเป็นแนวทาง หรือ "กลยุทธ์" ลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยได้ไม่น้อย

หลักในการลงทุนของเซียนหุ้นพันธุ์แท้อย่างวิกรม เขายึด 3 อย่างเป็นคติประจำใจ คือ ความจริง ความงาม และความรัก ซึ่งเป็นคำกล่าวของนักปรัชญกรีกผู้ยิ่งใหญ่ "พลาโต้" ซึ่งเขานำมาใช้ประยุกต์เข้ากับการลงทุน

เขาแนะนำว่าเวลาซื้อหุ้นนักลงทุนต้องรู้ข้อมูลของบริษัทอย่างแท้จริง ต้องดูว่าผู้บริหารบริษัทงามจริงหรือไม่ กล่าวคือต้องไม่คดโกงและต้องโปร่งใส และผลิตภัณฑ์สินค้าของบริษัทจะต้องเป็นที่รัก รู้จักและนิยมของคนทั่วไป

พลาโต้กล่าวไว้เมื่อ 2000 ปีก่อนว่า ชีวิตคือความจริง ความงาม และความรัก นักลงทุนควรยึดคตินี้ไปใช้ประยุกต์การลงทุนในหุ้นได้ เพราะเมื่อซื้อหุ้นต้องรู้จริงว่า เขาทำอย่างไร เช่น หุ้นมาม่า ทำบะหมี่ ผู้บริหารงานไม่เคยโกงใครให้เห็นมาก่อน และผลิตภัณฑ์ทุกคนเป็นที่รักของมวลชน เหล่านี้นำมาปรับใช้เป็นหลักการลงทุนได้

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนของเซียนหุ้นอย่าง "ดร.นิเวศน์" จะเน้นกลยุทธ์เลือกหุ้นแบบมองกิจการระยะยาวและถือลงทุนอย่างน้อย 5 ปี โดยดูความสามารถในการทำ "กำไร" ของบริษัท และการจ่าย "ปันผล" ให้แก่ผู้ถือหุ้น

ประการแรก กิจการที่ลงทุนนั้นๆ ในระยะยาวจะต้องมีกำไร เนื่องจากจะเป็นตัวผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น

"วิธีการลงทุนจึงต้องดูว่าเขามีกำไรต่อหุ้น เช่น เขามีกำไรต่อหุ้น 20 บาท ต้องดูว่าราคาหุ้นเหมาะสมเท่าไร สมมติกำไรต่อหุ้น 20 บาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาท เท่ากับเราได้กำไร 20% ต่อปี ตรงนี้ต้องเปรียบเทียบว่า เราพอใจมั้ย"

ประการต่อมา ให้ดูว่าเมื่อบริษัทมีกำไรแล้วได้มีการแบ่งปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือไม่ อย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น ปีหนึ่งบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 20 บาท ได้แบ่งกำไรจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นปีละ 5 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 5% จากเงินลงทุน 100 บาท

เมื่อตั้งเป้าไว้ว่า หุ้นตัวนี้ซื้อมาได้กำไรประมาณปีละ 20% โดยได้กำไรปีละ 5% อีก 15% เขาเก็บไว้ ก็จะทำให้ราคาหุ้นโตขึ้นไปปีละ 15% ถ้าเราลงทุนในระยะยาวก็จะได้ผลตอบแทนปีละ 5% และได้ผลตอบแทนจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอีกปีละ 15%

แสดงว่า บริษัทมีกำไรแน่ เพราะกิจการนี้ดีขึ้นอย่างน้อยได้ผลตอบแทน 20% ต่อปี แต่ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะผันผวนขึ้นลงได้ ขณะที่ในระยะยาวต้องมั่นใจด้วยว่า ผลตอบแทนจะต้องปรับตัวขึ้นตามกำไรของบริษัทที่เกิดขึ้นแน่นอน

ส่วนในมุมมองของ "สุวภา" การลงทุนในหุ้นเหมือนกับเพลง "จงรัก" คือ ไม่ให้ถามหาอดีต แต่ให้มองไปยังอนาคตข้างหน้าเป็นหลัก แต่พอเวลาเลือกหุ้นให้ใช้แบบการซื้อรถยนต์หรือเลือกแบงก์ฝากเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

"เมื่อไรที่ซื้อหุ้นก็เหมือนกับการซื้ออนาคต หลายคนมองหุ้นจากอดีตเพราะคิดว่าในอนาคตจะดีเหมือนอดีต จริงๆ ไม่ควรมองอดีตแต่ควรดูว่ามีอนาคตหรือเปล่า ส่วนการเลือกหุ้นก็ไม่แตกต่างจากการเลือกรถยนต์ หรือเลือกแบงก์ฝากเงิน

ถามว่า เวลาเลือกรถยนต์ทำไมเลือกแบบนี้ รุ่นนี้ ทั้งๆ ที่มีตั้งหลายแบบ ทำไมเราใช้คันที่เราใช้อยู่ นั่นเพราะว่าคันที่เราใช้เหมาะกับเราที่สุด ด้วยเม็ดเงินที่เรามี ความสบายใจที่มี หรือบัตรเอทีเอ็มทำไมเราเลือกแบงก์นี้"

หลักการเลือกหุ้นของสุวภา นอกจากมองอนาคตของหุ้นและโครงสร้างบริษัทที่ดีแล้ว กิจการนั้นๆ จะต้องมีทีมงานผู้บริหารดี ซึ่งดูได้จากวิธีการทำงาน การเปิดเผยข้อมูล และจะต้องปกป้องเงินโดยต้องติดตามผล ต้องตั้งเป้าหมายว่ากำไรเท่าไรถึงพอใจ ขาดทุนเท่าไรจึงรับได้ ซึ่งหากขาดทุนให้ถอยไปตั้งหลักก่อน

กลยุทธ์การลงทุนของสุวภา จึงต้องเป็นทั้งเชิงรุกและรับไปพร้อมๆ กัน

ส่วนนักลงทุนรายย่อยควรจะเลือกหุ้นอย่างไร ประเภทใดนั้น วิกรม แนะนำว่า ต้องมองธุรกิจก่อนว่าบริษัทมีหลักการทำธุรกิจเป็นอย่างไร โดยมีข้อสังเกตว่า ธุรกิจนั้นจะต้องเข้าใจง่ายและเป็นที่รู้จัก มีประวัติการดำเนินงานคงเส้นคงวา เช่น ปูนซีเมนต์ใหญ่ หรือธุรกิจบะหมี่มาม่า และธุรกิจนั้นต้องมีอนาคตดีเป็นที่น่าพอใจ

แต่ที่สำคัญสุดก็คือ ผู้บริหารโปร่งใส และมีฐานะการเงินที่ดี

"วิธีดูว่าหุ้นตัวนั้นน่าลงทุน ให้ดูสัดส่วนกำไรสุทธิต่ออัตราส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE (Return on Equity) ให้มองไปที่ 15% เป็นเกณฑ์ เพราะถือว่ากำไรใช้ได้"

จากนั้นให้ดูที่ค่า พีอีเรโช (Price Ratio) หรือราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น ถ้าหากค่าพีอี 25 เท่า ถือว่าสูงเกินไป แต่ถ้าต่ำกว่า 10 เท่า สามารถเลือกลงทุนได้

"หากหุ้นตัวนั้น ROE อยู่ที่ 15% ขึ้นไป และมีค่าพีอีเรโชไม่เกิน 10 เท่า ผมจะเริ่มสนใจมากๆ ขึ้น เป็นวิธีดูเบื้องต้น"

ประการต่อมา ให้มองกำไรสุทธิต่อหุ้น และจ่ายเป็นปันผลเท่าไร

วิกรมจะเลือกหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นเริ่มจาก 2-5% แต่หาก 4% ขึ้นไปถือว่าดีและน่าสนใจ นอกจากนั้น จะดูจำนวนหุ้นที่ซื้อขายต่อวัน หรือสภาพคล่องการซื้อขายประกอบด้วย

"ดูว่าจำนวนหุ้นมันพอที่จะให้เราซื้อขายได้มั้ย ถ้าหุ้นฝืดเดือนหนึ่งไม่เคยซื้อขาย ก็ไม่ควรจะสนใจลงทุน เพราะจะต้องถือไปตลอดชีวิต หุ้นตกไม่กลัว แต่กลัวขายหุ้นไม่ได้มากกว่า"

ขณะที่ ดร.นิเวศน์ มีมุมมองที่แตกต่างไปบ้าง โดยเขาเห็นว่า หากหุ้นตัวไหนมีผู้สนใจมาก คนนิยมมาก จะไม่ให้ความสนใจซื้อ

"ส่วนใหญ่คนไทยเป็นนักเก็งกำไร หากซื้อแล้วโอกาสที่จะได้กำไรมากๆ เป็นไปได้ยาก โดยทฤษฎีแล้วคนส่วนใหญ่จะรวยไม่ได้ แต่ถ้าภาวะตลาดดีคนส่วนใหญ่รวยได้ ขณะที่คนส่วนน้อยจะรวยได้ แม้ว่าตลาดไม่ดี"

ฉะนั้น หากต้องการเป็นคนส่วนน้อยและอยากรวยมาก ดร.นิเวศน์ บอกแนวทางการลงทุนไว้ว่า อย่าลงทุนใน "หุ้นยอดนิยม" ซึ่งอาจไม่ใช่หุ้นที่ดีเท่าไร เพราะจะมีการเก็งกำไรมาก และราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากกว่าพื้นฐาน ทำให้เป็นหุ้นไม่ดี เมื่อถึงเวลาราคาก็จะตกได้ง่ายกว่า เช่น มีกำไรปีละบาทเดียว แต่ราคาหุ้นขึ้นไป 100 บาท เท่ากับ 1% ต่อปี

แต่ก็ใช่ว่า หุ้นที่คนไม่เล่นจะเป็นหุ้นไม่มีอนาคตเสมอไป จริงๆ อาจเป็นหุ้นที่มีกิจการดี แต่สภาพคล่องต่ำ ทำให้ราคาต่ำผิดปกติ

"หลักการซื้อหุ้นเหมือนเลือกธุรกิจ คิดเสียว่า ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย กล้าซื้อมั้ย แต่จะได้รับเงินปันผลไปเรื่อยๆ ไม่มีคนซื้อก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อกิจการดีขึ้นคนก็จะเข้ามาซื้อเอง ผมทำอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี ซื้อกิจการที่ไม่มีสภาพคล่องดีเท่าไร ก็ไม่มีปัญหา เวลาอยากจะขายก็ขายได้ มีกำไร นี่คือวิธีการที่จะสร้างกำไรได้มากกว่าคนอื่น"

ทฤษฎีการลงทุนอีกอย่างของ ดร.นิเวศน์ ก็คือ เวลาจะลงทุน "อย่า" ตามคนอื่น

เขากล่าวว่า หากคนแนะนำอะไรอย่าเชื่อทันที แต่ให้คิดให้ดีเสียก่อน โดยให้นำเอาคอนเซ็ปท์มาใช้และให้ใช้เหตุผลเสียก่อน เพราะคนพูดจากเหตุการณ์ที่ซื้อแล้วกำไรมหาศาล เรามาซื้อทีหลังอาจไม่คุ้มแล้ว ต้องคิดเสียก่อน เวลาทำอะไรต้องดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

เมื่อมีกลยุทธ์การลงทุนที่ดีจากเซียนหุ้นที่ประสบความสำเร็จแล้ว นักลงทุนรายย่อยจะต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ตัวเองด้วย

ภูมิคุ้มกันไม่ให้เกิดขาดทุนที่บรรดาเซียนหุ้นอย่าง "วิกรม" และ "ดร.นิเวศน์" ยึดเป็นแนวทางลงทุนตลอดมาก็คือ จะต้องลงทุนระยะยาวไว้ก่อนจะลดความเสี่ยงได้มาก

มีผลการเก็บสถิติผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นระยะยาว 75 ปี บอกว่า ถ้าถือหุ้นยาวในตลาดหุ้นอเมริกาให้ผลตอบแทน 7% เยอรมนี 6.4% อังกฤษ 6% ญี่ปุ่น 2.9% ทั้งหมดนี้บอกว่าการลงทุนระยะยาวประเสริฐ และให้ผลเป็นบวกทั้งสิ้น

"เราจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองปลอดภัยไม่ให้ขาดทุน คืออย่าไปนั่งห้องค้าโบรกเกอร์ เพราะจะถูกแรงเชียร์หุ้น ทำให้ซื้อตามเขาไป และจะเป็นการซื้อหุ้นรายวันหรือเดย์ เทรด แต่ควรจะลงทุนระยะยาวมากๆ จากสถิติที่แสดงเป็นเวลา 150 ปี แสดงให้เห็นว่า ลงทุนในหุ้นจะขาดทุนเพียง 0.05% และหุ้นขึ้นจะไปสูงสุด 0.15% ฉะนั้น วันหนึ่งหุ้นขึ้นลง บวก ลบเท่านี้ แต่ซื้อขายรายวันจะมีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท่านั้น" วิกรม กล่าว

สำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันของนักลงทุนแบบ Value Investor อย่าง ดร.นิเวศน์ จะถือหุ้นไว้เป็นมรดกให้กับลูกหลานเพื่อรอรับเงินปันผล โดยไม่ได้มีการกำหนดเวลาตายตัว แต่เงินลงทุนในหุ้นจะอยู่ตลอดชีวิต อาจเปลี่ยนหุ้นลงทุนไปบ้าง แต่จะมีหุ้นไปตลอดชีวิต เหมือนกับการมีบ้านที่ต้องอยู่กับเราตลอดชีวิต

"การกำหนดแนวทางลงทุน ควรถือหุ้น 5 ปี คิดว่าลงทุนให้ได้ปีละประมาณ 15% ก็หวังว่า ลงทุนวันนี้ที่ราคา 100 บาท อีก 5 ปี จะได้ 200 บาท แต่ถือหุ้นระยะยาวต้องเป็นหุ้นที่ดีมีกำไร มีปันผลและแนวโน้มธุรกิจจะต้องเติบโตขึ้นแน่ ซึ่งเรารู้ได้จากการใช้สินค้าทุกวัน" ดร.นิเวศน์ กล่าว

นักลงทุนต้องรู้จักอดทน และคิดว่าลงทุนเพื่อรับปันผล และผลตอบแทนราคาหุ้นขึ้นไป ต้องมีเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงขึ้นไป เป็นเพราะบริษัทมีกำไร 20% แบ่งให้ผู้ถือหุ้นปีละ 5% ส่วนอีก 15% เก็บไว้ไปสร้างกำไรต่อ เมื่อใดที่กิจการมีกำไรมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มตาม จึงควรถือยาวให้ราคาหุ้นขึ้นเรื่อยๆ จะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การสร้างภูมิคุ้มกันก็อาจ "ผิดพลาด" ขาดทุนกันได้เช่นกัน ทางออกอย่างหนึ่งที่เซียนหุ้นแนะนำก็คือ ควรจะถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัวขึ้นไป และไม่ควรถือหุ้นเดียว

"นักลงทุนต่างจากนักเก็งกำไร ตรงที่จะซื้อหุ้นตัวเดียว ซึ่งมีโอกาสพลาดได้มาก เพราะไม่มีใครรู้อนาคตจะเป็นเช่นไร แต่หากซื้อ 5 ตัว โอกาสที่จะเกิดเหตุร้ายทั้งหมดเป็นไปได้ยาก อาจมีบางตัวที่ไม่ดีได้ และการลงทุนในเวลานี้เป็นโอกาสที่ดี เพราะเราผ่านวิกฤติมาแล้ว อย่างในอเมริกาก็เกิดการตกต่ำเหมือนไทย เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาเกิดการขาดทุน แต่หลังจากนั้น การลงทุนระยะยาวได้ให้ผลตอบแทนดีมาก" ดร.นิเวศน์ กล่าว

แนวทางในการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความกลัว ทำให้ซื้อเร็ว ขายเร็ว

นอกจากนั้น "ความโลภ" ก็เป็นตัวอันตรายต่อการลงทุน

"บางทีตั้งใจว่าจะขายทำกำไร 10% เช่น ซื้อที่ราคา 50 บาท พอขึ้นไป 55 บาท ควรจะขาย แต่เกิดความโลภไม่ขาย พอขึ้นไปอีก 57 บาท ไม่ขายอีก แต่พอราคาตกมา 55 บาทยังไม่ถึงเป้าไม่ขายเสียดาย พอราคา 50 บาทเท่าทุน ก็รอว่าจะขึ้น แต่พอ 48 บาท ขายเลย" สุวภา กล่าว

สุวภา กล่าวว่า ความกลัวนั้นสามารถขจัดได้ เพราะเกิดจากความไม่รู้ วิธีทำได้คือทำให้รู้ว่าทำไมราคาไหนเหมาะสม ความผันผวนอาจมีบ้างต้องยอมรับ แต่ความโลภ ต้องแก้ด้วยการมีสติ เมื่อนั้นตังค์ก็จะตามมา

"เหมือนกับซื้อมา 10 บาท พอราคาตกเป็น 2 ถามว่า พอตกลงมา 8 บาท ทำไมไม่ขายไปเสียก่อน"

การลงทุนในหุ้น จึงควรตั้งเป้าหมายกับเงินก้อนที่ลงทุนในหุ้นว่า ควรจะมีกำไร หรือขาดทุนเท่าไร จึงจะขายทำกำไรหรือขายขาดทุน

"อาจให้เวลา 3 ปี กับเงินลงทุนก้อนนี้ เช่น ดัชนี 300 จุด ตั้งเป้าว่าจะขึ้นไป 600 จุดในเวลา 3 ปี หรือคิดเป็นผลตอบแทน 33% ต่อปี ถ้าตั้งใจตรงนี้จะทำอย่างไรให้ได้ 33% ก็ควรตั้งใจไว้เลยว่า เมื่อไรที่ดัชนีไปถึง 600 จุด ฉันขายเอากำไร

ขณะเดียวกันต้องถามดูว่า คุณรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้เท่าไร และเงินตัวนี้กันออกมาแล้วไม่เดือดร้อน เวลา 3 ปี รับความเสี่ยงได้ปีละประมาณ 10.5% ถ้าขาดทุน 50% รับได้มั้ย หรือถ้าหากดัชนีจาก 300 จุด ลงมา 150 จุด ขายทิ้ง เอาครึ่งหนึ่งได้หรือเปล่า คือเราต้องตั้งเป้าหมายการลงทุน และต้องมีวินัยลงทุน ศึกษาให้รอบคอบ" สุวภา กล่าว

หากลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมีเป้าหมาย มีสติและมีวินัยการลงทุน จะทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีสุด เพราะเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่ต้องนั่งบริหารโดยตรง เพียงแต่ลงทุนผ่านตลาดหุ้นเท่านั้น

แต่ผู้ลงทุนก็ต้องมีหลักการลงทุนและรู้กลยุทธ์การลงทุนที่ดีด้วย จึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี

from Biz&Money
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1278

โพสต์

ชายผู้ทำนาย "อนาคต" จาก "อดีต" ....วิกรม เกษมวุฒิ
โดย นาฏยา ปานเฟือง

เลือกหุ้น...Tomorrow Never Die !!! หุ้นที่ไม่มีวันตาย...พอร์ตไม่มีวันเจ๊ง

"หุ้นปูนใหญ่" มีลักษณะเป็นหุ้นที่ "ไม่เคยสายที่จะลงทุน ถือหุ้นปูนใหญ่" ลงทุนเมื่อไรก็ได้กำไร ถ้าหากถือลงทุนระยะยาว

********************

ถ้า "โค้ก" คือ หุ้น "Tomorrow Never Die !" หรือหุ้นที่ไม่มีวันตาย ! สำหรับสุดยอดเซียนหุ้นบรรลือโลกอย่าง "วอร์แรนท์ บัฟเฟตต์" "หุ้นปูนซิเมนต์ไทย"(SCC) ก็คือ สุดยอดหุ้นดีที่สุดที่ "เซียนสถิติ...วิกรม เกษมวุฒิ" ยกย่องให้เป็นหุ้นที่ไม่เคยตายไปจากตลาดหุ้นไทย

*******************

"Shelby goes to Wall Street" เป็นหนังสือเกี่ยวกับตลาดหุ้นเล่มแรกที่ "วิกรม เกษมวุฒิ" หยิบขึ้นมาอ่านเมื่อปี 2504

หนังสือเล่มดังกล่าวเป็นเรื่องของเด็กชายอายุ 9 ขวบ ขอให้พ่อพาไปวอลล์สตรีท หลังจากนั้นวิกรมก็ตัดสินใจที่จะค้นหาความลับซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบ้าง

ปัจจุบัน "วิกรม เกษมวุฒิ" ทำงานเป็นที่ปรึกษางานด้านประวัติศาสตร์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กว่า 40 ปีเขาได้ทุ่มเทชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้นทั่วโลก

วิกรม คือหนึ่งใน "เซียนสถิติ"...แถวหน้าของเมืองไทย ที่อุทิศตัวเพื่อย่ำเท้าไปตามเส้นทางเดียวกับ "วอร์แรนท์ บัฟเฟตต์" สุดยอดนักลงทุนวัย 73 ปี ผู้มีความมั่งคั่งถึง 42 พันล้านเหรียญ หรือ 1.68 ล้านล้านบาทจากหุ้น "เบิร์กไชร์" บริษัทโฮลดิ้งที่ไปลงทุนในบริษัทอื่น(คล้ายชินคอร์ป)

วอร์แรนท์เป็นนักลงทุนเพียงคนเดียวที่สร้างความร่ำรวยจากตลาดหุ้น จนกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก เบิร์กไชร์" เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หลายบริษัทในตลาดหุ้นนิวยอร์กที่มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 37,265 ล้านเหรียญหรือ 1.49 ล้านล้านบาท

เช่นหุ้น โคคา-โคลา ยิลเลตต์ อเมริกันเอ็กซ์เพรส เวลฟาร์โก วอลล์ดิสนีย์ และหุ้น วอชิงตัน โพสต์ ที่ทำกำไรสูงสุดถึง 109 เท่า

ตามความเชื่อของวิกรม เขาคิดว่า "ดาบดีมี 2 คม จะเป็นคุณเป็นโทษก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้" เพราะอดีต คือ ความจริงที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย วิกรมเชื่อเช่นนั้น ในเมื่อไม่มีใครทำนายอนาคตได้ อดีตก็น่าจะเป็นเครื่องบอกทางที่ดีที่สุดใช่หรือไม่

วิกรม บอกว่า ตลอด 38 ปีที่วอร์แรนท์ บัฟเฟตต์ลงทุนมีกำไรถึง 6,000 เท่า และมีนักลงทุนจำนวนมาก เชื่อถือและลงทุนตามคำแนะนำของเขา

"จากเงินลงทุนครั้งแรกที่ 13 เหรียญต่อหุ้น หรือหุ้นละ 540 บาทเมื่อปี 2508 ลงทุนจำนวน 100 หุ้น จนถึงเมื่อต้นปี 2541 ราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุดที่ 8 หมื่นเหรียญ หรือหุ้นละ 3 ล้านบาท คิดผลกำไรเป็นเม็ดเงินถึง 300 ล้านบาท จากถือหุ้นเพียง 100หุ้น เท่านั้น"

หลักการลงทุนของบัฟเฟตต์จะยึดหลัก 4 ข้อก่อนตัดสินใจลงทุน คือ หลักการทางธุรกิจ การบริหาร การเงินและการตลาด

การเลือกลงทุนในแง่ "ธุรกิจ" ของเขาจะเน้นธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย มีประวัติการดำเนินงานที่ดี สม่ำเสมอ มีแนวโน้มการทำกำไรระยะยาวเป็นที่น่าพอใจ หุ้นที่เขาถือจึงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน จึงหนีไม่พ้น ธุรกิจอาหาร ขนม ประกันชีวิต เครื่องบิน รองเท้า เครื่องดื่ม เฟอร์นิเจอร์ หนังสือพิมพ์ และอื่นๆ เช่น หุ้นโค้ก ,ช็อกโกแลตยี่ห้อ SEE'S หนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นต้น

ในแง่ของ "การบริหาร" บัฟเฟตต์จะคำนึงถึงความสมเหตุสมผลของผู้บริหาร การเปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหุ้นอย่างตรงไปตรงมา ไม่โกง และไม่ทำธุรกิจตามคนอื่น

ด้าน "การเงิน" เขาจะใส่ใจ "ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น" (ROE) ไม่ใช่กำไรต่อหุ้น และคำนวณกำไรของผู้ถือหุ้นออกมาเป็นตัวเลข โดยจะยึดหลักว่า เมื่อลงทุนทั้งปีจะต้องมีกำไรกลับคืนมามากกว่า 12% หรือ 1% ต่อเดือน ถ้าหากน้อยกว่านี้ เขาจะไม่เลือกซื้อหุ้นบริษัทนั้นเลย

นอกจากนั้น จะมองหากิจการที่มีอัตราการทำ "กำไรสูง" และจะต้องทำให้เงินนั้นต่อเงินเพิ่มขึ้น

หลัก "การตลาด" เขาจะคำนวณก่อนว่ามูลค่าของธุรกิจบริษัทที่ลงทุนเป็นเท่าไร โดยใช้ราคาหุ้น คูณด้วยจำนวนหุ้นที่มีอยู่ และหาโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ โดยเขาจะเฝ้ารอเวลาที่ราคาหุ้นลงมาต่ำกว่าพื้นฐานที่แท้จริง

"อย่างโค้ก บัฟเฟตต์สนใจมานาน แต่ช่วงนั้นราคาหุ้นสูงมากเขาเฝ้ารอ จนกระทั่งเกิดปัญหาภายในบริษัท ผู้บริหารชุดเก่าลาออก และเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ เนื่องจากพนักงานบริษัทไม่พอใจประธานบริษัทคนเก่า บัฟเฟตต์บอกว่า ช่วงที่เป็นจังหวะการซื้อหุ้นที่ดี ก็คือ ช่วงที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติ"

การลงทุนของวิกรม เขาจะยึดหลักการเดียวกันกับบัฟเฟตต์ เขาย้ำว่า หัวใจของหุ้น คือผลกำไร เพราะราคาหุ้นจะต้องไปกับกำไรของบริษัทเสมอ

"สรุปก็คือ หุ้นทั้งหลายตายอยู่ที่ผลกำไร คือราคาหุ้นจะต้องไปกับกำไรของบริษัทเสมอ ถ้าหากราคาหุ้นวันนี้ไม่ขึ้น อีก 1-2 ปี ก็จะขึ้นแน่นอน"

หลักการก็คือ ถ้าบริษัทมีกำไรสม่ำเสมอ และดีขึ้น ราคาหุ้นก็ต้องขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่ที่ผู้ลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจ

สถิติหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐก็เช่นกัน เมื่อใดที่ผลกำไรของบริษัทตกลง ราคาหุ้นก็จะลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ในทางกลับกันเมื่อผลกำไรของหุ้นดีขึ้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นด้วย

ตัวอย่างของ "หุ้นวอลล์-มาร์ท" บริษัทดิสเคาท์สโตร์อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งบริษัทมีกำไรทุกปี ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ผู้ที่ลงทุนในหุ้นวอลล์-มาร์ท ไม่เคยสายที่จะได้รับกำไรจากลงทุนไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด

ในตลาดหุ้นไทย มีหุ้นแบบนี้ให้เลือกลงทุนด้วยเหมือนกัน ...

วิกรม ยกย่อง "หุ้นปูนใหญ่" เป็นหุ้นที่มีลักษณะที่ "ไม่เคยสายที่จะลงทุน ถือหุ้นปูนใหญ่" หรือลงทุนเมื่อไรก็ได้กำไร ถ้าหากถือลงทุนระยะยาว

ถ้าดูประวัติย้อนหลังบริษัทปูนซิเมนต์ไทยมีอายุถึง 91 ปี เข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2518 เป็น 1 ใน 8 หุ้นยุคแรกที่เข้าตลาดหุ้นพร้อมกับเปิดตลาดหุ้นไทย ผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ทั้งกลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิสูงถึง 11,988 ล้านบาท

ถ้าย้อนกลับไปดูผลตอบแทนของหุ้นปูนใหญ่ จะพบว่า หากลงทุนเริ่มแรกเมื่อปี 2518 ที่ราคา 167 บาท จำนวน 100 หุ้น หรือคิดเป็นเงินลงทุน 16,700 บาท ปัจจุบันราคาอยู่ที่ประมาณ 200 บาทเมื่อสิ้นปีและคิดเป็นจำนวน 10,000 หุ้น( มีการแตกพาร์จากมูลค่า 100 บาท เป็น 10 บาทและ 1 บาทในปัจจุบัน) พบว่า มูลค่าหุ้นเพิ่มเป็น 2 ล้านบาท รวมเงินปันผลสะสม 290,300 บาท เพิ่มขึ้นมา 120 เท่าภายในระยะเวลา 29 ปี

"ถ้าซื้อ 1,000 หุ้นตอนนั้น ปัจจุบันก็จะมีเงินถึง 23 ล้านบาท แม้ราคาหุ้นปูนใหญ่จะตกช่วงวิกฤติ แต่พอผ่านพ้นไป ราคาหุ้นก็กลับขึ้นไปมากกว่า ฉะนั้น ลงทุนในหุ้นปูนใหญ่จึงไม่เคยสาย และผู้ลงทุนระยะยาวจะเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น"

วิธีการคัดสรรหุ้นเด่นอย่างง่ายๆ ของวิกรม ซึ่งเขาบอกว่า ใช้เวลารวบรวมและทดสอบการเลือกหุ้นในตลาดเป็นเวลากว่า 5 ปี โดยเขาจะใช้ข้อมูลเบื้องต้นจากหนังสือพิมพ์รายวันมาทำเป็นตาราง เพื่อเปรียบเทียบมูลค่าของหุ้นก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นจริง

เขาแยกออกเป็นหัวข้อ "น้ำหนักผลตอบแทนด้านรับ" ซึ่งประกอบด้วย อัตรากำไรสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราเงินปันผลตอบแทน(Yield) และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)

ถ้าหากค่าอัตราส่วนที่ออกมา "ยิ่งสูง จะยิ่งดี"

นอกจากนั้น ให้ดู"น้ำหนักด้านราคาจ่าย" ซึ่งประกอบด้วย ราคาปิดครั้งล่าสุด ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(P/E) ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นของกลุ่มอุตสาหกรรม(P/E: IND) ราคาปิดต่อมูลค่าตามบัญชี(P/BV) และราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นตามบัญชีของกลุ่มอุตสาหกรรม(P/BV: IND) ผลที่ออกมาหาก"ค่าน้อย จะดีกว่า"

ส่วนสุดท้ายจะเป็นข้อมูลเพิ่มเติม ใช้ในการประกอบการพิจารณา ได้แก่ เงินปันผลต่อหุ้น(D/P) มูลค่าหุ้นตามบัญชี(BV) ราคาพาร์ ราคาหุ้นสูงต่ำ 26 สัปาดห์ย้อนหลัง จำนวนหุ้นที่ซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน และจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่าย

เมื่อได้ข้อมูลครบทุกส่วนแล้ว ก็นำมาเปรียบเทียบและพิจารณาคัดเลือกหุ้น

เขายกตัวอย่าง "หุ้นปูนใหญ่" (SCC) เทียบกับ "หุ้นปูนกลาง"(SCCC) คำนวณจากดัชนีในตารางพบว่า หุ้นปูนใหญ่ มีความน่าสนใจกว่าหุ้นปูนกลาง เนื่องจากหุ้นปูนใหญ่มีค่า ROE สูงถึง 26.3% ซึ่งเป็นไปตามหลักการของวอร์แรนท์ บัฟเฟตต์ที่บอกว่า จะต้องให้มีค่ามากกว่า 12% ขณะที่ปูนกลาง 21.7 %

ปูนใหญ่ยังมีการจ่ายเงินปันผลสูงกว่า นอกจากนั้น ปูนใหญ่ยังค่าพีอี/เรโชต่ำเพียง 10.73 เท่า ปูนกลาง 12.31 เท่า และยังมีราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นตามบัญชี(P/BV) ต่ำกว่าเพียง 2.45 เท่า เทียบกับปูนกลาง 3.22 เท่า

อีกทั้งปูนใหญ่ยังมีมูลค่าตามบัญชีสูงกว่า เท่ากับ 94.85 บาท ปูนกลาง 6.34บาท(ถ้าเทียบราคาพาร์ 1 บาทเท่ากัน)

แม้ราคาหุ้นปูนใหญ่ปัจจุบันอยู่ที่ 232 บาท(ราคาพาร์ 1 บาท) จะแพงกว่าหุ้นปูนกลาง อยู่ที่ 204 บาท(ราคาพาร์ 10 บาท) แต่หุ้นปูนใหญ่น่าลงทุนมากกว่าเมื่อเทียบเคียงกับดัชนีสำคัญที่ใช้ชี้วัด

วิกรมเชื่อว่า ถ้าเรารู้สึกตื่นเต้นดีใจ หรือตกใจไปกับราคาหุ้นที่แกว่งขึ้นแกว่งลง จงหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ "ฝูงชน" ที่กำลังคลั่ง

จาก Bizweek ฉบับ 19 พฤศจิกายน 2547
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1279

โพสต์

คุณวิบูลย์ มีคนเขาว่า ..
เล่นหุ้นวิเหมือนจีบคนแก่
ไม่มีลูกเล่น ไม่แง่ ไม่งอน ชอบอยู่เฉยๆ
เป็นหุ้นไม่มีอารมณ์ ดัชนีจะขึ้นจะลง ก็เฉย

คนจีนเขาเรียก บ่อรัด คนไทยว่าไม่มีแรง(จึงลุกขึ้นวิ่งไม่ไหวแล้ว)
เพราะหุ้นวิมีแต่บริษัทเก่าแก่
คนซื้อหุ้นเหล่านี้ ก็เพื่อรอรับมรดก หรือส่วนแบ่งบริษัทเท่านั้น
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1280

โพสต์

ปรัชญา เขียน:คุณวิบูลย์ มีคนเขาว่า ..
เล่นหุ้นวิเหมือนจีบคนแก่
ไม่มีลูกเล่น ไม่แง่ ไม่งอน ชอบอยู่เฉยๆ
เป็นหุ้นไม่มีอารมณ์ ดัชนีจะขึ้นจะลง ก็เฉย

คนจีนเขาเรียก บ่อรัด คนไทยว่าไม่มีแรง(จึงลุกขึ้นวิ่งไม่ไหวแล้ว)
เพราะหุ้นวิมีแต่บริษัทเก่าแก่
คนซื้อหุ้นเหล่านี้ ก็เพื่อรอรับมรดก หรือส่วนแบ่งบริษัทเท่านั้น
ผมว่าคนที่พูดคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับ VI นะครับ พี่ปรัชญา
หุ้น"บริษัทที่ดี"อาจจะไม่ใช่"การลงทุนที่ดี"ก็ได้
แล้ว"การถือหุ้นนานๆ"ก็อาจจะไม่ใช่"การลงทุนแบบ VI" ก็เป็นไปได้


ส่วนตัวผมแล้ว
ผมว่าหุ้นบริษัทหนึ่งๆก็คือหุ้นบริษัทหนึ่งๆเท่านั้นเอง
ส่วนจะมีหุ้นวิหรือหุ้นไม่วิหรือไม่นั้น ผมว่าเข้าใจผิดกันเอง

หุ้นตัวหนึ่งวันนี้อาจจะเป็นหุ้นวิ
แต่เวลาผ่านไปอาจจะไม่ใช่หุ้นวิแล้วก็ได้
หรือ หุ้นที่ไม่ใช่หุ้นวิ พอเวลาผ่านไปอาจจะกลายเป็นหุ้นวิก็ได้

การลงทุนแบบวิเป็นหลักการลงทุนครับ ไม่ใช่ตัวหุ้น อย่ายึดติดกับตัวหุ้น
พื้นฐานบริษัทนั้นสำคัญกว่าตัวหุ้นครับ

ส่วนเรื่องมีอารมณ์หรือไม่มีอารมณ์นั้น
ผมว่าหุ้นไม่มีอารมณ์ครับ
หุ้นไม่รู้หรอกครับว่าใครเป็นเจ้าของมัน
มีแต่"อารมณ์ของคน"เท่านั้นหละที่ไม่อยู่นิ่งๆ
ใครควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ก็ต้องว่าวิเป็นธรรมดาว่าเฉยๆไร้อารมณ์

แต่ประวัติศาสตร์ก็บอกอยู่แล้วว่า
การควบคุมความโลภความกลัวของตนเองไม่ได้
ทำให้เกิดผลอย่างไรกับการลงทุนของตนเอง

ผมว่าอย่าไปใส่ใจเลยครับกับคำพูดของคนอื่น
คนที่บอกพี่มาอย่างนั้นคงไม่เข้าใจ VI อย่างลึกซึ้ง
คงไม่ว่ากันนะครับที่บอกตรงๆ

ขอแนะนำให้วิทุกท่าน ขยันหมั่นศึกษาและฝึกฝนในการลงทุนต่อไป
อย่าย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆที่เกิดขึ้นก็ตาม
โดยเฉพาะการถูกบั่นทอนกำลังใจจากคนรอบข้าง

เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่ท่านคิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ขอบคุณครับพี่ปรัชญาสำหรับคำติชม
เซียะเซียะนี่.........ไจ้เจี้ยน
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1281

โพสต์

[quote="VIB007
เซียะเซียะนี่.........ไจ้เจี้ยน[/quote]

อ่านได้แต่แปลไม่ออกเลยไม่รู้ความหมายนะ

ผมกำลังคิดว่า เจ้าC1 เป็นตราสารอนุพันธ์
ที่ทำให้หลายต่อหลายคนเสียอนาคต
หมดเงิน หมดกำลังใจกับการลงทุน
เทรดกันไปโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มันจะเป็นอย่างไรในอนาคต
รู้แต่ว่าซื้อถูกๆ อยากขายแพงๆ

แล้วเจ้า DR1 หากวันข้างหน้า
อุตสาหกรรมตัวแม่ไม่ดี อย่างที่หวัง
DR1 ก็คงมาตามรอยของ เจ้าซี้วัน วันนี่ล่ะ
คุณวิบูลย์ได้ดู 2ตัวนี้ไหมครับ
มีความคิดเห็นอย่างไร
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1282

โพสต์

แปลว่า "ขอบคุณครับ แล้วพบกันใหม่"

DR1 คงไม่ต่ำกว่า 13 บาทครับ เพราะรัฐบาลค้ำประกัน
แต่ BAY-W1 นั้น มีโอกาสสูงครับ

ส่วน C1 ถ้าคิดแบบนักลงทุน เน้น arbitrage สามารถเล่นได้ครับ
ถ้ามีเงินพร้อมแปลงสภาพ

ยิ่งถ้าใครมีหุ้น SCIB อยู่ในมืออยู่แล้ว และไม่คิดจะขายในระยะสั้น
สามารถทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยงจาก SCIB-C1 ได้สบายเลยครับ

เช่นตัวแม่อยู่ที่ 21.80 บาท ราคาแปลง 20.85 บาท ตัวลูกอยู่ที่ 31 สตางค์

ก็จัดการขายตัวแม่ 100,000 หุ้น ที่ 21.80 ซื้อ C1 100,000 หุ้นที่ 0.35
เหลือสดประมาณ 21.45 เอาไปแปลงสภาพ จะได้หุ้นคืนมา 100,000 หุ้น
แถมเหลือเงินสดประมาณห้าถึงหกหมื่นบาท

แต่ถ้าก่อนปิดตลาด หุ้นวิ่งขึ้นไปเกิน 30 สตางค์ สามารถขายทิ้งและกลับ
ไปซื้อตัวแม่ กำไรทันทีห้าหกหมื่นบาทโดยไม่ต้องรอการแปลงสภาพ

ถ้าราคาตัวแม่ขยับ ราคาที่ควรแปลงไปและกลับก็จะปรับตามไป ถ้าคิดเลข
เร็ว สามารถเล่น C1 ได้หลายๆ ครั้งโดยไม่มีความเสี่ยงเลย (ยกเว้นเสี้ยว
วินาทีนึงที่ขายอันนึงและซื้ออีกอันไม่ทัน หรือกลับกัน)

นี่คงเป็นเหตุผลที่ C1 ในวันสุดท้ายแกว่งอยู่ในช่วง 0.3X - 0.6X ครับ
เพราะถ้าแตะ 0.30 สตางค์ คนที่ถือ SCIB ตัวแม่อยู่สามารถ take action
ทำกำไรทันที และถ้าเกิน 65 สตางค์ คนที่ switch มาสามารถขายคืน
ทำกำไรอีกเหมือนกัน

แต่ถ้าใครที่ในพอร์ตไม่มีตัวแม่ และไม่มีเงินพร้อมแปลงสภาพ มีสิทธิ์
เดี้ยงสูง
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1283

โพสต์

ปรัชญา เขียน: [quote="VIB007
เซียะเซียะนี่.........ไจ้เจี้ยน
อ่านได้แต่แปลไม่ออกเลยไม่รู้ความหมายนะ

ผมกำลังคิดว่า เจ้าC1 เป็นตราสารอนุพันธ์
ที่ทำให้หลายต่อหลายคนเสียอนาคต
หมดเงิน หมดกำลังใจกับการลงทุน
เทรดกันไปโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มันจะเป็นอย่างไรในอนาคต
รู้แต่ว่าซื้อถูกๆ อยากขายแพงๆ

แล้วเจ้า DR1 หากวันข้างหน้า
อุตสาหกรรมตัวแม่ไม่ดี อย่างที่หวัง
DR1 ก็คงมาตามรอยของ เจ้าซี้วัน วันนี่ล่ะ
คุณวิบูลย์ได้ดู 2ตัวนี้ไหมครับ
มีความคิดเห็นอย่างไร
[/quote]

ขอบคุณพี่ CK ครับสำหรับคำแปล

ความเห็นผมคงคล้ายๆกับพี่ CK นะครับสำหรับสองตัวนี้
ถ้าดูดีก็สามารถหาส่วนต่างราคาจากการแปลงสภาพได้
แต่ถ้าดูไม่ดีก็"เจ๊ง"ตามระเบียบ

เห็นวันก่อนเจ้าC1 ราคาลดลงกว่า 50% เลยทีเดียว
ใครออกไม่ทันก็"ตายลูกเดียว"
เห็นแล้วหนาวแทน

ส่วน DR1 ตอนนั้นเห็นกันที่ 17 บาทแล้วก็กลับมาเล่นกันที่ 14 บาทเหมือนเดิม
เห็นพี่ Chatchai บอกไว้ว่า
กำไรของบางจากมาจากสต๊อคน้ำมันมากกว่ารายได้จากการขาย
ถ้าราคาน้ำมันลงคงดูไม่จืด

พอดีผมไม่ใช่เซียนหุ้นนะครับ พี่ปรัชญา เลยไม่ถนัดพวกวอร์
ปล่อยให้เซียนเขาเล่นกันนะครับ

ส่วนผมก็เป็นเต่าไปเหมือนเดิม
ใครอยากจะจะรวยเร็วก็ปล่อยเขารวยไปครับ
เรารวยช้าแต่ชัวร์ดีกว่า

ว่าแต่ว่าแค่ไหนถึงเรียกว่า"รวย"
มันวัดกันยากจริงๆ
ผู้รู้บางท่านจึงบอกว่า เราไม่อยากรวยหรอกแต่เราอยากมี"มากกว่า"คนอื่นต่างหาก
แต่สุดท้ายก็ยังมีคนมี"มากกว่า"เราอยู่ดีในโลกนี้

แม้แต่บิลเกต ตอนนี้ก็ถูกคนแซงหน้าไปแล้ว
เป็นเจ้าของ IKEA จำชื่อไม่ได้ อายุ 75 ปี
อยู่บ้านหลังเล็กๆในซุริคที่สวิสกับภรรยาสองคน
เป็นเศรษฐีมีเงินหลายล้านล้านบาท แต่นั่งรถไฟไต้ดินไปทำงาน
กินแฮมเบอร์เกอร์ข้างถนน
ซื้อของลดราคา
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นคนรวยอันดับหนึ่งของโลก

วอร์เรน บัฟเฟต
มหาเศรษฐีระดับโลก
อยู่บ้านเดิมมาแล้ว 40 ปี ไม่เคยย้าย
ใช้รถคันเดิมมา 10 กว่าปี ปัจจุบันก็ยังใช้อยู่

อีกคน จอร์จ โซรอสครับ
เป็นเศรษฐีพันล้าน
แต่ไม่มีรถยนต์ ไม่มีคนขับรถส่วนตัว
โซรอสเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ในนิวยอร์คครับ
แล้วใช้บริการแท๊กซี่เป็นหลัก
เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปในการบริจาคการกุศลครับ

ผิดกับพวกพี่ไทยเรานะครับ
ไม่มีเงินแต่อยากจะขับรถหรูๆ
กลัวคนดูถูกเลยต้องดิ้นรนเป็นหนี้มาจ่ายค่ารถยนต์ราคาแพงๆ
หรือพวกชอบทำตัวหรู แต่ไม่มีตังค์ก็เยอะแยะนะครับ

ส่วนพวกเราก็เป็นของเราต่อไปอย่างนี้
เป็นพวก"คนจนรุ่นใหม่"ต่อไปดีกว่า

จริงมั๊ยครับ พี่ปรัชญา
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1284

โพสต์

VIB007 เขียน:
ส่วนพวกเราก็เป็นของเราต่อไปอย่างนี้
เป็นพวก"คนจนรุ่นใหม่"ต่อไปดีกว่า

จริงมั๊ยครับ พี่ปรัชญา
จริงครับคุณวิบูลย์
ถ้าพวกเรา หมายถึงทุกคนรวมกลุ่มกันเหนียวแน่น
ก็จะมีความหลากหลายทางความคิด
มาเล่า มาบอกในแง่มุมต่างๆ
แง่มุมของคุณCK (คุณเจ๋งเรียกพ่อมดการเงิน)
คุณวิบูลย์เหมือนอาจารย์สอนหนังสือครับ คอยเตือนเสมอๆ
คุณมนก็เหมือนครูใหญ่
คุณเจนนี่ หายไปไหน?
Dr.T
Verified User
โพสต์: 1608
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1285

โพสต์

นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่มักจะมีความสุขกับการ "ทำเงิน" ไม่ใช่ "ใช้เงิน" มั้งครับ
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1286

โพสต์

เอาขนาดเป็นครูใหญ่เลยหรือครับ

ผมแค่คิดอะไรก็ทำไปเขียนไป

คิดอะไรมันส์ๆได้ก็เขียนให้อ่านจะได้ไม่เซ็งกัน

มีแควนๆที่อ่านคอลัมม์ของผมกับคุณวิบูลย์ บอกว่าอ่านแล้วรู้สึกถูกเหน็บแนมทุกวันสุดสัปดาห์เลย

ผมกะคุณวิบูลย์เลยคิดจะเปลี่ยนนิดหน่อย แต่จะคงความกวนเอาไว้เช่นเดิม

เค้าว่าVIมันกวนกันหมดจริงเปล่า?
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
VIB007
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2035
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1287

โพสต์

Mon money เขียน:
มีแควนๆที่อ่านคอลัมม์ของผมกับคุณวิบูลย์ บอกว่าอ่านแล้วรู้สึกถูกเหน็บแนมทุกวันสุดสัปดาห์เลย

ผมกะคุณวิบูลย์เลยคิดจะเปลี่ยนนิดหน่อย แต่จะคงความกวนเอาไว้เช่นเดิม

เค้าว่าVIมันกวนกันหมดจริงเปล่า?
ผมคงจะเปลี่ยนได้นิดหน่อย
แต่ที่นิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดคงเปลี่ยนยาก

VI กวนหมดหรือเปล่า ไม่รู้เหมือนกันนะ
แต่ที่แน่ๆ แถวนี้กวน.....ทั้งนั้น
จริงมั๊ยครับ พี่ปรัชญา พี่CK Dr.T และท่านอื่นๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ต.หยวนเปียว
Verified User
โพสต์: 1688
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1288

โพสต์

สวัสดีครับพี่ๆเพื่อนๆ
เพิ่งจะเข้ามาอ่าน เชยจัง :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1289

โพสต์

VIB007 เขียน:
ผมคงจะเปลี่ยนได้นิดหน่อย
แต่ที่นิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดคงเปลี่ยนยาก

VI กวนหมดหรือเปล่า ไม่รู้เหมือนกันนะ
แต่ที่แน่ๆ แถวนี้กวน.....ทั้งนั้น
จริงมั๊ยครับ พี่ปรัชญา พี่CK Dr.T และท่านอื่นๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ผมชักจะทนดูพี่เทพไม่ไหวแล้วครับ
ตอนนั้นเห็น328บาท
เมื่อวานเหลือ288บาท
ทำเงินหายกันหรือเปล่าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ch_army
Verified User
โพสต์: 1352
ผู้ติดตาม: 0

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1290

โพสต์

อ่ะๆ พี่ครับใจเย็น เดี๋ยวผมอดของลดราคาพอดีเลย แต่จริงๆมันตกลงมาน้อยจัง อยากได้ถูกกว่านี้อ่ะ
http://inspirationword.blogspot.com

-กำลังใจ มีอยู่ในตัวคุณ-
-พัฒนาทัศนคติ สู่ชีวิตแห่งชัยชนะ-