อุตสาหกรรมยามวิกฤติ/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

อุตสาหกรรมยามวิกฤติ/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โลกในมุมมองของ Value Investor                      6 มกราคม 2552

ในช่วงเวลาของวิกฤติเศรษฐกิจ   ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแต่ละกลุ่มนั้นไม่เท่ากัน   วิธีที่จะดูว่ายอดขายของอุตสาหกรรมไหนจะลดลงมากหรือน้อยแค่ไหนก็คือ   จะต้องดูถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยลงหรือกำลังจะมีรายได้น้อยลงเนื่องจากพวกเขาจำนวนมากได้รับเงินเดือนหรือโบนัสอย่างอื่นน้อยลง  หรือบางคนอาจจะต้องตกงาน   ลองคิดดูว่าถ้าเรามีรายได้น้อยลงหรือคิดว่าอนาคตรายได้ของเราอาจจะลดลงมากเราจะคิดอย่างไรในการใช้จ่าย   จากตรงนี้เราก็พอจะบอกได้ว่าอุตสาหกรรมไหนจะถูกกระทบรุนแรงหรืออุตสาหกรรมไหนจะถูกกระทบน้อย

อุตสาหกรรมแรกที่น่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุดกลุ่มหนึ่งก็คือ  อุตสาหกรรมรถยนต์   เหตุผลก็คือ  มันเป็นรายจ่ายรายการที่ค่อนข้างจะสูงและที่สำคัญก็คือ  มันเป็นรายการสินค้า  “ฟุ่มเฟือย”  ที่ยังไม่ค่อยจำเป็นสำหรับคนที่ยังไม่มีรถยนต์ใช้   หรือในกรณีของคนที่มีฐานะพอจะมีรถยนต์ได้และมีรถยนต์ใช้อยู่แล้วและจะต้องเปลี่ยนรถใหม่เนื่องจากรถยนต์คันเดิมเก่าแล้ว  ในทั้งสองกรณี   เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ   พวกเขาก็สามารถเลื่อนการซื้อรถยนต์ออกไปได้อย่างน้อยก็สองสามปีขึ้นไป   ดังนั้น  เราจึงได้ยินข่าวผู้ผลิตรถยนต์ของอเมริกากำลังมีปัญหาถึงขนาดจะล้มละลายกันทุกบริษัท   ในเมืองไทยเอง  ในช่วงวิกฤติปี 2540 ยอดขายรถยนต์ก็ลดลงไปมหาศาลจากยอดขายปีละ 6-700,000  คัน  เหลือเพียงแสนกว่าคันในปี 2541   ในปี  2552  นี้ก็คาดกันว่ายอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะลดลงถึง 30% จากปีก่อน

อุตสาหกรรมบ้านจัดสรรเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบหนัก  เหตุผลก็คล้ายกับรถยนต์   เพราะบ้านคือรายการที่มีราคาสูงมากที่สุดของคนส่วนใหญ่   นอกจากนั้น  การซื้อมักจะต้องอาศัยการผ่อนส่งซึ่งเป็นเรื่องที่ผูกพันระยะยาวมาก   ในภาวะที่คนไม่แน่ใจในเรื่องของตำแหน่งงานว่าเขาจะถูกปลดหรือลดเงินเดือนลงหรือไม่   เขาก็มักจะเลื่อนการซื้อออกไปก่อน   ในอีกด้านหนึ่ง    ในยามที่เศรษฐกิจไม่ดีมาก ๆ   ผู้บริโภคก็อาจจะซื้อบ้านในราคาที่ต่ำลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่เศรษฐกิจดี   ดังนั้น  โอกาสที่รายได้ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะลดลงอย่างน่าตกใจน่าจะมีสูง  นอกจากบ้านแล้ว  แน่นอน  อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเช่นวัสดุก่อสร้าง  เครื่องใช้ไฟฟ้าและอื่น ๆ   ก็จะถูกกระทบตามกันไป

การท่องเที่ยวเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่อาจจะถูกกระทบโดยเฉพาะการท่องเที่ยวของชาวต่างประเทศที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย   เพราะการท่องเที่ยวนั้นก็เป็นรายการใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงและดูเหมือนจะเป็น  “สิ่งฟุ่มเฟือย”  เหมือนกัน    อย่างไรก็ตาม  การท่องเที่ยวนั้นเป็น  อุตสาหกรรมที่   “เติบโต”  ต่อเนื่องมายาวนาน   ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเป็นพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากเรื่องของโลกาภิวัฒน์และความก้าวหน้าของการเดินทางที่รวดเร็วและมีราคาถูกลงมาก     อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องของการติดต่อค้าขายหรือความสัมพันธ์ของคนที่มีลักษณะข้ามประเทศมากขึ้น  ดังนั้น  ธุรกิจการท่องเที่ยวอาจจะมียอดขายไม่ลดลงมามากอย่างที่กลัวกัน

ธุรกิจส่งออกเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าจะถูกกระทบหนักเนื่องจากประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกมหาศาล    ข้อนี้ผมคิดว่าคงต้องมองเป็นอุตสาหกรรม  ๆ  ไป    โดยรวมแล้วผมคิดว่าการส่งออกของไทยอาจจะไม่ลดลงหรือลดลงไม่มาก   เหตุผลก็คือ  สินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยที่คนจะลดการใช้ลงในยามวิกฤติ   คนอเมริกันหรือยุโรปหรือประเทศที่ร่ำรวยนั้น   ในยามวิกฤติพวกเขาอาจจะลดการใช้สินค้าหรือบริการที่มีราคาแพงแต่น่าจะยังใช้สินค้าที่มีราคาถูกอยู่   ดังนั้น  โดยรวมแล้วผมคิดว่าการส่งออกซึ่งในขณะที่เขียนนี้ดูเหมือนว่ายอดส่งออกของไทยจะลดลงมากเป็นประวัติการณ์    แต่นี่อาจจะเป็นเรื่องของการชะลอการซื้อสินค้าเพื่อลดสต็อกสินค้า   เมื่อสต็อกลดลงแล้วผมคิดว่าผู้นำเข้าก็จะต้องกลับมาสั่งสินค้าใหม่    อย่างไรก็ตามสินค้าส่งออกบางรายการเช่นพวกชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์ที่ต้องเอาไปประกอบเป็นสินค้าคงทนนั้นก็อาจจะถูกกระทบอยู่  เพราะสินค้าเหล่านั้นมักจะถูกเลื่อนการซื้อออกไปในยามวิกฤติ

ธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบน้อยแม้ในยามวิกฤติคือธุรกิจที่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน   กลุ่มใหญ่ ๆ  น่าจะประกอบด้วยกลุ่มสาธารณูปโภคเช่น  ไฟฟ้า  น้ำ  พลังงาน  และรวมถึงการสื่อสารเช่นโทรศัพท์  เหล่านี้คือสิ่งที่คนจำเป็นต้องใช้และมักจะไม่ลดการใช้ลง  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมันไม่ใช่รายการใหญ่ในการใช้แต่ละครั้งหรือแต่ละวัน    เช่นเดียวกัน  อาหารและสินค้าอุปโภคประจำวันที่มีราคาไม่สูงก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่น่าจะถูกกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจเพราะคนจะไม่ลดการบริโภคลง    และนี่น่าจะรวมไปถึงอุตสาหกรรมบันเทิงที่มีราคาถูกทั้งหลายที่คนจะยังใช้จ่ายอยู่   สุดท้าย  ผู้ค้าปลีกที่เป็นผู้ขายสินค้าเหล่านั้นก็น่าจะยังสามารถรักษายอดขายอยู่ได้  

และเมื่อพูดถึงสิ่งจำเป็นในชีวิต  ผมก็คงต้องพูดต่อถึงธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน  การรักษาพยาบาลนั้น  แน่นอนเป็นสิ่งจำเป็น  อย่างไรก็ตาม  วิกฤติเศรษฐกิจก็อาจจะทำให้คนจำนวนหนึ่งหันไปใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐหรือซื้อยารักษาตัวเอง   ดังนั้น  ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนก็อาจจะถูกกระทบบ้างแม้ว่าอาจจะไม่มากนัก  เพราะสิ่งทดแทนนั้นอาจจะไม่ดีพอสำหรับคนไข้ที่ยังพอมีกำลังเงินอยู่บ้าง

ทั้งหมดนั้นก็เป็นการวิเคราะห์แบบกว้าง ๆ   บางบริษัทในอุตสาหกรรมที่เลวร้ายอาจจะเอาตัวรอดได้ด้วยปัจจัยพิเศษเฉพาะตัว   เช่นเดียวกัน  บางบริษัทในอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบน้อยก็อาจจะเอาตัวไม่รอดเนื่องจากความอ่อนแอของบริษัทเอง   ความรู้เรื่องแนวโน้มของกิจการในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจนั้นเป็นประโยชน์มหาศาล   เพราะมันหมายถึงการล้มเหลวในการลงทุนหรือการที่สามารถทำกำไรได้มหาศาล   อย่าลืมว่าในวิกฤตินั้นมีโอกาส   ขึ้นอยู่กับว่าเราไปฉวยที่โอกาสหรือไปประสบกับวิกฤติ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

อุตสาหกรรมยามวิกฤติ/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

มองภาพใหญ่ก่อน มองภาพเล็ก

มองระดับประเทศ->ภาพรวมอุตสาหกรรม -> แต่ละบริษัท

ขอบคุณครับ
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
SEHJU
Verified User
โพสต์: 1238
ผู้ติดตาม: 0

อุตสาหกรรมยามวิกฤติ/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณมากครับ...
Ragunar
Verified User
โพสต์: 57
ผู้ติดตาม: 0

อุตสาหกรรมยามวิกฤติ/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ  :P
ภาพประจำตัวสมาชิก
disc777
Verified User
โพสต์: 6
ผู้ติดตาม: 0

จริงครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณครับ
โพสต์โพสต์