คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4111
แอบมาตอบน้องฮงครับ
หลายครั้งที่พี่ถามตัวเองว่า ความสุขในชีวิตประจำวันและการลงทุนของเราคืออะไร
พอได้คำตอบแล้ว
เราจะตัดหลายๆสิ่งที่มันรบกวนจิตใจเราทิ้งไปได้ครับ
มีความสุขกับทุกๆวันครับ ^^
หลายครั้งที่พี่ถามตัวเองว่า ความสุขในชีวิตประจำวันและการลงทุนของเราคืออะไร
พอได้คำตอบแล้ว
เราจะตัดหลายๆสิ่งที่มันรบกวนจิตใจเราทิ้งไปได้ครับ
มีความสุขกับทุกๆวันครับ ^^
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4115
พี่วิบูลย์ครับ
ผมขออนุญาติ post ข้อความเหล่านี้นะครับ
ผมคิดว่า เป็นกระทู้ใน ห้องสินธร ที่ดีมากๆครับ
อ่านแล้วรักเมืองไทยมากขึ้นเยอะเลยครับ :D
วิธีคิดไม่ธรรมดา
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 80906.html
วิธีคิดไม่ธรรมดา
ของ มาร์ติน วีลเลอร์
" คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "
นิยามความรวยกับความจน
มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่
ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า
๑ . ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดด - กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว
๒ . มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย
เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว
วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ
๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ
๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า
วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน
ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ
จุดอ่อน - จุดแข็งของคนไทย
ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ , สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ
แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่
คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า
ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน
ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย
พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ ได้ผู้นำ ( ในหลวง ) ที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอแต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะแต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมขาติ
อยากบอกอะไรคนไทย
คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริง ๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ
คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้
ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ
ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่า จะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต
ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นอย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก chaiyo.com
ผมขออนุญาติ post ข้อความเหล่านี้นะครับ
ผมคิดว่า เป็นกระทู้ใน ห้องสินธร ที่ดีมากๆครับ
อ่านแล้วรักเมืองไทยมากขึ้นเยอะเลยครับ :D
วิธีคิดไม่ธรรมดา
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 80906.html
วิธีคิดไม่ธรรมดา
ของ มาร์ติน วีลเลอร์
" คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "
นิยามความรวยกับความจน
มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่
ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า
๑ . ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดด - กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว
๒ . มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย
เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว
วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ
๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ
๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า
วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน
ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ
จุดอ่อน - จุดแข็งของคนไทย
ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ , สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ
แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่
คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า
ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน
ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย
พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ ได้ผู้นำ ( ในหลวง ) ที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอแต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะแต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมขาติ
อยากบอกอะไรคนไทย
คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริง ๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ
คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้
ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ
ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่า จะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต
ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นอย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก chaiyo.com
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4118
ทำกำไรหุ้นขาลงVIB007 เขียน:
ถ้าคิดแบบคนทั่วไป
ก็ไม่ได้กำไร
ถ้าจะทำกำไรตอนขาลง
ต้องคิดต่างจากคนทั่วไป
เรียกว่าต้องคิดแบบ Unconventional Wisdom
ไม่ง่ายครับ
ยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสรวงสวรรค์
แน่ะว่าเข้าไปนั่น
เอาชีิวิตให้รอดมาเล่นหุ้นต่อได้นี่ก็บุญแล้วครับ
ผมว่าถ้าไม่ได้มีชีวิตเท่าแมว
ขาลงอย่าำไปแตะหุ้นเลยครับ
ถ้ามีงานการอะไรก็ทำไป
หาที่เที่ยวที่อยากไป ไปหัดดำน้ำ ปีนเขา เล่นกอล์ฟหรืออะไรสนุกๆที่ชอบ
แต่เห็นท่านปรมาจารย์เจได
ท่านก็ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลานิ
เรื่องนี้เป็นข้อเตือนใจว่า
ถ้าีฝีมือยังไม่ถึงท่าน
ก็อย่าได้คิดไปว่าการทำอย่างนี้มันง่ายนะ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4120
ขอบคุณพี่วิบูลย์ พี่ฉัตรชัย พี่พอใจ มากครับ
อ่าน link ที่พี่ฉัตรชัย Post ให้แล้วน่ากลัวดีจังครับ ต้อง save เก็บไว้หน่อย
แบบนี้ความใส่ใจในการศึกษา ดูพื้นฐานกิจการ และซื้อในตอนที่ Under Value มากๆ หน่อย นี่สำคัญมากเลยนะครับ
อย่างที่พี่พอใจบอกว่าขาลงเอาตัวรอดมาเล่นหุ้นต่อได้ก็บุญแล้ว :)
อ่าน link ที่พี่ฉัตรชัย Post ให้แล้วน่ากลัวดีจังครับ ต้อง save เก็บไว้หน่อย
แบบนี้ความใส่ใจในการศึกษา ดูพื้นฐานกิจการ และซื้อในตอนที่ Under Value มากๆ หน่อย นี่สำคัญมากเลยนะครับ
อย่างที่พี่พอใจบอกว่าขาลงเอาตัวรอดมาเล่นหุ้นต่อได้ก็บุญแล้ว :)
-
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4121
พี่ๆในนี้คิดอย่างไรกับคนที่อายุยังไม่มากไม่ได้มีเงินทองมากมาย (port size ประมาณ 100 เท่าของเงินเดือน) แต่รู้สึกว่าทำงานประจำก็ไม่มีเวลาแล้ว อยากจะมาเป็น full-time investor ครับ ช่วงเวลานี้เหมาะสมหรือไม่ครับ คือผมเริ่มลงทุนมา 2 ปีแล้วแต่คิดว่ายังพัฒนาไปไม่ถึงไหน เริ่มเข้าตลาดมาตอน 900 จุดเจอวิกฤติไปเต็มๆใบครับ ขาดทุนไปราว 40-50% เพิ่งรอดตัวกลับมาได้เดือนที่แล้วโดยถือหุ้นตัวเดียว (กลัวจะเป็นการกลับมาได้เพราะโชค) คิดไปคิดมารู้สึกว่าไม่อยากกลับไปขาดทุน(จากกการ mark to market) และหากสามารถทำผลตอบแทนได้ซัก 15-20% ต่อปีก็น่าจะพออยู่ได้ (7% เป็นค่าใช้จ่าย ที่เหลือปล่อยให้ port โต) เลยอยากจะใช้เวลามาศึกษาหุ้นและหลักการลงทุนเพิ่มเติม ไม่ทราบพี่ๆในนี้คิดเห็นกันอย่างไรครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4122
พี่ truetempo ลงทุนในหุ้นทั้งหมดเลยหรือเปล่าครับ หรือทำ asset allocation เหมือนกัน สำหรับผมนะครับ ไม่ว่าพอร์ตเล็กหรือใหญ่ แต่ถ้ารู้สึกว่า ยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน การเป็น full-investor
ผมว่าทั้งเสี่ยง+เสียโอกาสที่ยังมีเรี่ยวแรงหาเงินมาเสริมพอร์ตได้อีกทาง
1. จะไม่มีรายได้ประจำมาเติมพอร์ต (ตอนนี้ปันผล/เดือน > เงินเดือนหรือยัง
ครับ) ... ถ้ายัง ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
2. ถ้าเงินต้นหายจากการตัดสินใจผิดพลาด จะเหลือทุนไว้แก้ตัวน้อยลง
3. ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ เจอมรสุมรายได้ลดลง ปันผล/หุ้น อาจลดลง หรือ งดจ่าย
ปล. ผมจบ ป.ตรี มา 2 ปีกว่า ลงทุนในหุ้นมาได้ 1 ปีเต็ม พอร์ตตอนนี้ 40 เท่าของเงินเดือน แต่ทำ asset allocation ในหุ้นแค่ 24 % เคยตกงานจนไม่มีเงินเดือนหล่อเลี้ยงพอร์ตเกือบ 1 ปี เป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เรื่องของความรู้และประสบการณ์ ผมว่าค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปเร่งรัดจนทำให้จังหวะชีวิตสะดุดเลยครับ
หวังว่าคงเป็นข้อมูลได้นะครับ
ผมว่าทั้งเสี่ยง+เสียโอกาสที่ยังมีเรี่ยวแรงหาเงินมาเสริมพอร์ตได้อีกทาง
1. จะไม่มีรายได้ประจำมาเติมพอร์ต (ตอนนี้ปันผล/เดือน > เงินเดือนหรือยัง
ครับ) ... ถ้ายัง ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
2. ถ้าเงินต้นหายจากการตัดสินใจผิดพลาด จะเหลือทุนไว้แก้ตัวน้อยลง
3. ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ เจอมรสุมรายได้ลดลง ปันผล/หุ้น อาจลดลง หรือ งดจ่าย
ปล. ผมจบ ป.ตรี มา 2 ปีกว่า ลงทุนในหุ้นมาได้ 1 ปีเต็ม พอร์ตตอนนี้ 40 เท่าของเงินเดือน แต่ทำ asset allocation ในหุ้นแค่ 24 % เคยตกงานจนไม่มีเงินเดือนหล่อเลี้ยงพอร์ตเกือบ 1 ปี เป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เรื่องของความรู้และประสบการณ์ ผมว่าค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปเร่งรัดจนทำให้จังหวะชีวิตสะดุดเลยครับ
หวังว่าคงเป็นข้อมูลได้นะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4123
ลงทุนแบบ Value Investingtruetempo เขียน:พี่ๆในนี้คิดอย่างไรกับคนที่อายุยังไม่มากไม่ได้มีเงินทองมากมาย (port size ประมาณ 100 เท่าของเงินเดือน) แต่รู้สึกว่าทำงานประจำก็ไม่มีเวลาแล้ว อยากจะมาเป็น full-time investor ครับ ช่วงเวลานี้เหมาะสมหรือไม่ครับ คือผมเริ่มลงทุนมา 2 ปีแล้วแต่คิดว่ายังพัฒนาไปไม่ถึงไหน เริ่มเข้าตลาดมาตอน 900 จุดเจอวิกฤติไปเต็มๆใบครับ ขาดทุนไปราว 40-50% เพิ่งรอดตัวกลับมาได้เดือนที่แล้วโดยถือหุ้นตัวเดียว (กลัวจะเป็นการกลับมาได้เพราะโชค) คิดไปคิดมารู้สึกว่าไม่อยากกลับไปขาดทุน(จากกการ mark to market) และหากสามารถทำผลตอบแทนได้ซัก 15-20% ต่อปีก็น่าจะพออยู่ได้ (7% เป็นค่าใช้จ่าย ที่เหลือปล่อยให้ port โต) เลยอยากจะใช้เวลามาศึกษาหุ้นและหลักการลงทุนเพิ่มเติม ไม่ทราบพี่ๆในนี้คิดเห็นกันอย่างไรครับ
ไม่ต้องลาออกจากงานประจำหรอกครับ
ทำงานไปด้วย ลงทุนไปด้วยได้
ไม่ใช้เวลามากหรอก
วีไอแท้ๆซื้อหุ้นทางไปรณีย์ยังทัน...บัฟเฟตบอกนะ
อย่าออกมาเลยจนกว่าจะมีเงินปันผลมากกว่ารายได้
ถึงแม้จะได้เงินปันผลมากกว่ารายได้
หลายคนก็ยังทำงานประจำอยู่
ได้รายได้สองทาง
เอาเงินเก็บมาลงทุนเพิ่ม
ยิ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนให้ทวีคูณ
ใครคิดจะลาออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว
คิดดูดีๆแล้วกันครับ
นี่ยังดีตลาดกลับมาเร็ว
ถ้าตลาดซึมไปห้าหกปีเหมือนปี 40
คนหากินจากตลาดอย่างเดียวคงแย่แน่ๆ
ลองศึกษา Value Investing ให้ถ่องแท้
แล้วจะรู้ว่ายิ่งเฝ้าตลาดยิ่งตัดสินใจพลาดง่าย
เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า
ปล่อยให้เงินงอกเงยในตลาดหุ้นเวิร์คกว่าไหนๆ
โชคดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4124
น้อง Voldtrest ครับ:
ผมทำ asset allocation ครับ 2/3 เป็นหุ้นครับแต่ไม่ได้มาจากการทำ optimisation นะครับ เพราะไม่คิดว่า volatility จะเป็นตัวสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของการลงทุนครับ อ่านที่ post แล้วรู้สึกว่าคุณ Voldtrest จะมีความคิดที่ค่อนข้างชัดเจนดีครับ ขอชมเชยและขอบคุณสำหรับความเห็นที่เป็นประโยชน์ครับ
พี่วิบูลย์ครับ:
ไม่ได้ออกมาเพื่อเฝ้าตลาดหรอกครับ กะว่าจะได้ให้เวลากับการลงทุนมากกว่าปัจจุบันนี้ได้ครับ เห็นหลายๆท่าน post กันในนี้ดูแล้วข้อมูลแน่นมากครับ สำหรับตัวเองคิดว่าอยากมีเวลาศึกษาการลงทุนและหาข้อมูลให้มากกว่านี้ครับจะได้มีกรอบการลงทุนที่กว้างขึ้น (รู้จักหุ้นมากขึ้นและมีมุมมองธุรกิจที่ดีขึ้น)
หลังจากได้คุยปรึกษากับคนใกล้ชิดหลายๆคนแล้ว คิดว่าคงทำงานประจำต่อไปแหละครับ พยายามหาเวลามาศึกษาการลงทุนมากขึ้น (นอนน้อยลง อิอิ) หรือหากยังไม่พอก็คงจะเปลี่ยนที่ทำงานที่มีเวลามากขึ้น ก็เลยบรรเทาอาการจิตตกไปได้ระดับนึงครับ ขอบคุณความเห็นของทั้งสองท่านมากครับ :)
ผมทำ asset allocation ครับ 2/3 เป็นหุ้นครับแต่ไม่ได้มาจากการทำ optimisation นะครับ เพราะไม่คิดว่า volatility จะเป็นตัวสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของการลงทุนครับ อ่านที่ post แล้วรู้สึกว่าคุณ Voldtrest จะมีความคิดที่ค่อนข้างชัดเจนดีครับ ขอชมเชยและขอบคุณสำหรับความเห็นที่เป็นประโยชน์ครับ
พี่วิบูลย์ครับ:
ไม่ได้ออกมาเพื่อเฝ้าตลาดหรอกครับ กะว่าจะได้ให้เวลากับการลงทุนมากกว่าปัจจุบันนี้ได้ครับ เห็นหลายๆท่าน post กันในนี้ดูแล้วข้อมูลแน่นมากครับ สำหรับตัวเองคิดว่าอยากมีเวลาศึกษาการลงทุนและหาข้อมูลให้มากกว่านี้ครับจะได้มีกรอบการลงทุนที่กว้างขึ้น (รู้จักหุ้นมากขึ้นและมีมุมมองธุรกิจที่ดีขึ้น)
หลังจากได้คุยปรึกษากับคนใกล้ชิดหลายๆคนแล้ว คิดว่าคงทำงานประจำต่อไปแหละครับ พยายามหาเวลามาศึกษาการลงทุนมากขึ้น (นอนน้อยลง อิอิ) หรือหากยังไม่พอก็คงจะเปลี่ยนที่ทำงานที่มีเวลามากขึ้น ก็เลยบรรเทาอาการจิตตกไปได้ระดับนึงครับ ขอบคุณความเห็นของทั้งสองท่านมากครับ :)
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4126
มาชวนพี่วิบูลย์คุยเรื่อง บัฟเฟตต์ ครับ พอดีผมกำลังพยายามทำความเข้าใจแนวทางการลงทุนของหลายๆท่านอยู่ครับ จะได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางของผมเอง
มีข้อสงสัยดังนี้ครับ
ผมอยากทราบว่า
- ในระยะแรกๆของการลงทุน บัฟเฟตต์ ไม่ได้ซื้อแล้วถือหุ้นอย่างยาวนานรึเปล่าครับ เท่าที่ผมเคยอ่าน ช่วงแรกๆ ที่พอซื้อลงทุนแล้วราคาขึ้นไป กำไร 50% ก็ขายทำกำไร ประมาณนี้รึเปล่าครับ ทยอยสะสมกำไรให้ทุนเพิ่มก่อน
- ต่อมาพอทุนเริ่มเพิ่มขึ้น(พอร์ตใหญ่) ก็เปลี่ยนมาเป็นซื้อหุ้นจำนวนมาก หรือ ซื้อทั้งบริษัท ทำให้ บัฟเฟตต์ สามารถมีเงินสดจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกหรือเงินปันผลที่มีจำนวนมาก และนำเงินสดนั้นมาซื้อลงทุนในบริษัทอื่นๆ ได้โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิมที่ถืออยู่รึเปล่าครับ ถึงแม้จะราคาปรับตัวขึ้นไปมากก็ตาม เลยเป็นที่มาของการถือหุ้นอย่างยาวนาน แทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อนำเงินมาลงทุนต่อครับ
- การที่ บัฟเฟตต์ บอกว่าไม่ต้องสนใจราคาหุ้นระยะสั้น ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ดูราคารึเปล่าครับ เพียงแต่ดูได้ แต่อย่าไปใส่ใจมาก ยกเว้นจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น หุ้นตกหนักๆ หรือ ราคาขึ้นไปมาก เพราะถ้าไม่ดูราคาเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนหุ้นถูก หรือ ตอนไหนหุ้นแพงเกินไปครับ
- แก่นที่แท้จริงของ Value Investment ก็คือยึดหลักการซื้อถูกขายแพง ใช่มั๊ยครับ
ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำว่ามูลค่าที่เหมาะสม ขายเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นเกินมูลค่าที่เหมาะสม หรือเจอตัวที่น่าสนใจกว่า
VI ไม่ได้จำเป็นต้องถือหุ้นไว้ตลอดไป หากเห็นว่าราคาหุ้นสูงเกินความเหมาะสม หรือเราพอใจในกำไรแล้ว ก็ขายทำกำไรไป ไม่ได้ผิดหลัก VI แต่อย่างใด
ยกตัวอย่าง บัฟเฟตต์ก็ซื้อถูกขายแพง , ผมได้ดูบทสัมภาษน์เกี่ยวกับการซื้อและขายปิโตรไชน่าของบัฟเฟตต์ : http://www.youtube.com/watch?v=Lc791is6X0o
ฟังคร่าวๆ ก็ประมาณว่า บัฟเฟตต์เห็นว่าบริษัทนี้ควรมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ $100 billion แต่ตอนที่ซื้อมาใช้เงินลงทุน $488 million , Mkt. ทั้งบริษัท = $37 billion และขายหุ้นทั้งหมดได้เงินมา $4 billion Mkt. ทั้งบริษัท = $275 billion
ผมคิดว่าบางคนหรือหลายๆคนเข้าใจว่า VI คือ ซื้อแล้วถือไว้ตลอดไป ไม่ขาย หรือลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ ซึ่งผมเห็นว่า แนวทางของบัฟเฟตต์ไม่ใช่ทุกอย่างของหลักการ VI แต่เป็นหลักการที่แตกมาจาก VI อีกทีนึงรึเปล่าครับ
VI เองก็มีหลายๆท่านอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ , จอห์น เนฟฟ์ ที่เน้นซื้อถูกขายแพงเป็นหลัก ระยะเวลาที่ถือก็ตั้งแต่ 6 เดือน - 3 ปี หรืออาจจะ 4 - 5 ปี
อย่าง จอห์น เนฟฟ์ ก็เป็น VI ที่เปลี่ยนหุ้นบ่อยมากๆ และดูเหมือนว่าเค้าจะเน้นไปที่ PE , EPS , Dividend และแนวโน้มเศรษฐกิจระยะ 1 - 2 ปี เป็นหลัก
การที่นักลงทุนจะลงทุนตามอย่าง บัฟเฟตต์ (ซื้อหุ้นที่ดีแล้วถืออย่างยาวนานหรืออย่างน้อยก็ถือไว้จริงๆไม่ขายเลย 5 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนประมาณ 20% ต่อปี) ได้ผมคิดว่าต้องมีปัจจัยดังนี้ครับ
1. พอร์ตลงทุนเริ่มต้นมีขนาดใหญ่ ระดับ 5 - 10 ล้านบาทขึ้นไป และไม่ใช่เงินทั้งหมดของชีวิต คือได้เงินปันผลจำนวนมากพอที่สามารถนำไปลงทุนหุ้นตัวอื่นๆในสัดส่วนที่มากได้ โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิม และไม่กระทบการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ถ้าคนพอร์ตเล็ก(อย่างผม) อยากลงทุนแนวทางบัฟเฟฟต์ คือซื้อแล้วถือ ให้มูลค่าหุ้นตัวเดิมเพิ่มไปเรื่อยๆ สมมติผลตอบแทนรวมปันผลราวๆ 20% ต่อปี
เงิน 1 แสนบาท กับ เงิน 1 ล้านบาท หรือ เงิน 10 ล้านบาท ผลตอบแทนต่อปีถือว่าต่างกันมากเลยนะครับ 1 แสน ได้ 2 หมื่นบาท 10 ล้าน ได้ 2 ล้านบาท , เปรียบเทียบการนำเงิน 2 หมื่นบาท กับ 2 ล้านบาท ไปลงทุนในหุ้นตัวใหม่น่าจะให้ผลต่างกันเยอะครับ
ในความเห็นของผมพอร์ตขนาดเล็กหรือใหญ่ มีผลต่อหลักการลงทุนของเราครับ พอร์ตเล็กจะลงทุนแบบพอร์ตใหญ่ก็ไม่น่าเหมาะ หรือพอร์ตใหญ่จะลงทุนแบบพอร์ตเล็กก็ไม่คล่องตัวเท่าครับ
2. มีเงินสดรับแต่ละปีจำนวนมาก จากรายได้หลัก หรือรายได้อื่นๆ เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครับ อย่างบัฟเฟตต์เองรู้สึกว่าได้เงินเดือนราวๆ $100,000 ต่อปีรึเปล่าครับ ไม่แน่ใจครับ
หุ้นเบิร์กไชร์ก็ไม่ได้จ่ายปันผล กำไรหรือปันผลจากบริษัทลูกก็นำไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ๆต่อไปเรื่อยๆ หุ้นเดิมก็ถือต่อไปได้เรื่อยๆ
3. ตะแกรงร่อนหุ้นต้องเข้มข้นมากๆ ถึงจะลงทุนแนว บัฟเฟตต์ ได้ เพราะถ้าซื้อแล้วถือไปเรื่อยๆอย่างยาวนาน คล้ายกับเราร่วมลงทุนทำธุรกิจนั้นไปด้วยเลย ต้องดูทุกอย่าง ดูงบอย่างละเอียด วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ศึกษาผู้บริหารให้ดี
ก็จำเป็นต้องมีตะแกรงร่อนที่เข้มข้นมากกว่า การลงทุนแบบเน้นซื้อถูกขายแพง ที่หลักๆจะดูพวก PE , EPS , Dividend และภาวะเศรษฐกิจครับ
สิ่งที่ผมสามารถนำหลักการของบัฟเฟตต์ มาประยุกต์ใช้กับผม ก็คือ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ , การดูผู้บริหาร , การรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นเมื่อตลาดตกต่ำ , การดูแนวโน้มระยะยาวของกิจการ(อนาคต)ครับ (ตอนนี้นึกได้เท่านี้ครับ)
ส่วนการถือหุ้นอย่างยาวนานผมคิดว่า ณ ตอนนี้ ยังไม่สามารถใช้กับขนาดของพอร์ตผมได้ครับ
ตอนนี้ผมซื้อหุ้นระยะเวลาที่หวังผลประมาณ 6 เดือน - 2 ปีครับ แต่ช่วงนี้หุ้นบางตัวดันขึ้นมาเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ(ราคานี้คิดว่าจะได้ตอนปีหน้า) ก็เลยขายทำกำไรไปลงทุนตัวอื่นที่คิดว่ายังถูกอยู่ครับ ตามตะแกรงร่อนหุ้นของผม
ก็ประมาณนี้ครับ รบกวนพี่วิบูลย์ช่วย วิจารณ์ และ แลกเปลี่ยน ด้วยครับ :8)
พอดีผมเพิ่งสอบเสร็จ แบบว่าเก็บกดครับ 2 อาทิตย์อ่านแต่หนังสือเรียน
จะศึกษาหุ้นตัวไหนก็ไม่ได้ทำ ดองไว้หลายตัวเลย ขอพิมพ์เยอะหน่อยนะครับ :lol:
มีข้อสงสัยดังนี้ครับ
ผมอยากทราบว่า
- ในระยะแรกๆของการลงทุน บัฟเฟตต์ ไม่ได้ซื้อแล้วถือหุ้นอย่างยาวนานรึเปล่าครับ เท่าที่ผมเคยอ่าน ช่วงแรกๆ ที่พอซื้อลงทุนแล้วราคาขึ้นไป กำไร 50% ก็ขายทำกำไร ประมาณนี้รึเปล่าครับ ทยอยสะสมกำไรให้ทุนเพิ่มก่อน
- ต่อมาพอทุนเริ่มเพิ่มขึ้น(พอร์ตใหญ่) ก็เปลี่ยนมาเป็นซื้อหุ้นจำนวนมาก หรือ ซื้อทั้งบริษัท ทำให้ บัฟเฟตต์ สามารถมีเงินสดจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกหรือเงินปันผลที่มีจำนวนมาก และนำเงินสดนั้นมาซื้อลงทุนในบริษัทอื่นๆ ได้โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิมที่ถืออยู่รึเปล่าครับ ถึงแม้จะราคาปรับตัวขึ้นไปมากก็ตาม เลยเป็นที่มาของการถือหุ้นอย่างยาวนาน แทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อนำเงินมาลงทุนต่อครับ
- การที่ บัฟเฟตต์ บอกว่าไม่ต้องสนใจราคาหุ้นระยะสั้น ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ดูราคารึเปล่าครับ เพียงแต่ดูได้ แต่อย่าไปใส่ใจมาก ยกเว้นจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น หุ้นตกหนักๆ หรือ ราคาขึ้นไปมาก เพราะถ้าไม่ดูราคาเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนหุ้นถูก หรือ ตอนไหนหุ้นแพงเกินไปครับ
- แก่นที่แท้จริงของ Value Investment ก็คือยึดหลักการซื้อถูกขายแพง ใช่มั๊ยครับ
ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำว่ามูลค่าที่เหมาะสม ขายเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นเกินมูลค่าที่เหมาะสม หรือเจอตัวที่น่าสนใจกว่า
VI ไม่ได้จำเป็นต้องถือหุ้นไว้ตลอดไป หากเห็นว่าราคาหุ้นสูงเกินความเหมาะสม หรือเราพอใจในกำไรแล้ว ก็ขายทำกำไรไป ไม่ได้ผิดหลัก VI แต่อย่างใด
ยกตัวอย่าง บัฟเฟตต์ก็ซื้อถูกขายแพง , ผมได้ดูบทสัมภาษน์เกี่ยวกับการซื้อและขายปิโตรไชน่าของบัฟเฟตต์ : http://www.youtube.com/watch?v=Lc791is6X0o
ฟังคร่าวๆ ก็ประมาณว่า บัฟเฟตต์เห็นว่าบริษัทนี้ควรมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ $100 billion แต่ตอนที่ซื้อมาใช้เงินลงทุน $488 million , Mkt. ทั้งบริษัท = $37 billion และขายหุ้นทั้งหมดได้เงินมา $4 billion Mkt. ทั้งบริษัท = $275 billion
We made one large sale last year. In 2002 and 2003 Berkshire bought 1.3% of PetroChina for $488 million, a price that valued the entire business at about $37 billion. Charlie and I then felt that the company was worth about $100 billion. By 2007, two factors had materially increased its value; the price of oil had climbed significantly, and PetroChinas management had done a great job in building oil and gas reserves. In the second half of last year, the market value of the company rose to $275 billion, about what we thought it was worth compared to other giant oil companies. So we sold our holdings for $4 billion. A footnote: We paid the IRS tax of $1.2 billion on our PetroChina gain. This sum paid all costs of the U.S. government defense, social security, you name it for about four hours.
ที่มา : http://www.peridotcapitalist.com/2008/0 ... arren.html
ผมคิดว่าบางคนหรือหลายๆคนเข้าใจว่า VI คือ ซื้อแล้วถือไว้ตลอดไป ไม่ขาย หรือลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ ซึ่งผมเห็นว่า แนวทางของบัฟเฟตต์ไม่ใช่ทุกอย่างของหลักการ VI แต่เป็นหลักการที่แตกมาจาก VI อีกทีนึงรึเปล่าครับ
VI เองก็มีหลายๆท่านอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ , จอห์น เนฟฟ์ ที่เน้นซื้อถูกขายแพงเป็นหลัก ระยะเวลาที่ถือก็ตั้งแต่ 6 เดือน - 3 ปี หรืออาจจะ 4 - 5 ปี
อย่าง จอห์น เนฟฟ์ ก็เป็น VI ที่เปลี่ยนหุ้นบ่อยมากๆ และดูเหมือนว่าเค้าจะเน้นไปที่ PE , EPS , Dividend และแนวโน้มเศรษฐกิจระยะ 1 - 2 ปี เป็นหลัก
การที่นักลงทุนจะลงทุนตามอย่าง บัฟเฟตต์ (ซื้อหุ้นที่ดีแล้วถืออย่างยาวนานหรืออย่างน้อยก็ถือไว้จริงๆไม่ขายเลย 5 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนประมาณ 20% ต่อปี) ได้ผมคิดว่าต้องมีปัจจัยดังนี้ครับ
1. พอร์ตลงทุนเริ่มต้นมีขนาดใหญ่ ระดับ 5 - 10 ล้านบาทขึ้นไป และไม่ใช่เงินทั้งหมดของชีวิต คือได้เงินปันผลจำนวนมากพอที่สามารถนำไปลงทุนหุ้นตัวอื่นๆในสัดส่วนที่มากได้ โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิม และไม่กระทบการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ถ้าคนพอร์ตเล็ก(อย่างผม) อยากลงทุนแนวทางบัฟเฟฟต์ คือซื้อแล้วถือ ให้มูลค่าหุ้นตัวเดิมเพิ่มไปเรื่อยๆ สมมติผลตอบแทนรวมปันผลราวๆ 20% ต่อปี
เงิน 1 แสนบาท กับ เงิน 1 ล้านบาท หรือ เงิน 10 ล้านบาท ผลตอบแทนต่อปีถือว่าต่างกันมากเลยนะครับ 1 แสน ได้ 2 หมื่นบาท 10 ล้าน ได้ 2 ล้านบาท , เปรียบเทียบการนำเงิน 2 หมื่นบาท กับ 2 ล้านบาท ไปลงทุนในหุ้นตัวใหม่น่าจะให้ผลต่างกันเยอะครับ
ในความเห็นของผมพอร์ตขนาดเล็กหรือใหญ่ มีผลต่อหลักการลงทุนของเราครับ พอร์ตเล็กจะลงทุนแบบพอร์ตใหญ่ก็ไม่น่าเหมาะ หรือพอร์ตใหญ่จะลงทุนแบบพอร์ตเล็กก็ไม่คล่องตัวเท่าครับ
2. มีเงินสดรับแต่ละปีจำนวนมาก จากรายได้หลัก หรือรายได้อื่นๆ เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครับ อย่างบัฟเฟตต์เองรู้สึกว่าได้เงินเดือนราวๆ $100,000 ต่อปีรึเปล่าครับ ไม่แน่ใจครับ
หุ้นเบิร์กไชร์ก็ไม่ได้จ่ายปันผล กำไรหรือปันผลจากบริษัทลูกก็นำไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ๆต่อไปเรื่อยๆ หุ้นเดิมก็ถือต่อไปได้เรื่อยๆ
3. ตะแกรงร่อนหุ้นต้องเข้มข้นมากๆ ถึงจะลงทุนแนว บัฟเฟตต์ ได้ เพราะถ้าซื้อแล้วถือไปเรื่อยๆอย่างยาวนาน คล้ายกับเราร่วมลงทุนทำธุรกิจนั้นไปด้วยเลย ต้องดูทุกอย่าง ดูงบอย่างละเอียด วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ศึกษาผู้บริหารให้ดี
ก็จำเป็นต้องมีตะแกรงร่อนที่เข้มข้นมากกว่า การลงทุนแบบเน้นซื้อถูกขายแพง ที่หลักๆจะดูพวก PE , EPS , Dividend และภาวะเศรษฐกิจครับ
สิ่งที่ผมสามารถนำหลักการของบัฟเฟตต์ มาประยุกต์ใช้กับผม ก็คือ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ , การดูผู้บริหาร , การรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นเมื่อตลาดตกต่ำ , การดูแนวโน้มระยะยาวของกิจการ(อนาคต)ครับ (ตอนนี้นึกได้เท่านี้ครับ)
ส่วนการถือหุ้นอย่างยาวนานผมคิดว่า ณ ตอนนี้ ยังไม่สามารถใช้กับขนาดของพอร์ตผมได้ครับ
ตอนนี้ผมซื้อหุ้นระยะเวลาที่หวังผลประมาณ 6 เดือน - 2 ปีครับ แต่ช่วงนี้หุ้นบางตัวดันขึ้นมาเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ(ราคานี้คิดว่าจะได้ตอนปีหน้า) ก็เลยขายทำกำไรไปลงทุนตัวอื่นที่คิดว่ายังถูกอยู่ครับ ตามตะแกรงร่อนหุ้นของผม
ก็ประมาณนี้ครับ รบกวนพี่วิบูลย์ช่วย วิจารณ์ และ แลกเปลี่ยน ด้วยครับ :8)
พอดีผมเพิ่งสอบเสร็จ แบบว่าเก็บกดครับ 2 อาทิตย์อ่านแต่หนังสือเรียน
จะศึกษาหุ้นตัวไหนก็ไม่ได้ทำ ดองไว้หลายตัวเลย ขอพิมพ์เยอะหน่อยนะครับ :lol:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4127
เข้าใจว่า เขา เป็นกรรมการหลายบริษัทนะครับ2. มีเงินสดรับแต่ละปีจำนวนมาก จากรายได้หลัก หรือรายได้อื่นๆ เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครับ อย่างบัฟเฟตต์เองรู้สึกว่าได้เงินเดือนราวๆ $100,000 ต่อปีรึเปล่าครับ ไม่แน่ใจครับ
น่าจะได้เงินจากตรงนี้พอสมควร
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4128
ผมว่า buffett จะลงทุน เค้าดูว่า อีก 5 ปี 10 ปี บริษัทจะโตอย่างไร
บริษัทจะเป็นอย่างไรในตอนนั้น
เพื่อนผม เคยบอกว่า บัฟเฟต จะไม่รู้เรื่อง microsoft หรือ
เพราะ บิลเกตก็สนิทกับเค้ามากๆ
อยากดูงบ อยากดู บริษัท ก็ทำได้
แต่อาจเป็นไปได้ที่ว่า อีก 10ปี เค้าไม่แน่ใจว่า microsoft จะเป็นอย่างไร
เทคโนโลยีจะไปแค่ไหน(เป็นการคาดเดานะครับ)
แต่ nebraska furniture เค้าทราบว่า ต่อไปก็คือร้านขาย furniture
แต่ผมคิดว่า เค้ามี วินัยการลงทุน "พยายาม"ลงทุนในสิ่งที่เค้าเข้าใจ
(มาร่วมแจมครับพี่ครับ )
บริษัทจะเป็นอย่างไรในตอนนั้น
เพื่อนผม เคยบอกว่า บัฟเฟต จะไม่รู้เรื่อง microsoft หรือ
เพราะ บิลเกตก็สนิทกับเค้ามากๆ
อยากดูงบ อยากดู บริษัท ก็ทำได้
แต่อาจเป็นไปได้ที่ว่า อีก 10ปี เค้าไม่แน่ใจว่า microsoft จะเป็นอย่างไร
เทคโนโลยีจะไปแค่ไหน(เป็นการคาดเดานะครับ)
แต่ nebraska furniture เค้าทราบว่า ต่อไปก็คือร้านขาย furniture
แต่ผมคิดว่า เค้ามี วินัยการลงทุน "พยายาม"ลงทุนในสิ่งที่เค้าเข้าใจ
(มาร่วมแจมครับพี่ครับ )
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4129
ขอบคุณครับ
คือผมอยากหานิยามคำว่า Value Investment ครับ
ดูเหมือนมันจะแยกย่อยไปหลายทาง เพราะผมเองก็เคย งงๆ กับ VI ว่าตกลงมันเป็นยังไงแน่ ประมาณว่าหาแก่นไม่เจอครับ
ตอนผมลงทุนใหม่ๆ ผมก็เข้าใจว่า VI คือซื้อแล้วถือยาวๆ แทบไม่ต้องขาย กินปันผล หุ้นดีเดี๋ยวราคาก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ลงทุนอย่าง บัฟเฟตต์
พอครึ่งปีผมก็เจออีกแบบนึง ลงทุนหุ้นโตเร็ว PE สูงๆ แต่ไม่เกินหรือเท่ากับ Growth ขายตอนที่กิจการหยุดโตแล้ว หรือ หุ้นวัฏจักร ลงทุนอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์
ตอนนี้ผ่านมาปีกว่าๆ ผมก็ยังเจอ VI แนวใหม่ๆไปเรื่อยๆครับอย่าง ดู PE EPS DIVIDEND เป็นหลัก ซื้อหุ้นที่ดีตอนราคาต่ำๆ ไม่มีใครสนใจ พอคนสนใจราคาขึ้นมาเหมาะสมแล้วหรือขึ้นเกินราคาเหมาะสมก็ขาย แล้วก็หาหุ้นตัวใหม่ใช้ตะแกรงร่อนหุ้นตามเกณฑ์ของเรา ลงทุนอย่าง จอห์น เนฟฟ์
เป็น VI ทั้ง 3 คนแต่คนละสาขา คนละแนวทาง แต่ยึดหลักคือซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม ขายเมื่อราคาเกินพื้นฐาน หรือกิจการหยุดโตแล้ว หรือ ราคาเหมาะสมแล้ว หรือ เจอหุ้นที่ดีกว่า หรือจะไม่ขายก็ได้ถือต่อไป
ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญสุดของ Value Investment น่าจะเป็น ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม รึเปล่าครับ
แต่ถ้าเป็นแบบ บัฟเฟตต์ ก็จะเพิ่มว่า ซื้อหุ้นชั้นยอด(super stock) ในราคาเหมาะสมและถือยาวๆ เพราะถ้าถือสั้นๆมูลค่าหุ้นก็ยังไม่เติบโตมาก เพราะราคามันเหมาะสมแล้ว (ในช่วงนั้นๆ)
ส่วนจะขายหุ้น หรือ ถือหุ้นต่อไป ก็น่าจะแล้วแต่ ว่าเป็น VI สาขาไหน และหุ้นที่ถือเป็นแบบไหนอีกทีครับ
คือผมอยากหานิยามคำว่า Value Investment ครับ
ดูเหมือนมันจะแยกย่อยไปหลายทาง เพราะผมเองก็เคย งงๆ กับ VI ว่าตกลงมันเป็นยังไงแน่ ประมาณว่าหาแก่นไม่เจอครับ
ตอนผมลงทุนใหม่ๆ ผมก็เข้าใจว่า VI คือซื้อแล้วถือยาวๆ แทบไม่ต้องขาย กินปันผล หุ้นดีเดี๋ยวราคาก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ลงทุนอย่าง บัฟเฟตต์
พอครึ่งปีผมก็เจออีกแบบนึง ลงทุนหุ้นโตเร็ว PE สูงๆ แต่ไม่เกินหรือเท่ากับ Growth ขายตอนที่กิจการหยุดโตแล้ว หรือ หุ้นวัฏจักร ลงทุนอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์
ตอนนี้ผ่านมาปีกว่าๆ ผมก็ยังเจอ VI แนวใหม่ๆไปเรื่อยๆครับอย่าง ดู PE EPS DIVIDEND เป็นหลัก ซื้อหุ้นที่ดีตอนราคาต่ำๆ ไม่มีใครสนใจ พอคนสนใจราคาขึ้นมาเหมาะสมแล้วหรือขึ้นเกินราคาเหมาะสมก็ขาย แล้วก็หาหุ้นตัวใหม่ใช้ตะแกรงร่อนหุ้นตามเกณฑ์ของเรา ลงทุนอย่าง จอห์น เนฟฟ์
เป็น VI ทั้ง 3 คนแต่คนละสาขา คนละแนวทาง แต่ยึดหลักคือซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม ขายเมื่อราคาเกินพื้นฐาน หรือกิจการหยุดโตแล้ว หรือ ราคาเหมาะสมแล้ว หรือ เจอหุ้นที่ดีกว่า หรือจะไม่ขายก็ได้ถือต่อไป
ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญสุดของ Value Investment น่าจะเป็น ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม รึเปล่าครับ
แต่ถ้าเป็นแบบ บัฟเฟตต์ ก็จะเพิ่มว่า ซื้อหุ้นชั้นยอด(super stock) ในราคาเหมาะสมและถือยาวๆ เพราะถ้าถือสั้นๆมูลค่าหุ้นก็ยังไม่เติบโตมาก เพราะราคามันเหมาะสมแล้ว (ในช่วงนั้นๆ)
ส่วนจะขายหุ้น หรือ ถือหุ้นต่อไป ก็น่าจะแล้วแต่ ว่าเป็น VI สาขาไหน และหุ้นที่ถือเป็นแบบไหนอีกทีครับ
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4130
เค้าสนิทกันตอนรวยมากๆๆๆ แล้วทั้งคู่ครับ คงไม่ใช่ประเด็นนี้เพื่อนผม เคยบอกว่า บัฟเฟต จะไม่รู้เรื่อง microsoft หรือ
เพราะ บิลเกตก็สนิทกับเค้ามากๆ
อยากดูงบ อยากดู บริษัท ก็ทำได้
คงเป็นเพราะบัฟเฟต์ไม่ชอบหุ้น IT ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และคาดการณ์อะไรได้ลำบากมากกว่า
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4131
พี่วิบูลย์ขอยืมกระทู้โฆษณานิดนึงนะ
พอดีผมอยากหาคำตอบว่าแต่ละคนให้ความสำคัญกับ
stockselection , timing และอื่นๆมากน้อยเท่าไหร่สำหรับ
การลงทุน ก็เลยมีให้เขียนแชร์ประสบการณ์เข้ามา
คนชนะมีรางวัลเป็น file เสียงการลงทุน classic ที่หายาก
ให้เพียบเลย ส่วนนึงก็เป็น file ที่พี่วิบูลย์กับพี่เว็บและ
พี่ฉัตรเคยพูดที่ตลาดหลักทรัพย์นั้นแหละ อิอิ
ใครสนใจเข้าไปร่วมแชร์ประสบการณ์ก็ได้เลยนะครับ
ใน บล็อกผมอะ อยู่ในลายเซ้นด้านล่างนี้
ไม่ได้มาโฆษณาอย่างเดียวนะ เดี่ยวถ้ามีคนเขียนเข้ามาเยอะๆ
ผมจะมาทำสรุปให้อ่านในกระทู้นี้ว่าคนที่ให้ความสำคัญกับอะไร
เขาคิดยังไงและเขามีประสบการณ์อะไรมาเล่า
พอดีผมอยากหาคำตอบว่าแต่ละคนให้ความสำคัญกับ
stockselection , timing และอื่นๆมากน้อยเท่าไหร่สำหรับ
การลงทุน ก็เลยมีให้เขียนแชร์ประสบการณ์เข้ามา
คนชนะมีรางวัลเป็น file เสียงการลงทุน classic ที่หายาก
ให้เพียบเลย ส่วนนึงก็เป็น file ที่พี่วิบูลย์กับพี่เว็บและ
พี่ฉัตรเคยพูดที่ตลาดหลักทรัพย์นั้นแหละ อิอิ
ใครสนใจเข้าไปร่วมแชร์ประสบการณ์ก็ได้เลยนะครับ
ใน บล็อกผมอะ อยู่ในลายเซ้นด้านล่างนี้
ไม่ได้มาโฆษณาอย่างเดียวนะ เดี่ยวถ้ามีคนเขียนเข้ามาเยอะๆ
ผมจะมาทำสรุปให้อ่านในกระทู้นี้ว่าคนที่ให้ความสำคัญกับอะไร
เขาคิดยังไงและเขามีประสบการณ์อะไรมาเล่า
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 1109
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4132
รบกวนถามพี่วิบูลณ์ครับ ว่าเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสด กับ รายได้ที่ยังไม่ได้จัดสรร มีส่วนเกี่ยวข้องกันไหมครับ บ้างบริษัท เงินสด 1000 ล้าน รายได้ ไม่ได้จัดสรร 10000 ล้าน ทำไมต่างกันจังเลย เพราะเห็นบอกว่าเงินที่ยังไม่ได้จัดสรร คือกำไรที่ไม่ได้เอาไปจ่ายปันผล หรือซื้อหุ้นคืน หรือไม่ได้นำไปลงทุน แล้วเงินสดหละครับ ขอบคุณครับ
มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้น จะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล :Philip A. Fisher
-
- Verified User
- โพสต์: 1109
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4133
ถ้าหา FCF ติดลบ แต่มีเงินสด 1000 ล้าน และ เงินยังไม่ได้จัดสรรเป็น 10000 ล้าน หมายความว่ายังมีเงินหรือป่าวครับ
มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้น จะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล :Philip A. Fisher
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4137
แรกๆบัฟเฟตลงทุนแบบ"ก้นบุหรี่"ครับi_sarut เขียน:มาชวนพี่วิบูลย์คุยเรื่อง บัฟเฟตต์ ครับ พอดีผมกำลังพยายามทำความเข้าใจแนวทางการลงทุนของหลายๆท่านอยู่ครับ จะได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางของผมเอง
มีข้อสงสัยดังนี้ครับ
ผมอยากทราบว่า
- ในระยะแรกๆของการลงทุน บัฟเฟตต์ ไม่ได้ซื้อแล้วถือหุ้นอย่างยาวนานรึเปล่าครับ เท่าที่ผมเคยอ่าน ช่วงแรกๆ ที่พอซื้อลงทุนแล้วราคาขึ้นไป กำไร 50% ก็ขายทำกำไร ประมาณนี้รึเปล่าครับ ทยอยสะสมกำไรให้ทุนเพิ่มก่อน:
ซื้อมาถูกๆไม่สนคุณภาพบริษัท
พอราคาขึ้นมาเกินมูลค่าก็ขาย
ไม่ได้คิดถือตลอดชีวิต
เป็นวิธีการลงทุนแบบเบนจามิน เกรแฮมล้วนๆ
ไม่ใช่i_sarut เขียน:- ต่อมาพอทุนเริ่มเพิ่มขึ้น(พอร์ตใหญ่) ก็เปลี่ยนมาเป็นซื้อหุ้นจำนวนมาก หรือ ซื้อทั้งบริษัท ทำให้ บัฟเฟตต์ สามารถมีเงินสดจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกหรือเงินปันผลที่มีจำนวนมาก และนำเงินสดนั้นมาซื้อลงทุนในบริษัทอื่นๆ ได้โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิมที่ถืออยู่รึเปล่าครับ ถึงแม้จะราคาปรับตัวขึ้นไปมากก็ตาม เลยเป็นที่มาของการถือหุ้นอย่างยาวนาน แทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อนำเงินมาลงทุนต่อครับ
:
บัฟเฟตสนใจการลงทุนแบบฟิลิฟ ฟิชเชอร์
ที่ลงทุนในหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งนานมาก
เพื่อให้บริษัทแสดงศักยภาพในระยะยาวออกมา
เริ่มต้นจาก"หลักการ"มากกว่าเงินที่มีครับ
เขาไม่ได้บอกว่าไม่ต้องดูi_sarut เขียน:- การที่ บัฟเฟตต์ บอกว่าไม่ต้องสนใจราคาหุ้นระยะสั้น ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ดูราคารึเปล่าครับ เพียงแต่ดูได้ แต่อย่าไปใส่ใจมาก ยกเว้นจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น หุ้นตกหนักๆ หรือ ราคาขึ้นไปมาก เพราะถ้าไม่ดูราคาเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนหุ้นถูก หรือ ตอนไหนหุ้นแพงเกินไปครับ:
ไม่สนใจไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นนะครับ
แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า
คนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจใน"ราคาหุ้น"มากกว่าผลประกอบการบริษัทในระยะยาว
ก็ถูกแล้วนี่ครับi_sarut เขียน:- แก่นที่แท้จริงของ Value Investment ก็คือยึดหลักการซื้อถูกขายแพง ใช่มั๊ยครับ
ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำว่ามูลค่าที่เหมาะสม ขายเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นเกินมูลค่าที่เหมาะสม หรือเจอตัวที่น่าสนใจกว่า
VI ไม่ได้จำเป็นต้องถือหุ้นไว้ตลอดไป หากเห็นว่าราคาหุ้นสูงเกินความเหมาะสม หรือเราพอใจในกำไรแล้ว ก็ขายทำกำไรไป ไม่ได้ผิดหลัก VI แต่อย่างใด:
Overvalue ก็ขายได้นี่ครับi_sarut เขียน:ยกตัวอย่าง บัฟเฟตต์ก็ซื้อถูกขายแพง , ผมได้ดูบทสัมภาษน์เกี่ยวกับการซื้อและขายปิโตรไชน่าของบัฟเฟตต์ : http://www.youtube.com/watch?v=Lc791is6X0o
ฟังคร่าวๆ ก็ประมาณว่า บัฟเฟตต์เห็นว่าบริษัทนี้ควรมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ $100 billion แต่ตอนที่ซื้อมาใช้เงินลงทุน $488 million , Mkt. ทั้งบริษัท = $37 billion และขายหุ้นทั้งหมดได้เงินมา $4 billion Mkt. ทั้งบริษัท = $275 billion:
แต่บัฟเฟตบอกว่าขายไปแล้ว ราคาหุ้นกลับสูงขึ้นไปอีก
ขาดทุนกำไรไปเยอะเลย....หัวเราะ
อย่าไปสนใจในนิยามมากเกินไปi_sarut เขียน:ผมคิดว่าบางคนหรือหลายๆคนเข้าใจว่า VI คือ ซื้อแล้วถือไว้ตลอดไป ไม่ขาย หรือลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ ซึ่งผมเห็นว่า แนวทางของบัฟเฟตต์ไม่ใช่ทุกอย่างของหลักการ VI แต่เป็นหลักการที่แตกมาจาก VI อีกทีนึงรึเปล่าครับ:
มันไม่มีประโยชน์
เอาเป็นว่าอะไรที่ซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าคือวีไอแล้วกัน
ก็ใช่i_sarut เขียน:VI เองก็มีหลายๆท่านอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ , จอห์น เนฟฟ์ ที่เน้นซื้อถูกขายแพงเป็นหลัก ระยะเวลาที่ถือก็ตั้งแต่ 6 เดือน - 3 ปี หรืออาจจะ 4 - 5 ปี
อย่าง จอห์น เนฟฟ์ ก็เป็น VI ที่เปลี่ยนหุ้นบ่อยมากๆ และดูเหมือนว่าเค้าจะเน้นไปที่ PE , EPS , Dividend และแนวโน้มเศรษฐกิจระยะ 1 - 2 ปี เป็นหลัก:
i_sarut เขียน:การที่นักลงทุนจะลงทุนตามอย่าง บัฟเฟตต์ (ซื้อหุ้นที่ดีแล้วถืออย่างยาวนานหรืออย่างน้อยก็ถือไว้จริงๆไม่ขายเลย 5 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนประมาณ 20% ต่อปี) ได้ผมคิดว่าต้องมีปัจจัยดังนี้ครับ:
ไม่จริงi_sarut เขียน:1. พอร์ตลงทุนเริ่มต้นมีขนาดใหญ่ ระดับ 5 - 10 ล้านบาทขึ้นไป และไม่ใช่เงินทั้งหมดของชีวิต คือได้เงินปันผลจำนวนมากพอที่สามารถนำไปลงทุนหุ้นตัวอื่นๆในสัดส่วนที่มากได้ โดยที่ไม่ต้องขายหุ้นเดิม และไม่กระทบการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน:
อย่างทีผมบอก
เงินไม่ใช่สิ่งสำคัย
หลักการสำคัญกว่า
มีคนมากมายอยากเป็นบัฟเฟต
แต่บอกว่าเราเงินน้อยเลยลงทุนแบบบัฟเฟตไม่ได้
มันเป็นแค่"ข้ออ้าง"
เราคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นหละ
คิดว่าทำได้ก็ได้
คิดว่าทำไม่ได้ก็ไม่ได้
i_sarut เขียน:ถ้าคนพอร์ตเล็ก(อย่างผม) อยากลงทุนแนวทางบัฟเฟฟต์ คือซื้อแล้วถือ ให้มูลค่าหุ้นตัวเดิมเพิ่มไปเรื่อยๆ สมมติผลตอบแทนรวมปันผลราวๆ 20% ต่อปี
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4138
โอ ขอบคุณมากครับ เข้าใจชัดเจนมากขึ้นครับ :lol:
เดี๋ยวผมขอใช้เวลากับการลงทุนให้นานกว่านี้ แล้วจะมาถกกับพี่ใหม่นะครับ
ผมยังไม่ค่อยตกผลึกเท่าไหร่ครับ ต้องลองลงทุนไปอีกหลายปีครับ
เดี๋ยวผมขอใช้เวลากับการลงทุนให้นานกว่านี้ แล้วจะมาถกกับพี่ใหม่นะครับ
ผมยังไม่ค่อยตกผลึกเท่าไหร่ครับ ต้องลองลงทุนไปอีกหลายปีครับ
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 1109
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4139
young_5432 wrote:
รบกวนถามพี่วิบูลณ์ครับ ว่าเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสด กับ รายได้ที่ยังไม่ได้จัดสรร มีส่วนเกี่ยวข้องกันไหมครับ บ้างบริษัท เงินสด 1000 ล้าน รายได้ ไม่ได้จัดสรร 10000 ล้าน ทำไมต่างกันจังเลย เพราะเห็นบอกว่าเงินที่ยังไม่ได้จัดสรร คือกำไรที่ไม่ได้เอาไปจ่ายปันผล หรือซื้อหุ้นคืน หรือไม่ได้นำไปลงทุน แล้วเงินสดหละครับ ขอบคุณครับ
ถ้าหา FCF ติดลบ แต่มีเงินสด 1000 ล้าน และ เงินยังไม่ได้จัดสรรเป็น 10000 ล้าน หมายความว่ายังมีเงินหรือป่าวครับ
ผมเคยได้ยินแต่"กำไรที่ยังไม่ได้จัดสรร"นะ
ภาษาอังกฤษเรียกว่า Retain Earning
เป็นส่วนเพิ่มของมูลค่าหุ้นจากเงินจดทะเบียนของบริษัทในส่วนของผู้ถือหุ้น
เงินนี้มาจากไหน
มาจากกำไรในแต่ละปีเพิ่มเข้ามาในงบดุล
เงินก้อนนี้อาจต่างจาก"เงินสด"ในมือได้อย่างแน่นอน
เพราะบริษัทอาจนำกำไรที่ยังไม่ได้จัดสรรไปลงทุน
ซื้อเครื่องจักร ซื้อที่ดิน สร้างโรงงานหรืออื่นๆ
ส่วนเงินสดก็คือเงินสดที่ฝากแบงค์ไว้ครับ
เอามาใช้ได้
แต่กำไรที่ยังไม่ได้จัดสรรอาจไม่ใช่เงินสดครับ
มันแปลงสภาพเป็นทรัพย์สินไปแล้วครับ
FCF ติดลบ แต่มีเงินสด 1000 ล้าน
แสดงว่ามีเงินสด 1000 ล้านอยู่ดี
แต่อนาคตมีไม่ถึงแน่
อ๋อพูดผิดครับ มันคือ กำไรที่ยังไม่ได้จัดสรร แต่ทีนี้ ที่พี่วิบูลณ์บอกว่ามันอาจจะอยู่ในรูปทรัพย์สินที่ อาจจะไปซื้อเครื่องจักร ที่ดิน มันไม่ใช่อย่างนี้หรอครับ ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจผิดรึป่าว
เท่าที่ผมเคยอ่านหนังสือวอเร็นชอบที่จะมีเงินนี้เยอะ ๆ เพราะจะได้เอาไปซื้อหุ้น คืนหรือว่า ลงทุนให้กำไรต่อหุ้นยิ่งมากขึ้น ถ้าได้กำไรมากขึ้น ส่วนที่เอาไปลงทุน สมมุติมีกำไรไม่ได้จัดสรร 10000 ล้าน ถ้าเอาไปซื้อหุ้นคืนชะ 1000 ล้าน ซื้อที่ดิน ซะ 1000 ล้าน กำไร ที่ยังไม่ได้จัดสรรที่เหลือคือ 10000-1000-1000= 8000 ล้าน ซึ่งมันได้หักค่าซื้อที่ดินออกไปแล้ว แล้วมันจะเป็นส่วนที่เป็นทรัพย์สินพวกเครื่องจักร ที่ดิน หรืออสังหาอื่นได้ยังไงครับ
ขอบคุณครับ
รบกวนถามพี่วิบูลณ์ครับ ว่าเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสด กับ รายได้ที่ยังไม่ได้จัดสรร มีส่วนเกี่ยวข้องกันไหมครับ บ้างบริษัท เงินสด 1000 ล้าน รายได้ ไม่ได้จัดสรร 10000 ล้าน ทำไมต่างกันจังเลย เพราะเห็นบอกว่าเงินที่ยังไม่ได้จัดสรร คือกำไรที่ไม่ได้เอาไปจ่ายปันผล หรือซื้อหุ้นคืน หรือไม่ได้นำไปลงทุน แล้วเงินสดหละครับ ขอบคุณครับ
ถ้าหา FCF ติดลบ แต่มีเงินสด 1000 ล้าน และ เงินยังไม่ได้จัดสรรเป็น 10000 ล้าน หมายความว่ายังมีเงินหรือป่าวครับ
ผมเคยได้ยินแต่"กำไรที่ยังไม่ได้จัดสรร"นะ
ภาษาอังกฤษเรียกว่า Retain Earning
เป็นส่วนเพิ่มของมูลค่าหุ้นจากเงินจดทะเบียนของบริษัทในส่วนของผู้ถือหุ้น
เงินนี้มาจากไหน
มาจากกำไรในแต่ละปีเพิ่มเข้ามาในงบดุล
เงินก้อนนี้อาจต่างจาก"เงินสด"ในมือได้อย่างแน่นอน
เพราะบริษัทอาจนำกำไรที่ยังไม่ได้จัดสรรไปลงทุน
ซื้อเครื่องจักร ซื้อที่ดิน สร้างโรงงานหรืออื่นๆ
ส่วนเงินสดก็คือเงินสดที่ฝากแบงค์ไว้ครับ
เอามาใช้ได้
แต่กำไรที่ยังไม่ได้จัดสรรอาจไม่ใช่เงินสดครับ
มันแปลงสภาพเป็นทรัพย์สินไปแล้วครับ
FCF ติดลบ แต่มีเงินสด 1000 ล้าน
แสดงว่ามีเงินสด 1000 ล้านอยู่ดี
แต่อนาคตมีไม่ถึงแน่
อ๋อพูดผิดครับ มันคือ กำไรที่ยังไม่ได้จัดสรร แต่ทีนี้ ที่พี่วิบูลณ์บอกว่ามันอาจจะอยู่ในรูปทรัพย์สินที่ อาจจะไปซื้อเครื่องจักร ที่ดิน มันไม่ใช่อย่างนี้หรอครับ ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจผิดรึป่าว
เท่าที่ผมเคยอ่านหนังสือวอเร็นชอบที่จะมีเงินนี้เยอะ ๆ เพราะจะได้เอาไปซื้อหุ้น คืนหรือว่า ลงทุนให้กำไรต่อหุ้นยิ่งมากขึ้น ถ้าได้กำไรมากขึ้น ส่วนที่เอาไปลงทุน สมมุติมีกำไรไม่ได้จัดสรร 10000 ล้าน ถ้าเอาไปซื้อหุ้นคืนชะ 1000 ล้าน ซื้อที่ดิน ซะ 1000 ล้าน กำไร ที่ยังไม่ได้จัดสรรที่เหลือคือ 10000-1000-1000= 8000 ล้าน ซึ่งมันได้หักค่าซื้อที่ดินออกไปแล้ว แล้วมันจะเป็นส่วนที่เป็นทรัพย์สินพวกเครื่องจักร ที่ดิน หรืออสังหาอื่นได้ยังไงครับ
ขอบคุณครับ
มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้น จะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล :Philip A. Fisher