กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรสูงแต่บริษัทขาดสภาพคล่องได้ไหมครับ
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรสูงแต่บริษัทขาดสภาพคล่องได้ไหมครับ
โพสต์ที่ 2
กำไร และ กำไรสะสม อาจะไม่ใช่เป็นรูปในตัวเงินสดนะครับ
อาจจะเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น
หรือได้เงินมาแล้วเอาไปลงทุนต่อ ขยายสาขา เพิ่มเครืองจักร ซื้อที่ดิน
กำไรสะสม เป็นแค่เลขในบัญชี ว่าที่ผ่านมามีเลขกำไรที่ยังไม่ได้เอาไปปันผลเท่าไหร่
อาจจะเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น
หรือได้เงินมาแล้วเอาไปลงทุนต่อ ขยายสาขา เพิ่มเครืองจักร ซื้อที่ดิน
กำไรสะสม เป็นแค่เลขในบัญชี ว่าที่ผ่านมามีเลขกำไรที่ยังไม่ได้เอาไปปันผลเท่าไหร่
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรสูงแต่บริษัทขาดสภาพคล่องได้ไหมครับ
โพสต์ที่ 3
ถ้าจะเช็คสภาพคล่องก็แว้บไปที่กระแสเงินสดเลยสิครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- Magneto
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรสูงแต่บริษัทขาดสภาพคล่องได้ไหมครับ
โพสต์ที่ 4
งบดุลเดี๋ยวนี้ชอบทำแบบเรียงแต่ละ Item ลงมา แต่ถ้าเราลองจินตนาการว่ารายการเหล่านั้นแบ่งเป็น 2 ฝั่ง
สินทรัพย์อยู่มือซ้าย
หนี้สินและส่วนของเจ้าของอยู่มือขวา
ความหมายของมันก็คือ เรามีสินทรัพย์อะไรอยู่บ้างในมือซ้าย เช่น
เงินสด 1 หมื่น
เงินฝาก 9 หมื่น
ลูกหนี้ 3 แสน
สินค้า 3 แสน
เครื่องใช้ 2 แสน
ค่าชื่อเสียงที่ตีเป็นเงินอีก 1 แสน
รวมมีมูลค่า 1 ล้านบาท
เจ้า 1 ล้านบาทนี้เป็นของใครบ้างล่ะ อยู่กับเรามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของเรานี่ ใช่ป่ะ อันนี้เราก็มีบัญชีรายชื่อเจ้าของอยู่ในมือขวา เช่น
แบงก์ 4 แสน
ลงหุ้นเองมา 4 แสน
เป็นกำไรที่สั่งสมไว้อีก 2 แสน
รวมเป็น 1 ล้านเท่ากัน
อย่างนี้หมายความว่าของทุกอย่างในมือซ้าย แบงก์เป็นเจ้าของอยู่ 4 ใน 10 ส่วน
เราบรรดาเจ้าของเป็นเจ้าของอีก 6 ส่วนที่เหลือ (ทุน + กำไรสะสม) ของสินทรัพย์เหล่านั้น
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่า กำไรสะสมที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าของทางขวามือน่ะ มันก็อยู่ในรูปสินทรัพย์ต่างๆ ทางซ้ายมือนั่นเอง ดังนั้น กำไร 2 แสนนี้บางส่วนก็อาจเป็นเงินสด เงินฝากฯ แล้ว บางส่วนก็ยังอยู่ที่ลูกหนี้อยู่เลย บางส่วนก็เอาไปซื้อสินค้าซะแล้ว บางส่วนก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ไว้ หรือบางส่วนเป็นกำไรที่คิดเอาเองกับผู้เชี่ยวชาญว่าเราได้มา เช่น เรามีชื่อเสียงแล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่เป็นเงินหรอก เป็นต้น
ดังนั้น แม้จะมีกำไรสะสมมาก บริษัทก็ขาดสภาพคล่องได้ มีถมเถไป โดยเฉพาะบริษัทที่ชอบทำตัวเป็นแบงก์ ให้ลูกหนี้ค้างนานๆ จนหมุนเงินไม่ทัน หรือจับคู่การเป็นหนี้กับให้คนอื่นเป็นหนี้ไม่ดีพอ เช่น Supplier ให้ค้างได้ 30 วัน แต่ดันไปให้ลูกหนี้ค้างเราได้ 60 วัน เป็นต้น จนหมุนเงินไม่ทันไง :wall: ด้วยเหตุนี้เค้าจึงให้ทำงบอีกตัวมาดูนอกเหนือจากงบดุลและงบกำไรขาดทุน นั่นก็คืองบกระแสเงินสด ซึ่งจะบอกว่าเงินสดได้มาจากการทำอะไรบ้าง ใช้อะไรไปบ้าง ก่อนที่จะเหลือเท่ากับที่แสดงปลายงวดแน่ะเด้อ
สินทรัพย์อยู่มือซ้าย
หนี้สินและส่วนของเจ้าของอยู่มือขวา
ความหมายของมันก็คือ เรามีสินทรัพย์อะไรอยู่บ้างในมือซ้าย เช่น
เงินสด 1 หมื่น
เงินฝาก 9 หมื่น
ลูกหนี้ 3 แสน
สินค้า 3 แสน
เครื่องใช้ 2 แสน
ค่าชื่อเสียงที่ตีเป็นเงินอีก 1 แสน
รวมมีมูลค่า 1 ล้านบาท
เจ้า 1 ล้านบาทนี้เป็นของใครบ้างล่ะ อยู่กับเรามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของเรานี่ ใช่ป่ะ อันนี้เราก็มีบัญชีรายชื่อเจ้าของอยู่ในมือขวา เช่น
แบงก์ 4 แสน
ลงหุ้นเองมา 4 แสน
เป็นกำไรที่สั่งสมไว้อีก 2 แสน
รวมเป็น 1 ล้านเท่ากัน
อย่างนี้หมายความว่าของทุกอย่างในมือซ้าย แบงก์เป็นเจ้าของอยู่ 4 ใน 10 ส่วน
เราบรรดาเจ้าของเป็นเจ้าของอีก 6 ส่วนที่เหลือ (ทุน + กำไรสะสม) ของสินทรัพย์เหล่านั้น
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่า กำไรสะสมที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าของทางขวามือน่ะ มันก็อยู่ในรูปสินทรัพย์ต่างๆ ทางซ้ายมือนั่นเอง ดังนั้น กำไร 2 แสนนี้บางส่วนก็อาจเป็นเงินสด เงินฝากฯ แล้ว บางส่วนก็ยังอยู่ที่ลูกหนี้อยู่เลย บางส่วนก็เอาไปซื้อสินค้าซะแล้ว บางส่วนก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ไว้ หรือบางส่วนเป็นกำไรที่คิดเอาเองกับผู้เชี่ยวชาญว่าเราได้มา เช่น เรามีชื่อเสียงแล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่เป็นเงินหรอก เป็นต้น
ดังนั้น แม้จะมีกำไรสะสมมาก บริษัทก็ขาดสภาพคล่องได้ มีถมเถไป โดยเฉพาะบริษัทที่ชอบทำตัวเป็นแบงก์ ให้ลูกหนี้ค้างนานๆ จนหมุนเงินไม่ทัน หรือจับคู่การเป็นหนี้กับให้คนอื่นเป็นหนี้ไม่ดีพอ เช่น Supplier ให้ค้างได้ 30 วัน แต่ดันไปให้ลูกหนี้ค้างเราได้ 60 วัน เป็นต้น จนหมุนเงินไม่ทันไง :wall: ด้วยเหตุนี้เค้าจึงให้ทำงบอีกตัวมาดูนอกเหนือจากงบดุลและงบกำไรขาดทุน นั่นก็คืองบกระแสเงินสด ซึ่งจะบอกว่าเงินสดได้มาจากการทำอะไรบ้าง ใช้อะไรไปบ้าง ก่อนที่จะเหลือเท่ากับที่แสดงปลายงวดแน่ะเด้อ
Charls is a friend. My greatest regret is that he had to die for our dream to live. ถึงแม้จะเดินคนละทาง แต่ผมกับชาร์ลก็มีเป้าหมายเดียวกัน..คือ มีที่ให้พวกเรายืนบนโลกใบนี้ยังไงล่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 108
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรสูงแต่บริษัทขาดสภาพคล่องได้ไหมครับ
โพสต์ที่ 6
[quote="Magneto"]งบดุลเดี๋ยวนี้ชอบทำแบบเรียงแต่ละ Item ลงมา แต่ถ้าเราลองจินตนาการว่ารายการเหล่านั้นแบ่งเป็น 2 ฝั่ง
สินทรัพย์อยู่มือซ้าย
หนี้สินและส่วนของเจ้าของอยู่มือขวา
ความหมายของมันก็คือ เรามีสินทรัพย์อะไรอยู่บ้างในมือซ้าย เช่น
เงินสด 1 หมื่น
เงินฝาก 9 หมื่น
ลูกหนี้ 3 แสน
สินค้า 3 แสน
เครื่องใช้ 2 แสน
ค่าชื่อเสียงที่ตีเป็นเงินอีก 1 แสน
รวมมีมูลค่า 1 ล้านบาท
เจ้า 1 ล้านบาทนี้เป็นของใครบ้างล่ะ อยู่กับเรามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของเรานี่ ใช่ป่ะ อันนี้เราก็มีบัญชีรายชื่อเจ้าของอยู่ในมือขวา เช่น
แบงก์ 4 แสน
ลงหุ้นเองมา 4 แสน
เป็นกำไรที่สั่งสมไว้อีก 2 แสน
รวมเป็น 1 ล้านเท่ากัน
อย่างนี้หมายความว่าของทุกอย่างในมือซ้าย แบงก์เป็นเจ้าของอยู่ 4 ใน 10 ส่วน
เราบรรดาเจ้าของเป็นเจ้าของอีก 6 ส่วนที่เหลือ (ทุน + กำไรสะสม) ของสินทรัพย์เหล่านั้น
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่า กำไรสะสมที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าของทางขวามือน่ะ มันก็อยู่ในรูปสินทรัพย์ต่างๆ ทางซ้ายมือนั่นเอง ดังนั้น กำไร 2 แสนนี้บางส่วนก็อาจเป็นเงินสด เงินฝากฯ แล้ว บางส่วนก็ยังอยู่ที่ลูกหนี้อยู่เลย บางส่วนก็เอาไปซื้อสินค้าซะแล้ว บางส่วนก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ไว้ หรือบางส่วนเป็นกำไรที่คิดเอาเองกับผู้เชี่ยวชาญว่าเราได้มา เช่น เรามีชื่อเสียงแล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่เป็นเงินหรอก เป็นต้น
ดังนั้น แม้จะมีกำไรสะสมมาก บริษัทก็ขาดสภาพคล่องได้ มีถมเถไป โดยเฉพาะบริษัทที่ชอบทำตัวเป็นแบงก์ ให้ลูกหนี้ค้างนานๆ จนหมุนเงินไม่ทัน หรือจับคู่การเป็นหนี้กับให้คนอื่นเป็นหนี้ไม่ดีพอ เช่น Supplier ให้ค้างได้ 30 วัน แต่ดันไปให้ลูกหนี้ค้างเราได้ 60 วัน เป็นต้น จนหมุนเงินไม่ทันไง
สินทรัพย์อยู่มือซ้าย
หนี้สินและส่วนของเจ้าของอยู่มือขวา
ความหมายของมันก็คือ เรามีสินทรัพย์อะไรอยู่บ้างในมือซ้าย เช่น
เงินสด 1 หมื่น
เงินฝาก 9 หมื่น
ลูกหนี้ 3 แสน
สินค้า 3 แสน
เครื่องใช้ 2 แสน
ค่าชื่อเสียงที่ตีเป็นเงินอีก 1 แสน
รวมมีมูลค่า 1 ล้านบาท
เจ้า 1 ล้านบาทนี้เป็นของใครบ้างล่ะ อยู่กับเรามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของเรานี่ ใช่ป่ะ อันนี้เราก็มีบัญชีรายชื่อเจ้าของอยู่ในมือขวา เช่น
แบงก์ 4 แสน
ลงหุ้นเองมา 4 แสน
เป็นกำไรที่สั่งสมไว้อีก 2 แสน
รวมเป็น 1 ล้านเท่ากัน
อย่างนี้หมายความว่าของทุกอย่างในมือซ้าย แบงก์เป็นเจ้าของอยู่ 4 ใน 10 ส่วน
เราบรรดาเจ้าของเป็นเจ้าของอีก 6 ส่วนที่เหลือ (ทุน + กำไรสะสม) ของสินทรัพย์เหล่านั้น
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่า กำไรสะสมที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าของทางขวามือน่ะ มันก็อยู่ในรูปสินทรัพย์ต่างๆ ทางซ้ายมือนั่นเอง ดังนั้น กำไร 2 แสนนี้บางส่วนก็อาจเป็นเงินสด เงินฝากฯ แล้ว บางส่วนก็ยังอยู่ที่ลูกหนี้อยู่เลย บางส่วนก็เอาไปซื้อสินค้าซะแล้ว บางส่วนก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ไว้ หรือบางส่วนเป็นกำไรที่คิดเอาเองกับผู้เชี่ยวชาญว่าเราได้มา เช่น เรามีชื่อเสียงแล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่เป็นเงินหรอก เป็นต้น
ดังนั้น แม้จะมีกำไรสะสมมาก บริษัทก็ขาดสภาพคล่องได้ มีถมเถไป โดยเฉพาะบริษัทที่ชอบทำตัวเป็นแบงก์ ให้ลูกหนี้ค้างนานๆ จนหมุนเงินไม่ทัน หรือจับคู่การเป็นหนี้กับให้คนอื่นเป็นหนี้ไม่ดีพอ เช่น Supplier ให้ค้างได้ 30 วัน แต่ดันไปให้ลูกหนี้ค้างเราได้ 60 วัน เป็นต้น จนหมุนเงินไม่ทันไง