เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
-
- Verified User
- โพสต์: 1160
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 1
คือเมื่อคืนผมมีเวลาว่างมานั่งคืดไร้สาระ จู่ๆก็เกิดคำถามนี้ขึ้นในหัว เรื่องมันมีอยู่ว่า
ผมคิดว่าเรานำเงินไปสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นได้ แล้วถ้าอย่างอื่นเช่นเรื่องของบุญหละ เรานำบุญไปสร้างตัวมันเองแบบทบต้นได้ไหม?
จากนั้นก็ลองมานั่งคิด ตั้งสมมติฐานขึ้นมาก่อนว่า
สมมติฐานที่ 1 บาปบุญมีจริง
หากสมมติฐานนี้ไม่จริงก็ปิดประเด็นซะ สมมติว่ามีจริงก่อนละกัน
เพราะคุณไม่สามารถสะสมของที่ไม่มีอยู่ได้ เอาหละ ต่อไปก็ต้องมีนิยามก่อนจะได้รู้ว่าเราสะสมอะไร
สมมติฐานที่ 2 บุญคือ สิ่งไร้ชีวิต ลักษณะกลมๆคล้ายเหรียญ(ทำไมต้องกลมวะ? หลายคนอาจคิด เอาเป็นว่ามันจะได้คิดภาพง่ายๆ อีกอย่างเวลาพูดคำว่าบุญปากมันกลมๆ 5555 ต่อๆ) บุญคือ สิ่งไร้ชีวิต ลักษณะกลมๆคล้ายเหรียญ ไม่สามารถมองเห็นได้ มีจริง สามารถสะสมได้ แบ่งแยกชัดเจนว่าของใครเป็นของใครไม่ปนกัน ไม่สามารถถูกขโมยได้ สามารถนำมาใช้เพื่อแลกผลตอบแทนรูปแบบต่างๆและยกให้กันได้ ผลตอบแทนที่แลกได้เช่น เงิน สุขภาพ การงาน ความรัก เอาเป็นว่าแลกกับอะไรก็ได้
สมมติฐานที่ 3 บุญเป็นสิ่งใช้แล้วหมดไป สามารถหมดได้และหาเพิ่มเติมได้
สังเกตจากบันทึกต่างๆ ที่ใช้คำว่าสิ้นบุญ กินบุญเก่า หมดบุญจึงไปเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ฯลฯ
ข้อกังขาที่ 1 เราสามารถกำหนดได้หรือไม่ว่าจะโอนบุญที่สะสมมาไปไหน?
คำตอบแบ่งได้สามแบบคือ ได้ ได้บางส่วน และ ไม่ได้
1) กำหนดไม่ได้ หากบุญเป็นทรัพย์ยากรที่ควบคุมไม่ได้ การให้บุญไปสร้างผลตอบแทนทบต้นด้วยตัวเองโดยไม่ต้องทำบุญเพิ่มก็เป็นสิ่งที่ไร้สาระ
(ซึ่งมันก็ดูไร้สาระตั้งแต่หัวข้อกระทู้แล้ว555)
2) กำหนดได้บ้าง อ้างอิงจาก เวลาเราทำบุญตักบาตรบางคนจะอุทิศส่วนกุศลจากบุญที่ทำ ให้กับญาติพี่น้องหรือเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่รู้จัก แสดงว่าถ่ายโอนได้ และเลือกผู้รับได้ แถมกำหนดเวลาโอนได้ กรณีนี้คือ โอนทันทีที่ได้รับ แต่บุญบางอย่างที่ลืมโอน เวลาผ่านไปแล้วก็โอนไม่ได้
3) กำหนดควบคุมได้เต็มที่ ไม่ว่าเป็นการฝาก ถอน โอน คือเราสามารถยกบุญเก่าให้คนอื่นได้ด้วยด้วยความตั้งใจ
สมมติฐานที่ 4 จากข้อกังขาที่ 1 เราจะตั้งสมมติติฐานว่าการโอนบุญสามารถกำหนดได้บ้างบางส่วน หรือ ทั้งหมด เพื่อทำให้เราสามารถนำไปสร้างผลตอบแทนได้
ข้อกังขาที่ 2 เรากำหนดเองได้ไหมว่าให้บุญที่สั่งสมมา แปรสภาพใช้งานเวลาไหน ในรูปแบบไหน ได้ ไม่ได้ หรือ ได้บางส่วน
1) ไม่ได้ มันอยู่เหนือการควบคุม หากควบคุมไม่ได้ การใช้งานหรือนำไปลงทุนเพิ่มย่อมทำไม่ได้ หัวข้อกระทู้นี้ก็ตกไป
2) ได้เต็มที่ โดยการอาศัยหลักthe secret หรือหลักเกณท์บางอย่างในการดึงดูดสิ่งดีๆต่างๆเข้ามาในชีวิต โดยถ้าบุญมีมากพอเราสามารถให้บุญส่งผลและแปรสภาพเป็นสิ่งที่เราต้องการได้ดังใจปรารถนา
3) ได้บางส่วน คิดจากการที่คนเราเกิดมาต่างกัน ฉลาดไม่เท่ากัน หล่อสวยไม่เท่ากัน หากใครเกิดมาในสภาพดี เป็นเพราะบุญเก่าส่งผลให้มาเกิดดี ควบคุมไม่ได้ แต่บุญที่เหลือและบุญที่ทำใหม่แล้วยังไม่ได้ใช้ประโยชน์สามารถควบคุมได้ว่าให้ไปทำอะไร
สมมติฐานที่ 5 เราสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลในการกำหนดเวลาและสภาพการใช้งานของบุญได้บางส่วนหรือทั้งหมด อ้างอิงจากข้อกังขาที่2
ข้อกังขาที่ 3 การส่งผลของบุญจะมาในรูปแบบกำหนดตายตัวหรือมีการปรับได้
1) มาในรูปแบบตายตัว เช่น บริจาคเงิน เงินบริจาคจะเปลี่ยนสภาพเป็นบุญแล้วทำให้ผู้บริจาคร่ำรวยทรัพย์มากขึ้นในชาตินี้และชาติหน้า โดยไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องดีๆด้านอื่นได้ เช่น การบริจาคเงิน ไม่ได้ทำให้ชาติหน้าหล่อหรือสวยขึ้น หรือ สอนหนังสือให้เด็กยากไร้ ทำให้เราเป็นคนมีสติปัญญาดีทั้งชาตินี้ชาติหน้า แต่ไม่ทำให้รวยหรือหน้าตาดี
2) แปรเปลี่ยนได้ตามปรารถนา เช่น บริจาคเงิน เงินบริจาคจะแปรสภาพเป็นบุญตัวกลมๆ แล้วเปลี่ยนบุญให้เป็นเรื่องดีๆอื่นๆอย่างไม่มีข้อจำกัด การบริจาคเงินอาจทำให้เราหน้าตาดี หล่อสวย ฉลาด สุขภาพดีได้
3) กึ่งตายตัว กึ่งแปรเปลี่ยน เช่น สอนคณิตศาสตร์เด็กยากไร้จำนวนหลายร้อยคน ผลบุญนี้จะวนกลับมาที่เราทำให้เราเก่งเลขกว่าคนอื่นหลายร้อยเท่าก็ดูไม่สมเหตุผล หรือจะเก่งเลขเท่าเดียวไปหลายร้อยชาติมันก็ยังไงอยู่ บุญนี้จึงส่งผลให้เราเก่งเลขและเศษบุญที่เหลือจะแปรเป็นสิ่งดีๆด้านอื่นๆ เช่น ร่ำรวยหรือหน้าตาดีเป็นต้น
ข้อสังเกตที่1 จากข้อกังขาข้างต้นพอลองมาคิดดูแล้วมันจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญกับคำถามหลักคือ เราจะนำบุญไปสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นได้หรือไม่? ข้อกังขาที่3 จึงละไว้พิจรณาคราวหลัง แต่ที่ตั้งข้อกังขาที่3ขึ้นมาเพราะมันนำไปสู่กรณีศึกษาที่น่าสนใจ
กรณีศึกษา 1 เงินบริจาคเพื่อการศึกษา
หากเราจ่ายภาษีที่อัตราสูงจะทำให้เงินบริจาคเพื่อการศึกษานำไปลดหย่อนภาษีอย่างคุ้มค่าได้ กล่าวโดยรวบรัดคือ ในการวางแผนภาษีส่วนบุคคลที่ดี การบริจาค 100บาท สามารถลดภาษีได้100บาทและขอเงินคืนจากสรรภากรได้อีก 28บาท นั่นคือ บริจาค100 ได้ 128
อันนี้จะนับว่าเป็นผลบุญส่งผล ณ ที่จ่ายก็พอได้ คำถามคือ หลังจากมันส่งผลเป็น ROI(return on investment) 28%แล้ว ยังเหลือบุญตัวกลมๆส่วนเกินอีกไหม แล้วมันจะทำให้เรารวยขึ้น หรือฉลาดขึ้น(เพราะเป็นเงินบริจาคเพื่อการศึกษา) หรือทั้งสองอย่าง
ผมคิดว่าเรานำเงินไปสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นได้ แล้วถ้าอย่างอื่นเช่นเรื่องของบุญหละ เรานำบุญไปสร้างตัวมันเองแบบทบต้นได้ไหม?
จากนั้นก็ลองมานั่งคิด ตั้งสมมติฐานขึ้นมาก่อนว่า
สมมติฐานที่ 1 บาปบุญมีจริง
หากสมมติฐานนี้ไม่จริงก็ปิดประเด็นซะ สมมติว่ามีจริงก่อนละกัน
เพราะคุณไม่สามารถสะสมของที่ไม่มีอยู่ได้ เอาหละ ต่อไปก็ต้องมีนิยามก่อนจะได้รู้ว่าเราสะสมอะไร
สมมติฐานที่ 2 บุญคือ สิ่งไร้ชีวิต ลักษณะกลมๆคล้ายเหรียญ(ทำไมต้องกลมวะ? หลายคนอาจคิด เอาเป็นว่ามันจะได้คิดภาพง่ายๆ อีกอย่างเวลาพูดคำว่าบุญปากมันกลมๆ 5555 ต่อๆ) บุญคือ สิ่งไร้ชีวิต ลักษณะกลมๆคล้ายเหรียญ ไม่สามารถมองเห็นได้ มีจริง สามารถสะสมได้ แบ่งแยกชัดเจนว่าของใครเป็นของใครไม่ปนกัน ไม่สามารถถูกขโมยได้ สามารถนำมาใช้เพื่อแลกผลตอบแทนรูปแบบต่างๆและยกให้กันได้ ผลตอบแทนที่แลกได้เช่น เงิน สุขภาพ การงาน ความรัก เอาเป็นว่าแลกกับอะไรก็ได้
สมมติฐานที่ 3 บุญเป็นสิ่งใช้แล้วหมดไป สามารถหมดได้และหาเพิ่มเติมได้
สังเกตจากบันทึกต่างๆ ที่ใช้คำว่าสิ้นบุญ กินบุญเก่า หมดบุญจึงไปเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ฯลฯ
ข้อกังขาที่ 1 เราสามารถกำหนดได้หรือไม่ว่าจะโอนบุญที่สะสมมาไปไหน?
คำตอบแบ่งได้สามแบบคือ ได้ ได้บางส่วน และ ไม่ได้
1) กำหนดไม่ได้ หากบุญเป็นทรัพย์ยากรที่ควบคุมไม่ได้ การให้บุญไปสร้างผลตอบแทนทบต้นด้วยตัวเองโดยไม่ต้องทำบุญเพิ่มก็เป็นสิ่งที่ไร้สาระ
(ซึ่งมันก็ดูไร้สาระตั้งแต่หัวข้อกระทู้แล้ว555)
2) กำหนดได้บ้าง อ้างอิงจาก เวลาเราทำบุญตักบาตรบางคนจะอุทิศส่วนกุศลจากบุญที่ทำ ให้กับญาติพี่น้องหรือเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่รู้จัก แสดงว่าถ่ายโอนได้ และเลือกผู้รับได้ แถมกำหนดเวลาโอนได้ กรณีนี้คือ โอนทันทีที่ได้รับ แต่บุญบางอย่างที่ลืมโอน เวลาผ่านไปแล้วก็โอนไม่ได้
3) กำหนดควบคุมได้เต็มที่ ไม่ว่าเป็นการฝาก ถอน โอน คือเราสามารถยกบุญเก่าให้คนอื่นได้ด้วยด้วยความตั้งใจ
สมมติฐานที่ 4 จากข้อกังขาที่ 1 เราจะตั้งสมมติติฐานว่าการโอนบุญสามารถกำหนดได้บ้างบางส่วน หรือ ทั้งหมด เพื่อทำให้เราสามารถนำไปสร้างผลตอบแทนได้
ข้อกังขาที่ 2 เรากำหนดเองได้ไหมว่าให้บุญที่สั่งสมมา แปรสภาพใช้งานเวลาไหน ในรูปแบบไหน ได้ ไม่ได้ หรือ ได้บางส่วน
1) ไม่ได้ มันอยู่เหนือการควบคุม หากควบคุมไม่ได้ การใช้งานหรือนำไปลงทุนเพิ่มย่อมทำไม่ได้ หัวข้อกระทู้นี้ก็ตกไป
2) ได้เต็มที่ โดยการอาศัยหลักthe secret หรือหลักเกณท์บางอย่างในการดึงดูดสิ่งดีๆต่างๆเข้ามาในชีวิต โดยถ้าบุญมีมากพอเราสามารถให้บุญส่งผลและแปรสภาพเป็นสิ่งที่เราต้องการได้ดังใจปรารถนา
3) ได้บางส่วน คิดจากการที่คนเราเกิดมาต่างกัน ฉลาดไม่เท่ากัน หล่อสวยไม่เท่ากัน หากใครเกิดมาในสภาพดี เป็นเพราะบุญเก่าส่งผลให้มาเกิดดี ควบคุมไม่ได้ แต่บุญที่เหลือและบุญที่ทำใหม่แล้วยังไม่ได้ใช้ประโยชน์สามารถควบคุมได้ว่าให้ไปทำอะไร
สมมติฐานที่ 5 เราสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลในการกำหนดเวลาและสภาพการใช้งานของบุญได้บางส่วนหรือทั้งหมด อ้างอิงจากข้อกังขาที่2
ข้อกังขาที่ 3 การส่งผลของบุญจะมาในรูปแบบกำหนดตายตัวหรือมีการปรับได้
1) มาในรูปแบบตายตัว เช่น บริจาคเงิน เงินบริจาคจะเปลี่ยนสภาพเป็นบุญแล้วทำให้ผู้บริจาคร่ำรวยทรัพย์มากขึ้นในชาตินี้และชาติหน้า โดยไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องดีๆด้านอื่นได้ เช่น การบริจาคเงิน ไม่ได้ทำให้ชาติหน้าหล่อหรือสวยขึ้น หรือ สอนหนังสือให้เด็กยากไร้ ทำให้เราเป็นคนมีสติปัญญาดีทั้งชาตินี้ชาติหน้า แต่ไม่ทำให้รวยหรือหน้าตาดี
2) แปรเปลี่ยนได้ตามปรารถนา เช่น บริจาคเงิน เงินบริจาคจะแปรสภาพเป็นบุญตัวกลมๆ แล้วเปลี่ยนบุญให้เป็นเรื่องดีๆอื่นๆอย่างไม่มีข้อจำกัด การบริจาคเงินอาจทำให้เราหน้าตาดี หล่อสวย ฉลาด สุขภาพดีได้
3) กึ่งตายตัว กึ่งแปรเปลี่ยน เช่น สอนคณิตศาสตร์เด็กยากไร้จำนวนหลายร้อยคน ผลบุญนี้จะวนกลับมาที่เราทำให้เราเก่งเลขกว่าคนอื่นหลายร้อยเท่าก็ดูไม่สมเหตุผล หรือจะเก่งเลขเท่าเดียวไปหลายร้อยชาติมันก็ยังไงอยู่ บุญนี้จึงส่งผลให้เราเก่งเลขและเศษบุญที่เหลือจะแปรเป็นสิ่งดีๆด้านอื่นๆ เช่น ร่ำรวยหรือหน้าตาดีเป็นต้น
ข้อสังเกตที่1 จากข้อกังขาข้างต้นพอลองมาคิดดูแล้วมันจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญกับคำถามหลักคือ เราจะนำบุญไปสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นได้หรือไม่? ข้อกังขาที่3 จึงละไว้พิจรณาคราวหลัง แต่ที่ตั้งข้อกังขาที่3ขึ้นมาเพราะมันนำไปสู่กรณีศึกษาที่น่าสนใจ
กรณีศึกษา 1 เงินบริจาคเพื่อการศึกษา
หากเราจ่ายภาษีที่อัตราสูงจะทำให้เงินบริจาคเพื่อการศึกษานำไปลดหย่อนภาษีอย่างคุ้มค่าได้ กล่าวโดยรวบรัดคือ ในการวางแผนภาษีส่วนบุคคลที่ดี การบริจาค 100บาท สามารถลดภาษีได้100บาทและขอเงินคืนจากสรรภากรได้อีก 28บาท นั่นคือ บริจาค100 ได้ 128
อันนี้จะนับว่าเป็นผลบุญส่งผล ณ ที่จ่ายก็พอได้ คำถามคือ หลังจากมันส่งผลเป็น ROI(return on investment) 28%แล้ว ยังเหลือบุญตัวกลมๆส่วนเกินอีกไหม แล้วมันจะทำให้เรารวยขึ้น หรือฉลาดขึ้น(เพราะเป็นเงินบริจาคเพื่อการศึกษา) หรือทั้งสองอย่าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1160
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 3
ผมจะเอาบุญที่ทำมาให้คนอื่นเช่าและจ่ายกลับเป็นดอกเบี้ยบุญได้ไหม?
เช่นผมบริจาคให้การศึกษา1แสน แต่บุญนี้ยังไม่ต้องการใช้ แล้วเพื่อนผมกำลังต้องการติดต่อธุรกิจ ให้ได้ผล จึงตกลงกับเพื่อนขออุทิศส่วนบุญนี้ไปส่งเสริมธุรกิจของเพื่อน เมื่อธุรกิจเพื่อนประสบกำไรดีแล้วโดยมีส่วนสนับสนุนจากบุญของผมที่กำหนดให้มันทำงานเวลานั้นๆ จากนั้นจึงให้เพื่อนนำเงินไปบริจาคให้การศึกษา 1แสนหนึ่งหมื่นห้าพัน(roe 15%ตามที่ตกลงกัน) แล้วโอนบุญกลับมาให้ผม
อย่างนี้น่าจะได้ไหมครับ?
แล้วถ้าเกิดบุญที่ส่งไปไม่สามารถทำให้ธุรกิจมีกำไร เพื่อนไม่สามารถโอนบุญคืน เกิดเป็น NPL ผมมีสิทธิยึดบุญคืนไหม หรือ บุญตรงนั้นจะหายไปเพราะถือว่า โอนไปแล้ว ใช้ไปแล้ว แต่มันไม่พอเลยหามาคืนไม่ได้ ผลคืออด
เพราะงั้นก่อนให้ยืมควรตรวจสอบก่อน มันจะเป็นยังงี้รึเปล่า?
5555 ดูท่าผมจะว่างมากจริงๆแหละ เลยฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้ ใครว่างกว่าผมก็มาตอบกันนะครับ
เช่นผมบริจาคให้การศึกษา1แสน แต่บุญนี้ยังไม่ต้องการใช้ แล้วเพื่อนผมกำลังต้องการติดต่อธุรกิจ ให้ได้ผล จึงตกลงกับเพื่อนขออุทิศส่วนบุญนี้ไปส่งเสริมธุรกิจของเพื่อน เมื่อธุรกิจเพื่อนประสบกำไรดีแล้วโดยมีส่วนสนับสนุนจากบุญของผมที่กำหนดให้มันทำงานเวลานั้นๆ จากนั้นจึงให้เพื่อนนำเงินไปบริจาคให้การศึกษา 1แสนหนึ่งหมื่นห้าพัน(roe 15%ตามที่ตกลงกัน) แล้วโอนบุญกลับมาให้ผม
อย่างนี้น่าจะได้ไหมครับ?
แล้วถ้าเกิดบุญที่ส่งไปไม่สามารถทำให้ธุรกิจมีกำไร เพื่อนไม่สามารถโอนบุญคืน เกิดเป็น NPL ผมมีสิทธิยึดบุญคืนไหม หรือ บุญตรงนั้นจะหายไปเพราะถือว่า โอนไปแล้ว ใช้ไปแล้ว แต่มันไม่พอเลยหามาคืนไม่ได้ ผลคืออด
เพราะงั้นก่อนให้ยืมควรตรวจสอบก่อน มันจะเป็นยังงี้รึเปล่า?
5555 ดูท่าผมจะว่างมากจริงๆแหละ เลยฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้ ใครว่างกว่าผมก็มาตอบกันนะครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 5
ลองอ่านหนังสือชื่อ เตรียมสเบียงไว้เลี้ยงตัว
น่าจะได้คำตอบนะครับ
น่าจะได้คำตอบนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 883
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 6
การทำบุญโดยบริจาคเพื่อการสร้างวัด อุโบสถ หรือสถานที่เพื่อให้พระท่าน หรือผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาใช้ประโยชน์ ก็เหมือนกับการที่เราสร้างคอนโดแล้วได้รับเงินทุกเดือนๆ ครับ ขึ้นอยู่กับระดับบรรลุ ของพระสงฆ์แต่ละรูปที่เข้ามาปฏิบัติธรรม ในสถานที่ที่เราบริจาคให้ครับ
ผมไม่แน่ใจว่าผมใช้คำถูกรึป่าว
แต่ผมเคยอ่านจากหนังสือเล่มหนึ่งครับ
ผมผิดถูกยังไง ผู้รู้ช่วยชี้แจงด้วยนะครับ
ผมไม่แน่ใจว่าผมใช้คำถูกรึป่าว
แต่ผมเคยอ่านจากหนังสือเล่มหนึ่งครับ
ผมผิดถูกยังไง ผู้รู้ช่วยชี้แจงด้วยนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 7
"บุญคือการชำระ มีอาการคือการสละ"
ความรู้สึก อยากได้ๆ เป็นการสละ แล้ว ชำระล้างจิตใจหรือไม่
ศึกษาเรื่องบุญเพิ่มเติมนะครับ
ความรู้สึก อยากได้ๆ เป็นการสละ แล้ว ชำระล้างจิตใจหรือไม่
ศึกษาเรื่องบุญเพิ่มเติมนะครับ
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"

- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 8
แต่ถ้าหมายถึง ทาน ละก็ ทบต้นได้ครับ
คือการให้ ธรรมทาน ไงครับ
เพราะคนที่ได้รับ ถ้าเกิดศรัทธาก็จะให้ธรรมทานแก่ผู้อื่นต่อ ขยายวงกว้างออกไป
ดังนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ธรรมทานเป็นยอดแห่งทานทั้งหลาย
คือการให้ ธรรมทาน ไงครับ
เพราะคนที่ได้รับ ถ้าเกิดศรัทธาก็จะให้ธรรมทานแก่ผู้อื่นต่อ ขยายวงกว้างออกไป
ดังนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ธรรมทานเป็นยอดแห่งทานทั้งหลาย
-
- Verified User
- โพสต์: 1160
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 9
"บุญคือการชำระ มีอาการคือการสละ"
ความรู้สึก อยากได้ๆ เป็นการสละ แล้ว ชำระล้างจิตใจหรือไม่
ศึกษาเรื่องบุญเพิ่มเติมนะครับ
คำตอบคือใช่ครับ ถ้ามองในมุมมองนึงนะผมว่า จะมองว่าไม่ใช่ก็ได้
อยากให้คนอื่นมีความสุข อยากพ้นทุกข์ อยาก ฯลฯ ว่ากันว่าที่พุทธเจ้าออกบวชตอนแรกก็เพราะกิเลสเนี่ยหละ คือ พุทธเจ้า"อยากพ้นทุกข์" แถมยังมีโมหะ หรือความเบื่อหน่ายไม่อยากมีไม่อยากเป็น คือ เบื่อชีวิตเจ้าชาย กิเลสเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการทำความดีและค้นหาความสงบครับ
ตอนตั้งกระทู้ก็คิดว่าจะมีคนมาตอบแบบเนี้ยนะ คือ ในหนังสือของโอโชก็บอกว่า
การให้ก็มีคุณค่าในตัวของมันเองแล้ว
"บนเส้นทางแห่งพุทธะ ไม่มีรางวัลอะไร เพราะความปรารถนาในรางวัลนั้นเองนั้นมาจากจิตที่ละโมบ คำสอนทั้งหมดของพุทธเจ้าคือให้ละวาง ถ้าท่านทำสิ่งที่เรียกว่าการทำบุญเหล่านี้ ไม่ว่่าจะเป็นการสร้างโบสถ์วิหาร หรือถวายภัตาหารพระโดยยังมีความต้องการอยู่ในใจ ท่านก็กำลังเตรียมตัวไปนรก หากท่านทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความชื่นชมยินดี แบ่งปันความชื่นชมของท่านกับจักรวรรดิ์ทั้งหมด โดยไม่มีความปรารถนาในรางวัลใดๆแม้เพียงเสี้ยวเดียว การกระทำนั้นก็เป็นรางวัลในตัวของมันเองแล้ว หากเป็นอย่างอื่นก็นับว่าท่านทำผิดพลาด"
(จาก OSHO คุรุวิพากษ์คุรุ หน้า 23 โพธิธรรมสนทนากับจักรพรรดิ์)
แต่บนสมมติฐานที่ผมตั้งเป็นบุญในลักษณะพลังงานที่มองไม่เห็นครับ ไม่ใช่ลักษณะดังข้างต้น ว่ามันควบคุมเอาไปทำให้ทบต้นได้ไหม ถ้าได้จะทำยังไง
ขอบคุณคุณ คนคอน perfect luckyและกล้วยไม้ขาวสำหรับข้อคิดเห็นจ้า
ความรู้สึก อยากได้ๆ เป็นการสละ แล้ว ชำระล้างจิตใจหรือไม่
ศึกษาเรื่องบุญเพิ่มเติมนะครับ
คำตอบคือใช่ครับ ถ้ามองในมุมมองนึงนะผมว่า จะมองว่าไม่ใช่ก็ได้
อยากให้คนอื่นมีความสุข อยากพ้นทุกข์ อยาก ฯลฯ ว่ากันว่าที่พุทธเจ้าออกบวชตอนแรกก็เพราะกิเลสเนี่ยหละ คือ พุทธเจ้า"อยากพ้นทุกข์" แถมยังมีโมหะ หรือความเบื่อหน่ายไม่อยากมีไม่อยากเป็น คือ เบื่อชีวิตเจ้าชาย กิเลสเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการทำความดีและค้นหาความสงบครับ
ตอนตั้งกระทู้ก็คิดว่าจะมีคนมาตอบแบบเนี้ยนะ คือ ในหนังสือของโอโชก็บอกว่า
การให้ก็มีคุณค่าในตัวของมันเองแล้ว
"บนเส้นทางแห่งพุทธะ ไม่มีรางวัลอะไร เพราะความปรารถนาในรางวัลนั้นเองนั้นมาจากจิตที่ละโมบ คำสอนทั้งหมดของพุทธเจ้าคือให้ละวาง ถ้าท่านทำสิ่งที่เรียกว่าการทำบุญเหล่านี้ ไม่ว่่าจะเป็นการสร้างโบสถ์วิหาร หรือถวายภัตาหารพระโดยยังมีความต้องการอยู่ในใจ ท่านก็กำลังเตรียมตัวไปนรก หากท่านทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความชื่นชมยินดี แบ่งปันความชื่นชมของท่านกับจักรวรรดิ์ทั้งหมด โดยไม่มีความปรารถนาในรางวัลใดๆแม้เพียงเสี้ยวเดียว การกระทำนั้นก็เป็นรางวัลในตัวของมันเองแล้ว หากเป็นอย่างอื่นก็นับว่าท่านทำผิดพลาด"
(จาก OSHO คุรุวิพากษ์คุรุ หน้า 23 โพธิธรรมสนทนากับจักรพรรดิ์)
แต่บนสมมติฐานที่ผมตั้งเป็นบุญในลักษณะพลังงานที่มองไม่เห็นครับ ไม่ใช่ลักษณะดังข้างต้น ว่ามันควบคุมเอาไปทำให้ทบต้นได้ไหม ถ้าได้จะทำยังไง
ขอบคุณคุณ คนคอน perfect luckyและกล้วยไม้ขาวสำหรับข้อคิดเห็นจ้า
-
- Verified User
- โพสต์: 1160
- ผู้ติดตาม: 0
เราทำบุญแบบทบต้นได้ไหม?
โพสต์ที่ 10
ไปดูในพระไตรมาครับ อันนี้คือว่าไว้ในหลักการ
สุขของคฤหัส 4 ประการ
1. สุขเกิดแต่การมีทรัพย์
(โดนใจจริงๆข้อนี้ ไอ้พวกหาได้น้อยๆแล้วมาบ่นว่าคนรวยไม่สุขหรอก พวกนี้มันโลภมากจอม ปลอม ฯลฯ สำหรับคนที่ตั้งใจหาเงินโดยสุจริตในเวปthaivi ทั้งหลาย ผมว่าข้อนี้เป็นกำลังใจให้หลายคนครับ พุทธเจ้าบอกไว้เลยว่าคุณทำสิ่งที่ถูกต้อง)
2. สุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์
(โดนอีกแล้ว)
3. สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้
(บัฟเฟตก็ชอบ ผู้ถือหุ้นก็ชอบ เวลาถือบริษัทไม่มีหนี้แล้วหลับสบาย)
4. สุขเกิดแต่การประกอบการงานไม่เป็นโทษ
ไม่เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้นะครับ แต่เป็นกำลังใจให้หลายๆคนที่อาจคาใจหรือรู้สึกไม่ดีว่า การตั้งใจหาเงินนั้นโลภและเป็นบาป ไม่ใช่เลยครับ
"การหาเงินคือการปฏิบัติธรรม" (โอ้เย้)
สุขของคฤหัส 4 ประการ
1. สุขเกิดแต่การมีทรัพย์
(โดนใจจริงๆข้อนี้ ไอ้พวกหาได้น้อยๆแล้วมาบ่นว่าคนรวยไม่สุขหรอก พวกนี้มันโลภมากจอม ปลอม ฯลฯ สำหรับคนที่ตั้งใจหาเงินโดยสุจริตในเวปthaivi ทั้งหลาย ผมว่าข้อนี้เป็นกำลังใจให้หลายคนครับ พุทธเจ้าบอกไว้เลยว่าคุณทำสิ่งที่ถูกต้อง)
2. สุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์
(โดนอีกแล้ว)
3. สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้
(บัฟเฟตก็ชอบ ผู้ถือหุ้นก็ชอบ เวลาถือบริษัทไม่มีหนี้แล้วหลับสบาย)
4. สุขเกิดแต่การประกอบการงานไม่เป็นโทษ
ไม่เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้นะครับ แต่เป็นกำลังใจให้หลายๆคนที่อาจคาใจหรือรู้สึกไม่ดีว่า การตั้งใจหาเงินนั้นโลภและเป็นบาป ไม่ใช่เลยครับ
"การหาเงินคือการปฏิบัติธรรม" (โอ้เย้)