ลงทุนปลูกต้นไม้ จะแวยู๋ จริงๆหรือ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

ลงทุนปลูกต้นไม้ จะแวยู๋ จริงๆหรือ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ต้นกระดาษนั่นแหละครับ ....

ที่ก็มีว่าง ลงทุนก็ไม่เท่าไร cut หุ้นไปมากว่านี้ยังทำมาแล้ว

ได้ช่วยลดโลกร้อนซ้ำ     แล้วมันดีจริงรื้อ....

ฝนนี้ผมก็ว่าจะลงมือละนะ



ดั๊บเบิ้ล เอ จับมือ โรงสี ท่าข้าว ทั่วไทย ทำโครงการ 101 ต้นบนคันนาช่วยเกษตรกรรับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก


  ดั๊บเบิ้ล เอ ร่วมกับโรงสี และท่าข้าว ทั่วประเทศ ช่วยเกษตรกรรับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำโครงการ 101 ต้นบนคันนาแก้โลกร้อน ชวนชาวนาเป็นเจ้าของธนาคารต้นไม้ รับฝากปลูกต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ รับผลตอบแทนต้นละ 30 บาทโดยไม่ต้องลงทุน และรับสิทธิพิเศษ 101 ต้นแรก รับผลตอบแทนเพิ่มเป็นต้นละ 50 บาท หวังสร้างรายได้เสริมให้ชาวนาไทยอีก 30,000 บาทต่อราย แถมช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์แก้ปัญหาโลกร้อน
         นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดั๊บเบิ้ล เอ กระดาษจากต้นกระดาษบนคันนา แก้ปัญหาโลกร้อน กล่าวว่า ดั๊บเบิ้ล เอ ได้มีข้อตกลงร่วมกับโรงสีจำนวน 100 แห่ง และท่าข้าวอีก 50 แห่ง เพื่อร่วมมือกันดำเนินโครงการ 101 ต้นบนคันนากับต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างรายได้เสริมให้กับชาวนา ซึ่งจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบกับวิกฤติเศรษฐกิจโลก และเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาโลกร้อน
         ทั้งนี้โครงการ 101 ต้นบนคันนาฯ ได้เปิดให้ชาวนาสมัครลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ แล้วตั้งแต่บัดนี้ โดยชาวนาสามารถสมัครเป็นผู้รับฝากปลูกต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ ได้โดยไม่จำกัดจำนวนต้น แต่กำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องปลูกบนคันนาเท่านั้น และผู้รับฝากปลูกจะได้รับผลตอบแทนในการดูแลต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ จนครบโครงการภายในเวลา 3 ปี ในอัตราต้นละ 30 บาท และได้สิทธิพิเศษสำหรับ 101 ต้นแรก รับผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่า คือ ต้นละ 50 บาท หรือมีรายได้จากการปลูก 101 ต้นแรก เท่ากับ 5,050 บาท และหากปลูกตลอดแนวคันนาในพื้นที่ 10 ไร่ หรือปลูกจำนวน 800 ต้น ก็จะมีรายได้เสริมคิดเป็นจำนวนเงิน 26,020 บาท โดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มแต่อย่างใด ซึ่งจะเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินของเกษตรกรทั่วประเทศ
         นอกจากนี้ นายชาญวิทย์ยังกล่าวต่อไปว่า การปลูกต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ 1 ต้นบนคันนาของเกษตรกร ภายในระยะเวลา 3 ปี จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศได้ถึง 62 กิโลกรัม หรือเทียบเท่ากับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ถึง 20 ลิตร เนื่องจากน้ำมันแต่ละลิตรที่เผาไหม้ จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 3.15 กิโลกรัมออกสู่ชั้นบรรยากาศ หรือหากปลูกครบ 25 ล้านต้น ก็จะเท่ากับเราได้ช่วยกันดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้น้ำมันของคนกรุงเทพ 500 ล้านลิตรต่อปี ให้หมดไป
         ดั๊บเบิ้ล เอ ตั้งเป้าหมายที่จะให้ชาวนาเข้าร่วมรับฝากปลูกต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ ไม่น้อยกว่า 50 ล้านต้นในปีแรกนี้ และคาดจะใช้งบลงทุนในเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกตามคันนาในครั้งนี้ โดยชาวนาที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนดั๊บเบิ้ล เอ 1759 หรือที่ โรงสี และท่าข้าว ที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ
         ดั๊บเบิ้ล เอ คิดว่า โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่เกษตรกรเข้าร่วมได้ง่าย เพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไร แค่ใช้พื้นที่ว่างบนคันนา ใช้เครื่องมือทางการเกษตรและเวลาว่างของตนเองหลังจากปลูกข้าวหรือเก็บเกี่ยว มาดูแลต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ ก็จะทำให้เกิดรายได้เสริมเป็นกอบเป็นกำให้กับครอบครัว เพื่อใช้เป็นทุนในการประกอบอาชีพ หรือเป็นทุนการศึกษาให้กับบุตรหลานของตนเองได้ โดยมีผลตอบแทนที่แน่นอน และยังถือช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืนด้วย และถือเป็นสร้างแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์แหล่งใหม่ของโลกอีกด้วย เพราะเป็นการส่งเสริมให้พื้นที่ที่เคยเปิดโล่งกลายเป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ และชาวนาสามารถปลูกหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง นายชาญวิทย์กล่าว
         ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าว โดยเป็นพื้นที่นาปี ประมาณ 57ล้านไร่ และ นาปรังประมาณ 11 ล้านไร่ โดยกว่า 5% ของพื้นที่นาจะเป็นคันนา ถ้านับความยาวของพื้นที่คันนาในประเทศไทยมีถึงเกือบ 12 ล้านกิโลเมตร ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์กันมากนัก ดังนั้น การสนับสนุนให้ชาวนาไทยหันมาใช้ประโยชน์จากคันนาที่ว่างเปล่า ก็ถือเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างคุ้มค่า และเป็นการป้องกันปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจการเงินของโลก ที่อาจจะกระทบมาถึงเกษตรกรไทยในอนาคตด้วย
         นายสมศักดิ์ สาระศิริ เกษตรกร อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ตนปลูกต้นกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ บนหัวไร่คันนา มาเป็นเวลากว่า 7 ปีมาแล้ว โดยปลูกไว้ทั้งที่เป็นคันนา ริมถนน และพื้นที่ว่างแบบเป็นแปลงอีก 20 ไร่ รวมประมาณ 700 ต้น ซึ่งต้นกระดาษเคยสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้สูงสุดถึง 2 แสนบาท ทำให้ครอบครัวของตนมีชีวิตที่ดีขึ้น และดีกว่าการปลูกพืชชนิดอื่น เนื่องจากดูแลง่าย และไม่ต้องห่วงเรื่องปัญหาการขาดทุนเหมือนพืชชนิดอื่น สามารถปลูกได้ทั้งหน้าฝนและหน้าแล้ง และก็ไม่มีปัญหาเรื่องดินเสีย ดินแห้ง หรือผลกระทบกับพืชอื่นเลยตลอดระยะ 7 ปีที่ผ่านมา



อันตรายต้นกระดาษdouble a อ่านแล้วได้สาระ เข้ามาอ่านกันหน่อยนะ


ประเทศไทยจะกลายเป็นทะเลทรายเพราะต้นกระดาษ Double A‏ จริงหรือ
March 6, 2008 9:36 pm kanatip Knowledge Management‏, Other Knowledge
หลังจากที่ได้เห็นโฆษณา ของกระดาษ Double A กันแล้ว ที่ออกมาโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้คนไทยปลูกต้นกระดาษ Double A และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันถึง ต้นกระดาษ Double A ซึ่งมันก็คือต้น ยูคาลิปตัส ที่บอกว่าเป็นพิชทำลายดิน จากดินปลูกต้นไม้กลายเป็นดินทราย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เลยนำมาฝากให้ทุกคนได้ลองอ่านกันดู


ต้นกระดาษ double A ดีจริงเหรอ
ต้นกระดาษ double A ?

> >>> จริงป่าว? ใครหาคำตอบได้มั่ง
> >>>> เราไม่มีเจตนาที่จะทำลายหรือป้ายสีอะไรในบริษัท Double A ทั้งนั้น
> >>>> เพียงแต่ต้องการเปิดเผยความจริงแก่ทุกคน
> >>>> อย่างที่หลายๆคนคงจะเห็นในโฆษณาเชิญชวนให้พี่น้องเกษตรกรหลายคนหันมาปลูกต้นกระดาษ
> >>>> Double A โดยอ้างว่า ปลูกแล้วจะรวยขึ้นทันตาเห็น
> >>>> ก่อนอื่นอยากบอกก่อนว่าที่จริงต้นไม้ที่ว่านั้นก็คือ
> >>>> ต้นยูคาลิปตัสที่ได้ทำการดัดแปลงพันธุกรรมแล้วนั่นเอง
> >>>>
> >>>> เราเป็นนักท่องเที่ยว
> >>>> ที่เพิ่งกลับมาจากแคมป์ปิ้งที่อุทยานแห่งชาติปางสีดา
> >>>> ตามทิวเขาจะมีต้นไม้ที่ชาวบ้านนิยมปลูกกันมาก
> >>>> ต้นไม้เหล่านั้นจะเรียงตัวกันเป็นแถวๆดูแล้วสวยงาม สูงใหญ่
> >>>> ภายหลังได้รู้ว่านั่นก็คือไร่ยูคาลิปตัสจากวิทยากรภายในอุทยานนั้น
> >>>> ท่านวิทยากรได้พูดให้เราฟังว่า
> >>>>
> >>>> การนำต้นยูคาลิปตัสหรือต้น Double A มาปลูกนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก
> >>>> ในหลวงท่านก็เคยดำรัสไว้ว่า ชาวบ้านไม่ควรนำต้นเหล่านี้มาปลูก
> >>>> เพราะมันเป็นพืชต่างถิ่น ท่านวิทยากรก็เสริมว่า ต้นยูคาเป็นพืชเชิงเดี่ยวเมื่อปลูก! แล้วจะส่ง
> >>> ผลให้พื้นแผ่นดินในบริเวณนั้น แห้งผาก
> >>>> เนื่องจากมันี้จะดูดซึมน้ำอย่างรวดเร็ว และต้องการน้ำมาก
> >>>> ทำให้รากของต้นๆหนึ่งอาจยาวได้ถึง20เมตรเลยทีเดียว
> >>>> เมื่อดินบริเวณนั้นถูกดูดน้ำจนหมด ผืนดินก็จะกลายเป็น ทะเลทราย ในที่สุด
> >>>> ว่าแล้ววิทยากรก็หยิบดินให้เราดู แล้วโปรยลงพื้น มันคือทรายชัดๆ
> >>>> แทนที่จะเป็นดินในป่าแบบนี้
> >>>>
> >>>> แล้วเราอยากให้ทุกคนคิดดู ถ้ามีการปลูกต้น Double A เป็นจำนวนมาก
> >>>> ผู้คนได้ผลกำไรอย่างงอกงามในการทำธุรกิจกับแผ่นดินของชาติ
> >>>> แต่นานๆไปเล่า จะเกิดอะไรขึ้น
> >>>> ผืนแผ่นดินไทยในอนาคตก็มีโอกาสจะกลายเป็นทะเลทรายได้
> >>>>
> >>>> ไม่ใช่ว่าการปลูกต้นไม้ไม่ใช่เรื่องดีนะคะ แต่สำหรับเจ้าต้นยูคานี้
> >>>> เป็นต้นไม้ที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปลูกในภูมิภาคแบบประเทศไทยเลย
> >>>>
> >>>> แค่คนตัวเล็กๆไม่มีหน้าที่ใหญ่โตอะไรในวงสังคม
> >>>> ไม่มีสิทธิ์ห้ามใครได้
> >>>> แต่อยากให้ทุกคนช่วยเผยแพร่เรื่องนี้ด้วยนะคะ
> >>>> ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ.

แต่บางคนก็บอกว่า

ข้อเสียของยูคาลิปตัสก็เหมือนกับต้นไม้ชนิดอื่นๆ ถ้ามีการจัดการที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีดังนี้
1. ยูคาลิปตัสแม้ว่าจะมีลักษณะพิเศษ โดยมีประสิทธิภาพสูงในการหาน้ำ คือ ใช้น้ำเพื่อสร้างเนื้อไม้ในปริมาณที่เท่ากันเมื่อเปรียบเทียบกับไม้โตเร็วอื่น ๆ แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วปรากฏว่ายูคาลิปตัสใช้น้ำในแต่ละรอบปีในปริมาณที่สูงกว่าไม้ชนิดอื่น ทั้งนี้เนื่องจากไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตมากกว่านั่นเอง จึงเป็นเหตุให้ความชื้นและระดับน้ำใต้ดินลดลงอย่างเด่นชัดในช่วงอายุ 5-10 ปี ซึ่งจะมีผลกระทบต่อแหล่งน้ำและพืชข้างเคียง ได้ ถ้าหากมีการจัดการไม่เหมาะสม เช่น การปลูกประชิดแหล่งน้ำ และปลูกชิดกับพืชอื่นมากเกินไป
2. ยูคาลิปตัสเป็นต้นไม้ที่มีความสามารถในการแก่งแย่งทางด้านเรือนรากสูง โดยเฉพาะการแย่งแก่งความชื้นในดินเพื่อการเจริญเติบโตซึ่งในกรณีนี้ถ้าหากความชื้นในดินไม่เพียงพอ หรือฝนตกน้อย ยูคาลิปตัสจะดูดความชื้นจากดินไปใช้จนหมด ทำให้การเจริญเติบโตของพืชชั้นล่างและต้นไม้ข้างเคียงชะงักลงได้
3.ใบสดของยูคาลิปตัสมีน้ำมันหอมระเหยสะสมอยู่ สารประกอบน้ำมันหอมเหล่านี้เมื่อสะสมอยู่ในดินในปริมาณความเข้มข้นสูง ๆ ตั้งแต ่3 ใน 10,000 ส่วนขึ้นไป จะมีผลยับยั้งต่อการงอก และการเจริญเติบโตของพืชอื่นได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากสารเหล่านี้สามารถระเหยและละลายน้ำได้ง่าย ดังนั้น ภายใต้สภาพภูมิอากาศซึ่งมีอุณหภูมิสูง อากาศร้อนและฝนตกมากกว่า 750 มม/ปี จึงทำให้สารประกอบเหล่านี้ระเหย และถูกชะล้างไปหมด ดังนั้นภายใต้สภาพธรรมชาติจึงไม่น่าวิตก เว้นแต่การปลูกไม้ยูคาลิปตัสประชิดกับบ่อหรือแหล่งน้ำซึ่งมีเนื้อที่จำกัดอาจทำให้สารเคมีดังกล่าวละลายจากใบสะสมอยู่ในน้ำจนเป็นพิษต่อสัตว์น้ำได้
4. เป็นต้นไม้ที่มีศักยภาพต่ำในการปลูกเพื่อปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน เมื่อเปรียบเทียบกับไม้โตเร็วตระกูลถั่วชนิดอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบเกษตรกรรมทั่ว ๆ ไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกมันสำปะหลังแล้ว ปรากฏว่ายูคาลิปตัสมีศักยภาพสูงกว่ามันสำปะหลัง
5.คุณภาพเนื้อไม้ของยูคาลิปตัสเมื่อแปรรูปจะบิดดงอได้ง่าย เนื้อไม้มีเสี้ยนบิดเป็นเกลียว และแตกร้าว อันเนื่องจากความเครียดของการเจริญเติบโต จึงเหมาะสมที่จะใช้ในรูปของไม้หน้าแคบและสั้น และถ้าต้องการใช้เป็นไม้ยาวจะต้องต่อเป็นไม้ประสาน อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาของการขาดแคลนไม้และไม้ที่มีคุณภาพดี ไม่สามารถปลูกและใช้ประโยชน์ภายในระยะเวลาอันสั้นได้ ดังนั้น ยูคาลิปตัสจึงสามารถแก้ปัญหาความต้องการใช้ไม้ในสภาวะกาลปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

คำถาม ยูคาลิปตัส มีข้อดีอย่างไรบ้าง ?
คำตอบ 1. เป็นไม้โตเร็ว เมื่อปลูกและจัดการอย่างเหมาะสม สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ประมาณ 4-5 ปี โดยการลงทุนค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้โตเร็วชนิดอื่น
2. เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย สามารถเจริญเติบโตในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เนื่องจากมีเห็ดรา ที่รากฝอย ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับธาตุฟอสฟอรัส และธาตุอาหารอื่นจากดินไปสะสมในส่วนต่างๆ ของต้นไม้เพื่อการเจริญเติบโตได้นานๆ
3. ยูคาลิปตัสมีประสิทธิภาพสูงในการใช้น้ำและธาตุอาหารสำหรับการเจริญเติบโต ภายใต้การปลูกบำรุง และการจัดการอย่างระมัดระวัง ต้นยูคาลิปตัสมีความสามารถที่จะผลิตเนื้อไม้โดยใช้ธาตุอาหารในปริมาณที่น้อยกว่าไม้โตเร็วชนิดอื่นๆ และน้อยกว่าพืชไร่ทั่วๆไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันสำปะหลัง
4. ต้นยูคาลิปตัสช่วยปรับปรุงระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมให้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ดินเลว รกร้างว่างเปล่า ซึ่งไม่สามารถปลูกไม้อื่นได้ โดยการปลูกเป็นไม้เบิกนำและปลูกต้นไม้ชนิดอื่นเสริมในภายหลัง เพื่อความหลากหลายของพันธุ์พืช
5. มีความสามารถในการแตกหน่อได้ดี โดยหน่อในรอบที่หนึ่งจะให้ผลผลิตเนื้อไม้สูงกว่าต้นไม้ที่ปลูกจากต้นกล้าเมื่ออายุเดียวกันถึง 3 เท่า เป็นอย่างน้อย
6. เป็นต้นไม้ที่มีเนื้อแข็ง ลำต้นเปลาตรง กิ่งก้านน้อย ลำต้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางกว่าไม้โตเร็วชนิดอื่นๆ เช่น ทำเสา รั้ว เสาเข็ม เสาต่อ โรงเรือน คอกปศุสัตว์ ตลอดจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง และประดิษฐกรรมต่างๆ เช่นไม้เสาเหลี่ยม ไม้แป หรือไม้กลอน เครื่องเรือน และเครื่องประกอบอาคารต่างๆ
7. เป็นไม้ขนาดเล็ก กิ่งก้านใช้ทำฟืน ถ่านที่มีคุณภาพดี ให้ความร้อนสูงไม่แตกขณะเผาและไม่มีควัน คุณภาพของถ่านใกล้เคียงกับไม้โกงกาง
8. ยูาคาลิปตัส อายุ 3-6 ปี เนื้อไม้เหมาะสมสำหรับผลิตเยื่อกระดาษประเภทใยสั้นได้เป็นอย่างดี
9. เนื้อไม้ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแผ่นใยไม้อัด แผ่นชิ้นไม้อัด แผ่นชิ้นไม้อัดซีเมนต์และแผ่นไม้ประกอบต่างๆ ตลอดจนไม้ช่วงอายุ 6-10 ปี สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมไม้บาง และไม้อัดได้ ม้ซุงยูคาลิปตัสอายุ 20 ปี มีสภาวะการแตกร้าวของท่อนซุงเพียงเล็กน้อย
10. การปลูกยุคาลิปตัสเป็นแปลงผืนใหญ่ในพื้นที่ถูกทำลาย จะช่วยรักษาระดับความชื้นในบรรยากาศให้ดีขึ้น กล่าวคือ ปริมาณน้ำที่คายออกจากใบจะสะสมอยู่ในบรรยากาศและหมุนกลับสู่ดินในรูปของน้ำฝน ขณะเดียวกันยังช่วยควบคุมระดับแกซคาร์บอนไดออกซด์ในบรรยากาศให้ต่ำลง ซึ่งเป็นการลดสภาวะอุณภูมิร้อนผิดปกติอันเนื่องมาจากเกิดสภาพเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ

เป็นที่น่าคิดเหมือนกัน ว่าจริงๆ แล้วการปลูกต้นยูคาลิปตัสนี้ จะส่งผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน

ที่มา : http://www.budpage.com/forum/view.php?id=1640
โพสต์โพสต์