หนังสือเล่มนี้น่าอ่านนะครับdome@perth เขียน:
The Winning Invesment Habits of Warren Buffett & George Soros" Hareness the Investment Genius of the World's Richest Investors"
หนังสือเล่มนี้น่าอ่านนะครับdome@perth เขียน:
ไอ้สามดาวครึ่งนะ พี่ให้เองhongvalue เขียน:ปกติแล้วหนังสือใน amazon
ที่ได้ 5 ดาวนี้เชื่อถือได้แค่ไหนครับ
มีฮั้วกันไหมครับว่าใต้โต๊ะแล้วให้ดาวหลายๆดาว
หุ้นที่สวนกระแสขาลงนี่่น่าจะจริงhongvalue เขียน:
คือ สำหรับผมก็บอกเลยว่าจำเป็นครับ
เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดี demand หดตัว
คนบริโภคน้อยลงส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน
ให้ลดลง ผมเคยเอากราฟมาลงไว้ว่าเวลา nominal gdp หดตัว
มีอุตสาหกรรมที่มีรายได้โตน้อยมาก (อยู่ในกระทู้พี่ลูกอีสาน)
จะมีแค่ 4 กลุ่มที่มีรายได้ perform กว่าตลาดบ่อยครั้งเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี
ก็คือ ค้าปลีก โรงบาล อาหาร สื่อสาร
แนวการลงทุนของผมก็คือว่า
ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ดีและมีแนวโน้มแย่ลงไป ผมจะถือเงินสด
เพราะว่าจะมีหุ้นที่สามารถสวนตลาดได้น้อยมากๆ
ผมคิดว่าไม่น่าเกิน 10-15% ที่แข็งแกร่งกว่าตลาด
ผมไม่มั่นใจว่าผมจะสามารถหาหุ้นที่สวนตลาด 10-15% นั้นได้
และต่อให้หาได้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าหุ้นที่มีรายได้ดีกว่าราคาจะไม่ลง
สิ่งที่เราเจอส่วนใหญ่ก็คือ คนจะขายหุ้นที่ไม่ค่อยลงไปซื้อหุ้นที่ลงเยอะ
ผมคุยมาหลายคน เป็นแบบนี้เยอะมากๆๆ
เอาละ พี่เห็นช่องทางถามเอาความรู้จากฮงบ้างแล้วhongvalue เขียน: สรุปคือสำหรับผมจำเป็น ทุกวันนี้ผมใช้หลักการวิเคราห์หุ้นและกิจการของ vi
แต่แนวคิดและปรัชญาลงทุนของผมไม่เหมือนกับ vi (พันแท้)
ผมให้ความสำคัญกับจังหวะลงทุนและการบริหารความเสี่ยง
และ probability ที่ผมต้องเป็นต่อสุดๆ ผมถึงจะเล่นเท่านั้น
ถามใครบ้างเหรอVIB007 เขียน:
นี่ยังถามไม่หมดหรือนี่?????
ถามหน่อยนะว่าฮงไปถามใครมาบ้าง
อยากรู้น่ะ
เอาเฉพาะที่เป็นนักลงทุนนะ ผู้บริหารบริษัทไม่นับ
สามท่านนี่ต้องอดทนน่าดูเลยเนอะ อิ อิhongvalue เขียน:
ถามใครบ้างเหรอ
ที่ถามเยอะสุดๆก็เป็นพี่ ih มั้งครับประมาณ 250 คำถามได้นะ
พี่สุมาอี้ก็ประมาณเกือบ 200 ได้มั้ง
คุณ visit ก็ตามถามหลายปีประมาณเกือบ 100
แซวเล่นนะฮงhongvalue เขียน:
แล้วก็มีถามพี่วิบูลย์น่าจะซัก 5-7 คำถาม
ประมาณนี้ครับ
จริงๆก็ถามจบแล้วแหละครับ
ยังไงรบกวนท่านอื่นเข้ามาถามพี่วิบูลย์ต่อด้วยนะครับ
ผมจะรออ่านครับ
อิอิ ไว้โอกาศหน้าผมจะมาถามอีกซักชุดนะครับ
แสดงว่าฮงให้ความสำคัญกับ fundflow เป็นหลักhongvalue เขียน:
จริงๆแนวคิดเรื่อง fundflow ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากแชร์ แต่ว่าผมขอแชร์
ในส่วนของประสบการณ์ปีที่แล้วก่อนนะครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเราดูเม็ดเงินเป็นหลักเราก็จะ
follow smart money ได้ จริงๆแล้วตลาดหุ้นคนเราคาดการณ์ไม่ได้
fundflow จึงเป็นการลดความเสี่ยงเวลาเราเข้าซื้อหุ้นแล้วจะโดนฝรั้งเทกระจาดสวนออกมาครับ
สำหรับผมนับว่าใช้ได้ผลมากๆครับ
VIB007 เขียน:
แต่ถ้ายังเป็นแค่แนวคิด
พี่ก็อยากจะลองทำ Simulation ทดสอบสมมุติฐานในแนวคิดนี้สักหน่อย
คือตอนนี้ดัชนีอยู่ที่ 430 จุด
ถ้าดัชนีลดลงเหลือ 380 จุด
ฮงจะทำอย่างไร??
เมื่อไหร่ฮงจะซื้อหุ้น??
VIB007 เขียน: พี่ก็อยากจะลองทำ Simulation ทดสอบสมมุติฐานในแนวคิดนี้สักหน่อย
คือตอนนี้ดัชนีอยู่ที่ 430 จุด
ถ้าดัชนีลดลงเหลือ 380 จุด
ฮงจะทำอย่างไร??
เมื่อไหร่ฮงจะซื้อหุ้น??
จากประสบการณ์ก้อนหิน เขียน:ถามบ้างครับ เป็นคำถามที่ผมสงสัยมาซักพักแล้วอะครับ
อยากรู้ว่า vi พันธ์แท้ เนี่ย เค้าใช้อะไรในการทำ risk management ของการลงทุนอะครับ ในกรณีที่คิดผิดนะครับ
พวกเด็กเทคนิค เค้าก็ money management ทำการ cut loss หรือดู แนวรับแนวต้านของเค้าไปอะครับ คือ ถ้าเป็นคนที่มีวินัย เค้าจะไม่ขาดทุนที่ละเยอะๆอะครับ
ส่วน vi นี่ เท่าที่ถาม บางคนเค้าใช้ความเข้าใจในบริษัทในการลดความเสี่ยง ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ถ้าคิดผิดหละครับ ผมกลัวว่า การขาดทุนเพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้ที่กำไรมาทั้งหมดของเราหายไปหมดเลย แล้วผมก็เห็นหลายๆคนพลาดทำนองนี้ครับ ประมาณว่า หุ้นลง ก็คิดว่าเราคิดถูกพื้นฐานดี ซื้อเพิ่ม เรื่อยๆๆๆๆ จน ณ เวลานึง ความจริงก็ปรากฏ ว่า บลาๆๆๆๆๆ
พี่มีวิธีการจัดการกับอะไรแบบนี้มั้ยครับ
ผมตามอ่านมาตลอดครับ เจอประเด็นนี้ ของคุณก้อนหิน ผมสนใจมากซึ่งผมว่าเพื่อนๆอยากรู้ว่า vi พันธ์แท้ เนี่ย เค้าใช้อะไรในการทำ risk management ของการลงทุนอะครับ ในกรณีที่คิดผิดนะครับ
พวกเด็กเทคนิค เค้าก็ money management ทำการ cut loss หรือดู แนวรับแนวต้านของเค้าไปอะครับ คือ ถ้าเป็นคนที่มีวินัย เค้าจะไม่ขาดทุนที่ละเยอะๆอะครับ
ส่วน vi นี่ เท่าที่ถาม บางคนเค้าใช้ความเข้าใจในบริษัทในการลดความเสี่ยง ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ถ้าคิดผิดหละครับ ผมกลัวว่า การขาดทุนเพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้ที่กำไรมาทั้งหมดของเราหายไปหมดเลย แล้วผมก็เห็นหลายๆคนพลาดทำนองนี้ครับ ประมาณว่า หุ้นลง ก็คิดว่าเราคิดถูกพื้นฐานดี ซื้อเพิ่ม เรื่อยๆๆๆๆ จน ณ เวลานึง ความจริงก็ปรากฏ ว่า บลาๆๆๆๆๆ
พี่มีวิธีการจัดการกับอะไรแบบนี้มั้ยครับ