ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์หุ้นแบบ VI บทความ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
vegeta
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์หุ้นแบบ VI บทความ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Monday, 9 March 2009
วิเคราะห์หุ้นแบบ VI
« Perfect Storm-Perfect Stock | Main

         นักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนที่บริหารกองทุนรวมที่ต้องลงทุนซื้อหุ้นจำนวนมากต่างก็อาศัยบทวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์หุ้นมืออาชีพ     แต่ผมเองแทบไม่ดูบทวิเคราะห์เหล่านั้นเลย   เหตุผลก็เพราะวิธีการลงทุนของผมนั้น   เป็นการลงทุน  “ซื้อธุรกิจ”  ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว  อย่างน้อยก็  3- 5 ปี  ขึ้นไป   ซึ่งไม่มีบทวิเคราะห์ไหนทำ   บทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์นั้นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด  มองไปที่ผลประกอบการอย่างมากก็  1-2  ปีข้างหน้า  ดังนั้น   พวกเขาก็มักจะดูว่าบริษัทจะมีกำไรเท่าไรอิงจากผลประกอบการในปีปัจจุบัน  โดยนำเอาภาวะของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมาเป็นตัวประกอบ    ส่วนผมเองนั้น   ผมจะสนใจในด้านของ   “โครงสร้าง”  ซึ่งเป็นเรื่องที่ถาวรกว่าและไม่ค่อยจะขึ้นกับภาวะแวดล้อมที่จะปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ    ซึ่งโดยนัยนี้  ผมจึงไม่ค่อยสนใจภาวะเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลง   แต่ผมจะสนใจโครงสร้างของอุตสาหกรรมว่า   ในธุรกิจนั้นมีการแข่งขันกันอย่างไร   สนใจว่าบริษัทมีจุดเด่นหรือจุดอ่อนอย่างไร   ใครคือ  “ผู้ชนะ”  หรือจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน


               การวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวนั้น   แน่นอน  จะต้องดูรายละเอียดของแต่ละบริษัท   อย่างไรก็ตาม   มี  “โครงสร้าง”  และข้อมูลของธุรกิจบางอย่างที่เป็นตัวบอกว่าเรากำลังเจอธุรกิจที่ดีหรือไม่ดีได้    ข้อมูลเหล่านี้เราสามารถนำมาให้คะแนนเพื่อที่จะสรุปว่าบริษัทที่เราดูอยู่เป็นอย่างไร  ลองมาดูรายการที่สำคัญ ๆ


               ข้อมูลตัวแรกก็คือ   กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ  ROE  นี่คือข้อมูลที่ดูง่ายและมีประสิทธิภาพสูง   บริษัทที่มี  ROE  สูงคือบริษัทที่ดี   ยิ่งสูงก็ยิ่งดี   แต่ต้องดูว่าเป็นการสูงอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นปกติ  ไม่ใช่สูงแค่ปีสองปีหรือในยามที่อุตสาหกรรมกำลังเป็นขาขึ้น   หลักเกณฑ์ง่าย ๆ  ในการให้คะแนนก็คือ   ถ้าบริษัทมี  ROE ตั้งแต่  15%  ขึ้นไป   เราก็ให้คะแนน  บวกหนึ่ง   ถ้า  ROE  ตั้งแต่  10-15  ให้คะแนนเท่ากับศูนย์    ถ้า  ROE  ต่ำกว่า  10%  ลงมาให้คะแนนติดลบหนึ่ง   คะแนนที่ได้นี้จะเก็บไว้รวมกับคะแนนของข้อมูลตัวต่อไปเพื่อหาคะแนนรวมของบริษัท


               ข้อมูลตัวที่สองก็คือ  กระแสเงินสดของกิจการ   ถ้ากิจการขายสินค้าแล้วได้เป็นเงินสดในขณะที่เวลาซื้อสินค้าจ่ายเป็นเงินเชื่อ   กระแสเงินสดของกิจการก็จะดี   ความจำเป็นต้องระดมเงินมาใช้จากภายนอกเช่นการกู้เงินหรือออกหุ้นก็จะน้อยและจะเป็นผลดีต่อบริษัท   เกณฑ์แบบง่าย ๆ  ก็คือ   ถ้า บริษัทมีเจ้าหนี้การค้ามากกว่าลูกหนี้การค้ามากเช่นในกรณีของผู้ค้าปลีกหรือ บริษัทที่ขายให้กับผู้บริโภคโดยตรงซึ่งทำให้กระแสเงินสดของบริษัทดี  ให้คะแนน  บวกหนึ่ง    ถ้าเจ้าหนี้และลูกหนี้พอ ๆ  กันเช่นในกรณีของโรงงานผู้ผลิตจำนวนมาก  แบบนี้ให้คะแนนศูนย์   ในกรณีของบริษัทที่มีลูกหนี้การค้ามากแต่มีเจ้าหนี้การค้าน้อย   นั่นคือคนที่ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อแต่ต้องจ่ายค่าสินค้าหรือวัตถุดิบในการผลิตเป็นเงินสด  เช่น  ผู้ค้าส่งที่นำสินค้ามาจากต่างประเทศ  แบบนี้ก็ให้คะแนน   ลบหนึ่ง


               ข้อมูลตัวที่สามซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างสำคัญก็คือ   ความสามารถในการปรับราคาสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น    ถ้าบริษัทสามารถปรับราคาได้ค่อนข้างจะเร็วหรือทันที   ความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะขาดทุนจากสต็อกสินค้าก็ไม่มีและจะทำให้สามารถรักษาระดับของกำไรได้ค่อนข้างแน่นอน   บริษัทที่มีลักษณะของธุรกิจแบบนี้มักจะมีอำนาจทางการตลาดสูง   เราให้คะแนน   บวกหนึ่ง    บริษัทที่สามารถปรับราคาได้แต่ต้องใช้เวลาพอสมควรเช่นภายใน  3  เดือน  แบบนี้ให้คะแนนศูนย์  นี่คือบริษัททั่ว ๆ  ไปที่มักไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ซื้อได้ทันทีเพราะมีการแข่งขันทางธุรกิจสูง   บริษัทที่ไม่มีอำนาจทางการตลาดเลยและเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่บริษัทไม่สามารถกำหนดราคาได้เลย  เช่น  ราคาน้ำมัน  ถ่านหิน  เหล็ก  และผลิตผลทางการเกษตรต่าง  ๆ   แบบนี้เราให้คะแนน   ติดลบหนึ่ง


               บริษัทที่เป็น  Dominant Firm  คือมีขนาดใหญ่กว่าอันดับสองมาก  มักจะมีความได้เปรียบในหลาย  ๆ  ด้าน  เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านของต้นทุน   ดังนั้น   เราให้คะแนน  บวกหนึ่ง   บริษัทตั้งแต่อันดับหนึ่งแต่ไม่ใช่  Dominant Firm จนถึงอันดับประมาณ   3   ของอุตสาหกรรม ให้คะแนนศูนย์   บริษัทที่มีอันดับหลังจากนั้นให้คะแนน  ติดลบหนึ่ง   อย่างไรก็ตาม   ถ้าเราพิสูจน์หรือเชื่อได้ว่าขนาดของกิจการไม่ได้มีผลต่อต้นทุนหรือความได้เปรียบอย่างอื่นในการแข่งขัน    เราก็ให้คะแนนศูนย์กับทุกบริษัท


               ข้อมูลตัวที่ห้า  คือข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัท    กิจการบางแห่งเป็นกิจการที่ขยายงานได้โดย   “ไม่ต้องลงทุน”   นี่คือกิจการที่ใช้หรือต้องลงทุนใน  อาคาร  อุปกรณ์   เครื่องจักร  และเงินทุนหมุนเวียนของตนเองน้อย   และภายในเวลาเพียง  2-3  ปี  ก็ได้เงินคืนมาหมด  เช่น  กิจการค้าปลีกที่อาศัยการเช่าสถานที่เปิดร้านค้าเป็นหลัก   กิจการแบบนี้เป็นกิจการที่ดีเพราะจะสามารถขยายงานไปได้เรื่อย ๆ  โดยไม่ต้องกู้หรือเพิ่มทุน  ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้สูง   แบบนี้ให้คะแนน   บวกหนึ่ง   กิจการที่เวลาขยายงานต้องลงทุนสูงพอสมควรอย่างเช่นโรงงานที่ผลิตสินค้าธรรมดา ๆ  ที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีมากนักเช่นผลิตอาหารหรือเครื่องดื่ม  หรือผลิตไฟฟ้าหรือน้ำประปา   แบบนี้ให้คะแนน  ศูนย์    กิจการที่เป็นโรงงานที่ซับซ้อนและเทคโนโลยีมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเร็วทำให้ต้องอัพเกรดโดยการลงทุนอุปกรณ์ใหม่ ๆ  อยู่เรื่อย ๆ   แบบนี้ให้คะแนน  ลบหนึ่ง


               ข้อมูลตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงที่เป็นข้อมูลสำคัญก็คือ   การเจริญเติบโต   กิจการที่โตเร็ว   นั่นคือ   ในระยะยาวโตเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจหรือ  GDP ตั้งแต่ 3 เท่าขึ้นไป   นั่นคือยอดขายโตประมาณปีละ  15%  ให้คะแนน   บวกหนึ่ง   ยอดขายโตตั้งแต่  5-15%  ต่อปีโดยเฉลี่ยให้คะแนน   ศูนย์   ยอดขายโตต่ำกว่า  5%   ต่อปีในระยะยาวให้คะแนน  ลบหนึ่ง   การเติบโตของยอดขายที่ว่านี้ต้องเป็นการเติบโตแบบทบต้นและระยะยาวตั้งแต่  5  ปีขึ้นไป  ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนัก


                รวมคะแนนทั้งหมดของบริษัทที่เราวิเคราะห์ก็จะได้คะแนนที่อาจจะเป็นบวก  ลบ   หรือเป็น  ศูนย์   บริษัทที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้  บวก  6  คะแนน  ต่ำสุดก็จะได้  ลบ  6  คะแนน  ซึ่งคงหาได้ยากพอควร    เอาตัวเลขที่ได้บวกด้วย  10   ก็จะได้ค่า   PE  สูงสุดที่เราจะซื้อหุ้นตัวนั้น   นั่นแปลว่า   บริษัทที่ดีที่สุดได้คะแนนสูงสุดเราจะซื้อต่อเมื่อ  PE  ไม่เกิน  16  เท่า  บริษัทธรรมดา ๆ   ที่คะแนนไม่บวกหรือลบเราก็จะซื้อต่อเมื่อ  PE  ไม่เกิน  10  เท่า   และบริษัทที่แย่มากที่สุดนั้น   เราไม่ควรซื้อที่  PE  เกิน  4  เท่า   และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีวิเคราะห์และซื้อหุ้นแบบ  VI  เวอร์ชั่นหนึ่ง  ที่หยาบ ๆ  และคิดในใจได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2455
ผู้ติดตาม: 1

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์หุ้นแบบ VI บทความ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

:bow:  :bow:  :bow:
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์หุ้นแบบ VI บทความ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับกับความรู้พื้นฐานพวกนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
atsu
Verified User
โพสต์: 1218
ผู้ติดตาม: 0

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์หุ้นแบบ VI บทความ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

:bow: สุดยอดเลยครับ
อ่านแล้วผมรู้สึกจริงๆว่าบทความนี้สรุปได้ถึงความเรียบง่ายในการลงทุน
ที่ ดร.นิเวศน์พยายามบอกมาตลอด
เมื่อไหร่เราจะตกผลึกทางความคิดได้เหมือนอาจารย์หนอ
peerawit
Verified User
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 0

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์หุ้นแบบ VI บทความ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

จดเรียบร้อยแล้วครับ แต่ทำไมใช้ P/E อ้างอิงกับราคาที่จะซื้อขายล่ะครับ ในเมื่อหากระแสเงินสดของกิจการในข้อ 2 แล้วอ่ะครับ
น่าจะใช้ Price / cash flow หรือเปล่าครับ
ไม่ประมาท
investment biker
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1284
ผู้ติดตาม: 0

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์หุ้นแบบ VI บทความ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อ่านจบแล้ว ลองนึกดูว่าในตลาดหุ้นไทยมีหุ้นตัวไหนบ้างที่ได้ 6 คะแนนเต็ม เท่าที่ผมนึกออกก็มีแค่ BOL กับ CPALL  :lol:

มีตัวอื่นอีกไหมครับที่ผมอาจจะพลาดไป
In search of super stocks
โพสต์โพสต์