ธรรมะ ธรรมชาติ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 543
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา
ขออนุญาติขัดจังหวะพี่หมอกับพี่ eyore ต่อให้จบซักนิดนะครับ
ถือว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจละกัน
เรื่องมันยาวเลยขอสรุปรวบรัดเลยว่า
และแล้วก็ถึงคิวของกระผม
จากที่เมาช้าๆก็เป็นเมาเร็ว
จากที่ตื่นเช้าทำงานได้ ก็กลายเป็นแฮงค์ ปวดหัวไปทั้งวัน
คราวนี้ก็เลยต้อง "ถอน"
จากที่เคบกินกับเพื่อน ก็เพิ่มเป็นกินคนเดียว
และแล้ว
ก็เกิดอาการนอนไม่หลับ ทรมานมาก ต้องลุกขึ้นมากินเหล้าเข้าไปอีก
กินเหล้านอกบ้านเมื่อคืน เช้าตื่นขึ้นมาที่บ้าน จำไม่ได้เลยจริงๆว่า ขับรถมายังไง นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
จากที่กินเหล้าเอาสนุก เริ่มกินแล้วโวยวาย
อาการทางกายก็ออก คนรู้จักทักว่า ทำไมดูแก่จัง ไปสระผมช่างก็ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ผมร่วงมาก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ริดสีดวง
เหตุการณ์ท้ายสุดที่ทำให้ผมต้อง ลด ละ เหล้าก็คือ
ขับรถพาแฟนไปลงข้างทางแถวสระบุรี
วันนั้นไปกินเหล้าที่แก่งคอย บ้านลูกน้อง ผมไปออกแบบให้ มันนัดเลี้ยง
เที่ยงคืนกว่าผมก็กลับบ้านที่ปากเกร็ด ไม่มีสติรู้ตัวว่าไม่ไหว
โชคดีที่ว่า ผมและแฟนไม่เป็นไร
ถึงเวลาเสียที
ไม่มีสุขใดในโลกสมมุติใบนี้ ที่ไม่มีทุกข์ตามมา
ขออนุญาติขัดจังหวะพี่หมอกับพี่ eyore ต่อให้จบซักนิดนะครับ
ถือว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจละกัน
เรื่องมันยาวเลยขอสรุปรวบรัดเลยว่า
และแล้วก็ถึงคิวของกระผม
จากที่เมาช้าๆก็เป็นเมาเร็ว
จากที่ตื่นเช้าทำงานได้ ก็กลายเป็นแฮงค์ ปวดหัวไปทั้งวัน
คราวนี้ก็เลยต้อง "ถอน"
จากที่เคบกินกับเพื่อน ก็เพิ่มเป็นกินคนเดียว
และแล้ว
ก็เกิดอาการนอนไม่หลับ ทรมานมาก ต้องลุกขึ้นมากินเหล้าเข้าไปอีก
กินเหล้านอกบ้านเมื่อคืน เช้าตื่นขึ้นมาที่บ้าน จำไม่ได้เลยจริงๆว่า ขับรถมายังไง นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
จากที่กินเหล้าเอาสนุก เริ่มกินแล้วโวยวาย
อาการทางกายก็ออก คนรู้จักทักว่า ทำไมดูแก่จัง ไปสระผมช่างก็ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ผมร่วงมาก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ริดสีดวง
เหตุการณ์ท้ายสุดที่ทำให้ผมต้อง ลด ละ เหล้าก็คือ
ขับรถพาแฟนไปลงข้างทางแถวสระบุรี
วันนั้นไปกินเหล้าที่แก่งคอย บ้านลูกน้อง ผมไปออกแบบให้ มันนัดเลี้ยง
เที่ยงคืนกว่าผมก็กลับบ้านที่ปากเกร็ด ไม่มีสติรู้ตัวว่าไม่ไหว
โชคดีที่ว่า ผมและแฟนไม่เป็นไร
ถึงเวลาเสียที
ไม่มีสุขใดในโลกสมมุติใบนี้ ที่ไม่มีทุกข์ตามมา
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 544
พรุ่งนี้ผมจะได้ไปไหว้หลวงพ่ออีกแล้ว
อ้อ...มาแจ้งข่าวว่าซีดีแผ่น29ของสวนสันติธรรมมีให้โหลดฟังแล้วนะ
ผมฟังแล้วธรรมะของหลวงพ่อในแผ่นนี้
ถึงใจจริงๆครับ
อ้อ...คือฟังแล้วถึงเข้าไปในใจจริงๆ
หมอๆทั้งสองท่านครับ
ผมฟังมาร่วมๆ600ชั่วโมงแล้ว
แฮ่...ได้ทางนั้นนิดแล้วก็ไปลืมทางนี้หน่อยนึง
ต่อเป็นผืนไม่สำเร็จเลยครับ
อ้อ...มาแจ้งข่าวว่าซีดีแผ่น29ของสวนสันติธรรมมีให้โหลดฟังแล้วนะ
ผมฟังแล้วธรรมะของหลวงพ่อในแผ่นนี้
ถึงใจจริงๆครับ
อ้อ...คือฟังแล้วถึงเข้าไปในใจจริงๆ
หมอๆทั้งสองท่านครับ
ผมฟังมาร่วมๆ600ชั่วโมงแล้ว
แฮ่...ได้ทางนั้นนิดแล้วก็ไปลืมทางนี้หน่อยนึง
ต่อเป็นผืนไม่สำเร็จเลยครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 547
เวลาในขวดเหล้า
ขออนุญาติสรุปตบท้าย
ไหนๆก็เสียเวลากินเหล้ามาเป็นสิบปี
ขอรินธรรมะจากขวดซักหน่อย
คนที่มีความสุขตอนกรึ่มๆนี่
ถ้ามองแบบเห็นอกเห็นใจนี่
ผมว่า เขาผู้นั้นกำลังละ อัตตา อยู่
ยังไงหรือ
ก็ตอนกรึ่มๆนั้น มันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่เหตุการณ์ตรงหน้าสดๆ หัวสมองปราศจากความคิดใดๆ
ไอ้ที่เส้นหนานี่ วิปัสนา นี่นา
เพียงแต่ไม่ได้เอาสติไปทำให้เกิด เอาแอลกอฮอร์ไปจับ
ผมว่าลึกๆคนเราต้องการละ อัตตา นะครับ
จะเห็นว่าทุกคนล้วนไม่เวลาใดเวลาหนึ่งต้องการ ธรรมชาติ ความสงบเงียบ
เวลาที่เราดื่มดำกับธรรมชาตินั้น
ไม่มีเรา ไม่มีอัตตา ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
มีแต่ขณะนั้นล้วนๆ
แต่เราทุกคนละ อัตตา ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ทั้งบังเอิญและทั้งตั้งใจ
เพราะอะไร
รู้ๆกันอยู่ว่า เพราะกิเลสทั้งหลาย
แต่ลึกๆมันเพราะอะไร
ผมขอเน้นว่า
เพราะไอ้เจ้าอัตตามันเป็นกาฝากร้าย ถ้าไม่มีกิเลสที่มันสร้างมา
เจ้าอัตตา มันอยู่ไม่ได้
ไม่ว่า จะ รัก โลภ โกรธ หลง ชั่ว ดี ดียิ่งขึ้น ดีมาก สุดประเสริฐ
ถ้าไม่มีอะไรพวกนี้
ไอ้อัตตามันอยู่ไม่ได้
มันคอยบอกว่า
คิมเอ๊ย เขียนไป ให้คนชื่นชม ถ้าคิมไม่เขียน แล้วคิมจะต่างจากพี่ป้อมยังไง
คิมต้องเป็นคิม คิมไม่ใช่พี่หมอสามัญชน
นี่ไง ไอ้อัตตา มันมอมเมาเรามาตั้งแต่เกิด
และอีกอันนึงที่ไอ้อัตตามันเนียนมาก
เวลา ครับ
มันคอยแทรกซึมอยู่ในทุกอณูว่า
คิมต้องมีอดีต คิมต้องมีปัจจุบัน คิมต้องมีอนาคต
ถามว่า
ถ้าคิมไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
อัตตาคิมจะเกาะติดอยู่กับคิมได้ยังไง
อะไรจะมาบอกว่า ไอ้นี่คือ คิม
ก็คิมไม่มีอดีตนี่ ไม่มีอนาคตนี่
ไอ้ที่เรากำลังเป็นเรา เธอเป็นเธอ ฉันเป็นฉัน นี่
เพราะเราเอาอดีตมาแนบจิตอยู่ตลอดเวลา
มันจำได้ตลอดเวลา
ตั้งแต่เกิดมา
จนกระทั่งวินาทีที่แล้วนี้
ถ้าคิมไม่มีเวลา ไม่มีอดีต
ไอ้อัตตามันจะอยู่ยังไง
เพราะไม่มีอะไรให้มัน รัก โลภ โกรธ หลง ดี ดีมาก ดีเลิศ ประเสริฐศรี
อีกอัน
ถ้าคิม ไม่คิด
อัตตามันจะอยู่กะใครล่ะ
ก็คิม ไม่คิด
จิต ณ ขณะนี้
ไร้อัตตา เป็นอนัตตา
นี่น่าจะเป็นดินแดนไร้ดินแดน แห่ง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เฝ้าดูมันไป
ขออนุญาติสรุปตบท้าย
ไหนๆก็เสียเวลากินเหล้ามาเป็นสิบปี
ขอรินธรรมะจากขวดซักหน่อย
คนที่มีความสุขตอนกรึ่มๆนี่
ถ้ามองแบบเห็นอกเห็นใจนี่
ผมว่า เขาผู้นั้นกำลังละ อัตตา อยู่
ยังไงหรือ
ก็ตอนกรึ่มๆนั้น มันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่เหตุการณ์ตรงหน้าสดๆ หัวสมองปราศจากความคิดใดๆ
ไอ้ที่เส้นหนานี่ วิปัสนา นี่นา
เพียงแต่ไม่ได้เอาสติไปทำให้เกิด เอาแอลกอฮอร์ไปจับ
ผมว่าลึกๆคนเราต้องการละ อัตตา นะครับ
จะเห็นว่าทุกคนล้วนไม่เวลาใดเวลาหนึ่งต้องการ ธรรมชาติ ความสงบเงียบ
เวลาที่เราดื่มดำกับธรรมชาตินั้น
ไม่มีเรา ไม่มีอัตตา ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
มีแต่ขณะนั้นล้วนๆ
แต่เราทุกคนละ อัตตา ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ทั้งบังเอิญและทั้งตั้งใจ
เพราะอะไร
รู้ๆกันอยู่ว่า เพราะกิเลสทั้งหลาย
แต่ลึกๆมันเพราะอะไร
ผมขอเน้นว่า
เพราะไอ้เจ้าอัตตามันเป็นกาฝากร้าย ถ้าไม่มีกิเลสที่มันสร้างมา
เจ้าอัตตา มันอยู่ไม่ได้
ไม่ว่า จะ รัก โลภ โกรธ หลง ชั่ว ดี ดียิ่งขึ้น ดีมาก สุดประเสริฐ
ถ้าไม่มีอะไรพวกนี้
ไอ้อัตตามันอยู่ไม่ได้
มันคอยบอกว่า
คิมเอ๊ย เขียนไป ให้คนชื่นชม ถ้าคิมไม่เขียน แล้วคิมจะต่างจากพี่ป้อมยังไง
คิมต้องเป็นคิม คิมไม่ใช่พี่หมอสามัญชน
นี่ไง ไอ้อัตตา มันมอมเมาเรามาตั้งแต่เกิด
และอีกอันนึงที่ไอ้อัตตามันเนียนมาก
เวลา ครับ
มันคอยแทรกซึมอยู่ในทุกอณูว่า
คิมต้องมีอดีต คิมต้องมีปัจจุบัน คิมต้องมีอนาคต
ถามว่า
ถ้าคิมไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
อัตตาคิมจะเกาะติดอยู่กับคิมได้ยังไง
อะไรจะมาบอกว่า ไอ้นี่คือ คิม
ก็คิมไม่มีอดีตนี่ ไม่มีอนาคตนี่
ไอ้ที่เรากำลังเป็นเรา เธอเป็นเธอ ฉันเป็นฉัน นี่
เพราะเราเอาอดีตมาแนบจิตอยู่ตลอดเวลา
มันจำได้ตลอดเวลา
ตั้งแต่เกิดมา
จนกระทั่งวินาทีที่แล้วนี้
ถ้าคิมไม่มีเวลา ไม่มีอดีต
ไอ้อัตตามันจะอยู่ยังไง
เพราะไม่มีอะไรให้มัน รัก โลภ โกรธ หลง ดี ดีมาก ดีเลิศ ประเสริฐศรี
อีกอัน
ถ้าคิม ไม่คิด
อัตตามันจะอยู่กะใครล่ะ
ก็คิม ไม่คิด
จิต ณ ขณะนี้
ไร้อัตตา เป็นอนัตตา
นี่น่าจะเป็นดินแดนไร้ดินแดน แห่ง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เฝ้าดูมันไป
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 550
พี่พอใจ หรือ พี่ๆ คนไหน รู้จัก พระ ที่มีญาณ แก่กล้า ไหมครับ
คือ ลูก เพื่อนสนิท พ่อ เดทครับ ผมก็รู้จัก คนนี้ ครับ รถคว่ำ ความรู้สึก ผม ว่าน่าจะ ไม่ไปไหน จิตยึดติดกับโลก อยากหาทางช่วยน้องเค้าครับ อันนี้ ซีเรียสครับ
คือ ลูก เพื่อนสนิท พ่อ เดทครับ ผมก็รู้จัก คนนี้ ครับ รถคว่ำ ความรู้สึก ผม ว่าน่าจะ ไม่ไปไหน จิตยึดติดกับโลก อยากหาทางช่วยน้องเค้าครับ อันนี้ ซีเรียสครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 554
ญาณ ในความหมายเฉพาะ หมายถึง พระปรีชาหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้แจ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกเต็มว่า โพธิญาณ หรือ สัมมาสัมโพธิญาณ มี 3 อย่าง หรือที่เรียกว่าวิชชา3 คือ
* บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ ระลึกชาติได้
* จุตูปปาญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติของสัตว์โลกได้ เรียกว่า ทิพพจักษุญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ บ้าง
* อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเลสให้สิ้นไป
กับฌาณ(ชาน)
ฌาน แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐานถึง อันดับที่ ๑ เรียกว่า ปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ถึง อันดับที่ ๒ เรียกว่า ทุติยฌาน แปลว่า ฌาน ๒ ถึง อันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่า ฌาน ๓ ถึง อันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่า ฌาน ๔ ถึงอันดับที่แปด คือได้ อรูปฌาน ถึงฌาน ๔ ครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่า ฌาน ๘
ในกรณี ของคุณ smith_sanguan ลองไปหาหมอดูจะดีกว่าครับ
* บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ ระลึกชาติได้
* จุตูปปาญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติของสัตว์โลกได้ เรียกว่า ทิพพจักษุญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ บ้าง
* อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเลสให้สิ้นไป
กับฌาณ(ชาน)
ฌาน แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐานถึง อันดับที่ ๑ เรียกว่า ปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ถึง อันดับที่ ๒ เรียกว่า ทุติยฌาน แปลว่า ฌาน ๒ ถึง อันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่า ฌาน ๓ ถึง อันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่า ฌาน ๔ ถึงอันดับที่แปด คือได้ อรูปฌาน ถึงฌาน ๔ ครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่า ฌาน ๘
ในกรณี ของคุณ smith_sanguan ลองไปหาหมอดูจะดีกว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 555
ผมพอหาได้ครับ ญาณ ครับ มีนึงรูป ผมนึกออกล่ะ
จุตูปปาญาณ
จุตูปปาญาณ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 556
ไม่รู้จะแปะตรงไหน ช่างไม่กลัวบาป กลัวกรรม เห็นข่าวนี้แล้วสลดจัง
http://hilight.kapook.com/view/39380
เจอแบบนี้ ช่วยกันแจ้งตำรวจหน่อยนะคะ
ถ้าเราไม่ดูแลสังคม อันตรายมันก็คงขว้างไม่พ้นคอเรา
http://hilight.kapook.com/view/39380
เจอแบบนี้ ช่วยกันแจ้งตำรวจหน่อยนะคะ
ถ้าเราไม่ดูแลสังคม อันตรายมันก็คงขว้างไม่พ้นคอเรา
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 557
มันเป็นกรรม
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
-
- Verified User
- โพสต์: 464
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 558
[quote="สถาปนิกต่างดาว"]เวลาในขวดเหล้า
ขออนุญาติสรุปตบท้าย
ไหนๆก็เสียเวลากินเหล้ามาเป็นสิบปี
ขอรินธรรมะจากขวดซักหน่อย
คนที่มีความสุขตอนกรึ่มๆนี่
ถ้ามองแบบเห็นอกเห็นใจนี่
ผมว่า เขาผู้นั้นกำลังละ อัตตา อยู่
ยังไงหรือ
ก็ตอนกรึ่มๆนั้น มันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่เหตุการณ์ตรงหน้าสดๆ หัวสมองปราศจากความคิดใดๆ
ไอ้ที่เส้นหนานี่ วิปัสนา
ขออนุญาติสรุปตบท้าย
ไหนๆก็เสียเวลากินเหล้ามาเป็นสิบปี
ขอรินธรรมะจากขวดซักหน่อย
คนที่มีความสุขตอนกรึ่มๆนี่
ถ้ามองแบบเห็นอกเห็นใจนี่
ผมว่า เขาผู้นั้นกำลังละ อัตตา อยู่
ยังไงหรือ
ก็ตอนกรึ่มๆนั้น มันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่เหตุการณ์ตรงหน้าสดๆ หัวสมองปราศจากความคิดใดๆ
ไอ้ที่เส้นหนานี่ วิปัสนา
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 559
กระทำการหมื่นเหม่เข้าข่ายอนันตริยกรรม...น่ากัวแทน...กล้วยทอด เขียน:ไม่รู้จะแปะตรงไหน ช่างไม่กลัวบาป กลัวกรรม เห็นข่าวนี้แล้วสลดจัง
http://hilight.kapook.com/view/39380
เจอแบบนี้ ช่วยกันแจ้งตำรวจหน่อยนะคะ
ถ้าเราไม่ดูแลสังคม อันตรายมันก็คงขว้างไม่พ้นคอเรา
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 560
อืม เกือบล่ะ เกือบเหมือนที่พี่พอใจพูด
แต่ถ้า สติ ฟั่นเฟือน นี้ ไม่มีจิต เข้าข่าย จิต เดรฉาน ร่างมนุษย์ ไปทำกรรม อะไร ไว้เนี้ย สงสัยจะฆ่าสัตว์ มาเยอะมาก จิตจึงไม่ได้เป็นมนุษย์
ถามพี่พอใจต่อ พวกนี้ ทำกรรมอะไรไว้ครับ ร่างมนุษย์ จิต ไม่ใช้ มนุษย์
แต่ถ้า สติ ฟั่นเฟือน นี้ ไม่มีจิต เข้าข่าย จิต เดรฉาน ร่างมนุษย์ ไปทำกรรม อะไร ไว้เนี้ย สงสัยจะฆ่าสัตว์ มาเยอะมาก จิตจึงไม่ได้เป็นมนุษย์
ถามพี่พอใจต่อ พวกนี้ ทำกรรมอะไรไว้ครับ ร่างมนุษย์ จิต ไม่ใช้ มนุษย์
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 561
จิตที่เต็มไปด้วยกิเลสด้วยอาสวะsmith_sanguan เขียน:อืม เกือบล่ะ เกือบเหมือนที่พี่พอใจพูด
แต่ถ้า สติ ฟั่นเฟือน นี้ ไม่มีจิต เข้าข่าย จิต เดรฉาน ร่างมนุษย์ ไปทำกรรม อะไร ไว้เนี้ย สงสัยจะฆ่าสัตว์ มาเยอะมาก จิตจึงไม่ได้เป็นมนุษย์
ถามพี่พอใจต่อ พวกนี้ ทำกรรมอะไรไว้ครับ ร่างมนุษย์ จิต ไม่ใช้ มนุษย์
ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้
ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ
เป็นมนุษย์ เดรฉาน เปรต อสุรกาย อมนุษย์ เทวดา พรหม
จิดก็จิตดวงนั้นแล เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ
พวกเราเองก็เช่นกันครับ
ผมว่าตามตำราน๊า ไม่ได้ไปรู้เห็นมาเอง
แต่มีหลักสังเกตุกรรมเก่า กรรมใหม่ว่า
ถ้าเป็นกรรมที่เคยทำมาแล้ว แล้วมาต่อชาตินี้
มันจะรู้สึกเหมือนจำได้รางๆ ราวรู้จักกันมาก่อน
แต่ถ้าเป็นกรรมใหม่ นี่ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 562
ผมอ่านหนังสือ เรื่องทางสายเอกอยู่ ครับ สนุกมากเลยครับ
เอ่อ วันนี้ ผม ไปกินเหล้าก่อนนะ กรรมเยอะ
เอ่อ วันนี้ ผม ไปกินเหล้าก่อนนะ กรรมเยอะ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 563
มิน่าฝึกเท่าไรก็พัฒนาไม่ไปไหนตอนนี้ เนื่องจากไม่รู้ว่า มันมีตัวนี้เป็นเคร็ดลับต่อมาจาก มหาสติ 4 ด้วย
http://www.larnbuddhism.com/grammathan/anussati.htmlอนุสสติ 10
อนุสสติ แปลว่า ตามระลึกถึง กรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานที่ตามระลึงนึกถึง มีกำลังสมาธิไม่เสมอกัน บางหมวดก็มีสมาธิเพียงอุปจารฌาน บางหมวดก็มีสมาธิถึงปฐมฌาน บางหมวดก็มีสมาธิถึงฌาน 4 และฌาน 5 กำลังของกรรมฐานกองนี้มีกำลังไม่เสมอกันดังนี้ อนุสสติทั้ง 10 อย่างนี้ ็เหมาะแก่อารมณ์ของนักปฎิบัติไม่ใช่อย่างเดียวกันบางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในสัทธาจริต บางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในวิตกและโมหะจริต บางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในราคจริต กองใดหมวดใดเหมาะแก่ท่านที่หนักไปในจริต อนุสสตินี้มีชื่อและอาการรวม 10 อย่างด้วยกัน จะนำชื่อแห่งอนุสสติทั้งหมดมาเขียนไว้เพื่อทราบ ดังต่อไปนี้
พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
ธัมมานุสสติ ระลึกถึงพระธรรมเป็นมารมณ์
สังฆนุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์
จาคานุสสติ ระลึกถึงผลของทานการบริจาคเป็นอารมณ์
เทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
(อนุสสติทั้ง 6 กองนี้ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในสัทธาจริต)
มรณานุสสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
อุปสมานุสสติ ระลึกถึงความสุขในนิพพานเป็นอารมณ์
(อนุสสติ 2 กองนี้ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในพุทธจริต)
กายคตานุสสติ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในราคจริต
อานาปานานุสสติ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในโมหะและจริต
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 564
เจอบทความดีๆจากคนที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
*ปริญญาสองใบ... **
ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก ** **
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ** **
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร ** **
มาเรียนที่อเมริกา ** **
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ** **
ว่าสะอาดจริงมั้ย ** **
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด ** **
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง ** **
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย ** **แกมีบ้าน ** **
มีรถ มีลูก มีภรรยา ** **มีธุรกิจ **
มีชื่อเสียงทุกอย่าง ** **แกมีทุกอย่าง ** **
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ** **ลุกเมียไปขอพบ ** **
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ** **ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ** **
ภรรยาพาเข้าโรงบาล ** **ตรวจพบมะเร็ง **
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ ** **
เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ** **
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน ** **บันทึกชีวิตแก **
ก่อนจะเสียชีวิต ** **แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว ** **
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ ** **
ปริญญาใบที่หนึ่ง ** ' **ปริญญาวิชาชีพ **' **เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม *
* **นอนอุ่น **
พูดง่าย ๆ ** **
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ ** **อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง **
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ ** **แต่ **' **ปริญญาวิชาชีวิต **' ** *
*ปริญญาใบที่สอง ** **' **ปริญญาวิชาชีวิต **' **คือวิชาธรรมะ **
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ** **
**
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง ** **
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ ** **
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก ** **เพราะอะไร **
เพราะทำงานจนป่วยตาย
ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง ** **
บ้าน รถ ** **มอบมันให้กับลูกและภรรยา **
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา ** **
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้ ** **
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว ** **
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ ** **
แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
ดูจิต ดูใจตัวเอง ** **ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์ ** **
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ ** **เกินไปหรือเปล่า ** **
พยายามลดลงในแต่ละวัน ** **ๆ **
เพื่อที่ว่าอะไร ** **
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจ นประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง ** **
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่ ** **
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ** **
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ** **
ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว ** **อยากพักให้ได้พัก ** **
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด ** **
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี ** **เพราะอะไร **
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา
เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ** **
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด ** **บางคนก็ตอบเงิน **
บางคนก็ตอบเพชร ** บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์ ** **
**พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ ** สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา *
ถ้าพูดถึงเรื่องหุ้นน่าจะมีสองใบเช่นกันครับ
ปริญาใบแรก ด้านการเงินหรือกำไรที่ได้จากการลงทุน
ปริญญาใบที่สอง คือความสุขในระหว่างการลงทุน
*ปริญญาสองใบ... **
ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก ** **
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ** **
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร ** **
มาเรียนที่อเมริกา ** **
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ** **
ว่าสะอาดจริงมั้ย ** **
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด ** **
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง ** **
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย ** **แกมีบ้าน ** **
มีรถ มีลูก มีภรรยา ** **มีธุรกิจ **
มีชื่อเสียงทุกอย่าง ** **แกมีทุกอย่าง ** **
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ** **ลุกเมียไปขอพบ ** **
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ** **ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ** **
ภรรยาพาเข้าโรงบาล ** **ตรวจพบมะเร็ง **
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ ** **
เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ** **
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน ** **บันทึกชีวิตแก **
ก่อนจะเสียชีวิต ** **แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว ** **
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ ** **
ปริญญาใบที่หนึ่ง ** ' **ปริญญาวิชาชีพ **' **เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม *
* **นอนอุ่น **
พูดง่าย ๆ ** **
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ ** **อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง **
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ ** **แต่ **' **ปริญญาวิชาชีวิต **' ** *
*ปริญญาใบที่สอง ** **' **ปริญญาวิชาชีวิต **' **คือวิชาธรรมะ **
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ** **
**
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง ** **
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ ** **
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก ** **เพราะอะไร **
เพราะทำงานจนป่วยตาย
ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง ** **
บ้าน รถ ** **มอบมันให้กับลูกและภรรยา **
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา ** **
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้ ** **
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว ** **
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ ** **
แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
ดูจิต ดูใจตัวเอง ** **ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์ ** **
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ ** **เกินไปหรือเปล่า ** **
พยายามลดลงในแต่ละวัน ** **ๆ **
เพื่อที่ว่าอะไร ** **
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจ นประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง ** **
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่ ** **
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ** **
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ** **
ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว ** **อยากพักให้ได้พัก ** **
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด ** **
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี ** **เพราะอะไร **
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา
เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ** **
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด ** **บางคนก็ตอบเงิน **
บางคนก็ตอบเพชร ** บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์ ** **
**พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ ** สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา *
ถ้าพูดถึงเรื่องหุ้นน่าจะมีสองใบเช่นกันครับ
ปริญาใบแรก ด้านการเงินหรือกำไรที่ได้จากการลงทุน
ปริญญาใบที่สอง คือความสุขในระหว่างการลงทุน
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 565
From Matichon
สกุณา ประยูรศุข-เรียบเรียง เจเอสแอล-ภาพ
เคยบอกเป็นคล้ายๆ พันธสัญญากับพี่ที่รักเคารพ "อารักษ์ คคะนาท" ว่าอยากจะสัมภาษณ์ "ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร" ลงฉบับวันอาทิตย์สักครั้ง
เป็นเรื่องที่ "ดร.อภิวัฒน์" ต่อสู้กับโรคร้าย "มะเร็ง" ที่เผชิญอยู่ เพราะครั้งล่าสุดเห็น ดร.อภิวัฒน์ปรากฏในจอทีวี ทำหน้าที่พิธีกรด้วยกำลังวังชาที่เหมือนคนปกติ พี่ที่เคารพบอกว่าถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่จะดำเนินการให้ทันที
ครั้งนั้นจึงทำให้รู้ว่า ดร.อภิวัฒน์กลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง!
กระนั้นก็ยังมีความหวังว่าบทสัมภาษณ์ดีๆ จะเดินทางมาถึงในไม่ช้า..
แต่แล้ว..สิ่งที่มาถึงเมื่อเช้าวันที่ 28 มิถุนายน กลับเป็นข่าวร้ายว่า ดร.อภิวัฒน์ที่ตั้งหน้าตั้งตารออยู่นั้นได้จากไปเสียแล้ว!!
เป็นการจากอย่างไม่คาดคิด การรอคอย และความหวังที่ตั้งใจไว้เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงเดือนต้องเดินทางมาถึงที่สิ้นสุดเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกเสียใจ-เสียใจกับครอบครัวของดอกเตอร์ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง และความรู้สึกเสียดายกับคนดีๆ "คนคุณภาพ" คนหนึ่งที่ต้องจากไป
ใครที่เคยติดตามรายการจันทร์กระพริบในโทรทัศน์มาตั้งแต่แรก จะรู้ว่า "คนคุณภาพ" คำนี้ ไม่ได้กล่าวเกินเลยไปจากความเป็นจริง
เพราะการทำหน้าที่พิธีกรคู่กับ ผุสชา โทณะวณิก ได้เป็นภาพปรากฏในใจของผู้คนตลอดมา เมื่อเห็นผุสชาก็ต้องถามถึง ดร.อภิวัฒน์ เมื่อเห็น ดร.อภิวัฒน์ก็ต้องถามถึงผุสชา อีกทั้งรายการนี้ยังอยู่ในความนิยมของผู้คนเกินกว่าสิบปี
บทสัมภาษณ์ที่ตั้งใจไว้แต่แรก คิดว่าคงหมดโอกาส
แต่แล้ว..ได้รับการบอกเล่าและอนุเคราะห์จากพี่ที่รักเคารพ ว่ามีเรื่องราวบางอย่างบางตอนของ ดร.อภิวัฒน์ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนจากไปพอที่จะนำมาทดแทนกันได้ ประกอบกับเรื่องราวในหนังสือ "มองชีวิตผ่านมะเร็ง-ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร" ที่นิตยสารแพรวจัดทำไว้ น่าจะเป็นบทสัมภาษณ์สุดท้ายสำหรับ ดร.อภิวัฒน์ในการร่ำลาที่เขาไม่มีโอกาสได้บอกเล่ากับประชาชนและบรรดาแฟนๆ ด้วยตัวเอง
"มติชนสุขสรรค์" ขออนุญาตนำบทสัมภาษณ์สุดท้ายมากล่าวไว้ ณ ที่นี้
เป็นการอำลาที่ไม่ได้..ลาจาก แต่เป็นความทรงจำที่ดีๆ เป็นบทเรียน ที่ตรึงตราอยู่ในใจมหาชน อย่างที่ ดร.อภิวัฒน์อยากให้เป็น
"ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร" หรือ "ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร" เป็นลูกชายของ เรืออากาศตรีอาชีพ วัฒนางกูร พื้นเพเป็นคนอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และคุณแม่-นาวาเอกหญิงพูนศรี ทองปรีชา ชื่อเล่น "เต้ย" มีน้องชายอีกคนชื่อ "ต่อ-อัษฏาวุธ วัฒนางกูร"
เริ่มเรียนหนังสือชั้นประถมที่โรงเรียนรุจิเสรีวิทยา ย่านสะพานควาย จบประถม 7 ก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนหอวัง กระทั่งจบ ม.ศ.5 ก็สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับเด็กทั่วไปสมัยนั้น สอบเอ็นทรานซ์ปีแรกไม่ติด เพราะเลือกเรียนแพทย์ทุกอันดับ รอสอบอีกปีจึงเอ็นท์ติดคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อจบปริญญาตรีจากจุฬาฯ ไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่โลโยลาคอลเลจ เมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา จบแล้วไปต่อปริญญาเอกอีกที่ โอคลาโฮมาสเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่งด้านการศึกษาเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา
แต่งงานกับ กมลนาท (อทิตา) สุมาวงศ์ มีลูก 2 คนหญิงชาย ชื่อ "น้องแพรว" กับ "น้องเพ็ชร" ปัจจุบันอายุ 18 และ 16 ตามลำดับ
- ชีวีตการเป็นนักเรียนนอกสนุก?
ไม่เลย ชีวิตตอนนั้นเริ่มต้นด้วยความกลัว และหวาดระแวงไปหมดเสียทุกอย่างเพราะมีปัญหาเรื่องภาษา ที่คิดว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งนาน ฟังรู้เรื่อง เก่งแล้ว แต่ไม่ใช่เลย แค่ขึ้นเครื่องบินก็ฟังแอร์โฮสเตสพูดไม่ค่อยเข้าใจแล้ว เวลาไปเรียนก็ยิ่งเครียด จดเล็คเชอร์ไม่ได้เลย ฟังได้เป็นคำๆ ไม่ปะติดปะต่อ ช่วงแรกชีวิตที่เมืองนอกของผมเริ่มต้นด้วยความเครียดมากๆ
ช่วงหลังเมื่อผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้และมีเพื่อนฝูงคนอเมริกันมากขึ้น รวมทั้งเพื่อนชาติอื่นๆ ที่มาเรียน ทำให้สังคมผมกว้างขึ้น เริ่มไปนอนค้างบ้านเพื่อน พาเพื่อนมาที่บ้าน พร้อมๆ กับการที่เราเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของชาติเขา จึงสามารถปรับตัวได้และอยู่ได้อย่างสบาย มีความสุขมากขึ้น
- แล้วตอนเครียดแก้ปัญหายังไง
เรื่องเรียน ต้องไปขอยืมเล็คเชอร์เพื่อนมาลอก เรื่องภาษาก็ต้องใช้วิธีอ่านหนังสือมากๆ ดูโทรทัศน์ ดูหนังมากๆ คุยกับเพื่อนมากๆ แต่สำคัญที่สุดเลย คือ "แม่" ผมได้สติปัญญาจากแม่ ตอนที่เครียดมากๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร เขียนจดหมายไปหาแม่เล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่า "อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น" นั่นทำให้ผมได้สติ เพราะเรื่องที่ผมกลัวเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิด
- เป็นคนเรียนเก่ง?
ความที่อยู่กับการเรียนอย่างเดียว อ่านแต่หนังสือ พอเทอมแรกผ่านไปผมได้ เอ ทั้ง 4 วิชา ก็ดีขึ้นสบายใจขึ้น ผมเรียนจบปริญญาโทภายใน 1 ปี คือเดินทางไปเมื่อเดือนมกราคม 2523 จบในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ที่สามารถทำได้เพราะหลักสูตรที่เรียนนั้นแบ่งเป็นสองเทอมหลัก และมีซัมเมอร์ ซึ่งยังแบ่งเป็นซัมเมอร์ 1 ซัมเมอร์ 2 ถ้าใครลงทะเบียนเรียนอย่างเข้มข้นโดยลงเต็มทุกหน่วยกิตทั้งในแต่ละเทอมและซัมเมอร์ ก็สามารถจบได้ภายใน 1 ปี
พอจบโท ผมเองไม่อยากเรียนต่อปริญญาเอก แต่พ่อกับแม่อยากให้เรียน ท่านบอกว่าส่งเสียได้ผมจึงติดต่อเพื่อนที่โอคลาโฮมา ทำให้ได้ไปเรียนที่โอคลาโฮมาสเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งที่นี่อยู่ห่างจากบัลติมอร์มาก ไปเรียนตอนนั้นจำได้ว่าปี 2524 ตัดสินใจขายรถเป็นค่าตั๋วเครื่องบินบินไปเรียน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าเรียนไปทำไม
- ได้เพื่อนใหม่หรือเปล่า?
ช่วงแรกๆ คิดถึงบัลติมอร์มาก เพราะที่โอคลาโฮมาค่อนข้างล้าหลัง เดินไปไหนเจอแต่คนถ่มน้ำลาย เพราะส่วนใหญ่เขาเคี้ยวใบยาสูบ แต่พอสักพักก็เห็นว่าที่นี่น่ารักผู้คนเป็นมิตรมากกว่า พูดง่ายๆ คือเป็นคนบ้านนอกของอเมริกัน แต่เป็นคนดีมีน้ำใจ ผมอยู่หอพัก มีรูมมเมทคนหนึ่งเป็นอาจารย์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปเรียนต่อปริญญาเอก อายุ 40 กว่าปีแล้วแต่ผมยี่สิบต้นๆ แต่เราก็เป็นเพื่อนกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องต่างๆ
ยังคงเรียนไปและทำงานพิเศษหารายได้เหมือนเคย เพราะอยากช่วยพ่อแม่ประหยัด โดยตอนแรกไปสมัครเป็นผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัย เขาตอบตกลงแล้ว แต่พอวันเปิดเทอมเขาตัดงบฯนี้ออกเลยไม่ได้ทำ เปลี่ยนไปทำงานในครัวของหอพัก ทำตั้งแต่ล้างจานไปจนถึงทำอาหารให้คนกิน และยังทำงานขายแซนด์วิชในเมืองอีกงาน ทำอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบและการเรียนก็ไม่ได้ตก
การเรียนปริญญาเอกไม่ใช่การวัดความรู้กัน ปริญญาโทเรียนยากกว่าด้วยซ้ำ การเรียนปริญญาเอกเป็นการวัดความสามารถในการชวนให้เชื่อมากกว่า ไม่สำคัญว่าคุณเก่งอะไร แต่คุณสามารถชักจูงให้คนอื่นเชื่อตามได้ ตรงนั้นต่างหากที่ผมจับทางถูก การเรียนทำให้เรามีความรู้อยู่ในตัวเอง แต่ถ้าเราไม่สามารถถ่ายทอดความรู้นั้นได้ ก็ไม่มีประโยชน์
- เข้ามาเกี่ยวกับงานบันเทิงได้อย่างไร?
เรียนจบกลับมาปี 2527 สมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ได้ 2 เดือนเขาบรรจุเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ พอปี 2528 ขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชา แต่พอไปได้แค่เดือนมิถุนายนเขาให้ขึ้นเป็นคณบดี
เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานบันเทิง เริ่มจากมีนิตยสารหลายฉบับมาขอสัมภาษณ์ บริษัทเอเยนซี่โฆษณาเห็นเข้าก็ให้ไปเทสต์หน้ากล้อง เพราะเขาต้องการพรีเซ็นเตอร์เป็นครูอาจารย์ที่แนะนำสิ่งที่ดีๆ ช่วงนั้นปี 2532 บริษัทเจเอสแอลกำลังริเริ่มรายการทำนองทอล์คโชว์ จึงทาบทามผมเป็นพิธีกร ให้ผมไปเทสต์หน้ากล้อง มีคุณตุ้ม-ผุสชา เป็นคนเทสต์ เขาตกลงให้ผมทำงาน โดยเปลี่ยนจากพิธีกรชายมาเป็นพิธีกรคู่ชาย-หญิงซึ่งผมก็คู่กับคุณตุ้มตั้งแต่นั้นมา
การทำงานตรงนี้ถือว่าให้อะไรกับผมมากมาย ทุกชีวิตที่ผมได้สนทนา ได้สัมผัส ได้เรียนรู้ ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตคนเรามีทั้งมุมมืด มุมสว่าง และผมได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ได้ศึกษา ได้อุทธาหรณ์จากชีวิตของคนเหล่านั้น
ทำรายการด้วย เป็นคณบดีด้วยอยู่ประมาณ 10 ปี ก็ลาออกจากการเป็นอาจารย์แล้วเดินเข้าไปที่เจเอสแอล ทำงานกับเจเอสแอลตั้งแต่นั้นมาตลอด
- มาเริ่มป่วยตอนไหน?
การเจ็บป่วยของผม-ผมอยากจะบอกว่ามันสะสมมาจาก "ความเกินไป" ของผม อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า ผมเป็นคนที่ทำอะไร "มากเกินไป" เสมอ ทำอะไรก็จะเกินไว้ก่อน เมื่อเริ่มต้นทำงานผมก็สนุกสนานกับงานและรู้สึกว่างานมีเพิ่มมากขึ้นยิ่งรู้สึกดี แทนที่จะรู้สึกว่ามันมากไปจนเหนื่อย ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการพักผ่อนนอนหลับ การพักผ่อนของผมจึงเป็นการได้ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม
เมื่อทำงานมากๆ ภายใต้ความเครียด อดนอน จึงเป็นการสะสมอาการป่วยที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการอดนอน ที่เด่นชัดคือ การเกิดอาการโรคหมุนอย่างไม่รู้ตัว สะสมพร้อมๆ กับอาการปวดหัวตัวร้อนที่เป็นอยู่บ่อยๆ
เมื่อห้าปีก่อนผมไปบ้านที่ปากช่องกับครอบครัว ความที่ร่างกายไม่คุ้นกับการพักผ่อน จู่ๆ ร่างกายก็รับไม่ได้ ผมวูบ..สลบไป 5 นาทีล้มฟาดพื้น หน้าเป็นแผล หลังจากนั้นผมมีอาการอื่นๆ อีกแต่ไม่ได้สนใจ
- ไม่ไปตรวจร่างกายหรือ?
ไม่ครับ ไม่ไปตรวจเช็คร่างกาย เพราะคิดเสมอว่ายังเดินเหินได้แข็งแรงดี ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันสะสมแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะเป็นมะเร็ง ผมใช้ชีวิตผิดสุขลักษณะหมดทุกอย่าง และยังมีความเครียดเป็นตัวเร่งอีก
วันหนึ่งผมรู้สึกปวดท้องต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ถ่ายไม่หมดเสียที จนกระทั่งถ่ายออกมาเป็นหยดเลือดสดๆ เปื้อนกางเกงใน ก็รู้สึกว่าผิดปกติ เพราะปกติผมไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ เป็นคนไม่เสียเวลากับการนอน การกิน การถ่าย คิดว่าเมื่อถึงเวลาของมันก็ถ่ายเอง บางครั้งก็ข้ามวัน และนิสัยเป็นคนดื่มน้ำน้อย ตั้งน้ำไว้แก้วหนึ่ง วันหนึ่งยังไม่หมดเลย
ถ่ายเป็นเลือดก็ยังไม่ไปตรวจทันที เพราะมีงานรออยู่ ซึ่งเลือดมันไม่หายไปสักที ในที่สุดตัดสินใจไปโรงพยาบาลวิชัยยุทธ หมอตรวจพบก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ ตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ ไม่บ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แต่ผลเลือดชี้ว่ามีเซลล์มะเร็งอยู่
- ก็ต้องผ่าตัด?
ผ่าตัดใหญ่ ต้องตัดลำไส้ใหญ่ที่คิดว่าเป็นส่วนแพร่กระจายของเชื้อทิ้งไป ความยาวฟุตกว่าๆ โชคดีที่ตัดไปแล้วยังสามารถต่อกับลำไส้ส่วนทวารหนักได้ ไม่ต้องเจาะหน้าท้องสำหรับขับถ่าย
หลังจากผ่าตัดสองเดือนให้หลัง ปรากฏว่าแพร่กระจายไปที่ตับ มีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น 3-4 ก้อน จากเดิมที่ไม่ไปทำเคมีบำบัดต้องเปลี่ยนแผนมาทำเคมีบำบัด และรักษาแบบนี้มาตลอด มีอยู่ก้อนหนึ่งใหญ่ 0.4 เซนติเมตร หมอไม่กล้าจี้ออกเพราะอยู่ติดกับลำไส้ใหญ่ อาจพลาดไปโดนเส้นเลือดใหญ่ได้ ต้องปล่อยไว้อย่างนั้นให้มันโตแล้วค่อยจี้อีกครั้ง
ช่วงระหว่างนั้นยังไปช่วยน้องๆ เตรียมงานเอ็กซโปที่จะเปิดแสดงที่ญี่ปุ่น ไปอิตาลีเพื่อจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยซึ่งก็สร้างความเครียดได้เช่นกัน
- คนในครอบครัวกลัว?
ผมบอกลูกๆ ทุกคนว่าเป็นมะเร็ง เพราะเราไม่มีความลับกันในครอบครัว เขาเห็นผมซมซานเวลาปวดท้อง เขารู้ว่ามันเจ็บปวดทรมานอย่างไร แต่เราก็ให้กำลังใจกันและกัน ไม่ทำตัวเป็นภาระของกันและกัน ทำให้ในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะ มีความสุข
ในยามที่ปวดท้องมากๆ ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมาปวดท้องต่อ ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับห้องน้ำตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะมีชีวิตอย่างนี้
ผมรักษาด้วยเคมีบำบัดมาจนถึงเดือนตุลาคม 2548 ผลการตรวจค่าเซลล์มะเร็งตลอดระยะเวลาที่รักษามาไม่ได้ดีขึ้น หลังกลับจากไปเยี่ยมลูกที่ออสเตรเลียกลับมาเมืองไทยประมาณธันวาคม ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรง บางทีตื่นนอนก็ยากลำบากกว่าจะลงจากเตียงได้ ช่วงนั้นหน้าตาผมแย่มาก ร่างกายแย่จิตใจก็หดหู่ตามไปด้วย
ผมคิดมาก และคิดหนัก ตัดสินใจรักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัด ถึงกระนั้นก็ยังต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพราะตับมีปัญหา เป็นมะเร็ง ถึงตอนนี้ผมเผชิญหน้ากับการรักษาต่อไป แต่เป็นการรักษาตามสภาพ
สำหรับภรรยาและลูกๆ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ภรรยาผมจะจัดการได้ ผมเชื่อว่าเขาจะต้องนำพานาวาชีวิตลำนี้ไปต่อได้ แม้ว่าอาจจะไม่สบายเหมือนตอนที่ผมอยู่
ผมบอกกับตัวเองเสมอทุกวันว่า "ผมไม่ยินดีที่จะตาย แต่ผมพร้อมจะตาย"
ตั้งแต่เป็นมะเร็งผมเริ่มคิดได้ว่า ชีวิตนี้สอนคนมามากในฐานะครูบาอาจารย์ แต่คนที่ผมไม่เคยสอน ไม่เคยเตือน คือตัวเอง จึงไม่เคยตั้งใจจะให้ชีวิตผมเป็นแบบอย่างแก่ใคร ไม่เคยคิดจะสอนใครอีก เพราะลำพังสอนตัวเอง เตือนตัวเองบ่อยๆ
ก็ยากพอแล้ว
สกุณา ประยูรศุข-เรียบเรียง เจเอสแอล-ภาพ
เคยบอกเป็นคล้ายๆ พันธสัญญากับพี่ที่รักเคารพ "อารักษ์ คคะนาท" ว่าอยากจะสัมภาษณ์ "ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร" ลงฉบับวันอาทิตย์สักครั้ง
เป็นเรื่องที่ "ดร.อภิวัฒน์" ต่อสู้กับโรคร้าย "มะเร็ง" ที่เผชิญอยู่ เพราะครั้งล่าสุดเห็น ดร.อภิวัฒน์ปรากฏในจอทีวี ทำหน้าที่พิธีกรด้วยกำลังวังชาที่เหมือนคนปกติ พี่ที่เคารพบอกว่าถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่จะดำเนินการให้ทันที
ครั้งนั้นจึงทำให้รู้ว่า ดร.อภิวัฒน์กลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง!
กระนั้นก็ยังมีความหวังว่าบทสัมภาษณ์ดีๆ จะเดินทางมาถึงในไม่ช้า..
แต่แล้ว..สิ่งที่มาถึงเมื่อเช้าวันที่ 28 มิถุนายน กลับเป็นข่าวร้ายว่า ดร.อภิวัฒน์ที่ตั้งหน้าตั้งตารออยู่นั้นได้จากไปเสียแล้ว!!
เป็นการจากอย่างไม่คาดคิด การรอคอย และความหวังที่ตั้งใจไว้เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงเดือนต้องเดินทางมาถึงที่สิ้นสุดเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกเสียใจ-เสียใจกับครอบครัวของดอกเตอร์ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง และความรู้สึกเสียดายกับคนดีๆ "คนคุณภาพ" คนหนึ่งที่ต้องจากไป
ใครที่เคยติดตามรายการจันทร์กระพริบในโทรทัศน์มาตั้งแต่แรก จะรู้ว่า "คนคุณภาพ" คำนี้ ไม่ได้กล่าวเกินเลยไปจากความเป็นจริง
เพราะการทำหน้าที่พิธีกรคู่กับ ผุสชา โทณะวณิก ได้เป็นภาพปรากฏในใจของผู้คนตลอดมา เมื่อเห็นผุสชาก็ต้องถามถึง ดร.อภิวัฒน์ เมื่อเห็น ดร.อภิวัฒน์ก็ต้องถามถึงผุสชา อีกทั้งรายการนี้ยังอยู่ในความนิยมของผู้คนเกินกว่าสิบปี
บทสัมภาษณ์ที่ตั้งใจไว้แต่แรก คิดว่าคงหมดโอกาส
แต่แล้ว..ได้รับการบอกเล่าและอนุเคราะห์จากพี่ที่รักเคารพ ว่ามีเรื่องราวบางอย่างบางตอนของ ดร.อภิวัฒน์ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนจากไปพอที่จะนำมาทดแทนกันได้ ประกอบกับเรื่องราวในหนังสือ "มองชีวิตผ่านมะเร็ง-ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร" ที่นิตยสารแพรวจัดทำไว้ น่าจะเป็นบทสัมภาษณ์สุดท้ายสำหรับ ดร.อภิวัฒน์ในการร่ำลาที่เขาไม่มีโอกาสได้บอกเล่ากับประชาชนและบรรดาแฟนๆ ด้วยตัวเอง
"มติชนสุขสรรค์" ขออนุญาตนำบทสัมภาษณ์สุดท้ายมากล่าวไว้ ณ ที่นี้
เป็นการอำลาที่ไม่ได้..ลาจาก แต่เป็นความทรงจำที่ดีๆ เป็นบทเรียน ที่ตรึงตราอยู่ในใจมหาชน อย่างที่ ดร.อภิวัฒน์อยากให้เป็น
"ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร" หรือ "ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร" เป็นลูกชายของ เรืออากาศตรีอาชีพ วัฒนางกูร พื้นเพเป็นคนอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และคุณแม่-นาวาเอกหญิงพูนศรี ทองปรีชา ชื่อเล่น "เต้ย" มีน้องชายอีกคนชื่อ "ต่อ-อัษฏาวุธ วัฒนางกูร"
เริ่มเรียนหนังสือชั้นประถมที่โรงเรียนรุจิเสรีวิทยา ย่านสะพานควาย จบประถม 7 ก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนหอวัง กระทั่งจบ ม.ศ.5 ก็สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับเด็กทั่วไปสมัยนั้น สอบเอ็นทรานซ์ปีแรกไม่ติด เพราะเลือกเรียนแพทย์ทุกอันดับ รอสอบอีกปีจึงเอ็นท์ติดคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อจบปริญญาตรีจากจุฬาฯ ไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่โลโยลาคอลเลจ เมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา จบแล้วไปต่อปริญญาเอกอีกที่ โอคลาโฮมาสเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่งด้านการศึกษาเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา
แต่งงานกับ กมลนาท (อทิตา) สุมาวงศ์ มีลูก 2 คนหญิงชาย ชื่อ "น้องแพรว" กับ "น้องเพ็ชร" ปัจจุบันอายุ 18 และ 16 ตามลำดับ
- ชีวีตการเป็นนักเรียนนอกสนุก?
ไม่เลย ชีวิตตอนนั้นเริ่มต้นด้วยความกลัว และหวาดระแวงไปหมดเสียทุกอย่างเพราะมีปัญหาเรื่องภาษา ที่คิดว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งนาน ฟังรู้เรื่อง เก่งแล้ว แต่ไม่ใช่เลย แค่ขึ้นเครื่องบินก็ฟังแอร์โฮสเตสพูดไม่ค่อยเข้าใจแล้ว เวลาไปเรียนก็ยิ่งเครียด จดเล็คเชอร์ไม่ได้เลย ฟังได้เป็นคำๆ ไม่ปะติดปะต่อ ช่วงแรกชีวิตที่เมืองนอกของผมเริ่มต้นด้วยความเครียดมากๆ
ช่วงหลังเมื่อผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้และมีเพื่อนฝูงคนอเมริกันมากขึ้น รวมทั้งเพื่อนชาติอื่นๆ ที่มาเรียน ทำให้สังคมผมกว้างขึ้น เริ่มไปนอนค้างบ้านเพื่อน พาเพื่อนมาที่บ้าน พร้อมๆ กับการที่เราเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของชาติเขา จึงสามารถปรับตัวได้และอยู่ได้อย่างสบาย มีความสุขมากขึ้น
- แล้วตอนเครียดแก้ปัญหายังไง
เรื่องเรียน ต้องไปขอยืมเล็คเชอร์เพื่อนมาลอก เรื่องภาษาก็ต้องใช้วิธีอ่านหนังสือมากๆ ดูโทรทัศน์ ดูหนังมากๆ คุยกับเพื่อนมากๆ แต่สำคัญที่สุดเลย คือ "แม่" ผมได้สติปัญญาจากแม่ ตอนที่เครียดมากๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร เขียนจดหมายไปหาแม่เล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่า "อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น" นั่นทำให้ผมได้สติ เพราะเรื่องที่ผมกลัวเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิด
- เป็นคนเรียนเก่ง?
ความที่อยู่กับการเรียนอย่างเดียว อ่านแต่หนังสือ พอเทอมแรกผ่านไปผมได้ เอ ทั้ง 4 วิชา ก็ดีขึ้นสบายใจขึ้น ผมเรียนจบปริญญาโทภายใน 1 ปี คือเดินทางไปเมื่อเดือนมกราคม 2523 จบในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ที่สามารถทำได้เพราะหลักสูตรที่เรียนนั้นแบ่งเป็นสองเทอมหลัก และมีซัมเมอร์ ซึ่งยังแบ่งเป็นซัมเมอร์ 1 ซัมเมอร์ 2 ถ้าใครลงทะเบียนเรียนอย่างเข้มข้นโดยลงเต็มทุกหน่วยกิตทั้งในแต่ละเทอมและซัมเมอร์ ก็สามารถจบได้ภายใน 1 ปี
พอจบโท ผมเองไม่อยากเรียนต่อปริญญาเอก แต่พ่อกับแม่อยากให้เรียน ท่านบอกว่าส่งเสียได้ผมจึงติดต่อเพื่อนที่โอคลาโฮมา ทำให้ได้ไปเรียนที่โอคลาโฮมาสเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งที่นี่อยู่ห่างจากบัลติมอร์มาก ไปเรียนตอนนั้นจำได้ว่าปี 2524 ตัดสินใจขายรถเป็นค่าตั๋วเครื่องบินบินไปเรียน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าเรียนไปทำไม
- ได้เพื่อนใหม่หรือเปล่า?
ช่วงแรกๆ คิดถึงบัลติมอร์มาก เพราะที่โอคลาโฮมาค่อนข้างล้าหลัง เดินไปไหนเจอแต่คนถ่มน้ำลาย เพราะส่วนใหญ่เขาเคี้ยวใบยาสูบ แต่พอสักพักก็เห็นว่าที่นี่น่ารักผู้คนเป็นมิตรมากกว่า พูดง่ายๆ คือเป็นคนบ้านนอกของอเมริกัน แต่เป็นคนดีมีน้ำใจ ผมอยู่หอพัก มีรูมมเมทคนหนึ่งเป็นอาจารย์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปเรียนต่อปริญญาเอก อายุ 40 กว่าปีแล้วแต่ผมยี่สิบต้นๆ แต่เราก็เป็นเพื่อนกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องต่างๆ
ยังคงเรียนไปและทำงานพิเศษหารายได้เหมือนเคย เพราะอยากช่วยพ่อแม่ประหยัด โดยตอนแรกไปสมัครเป็นผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัย เขาตอบตกลงแล้ว แต่พอวันเปิดเทอมเขาตัดงบฯนี้ออกเลยไม่ได้ทำ เปลี่ยนไปทำงานในครัวของหอพัก ทำตั้งแต่ล้างจานไปจนถึงทำอาหารให้คนกิน และยังทำงานขายแซนด์วิชในเมืองอีกงาน ทำอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบและการเรียนก็ไม่ได้ตก
การเรียนปริญญาเอกไม่ใช่การวัดความรู้กัน ปริญญาโทเรียนยากกว่าด้วยซ้ำ การเรียนปริญญาเอกเป็นการวัดความสามารถในการชวนให้เชื่อมากกว่า ไม่สำคัญว่าคุณเก่งอะไร แต่คุณสามารถชักจูงให้คนอื่นเชื่อตามได้ ตรงนั้นต่างหากที่ผมจับทางถูก การเรียนทำให้เรามีความรู้อยู่ในตัวเอง แต่ถ้าเราไม่สามารถถ่ายทอดความรู้นั้นได้ ก็ไม่มีประโยชน์
- เข้ามาเกี่ยวกับงานบันเทิงได้อย่างไร?
เรียนจบกลับมาปี 2527 สมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ได้ 2 เดือนเขาบรรจุเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ พอปี 2528 ขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชา แต่พอไปได้แค่เดือนมิถุนายนเขาให้ขึ้นเป็นคณบดี
เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานบันเทิง เริ่มจากมีนิตยสารหลายฉบับมาขอสัมภาษณ์ บริษัทเอเยนซี่โฆษณาเห็นเข้าก็ให้ไปเทสต์หน้ากล้อง เพราะเขาต้องการพรีเซ็นเตอร์เป็นครูอาจารย์ที่แนะนำสิ่งที่ดีๆ ช่วงนั้นปี 2532 บริษัทเจเอสแอลกำลังริเริ่มรายการทำนองทอล์คโชว์ จึงทาบทามผมเป็นพิธีกร ให้ผมไปเทสต์หน้ากล้อง มีคุณตุ้ม-ผุสชา เป็นคนเทสต์ เขาตกลงให้ผมทำงาน โดยเปลี่ยนจากพิธีกรชายมาเป็นพิธีกรคู่ชาย-หญิงซึ่งผมก็คู่กับคุณตุ้มตั้งแต่นั้นมา
การทำงานตรงนี้ถือว่าให้อะไรกับผมมากมาย ทุกชีวิตที่ผมได้สนทนา ได้สัมผัส ได้เรียนรู้ ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตคนเรามีทั้งมุมมืด มุมสว่าง และผมได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ได้ศึกษา ได้อุทธาหรณ์จากชีวิตของคนเหล่านั้น
ทำรายการด้วย เป็นคณบดีด้วยอยู่ประมาณ 10 ปี ก็ลาออกจากการเป็นอาจารย์แล้วเดินเข้าไปที่เจเอสแอล ทำงานกับเจเอสแอลตั้งแต่นั้นมาตลอด
- มาเริ่มป่วยตอนไหน?
การเจ็บป่วยของผม-ผมอยากจะบอกว่ามันสะสมมาจาก "ความเกินไป" ของผม อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า ผมเป็นคนที่ทำอะไร "มากเกินไป" เสมอ ทำอะไรก็จะเกินไว้ก่อน เมื่อเริ่มต้นทำงานผมก็สนุกสนานกับงานและรู้สึกว่างานมีเพิ่มมากขึ้นยิ่งรู้สึกดี แทนที่จะรู้สึกว่ามันมากไปจนเหนื่อย ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการพักผ่อนนอนหลับ การพักผ่อนของผมจึงเป็นการได้ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม
เมื่อทำงานมากๆ ภายใต้ความเครียด อดนอน จึงเป็นการสะสมอาการป่วยที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการอดนอน ที่เด่นชัดคือ การเกิดอาการโรคหมุนอย่างไม่รู้ตัว สะสมพร้อมๆ กับอาการปวดหัวตัวร้อนที่เป็นอยู่บ่อยๆ
เมื่อห้าปีก่อนผมไปบ้านที่ปากช่องกับครอบครัว ความที่ร่างกายไม่คุ้นกับการพักผ่อน จู่ๆ ร่างกายก็รับไม่ได้ ผมวูบ..สลบไป 5 นาทีล้มฟาดพื้น หน้าเป็นแผล หลังจากนั้นผมมีอาการอื่นๆ อีกแต่ไม่ได้สนใจ
- ไม่ไปตรวจร่างกายหรือ?
ไม่ครับ ไม่ไปตรวจเช็คร่างกาย เพราะคิดเสมอว่ายังเดินเหินได้แข็งแรงดี ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันสะสมแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะเป็นมะเร็ง ผมใช้ชีวิตผิดสุขลักษณะหมดทุกอย่าง และยังมีความเครียดเป็นตัวเร่งอีก
วันหนึ่งผมรู้สึกปวดท้องต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ถ่ายไม่หมดเสียที จนกระทั่งถ่ายออกมาเป็นหยดเลือดสดๆ เปื้อนกางเกงใน ก็รู้สึกว่าผิดปกติ เพราะปกติผมไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ เป็นคนไม่เสียเวลากับการนอน การกิน การถ่าย คิดว่าเมื่อถึงเวลาของมันก็ถ่ายเอง บางครั้งก็ข้ามวัน และนิสัยเป็นคนดื่มน้ำน้อย ตั้งน้ำไว้แก้วหนึ่ง วันหนึ่งยังไม่หมดเลย
ถ่ายเป็นเลือดก็ยังไม่ไปตรวจทันที เพราะมีงานรออยู่ ซึ่งเลือดมันไม่หายไปสักที ในที่สุดตัดสินใจไปโรงพยาบาลวิชัยยุทธ หมอตรวจพบก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ ตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ ไม่บ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แต่ผลเลือดชี้ว่ามีเซลล์มะเร็งอยู่
- ก็ต้องผ่าตัด?
ผ่าตัดใหญ่ ต้องตัดลำไส้ใหญ่ที่คิดว่าเป็นส่วนแพร่กระจายของเชื้อทิ้งไป ความยาวฟุตกว่าๆ โชคดีที่ตัดไปแล้วยังสามารถต่อกับลำไส้ส่วนทวารหนักได้ ไม่ต้องเจาะหน้าท้องสำหรับขับถ่าย
หลังจากผ่าตัดสองเดือนให้หลัง ปรากฏว่าแพร่กระจายไปที่ตับ มีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น 3-4 ก้อน จากเดิมที่ไม่ไปทำเคมีบำบัดต้องเปลี่ยนแผนมาทำเคมีบำบัด และรักษาแบบนี้มาตลอด มีอยู่ก้อนหนึ่งใหญ่ 0.4 เซนติเมตร หมอไม่กล้าจี้ออกเพราะอยู่ติดกับลำไส้ใหญ่ อาจพลาดไปโดนเส้นเลือดใหญ่ได้ ต้องปล่อยไว้อย่างนั้นให้มันโตแล้วค่อยจี้อีกครั้ง
ช่วงระหว่างนั้นยังไปช่วยน้องๆ เตรียมงานเอ็กซโปที่จะเปิดแสดงที่ญี่ปุ่น ไปอิตาลีเพื่อจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยซึ่งก็สร้างความเครียดได้เช่นกัน
- คนในครอบครัวกลัว?
ผมบอกลูกๆ ทุกคนว่าเป็นมะเร็ง เพราะเราไม่มีความลับกันในครอบครัว เขาเห็นผมซมซานเวลาปวดท้อง เขารู้ว่ามันเจ็บปวดทรมานอย่างไร แต่เราก็ให้กำลังใจกันและกัน ไม่ทำตัวเป็นภาระของกันและกัน ทำให้ในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะ มีความสุข
ในยามที่ปวดท้องมากๆ ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมาปวดท้องต่อ ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับห้องน้ำตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะมีชีวิตอย่างนี้
ผมรักษาด้วยเคมีบำบัดมาจนถึงเดือนตุลาคม 2548 ผลการตรวจค่าเซลล์มะเร็งตลอดระยะเวลาที่รักษามาไม่ได้ดีขึ้น หลังกลับจากไปเยี่ยมลูกที่ออสเตรเลียกลับมาเมืองไทยประมาณธันวาคม ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรง บางทีตื่นนอนก็ยากลำบากกว่าจะลงจากเตียงได้ ช่วงนั้นหน้าตาผมแย่มาก ร่างกายแย่จิตใจก็หดหู่ตามไปด้วย
ผมคิดมาก และคิดหนัก ตัดสินใจรักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัด ถึงกระนั้นก็ยังต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพราะตับมีปัญหา เป็นมะเร็ง ถึงตอนนี้ผมเผชิญหน้ากับการรักษาต่อไป แต่เป็นการรักษาตามสภาพ
สำหรับภรรยาและลูกๆ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ภรรยาผมจะจัดการได้ ผมเชื่อว่าเขาจะต้องนำพานาวาชีวิตลำนี้ไปต่อได้ แม้ว่าอาจจะไม่สบายเหมือนตอนที่ผมอยู่
ผมบอกกับตัวเองเสมอทุกวันว่า "ผมไม่ยินดีที่จะตาย แต่ผมพร้อมจะตาย"
ตั้งแต่เป็นมะเร็งผมเริ่มคิดได้ว่า ชีวิตนี้สอนคนมามากในฐานะครูบาอาจารย์ แต่คนที่ผมไม่เคยสอน ไม่เคยเตือน คือตัวเอง จึงไม่เคยตั้งใจจะให้ชีวิตผมเป็นแบบอย่างแก่ใคร ไม่เคยคิดจะสอนใครอีก เพราะลำพังสอนตัวเอง เตือนตัวเองบ่อยๆ
ก็ยากพอแล้ว
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 566
ฟังซีดีแผ่นแรกจบแล้วเมื่อหลายวันก่อน
จำได้แค่ว่า ปฏิบัติแนวไหนมาก็ปฏิบัติตามนั้นไปเถอะ การปฏิบัติมีหลายทาง
เดี๋ยวขอตัวไปฟังอีกรอบ
จำได้แค่ว่า ปฏิบัติแนวไหนมาก็ปฏิบัติตามนั้นไปเถอะ การปฏิบัติมีหลายทาง
เดี๋ยวขอตัวไปฟังอีกรอบ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 568
หลวงพ่อยืนยันมั่นคงว่าsattaya เขียน:วันนี้รู้สึกตัวว่าฟุ้งซ่านตลอดเลย จริงๆแล้วเป็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
ผมควรจะตามหาตัวฟุ้งซ่านหรือรู้มันไปเรื่อยๆครับ
ในซีดีมีทุกคำตอบนะ
ฟังตอนถามตอบเยอะๆ
มีคนที่ไปส่งการบ้านถามเรื่องนี้เยอะเหมือนกัน
หาตัวฟุ้งซ่าน ไม่ต้องหาเลยครับ ฟุ้งก็บอกในตัวอยู่แล้ว
ว่าเจ้าตัวคิดมันกระเจิด กระเจิง กระจัด กระจาย
ทุกครั้งที่ตี๋รู้มันก็หยุดคิด ชิวิตก็ตัดเป็นสองส่วน
เพียงแต่กระบวนการมันเร็วมาก เราก็เลยไม่ชิน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 569
ผมสังเกตุดูsattaya เขียน:วันนี้รู้สึกตัวว่าฟุ้งซ่านตลอดเลย จริงๆแล้วเป็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
ผมควรจะตามหาตัวฟุ้งซ่านหรือรู้มันไปเรื่อยๆครับ
หลวงพ่อจะตอบ 2 แบบนะครับ
คนที่ดูจิตเป็นแล้ว หลวงพ่อจะให้ดูจิตไปเลย
แต่คนที่ดูจิตไม่เป็นหรือฟุ้งมากๆๆ หลวงพ่อไล่ให้ไปทำสมถะ
จะรู้ได้ยังไงว่าดูเป็น
ก็ให้ดูว่า
เวลาเราดูความฟุ้งซ่านนั้น
ความฟุ้งซ่านดับไปหรือไม่
ถ้าไม่ดับ แปลว่ายังดูไม่ถูก
ถ้าดูถูกแล้วจะดับให้เห็นต่อหน้าต่อตาเลย
ดู = just see
ดักดู = look for -> ผิด
เห็นแล้วยังฟุ้งตาม = หลง(โมหะ)
เห็นแล้วอยากให้ดับ = โทสะแทรก
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 570
ตอนนี้มันหายไปแล้วครับ ขอบคุณครับ
แต่คนอ่อนหัดก็อย่างนี้แหละครับ :oops:
เคยตามรู้แล้วมันหายไป
พอเจอลูกพี่มัน ตามรู้แล้วมันไม่หาย
เลยสับสนว่าต้องทำไงต่อ
ความจริงแล้วผมก็ตามรู้เรื่อยๆแหละครับตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อเช้า
พอทำงาน สมาธิก็ไปจดจ่อเรื่องงาน หันมาอีกทีอ้าวมันโกยแนบไปแล้ว
แต่คนอ่อนหัดก็อย่างนี้แหละครับ :oops:
เคยตามรู้แล้วมันหายไป
พอเจอลูกพี่มัน ตามรู้แล้วมันไม่หาย
เลยสับสนว่าต้องทำไงต่อ
ความจริงแล้วผมก็ตามรู้เรื่อยๆแหละครับตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อเช้า
พอทำงาน สมาธิก็ไปจดจ่อเรื่องงาน หันมาอีกทีอ้าวมันโกยแนบไปแล้ว
สติมา ปัญญาเกิด