คิดว่ากับซื้อหุ้น SCIB ของ TCAP มีนัยต่อการเจริญเติบโตของ TC

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
chode2b
Verified User
โพสต์: 1
ผู้ติดตาม: 0

คิดว่ากับซื้อหุ้น SCIB ของ TCAP มีนัยต่อการเจริญเติบโตของ TC

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ขอออกตัวก่อนนะครับว่ามือใหม่ครับ ถ้าผิดอะไรผมขออภัยนะครับ

ตามหัวข้อเลยครับ  ผมสนใจจะลงทุนระยะยาวกับ TCAP อยู่เนื่องจากว่าผมมองว่าการที่ TCAP ซื้อหุ้น SCIB เนี่ยจะไปอุดช่วงว่างของ TCAP ที่มีสาขาของ TBANK อยู่น้อย ทำให้โอกาสทำธุรกิจเปิดกว้างมากขึ้น แต่อยากทราบว่ามันมีมุมมองอะไรที่ผมควรต้องระวังเป็นพิเศษมั้ยครับ

ขอบคุณพี่ๆมากนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
[v]
Verified User
โพสต์: 1402
ผู้ติดตาม: 0

คิดว่ากับซื้อหุ้น SCIB ของ TCAP มีนัยต่อการเจริญเติบโตของ TC

โพสต์ที่ 2

โพสต์

นานมาแล้ว  BAY ไปซื้อ พอร์ตมาพอร์ตนึง
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
Verified User
โพสต์: 2565
ผู้ติดตาม: 0

คิดว่ากับซื้อหุ้น SCIB ของ TCAP มีนัยต่อการเจริญเติบโตของ TC

โพสต์ที่ 3

โพสต์

:D ผมดูคร่าวๆจากUpside PE PBV พอเอาสองอันมารวมกันผมมะค่อยชอบเท่าไหร่ครับ เพราะรู้สึกว่าTCAPถูก  SCIBแพง และตอนซื้อมาก็น่าจะซื้อมาในราคาที่ค่อนข้างจะแพงนิดๆ พอเอามารวมกับTCAPดูๆแล้วก็Fairๆนะครับ
Upsideไม่ถึง20% แต่มองคร่าวๆนะครับ....เอาเข้าจริงๆพอรวมกันตลาดอาจจะให้PEที่สูงกว่าก็ได้อันนี้ไม่รูไม่ได้ดูละเอียดครับ

แต่โดยส่วนตัวผมไม่เข้าดีกว่าครับเพราะว่าตัวอื่นถูกๆกว่ามีให้เลือกอีกเยอะไม่อยากเสี่ยงกับการประมูล...แต่!!หากประมูลไม่ได้ราคาร่วงผมคงรีบช้อนทันทีเลยครับ....

รอผู้รู้มาวิเคราะห์ให้ละกันนะครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
tutinglee
Verified User
โพสต์: 208
ผู้ติดตาม: 0

คิดว่ากับซื้อหุ้น SCIB ของ TCAP มีนัยต่อการเจริญเติบโตของ TC

โพสต์ที่ 4

โพสต์

TCAP + SCIB 􀃆 ปรากฎการณ์ Synergy ที่ลงตัวของสถาบันการเงิน     * Synergy ทางธุรกิจที่รอสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ TCAP ได้อย่างมหาศาล
การเข้าซื้อกิจการของ SCIB ถือเป็นการดำเนินกลยุทธธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ของกลุ่ม TCAP
เนื่องจากเป็นการเข้าซื้อกิจการที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ TCAP
ได้ทันที ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ยังมีธุรกิจทางการเงินที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ
โดยเฉพาะธุรกิจประกันชีวิต และประกันภัย ที่สามารถคาดหวังการเติบโตอย่างมีนัยฯ ในระยะ
2-3 ปีข้างหน้า รวมไปถึงธุรกิจหลักทรัพย์ และการจัดการกองทุน ที่สามารถผนึกรวมกันเพื่อลด
ความทับซ้อนและเพิ่ม Synergy ทางธุรกิจให้กับกลุ่ม TCAP ได้ในระยะยาว
* ฐานกำไรของ TCAP เพิ่มทันที ผลักดัน ROE ปี 2554 ทำระดับสูงสุดที่ 18.5%
ฝายวิจัยคาด ROE ของ TCAP ภายหลังควบรวมกิจการกับ SCIB จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.7% ใน
ปี 2553 (ปี 2553 มีการรวบงบการเงินของและจะทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% ใน
ปี 2554 เนื่องจากได้รับผลบวกเต็มที่ทั้งปีจากการควบรวมกิจการ ทั้งนี้ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะ
ยังเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้และกำไรให้กับ TCAP โดยปัจจัยบวกที่มีนัยฯ ที่จะช่วยผลักดันการ
เติบโตของกำไรจากธุรกิจ ธ.พ.ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าคือต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายโดยรวมที่จะทยอย
ลดลง จากการระดมเงินฝากต้นทุนต่ำผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจ
ประกันชีวิตจะเป็นธุรกิจที่เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตของกำไรเชิงรุกให้กับ TCAP ในระยะยาว
* แนะนำซื้อ...สร้างการเติบโตเชิงรุกของกำไรในเวลาอันสั้น...ราคาถูก ปันผลสูง
ฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ โดยกำหนด Fair value ของ TCAP อิง PBV 1.1 เท่า ภายใต้ประมาณการ
ผลการดำเนินงานปี 2553-54 ภายหลังการควบรวมกิจการกับ SCIB คือ 30.84 บาท (ภายใต้
คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 14.2%) ซึ่งเป็นมูลค่ากิจการที่ได้สะท้อน Synergy ของธุรกิจที่
เกิดขึ้นภายหลังควบรวมกิจการกับ SCIB โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ทยอย
ลดลง แต่ยังไม่รวมผลบวกจาก Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับธุรกิจการให้บริการทาง
การเงินอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้ม
การเติบโตของรายได้และกำไรในเชิงรุกเกิน 2 เท่าของ GDP โดยแนวโน้มการเติบโตเชิงรุกของ
กิจการและคาดการณ์ ROE เมื่อเทียบกับ PBV ปี 2553-54 แล้วจะเห็นว่ายังเป็นระดับที่ถูกมาก
โดยราคาปัจจุบันยังมี upside ถึง 43% เมื่อเทียบกับ Fair value และคาดการณ์ Div yield ปี
2553-54 ที่ระดับ 6.6% และ 10.1% p.a. (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)             TCAP อนุมัติให้ TBANK เข้าซื้อหุ้น SCIB ต่อจาก FIDF ที่ราคา 32.50 บาท
ที่ประชุมคณะกรรมการของ TCAP มีมติอนุมัติให้ ธ.ธนชาตฯ (TBANK: บริษัทย่อยซึ่ง TCAP ถือหุ้น
50.92%) ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. เข้าซื้อหุ้น ธ.นครหลวงไทยฯ (SCIB) จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ (FIDF) ที่ถืออยู่ในสัดส่วน
47.58% ของทุนเรียกชำระแล้วจำนวน 2,112.810676 ล้านหุ้น และส่วนที่เหลือให้ทำ
คำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender offer) จากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ของ SCIB และ บมจ.ราช
ธานีลีสซิ่งฯ (THANI) จำนวน 822.593906 ล้านหุ้น จากผู้ถือหุ้นทุกราย (SCIB ถือหุ้นใหญ่
48.32%) 2. ราคาเสนอซื้อหุ้น SCIB จาก FIDF กำหนดไว้เท่ากับ 32.50 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 6.87
หมื่นล้านบาท แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงถ้าในช่วงก่อนวันซื้อขายหุ้น SCIB ได้มีมติจ่ายเงิน
ปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และ FIDF มีสิทธิได้รับเงินปันผลดังกล่าว (หรือกำหนดขึ้นเครื่องหมาย
XD ภายหลังวันที่กำหนดทำ Tender offer) โดย TBANK จะมีสิทธิหักจำนวนเงินปันผลออก
จากราคาซื้อขายต่อหุ้น ทำให้ราคาซื้อขายหุ้นทั้งหมดจะถูกลดลงตามลำดับ ตัวอย่างเช่น
หากการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้น SCIB เกิดขึ้นก่อนวันที่ทำ Tender offer ราคาเสนอซื้อ
หุ้นจะต้องมีการปรับลดลงเหลือเท่ากับ 31.73 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณได้จากราคา
เสนอซื้อหุ้นที่ 32.50 บาท หัก ด้วยเงินปันผลต่อหุ้นที่ประกาศจ่าย ซึ่งหากกำหนดให้เท่ากับ
0.77 บาท/หุ้น ตามที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ สำหรับราคาเสนอซื้อหุ้น THANI กำหนดไว้เท่ากับ
1.10 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 904.85 ล้านบาท
3. การรับโอนกิจการทั้งหมดของ SCIB จะดำเนินการภายหลังจากที่ TBANK ได้เข้าซื้อหุ้นของ
SCIB แล้ว ด้วยราคายุติธรรม ณ วันที่โอนกิจการ ภายหลังจากนั้นจะทำการเพิกถอนหุ้น
SCIB ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ส่วน THANI นั้น TBANK ยังไม่มี
นโยบายในการดำเนินการใดๆ ภายหลังจากการทำ Tender offer หุ้น THANI ได้สำเร็จแล้ว4. แหล่งเงินทุนที่ TBANK จะใช้ในการเข้าซื้อกิจการของ SCIB แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1) ส่วนของ TCAP มาจากสภาพคล่องคงเหลือภายในกิจการราว 2.5 หมื่นล้านบาท และ
2) ส่วนของ TBANK มาจากการเพิ่มทุนโดยการทำ Right issue ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตาม
สัดส่วนการถือหุ้น (TCAP และ Bank of Nova Scotia ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 50.92% และ
49.08% ตามลำดับ) จำนวน 3.579 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการเสนอขายตราสารหนี้
ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Tier1) แบบเฉพาะเจาะจง มูลค่า 7.13 พันล้านบาท
และเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิแก่นักลงทุนทั่วไป มูลค่า 6 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจาก
สภาพคล่องภายในกิจการ
ทั้งนี้ ขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือ
หุ้น ซึ่งกำหนดจะจัดประชุมขึ้นภายในวันที่ 7 เม.ย.53 เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของตลาด
หลักทรัพย์ฯ และ กลต. ด้วยคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดที่มาประชุมและมี
สิทธิออกเสียง โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย โดยคาดว่าระยะเวลาสำหรับการทำ Tender
offer จะอยู่ในช่วงเดือน ก.ค.53       ฐานกำไรของ TCAP เพิ่มทันที ผลักดัน ROE ปี 2554 ทำระดับสูงสุดที่ 18.5%
ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกและเชื่อมั่นต่อแนวโน้มธุรกิจของ TCAP ภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ SCIB
ว่าจะยังมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในด้านศักยภาพการทำกำไร ฐานะการเงินและเงินกองทุนที่
แข็งแกร่งขึ้น ตั้งแต่กลางปี 2553 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ TCAP จะมีการรวมผลการดำเนินงานของ
SCIB เข้ามาในงบการเงิน ทั้งนี้ ราคาเสนอซื้อหุ้นของ SCIB ที่ระดับ 32.50 บาท เทียบเท่า PBV
ณ สิ้นปี 2552 ที่ระดับ 1.55-1.59 เท่า (ขึ้นกับตัวแปรเรื่องเงินปันผล) ถือเป็นระดับราคาที่สมเหตุผล
และยังสอดคล้องกับระดับราคาของการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มสถาบันการเงิน
ในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งผลบวกที่คาดกว่ากลุ่ม TCAP จะได้รับจากการเข้าซื้อกิจการของ SCIB จะ
สามารถเพิ่มมูลค่าของกิจการโดยรวมได้ในระยะยาวจาก Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดย
สรุปได้ดังนี้    1 ฐานะการเงินและคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่งขึ้น เห็นได้จากขนาดของสินทรัพย์รวม
ของ TCAP จะปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่อันดับ 5 จากเดิมที่อยู่อันดับ 7 ในกลุ่ม ธ.พ. จนทำให้เกิด
การประหยัดจากขนาด (ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเทียบกับขนาดสินทรัพย์และสินเชื่อรวมจะ
ลดต่ำลง) และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นจากเครือข่ายสาขาที่เพิ่มขึ้น (TCAP
ราว 250 แห่ง และ SCIB ราว 450 แห่ง) โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก
และเป็นสินเชื่อรายย่อยนั้น จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายสาขาจำนวนมากในการระดมเงินฝาก
ต้นทุนต่ำ (ออมทรัพย์) เข้ามามากขึ้นเพื่อให้สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับ ธ.พ.ใหญ่อื่นๆ ได้   2 บริการทางการเงินที่ครบวงจรและสร้างโอกาสสำหรับการทำ Cross selling ใน
กลุ่มมากขึ้น โดยการควบรวมกิจการระหว่าง TBANK และ SCIB จะช่วยเพิ่มบริการ
ทางการเงินที่ครบวงจรภายในกลุ่มได้มากขึ้นซึ่งถือเป็นการช่วยเสริมสร้างจุดแข็งและ
ปรับปรุงจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายที่ยังขาดไป อาทิ TBANK เป็นผู้นำตลาดสินเชื่อเช่าซื้อ
รถยนต์ในประเทศ ขณะที่ SCIB มีจุดแข็งในสินเชื่อ Corporate และ SME ซึ่งเป็นกลุ่ม
ลูกค้าที่ใช้บริการกับธนาคารฯ มานาน นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสสำหรับการ
ทำ Cross selling ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินในกลุ่มฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยฯ
อันเป็นผลจากการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินในกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดขึ้น
อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยขยายฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะรายได้ค่า
ธรรมเนียมฯ และรายได้จากธุรกรรม Bancassurance ให้กับกลุ่ม TCAP ดังนี้
2.1.1 ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต ภายหลังการควบรวมกิจการ กลุ่ม
TCAP จะมีบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตจำนวน 4 บริษัท ซึ่ง
ดำเนินการภายใต้ บ.ธนชาตประกันภัยฯ (TI) บ.ธนชาตประกันชีวิตฯ
(TLA) บ.ประกันภัยนครหลวงไทยฯ (SCI) และ บ.ประกันชีวิตนคร
หลวงไทยฯ (SCIL) ซึ่งคาดว่าแนวโน้มน่าจะมีการควบรวมบริษัทต่างๆ
เหล่านี้ ทั้งในส่วนของธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตให้เหลือเพียง 2
บริษัท เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในกลุ่มฯ จากการประหยัด
ต่อขนาดที่จะเกิดขึ้น โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกมากต่อธุรกิจ
ประกันชีวิตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่คาดว่าจะ
มีแนวโน้มการเติบโตในเชิงรุกในระดับที่สูง เกิน 2 เท่าของ GDP ได้
อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับปีแรก และ
เบี้ยประกันภัยรับรวมของ บ.ธนชาตประกันชีวิตฯ ในระยะ 5
ปีที่ผ่านมา ที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม และคาดว่าการเติบโต
จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในเชิงรุกในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ด้วย
แรงผลักดันจากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับประเภท  Bancassurance จากเครือข่ายของสาขาของ TBANK ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น
700 แห่งทั่วประเทศภายหลังการควบรวมกิจการ   2.2 ธุรกิจหลักทรัพย์ ภายหลังการควบรวมกิจการ กลุ่ม TCAP จะมีบริษัท
หลักทรัพย์จำนวน 2 บริษัท ซึ่งดำเนินการภายใต้ บล.ธนชาตฯ และ บล.นคร
หลวงไทยฯ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ (ต้นปี 2553 ถึง
ปัจจุบัน) เท่ากับ 4.62% (อันดับ 7) และ 1.61% (อันดับ 23) ตามลำดับ โดยคาด
ว่าแนวโน้มจะต้องเกิดการควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 2 แห่งเข้า
ด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของ บล.ธนชาตฯ เพิ่มขึ้นมาที่ระดับสูงกว่า
5% ติดอันดับ 5-6 ของบริษัทโบรกเกอร์ทั้งหมดที่มีอยู่ 35 แห่งในปัจจุบัน   2.3 ธุรกิจจัดการกองทุนรวม ภายหลังการควบรวมกิจการ กลุ่ม TCAP จะมีบริษัท
หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมฯ จำนวน 2 บริษัท ซึ่งดำเนินการภายใต้ บลจ.ธน
ชาตฯ (สินทรัพย์ภายใต้การจัดการราว 1 แสนล้านบาท) และ บลจ.นครหลวงไทย
ฯ (ขนาดสินทรัพย์ภายใต้การจัดการราว 4.5 หมื่นล้านบาท) โดยคาดว่าแนวโน้ม
การควบรวมกิจการน่าจะมีความเป็นไปได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มขนาดสินทรัพย์ภายใต้
การจัดการของ บลจ.ธนชาตฯ ขึ้นสู่ระดับ 1.5 แสนล้านบาท   3 โครงสร้างสินเชื่อและเงินฝากเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ ภายหลังการควบรวม
กิจการ จะทำให้โครงสร้างสินเชื่อของกลุ่ม TCAP เปลี่ยนแปลงไปโดยจะเพิ่มความ
หลากหลายและเกิดการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจมากขึ้น โดยที่สินเชื่อเช่าซื้อ
รถยนต์ยังเป็นกลุ่มสินเชื่อที่มีขนาดใหญ่สุดแต่ลดสัดส่วนลงเหลือเพียง 37% ของ
สินเชื่อรวม (จากเดิม 73%) ตามด้วยสินเชื่อรายใหญ่ SME และสินเชื่อรายย่อย (ที่อยู่
อาศัย) ดังแสดงในแผนภาพด้านล่าง ขณะที่โครงสร้างของแหล่งเงินทุนภายหลัง
ควบรวมกิจการจะมีสัดส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ลดลงเหลือ 16% ของเงินทุนรวม
จากเดิมที่มีสัดส่วนสูงถึง 27% โดยจะเน้นการพึ่งพาเงินฝากระยะยาวที่เกิดขึ้นจากเงิน
ฝากของ SCIB มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างอัตราดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อและ
เงินฝาก (Asset and Liabilities management) เกิดความสมดุลมากขึ้น (สัดส่วนของ
อัตราดอกเบี้ยลอยตัวและอัตราดอกเบี้ยคงที่ของทั้งสินเชื่อและเงินฝากจะใกล้เคียงกัน
มากขึ้น) ดังแสดงในตาราง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม TCAP ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ย
ในระบบเข้าสู่ทิศทางขาขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดผลกระทบต่อการลดลงของส่วนต่าง
ของอัตราดอกเบี้ย (NIM) จากเดิมที่มีโครงสร้างสินเชื่อที่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่สูงถึง
78% ของสินเชื่อรวม กลายเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวถึง 47% ของสินเชื่อรวม ซึ่งจะ
ได้รับประโยชน์ทันทีเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่แหล่งเงินทุนที่เป็นเงินฝาก
ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัวนั้นมีสัดส่วนที่ลดลงเหลือเพียง 39% จากเดิม 43%
นอกจากนี้ ผลบวกจากการที่กลุ่ม TCAP จะเน้นการพึ่งพาเงินฝากจาก SCIB มากขึ้น
ซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่าของกลุ่ม TCAP เดิม คาดว่าจะส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ย
จ่ายโดยรวมเฉลี่ยของกลุ่ม TCAP ภายหลังการควบรวมกิจการปรับตัวลดลงถึง 60-
70bp จากนโยบายของ TCAP ที่จะค่อยๆ ทยอยปรับลดส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงิน
ฝากและเงินกู้ยืมระหว่าง TBANK (ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ยปี 2552 เท่ากับ 2.30%)
กับ SCIB (ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ยปี 2552 เท่ากับ 1.47%) และทำให้ NIM ปี 2554
คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.95%  4 ศักยภาพการทำกำไรสูงขึ้น โดยคาด ROE ภายหลังควบรวมกิจการ จะเพิ่มขึ้นสู่
ระดับ 11.7% ในปี 2553 เห็นได้จากแนวโน้มกำไรสุทธิของ TCAP ที่คาดว่าจะเติบโต
มากขึ้นจากเดิม ตามสัดส่วนการถือหุ้นสุทธิอยู่ราว 50.92% ใน TBANK และจะเติบโต
ในเชิงรุกอย่างมากในปี 2554 ซึ่งจะทำให้ ROE ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่
18.5% เนื่องจากได้รับผลบวกเต็มที่ทั้งปี จากการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะใน
ประเด็นเรื่องของต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องของ
Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการลดลงของต้นทุนการดำเนินงานในส่วน
ของค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะสามารถปรับตัวลดลงได้โดยเฉพาะค่าใช้จ่าย
พนักงานในฝ่ายสนับสนุนด้านการปฎิบัติงาน (Back office) ที่ซ้ำซ้อน อีกทั้งสาขาที่ทับ
ซ้อนกันในบางพื้นที่ อาจต้องมีการปิดไป ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยลงตามที่
ฝ่ายวิจัยประเมินว่าสัดส่วน Cost to income ratio ปี 2554 ของ TCAP ภายหลังควบ
รวมกิจการ จะลดลงเหลือราว 62.89% จาก 67.31% ในปี 2553 ดังแสดงในตาราง
ข้างต้น
ฐานะเงินกองทุนยังแข็งแกร่ง และเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจใน 2-3 ปีข้างหน้า
ภายหลังการควบรวมกิจการ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ของ
TCAP ยังสูงถึง 12% ณ สิ้นปี 2553 แบ่งเป็น Tier I 7.4% (ได้รวมผลกระทบของค่าความนิยมที่
เกิดขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการของ SCIB กว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นการเข้าซื้อกิจการที่ราคา
เสนอซื้อสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี ณ สิ้นปี 2552 ซึ่งตามเกณฑ์ Basel จะต้องนำไปหักออกจาก
เงินกองทุนที่มีอยู่) โดยการที่ TCAP ได้จัดหาแหล่งเงินทุนให้ TBANK เพื่อเข้าซื้อกิจการของ SCIB ทั้ง
จากการใส่เงินเพิ่มทุนให้กว่า 3.579 หมื่นล้านบาท (จากผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TBANK ทั้ง 2 รายได้แก่
TCAP และ Bank of Nova Scotia) และยังให้ TBANK ทำการออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะ
คล้ายทุน (Hybrid Tier1) แบบเฉพาะเจาะจง มูลค่า 7.13 พันล้านบาท รวมถึงการเสนอขายหุ้นกู้
ด้อยสิทธิแก่นักลงทุนทั่วไปมูลค่าราว 6 พันล้านบาท สำหรับแนวโน้มปี 2554 ภายใต้สมมติฐานการ
คาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อสุทธิของ TCAP ที่ระดับ 7% yoy จะทำให้ Tier 1 ของ TCAP เพิ่มขึ้น
ใกล้เคียงระดับ 8% โดยที่สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมยังสูงถึง 11.9% ซึ่งยังไม่ใช่
ประเด็นที่จะสร้างความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเพิ่มทุนของ TCAP ในอนาคตอันใกล้ โดยที่ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่า TCAP จะยังไม่เร่งการเติบโตในเชิงรุกเหนือกลุ่มฯ (ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ประเมินไว้ใน
ปี 2553-54 ที่ระดับ 7% yoy และ 10% yoy ตามลำดับ) แต่จะใช้เวลาในการปรับปรุงระบบงาน
ภายหลังการควบรวมกิจการกับ SCIB ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนกว่าจะแล้วเสร็จ
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงเชื่อมั่นว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า TCAP ยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด
(ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อสุทธิโดยเฉลี่ยปีละ 7-8% yoy ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า) แต่
เพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อฐานเงินกองทุนของ TCAP ในกรณีที่เลวร้าย หากการเติบโต
ของสินเชื่อของ TBANK เป็นไปในเชิงรุกเหนือกว่าคาด จนส่งผลกระทบต่อฐานเงินกองทุนของกลุ่ม
TCAP โดยรวม ฝ่ายวิจัยจึงได้จัดทำกรณีศึกษาด้วยการทำ Stress test ต่อฐานเงินกองทุนและ
สินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี 2553 ของ TCAP ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1) Worst case scenario ซึ่งกำหนดให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงต่ำกว่า 10% โดย
ที่ Tier 1 ใกล้แตะระดับ 6% โดยการเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงขึ้นสู่ระดับ 8.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการ
เติบโตถึง 25% จากระดับสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี 2553 ที่ 6.98 แสนล้านบาท โดยที่ไม่รวมผลการ
ดำเนินงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะ 2 ปีข้างหน้าที่ประเมินไว้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือสุทธิจาก
เงินปันผล (ภายใต้สมมติฐาน Payout ratio ที่ 45% ของกำไรสุทธิ) ในปี 2554-55 แล้วจะเท่ากับ 8.25
พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ TCAP ต้องเพิ่มทุนราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ Tier 1 กลับไปสู่ระดับ 7-
8% เท่าเดิม ซึ่งกรณีจะเป็นไปได้ค่อนข้างยากและไม่สมเหตุผลเนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อใหม่ๆ
ในเชิงรุกถึง 25% yoy ในปี 2553 นั้นเป็นไปได้ยากในภาวะเศรษฐกิจที่ยังในช่วงฟื้นตัว
กรณีที่ 2) Base case scenario ซึ่งกำหนดให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงต่ำกว่า 10% โดย
ที่ Tier 1 ใกล้แตะระดับ 6% โดยการเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงขึ้นสู่ระดับ 8.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการ
เติบโตถึง 25% จากระดับสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี 2553 ที่ 6.98 แสนล้านบาท แต่ได้รวมผลการ
ดำเนินงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะ 2 ปีข้างหน้าที่ประเมินไว้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือสุทธิจาก
เงินปันผล (ภายใต้สมมติฐาน Payout ratio ที่ 45% ของกำไรสุทธิ) ในปี 2554-55 แล้วจะเท่ากับ 8.25
พันล้านบาท โดยแนวทางนี้ถือว่าค่อนข้างสมเหตุผลมากกว่ากรณีที่ 1) เนื่องจากในทางปฎิบัติ
จะต้องกมีการรวมฐานกำไรสุทธิในช่วงปี 2554-55 ซึ่งจะทำให้ Tier 1 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7%
ได้ใกล้เคียงระดับเดิม              แนะนำซื้อ...สร้างการเติบโตเชิงรุกของกำไรในเวลาอันสั้น...ราคาถูก ปันผลสูงฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ TCAP ด้วยศักยภาพการทำธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ธ.พ.อันดับ
5 ของประเทศภายหลังการควบรวมกิจการ โดยกำหนด Fair value ของ TCAP อิง PBV 1.1 เท่า
ภายใต้ประมาณการผลการดำเนินงานปี 2553-54 ภายหลังการควบรวมกิจการกับ SCIB คือ 30.84บาท (ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 14.2% ซึ่งเป็นมูลค่ากิจการที่ได้สะท้อน Synergy ของ
ธุรกิจที่เกิดขึ้นภายหลังควบรวมกิจการกับ SCIB โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่
ทยอยลดลง แต่ยังไม่รวมผลบวกจาก Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับธุรกิจการให้บริการ
ทางการเงินอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้ม
การเติบโตของรายได้และกำไรในเชิงรุกเกิน 2 เท่าของ GDP ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาด EPS ปี 2553-54 ของ
TCAP จะเติบโตต่อเนื่องถึง 11.1% yoy และ 8.1% yoy ตามลำดับ ทำให้คาดการณ์ ROE ปี 2553-
54 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.7% และ 18.5% ตามลำดับ ซึ่งเมื่อเทียบกับ PBV ปี 2553-54 แล้วจะเห็นว่า
ยังเป็นระดับที่ถูกมาก โดยราคาปัจจุบันยังมี upside ถึง 43% และคาดการณ์ Div yield ปี 2553-54
ที่ระดับ 6.6% และ 10.1% p.a. (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)http://www.settrade.com/brokerpage/Anal ... p_tcap.pdf
โพสต์โพสต์