สำหรับตัวผมเอง ถ้าเป็นหุ้นในประเทศ ส่วนมากผมจะโฟกัสการลงทุนในหุ้นสามสี่ตัวแรกที่มั่นใจมากๆ และอย่างมากอีกสัก5-6ตัวที่ถือตัวละ3-5%ไว้ติดตาม แต่ผมว่าการคัดหุ้นต่างประเทศ ผมมีแนวคิดที่แตกต่างจากการเลือกหุ้นในไทยพอสมควร อาจเป็นเพราะเหตุผลอยู่สองข้อดังนี้
ข้อแรกคือ ผมคิดว่าข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้เรารู้จริง สัมผัสถึงตัวตนจริงๆของบริษัทนั้นๆยากพอสมควร เราจึงเป็นรองเขาในด้านข้อมูลข่าวสารนี้ การโฟกัสในสิ่งที่ไม่รู้จริงจึงเสี่ยงเกินไป
ข้อสองคือ ในไทยการที่ผมจะหาหุ้นที่จะโตต่อเนื่องปีละ10-20%ตลอดสัก10-20ปีคงจะเป็นเรื่องยากกว่ามาก แต่ในตลาดอเมริกา ผมเห็นหุ้นประเภทนี้อยู่เยอะพอสมควร
โดยเฉพาะในข้อสองที่ทำให้ผมไม่ต้องไปรู้ลึกในแต่ละธุรกิจมากๆ แต่มีกระจกมองหลังที่ยาวเป็นสิบปีให้เห็นว่าที่ผ่านมาเขาทำได้ดีเพียงใด และหน้าที่เราคือ มองภาพใหญ่ๆคาดเดาว่าธุรกิจนั้นๆในอนาคตยังจะดีต่อเนื่องหรือไม่อย่างไรมากกว่า
ถ้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นท่านสามารถซื้อBIGC CPALL MINT BH BGH และอีกหลายๆตัวที่ไม่ต้องไปยุ่งกับรายละเอียดกลยุทธ์ของเขาสักเท่าใด
(แล้วทำไมผมไม่เลือกหุ้นสี่ห้าตัวข้างบนที่ว่าหล่ะ ทำไมต้องไปเลือกหุ้นที่ไกลตัวมากขนาดนี้..............คำตอบคือ ราคาที่เทรดตอนนี้ของหุ้นต่างประเทศหลายตัว มีการเทรดต่ำกว่าที่มันควรจะเป็น เช่น ราคา ณ.ตอนนี้เชื่อไหมว่า วอลมาร์ต เทรด PE เท่าๆกับ บิ๊กซี หรือหุ้นที่โตเฉลี่ย10-15%ต่อปีย้อนหลังเกือบ10ปี กำไรช่วงนี้ก็ไม่ตก แต่เทรดPEที่ประมาณ15เท่า จากในอดีตที่25เท่าเป็นต้น เมื่อเทียบกับเมืองไทย หุ้นsuper brand บ้านเราจะติดปัญหาในการเติบโตที่จำกัดมากกว่า)
ทำให้ผมใช้การกระจาย โดยคัดเลือกจากงบการเงินย้อนหลัง(คัดเลือกเชิงปริมาณ)ก่อนการคัดเลือกเชิงคุณภาพ โดยกระจายอยู่ในสี่กลุ่มอุตสาหกรรมและคิดว่าเงินที่แบ่งไป(สมมุติ10%ของพอร์ต)เป็นหุ้นในนามหุ้นต่างประเทศเพียง1ตัว(ที่จริงตอนนี้มีอยู่16ตัว และมีที่ติดตามดูอีกประมาณ15ตัวที่ต่อราคาอยู่)
วิธีนี้อาจจะทำให้เหนื่อยมากขึ้น แต่ผมว่าความเครียดจะลดลงพอสมควรเลยครับ
![Wink :wink:](./images/smilies/icon_wink.gif)