![รูปภาพ](http://image.ohozaa.com/ic/lifeisbeautifulmovieposterc10053634.jpg)
พอถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกอินเดียนแดงในเขตสงวนแห่งหนึ่งถามหัวหน้าเผ่าคนใหม่ว่า ฤดูหนาวปีนี้จะหนาวจัดหรือเปล่า...
หัวหน้าเป็นคนสมัยใหม่ ไม่ได้เรียนเคล็ดวิชาอ่านลมฟ้าอากาศจากบรรพบุรุษ
แต่ด้วยความกลัวเสียฟอร์มหัวหน้าเผ่า
จึงทำทีแหงนมองฟ้าแล้วบอกว่าปีนี้จะหนาวทารุณ
ขอให้คนในเผ่าเตรียมฟืนไว้ก่อไฟผิงให้มากๆ...
เมื่อตอบแล้ว หัวหน้าเผ่าก็แอบโทร.ไปถามกรมอุตุฯ
เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศตอบว่า ท่าทางจะหนาวจัด
หัวหน้าเผ่าจึงย้ำให้คนในเผ่าเร่งหาฟืนเพิ่มขึ้น...
สองสามวันต่อมา หัวหน้าเผ่าโทร.ถามกรมอุตุฯให้แน่ใจอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ตอบว่า ปีนี้ต้องหนาวแน่นอน
หัวหน้าเผ่าจึงสั่งให้คนในเผ่าเก็บเศษไม้ทุกชิ้นที่หาได้...
พอใกล้ฤดูหนาว หัวหน้าเผ่าโทร.ไปถามที่กรมอุตุฯ อีกครั้ง
" แน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์นะว่าปีนี้จะหนาวจัด"
"100 เปอร์เซ็นต์" เจ้าหน้าที่ตอบหนักแน่น
หัวหน้าเผ่าถาม "ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น"
กรมอุตุฯตอบ " พวกอินเดียนแดงพากันออกหาฟืนไม่หยุดเลยครับ!!!
5555555555555
สวัสดีครับ นานๆ ที จะเขียน นั่งจดมา 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ มีเวลาก็เขียน แค่สามเรื่องเท่านั้นครับ ไม่มากไปกว่านี้ ผู้อ่านทุกท่านเป้นคนเก่งทั้งนั้น ผู้เขียนขอขอบคุณในความไม่คาดหวัง เพราะผู้อ่านทราบว่า ผู้เขียนอธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่าคาดหวังครับ ผุ้เขียนยังเขียนไม่เป็นสัปะรดเหมือนเดิม
เรื่องแรก ทำไมถึงศึกษาเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับโดยผ่านการดูหนังเกี่ยวกับชาวยิวที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในช่วงสงครามโลกสอง?
Schindler's List
Life is Beautiful (1997)
The Diary of ANNE FRANK
The Pianist (2002)
ได้ดูหนังที่โตรตตตตแห่งความทรมานลำบากสุดๆ เหล่านั้น ผมได้อะไรมากว่าที่คาดคิด เพราะไม่คิดเลยไอเดียดี ๆ จึงมาของมันเอง ในที่นี้ ผมบังเอิญเข้าใจเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับไดมากขึ้นอีกนิด ไม่ได้หวังว่าจะเข้าใจอะไรขนาดนี้ ความสุขและความสำเร็จก็เหมือนกันหรือปล่าวไม่ทราบครับ แต่ผมเคยไดยินคำกว่าวว่า ยิ่งไปไล่ตามหาความสุข มันก็ยิ่งหนี ทำให้มันดีที่สุดเต็มความสามารถ เดียวอะไรดีๆ มันมาเอง
ผมใช้เวลาในช่วงที่ไม่ปกติในช่วงนี้ทำสิ่งที่ไม่ปกติ ปกติคือนอน นั่งศ๊กษาคนยิวที่ต้องตกเป็นเฉลยในค่ายกักกันของทหารนาซี จินตนาการว่าเป้นคนยิวเหล่านั้นที่ถูกกักขัง ถ้าเราเป็นเขา เราอยู๋ในเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะทำอย่างนั้นไหม เข้าใจคนอื่นจากมุมมองคนเขา เป้นการ invert นั่นเองครับ ไม่ใช่เรืองใหม่อะไร แล้วไอเดียต่างๆ ก็ค่อยๆ ดาหน้ามาเรียง เกี่ยวโยงกันเป็นหอกข้างแค่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดูหลายรอบ ๆ ไอเดียกระจายซัพพลายเกลื่อนไปทั่วบ้าน ผู้เขียนเดินไปหน้าห้องน้ำ โถ ส้วม กระถางต้อนไม้ ถังขยะ ไมโครเวฟ หิ้งพระ ที่วางจาน ในตู้เย็นก็ยังมีไอเดีย เดินผ่านก็ตอกบัตร ข่มขืนไอเดียเหล่านั้น โดยสร้างดีมานด์เทียมขึ้นมาก่อน จนกว่าความอยากรู้อยากเห็นจะทนไม่ไหว เมื่อสะเด้ดน้ำดีแล้ว ผู้เขียนรีบจดลงไปว่า.
ผมสังเกตเห้นบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงแห่งเวลาความทุกข์ สิ่งนั้นคือความวิตกกังวลจนเกิดความกะวนวายใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต แต่ลักษาณะความกลัวแบบนี้กลับทำให้สิ่งที่เรากลัวเป็นความจริงขึ้นมาจนนึกหันมาด่าตัวเอง เมื่อสิ่งที่เราอยากให้เป็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เราไม่มองโลกตามความจริงหรือเป้นเพราะอคติบางอย่างมาบดบังความคิดที่แจ่มชัดของเรา อาการทางประสาทจะก็เกิดขึ้น สิ่งนั้นคิอสาเหตุของการสะท้อนกลับระหว่างสิ่งที่คิดกับสิ่งที่ควรเป้นและกลไกลหารสะท้อนกลับอย่างกะวนกะวายใจแบบคาดการณ์ไว้ล่วงหน้านี้ดูจะเป็นต้นเหตุสำคัญของวงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ ซึ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลที่ถูกต้อง ยิ่งมีการคาดการณ์มากเท่าไร ความวิตกกังวลยิ่งตอกย้ำมากให้มีความกลัวมากเท่านั้นทันทีทันควัน
ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบสะท้อนกลับในตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง?
ถ้าฝรั่งหมดสัทธาเงินบาท เพราะเราขาดทุนการค้าตลอด ขายของไม่ดี เงินบาทเต็มไปหมด ไม่มีใครมาแลกเลย เขาก็ขายออก พอขายบาทออกมามาก ๆ แนวโน้มอย่างนี้จะพลักดันให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศซ้ำเข้าไปอีก ดังนั้นจึงเป็นการตอกย้ำความถูกต้องของแนวโน้มการหมดความเชื่อถือของเงินบาทที่เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก
เมิ่อเราคาดการณ์ เรากำลังใช้ชีวิตในอนาคต ด้วยกฎของความไม่เที่ยงในฃ่วงสงคราม ช่วงไหนจะไม่เที่ยงสุดๆ เท่าช่วงอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เกิด สิ่งนั้นเลยเกิดตาม สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้จึงไม่เกิด ใช้ชีวิตกับเดี๋ยวนี้ อยู่ในโลกที่อะไรเกิดขึ้นจริง นั่นคือปัจจุบัน ถ้าทำอะไร อย่าบอกใคร จนกว่าคุณจะได้สิ่งนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อคุณบอกคนอื่นแล้ว ความวิตกกังวลแบบการคาดการณ์ล่วงหน้าจะเกิดขึ้นทันที แล้ววงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับก็จะเกิดตามมา
ความสัมพันเชิงสะท้อนกลับมีอยูในนิทานด้วยหรือ?
ผู้เขียนชอบอ่านนิทานอีสปมาก มันมีทั้งการสะท้อนกลับในรูปแบบต่างๆ มีทั้งสาเหตุของการทำผิดพลาดเหล่านั้น มี psychology of misjudgement ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มันมีไม่หมดหอรกครับ Munger มีแค่ 40 ข้อ มันมีเป้นร้อยเลยเรื่องเหล่านี้ จนผู้เขียนชักสงสัยว่า มันจำเป้นสำหรับคนที่ลงทุนมากกว่าหนังสือการลงทุนซะอีก
ผู้เขียนคิดถึงนิทานเรื่องไข่ห่านทองคำ ชายคนหนึ่งเก้บห่านใกล้ตายมาเลี้ยงด้วยความสงสาร เลี้ยงไปเลี่ยงมา ห่านออกไข่เป้นทองคำ ชายใจดีเห็นห่านออกไข่วันละฟอง เลยเกิดความโลภ อยากได้วันละ 2 ฟอง เลยเอาอาหารมาให้กินเพิ่ม ห่านกินไปเลยอ้วน แล้วขี้เกียจไม่ยอมออกไข่อีกเลย เรื่องนี้เป้น Negative Feedback Loop ทุกอย่างมีผลข้างเคียง แม้กระทั่งเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเหตเป็นผลดีแล้ว ก้ยังไม่วายมีเรื่องนอกเหนือจากที่คาดคิดเสมอ การมีวินัยในการ cut loss จึงโคตรรรสำคัญเลย
เรื่องที่แน่กว่าแช่แป้งคืออะไร?
การเจอกับความทุกข์และความไม่เที่ยงของชีวิตในท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนรอบตัวคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด มันมีความเป็นไปได้ของความไม่เที่ยงรอบตัวทุกวินาที แม้พวกเขาอาจถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิต ยกเว้นอย่างเดียว คือ อิสรภาพสุดท้ายของคนยิว อิสรภาพทางใจที่จะเลือกว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ใครก็พรากไปไม่ได้ เราเลือกขีดเส้นชะตาชีวิตของเราเอง ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
เราเครียดเพราะอะไร?
คนมีความเครียด เพราะเกิดอาการอยาก อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น ช่องว่างระหว่าง 2 ขั้วนี้มีอยู่ตัวเราทุกคน และมันมีสมรรถภาพมากครับ มันไกว่แกว่งสะท้อนไปมาเหมือนกระดานหกอย่างไรอย่างนั้น สะท้อนไปมามากๆ ก็เป็นโรคประสาท และอาจมีจิตใจที่ไร้เสถียรภาพจนเป้นสาเหตุทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดในบางอย่าง
มีตัวอย่างอื่นอีกไหม ?
สองสาวใช้กับไก่
หญิงสาว ๒ คนทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึ่ง
เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆวันเมื่อไก่ขัน
"ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที"
สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทำให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง
สองสาวใช้จึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มีไก่ คอยขัน ตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึกเสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย --- Negative Feedback Loop
สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทำงานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอนสบายๆอย่างที่หวังไว้
ทำไมเราถึงมองว่าสิ่งที่เป็นอยู๋กับสิ่งที่ควรจะเป็น เป็นภาพเดียวกัน?
เราหลอกตัวเองด้วยอคติต่างๆ ทีมีติดตัวเรา เราเลี้ยงศัตรูไว้ในตัวเอง คนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตคือตัวเราเอง ถ้าเราไม่ชอบตัวเอง แปลว่าเราจะอยู่กับคนที่เราใม่ชอบตลอดเวลา อย่างนั้น เราจะมีสุขภาพจิตที่ดีได้อย่าไงร ถ้าเราชอบมันจริงๆ ลองพากลับไปบ้านตามลำพัง ไปยืนหน้ากระจกและบอกดังๆ ว่า โอ้ มันสุดยอดจริง ๆ สุดยอดจริงๆ มันไมได้เป็นฮี่โร่ในตัวเราหรอกครับ ถ้าเราไม่ยอมรับอยางอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ช้าไม่เร็ว มันจะตามมาหลอกหลอนเรา และทำให้เราขาดทุนทั้งทุนชีวิตและทุนที่เป็นทุนอื่นๆ บางทีอาจถึงคนที่เรารัก อาจเสียทุกอย่างที่เรา มี แม้กระทั่งอิสรภาพทางใจ เพราะแม้แต่ใจเองก็ไม่ใช่ของเราคนเดียวแล้ว
แล้วมีวเทคนิคมาทำให้วงจรอุบาทแบบความสัมพันเชิงภาพสะท้อนหายไปหรือไม่?
มองโลกตามความเป้นจริง หรือจะจำเอาเทคนิคของคนยิวในช่วงสงครามไปใช้ จากสิ่งที่พวกเขาค้นพบเกี่ยวกับการรักษาอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับพวกเขาได้ invert ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต
เปนไปได้อย่างไรที่ว่า invert ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต?
ก้ใช้ชีวิตเหมือนกับว่า เราผ่านมันมาแล้วเมื่อวาน แล้วเรากำลังเจอมันอีกครั้ง แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาดหมดเลย
ยังไม่เข้าใจดี มีคำอธิบานอื่นไหม ?
อนาคตคือความเป็นไปได้ อดีตคือความจริง คำกล่าวนี้ไม่มีข้อโต้แย้ง
พวกเขา invert ความคิดว่า เด็ก ๆ ควรอิจฉาผู้ใหญ่!
เพราะชีวิตเด็ก ๆ ยังมีเรื่องไม่เที่ยงรออีกเยอะ ผู้ใหญ่มีความจริงเก็บไว้ในอดีต ความจริงที่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราเก็บอดีตที่เป็นความจริงเข้าไปไว้ในความทรงจำของเราและอยู๋ในนั้นตลอดการ จะลบอย่างไรก็ทำไมได้ มันเป็นส่าวนหนึ่งของชีวิตเราแล้ว สิ่งที่เป็นอยู๋ในขณะนี้จึงเป็นสิ่งทีเราเลือกเอง เราเป้นคนกำหนดเองว่า จะเอาภาพอย่างไรเก็บไว้ในความทรงจำของเรา อดีตคือความจริงทีแก้ไขไม่ได้แล้ว ถ้าเราใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย ความคาดหวัง ความกลัว ความกลัวการผิดพลาด อคติทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ และตรวจสอบตลอดเวลาว่าสื่งที่เราทำนั้น ถ้าเราใช้ชีวิตในแต่ละวินาทีเหมือนทีเราเคยใช้มันมาแล้วเมื่อวาน แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาด วันนี้เราจะทำผิดพลาดแบบเดิมอีก เราจะทำอย่างไรไม่ให้ผิดพลาดอย่างเดิมอีก ไม่มีใครสามารถเชื่อมปัจจุบันไปอนาคต ด้วยความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด ทุกอย่างเป็นภาพบิดเบือน เราทำได้แต่เพียงเชื่อมปัจจุบันไปอดีต ทุกอย่างที่ทำจึงมันใจว่า เมื่อเรามองย้อนกลับมาแล้ว เราจะไม่เสียใจในสิ่งที่เราทำ เพราะอดีตจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะคิดอย่างไรเป็นผลมาจากการตัดสินใจเลิอกที่จะคิดในใจของคนคนนั้น
ประสบการณือย่างอื่นของการใช้ invert มีอะไรบ้าง?
เรื่องของการ invert อาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับนี้ผู้เขียนมีประสบการณ์หลายเรื่อง
ครั้งหนึ่ง พาลุกสาวไปขี่จักรยานที่สวนรถไฟ มีนกนพิราบ เรามีขนมปัง มันบินมาหา ลูกสาวเอาขนมปังให้ ยิ่งเดินหามัน มันยิ่งเดินหนี ผู้เขียนนึกถึงคำว่า invert บอกให้ลุกสาวนั่งเฉยๆ ทำไม่สนใจมัน โยนขนมปังแต่ทำไม่สนใจมัน จากหนึ่งตัว เป็นสองตัว สาม สี่ แล้วค่อยๆ เห็นกระบวนการ critical mass เกิดขึ้นตรงปลายเท้าเรานี่เอง แล้วผู้เขียนก็เข้าใจเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ อีกมุมหนึ่งที่ผู้เขียนไม่เคยมอง
ผู้เขียนมีอาการนอนไม่หลับ -- ไม่ชอบกินยา นอนนึกว่าจะทำอย่างไร ลองตั้งใจที่จะไม่นอนในวันนั้น บอกตัวเองว่าจะถ่างตาถึง 6 โมงเช้าเลย ไม่นานก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว
ผู้เขียนเคยมีอาการวิตกเรื่องเหงื่อออกเวลาขึ้นรถไฟฟ้า อาการนี้เป็นอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับที่มีอคติของการ กลัวคนอื่นเหม็น พอขึ้นรถไฟก็เหงื่อออกจริงๆ บางทียังไม่ได้ขึ้นเลย แค่นึกก็เหงืออกแล้ว อากาวิตกกังวลแบบคาดการณืไปล่วงหน้าอย่างนี้มีในตัวเราทุกคน เพราะมีช่องว่างของการความคาดหวัง ระหว่าง อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น หรือ สิ่งที่เชื่อกับสิ่งที่เป้นไปตามจริง ในที่นี้อคติของผู้เขียนคือ ความกลัวคนอื่นเหม็น สิ่งที่ผู้เขียนคิดในใจนี้ทำให้เกิดภาพลวงตาเกิดขึ้น ถ้ายอมรับความจริงว่าเป็นอย่างนั้น ภาถลวงตาจะไม่เกิด และ เมื่อมันไม่มีอะไรให้สะท้อนกลับแล้ว ความสัมพัรเชิงสะท้อนกลับเลยไม่เกิดตามไปด้วย ผู้เขียนชอบ invert นึกได้ว่า เราต้องเปิดเผยให้โลกรู้ว่าเราเหงื่อออกเยอะขนาดไหน ผู้เขียนได้แต่งตัวเป้นนักกีฬาทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟ โดยมีติดผ้าขนหนูผันคอทุกครั้ง ทั้ง ๆที่ ขอโทษนะครับ กรรรรูไม่ได้เล่นอะไรมาเลย แต่ปกติเดินขึ้นบรรไดเหงื่อออกแล้ว ครั้งแรกที่ผู้เขียนลอง invert ความกลัวนั้น ผู้เขียนตั้งใจโชวเต็มที่ให้คนอื่นเห็นไปเลยว่าเหงื่อออกเยอะขนาดไหน ถ้าเหงื่ออกมาก ๆ แม่มมมมมมออกมาขนาดนี้ คราวหน้ากรุรรรรใส่ชุดว่ายน้ำ กางเกงในตัวเดียวโหนรถไฟฟ้าเลยดีกว่า ผู้เขียน เรียนรู้ที่จะหัวเราะเยอะตัวเอง วันนั้นพออยากให้เหงื่อมันออก มันเลยไม่ออก นึกถึงคำที่ Charlie Munger สอนว่า invert, always invert แล้วเรื่องนี้เป็นเทคนิคที่ได้ผลจริงๆ คราวนี้ลองเอาไปรับใช้ในตลาด ผู้อ่านเก่ง ๆทั้งนั้น
หรือย้อนไปเด็ก ๆ ช่วงที่ผมติดอ่างตอนเด้ก มีวันหนึ่งในชีวิตกว่า 5 ปีช่วงนั้นที่ผมพูดไม่ติดเลย คือ ไปงานวันเด็กแล้วเขาบอกว่าใครน่าสงสารให้มารับได้ 2 เล่ม ผมติดอ่าง เลยเดินไปบอกเขาบอกว่า ผมน่าสงสารเพราะพูดติดอ่าง ไอ้เราเลยพยายามจะพุดติดอ่างให้เขาดู แต่พูดออกไปแล้ว มันพูดคล่องปื๋อเลย นี่ถ้าตั้งใจจะติดอ่างกลับไม่ติด ผู้เขียน invert อาการวิตกของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ อาการภาพสะท้อนเลยหายไป ท่านผู้อ่านก็มี ลองนึกดู แล้วมาเล่าให้กันฟังบ้าง หรือ ใครถ้าเจอปัญหาต่างๆ เพื่อนๆ ลองเอาเทคนิคนี้ไปทำตรงกันข้าม แล้วผลเป็นอย่างไ มาเล่าให้กันฟังเป็นวิทยาทานบ้างครับ
เรื่องที่สอง กระจกวิเศษบอกข้าเถิด เหตุการร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้น ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง?
know who สำคัญกว่า know How จริงหรือไม่ ?
สำคัญกว่าครับ แต่ know why สำคัญมากกว่า
ส่วนที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าทำไมเราถึงทำสิ่งนั้นในตอนนั้น มันเป้นเรื่องของการตัดสินใจว่าอะไรควรค่าแก่การลงมือทำ อะไรไม่ควรทำ ที่เราทำผิดพลาดไปเพราะมีเหตุปัจจัยอะไรทำให้เราทำไปอย่างนั้น
ถ้าเราไปสำรวจเด็กมหาลัยที่ไหนสักแห่ง ถามว่าอะไรที่เขาอยากมีที่สุดในยุคนี้ เขาจะตอบว่าอะไร?
ความมั่นคงทางการเงินจะขึ้นเป็นลำดับต้นๆ การเข้าใจความหมายของชีวิตสำคัญน้อยลงไปมาก การค้นหาตัวเองด้านนามธรรมมีแนวโน้มน้อยลงเรื่อยๆ
การรู้จักตัวตนของตนเองมีความสำคัญกับอาชีพ trader มากแค่ไหน?
แรบไบโซรอสให้ความสำคัญมากทีเดียวครับ
ท่านเน้นให้เราตั้งคำถามว่าเราเป็นใครและเราจะทำอะไรให้กับโลกนี้บ้าง ท่านเน้นสอนให้เข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง ค้นหาสิ่งที่อยู๋ข้างในเปลือกหอยส่วนตัวของเรา บ่อยครั้งที่เขาถามลุกน้องว่ามีความคิดอย่างไร โดยหยิบยกสถานการณ์เศรษฐกิจขึ้นมา จากเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น พวกเขาจะตอบโต้กับสถานการณ์เหล่าน้นอย่างไร สมัยนั้น ทุกเช้าลูกน้องต้องมีพิธีกรรมบางอย่างที่เรียกว่า การสร้างภาพ
กระจกวิเศษบอกข้าเถิด เหตุการร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้น ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง
บางครั้งในห้องน้ำ ระหว่างเดินไปทำงาน พวกเขาจะถุกสอนให้สร้างภาพที่จะเกิดในตลาดหุ้นทุกวัน ต้องสร้างกรอบขึ้นมาเกี่ยวกับการคาดการณ์ไปข้างหน้าขึ้นมาและสร้างข้อสรุปว่าจะตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้นตัวไหนดี หลักจากนั้นในช่วงเย็น ก้นั่งทบทวนว่าสิ่งที่เราทำไปในตอนเช้านั้น มีอะไรที่แตกต่างไปบ้างกับตอนเย็นบ้าง ยังเชื่อในสิ่งที่คิดในตอนเช้าหรือไม่ ประสบการณ์ของการนั่งทบทวนความผิดพลาดตัวเองนั้นเหมือนการมองหาจุดอ่อนตัวเองทุกวัน พยายามค้นหาว่าเหตุผลอะไรทำให้พวกเขาตัดสินใจอย่างนั้น
ผู้เขียนจำได้ว่า เคยเขียนสิ่งที่เขาสอนลูกน้อง ว่า..
เวลาลงทุน ที่สำคัญ สร้างสมมุติฐานขั้นมาก่อน แล้ว Invest first , Investigate later, ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด สร้างสัมผัสขึ้นแบบ invert ขึ้นมา ถ้าอยากซื้อ ให้ขายก่อน ดูถ้ามีคนรับมาก ถึงจะซื้อ ให้แน่ใจว่าซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่ หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
เรื่องที่สาม CRITICAL MASS
ผู้เขียนติดบทความมาฝากอีกครั้ง ลองอ่านดูครับ...
สี่สิบปีก่อน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ไปที่เกาะโคชิมา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเกาะที่มีลิงอาศัยอยู่จำนวนมาก เพื่อหาข้อสนับสนุนทฤษฎีไม้กระดกที่ว่าการทดลองเริ่มขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์นำเม็ดข้าวโพดหวานไปหว่านไว้บนพื้นทราย เจอของโปรดอย่างนี้ ฝูงลิงก็พากันมาเก็บเม็ดข้าวโพดกินกันอย่างเอร็ดอร่อยจุดน่าสนใจอยู่ตรงที่นักวิทยาศาสตร์จะหว่านเม็ดข้าวโพดไว้บริเวณที่มีทรายเท่านั้น เพื่อให้เม็ดข้าวโพดเปรอะเปื้อนทราย เวลาจะกินแต่ละที ลิงก็ต้องคอยเอามือปัดออก หรือไม่ก็ต้องคอยบ้วนทรายออก
แล้วก็มีลิงอยู่ตัวหนึ่งอายุประมาณหนึ่งขวบที่ไม่ทำอย่างตัวอื่นเขา
ทุกครั้งที่เจ้าลิงน้อยเก็บเม็ดข้าวโพดที่เปื้อนทรายได้ มันจะนำไปล้างน้ำที่ลำธารใกล้ ๆ ก่อนแล้วจึงนำมากิน ไม่ต้องบ้วนไม่ต้องปัด
นักวิทยาศาสตร์ยังคงจับตาดูพฤติกรรมของลิงทั้งฝูงต่อไป ว่าจะมีลิงตัวไหนเอาอย่างบ้าง แล้วพวกเขาก็เริ่มเห็นพี่น้องและเพื่อนลิงตัวน้อย ๆ บางตัวเริ่มทำตามที่ลิงทั้งฝูงไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำอย่างเจ้าลิงน้อยนั้น นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์กันว่า อาจเป็นเพราะวิธีนี้มันก็ไม่ถึงกับเห็นได้ชัดว่าดีกว่าวิธีเก่า นั่นคือถึงแม้จะไม่ต้องบ้วน ไม่ต้องปัดทรายออกจากข้าวโพด แต่ก็ต้องเสียเวลาเดินไปยังลำธารอยู่ดี
เวลาผ่านไปหลายเดือน...
มีลิงเพิ่มเพียงวันละตัวสองตัวเท่านั้นที่เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างข้าวโพด แล้วก็ไม่ใช่ว่าลิงทั้งฝูงจะไม่เห็นวิธีที่เจ้าลิงน้อยกับเพื่อน ๆ ทำนะครับ เห็นครับแต่ไม่ทำตามการทดลองดำเนินไปอย่างนี้อยู่เป็นปี นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงเอาเม็ดข้าวโพดไปหว่านไว้ บริเวณที่มีทรายทุกวันไม่มีขาด ฝูงลิงก็ยังคงมาเก็บข้าวโพดกินอย่างสม่ำเสมอ และถ้ามองด้วยสายตาก็สามารถแบ่งลิงออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ล้างเม็ดข้าวโพด กับกลุ่มที่ไม่ล้าง แม้ปริมาณลิงที่ล้างข้าวโพดจะเพิ่มจำนวนขึ้น จนเริ่มใกล้เคียงกับพวกที่ไม่ล้าง แต่ลิงที่เหลือก็ยังสมัครใจที่จะกินข้าวโพดด้วยวิธีเดิม ๆ
แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจก็เกิดขึ้น
มันเกิดขึ้นภายในวันเดียว โดยไม่รู้จะอธิบายด้วยตรรกะง่าย ๆ อย่างไรดี เช้าวันนั้นมีลิงวัยรุ่นตัวหนึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมไปล้างเม็ดข้าวโพดอย่างเจ้าลิงน้อยเข้า แล้วบ่ายวันนั้น ลิงทั้งฝูงก็เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างเม็ดข้าวโพดกันหมด
นักวิทยาศาสตร์สงสัยทันทีว่า เจ้าลิงตัวที่เปลี่ยนพฤติกรรมในเช้านั้น มันมีความสำคัญขนาดไหนกัน หลังจากที่ดูจากบันทึกและตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบว่ามันก็เป็นแค่ลิงธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่ได้เป็นจ่าฝูงหรือเป็นลิงที่แข็งแรงดุร้ายกว่าตัวอื่นอย่างใด
แล้วทำไมฝูงลิงจึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมด
เจ้าของทฤษฎีนี้มีคำอธิบายครับ ลองฟังเขาดู
เมื่อในสังคมเกิดภาวะมวลวิกฤต (Critical Mass) และเกิดจำนวนวิกฤต (Critical Number) ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ ว่าเป็นจำนวนเท่าไรของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสังคม สังคมก็จะเริ่มยอมรับในพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และก็จะเกิดการ ตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในกลุ่มที่เหลือทั้งหมด
อย่างที่บอก ถ้าให้ผมนึกตามง่ายๆ ผมก็คงนึกถึงไม้กระดกที่เด็ก ๆ เขาเล่นกัน เวลาที่ฝั่งหนึ่งมีจำนวนเด็กมากกว่าจนมีน้ำหนักมากกว่าอีกฝั่ง ฝั่งที่น้อยกว่านอกจากจะกระดกลอยสูงแล้ว บางครั้งเราก็อาจจะเห็นเด็กฝั่งที่น้อยไหลมาสู่ฝั่งที่มาก จนกลายเป็นมาอยู่ฝั่ง เดียวกันได้
ผมว่าพวกเราก็คงจะเคยเจอสภาพเช่นนี้ เพื่อนฝูงหกเจ็ดคนหาร้านอาหารจะไปกินกัน แรก ๆ ก็ถกเถียงว่าร้านเจ๊อ้อยบ้าง ร้านอาโกบ้าง เถียงกันอยู่สักพักแล้วก็มีคนหนึ่งที่ ไม่ได้คิดว่าจะไปกินร้านไหนเลยพูดขึ้นว่าไปกินเจ๊อ้อยดีกว่า จู่ ๆ ทุกคนก็กลายเป็นเปลี่ยนมาเทใจให้กับร้านเจ๊อ้อยกันหมด
แล้วผมก็ตั้งคำถามครับ น้ำหนักสุดท้ายที่ย้ายข้างนี่ ผมชักอยากรู้ว่ามันจำเป็นต้องหนักกว่าอีกข้างหนึ่งไหม
ทฤษฎีนี้ตอบว่า ไม่เกี่ยวกับการเอียงข้าง น่าสนใจนะครับประโยคนี้
เขาเน้นไปที่จำนวนหนึ่งที่วิกฤต และไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นสัดส่วนเท่าไรของสมาชิกทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมากกว่าครึ่งด้วย
จำนวนนี้นั่นแหละที่เขาเรียกกันว่า มวลวิกฤต
มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Critical Mass : how one thing leads another ที่เขียนโดยฟิลิป บอล (ขออนุญาตแปลว่า มวลวิกฤต วิถีที่แห่งการกระดก) ในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ พี่ฟิลิปแกสามารถอธิบายพฤติกรรมของการเลือกตั้ง ที่ชนะถล่มทลายได้ว่ามาจากอะไร พี่แกให้ความเห็นว่าลักษณะของการเลือก และการตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้พรรคใดและใครนั้น ไม่ได้มาจากเหตุผลอย่างเดียว เพราะถึงจุดหนึ่งเวลาที่ใกล้วันเลือกตั้ง คนจะหยุดคิด หยุดวิเคราะห์ แต่จะดูกระแสคนหมู่มากว่าจะไปทางไหน แล้วก็กระโจนตามกันไป ซึ่งเขาจะเรียกว่า มวลวิกฤต หรือ Critical Mass ที่น่าสนุกก็คือคุณพี่ฟิลิป แกใช้ทฤษฎีควอนตัมอธิบายได้อย่างชัดเจนและเป็นวิทยาศาสตร์
********
********
(ประภาส ชลศรานนท์. คุยกับประภาส. มติชนรายวัน (๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙))
เหตุผลที่เกิดอาการวิตกกังวลแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้าเกิดขึ้นในลิงได้อย่างไร?
ไม่ทราบครับ ถ้ามีข้อมูลว่าลิงตัวหนึ่งตายในช่วงนั้นเพราะไมได้ล้าง สมมุติฐานผมจะถูกทีเดียวว่า อคติที่ทำให้ลิงเหล่านั้นมีอาการของความวิตกกังวลที่ควรทำกับสิ่งที่ทำอยู่คือระบบการย่อยที่ไปรบกวนลิงเหล่านั้น ความกลัวตายอาจเป้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด critical mass ถ้าคนที่ทดลองเข้าใจเรื่องอาการของภาพสะท้อน เขาจะทำการทดลองได้ดีกว่านี้ เพราระมีกรอบที่ทำให้เรื่องเหล่านี้แคบลง จนหาจุดโฟกัสได้ ถ้าเขาทราบเรืองวงจร reflexivity อาจหาสาเหตุได้ไม่ยากครับ
ใครเป้นตกรถ?
ข้อนี้ผมชอบมาก Reflexivity Quiz
อ. บัฟเฟตกับ อ. โซรอส นั้น ตกลงปลงใจกันว่า จะนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองเก่าอยุธยาในวันพรุ่งนี้ ทั้งสองท่านนัดพบกันที่สถานีวัวลำพองเวลา 7.55 น. นัดกันก่อน 5 นาที ก่อนเที่ยวเวลา 8 โมงเช้า ซึ่งนั้นเป้นเวลาที่รถไฟจะออกไปอยุธยา
แต่เนื่องจากนาฬิกาของทั้ง อ. บัฟเฟตและ อ. โซรอสเดินไม่ตรงเวลาครับ
นาฬิกา อ .บัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่ท่านคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที
นาฬิกา อ. โซรอสเร็วไป 10 นาที แต่ท่านคิดวามันช้าไป 25 นาที
ถามว่า.ใครเป้นตกรถ?
หนังสือที่ทำให้เราเข้าใจเรื่อง reflexivity มีอะไรบ้าง?
ช่วงปีใหม่ ผมได้รวบรวมหนังสือ ทุกเล่มเกี่ยวโยงกันหมด ผมอ่านเล่มละหลายรอบ นับเปนครั้งไมได้ เพราะวางอยู่ทั้วบ้าน เดินผ่านก็หยิบมาอ่าน ผมอ่านทั้งวัน อ่านหน้าละนิดละหน่อย ถ้านับครั้ง คงอ่านเล่มหนึ่งหลายร้อยรอบ ใครสนใจที่เกี่ยวกับเรื่อง reflexivity ต้องหาอ่านเอาไว้ ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
1. ศิลปการผูกมิตร และจูงใจคน
2. การดับทุกข์ หลวงพ่อพุทธทาส
3. ท้าทายสมองซีกขวา
4. ยิวของหม่อมราชวงคึกฤทธิ์
5. Jeromes becomes a genius - Eran Katz
6. Secrets of a Super Memory Eran Katz
7. Sudoku
8. วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่เคยสอน
9. Seeking Wisdom from darwin to Munger
ต่อไปผู้เขียนจะเขียนเรื่องอะไรอีก?
1. reflexivity in สามก๊ก
2. reflexivity in family
3. reflexivity in Thai political
4. reflexivity in economics
5. reflexivity in mathematics
6. reflexivity in physics
7. Guidlines for better reflexivity thinking
8.reflexivity in psychology
9. reflexivity in stock markets
คงอ่านไม่รู้เรื่องครับ
Guidlines for better daily reflexivity thinking มีอะไรบ้าง
อ่านในคัมภีร์วัชรสูตร
ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติ ถ้า trader ที่มีความคิดฝังหัวว่าเหตุการณ์ A คือ A จะอ่านไม่ได้เลยครับ ก่อนอื่นต้องคิดแบบแรบไบ SOROS ก่อนว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น คือ A ไม่ใช่ A เป้นไปได้จริงหรือครับ
การเกิดของ A ประกอบไปด้วย B C D E F..
A ไม่อาจอยู่ได้โดยลำพังของมันเอง
ถ้าเราตั้งคำถามไป วิปัสสนา ไปที่ A อย่างจริงจัง
เราจะเห็นว่า B C D E F และสิ่งอื่นๆ ที่อยู๋ในนั้นด้วยครับ
เมือเราเห็นว่า A ไม่ใช่เป้นแค่ A ก็เท่ากับว่าเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของเหตุการณ์ A เมื่อเราถึงระดับนี้ เราถึงบอกได้ว่า A เป้น A หรือ A ไม่ใช่ A
แต่ก่อนถึงขั้นนี้ A ที่เราเห็นเป็นเพียงภาพหลวงตาของ A เท่านั้น
ถ้า trader เห้น A ได้ลึกซึ้งจนเห้นว่า A ไม่ใช่ A จนยอมรับว่าทุกอย่างที่เห็นอาจไม่ใช่ A เสมอไป
ลองสังเกตภาษาบาลีครับ ภาษาบาลีฝึกใช้ทักษะจินตนาการมองสถานการณ์ที่คลุมเครือได้เป็นอย่างดี
. วิปริณามธมฺมํ กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ ?
ไม่จำเป้นค้องมีสระ ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น ภาษากับลักษณะของคนในชนชาติแยกกันไม่ออก trader เก่งๆ ของโลก ล้วนเป้นคนยิวทั้งนั้น ในภาษาฮิบรูที่ชาวยิวใช้ เขาเขียนไม่มีสระ เป็นการละไว้ด้วยความเข้าใจ เคล็ดลับในการเทรดที่ท่านกำลังมองหาอยู่นั้นอยู๋ในสายเลือดของคนยิวทั้งนั้น ลองไปอ่านหนังสือที่ชื่อ Jerome becomes a genius เขียนโดย Eran Katz
ตัวอย่างที่ 1
กร ฝกบบ คดยอนกลบ วล เขยน มนฝกสมอง ดด ตรยม พรอม น กร ลงทน สำหรบ นว rflxvty ดปน อยงด
เฉลย : การ ฝีกแบบ คิดย้อนกลับ เวลา เขียน มันฝีกสมอง ได้ดี เตรียม พร้อม ใน การ ลงทุน สำหรับ แนว reflexivity ได้เป็น อย่างดี
ลองเอางานที่เขียนเก่าๆ ของท่านเอง มาตัดสระ ตัดวรรณยุกต์ออก แล้วอ่านอีกครั้ง มันต้องเดา เวลาอ่าน ความเข้าใจมันไประดับอีกขั้นที่เราไม่เคยเข้าใจ มันสนุกที่ต้องคิดล่วงหน้าว่าคำนี้หมายถึงอะไร ผมรับรองท่านจะเข้าใจในสิ่งต่างๆ ในระดับความสามรถของท่านที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันซ่อนในตัวท่านมานานแล้ว
ท่านจะได้ทักษะเพิ่ม ผมรับประกันได้ ลองจากคำง่ายๆ ไปยาก แล้วฝึก เขียน จากขวาไปซ้าย ข้_สังเก_ประเด้นการเขีย_จากขว_ไปซ้า_เป้นแบบทดสอบ ลองไป 3 ชม.ทุกวัน เมื่อเดาปร_โยคถูกคำม_กขึ้น มนจ_กล_ยเป็นทักษ_ไปเอง แล้วท่านเอาไปใช้ในการซื้_หุ้นถูกตัว ถูกจังวะ ถูกเวลา หลายๆ ครั้ง ความมั่นใจมันมาเอง ฝึกเขียนจากขวามาซ้าย เวลาเขียน จะบังคับให้เราต้อง invert คำนั้_ก่อนเราจะเขียน ตัวอย่าง
ผมกำลังเขียนจากซ้ายไปขวา
ซ้ายไปขวาจากเขียนกำลังผม
งผม
ลองดูครับ ของอย่างนี้สอนกันไม่ได้ ต้องทำดูเอง
ภาษาไทยพัฒนาตัวอักษรมาให้เขียนจากซ้ายมาขวา บางคำเราต้องปรับหน่อยเท่านั้นเองครับ
เวลาเขียนลงกระดาษ ถ้าไม่คิดแบบ invert ในคำที่เขียน มันทำให้เราต้องเผื่อที่ว่างเอาไว้เสมอ เป้นฝึกการคิดแบบ margin of safety ไปในตัวครับ
สวัสดีครับ.....^ ^