เงินทุนชาติเอเชียทะลักเข้าไทย จีน-เกาหลี-ไต้หวันขอBOIเพิ่ม
ภาพรวมการลงทุน 8 เดือนแรกยังติดลบ4 หมื่นล้าน แต่ 2-3 กลุ่มอุตสาหกรรม
ที่ยังเนื้อหอม เช่นกลุ่มพลังงานทดแทน กลุ่มแปรรูปอาหาร โดยจีนเบนเข็มมาไทย
ขอส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเฉียด 300% เกาหลีใต้ไม่น้อยหน้าพิ่ม 60%
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) แถลงยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ของปี
นี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 693 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 246,100 ล้านบาท ลดลงประมาณ
40,000 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการขอส่งเสริมการลงทุน
799 โครงการ มูลค่า 282,800 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแม้ภาพรวมของคำขอรับส่งเสริมจะลดลงบ้าง แต่ก็มีบางกลุ่ม
อุตสาหกรรม ที่นักลงทุนสนใจจะเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนสูงขึ้นมาก เช่น
อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะอาหารแปรรูป
สำหรับโครงการกลุ่มพลังงานทดแทน ที่เสนอขอรับการส่งเสริมฯ ที่น่าสนใจ
และมีมูลค่าเงินลงทุนมาก ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติจำนวน 3
โครงการ มูลค่า 86,200 ล้านบาท, โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมจำนวน 4
โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 15,600 ล้านบาท และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสง
อาทิตย์จำนวน 1 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 2,300 ล้านบาท
ขณะที่โครงการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุน 28
โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 6,458 ล้านบาท
'ผู้บริโภคในต่างประเทศไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่ผลิตใน
บางประเทศ ทำให้อาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตจากประเทศไทยซึ่งได้รับการยอมรับ
เรื่องความปลอดภัยและมาตรฐานการผลิต เกิดความต้องการมากขึ้น'
ส่วนอุตสาหกรรมบริการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุน และมีมูลค่าเงินลงทุนเกิน
1,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย กิจการโรงแรม 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 9,000
ล้านบาท, กิจการขนถ่ายสินค้าทางน้ำ 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 9,500 ล้านบาท
และกิจการขนส่งทางอากาศ 1 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 8,100 ล้านบาท
เลขาฯบีโอไอ กล่าวอีกว่า การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ(Foreign Direct
Investment : FDI) ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ แม้จำนวนโครงการและมูลค่าเงินลง
ทุนจะลดลง เพราะบริษัทต่างชาติได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
ด้วย แต่ก็ยังมีหลายประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่
ผ่านมา เช่น การลงทุนจากประเทศจีน มีการขอรับส่งเสริมการลงทุน 14 โครงการ
มูลค่าเงินลงทุน 4,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298% หรือเกือบ 3 เท่าตัว, การลงทุนจาก
เกาหลีใต้ มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุน 21 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 4,727 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 60% และการลงทุนจากไต้หวัน มีคำขอรับส่งเสริม 23 โครงการ มูลค่าเงินลง
ทุน 4,426 ล้านบาท
ที่มา แนวหน้า วันที่ 11/09/09 เวลา 8:21:25
เงินทุนชาติเอเชียทะลักเข้าไทย จีน-เกาหลี-ไต้หวันขอBOIเพิ่ม
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
เงินทุนชาติเอเชียทะลักเข้าไทย จีน-เกาหลี-ไต้หวันขอBOIเพิ่ม
โพสต์ที่ 2
หุ้นไทยร้อน4วันซื้อขายแสนล. ต่างชาติขนเงินเข้าเหตุดอลล์อ่อนค่า
ภาวะตลาดหุ้นไทยยังร้อนแรงไม่เลิก ซื้อขายสนั่นตลาดตั้งแต่ต้นสัปดาห์ รวม
4 วัน 1.3 แสนล้านบาท นักลงทุนต่างชาติ และสถาบัน เป้นฝ่ายซื้อ รายย่อยขาย
ดัชนีเพิ่ม 34 จุด มาร์เก็ตแคปพุ่ง 1.6 แสนล้าน โบรกฯชี้บรรยากาศ ตลาดหุ้นต่าง
ประเทศหนุน ต่างชาติโยกเงินหนีจากตลาดเงิน หลังดอลล่าร์ หันมาซื้อหุ้นกลุ่ม
พลังงาน เก็งว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย 10 กันยายน 2552 ดัชนี
ทะยานตัวในแดนบวกต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ โดยหลังเปิดตลาดดัชนีทะลุ 700
จุด ได้สำเร็จ โดยมีแรงซื้อกลุ่มพลังงานหนุน โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำ
สุดที่ 702.29 จุด และปรับตัวสูงสุดที่ 710.14 จุด ก่อนปิดตลาดในภาคเช้าที่ 709.35
จุด และหลังจากเปิดทำการซื้อขายในช่วงบ่าย นักลงทุนยังคงเข้ามาทำการซื้อ
ขายอย่างคึกคัก ดันดัชนีขึ้นไปแตะ 710.62 จุด สูงสุดในรอบ 13 เดือน ก่อนยจะมีแรง
ทเขายทำกำไรเข้ากดดันในช่วงท้าย ทำให้เมื่อปิดทำการซื้อขาย ดัชนีหลักทรัพย์มา
ยืนอยู่ที่ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด หรือ 1.08 % มูลค่าการซื้อขายสุทธิ 36,680.17
ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย PTT อยู่ที่
267.00 บาท บวก 7.00 บาท PTTEP อยู่ที่ 149.50 บาท บวก 3.50 บาท TOP อยู่ที่
47.75 บาท บวก 1.75 บาท BANPU อยู่ที่ 432.00 บาท บวก 12.00 บาท และ
PTTAR อยู่ที่ 27.50 บาท บวก 1.50 บาท
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์
โดย วันจันทร์ที่ 7 กันยายน มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 28,183.48 ล้านบาท วันที่
8 กันยายน มูลค่าการซื้อขาย 42,674.65 ล้านบาท วันที่ 9 กันยายน มูลค่าการซื้อ
ขาย 29,479.33ล้านบาท วันที่ 10 กันยายน มูลค่าการซื้อขาย 36,680.17 ล้านบาท
รวมสี่วันมูลค่าซื้อขายสูงถึง 137,016 ล้านบาท
และจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7
กันยายน เป็นต้นมาจนถึงวันที่ 10 กันยายน ดัชนีเพิ่มขึ้นไปแล้วรวม 34.68 จุด ขณะที่
มูลค่าตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)โดยรวมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.62 แสนล้านบาท โดย
ต้นสัปดาห์มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ระดับ5.427 ล้านล้านบาท และเพิ่มขึ้นในวันที่10
กันยายนอยู่ที่ระดับ 5.589 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์จนถึงวันที่ 10 กันยายน แบ่งเป็นนักลงทุนสถาบันซื้อ
สุทธิ 3,817.64 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 14,646.76 ล้านบาท นักลงทุน
ต่างชาติซื้อสุทธิ 10,829.12 ล้านบาท
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท
หลักทรัพย์(บล.)กิมเอ็ง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีปริมาณการซื้อขายค่อน
ข้างหนาแน่น ซึ่งเป็นเพราะได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในต่างประเทศ ที่ส่วนใหญ่
ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มของดัชนี วันที่11กันยายน ประเมินว่ามีโอกาสที่จะฟื้นตัวต่อ
เนื่องได้ เพราะจากการที่ค่าเงินดอลล่าร์มีทิศทางอ่อนตัว จึงน่าจะทำให้นักลงทุนโยก
ย้ายการลงทุนมาที่หุ้นในกลุ่มพลังงานแทน เพราะทิศทางของราคาน้ำมันมีแนวโน้ม
ปรับตัวขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนได้ดีกว่าลงทุนในเงินสกุล
ดอลล่าร์ และจากการที่หุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักหรือมูลค่าตามราคา
ตลาด(มาร์เก็ตแคป)สูง ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็เป็นสาเหตุทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวม
ยังสามารถยืนในแดนบวกได้
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนว่าต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร เพราะต้อง
ยอมรับว่าในวันที่11กันยายนเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดเสาร์และอาทิตย์ จึงอาจ
จะทำให้นักลงุทนบางส่วนแบ่งขายหุ้นทำกำไรโดยประเมินแนวต้านที่ระดับ 710 จุด
แนวรับ 700-698 จุด
ที่มา แนวหน้า วันที่ 11/09/09 เวลา 8:18:20
ภาวะตลาดหุ้นไทยยังร้อนแรงไม่เลิก ซื้อขายสนั่นตลาดตั้งแต่ต้นสัปดาห์ รวม
4 วัน 1.3 แสนล้านบาท นักลงทุนต่างชาติ และสถาบัน เป้นฝ่ายซื้อ รายย่อยขาย
ดัชนีเพิ่ม 34 จุด มาร์เก็ตแคปพุ่ง 1.6 แสนล้าน โบรกฯชี้บรรยากาศ ตลาดหุ้นต่าง
ประเทศหนุน ต่างชาติโยกเงินหนีจากตลาดเงิน หลังดอลล่าร์ หันมาซื้อหุ้นกลุ่ม
พลังงาน เก็งว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย 10 กันยายน 2552 ดัชนี
ทะยานตัวในแดนบวกต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ โดยหลังเปิดตลาดดัชนีทะลุ 700
จุด ได้สำเร็จ โดยมีแรงซื้อกลุ่มพลังงานหนุน โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำ
สุดที่ 702.29 จุด และปรับตัวสูงสุดที่ 710.14 จุด ก่อนปิดตลาดในภาคเช้าที่ 709.35
จุด และหลังจากเปิดทำการซื้อขายในช่วงบ่าย นักลงทุนยังคงเข้ามาทำการซื้อ
ขายอย่างคึกคัก ดันดัชนีขึ้นไปแตะ 710.62 จุด สูงสุดในรอบ 13 เดือน ก่อนยจะมีแรง
ทเขายทำกำไรเข้ากดดันในช่วงท้าย ทำให้เมื่อปิดทำการซื้อขาย ดัชนีหลักทรัพย์มา
ยืนอยู่ที่ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด หรือ 1.08 % มูลค่าการซื้อขายสุทธิ 36,680.17
ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย PTT อยู่ที่
267.00 บาท บวก 7.00 บาท PTTEP อยู่ที่ 149.50 บาท บวก 3.50 บาท TOP อยู่ที่
47.75 บาท บวก 1.75 บาท BANPU อยู่ที่ 432.00 บาท บวก 12.00 บาท และ
PTTAR อยู่ที่ 27.50 บาท บวก 1.50 บาท
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์
โดย วันจันทร์ที่ 7 กันยายน มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 28,183.48 ล้านบาท วันที่
8 กันยายน มูลค่าการซื้อขาย 42,674.65 ล้านบาท วันที่ 9 กันยายน มูลค่าการซื้อ
ขาย 29,479.33ล้านบาท วันที่ 10 กันยายน มูลค่าการซื้อขาย 36,680.17 ล้านบาท
รวมสี่วันมูลค่าซื้อขายสูงถึง 137,016 ล้านบาท
และจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7
กันยายน เป็นต้นมาจนถึงวันที่ 10 กันยายน ดัชนีเพิ่มขึ้นไปแล้วรวม 34.68 จุด ขณะที่
มูลค่าตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)โดยรวมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.62 แสนล้านบาท โดย
ต้นสัปดาห์มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ระดับ5.427 ล้านล้านบาท และเพิ่มขึ้นในวันที่10
กันยายนอยู่ที่ระดับ 5.589 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์จนถึงวันที่ 10 กันยายน แบ่งเป็นนักลงทุนสถาบันซื้อ
สุทธิ 3,817.64 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 14,646.76 ล้านบาท นักลงทุน
ต่างชาติซื้อสุทธิ 10,829.12 ล้านบาท
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท
หลักทรัพย์(บล.)กิมเอ็ง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีปริมาณการซื้อขายค่อน
ข้างหนาแน่น ซึ่งเป็นเพราะได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในต่างประเทศ ที่ส่วนใหญ่
ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มของดัชนี วันที่11กันยายน ประเมินว่ามีโอกาสที่จะฟื้นตัวต่อ
เนื่องได้ เพราะจากการที่ค่าเงินดอลล่าร์มีทิศทางอ่อนตัว จึงน่าจะทำให้นักลงทุนโยก
ย้ายการลงทุนมาที่หุ้นในกลุ่มพลังงานแทน เพราะทิศทางของราคาน้ำมันมีแนวโน้ม
ปรับตัวขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนได้ดีกว่าลงทุนในเงินสกุล
ดอลล่าร์ และจากการที่หุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักหรือมูลค่าตามราคา
ตลาด(มาร์เก็ตแคป)สูง ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็เป็นสาเหตุทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวม
ยังสามารถยืนในแดนบวกได้
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนว่าต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร เพราะต้อง
ยอมรับว่าในวันที่11กันยายนเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดเสาร์และอาทิตย์ จึงอาจ
จะทำให้นักลงุทนบางส่วนแบ่งขายหุ้นทำกำไรโดยประเมินแนวต้านที่ระดับ 710 จุด
แนวรับ 700-698 จุด
ที่มา แนวหน้า วันที่ 11/09/09 เวลา 8:18:20