ไม่รู้จะไปตั้งที่ board ไหนครับ เลยขอมาตั้งที่นี่
อยากทราบว่าจะเป็นอย่างไร ใครพอให้ความคิดเห็นได้บ้าง
แล้วตัวไหนน่าจะดีสุดครับ
ขอบคุณครับ
ขอความเห็นเรื่อง การรวม TOP-PTTCH-PTTAR-IRPC
-
- Verified User
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความเห็นเรื่อง การรวม TOP-PTTCH-PTTAR-IRPC
โพสต์ที่ 2
บล. กสิกรไทยมอง PTTAR และ IRPC เป็นคู่การควบรวมกิจการที่เหมาะสมกันมากที่สุด
Posted on Friday, September 04, 2009
กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวในรายการ Trading Hour (Morning) ว่า การควบรวมกิจการของบริษัทในเครือบมจ. ปตท. (PTT) น่าจะแล้วเสร็จในเดือนก.ย. ต.ค. นี้แน่นอน ซึ่งมีการคาดเดากันว่า อาจมีการควบรวมกันใน 4 บริษัทคือ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) บมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC)
อย่างไรก็ตาม กวีมองว่า คู่ที่น่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดคือการควบรวมระหว่าง PTTAR และ IRPC เพราะ PTTAR มีกำลังการผลิตส่วนเกิน ส่วน IRPC จะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม ซึ่งสามารถเกื้อหนุนกันและกันได้
นอกจากนี้ หากมีการควบรวมกิจการกัน IRPC ก็จะไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อลงทุนในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้เทียบเท่ามาตรฐาน EURO 4 ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กวีแนะนำว่า นักลงทุนอาจเข้าไปเก็งกำไรก่อนล่วงหน้าทั้งใน PTTAR และ IRPC ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นหุ้นตัวใหม่
ทั้งนี้ PTTAR ยังมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/52 ดีที่สุดใน 4 บริษัทที่มีข่าวการควบรวมกิจการ เพราะ Spread ของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (ส่วนต่างระหว่างต้นทุนและราคาขาย) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการอะโรเมติกส์ของจีนยังอยู่ในระดับสูง โดยรายได้ของ PTTAR ในส่วนของอะโรเมติกส์ยังสามารถไปทดแทนค่าการกลั่นที่ลดลงได้อีกด้วย
ติดตาม Trading Hour (Morning) ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Friday, September 04, 2009
กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวในรายการ Trading Hour (Morning) ว่า การควบรวมกิจการของบริษัทในเครือบมจ. ปตท. (PTT) น่าจะแล้วเสร็จในเดือนก.ย. ต.ค. นี้แน่นอน ซึ่งมีการคาดเดากันว่า อาจมีการควบรวมกันใน 4 บริษัทคือ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) บมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC)
อย่างไรก็ตาม กวีมองว่า คู่ที่น่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดคือการควบรวมระหว่าง PTTAR และ IRPC เพราะ PTTAR มีกำลังการผลิตส่วนเกิน ส่วน IRPC จะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม ซึ่งสามารถเกื้อหนุนกันและกันได้
นอกจากนี้ หากมีการควบรวมกิจการกัน IRPC ก็จะไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อลงทุนในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้เทียบเท่ามาตรฐาน EURO 4 ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กวีแนะนำว่า นักลงทุนอาจเข้าไปเก็งกำไรก่อนล่วงหน้าทั้งใน PTTAR และ IRPC ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นหุ้นตัวใหม่
ทั้งนี้ PTTAR ยังมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/52 ดีที่สุดใน 4 บริษัทที่มีข่าวการควบรวมกิจการ เพราะ Spread ของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (ส่วนต่างระหว่างต้นทุนและราคาขาย) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการอะโรเมติกส์ของจีนยังอยู่ในระดับสูง โดยรายได้ของ PTTAR ในส่วนของอะโรเมติกส์ยังสามารถไปทดแทนค่าการกลั่นที่ลดลงได้อีกด้วย
ติดตาม Trading Hour (Morning) ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
ขอความเห็นเรื่อง การรวม TOP-PTTCH-PTTAR-IRPC
โพสต์ที่ 3
PTTARเป้าหมาย30บ.
ขานรับแผนควบกิจการ
หุ้นแนวโน้ม PTTAR สวยสุดหลังควบรวม ลุ้นแตะเป้าหมายใหม่ 30 บาท ขณะที่ PTTCHยังโดดเด่น โครงการลงทุนใหม่หนุนราคาหุ้นวิ่งแตะ 80 บาท ก่อนสรุปดีลกลางเดือนต.ค.นี้ ส่วน TOP-IRPC รายได้ยังนิ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ราคาหุ้นกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าข้อสรุปการศึกษาแผนการควบรวมกิจการ 4 บริษัทลูก คือบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR ,บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ,บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ที่คาดว่าจะประกาศออกมาภายในกลางเดือน ต.ค.นี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่า แต่ผู้บริหาร ปตท. เชื่อว่าภายหลังจากการควบรวมจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง ขณะเดียวกันจะทำให้การดำเนินงานแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะสามารถควบรวมระหว่าง PTTAR กับ IRPC และ PTTCH กับ TOP
นักวิเคราะห์บล.คันทรี กรุ๊ป กล่าวว่า แผนการควบรวมกิจการ 4 บริษัทลูกของ ปตท.ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่เรามองว่าหุ้น PTTAR และ PTTCH จะได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้มีการลงทุนโครงการใหม่ไปแล้ว ซึ่งยังไม่รับรู้รายได้ โดย PTTAR ลงทุนโครงการ Upgrading Complex ที่แล้วเสร็จตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ PTTCH ลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันต่อปี และผลิตเม็ดพลาสติก 4 แสนตัน รวมทั้งโครงการผลิต HDPE เข้ามาในไตรมาส 4/52 ด้วย ดังนั้นปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นอย่างมาก ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ปีนี้สำหรับ PTTAR ไว้ที่ 30 บาท และ PTTCH 80 บาท
สำหรับหุ้น TOP และ IRPC เรามองว่าไม่น่าจะโดดเด่นมากนัก โดยประเมินราคาเป้าหมายปีนี้สำหรับ TOP ไว้ที่ 40 บาท และ IRPC 4.5 บาท เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทไม่มีการลงทุนโครงการใหม่ๆเพิ่ม ทำให้ในแง่ของรายได้และกำไรคงที่ อย่างไรก็ตามผลประกอบการขึ้นอยู่กับราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดด้วย แต่เชื่อว่าหุ้น TOP และ IRPC ยังไม่น่าสนใจเท่ากับ PTTAR และ PTTCH
"เราประเมินการเติบโตของมูลค่าหุ้น โดยคิดจากการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่ PTTAR และ PTTCH ลงทุนไปแล้ว แต่ยังไม่บุ๊คในบัญชีรายรับ อย่างไรก็ตามในแง่ของผลประโยชน์สูงสุดในการดำเนินการหลังการควบรวมนั้น เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า 4 บริษัท จะจับคู่หรือแผนการควบรวมจะออกมาในรูปแบบใด"นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้านสถาบันวิจัยนครหลวงไทย แนะนำ"เก็งกำไร"สำหรับหุ้น PTT โดยคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/52 ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีธุรกิจในกลุ่มปิโตรเคมีและรายได้จากโรงแยกก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงหนุนที่สำคัญ
นอกจากนี้ ประเด็นการควบรวมกิจการ ที่จะคาดจะได้ข้อสรุปประมาณกลางเดือน ต.ค.52 ใน ที่สุดจะส่งผลบวกต่อ PTT ด้วยจาก Synergy ที่เกิดขึ้น ให้ราคาเหมาะสมปี 52 ที่ 296 บาท โดยในส่วนของ TOP เห็นว่าทุกกรณีของการควบรวมกิจการ TOP จะได้ประโยชน์สูงสุด
ด้านบล.ทรีนีตี้ แนะนำ "ซื้อ" PTTCH เนื่องจากคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/52 ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2,500 ล้านบาท สเปรดเอทิลีน-นาฟทา
รวมถึง MEG-นาฟทา ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนก.ย.นี้ ราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นจากดีมานด์จีนที่ร้อนแรงต่อเนื่อง ประกอบกับราคาแนฟทาอ่อนตัวลง สเปรดจึงกว้างขึ้น โดยสถานการณ์ดีดังกล่าวอาจยาวไปถึงเดือน ต.ค.52
ส่วนโครงการเอทิลีน 1 ล้านตัน คาดไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปีนี้ เพราะกว่าจะรับรู้กำไรคาดเป็นช่วงปลายไตรมาส 4/52 แล้ว แต่การขึ้นโครงการใหม่ในเบื้องต้นจะมีทั้งปัจจัยบวกและลบเข้ามา คือแม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายจะเริ่มรับรู้ระยะแรกต้องมีการผลิตโอเลฟินส์โดยใช้แนฟทาในสัดส่วนมากขึ้น เพราะโรงแยกก๊าซ 6 อาจเสร็จภายหลังโรงงานเอทิลีนของ PTTCH
สำหรับประเด็นการการควบรวมกิจการบริษัทในเครือ 4 แห่งของ PTT เป็น 2 คู่ที่ควบกันคือ คู่ที่ 1 คือ IRPC กับ TOP สัดส่วน 10 ต่อ 1 คู่ที่ 2 คือ PTTAR กับ PTTCH สัดส่วน 3 ต่อ 1 โดยคู่หลังคาดควบกันโดยใช้วิธีอัตราส่วนของราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น(P/BV) ที่ 1.4 เท่า ปรับราคาเป้าหมายของ PTTCH ขึ้นเป็น 94 บาท
อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ของ PTTCH ขึ้นจาก 4,701 ล้านบาท เป็น 6,700 ล้านบาท และปรับกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้นจาก 8,621 ล้านบาท เป็น 1 หมื่นล้านบาท แม้ค่าอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ(PER) จะสูงถึง 20 เท่าในปี 52 และ 11 เท่าในปี 53 แต่ P/BV ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าธุรกิจปิโตรเคมีในภูมิภาคมีการซื้อขายกันที่ P/BV ในปี 53 ประมาณ 1.4-1.5 เท่า
ขณะที่กระแสการควบรวมกิจการบริษัทในเครือ PTT คาดว่าจะช่วยให้เกิด Synergy หลังการควบรวมเพิ่มขึ้น โดยประเมินราคาเหมาะสม PTTCH ที่ 94 บาท ,PTTAR 31.96
บาท ,TOP 52.31 บาท และ IRPC ไว้ที่ 5.91 บาท
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
วันที่ 11 ก.ย. 2552 แสดงข่าวมาแล้ว 6ช.ม. 26นาที http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=31162
ขานรับแผนควบกิจการ
หุ้นแนวโน้ม PTTAR สวยสุดหลังควบรวม ลุ้นแตะเป้าหมายใหม่ 30 บาท ขณะที่ PTTCHยังโดดเด่น โครงการลงทุนใหม่หนุนราคาหุ้นวิ่งแตะ 80 บาท ก่อนสรุปดีลกลางเดือนต.ค.นี้ ส่วน TOP-IRPC รายได้ยังนิ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ราคาหุ้นกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าข้อสรุปการศึกษาแผนการควบรวมกิจการ 4 บริษัทลูก คือบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR ,บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ,บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ที่คาดว่าจะประกาศออกมาภายในกลางเดือน ต.ค.นี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่า แต่ผู้บริหาร ปตท. เชื่อว่าภายหลังจากการควบรวมจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง ขณะเดียวกันจะทำให้การดำเนินงานแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะสามารถควบรวมระหว่าง PTTAR กับ IRPC และ PTTCH กับ TOP
นักวิเคราะห์บล.คันทรี กรุ๊ป กล่าวว่า แผนการควบรวมกิจการ 4 บริษัทลูกของ ปตท.ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่เรามองว่าหุ้น PTTAR และ PTTCH จะได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้มีการลงทุนโครงการใหม่ไปแล้ว ซึ่งยังไม่รับรู้รายได้ โดย PTTAR ลงทุนโครงการ Upgrading Complex ที่แล้วเสร็จตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ PTTCH ลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันต่อปี และผลิตเม็ดพลาสติก 4 แสนตัน รวมทั้งโครงการผลิต HDPE เข้ามาในไตรมาส 4/52 ด้วย ดังนั้นปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นอย่างมาก ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ปีนี้สำหรับ PTTAR ไว้ที่ 30 บาท และ PTTCH 80 บาท
สำหรับหุ้น TOP และ IRPC เรามองว่าไม่น่าจะโดดเด่นมากนัก โดยประเมินราคาเป้าหมายปีนี้สำหรับ TOP ไว้ที่ 40 บาท และ IRPC 4.5 บาท เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทไม่มีการลงทุนโครงการใหม่ๆเพิ่ม ทำให้ในแง่ของรายได้และกำไรคงที่ อย่างไรก็ตามผลประกอบการขึ้นอยู่กับราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดด้วย แต่เชื่อว่าหุ้น TOP และ IRPC ยังไม่น่าสนใจเท่ากับ PTTAR และ PTTCH
"เราประเมินการเติบโตของมูลค่าหุ้น โดยคิดจากการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่ PTTAR และ PTTCH ลงทุนไปแล้ว แต่ยังไม่บุ๊คในบัญชีรายรับ อย่างไรก็ตามในแง่ของผลประโยชน์สูงสุดในการดำเนินการหลังการควบรวมนั้น เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า 4 บริษัท จะจับคู่หรือแผนการควบรวมจะออกมาในรูปแบบใด"นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้านสถาบันวิจัยนครหลวงไทย แนะนำ"เก็งกำไร"สำหรับหุ้น PTT โดยคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/52 ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีธุรกิจในกลุ่มปิโตรเคมีและรายได้จากโรงแยกก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงหนุนที่สำคัญ
นอกจากนี้ ประเด็นการควบรวมกิจการ ที่จะคาดจะได้ข้อสรุปประมาณกลางเดือน ต.ค.52 ใน ที่สุดจะส่งผลบวกต่อ PTT ด้วยจาก Synergy ที่เกิดขึ้น ให้ราคาเหมาะสมปี 52 ที่ 296 บาท โดยในส่วนของ TOP เห็นว่าทุกกรณีของการควบรวมกิจการ TOP จะได้ประโยชน์สูงสุด
ด้านบล.ทรีนีตี้ แนะนำ "ซื้อ" PTTCH เนื่องจากคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/52 ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2,500 ล้านบาท สเปรดเอทิลีน-นาฟทา
รวมถึง MEG-นาฟทา ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนก.ย.นี้ ราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นจากดีมานด์จีนที่ร้อนแรงต่อเนื่อง ประกอบกับราคาแนฟทาอ่อนตัวลง สเปรดจึงกว้างขึ้น โดยสถานการณ์ดีดังกล่าวอาจยาวไปถึงเดือน ต.ค.52
ส่วนโครงการเอทิลีน 1 ล้านตัน คาดไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปีนี้ เพราะกว่าจะรับรู้กำไรคาดเป็นช่วงปลายไตรมาส 4/52 แล้ว แต่การขึ้นโครงการใหม่ในเบื้องต้นจะมีทั้งปัจจัยบวกและลบเข้ามา คือแม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายจะเริ่มรับรู้ระยะแรกต้องมีการผลิตโอเลฟินส์โดยใช้แนฟทาในสัดส่วนมากขึ้น เพราะโรงแยกก๊าซ 6 อาจเสร็จภายหลังโรงงานเอทิลีนของ PTTCH
สำหรับประเด็นการการควบรวมกิจการบริษัทในเครือ 4 แห่งของ PTT เป็น 2 คู่ที่ควบกันคือ คู่ที่ 1 คือ IRPC กับ TOP สัดส่วน 10 ต่อ 1 คู่ที่ 2 คือ PTTAR กับ PTTCH สัดส่วน 3 ต่อ 1 โดยคู่หลังคาดควบกันโดยใช้วิธีอัตราส่วนของราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น(P/BV) ที่ 1.4 เท่า ปรับราคาเป้าหมายของ PTTCH ขึ้นเป็น 94 บาท
อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ของ PTTCH ขึ้นจาก 4,701 ล้านบาท เป็น 6,700 ล้านบาท และปรับกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้นจาก 8,621 ล้านบาท เป็น 1 หมื่นล้านบาท แม้ค่าอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ(PER) จะสูงถึง 20 เท่าในปี 52 และ 11 เท่าในปี 53 แต่ P/BV ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าธุรกิจปิโตรเคมีในภูมิภาคมีการซื้อขายกันที่ P/BV ในปี 53 ประมาณ 1.4-1.5 เท่า
ขณะที่กระแสการควบรวมกิจการบริษัทในเครือ PTT คาดว่าจะช่วยให้เกิด Synergy หลังการควบรวมเพิ่มขึ้น โดยประเมินราคาเหมาะสม PTTCH ที่ 94 บาท ,PTTAR 31.96
บาท ,TOP 52.31 บาท และ IRPC ไว้ที่ 5.91 บาท
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
วันที่ 11 ก.ย. 2552 แสดงข่าวมาแล้ว 6ช.ม. 26นาที http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=31162