มีใครไปฟัง ดร.นิเวศน์ วันเสาร์ที่ผ่านมามั่งคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 24
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครไปฟัง ดร.นิเวศน์ วันเสาร์ที่ผ่านมามั่งคับ
โพสต์ที่ 1
พอดีไม่ว่างไม่ได้ไปเลยอยากรุว่า มีอะไรน่าสนใจบ้างคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครไปฟัง ดร.นิเวศน์ วันเสาร์ที่ผ่านมามั่งคับ
โพสต์ที่ 2
พอดีผมได้ไปฟังมาครับ เลยจะสรุปให้ฟังแบบย่อๆนะครับ แต่ออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นการสรุปจากความเข้าใจส่วนตัวนะครับ บางอย่างอาจจะตีความได้ไม่ตรงกับเจตนาของผู้พูดนะครับ อ่านแล้วควรใช้พิจารณาด้วยนะครับ
วิทยากรคนที่ 1 แบ่งหุ้นออกเป็น 2 กลุ่ม 1.กลุ่มมั่นใจมาก (เกิน 90%) จะซื้อเพื่อลงทุน โดยที่เราต้องมองให้ออกว่า EPS ,ยอดขาย ใน 1 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้าจะเป็นเท่าไร เช่นมีสัญญาซื้อขายที่แน่นอน และลูกค้าไม่มีทางเบี้ยว โดยจะให้ P/E ไม่ควรเกิน 2-3 เท่าสำหรับหุ้นทั่วไป และ P/E ไม่เกิน 5-6 เท่าสำหรับหุ้น Great Stock 2.กลุ่มที่มั่นใจ 80% จะซื้อเพื่อศึกษา ใช้การคาดการณ์บางส่วน โดยจะพยายามมองหุ้นตัวที่อาจจะได้เปรียบจากวิกฤติครั้งนี้ เช่นบริษัทที่ขายสินค้าราคาไม่แพง (ไม่ใช่สินค้า Premium) จะได้เปรียบเพราะจะมีลูกค้าบางส่วน หันมาใช้บริการของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสัดส่วน Port ของหุ้นในกลุ่มที่ 2 ควรจะน้อยกว่าหุ้นในกลุ่มแรก
จังหวะที่จะซื้อนั้นจะต้องมีการเปรียบเทียบ Value ของหุ้น ถ้า Under Value ให้เริ่มซื้อได้ แต่ควรจะพิจารณาถึงเรื่อง MOS ด้วย นอกจากนั้นเวลาซื้อไม่ควรจะเกี่ยงกับราคาหุ้นแค่ 5 หรือ 10 สตางค์เพราะอาจจะไม่มีโอกาสได้ซื้อหุ้นตัวนั้นอีก ,ควรที่จะระวังหุ้นที่มี P/E สูงๆ เช่น 15 เท่า
หุ้นที่ไม่ควรยุ่งในปี 2552 1.หุ้นที่กระแสเงินสดในการดำเนินงานแย่ 2.หุ้นที่มีหนี้สินสูงๆ ในข้อ 2 นี้วิทยากรได้ให้ข้อยกเว้นสำหรับหุ้นบางจำพวกเช่นหุ้นฟื้นฟูและหุ้นวัฏจักรครับ เพียงแต่หุ้นฟื้นฟูและหุ้นวัฏจักรพวกนี้การจะซื้อต้องใช้ความระมัดระวังสูงมากครับ
หุ้นที่น่าลงทุนในปี 2552 1.หุ้นที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี 2.หุ้นที่ความสามารถในการแข่งขันสูง มีส่วนแบ่งตลาดที่สูง 3.หุ้นที่มีอำนาจต่อรองกับ Supplier และลูกค้าสูง
สำหรับหุ้นวัฏจักรนั้น ถ้าจะซื้อควรจะต้องหาจุดที่ confirm ชัดเจนครับ ว่าฟื้นตัวแล้ว ต่อให้ราคาที่ซื้ออาจจะแพงขึ้นไปสัก 10-30% ก็คุ้มกว่าการซื้อในช่วงที่ยังไม่แน่นอนครับ
วิทยากรคนที่ 2 กล่าวว่าหุ้นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจนั้นบริษัทที่ยิ่งใหญ่มักจะกลับมาได้ และจะมียอดขาย กำไรที่เพิ่มขึ้น เพราะบรรดาคู่แข่งจะทยอยล้มหายตายจากไป ธุรกิจที่จะอยู่รอดนั้นควรจะมีเงินสดในมือที่ค่อนข้างสูง
จังหวะที่จะซื้อนั้น ซื้อเมื่อหวังผลตอบแทน 15% ต่อปี (คิดว่าเป็นผลตอบแทนระยะยาวนะครับ) รวมไปถึงเวลาซื้อนั้นควรจะมองหากิจการที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ เป็นบริษัทที่ประเทศไทยขาดไม่ได้ สินค้าของบริษัทเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต้องมี ซึ่งบริษัทเหล่านี้นั้นมักจะไม่ใช่บริษัทในกลุ่ม Commodity
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ
วิทยากรคนที่ 1 แบ่งหุ้นออกเป็น 2 กลุ่ม 1.กลุ่มมั่นใจมาก (เกิน 90%) จะซื้อเพื่อลงทุน โดยที่เราต้องมองให้ออกว่า EPS ,ยอดขาย ใน 1 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้าจะเป็นเท่าไร เช่นมีสัญญาซื้อขายที่แน่นอน และลูกค้าไม่มีทางเบี้ยว โดยจะให้ P/E ไม่ควรเกิน 2-3 เท่าสำหรับหุ้นทั่วไป และ P/E ไม่เกิน 5-6 เท่าสำหรับหุ้น Great Stock 2.กลุ่มที่มั่นใจ 80% จะซื้อเพื่อศึกษา ใช้การคาดการณ์บางส่วน โดยจะพยายามมองหุ้นตัวที่อาจจะได้เปรียบจากวิกฤติครั้งนี้ เช่นบริษัทที่ขายสินค้าราคาไม่แพง (ไม่ใช่สินค้า Premium) จะได้เปรียบเพราะจะมีลูกค้าบางส่วน หันมาใช้บริการของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสัดส่วน Port ของหุ้นในกลุ่มที่ 2 ควรจะน้อยกว่าหุ้นในกลุ่มแรก
จังหวะที่จะซื้อนั้นจะต้องมีการเปรียบเทียบ Value ของหุ้น ถ้า Under Value ให้เริ่มซื้อได้ แต่ควรจะพิจารณาถึงเรื่อง MOS ด้วย นอกจากนั้นเวลาซื้อไม่ควรจะเกี่ยงกับราคาหุ้นแค่ 5 หรือ 10 สตางค์เพราะอาจจะไม่มีโอกาสได้ซื้อหุ้นตัวนั้นอีก ,ควรที่จะระวังหุ้นที่มี P/E สูงๆ เช่น 15 เท่า
หุ้นที่ไม่ควรยุ่งในปี 2552 1.หุ้นที่กระแสเงินสดในการดำเนินงานแย่ 2.หุ้นที่มีหนี้สินสูงๆ ในข้อ 2 นี้วิทยากรได้ให้ข้อยกเว้นสำหรับหุ้นบางจำพวกเช่นหุ้นฟื้นฟูและหุ้นวัฏจักรครับ เพียงแต่หุ้นฟื้นฟูและหุ้นวัฏจักรพวกนี้การจะซื้อต้องใช้ความระมัดระวังสูงมากครับ
หุ้นที่น่าลงทุนในปี 2552 1.หุ้นที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี 2.หุ้นที่ความสามารถในการแข่งขันสูง มีส่วนแบ่งตลาดที่สูง 3.หุ้นที่มีอำนาจต่อรองกับ Supplier และลูกค้าสูง
สำหรับหุ้นวัฏจักรนั้น ถ้าจะซื้อควรจะต้องหาจุดที่ confirm ชัดเจนครับ ว่าฟื้นตัวแล้ว ต่อให้ราคาที่ซื้ออาจจะแพงขึ้นไปสัก 10-30% ก็คุ้มกว่าการซื้อในช่วงที่ยังไม่แน่นอนครับ
วิทยากรคนที่ 2 กล่าวว่าหุ้นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจนั้นบริษัทที่ยิ่งใหญ่มักจะกลับมาได้ และจะมียอดขาย กำไรที่เพิ่มขึ้น เพราะบรรดาคู่แข่งจะทยอยล้มหายตายจากไป ธุรกิจที่จะอยู่รอดนั้นควรจะมีเงินสดในมือที่ค่อนข้างสูง
จังหวะที่จะซื้อนั้น ซื้อเมื่อหวังผลตอบแทน 15% ต่อปี (คิดว่าเป็นผลตอบแทนระยะยาวนะครับ) รวมไปถึงเวลาซื้อนั้นควรจะมองหากิจการที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ เป็นบริษัทที่ประเทศไทยขาดไม่ได้ สินค้าของบริษัทเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต้องมี ซึ่งบริษัทเหล่านี้นั้นมักจะไม่ใช่บริษัทในกลุ่ม Commodity
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครไปฟัง ดร.นิเวศน์ วันเสาร์ที่ผ่านมามั่งคับ
โพสต์ที่ 3
สรุปได้ดีมากครับ
ดีกว่าที่ผมคาดหวังไว้เยอะเลย
เมื่อก่อนเวลาผมจะพูดอะไรออกไป
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ ความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร
ถ้าออกมาไม่ตรงกับเจตนาที่เราพูด
และกลายเป็นการทำร้ายผู้ฟัง
ยิ่งมาฟังเราเชื่อเราแล้วก็ขาดทุนป่นปี้
ผมจะยิ่งเสียใจมากเข้าไปอีกเพราะเหมือนเป็นการไปซ้ำเติมเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่วิกฤติแบบนี้
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ
นอกจากเป็นการทำร้ายผู้ฟังแล้ว
ผู้ฟังก็ย้อนมาทำร้ายเราด้วย
อันนี้น่าวิตกจริงๆ
แม้จะไม่เคยเจอกรณีแบบนี้
แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ไม่น่าเสี่ยง
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็สบายใจครับ
และก็มั่นใจว่าได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมคิดออก
เพื่อประโยชน์ของผู้ฟังตามที่ตั้งใจไว้จริงๆ :lol:
ดีกว่าที่ผมคาดหวังไว้เยอะเลย

เมื่อก่อนเวลาผมจะพูดอะไรออกไป
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ ความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร
ถ้าออกมาไม่ตรงกับเจตนาที่เราพูด
และกลายเป็นการทำร้ายผู้ฟัง
ยิ่งมาฟังเราเชื่อเราแล้วก็ขาดทุนป่นปี้
ผมจะยิ่งเสียใจมากเข้าไปอีกเพราะเหมือนเป็นการไปซ้ำเติมเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่วิกฤติแบบนี้
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ
นอกจากเป็นการทำร้ายผู้ฟังแล้ว
ผู้ฟังก็ย้อนมาทำร้ายเราด้วย
อันนี้น่าวิตกจริงๆ
แม้จะไม่เคยเจอกรณีแบบนี้
แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ไม่น่าเสี่ยง
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็สบายใจครับ
และก็มั่นใจว่าได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมคิดออก
เพื่อประโยชน์ของผู้ฟังตามที่ตั้งใจไว้จริงๆ :lol:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
มีใครไปฟัง ดร.นิเวศน์ วันเสาร์ที่ผ่านมามั่งคับ
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณมากๆนะครับ
- jack5515566
- Verified User
- โพสต์: 114
- ผู้ติดตาม: 0
ไปฟังมาเหมือนกันครับ
โพสต์ที่ 7
สรุปไว้ดีมากครับละเอียดกว่าที่ผมจดมาอีก...
แต่ผมมีเพิ่มเติมอีกหน่อยครับสรุปสั้นๆนะครับ(จากคำพูดของวิทธยากร)
1.ปี40 น่าจะมีความเสี่ยงมากกว่าปี52 เนื่องจากปี40 บริษัทส่วนใหญ่มีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
2.ไม่เกิน5ปี ราคาหุ้นน่าจะกลับมาเท่าตัว บางตัวอาจจะเร็วกว่านั้น
(แต่คงไม่ใช่ทุกตัว ควรศึกษาอีกทีก่อนลงทุน)
3.ปี 52 ถือเป็นโอการทองของนักลงทุน (โอกาสที่หุ้นจะลงมา 50% อีกแบบนี้อาจจะต้องรออีกหลายปี บางที 10 ปี)
4.เศรษฐกิจสุดท้ายก็ต้องฟื้น ยังไงก็กลับมา ไม่มีหรอกจะไม่ฟื้น
5.สินค้าโภคภัณฑ์ช่วงนี้ไม่ค่อยดี (นอดีตมีบางตัวตกต่ำเกือบ 10 ปี)
6.เลือกธุรกิจที่ประเทศขาดไม่ได้ ถ้าขาดแล้วมีปัญหา เช่น บริการ ไฟฟ้า ประปา มือถือ (ศึกษาดูเองอีกทีนะครับ)
7.ควรดูงบกระแสเงินสดด้วย เนื่องจากบางบริษัทมีกำไรในงบกำไรขาดทุน
แต่อาจไม่มีเงินสดเข้าในงบกระแสเงินสดก็ได้ เช่น เป็นลูกหนี้แทน
8.โดยปกติบริษัทที่มีหนี้เยอะๆจะไม่ค่อยโต (ยกเว้นหุ้นวัฏฐจักร หุ้นฟื้นฟู)
หุ้นเติบโตโดยปกติจะมีแนวโน้มหนี้ลดลงเรื่อยๆ
ที่ผมจดไว้ก็มีเท่านี้แหละครับ ถูกผิดแนะนำด้วยครับ มือใหม่........
แต่ผมมีเพิ่มเติมอีกหน่อยครับสรุปสั้นๆนะครับ(จากคำพูดของวิทธยากร)
1.ปี40 น่าจะมีความเสี่ยงมากกว่าปี52 เนื่องจากปี40 บริษัทส่วนใหญ่มีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
2.ไม่เกิน5ปี ราคาหุ้นน่าจะกลับมาเท่าตัว บางตัวอาจจะเร็วกว่านั้น
(แต่คงไม่ใช่ทุกตัว ควรศึกษาอีกทีก่อนลงทุน)
3.ปี 52 ถือเป็นโอการทองของนักลงทุน (โอกาสที่หุ้นจะลงมา 50% อีกแบบนี้อาจจะต้องรออีกหลายปี บางที 10 ปี)
4.เศรษฐกิจสุดท้ายก็ต้องฟื้น ยังไงก็กลับมา ไม่มีหรอกจะไม่ฟื้น
5.สินค้าโภคภัณฑ์ช่วงนี้ไม่ค่อยดี (นอดีตมีบางตัวตกต่ำเกือบ 10 ปี)
6.เลือกธุรกิจที่ประเทศขาดไม่ได้ ถ้าขาดแล้วมีปัญหา เช่น บริการ ไฟฟ้า ประปา มือถือ (ศึกษาดูเองอีกทีนะครับ)
7.ควรดูงบกระแสเงินสดด้วย เนื่องจากบางบริษัทมีกำไรในงบกำไรขาดทุน
แต่อาจไม่มีเงินสดเข้าในงบกระแสเงินสดก็ได้ เช่น เป็นลูกหนี้แทน
8.โดยปกติบริษัทที่มีหนี้เยอะๆจะไม่ค่อยโต (ยกเว้นหุ้นวัฏฐจักร หุ้นฟื้นฟู)
หุ้นเติบโตโดยปกติจะมีแนวโน้มหนี้ลดลงเรื่อยๆ
ที่ผมจดไว้ก็มีเท่านี้แหละครับ ถูกผิดแนะนำด้วยครับ มือใหม่........