ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 152
:shock: :shock: มีแต่เทพยดาฟ้าดินท้างงง น้านนน...
รอดูครับใครจะมาทำลาย 385% !!!!
รอดูครับใครจะมาทำลาย 385% !!!!
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 153
วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้หุ้นเราไม่ลงนะครับ เป็นเพียงแค่วิธีลดความเสี่ยงเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ตามผมก็ยังเชื่ออยู่ดีกว่าหุ้นดีที่มี p/e ต่ำนั้น ถึงแม้ในภาวะตลาดขาลงก็มีแนวโน้มที่จะลงน้อยกว่าnandeandw เขียน: แล้วพี่โยคิดว่าควรดู P/E ตลาด หรือปัจจัยแวดล้อมอื่นด้วยมั้ยครับ เพราะว่าอย่างปีที่แล้วP/Eต่ำ P/Eสูง ก็ลงกันเกือบหมดทุกตัว คือผมเข้าใจว่าหุ้นมันลงเพราะปัจจัยอื่นไม่ได้เกี่ยวกับ P/E ของ portเรา
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 2
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 154
จริงจริงแล้วผลตอบแทนปีนี้น่าจะเข้าข่าย ฟลุ๊คแบบมากมากนะครับ เท่าที่ผมคิดแบบคร่าวคร่าว ราวปันผลแล้ว น่าจะอยู่ที่ราวราว 300 กว่ากว่า ปีที่แล้วขาดทุนราวราว 40 % ( ผมเติมเงินหลายรอบมากเลยครับ ยังงงกับตัวเองอยู่ เนื่องจากปีแรกที่ลงทุนใส่เงินเริ่มต้นไปจำนวนหนึ่งแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยค่อยเติมเงินเก็บส่วนที่เหลือเพิ่มไปครับปีหน้าจะเริ่มทำบัญชีจริงจริงจังจังแล้วครับ ) ก็ตั้งแต่ช่วงต้นปี ผมถือหุ้นเกือบตัวเดียวเลยครับทั้งพอร์ท คือ hmpro นั่นเอง พอดี hmpro ฟื้นตัวขึ้นมาไวกว่าเพื่อนครับ จึงทำให้ขายออกไปส่วนหนึ่งได้เร็วกว่าแล้วส่วนที่เหลือก็ไปขายได้ค่อนข้างสูงคือวันที่ประกาศปันผลเป็นหุ้นครับ แล้วไปเข้ามากมายหลายตัวจริงจริง ซึ่งส่วนมากก็ผลออกมาค่อนข้างดีครับ เช่น svi (อันนี้ผมได้สองรอบรอบแรกตอนราคาค่อนข้างต่ำ ประมาณ แถว 0.8 สตางค์ แต่ขายไปประมาณ 1.3 บาท รอบแรกไม่ได้ซื้อเยอะครับต้องขอบคุณลุงขวดที่แนะนำให้ซื้อกันวันที่โลว์เลย เจอลุงขวดวันนั้นพอดีที่ oppday ส่วนรอบที่สอง ซื้อเป็นสัดส่วนเยอะหน่อยแถว 1.5 อันนี้ต้องขอบคุณ คุณ picatos ที่ให้คำแนะนำแบบยิ่งกว่านักวิเคราะห์ ให้คำแนะนำว่า ซื้อเดี๋ยวนี้ ) dsgt spali htech qlt cpf irp sis ilink(ตัวนี้ขายหมูเหมือนกันไม่คิดว่าจะมาขนาดนี้ ) spf kiat ps
ส่วนตัวที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมขายออกไปก่อนส่วนมากก็จะไม่ได้ขาดทุนมากนัก แต่ อาจจะไม่ค่อยได้กำไร ก็มี csc bcp bgt it trc สรุปคือปีนี้ต้องถือว่าเป็นโชคดีจริงจริงครับ เพราะได้เจอกับคนเก่งเก่งมากมายและให้คำแนะนำดีดีมาตลอด และคำสอนดีดี แบบไม่มีหมกเม็ดเลย ขอบคุณทุกทุกท่านที่ตอบทั้งหน้าไมค์หลังไมค์มา ณ. ที่นี้ด้วยครับ (เฮียกาละมัง คุณ yoyo , pongo , luty 97 , picatos , พี๋นริศ , พี่โดม , พี่โจ ลูกอีสาน ,พี่เล็กยิ้ม และ ท่านอื่นอื่นอีกมากมายเลยครับ )
ส่วนปีนี้กำลังกลับมาทำหัวใจให้เป็นปกติ และตั้งเป้าหมายใหม่ แต่คงไม่ได้หวังเยอะเหมือนปีที่ผ่านมาครับ ผมเองเคยอ่านเจอหนังสือของนักบริหารท่านนึง ให้ข้อคิดที่ดีว่า จงอยู่กับปัจจุบัน หากเราประสบความสำเร็จอะไรมามากมาก ก็ให้หยุดดีใจกับมันไปเลยหนึ่งวัน แล้วมานั่งตั้งต้นใหม่กับความรู้สึกว่างว่าง หากเราผิดหวังหรือเสียใจอะไรมากมาก ก็ให้เสียใจกับมันไปเลยหนึ่งวันเช่นกัน หลังจากช่วงเวลานั้นแล้ว เราก็จะเอาแต่ประสบการณ์ หรือ ข้อคิดต่างต่างที่ได้จากสิ่งที่ผ่านมามาปรับปรุงและพัฒนาตัวเราเท่าน้น ความรู้สึกและอารมณ์โยนทิ้งไปเลยไม่เอามาด้วยครับ :lol:
ส่วนตัวที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมขายออกไปก่อนส่วนมากก็จะไม่ได้ขาดทุนมากนัก แต่ อาจจะไม่ค่อยได้กำไร ก็มี csc bcp bgt it trc สรุปคือปีนี้ต้องถือว่าเป็นโชคดีจริงจริงครับ เพราะได้เจอกับคนเก่งเก่งมากมายและให้คำแนะนำดีดีมาตลอด และคำสอนดีดี แบบไม่มีหมกเม็ดเลย ขอบคุณทุกทุกท่านที่ตอบทั้งหน้าไมค์หลังไมค์มา ณ. ที่นี้ด้วยครับ (เฮียกาละมัง คุณ yoyo , pongo , luty 97 , picatos , พี๋นริศ , พี่โดม , พี่โจ ลูกอีสาน ,พี่เล็กยิ้ม และ ท่านอื่นอื่นอีกมากมายเลยครับ )
ส่วนปีนี้กำลังกลับมาทำหัวใจให้เป็นปกติ และตั้งเป้าหมายใหม่ แต่คงไม่ได้หวังเยอะเหมือนปีที่ผ่านมาครับ ผมเองเคยอ่านเจอหนังสือของนักบริหารท่านนึง ให้ข้อคิดที่ดีว่า จงอยู่กับปัจจุบัน หากเราประสบความสำเร็จอะไรมามากมาก ก็ให้หยุดดีใจกับมันไปเลยหนึ่งวัน แล้วมานั่งตั้งต้นใหม่กับความรู้สึกว่างว่าง หากเราผิดหวังหรือเสียใจอะไรมากมาก ก็ให้เสียใจกับมันไปเลยหนึ่งวันเช่นกัน หลังจากช่วงเวลานั้นแล้ว เราก็จะเอาแต่ประสบการณ์ หรือ ข้อคิดต่างต่างที่ได้จากสิ่งที่ผ่านมามาปรับปรุงและพัฒนาตัวเราเท่าน้น ความรู้สึกและอารมณ์โยนทิ้งไปเลยไม่เอามาด้วยครับ :lol:
Small Details Make a Big Difference
- BeSmile
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1178
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 157
ปี 2552 ขอเป็นปีทองของ เทพ (โพธิ์งาม) แล้วกันครับ เพิ่งเริ่มต้นลงทุนแบบ VI โดยตามรอย STPI ของคุณหมอ สามัญชน เข้ามา :D
ต้องขอขอบคุณกระทู้ของ คุณลูกอิสาน ที่ช่วยทำให้เริ่มต้นแนวทาง VI ได้เร็วขึ้นมาก
ซึ่งต้องบอกว่า อ่านแล้ว ตรงจิต สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ผลดีมาก
ตอนเข้ามาใน Web ThaiVI ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหลักการ VI สักเท่าไหร่ ทั้งที่อ่านหนังสือ ดร.นิเวศน์ Peter Lynch Warren และอื่น ๆ มานานหลายปี แต่ก็ยัง ลงทุนในหุ้นแบบ Speculate เป็นส่วนใหญ่
ปีนี้ คง เริ่มกันใหม่ ล่ะครับ โอม ขอครึ่งหนึ่งของปี 52 ก็พอ :lol:
ต้องขอขอบคุณกระทู้ของ คุณลูกอิสาน ที่ช่วยทำให้เริ่มต้นแนวทาง VI ได้เร็วขึ้นมาก
ซึ่งต้องบอกว่า อ่านแล้ว ตรงจิต สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ผลดีมาก
ตอนเข้ามาใน Web ThaiVI ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหลักการ VI สักเท่าไหร่ ทั้งที่อ่านหนังสือ ดร.นิเวศน์ Peter Lynch Warren และอื่น ๆ มานานหลายปี แต่ก็ยัง ลงทุนในหุ้นแบบ Speculate เป็นส่วนใหญ่
ปีนี้ คง เริ่มกันใหม่ ล่ะครับ โอม ขอครึ่งหนึ่งของปี 52 ก็พอ :lol:
มีสติ - อย่าประมาทในการใช้ชีวิต
- Luty97
- Verified User
- โพสต์: 1520
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 158
พี่เล็กยิ้มจุดธูปเรียกไม่มา เด๋วว่าไม่คารวะ แฮะๆ
จริงๆผลตอบแทนก็คงเกาะกลุ่มคนอื่นๆไปแหละครับ แต่ก็พอใจอยู่ หุ้นที่กำไรก็มีทั้งที่คิดเองและลอกคนอื่นบ้าง ^^
โดยนับจากต้นปีมา ตัวที่ได้กำไรเป็นน้ำเป็นเนื้อก็ ptl,kye,irp,spali,lpn
ปีนี้แม้ว่าจะเห็นหุ้นถูกมากหลายตัว แต่ก็ไม่กล้าอัดมาร์จินเยอะๆแบบอาจารย์โย พลังวัตรยังน้อยต้องค่อยๆสะสมกำลังภายในไปเรื่อยๆ :oops:
สรุปปี 52 ที่ผ่านมาก็ได้ไป 216% ปีที่แล้ว -31% รวมทบต้น 3.5 ปีก็เฉลี่ยที่ 72% (ปีที่แล้วไม่กล้าโพส :lol: เหมือนที่ ดร. ว่า ศพพูดไม่ได้)
ปี 53 นี้ขอให้เฮงๆ กันทุกคนรวมถึงผมด้วย
โชคดีทุกคนครับ :P
จริงๆผลตอบแทนก็คงเกาะกลุ่มคนอื่นๆไปแหละครับ แต่ก็พอใจอยู่ หุ้นที่กำไรก็มีทั้งที่คิดเองและลอกคนอื่นบ้าง ^^
โดยนับจากต้นปีมา ตัวที่ได้กำไรเป็นน้ำเป็นเนื้อก็ ptl,kye,irp,spali,lpn
ปีนี้แม้ว่าจะเห็นหุ้นถูกมากหลายตัว แต่ก็ไม่กล้าอัดมาร์จินเยอะๆแบบอาจารย์โย พลังวัตรยังน้อยต้องค่อยๆสะสมกำลังภายในไปเรื่อยๆ :oops:
สรุปปี 52 ที่ผ่านมาก็ได้ไป 216% ปีที่แล้ว -31% รวมทบต้น 3.5 ปีก็เฉลี่ยที่ 72% (ปีที่แล้วไม่กล้าโพส :lol: เหมือนที่ ดร. ว่า ศพพูดไม่ได้)
ปี 53 นี้ขอให้เฮงๆ กันทุกคนรวมถึงผมด้วย
โชคดีทุกคนครับ :P
หลักของความสมดุล
- Luty97
- Verified User
- โพสต์: 1520
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 159
เอ้ น่าจะคืนแล้วปะครับ หรือผมคิดผิดOutliers เขียน:พูดไปแล้วเหมือนตัวเองเก่งมากๆในปีนี้เลย คือได้ผลตอบแทนเกือบ 300% นับ Margin ด้วย
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วผลตอบแทนแย่มากๆ เพราะปี 2008 โดนไป -70% (โดน margin อีกล่ะ)
ทำให้ขณะนี้รวม 2 ปี ยังไม่คืนทุนเลยล่ะ (คนอื่นเขาคืนทุนไปไหนต่อไหนกันหมดแล้ว) ผลของ margin นี่เยอะจริงๆ
ต้นปี 08 สมมุตว่ามี 100 สินปีเหลือ 30
ต้นปี 09 เริ่ม 30 สิ้นปีบวก 300% ก็ต้อง 120
ไม่คืนได้ไงหวา :roll:
หลักของความสมดุล
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
news
โพสต์ที่ 160
โอ้โห!406หุ้นแจกกำไร81%ปี52
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553
ตลาดเผยปี 2552 มีหุ้น 406 ตัวทั้งใน SET และ เอ็ม เอ ไอ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 81%
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยข้อมูลการเคลื่อนไหวราคาหุ้นในช่วงปี 2552 พบว่ามีหุ้นจำนวน 406 บริษัท หรือ 82% ของจำนวนบริษัททั้งหมด มีราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 81% เทียบกับสิ้นปี 2551
ทั้งนี้ แบ่งเป็นหุ้นในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 370 บริษัท และตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) อีก 36 บริษัท ซึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้รวมหุ้นที่เข้า จดทะเบียนใหม่หรือถูกเพิกถอนในปี 2552 และหุ้นที่อยู่ในหมวดบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงาน
สำหรับหุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก ที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 51 ตัว หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ 31 ตัว หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง 28 ตัว หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค 21 ตัว อาหารและเครื่องดื่ม 21 ตัว และหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 21 ตัว ในขณะที่ธนาคารเป็นหมวดธุรกิจเดียวที่หุ้นทุกตัวมีราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 165%
ทั้งนี้ พบว่าหุ้นในกลุ่ม SET 51-100 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาด กลาง มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย สูงที่สุด 103.51% รองลงมาคือ หุ้นขนาดใหญ่ (SET50) 91.26% และหุ้นขนาดเล็ก (Non-SET100) 54%
ขณะเดียวกันหุ้นขนาดกลางยังมีค่าเฉลี่ยของราคาที่ปรับตัวลดลงต่ำที่สุดอีกด้วย (-13.32%) แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นขนาดกลางในปี 2552 ให้ผลตอบแทนมากที่สุด และยังเสี่ยงน้อยที่สุดอีกด้วย
บริษัท กันยงอีเลคทริก (KYE) ราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดประมาณ 580% ตามด้วยบริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส (PR124) ราคาเพิ่มขึ้น 425% นายชนิตร กล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ในปี 2552 การเพิ่มขึ้นของหุ้นจะกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ และแม้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเพียง 3.9 หมื่นล้านบาท ยังไม่เท่ากับจำนวนที่ขายสุทธิในปี 2551 มูลค่า 1.6 แสนล้านบาทก็ตาม แต่หากดูจำนวนหุ้นที่ต่างชาติซื้อคืนแล้วมีความเป็น ไปได้ว่าอาจถึงระดับที่เคยถือแล้ว เพราะราคาหุ้นในปี 2552 อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
หลักการลงทุนหุ้นในปี 2553 นั้นอาจจะต่างจากปี 2552 โดย ผู้ลงทุนจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เพราะราคา หุ้นได้ปรับขึ้นสูงดักผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นต้องหัน กลับมาดูสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (พีอี) นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าว
www.posttoday.com
เห็นจะจริงที่ว่า ยามหุ้นขาขึ้น ใครลงทุนก็รวย
แต่ที่หน้าเจ็บใจนี่ผมแพ้ set50 ได้ไงหว่า :oops: :oops:
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553
ตลาดเผยปี 2552 มีหุ้น 406 ตัวทั้งใน SET และ เอ็ม เอ ไอ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 81%
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยข้อมูลการเคลื่อนไหวราคาหุ้นในช่วงปี 2552 พบว่ามีหุ้นจำนวน 406 บริษัท หรือ 82% ของจำนวนบริษัททั้งหมด มีราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 81% เทียบกับสิ้นปี 2551
ทั้งนี้ แบ่งเป็นหุ้นในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 370 บริษัท และตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) อีก 36 บริษัท ซึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้รวมหุ้นที่เข้า จดทะเบียนใหม่หรือถูกเพิกถอนในปี 2552 และหุ้นที่อยู่ในหมวดบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงาน
สำหรับหุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก ที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 51 ตัว หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ 31 ตัว หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง 28 ตัว หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค 21 ตัว อาหารและเครื่องดื่ม 21 ตัว และหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 21 ตัว ในขณะที่ธนาคารเป็นหมวดธุรกิจเดียวที่หุ้นทุกตัวมีราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 165%
ทั้งนี้ พบว่าหุ้นในกลุ่ม SET 51-100 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาด กลาง มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย สูงที่สุด 103.51% รองลงมาคือ หุ้นขนาดใหญ่ (SET50) 91.26% และหุ้นขนาดเล็ก (Non-SET100) 54%
ขณะเดียวกันหุ้นขนาดกลางยังมีค่าเฉลี่ยของราคาที่ปรับตัวลดลงต่ำที่สุดอีกด้วย (-13.32%) แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นขนาดกลางในปี 2552 ให้ผลตอบแทนมากที่สุด และยังเสี่ยงน้อยที่สุดอีกด้วย
บริษัท กันยงอีเลคทริก (KYE) ราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดประมาณ 580% ตามด้วยบริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส (PR124) ราคาเพิ่มขึ้น 425% นายชนิตร กล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ในปี 2552 การเพิ่มขึ้นของหุ้นจะกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ และแม้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเพียง 3.9 หมื่นล้านบาท ยังไม่เท่ากับจำนวนที่ขายสุทธิในปี 2551 มูลค่า 1.6 แสนล้านบาทก็ตาม แต่หากดูจำนวนหุ้นที่ต่างชาติซื้อคืนแล้วมีความเป็น ไปได้ว่าอาจถึงระดับที่เคยถือแล้ว เพราะราคาหุ้นในปี 2552 อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
หลักการลงทุนหุ้นในปี 2553 นั้นอาจจะต่างจากปี 2552 โดย ผู้ลงทุนจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เพราะราคา หุ้นได้ปรับขึ้นสูงดักผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นต้องหัน กลับมาดูสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (พีอี) นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าว
www.posttoday.com
เห็นจะจริงที่ว่า ยามหุ้นขาขึ้น ใครลงทุนก็รวย
แต่ที่หน้าเจ็บใจนี่ผมแพ้ set50 ได้ไงหว่า :oops: :oops:
- kiri
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 473
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 161
ตามที่พี่ Leksmile จุดธูปเรียกข้าพเจ้า เพื่อมารายงานผลประกอบการleksmile เขียน:
ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่โชคเข้าข้างเรามากเนื่องจาก Result อยู่ที่ประมาณ 300 % (สูงสุดตั้งแต่ลงทุนมา แต่ยังแพ้น้องโยอยู่ :D ) แต่เนื่องจากปีที่ผ่านมาเหมือนกับ ภาเหมือนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากได้กลับไปทำงาน Fulltime เลยทำให้ไม่ค่อยได้ดู port และให้แฟน (คุณผบ.)เป็นคนดูให้
ขอบคุณมากนะจ๊ะ
วิชาการหน่อยแล้วกัน
ตัวหลักๆ ปีที่แล้วก็ เป็น PS ,HMPRO ,LPN (แนวอสังหาฯ)
ตัวรองๆได้แก่ cpn ,banpu,ums,stanly ,cpf
เปลี่ยนหุ้นหลักๆ ไปเมื่อต้นปีที่แล้ว จากนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนตัวค่ะ ซื้อแล้วถือค่อนข้างนาน
ปล. มี effect จาก margin บางส่วนด้วยค่ะ
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 162
สรุปพอร์ทแล้วครับ ช้าหน่อยเพราะมัวแต่ไปเที่ยวปีใหม่มา ปีนี้ +105% เยอะสุดเท่าที่เคยลงทุนมา ตั้งแต่ปี 2004
พระเอกคือ HMPRO ส่วนพระรองคือ KCAR โดยมีสมุนที่ฟื้นมาจากปีที่แล้ว เช่น SE-ED
มองย้อนกลับไปแล้วถือว่าโชคดีมากๆที่ไม่ได้ขายหุ้นซักตัวตอน SET 300-400 มีแต่ซื้อเพิ่มกับปรับพอร์ต จนช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองไส้แห้งมากๆ
ปีนี้สถานการณ์คงกลับมาเหมือนเดิม หวังผลตอบแทนไว้ 15% ขึ้นไปครับ
พระเอกคือ HMPRO ส่วนพระรองคือ KCAR โดยมีสมุนที่ฟื้นมาจากปีที่แล้ว เช่น SE-ED
มองย้อนกลับไปแล้วถือว่าโชคดีมากๆที่ไม่ได้ขายหุ้นซักตัวตอน SET 300-400 มีแต่ซื้อเพิ่มกับปรับพอร์ต จนช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองไส้แห้งมากๆ
ปีนี้สถานการณ์คงกลับมาเหมือนเดิม หวังผลตอบแทนไว้ 15% ขึ้นไปครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- konkaikong
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 163
ผมว่าคนที่เขาทำกำไรได้ในรูปแบบของ เปอรเซ็น น้อย แบบสัก ต่ำกว่าร้อย
ซึ่งดูว่าน้อยกว่าหลายท่าน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เทพนะครับ เช่นว่า
ถ้าเขาอัด NET WORTH ทั้งหมดที่เขามีในหุ้นแต่เอาชัวร์ ประเภทกำไร
แล้วเทค เอาเงินสดมานั่งรอ อัดไปสักร้อยล้าน กำไรสี่สิบเปอร์เซ็นก็สบาย
แล้ว บางคนที่มี NET WORTH ร้อยล้าน แต่ลงหุ้น สิบล้าน กำไรไป สามร้อย
เปอร์เซ็น ยังสู้คนแรกไม่ได้เลย แถมถ้าคนหลังเอาเงินมาซื้อพวกหุ้นสภาพ
คล่องน้อยก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะปล่อยของได้อีก ถ้าหุ้นลงก็ไม่สามารถเปลี่ยนตัว
เล่นได้ ปีที่ผ่านมามีคนกำไรเป็นอัตราส่วนที่มากกว่าคนขาดทุนมาก
มากกว่าประมาณสี่ ห้า เท่าได้ ผมว่าปัญหาต่อไปก็คือว่า ทำอย่างไรเราจะ
รักษากำไรเหล่านั้นไว้ได้
ขอสวัสดีปีใหม่ และ ให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน มีความสุขในชีวิต และ มีสุขภาพแข็งแรง
ซึ่งดูว่าน้อยกว่าหลายท่าน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เทพนะครับ เช่นว่า
ถ้าเขาอัด NET WORTH ทั้งหมดที่เขามีในหุ้นแต่เอาชัวร์ ประเภทกำไร
แล้วเทค เอาเงินสดมานั่งรอ อัดไปสักร้อยล้าน กำไรสี่สิบเปอร์เซ็นก็สบาย
แล้ว บางคนที่มี NET WORTH ร้อยล้าน แต่ลงหุ้น สิบล้าน กำไรไป สามร้อย
เปอร์เซ็น ยังสู้คนแรกไม่ได้เลย แถมถ้าคนหลังเอาเงินมาซื้อพวกหุ้นสภาพ
คล่องน้อยก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะปล่อยของได้อีก ถ้าหุ้นลงก็ไม่สามารถเปลี่ยนตัว
เล่นได้ ปีที่ผ่านมามีคนกำไรเป็นอัตราส่วนที่มากกว่าคนขาดทุนมาก
มากกว่าประมาณสี่ ห้า เท่าได้ ผมว่าปัญหาต่อไปก็คือว่า ทำอย่างไรเราจะ
รักษากำไรเหล่านั้นไว้ได้
ขอสวัสดีปีใหม่ และ ให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน มีความสุขในชีวิต และ มีสุขภาพแข็งแรง
วันนี้คุณมีรองเท้าแล้วหรือยัง
-
- Verified User
- โพสต์: 1558
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 164
ปีนี้ได้ผลตอบแทน 207 % ทั้งที่เพิ่มเงินไปน้อยมาก เพราะไม่ค่อยมีเงิน ลงไปปีที่แล้วเยอะ แล้วก็เจ็บหนัก แต่ถือหุ้นตลอด100% แล้วก็ปรับพร์อตนิดหน่อย ถือหุ้นอยู่ไม่กี่ตัว อาจเป็นทีดวงด้วยว่าบริษัทที่ถือหุ้นไว้เยอะมันฟื้นไว จังหวะที่ปรับพร์อตก็โชคดีอีกทีปรับตอน set เกือบต่ำสุด
- charnengi
- Verified User
- โพสต์: 2388
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 165
ผมคงพอๆกับตลาดมั้งครับประมาณ 60-70% ไม่เคยคิดจริงๆจังๆซักที เพราะใส่เงินเพิ่มเรื่อยๆ
ดูผลแล้วน่าแปลกใจมากว่า การกระจายตัวของข้อมูลกำไร 60-70% น้อยกว่าที่ผมคาดแฮะ
ปีนี้ตัวไหนถือน้อยๆ กำไรกระฉูด เช่น CPF, SIRI, IRP, PB, TWFP, HMPRO, DSGT, TCB พวกนี้ซื้อเข้าขายออก
ส่วนขายหมูก็มีเจ้า SIS นี่ล่ะ เจอคุณ Luty ทักว่าลอกเลยขายทิ้งซะ 55 แต่ก็ลอกจริงๆ เลยไม่มั่นใจ
ส่วนเจ้า AHC ถือเยอะสุด เกินครึ่ง ก็ยังอืดๆอาดๆ วิ่งมาแค่ 20%
รอดูปีนี้ละกาน :lol:
ดูผลแล้วน่าแปลกใจมากว่า การกระจายตัวของข้อมูลกำไร 60-70% น้อยกว่าที่ผมคาดแฮะ
ปีนี้ตัวไหนถือน้อยๆ กำไรกระฉูด เช่น CPF, SIRI, IRP, PB, TWFP, HMPRO, DSGT, TCB พวกนี้ซื้อเข้าขายออก
ส่วนขายหมูก็มีเจ้า SIS นี่ล่ะ เจอคุณ Luty ทักว่าลอกเลยขายทิ้งซะ 55 แต่ก็ลอกจริงๆ เลยไม่มั่นใจ
ส่วนเจ้า AHC ถือเยอะสุด เกินครึ่ง ก็ยังอืดๆอาดๆ วิ่งมาแค่ 20%
รอดูปีนี้ละกาน :lol:
- Outliers
- Verified User
- โพสต์: 527
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 166
เอไม่รู้ผมสื่อความหมายผิดรึเปล่าOutliers wrote:
พูดไปแล้วเหมือนตัวเองเก่งมากๆในปีนี้เลย คือได้ผลตอบแทนเกือบ 300% นับ Margin ด้วย
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วผลตอบแทนแย่มากๆ เพราะปี 2008 โดนไป -70% (โดน margin อีกล่ะ)
ทำให้ขณะนี้รวม 2 ปี ยังไม่คืนทุนเลยล่ะ (คนอื่นเขาคืนทุนไปไหนต่อไหนกันหมดแล้ว) ผลของ margin นี่เยอะจริงๆ
เอ้ น่าจะคืนแล้วปะครับ หรือผมคิดผิด
ต้นปี 08 สมมุตว่ามี 100 สินปีเหลือ 30
ต้นปี 09 เริ่ม 30 สิ้นปีบวก 300% ก็ต้อง 120
ไม่คืนได้ไงหวา
คือต้นปี 2008 มี 100 เหลือ 31
ต้นปี 09 เริ่ม 31 สิ้นได้กลับมา 91 น่ะครับ (ค่าจริงๆ weight แล้ว)
อย่างนี้คิดได้ว่ากี่ % gain น่ะครับ คิดไม่ค่อยจะถูก งงงง
The Miracle of 10,000 hrs
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 2
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 167
[quote="Outliers"][quote]Outliers wrote:
พูดไปแล้วเหมือนตัวเองเก่งมากๆในปีนี้เลย คือได้ผลตอบแทนเกือบ 300% นับ Margin ด้วย
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วผลตอบแทนแย่มากๆ เพราะปี 2008 โดนไป -70% (โดน margin อีกล่ะ)
ทำให้ขณะนี้รวม 2 ปี ยังไม่คืนทุนเลยล่ะ (คนอื่นเขาคืนทุนไปไหนต่อไหนกันหมดแล้ว) ผลของ margin นี่เยอะจริงๆ
เอ้ น่าจะคืนแล้วปะครับ หรือผมคิดผิด
พูดไปแล้วเหมือนตัวเองเก่งมากๆในปีนี้เลย คือได้ผลตอบแทนเกือบ 300% นับ Margin ด้วย
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วผลตอบแทนแย่มากๆ เพราะปี 2008 โดนไป -70% (โดน margin อีกล่ะ)
ทำให้ขณะนี้รวม 2 ปี ยังไม่คืนทุนเลยล่ะ (คนอื่นเขาคืนทุนไปไหนต่อไหนกันหมดแล้ว) ผลของ margin นี่เยอะจริงๆ
เอ้ น่าจะคืนแล้วปะครับ หรือผมคิดผิด
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 61
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 168
ของผมสรุปออกมาแล้วอยู่ในกลุ่ม 41%-60% ครับ เพราะมีหุ้นที่ชนะตลาดและแพ้ตลาดปนๆกัน กลุ่มชนะตลาดก็มี CPALL, HMPRO, DELTA และ SVI ส่วนที่แพ้ตลาดก็จะมี TOP ,BCP (ซื้อทีหลัง) ,BEC ,ADVANC และตัวอื่นๆที่มาซื้อทีเพิ่มช่วงไตรมาสสุดท้าย ส่วนตัวผมค่อนข้างพอใจ เพราะเมื่อปี 2008 พอร์ทไม่ได้เสียหายมาก หุ้นที่ถืออยู่หลายตัวจึงไม่ได้กลับมาแรง แต่ก็เสียดายอยู่ลึกๆเมื่อเห็นผลงานของท่านอื่นๆ
ดร.นิเวศน์ เคยพูดไว้ว่า เว็บ thaivi ถือว่ามีคุณภาพระดับโลก (ซึ่งไม่คิดค่าสมาชิก) ผมเห็นด้วยมากๆ และพูดถึงเว็บนี้ตลอดเวลาคุยเรื่องหุ้นกับเพื่อน
สวัสดีปีใหม่ และขออวยพรทุกท่านให้พบกับสิ่งที่ดีนะครับ
ดร.นิเวศน์ เคยพูดไว้ว่า เว็บ thaivi ถือว่ามีคุณภาพระดับโลก (ซึ่งไม่คิดค่าสมาชิก) ผมเห็นด้วยมากๆ และพูดถึงเว็บนี้ตลอดเวลาคุยเรื่องหุ้นกับเพื่อน
สวัสดีปีใหม่ และขออวยพรทุกท่านให้พบกับสิ่งที่ดีนะครับ
- theerasak24
- Verified User
- โพสต์: 614
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 169
เข้ามาดูพี่ๆกันครับ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 6427
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 170
ผมเริ่มลงทุนครั้งแรกตอนก่อนสงกรานต์ปี 51 ... (น่าจะแถวๆที่ set เกือบจะสูงสุด แล้วก็เริ่มไหลลง) เจ๊งไปประมาณ 30% ... พอมาปีนี้ก็เติมเงินเข้าไปอัดในช่วงแถวๆปลายเดือนมีนา ถ้าคิดตามสูตรของคุณลูกอิสาน ก็จะบวกประมาณ 107% (เกือบจะได้เป็นเทพกับเค้าแล้ว :lol: :lol: ) ถ้าคิดรวบยอดตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะบวกประมาณ 45% (คิดแบบง่ายๆเลย คือเอามูลค่าพอร์ตหารด้วยเงินที่ลงทุนรวมทั้งหมด) .. ตัวหลักๆไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเท่าไหร่ เช่น CM และ CFRESH (ตัวนี้ทำเด้งได้เป็นตัวแรกในชีวิต) แต่ DCC นี่ทำเอาจดจำไปอีกนาน เพราะขายหมูตัวเบ้อเริ่มเลย (มิฉะนั้นคงได้เป็นเทพไปแล้ว)
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 171
ไม่เคยคิดผลตอบแทนรายปีเลยครับ แต่อยากแชร์ประสบการณ์ครับ
เริ่มลงทุนเมื่อปี 50 หลัง เหตุการณ์ กันสำรอง 30% คิดว่าตลาดทุนจะสร้าง
ความมั่งคั่ง และ อิสรภาพทางการเงินได้ ขอแชร์ประสบการณ์แล้วกัน ครับ
ว่าการลงทุนในช่วง 3 ปี ผ่านอะไรมาบ้าง เอาแบบย่อๆ ละกัน
ช่วงเริ่มต้น
-เปิดพอร์ท เริ่มต้น ที่ 200000 บาท
-เริ่มเรียนรู้การลงทุนจากหนังสือ และ ได้พบ www.thaivi.com โดยบังเอิญ
-ลองลงทุน โดย กระจายความเสี่ยง ช่วงแรก หุ้นใน พอร์ท ประกอบด้วย
BAY, SCIB, CPF, TUF, SSC, PSL, SITHAI โดย ดูค่า P/E และ P/B เป็นหลัก
รวมทั้ง Dividend Yield
ช่วงเรียนรู้
-ซื้อ และ ขาย ปรับ พอร์ท พอสมควร รวมทั้ง เพิ่มเงินลงทุน หุ้นใน พอร์ท
โดย ขายหุ้นที่มีอยู่เดิม เมื่อแรกเริ่มทิ้งเกือบทั้งหมด เหลือ เก็บอยู่ตัวเดียว
และ ลงทุน เพิ่ม คือ TUF
-หุ้นในพอร์ท เน้น หุ้น Blueship สภาพคล่องสูง มีปันผลโดยมี Defensive Stock
ที่คงไว้ตัวเดียว และ แทบจะไม่เคยเทรดเลย คือ TUF
-หุ้น ใน พอร์ท ได้แก่ THAI, TOP, PTTAR, TUF, AOT, SGP ซื้อ ด้วยหลาก
หลาย เหตุผล
-พอร์ท เริ่มเติบโต ไปอยู่ที่ 400,000 และ 800,000 ส่วนใหญ่จากเงินลงทุน
ที่เพิ่มเข้าไป
วิกฤตมาเยือน
-มูลค่า พอร์ท ลดลง ไป >50% เพราะ ส่วนใหญ่ ลงทุน ใน Blueship จาก
800,000 เหลือ ไม่ถึง 400,000
-SET จาก 800 กว่าไหลไปเหลือ ต่ำกว่า 400 จุด
-หุ้นที่ประคับประคองพอร์ท คือ TUF (tough จริงๆ)
ในสถานการณ์นี้ ใช้วิถี สงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่ทำอะไรกับพอร์ต
เลย กลับคิดว่านี่คือ โอกาส ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ต้องรอ รอ และ รอ อย่างใจเย็น
พายุสงบ
-ถึงแม้ พอร์ท มูลค่า เหลืออยู่ที่ 400,000 แต่เป็นช่วงที่โอกาสมีอยู่เต็มตลาด
-อย่างที่หลายท่านได้บอกไว้ ของดีๆ แทบจะแจกกันฟรีๆ แต่ยังไม่มีใครเอา
-ลงทุนเพิ่มในหุ้นเดิมที่มีอยู่ในพอร์ต ที่เชื่อว่าระยะยาวจะดี รวมทั้ง เลือกหุ้น
ที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวก่อน อย่าง กลุ่ม BANK และ พลังงาน
-หุ้นใน พอร์ท ประกอบด้วย
TUF, PTT, PTTAR, AOT, MINT, THAI, BBL, TOP, STANLY, ADVANC, SGP, BOL
ฟื้นตัว
-SET เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว พร้อมๆ กับ ตลาดอื่นๆ ทั่วโลก
-ลดปริมาณหุ้นในพอร์ตโดยขายทำกำไร TOP, BBL, ADVANC, SGP, BOL หลังจากปันผล
น้ำเต็มแก้ว
-หุ้นในตลาดแทบทุกตัวเกือบเต็มมูลค่า ตลาดยังไม่เห็นทิศทางชัดเจนว่า
จะลง หรือ ขึ้น การลงทุนเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น
-หุ้นในพอร์ท คงเหลือ THAI, AOT, TUF, PTT, MINT, PTTAR, STANLY
รายละเอียดดังนี้
มูลค่าพอร์ทรวม +26% โดย
33% ในพอร์ท คือ
TUF avg price = 20.73 market price = 34.0 Unrealized = 64%
ธุรกิจที่ดี มีผู้บริหารที่ดี มีธรรมาภิบาล ในระยะยาว จะสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ที่ถือหุ้น
16.28%
PTTAR avg price = 23.09 market price = 25.0 Unrealized = 8.26%
ผลขาดทุนมหาศาลในปีเดียวจาก stock น้ำมันดิบ ในที่สุดจะผ่านไป ในขณะ
ที่ ค่าการกลั่น ยังทรงตัวในระดับค่อนข้างต่ำ ราคาน้ำมันดิบ รวมทั้ง spread
วัตถุดิบยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น การควบรวมกิจการ จะเป็นผลดีกับบริษัท
14.05%
AOT avg price = 26.16 market price = 39.50 Unrealized = 50.97%
ธุรกิจผูกขาดที่ราคาลดลงเกินกว่าความเป็นจริงจากเหตุการณ์ทางการเมือง
ในที่ีสุดจะผ่านไป การเดินทางทางอากาศที่จะมีมากขึ้นในอนาคต
12.71%
PTT avg price = 191.94 market price = 245.0 Unrealized = 27.65%
ผูกขาด พลังงาน เกือบจะทั้งหมดของประเทศ
12.37%
THAI avg price = 28.96 market price = 19.10 Unrealized = -34.05%
ไม่ได้ลงทุนใน THAI เพิ่มเลยในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา เนื่องจากเชื่อว่าธุรกิจ
การบินยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว เวลาในการลงทุนเพิ่มยังมี จะเห็นว่า
เป็นตัวเดียวในพอร์ทที่ติดลบ
7.49%
MINT avg price = 9.75 market price = 11.50 Unrealized = 17.93%
หุ้นที่ดี มีสภาพคล่อง ธุรกิจอาหาร และ การท่องเที่ยว คือ สิ่งที่คนยุคต่อไปขาดไม่ได้
3.91%
STANLY avg price = 63.13 market price = 120.0 Unrealized = 90.07%
หุ้นดี เจอสภาวะวิกฤต สภาพคล่องน้อย ปันผลงาม ไม่มีหนี้
ปันผลในปีที่ผ่านมาได้ประมาณ 5% ของมูลค่าพอร์ทรวม และ อีก 3%
จาก Capital gain ค่อนข้างพอใจกับพอร์ทในตอนนี้ ที่มีสภาพคล่องสูง มีหุ้นพื้นฐานดี
แข็งแกร่งอยู่ 1 ใน 3 ของ พอร์ท รวม หวังว่าเพื่อนๆ หรือ นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามา
จะได้อะไรบ้างจากประสบการณ์ของผม
ขอบคุณ thaivi ที่ให้ความรู้ และ อะไรมากมายเกี่ยวกับการลงทุน ครับ
เริ่มลงทุนเมื่อปี 50 หลัง เหตุการณ์ กันสำรอง 30% คิดว่าตลาดทุนจะสร้าง
ความมั่งคั่ง และ อิสรภาพทางการเงินได้ ขอแชร์ประสบการณ์แล้วกัน ครับ
ว่าการลงทุนในช่วง 3 ปี ผ่านอะไรมาบ้าง เอาแบบย่อๆ ละกัน
ช่วงเริ่มต้น
-เปิดพอร์ท เริ่มต้น ที่ 200000 บาท
-เริ่มเรียนรู้การลงทุนจากหนังสือ และ ได้พบ www.thaivi.com โดยบังเอิญ
-ลองลงทุน โดย กระจายความเสี่ยง ช่วงแรก หุ้นใน พอร์ท ประกอบด้วย
BAY, SCIB, CPF, TUF, SSC, PSL, SITHAI โดย ดูค่า P/E และ P/B เป็นหลัก
รวมทั้ง Dividend Yield
ช่วงเรียนรู้
-ซื้อ และ ขาย ปรับ พอร์ท พอสมควร รวมทั้ง เพิ่มเงินลงทุน หุ้นใน พอร์ท
โดย ขายหุ้นที่มีอยู่เดิม เมื่อแรกเริ่มทิ้งเกือบทั้งหมด เหลือ เก็บอยู่ตัวเดียว
และ ลงทุน เพิ่ม คือ TUF
-หุ้นในพอร์ท เน้น หุ้น Blueship สภาพคล่องสูง มีปันผลโดยมี Defensive Stock
ที่คงไว้ตัวเดียว และ แทบจะไม่เคยเทรดเลย คือ TUF
-หุ้น ใน พอร์ท ได้แก่ THAI, TOP, PTTAR, TUF, AOT, SGP ซื้อ ด้วยหลาก
หลาย เหตุผล
-พอร์ท เริ่มเติบโต ไปอยู่ที่ 400,000 และ 800,000 ส่วนใหญ่จากเงินลงทุน
ที่เพิ่มเข้าไป
วิกฤตมาเยือน
-มูลค่า พอร์ท ลดลง ไป >50% เพราะ ส่วนใหญ่ ลงทุน ใน Blueship จาก
800,000 เหลือ ไม่ถึง 400,000
-SET จาก 800 กว่าไหลไปเหลือ ต่ำกว่า 400 จุด
-หุ้นที่ประคับประคองพอร์ท คือ TUF (tough จริงๆ)
ในสถานการณ์นี้ ใช้วิถี สงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่ทำอะไรกับพอร์ต
เลย กลับคิดว่านี่คือ โอกาส ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ต้องรอ รอ และ รอ อย่างใจเย็น
พายุสงบ
-ถึงแม้ พอร์ท มูลค่า เหลืออยู่ที่ 400,000 แต่เป็นช่วงที่โอกาสมีอยู่เต็มตลาด
-อย่างที่หลายท่านได้บอกไว้ ของดีๆ แทบจะแจกกันฟรีๆ แต่ยังไม่มีใครเอา
-ลงทุนเพิ่มในหุ้นเดิมที่มีอยู่ในพอร์ต ที่เชื่อว่าระยะยาวจะดี รวมทั้ง เลือกหุ้น
ที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวก่อน อย่าง กลุ่ม BANK และ พลังงาน
-หุ้นใน พอร์ท ประกอบด้วย
TUF, PTT, PTTAR, AOT, MINT, THAI, BBL, TOP, STANLY, ADVANC, SGP, BOL
ฟื้นตัว
-SET เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว พร้อมๆ กับ ตลาดอื่นๆ ทั่วโลก
-ลดปริมาณหุ้นในพอร์ตโดยขายทำกำไร TOP, BBL, ADVANC, SGP, BOL หลังจากปันผล
น้ำเต็มแก้ว
-หุ้นในตลาดแทบทุกตัวเกือบเต็มมูลค่า ตลาดยังไม่เห็นทิศทางชัดเจนว่า
จะลง หรือ ขึ้น การลงทุนเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น
-หุ้นในพอร์ท คงเหลือ THAI, AOT, TUF, PTT, MINT, PTTAR, STANLY
รายละเอียดดังนี้
มูลค่าพอร์ทรวม +26% โดย
33% ในพอร์ท คือ
TUF avg price = 20.73 market price = 34.0 Unrealized = 64%
ธุรกิจที่ดี มีผู้บริหารที่ดี มีธรรมาภิบาล ในระยะยาว จะสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ที่ถือหุ้น
16.28%
PTTAR avg price = 23.09 market price = 25.0 Unrealized = 8.26%
ผลขาดทุนมหาศาลในปีเดียวจาก stock น้ำมันดิบ ในที่สุดจะผ่านไป ในขณะ
ที่ ค่าการกลั่น ยังทรงตัวในระดับค่อนข้างต่ำ ราคาน้ำมันดิบ รวมทั้ง spread
วัตถุดิบยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น การควบรวมกิจการ จะเป็นผลดีกับบริษัท
14.05%
AOT avg price = 26.16 market price = 39.50 Unrealized = 50.97%
ธุรกิจผูกขาดที่ราคาลดลงเกินกว่าความเป็นจริงจากเหตุการณ์ทางการเมือง
ในที่ีสุดจะผ่านไป การเดินทางทางอากาศที่จะมีมากขึ้นในอนาคต
12.71%
PTT avg price = 191.94 market price = 245.0 Unrealized = 27.65%
ผูกขาด พลังงาน เกือบจะทั้งหมดของประเทศ
12.37%
THAI avg price = 28.96 market price = 19.10 Unrealized = -34.05%
ไม่ได้ลงทุนใน THAI เพิ่มเลยในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา เนื่องจากเชื่อว่าธุรกิจ
การบินยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว เวลาในการลงทุนเพิ่มยังมี จะเห็นว่า
เป็นตัวเดียวในพอร์ทที่ติดลบ
7.49%
MINT avg price = 9.75 market price = 11.50 Unrealized = 17.93%
หุ้นที่ดี มีสภาพคล่อง ธุรกิจอาหาร และ การท่องเที่ยว คือ สิ่งที่คนยุคต่อไปขาดไม่ได้
3.91%
STANLY avg price = 63.13 market price = 120.0 Unrealized = 90.07%
หุ้นดี เจอสภาวะวิกฤต สภาพคล่องน้อย ปันผลงาม ไม่มีหนี้
ปันผลในปีที่ผ่านมาได้ประมาณ 5% ของมูลค่าพอร์ทรวม และ อีก 3%
จาก Capital gain ค่อนข้างพอใจกับพอร์ทในตอนนี้ ที่มีสภาพคล่องสูง มีหุ้นพื้นฐานดี
แข็งแกร่งอยู่ 1 ใน 3 ของ พอร์ท รวม หวังว่าเพื่อนๆ หรือ นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามา
จะได้อะไรบ้างจากประสบการณ์ของผม
ขอบคุณ thaivi ที่ให้ความรู้ และ อะไรมากมายเกี่ยวกับการลงทุน ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 173
มาบอกช้าหน่อยครับ ปีก่อนหน้านี้ไม่ได้เก็บสถิติจริงจัง เริ่มเก็บปีที่แล้ว ติดลบ19% ปีนี้เป็นบวก 113% ครับ
วิธีคิดก็เอายอดเงินปลายปีหารด้วย(ยอดเงินต้นปี+เงินเพิ่ม) ยอดเงินถอนไม่คิดครับ เพราะถือเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุน
วิธีคิดก็เอายอดเงินปลายปีหารด้วย(ยอดเงินต้นปี+เงินเพิ่ม) ยอดเงินถอนไม่คิดครับ เพราะถือเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 174
ขอแก้ไขวิธีคิดครับ ผมเอา ยอดเงินปลายปี-(ยอดเงินต้นปี+เงินเพิ่ม) หารด้วย (ยอดเงินต้นปี+เงินเพิ่ม) ครับsupparoj เขียน:มาบอกช้าหน่อยครับ ปีก่อนหน้านี้ไม่ได้เก็บสถิติจริงจัง เริ่มเก็บปีที่แล้ว ติดลบ19% ปีนี้เป็นบวก 113% ครับ
วิธีคิดก็เอายอดเงินปลายปีหารด้วย(ยอดเงินต้นปี+เงินเพิ่ม) ยอดเงินถอนไม่คิดครับ เพราะถือเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 171
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 175
ดูผลตอบแทนของพี่ๆแล้ว ผมว่าหลายคนเก่งกว่า ดร. นะครับ
และน่าจะมีคนรวยระดับพันล้านหลายคนครับ
และน่าจะมีคนรวยระดับพันล้านหลายคนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 177
ผมว่า จำนวนตัวหุ้น เยอะเกินไป สำหรับ พอร์ตไม่ถึงล้านนะครับdragonrider เขียน: -หุ้นในพอร์ท คงเหลือ THAI, AOT, TUF, PTT, MINT, PTTAR, STANLY
กระจายความเสี่ยง มันจะเป็นการกระจายwealth ด้วย
จะสังเกตได้ว่า เลือกเยอะ โอกาสพลาดก็จะเยอะด้วย
ตัวที่ไม่พลาดแล้วหุ้นขึ้นเยอะ แต่เป็นตัวเงินก็จะน้อย (เหมือนเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน)
ตัวที่พลาดก็จะมาดึงอีกตะหาก
ผมว่าเป็น vi ที่พอร์ตเล็ก (พอร์ต สิบกว่าล้าน ผมก็ยังเรียกว่าเล็ก นะ)
ไม่ควรเลือกหุ้นเยอะ ให้ focus ตัวหุ้นมากกว่านี้ ไม่ควรเกิน 2-3 ตัว
แล้วเลือกที่เด็ดๆ มั่นใจมากๆ แบบตีแตกไปเลยดีกว่ากระจาย
เรามีความรู้มากกว่าที่จะต้องกระจายความเสี่ยงด้วยตัวหุ้นมากๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 178
ขอบคุณ คุณ vivitawin ที่แนะนำครับ
ผมยังต้องศึกษาเรื่องการลงทุนอีกมากครับ ผมหวังจะให้พอร์ทเติบโต
อย่างมั่นคง โชคดีที่ฉวย โอกาสในวิกฤต ได้บ้าง
สำหรับตัวหุ้นที่ถือ อยู่ประมาณ 7 ตัว ในเวลานี้ กำลังรอเวลาที่จะ
Take Profit ครับ สำหรับ TUF กับ STANLY และ AOT คงยาวแน่นอน
ส่วน PTT และ PTTAR ส่วนตัวมองว่า UPSIDE เยอะมากๆ ตัวหุ้นยัง
ไม่แสดงศักยภาพออกมาเต็มที่ครับ ส่วน MINT นั้นอยากลงทุนเพิ่ม
แต่ราคาไม่รอเลยครับ ส่วน THAI คงไม่ลงทุนเพิ่มครับ ในเวลานี้
ในปีนี้ จะเน้นการเฝ้าระวัง อีกปีครับ คงขยับพอร์ทบ้างเล็กน้อย
คาดหวังผลตอบแทนดีกว่าตลาดก็พอครับ มีข้อจำกัดด้านเงินลงทุน
เหมือนกันครับ ไม่อย่างนั้น ผลตอบแทนจะมากกว่านี้ครับ และบางที
ก็หลงเสน่ห์ หุ้นบางตัว คือ แบบเห็นราคานี้แล้วอดใจไม่ได้ครับ
เป็นวิบากกรรมของนักลงทุนมั๊งครับ
คำถามที่ผมสงสัย และ คิดมาตลอดเกี่ยวกับ VI ผมขอเรียกว่า "กับดัก VI"
นะครับ เช่น
-สภาพคล่อง การขาดสภาพคล่องคือ ความเสี่ยง หรือไม่ และ นับรวมอยู่
ใน Margin of Safety หรือ เปล่า?
ส่วนตัวผมถือว่าเป็นความเสี่ยง เช่นในกรณีวิกฤตที่ผ่านมา หากเงินลงทุน
ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นที่ดีแต่มีสภาพคล่องน้อย การ Take Profit จากวิกฤต
แทบจะเป็นไปไม่ได้ หรือ เป็นไปได้ยากมาก แต่หากมีเงินทุนเหลือเฟือ
ก็เป็นอีกกรณีนึง
-การตีแตก หรือ การลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง อย่างที่คุณ vivitawin
บอกนั้น คือ อะไร?
ส่วนตัวผมเชื่อว่า การตีแตกนั้น ต้อง Maximum Reward
No Risk คือ ไม่มีความเสี่ยงเลย เช่น กรณี SVI ผู้บริหาร ซื้อหุ้นเพื่อปันผล
พิเศษ เพราะ กำไรสะสมมหาศาล (ผู้ที่ตีแตกตัวจริง คือ ผู้บริหาร)
การลงทุนใดๆ ในสถานการณ์ปกติ ผมถือว่ามีความเสี่ยงทั้งสิ้น และ ไม่ควร
ใช้เทคนิคตีแตก เพราะ เราไม่มีทางรู้อนาคตได้แน่นอน 100 % ถึงแม้ว่า
เราคิดว่าเราเข้าใจมากถึง 90% อีก 10% อาจจะทำให้เราตายได้ เหมือน
Achilles กรีก Hero
จากประสบการณ์ ที่ถือ SGP ได้เห็นกรณี SVI และ เคยถือ CPF สิ่งที่ผมกลัว
ที่สุด คือ ความคิดของผู้บริหาร นั่น คือ 10% ที่ผมไม่มีทางรู้เลย
ผมยังต้องศึกษาเรื่องการลงทุนอีกมากครับ ผมหวังจะให้พอร์ทเติบโต
อย่างมั่นคง โชคดีที่ฉวย โอกาสในวิกฤต ได้บ้าง
สำหรับตัวหุ้นที่ถือ อยู่ประมาณ 7 ตัว ในเวลานี้ กำลังรอเวลาที่จะ
Take Profit ครับ สำหรับ TUF กับ STANLY และ AOT คงยาวแน่นอน
ส่วน PTT และ PTTAR ส่วนตัวมองว่า UPSIDE เยอะมากๆ ตัวหุ้นยัง
ไม่แสดงศักยภาพออกมาเต็มที่ครับ ส่วน MINT นั้นอยากลงทุนเพิ่ม
แต่ราคาไม่รอเลยครับ ส่วน THAI คงไม่ลงทุนเพิ่มครับ ในเวลานี้
ในปีนี้ จะเน้นการเฝ้าระวัง อีกปีครับ คงขยับพอร์ทบ้างเล็กน้อย
คาดหวังผลตอบแทนดีกว่าตลาดก็พอครับ มีข้อจำกัดด้านเงินลงทุน
เหมือนกันครับ ไม่อย่างนั้น ผลตอบแทนจะมากกว่านี้ครับ และบางที
ก็หลงเสน่ห์ หุ้นบางตัว คือ แบบเห็นราคานี้แล้วอดใจไม่ได้ครับ
เป็นวิบากกรรมของนักลงทุนมั๊งครับ
คำถามที่ผมสงสัย และ คิดมาตลอดเกี่ยวกับ VI ผมขอเรียกว่า "กับดัก VI"
นะครับ เช่น
-สภาพคล่อง การขาดสภาพคล่องคือ ความเสี่ยง หรือไม่ และ นับรวมอยู่
ใน Margin of Safety หรือ เปล่า?
ส่วนตัวผมถือว่าเป็นความเสี่ยง เช่นในกรณีวิกฤตที่ผ่านมา หากเงินลงทุน
ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นที่ดีแต่มีสภาพคล่องน้อย การ Take Profit จากวิกฤต
แทบจะเป็นไปไม่ได้ หรือ เป็นไปได้ยากมาก แต่หากมีเงินทุนเหลือเฟือ
ก็เป็นอีกกรณีนึง
-การตีแตก หรือ การลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง อย่างที่คุณ vivitawin
บอกนั้น คือ อะไร?
ส่วนตัวผมเชื่อว่า การตีแตกนั้น ต้อง Maximum Reward
No Risk คือ ไม่มีความเสี่ยงเลย เช่น กรณี SVI ผู้บริหาร ซื้อหุ้นเพื่อปันผล
พิเศษ เพราะ กำไรสะสมมหาศาล (ผู้ที่ตีแตกตัวจริง คือ ผู้บริหาร)
การลงทุนใดๆ ในสถานการณ์ปกติ ผมถือว่ามีความเสี่ยงทั้งสิ้น และ ไม่ควร
ใช้เทคนิคตีแตก เพราะ เราไม่มีทางรู้อนาคตได้แน่นอน 100 % ถึงแม้ว่า
เราคิดว่าเราเข้าใจมากถึง 90% อีก 10% อาจจะทำให้เราตายได้ เหมือน
Achilles กรีก Hero
จากประสบการณ์ ที่ถือ SGP ได้เห็นกรณี SVI และ เคยถือ CPF สิ่งที่ผมกลัว
ที่สุด คือ ความคิดของผู้บริหาร นั่น คือ 10% ที่ผมไม่มีทางรู้เลย
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 179
ข้อแรกนั้นแล้วแต่ บุคคลครับdragonrider เขียน:
-สภาพคล่อง การขาดสภาพคล่องคือ ความเสี่ยง หรือไม่ และ นับรวมอยู่
ใน Margin of Safety หรือ เปล่า?
-การตีแตก หรือ การลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง อย่างที่คุณ vivitawin
บอกนั้น คือ อะไร?
ผมขอยกตัวอย่าง พี่ฉัตรชัย ถือ WG อย่างเยอะ น่าจะตัวเดียวในพอร์ตด้วยครับ
WG ขายสภาพคล่องการซื้อขายไหม ขาดอย่างมากมาย :lol:
เสี่ยงไหม ถ้าดูตัวกิจการกับราคา มี MOS มาก แต่...
vi บางท่านไม่ชอบตรงสภาพคล่องนี่แหละครับ ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่า
หุ้นอย่าง TF PB ขาดสภาพคล่องไหม ก็ขาดอีก แต่ราคาก็ขึ้นได้เรื่อยๆ
vi หลายๆท่านก็ถืออยู่ ในความเห็นเค้าก็น่าจะมี MOS อยู่
อย่าง IRC ขาดไหม ก็ขาดสภาพคล่อง ดร.นิเวศน์ ท่านก็ยังถืออยู่
โดยรวมๆแล้ว ผู้ที่ถืออยู่ ไม่ได้คิดมากกับสภาพคล่อง และ
พอใจกับการดำเนินธุรกิจ การเจริญเติบโต ผลกำไร และ ปันผลที่ได้รับ
และที่สำคัญมากคือ เป็นกิจการที่ทนทานต่อวิกฤต เมื่อวิกฤตแม้ราคาหุ้นจะลงมาก
แต่ตัวกิจการสามารถทำกำไร และจ่ายปันผลได้อยู่
ข้อสอง การตีแตก
เรื่องตีแตก เป็น เรื่องสองคนย่นตามช่อง บางคนเห็นโคลนตม อีกคนเห็นดวงดาวพร่างพราย ใช่ครับ ไม่มีใครรู้อนาคตแน่นอน 100% แต่ผมว่าถ้าเราเข้าใจจริงๆนะ ขอให้จริงนะ 90% ที่คุณว่า ผมก็ตีแตกแล้วครับ แล้วถามว่าอีก 10% ที่เหลือ ที่คุณว่าจะเกิดจากผู้บริหารนั้น โดยปกติ ผมไม่เลือกตีแตกกับหุ้นที่ผู้บริหารเคยมีข่าวแย่ๆอยู่แล้วครับ และ เวลาจะซื้อหุ้นก็ซื้อก่อนคนอื่น คือ ราคายังถูกมาก มี MOS มหาศาล แม้ว่าความคิดเราจะผิด ก็ไม่ได้ขาดทุนเสียหายถึงขนาดทำให้เราขาดทุนหนัก
อย่างท่าน ดร.นิเวศน์ ตีแตก cpall ผมว่าแกไม่ได้มั่นใจผู้บริหาร 100% เหมือนกัน ผู้บริหารขายหุ้นตอนราคา 1x ออกมามากด้วย
ก็ต้อง bet ระดับนึงล่ะครับ ว่าจะออกหัวออกก้อย สุดท้าย คนสองคน ย่นตามช่องแล้ว เห็นต่างกัน จริงๆ อีกคนตีแตกไปได้
- Outliers
- Verified User
- โพสต์: 527
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนปี 2552 ได้เท่าไรกันบ้างครับ
โพสต์ที่ 180
ผมก็ไม่ได้ตีแตกครับ อาจเพราะความรู้น้อยก็เลยต้องกระจายความเสี่ยงบ้าง
ตอนนี้ก็ถือหุ้นอยู่ 7 ตัวครับ แต่ 4 ตัวแรกถือประมาณ 90% ของ port
ยังไม่กล้าทุ่มไปตัวเดียวเลย ประกอบกับเห็นโอกาสในอีกหลายตัว เลยไม่รู้จะตัดใจยังไงดี
ตอนนี้ยังอยากได้อีก 2 ตัวเลยครับ แต่ไม่อยากจะขายตัวที่ถืออยู่ ประกอบกับไม่อยากถือหุ้นมากตัวเกินไป
ตอนนี้ก็ถือหุ้นอยู่ 7 ตัวครับ แต่ 4 ตัวแรกถือประมาณ 90% ของ port
ยังไม่กล้าทุ่มไปตัวเดียวเลย ประกอบกับเห็นโอกาสในอีกหลายตัว เลยไม่รู้จะตัดใจยังไงดี
ตอนนี้ยังอยากได้อีก 2 ตัวเลยครับ แต่ไม่อยากจะขายตัวที่ถืออยู่ ประกอบกับไม่อยากถือหุ้นมากตัวเกินไป
The Miracle of 10,000 hrs