ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
-
- Verified User
- โพสต์: 843
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 1
จนถึง 18 ปี ของไทยมีใครรู้บ้างครับ
มาจากบทความในมติชนครับ
ชาวญี่ปุ่นต้องมีเช็กซ์มากขึ้น เพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจ
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
ชื่อบทความนี้ผู้เขียนแปลมาจากชื่อบทความของนาย William Pesek นักเขียนของ Bloomberg L.P. ผู้ประจำอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
(ท่านผู้อ่านที่เคารพคงไม่คุ้นกับห้างหุ้นส่วนจำกัดบลูเบอร์กที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครนิวยอร์กนี้เท่าไร แต่ถ้าดูโทรทัศน์ดาวเทียมช่องเสนอข่าวคงเห็นการรายงานข่าวอยู่เสมอ ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้ทำธุรกิจเรื่องบริการโปรแกรมการเงินทางคอมพิวเตอร์เป็นหลัก กับเป็นสำนักข่าวด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทางการข่าวสารโลกระดับเดียวกับสำนักข่าวทอมสัน รอยเตอส์ ทีเดียว ผู้ก่อตั้งบริษัทบลูมเบอร์กนี้คือนายไมเคิ้ล บลูมเบอร์ก ซึ่งปัจจุบันคือนายกเทศมนตรีแห่งนครนิวยอร์ก)
นายพิเสกนี่แกเป็นคนเขียนบทความประเภทที่มีวิธีมองโลกแนวใหม่ๆ แปลกๆ ไม่เหมือนใคร เป็นความคิดแบบแนวดิ่ง เข้าทำนองสวนกระแสนิดๆ แต่ไม่ถึงกับเอียงไปซ้ายเอียงไปขวาเสียเลยทีเดียว
อ่านแล้วสนุกขบขันแต่ก็ได้สาระแบบว่าหัวเราะก่อนแล้วจึงจะซึมลึกนั่นแหละ
ในบทความนี้อ้างถึงนายเจมส์ โรเจอส์ ประธานบริษัทโรเจอส์ โฮลดิ้ง แห่งสิงคโปร์ (นายโรเจอส์คนนี้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนรวมควอนตันกับนายจอร์จ โซรอส ที่ร่วมกันโจมตีเงินบาทของไทยเราเมื่อ พ.ศ.2540 จนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นแหละ) ได้กล่าวในที่ประชุมนายธนาคารทั่วโลก ที่กรุงเซอูล เกาหลีใต้เร็วๆ นี้ว่าชาวเกาหลีจะต้องมีลูกให้มากขึ้น ซึ่งเมื่อกลับบ้านไปวันนี้ควรจะต้องเริ่มลงมือทีเดียว และหากจำเป็นจริงๆ ก็ควรจะลางาน เพื่อทำงานสำคัญระดับชาติกันอย่างจริงจังเสียที
นายโรเจอส์ไม่ได้พูดเล่นตลกๆ นะ เขาพูดต่อหน้านายธนาคารกว่า 500 คน ในที่ประชุม เพราะเกาหลีใต้จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการเกิดของทารก โดยเร่งด่วนแบบว่าเป็นวาระแห่งชาติเลยทีเดียว เนื่องจากอัตราการเกิดของทารกของเกาหลีใต้นั้นต่ำมาก โดยที่คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกเฉลี่ยทั้งประเทศเพียง 1.2 คนเท่านั้น (ภาษาของวิชาสถิตินะ ไม่ใช่ว่าใครจะมีลูก 1.2 คนจริงๆ) จัดว่าต่ำที่สุดเป็นอันดับสองรองจากฮ่องกงเลยทีเดียว
ไม่เฉพาะแต่เกาหลีใต้เท่านั้นประเทศหลักๆ ทางเศรษฐกิจในเอเชีย คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ รวมทั้งฮ่องกง ประเทศเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องเพิ่มอัตราการเกิดของทารก เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศและของโลกในอนาคตอันใกล้นี้
นายโรเจอส์ก็ไปพูดแบบเดียวกันนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ.2549 โดยเขากล่าวว่า
"หากอัตราการเกิดของทารกในญี่ปุ่นซึ่งเป็นอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วของโลกไม่มีการแก้ไขแล้ว ต่อไปก็จะไม่มีคนญี่ปุ่นทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายเงินสวัสดิการให้คนชราในญี่ปุ่นที่มีจำนวนมหาศาลอีกต่อไป"
!จากผลการสำรวจของบริษัทถุงยางอนามัยดูเร็กซ์เมื่อเร็วๆ นี้ปรากฏว่า คู่สามีภรรยาชาวญี่ปุ่นมีเซ็กซ์กันเฉลี่ยปีละ 45 ครั้ง ซึ่งถือว่าต่ำมาก เพราะจัดว่าต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของการมีเซ็กซ์ของคู่สามีภรรยาทั่วโลก ซึ่งมีเซ็กซ์เฉลี่ยปีละ 103 ครั้ง
อัตราการเกิดของทารกญี่ปุ่นได้เริ่มลดลงตั้งแต่ พ.ศ.2515 (ติดต่อกันมา 36 ปีแล้ว) ทำให้ภายใน 5 ปีนี้ คนแก่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีมากกว่าเด็กประมาณสองต่อหนึ่ง ก็คือเท่าตัวเชียวนะ ซึ่งก็หมายความว่าคนที่ทำงานจะมีน้อยกว่าคนแก่ที่เกษียณอายุหยุดทำงานถึง 1 เท่าตัว เมื่อถึงตอนนั้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นคงไปไม่ไหวหรอก
ผลของการเตือนสติให้กับชาวญี่ปุ่นของนายโรเจอส์เมื่อ 2 ปีก่อนนั้นนับว่าได้ผลดี เพราะว่าสหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (NipponKeidanren) ซึ่งเป็นสหพันธ์ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นมีสมาชิกเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจนานาชนิด ถึง 1,632 บริษัท (สหพันธ์นี้ใหญ่กว่าหอการค้าญี่ปุ่นเสียอีก) ได้ถือเป็นนโยบายที่ให้บริษัทสมาชิกทั้งหลายส่งเสริมให้เจ้าพนักงานของบริษัทมีเซ็กซ์มากขึ้น เพื่อที่จะได้มีลูกกันบ้างหรือมีลูกเพิ่มขึ้น
สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นชี้ถึงเรื่องจริงในญี่ปุ่นว่า คนงานญี่ปุ่นไม่ค่อยใช้ประโยชน์ในวันหยุดในการพักผ่อน มักชอบมาทำงานในวันหยุดและคนงานญี่ปุ่น (ผู้ชาย) จำนวนมากมักตายก่อนวัยอันควรอันเป็นผลจากการทำงานมากเกินไป ไม่มีการพักผ่อนเพียงพอซึ่งเรียกว่า "คาโรชิ" เหมือนกับการใหลตายของคนงานบ้านเรา
ซึ่งคงมีจำนวนคนตายแบบนี้มากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากดัชนีบ่งชี้มันชัดเหลือเกิน กล่าวคือบริษัทโตโยต้าจะปลดคนงานออก 6,000 คน ในเดือนมีนาคมปีหน้าและบริษัทญี่ปุ่นใหญ่ๆ ก็ต้องทำเช่นนี้เช่นกัน
ดังนั้น คนงานที่เหลืออยู่ก็ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นแล้วคนงานจะมีเวลาให้ครอบครัวได้อย่างไร?
แม้ว่าบางบริษัทเช่นบริษัทน้ำมันนิปปอนซึ่งเป็นบริษัทกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นจะห้ามไม่ให้พนักงานมาทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ และคนงานต้องได้รับอนุญาตเสียก่อนทุกครั้งหากจะอยู่ที่ทำงานหลัง 1 ทุ่ม
ส่วนบริษัทโทเรอุตสาหกรรมที่ผลิตสิ่งทอที่คนไทยรู้จักดีกับบริษัทออล นิปปอนแอร์เวย์ จะจัดให้มีงานปาร์ตี้และงานปิคนิคให้แก่คนงานและครอบครัวเป็นประจำ เพื่อให้คนงานมีเวลากับครอบครัวเพิ่มขึ้น
นายพิเสกเสนอว่า แค่ส่งเสริมให้พนักงานมีเซ็กซ์มากขึ้นก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าจะให้มีประสิทธิผลจริงๆ ก็ควรจะจ้างให้พนักงานมีลูกนั่นแหละ เนื่องจากปัญหาทางด้านประชากรของญี่ปุ่นนี้ใหญ่เกินกว่านักการเมืองจะนึกไปถึง หากพิจารณาถึงผลงานวิจัยที่จัดทำขึ้นเอง โดยสำนักงานคณะรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ.2550 เองนั้นพบว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกคนหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนมีอายุ 18 ปี นั้นคิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 23.7 ล้านเยน คือประมาณ 8,670,000 บาท (แปดล้านหกแสนเจ็ดหมื่นบาท) ซึ่งเป็นเงินประมาณการขั้นต่ำที่สุดนะ
อีทีนี้คงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมคนญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยมีลูกคนที่สอง คนที่สามกัน เพราะว่าเมื่อคิดถึงตัวเลขเงินค่าเลี้ยงลูกแล้วย่อมไม่มีอารมณ์โรแมนติกอย่างแน่นอน
ดังนั้น ญี่ปุ่นจะต้องจัดการลดภาษีอย่างมโหฬารสำหรับครอบครัวที่มีบุตรเกินกว่า 2 คน
ซึ่งวิธีการนี้ประเทศฝรั่งเศสได้นำมาใช้แล้วได้ผลดีมาก และรัฐบาลญี่ปุ่นควรจะให้เงินสนับสนุนในค่าใช้จ่ายของการศึกษาและสถานที่รับเลี้ยงเด็กแก่ครอบครัวที่มีบุตรให้มากๆ อีกด้วยแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุข, แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นจะให้เงินสนับสนุนบริษัทต่างๆ เพื่อช่วยให้มีการจ้างคนเลี้ยงเด็กหรือตั้งโรงเรียนปฐมวัยขึ้นในบริษัทเพื่อลูกๆ ของพนักงานของบริษัทเอกชนบ้างแล้วก็ตามแต่ควรจะต้องคิดการให้ใหญ่กว่านี้มากๆ โดยการใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นเป็น 4-5 เท่าเลยทีเดียว
เพราะเงินงบประมาณที่ใช้ในปัจจุบันจะช่วยสร้างคนทำงานที่จะเสียภาษีกับคืนให้กับรัฐบาลอย่างคุ้มค่าแน่นอน ในอนาคตเพราะหากไม่มีการใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณชาวญี่ปุ่นในอนาคตอย่างจริงจังและพอเพียงแล้ว จะหวังให้คู่สามีภรรยาชาวญี่ปุ่นทั้งหลายมีอารมณ์โรแมนติกก็เห็นจะหมดหวัง
มาจากบทความในมติชนครับ
ชาวญี่ปุ่นต้องมีเช็กซ์มากขึ้น เพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจ
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
ชื่อบทความนี้ผู้เขียนแปลมาจากชื่อบทความของนาย William Pesek นักเขียนของ Bloomberg L.P. ผู้ประจำอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
(ท่านผู้อ่านที่เคารพคงไม่คุ้นกับห้างหุ้นส่วนจำกัดบลูเบอร์กที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครนิวยอร์กนี้เท่าไร แต่ถ้าดูโทรทัศน์ดาวเทียมช่องเสนอข่าวคงเห็นการรายงานข่าวอยู่เสมอ ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้ทำธุรกิจเรื่องบริการโปรแกรมการเงินทางคอมพิวเตอร์เป็นหลัก กับเป็นสำนักข่าวด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทางการข่าวสารโลกระดับเดียวกับสำนักข่าวทอมสัน รอยเตอส์ ทีเดียว ผู้ก่อตั้งบริษัทบลูมเบอร์กนี้คือนายไมเคิ้ล บลูมเบอร์ก ซึ่งปัจจุบันคือนายกเทศมนตรีแห่งนครนิวยอร์ก)
นายพิเสกนี่แกเป็นคนเขียนบทความประเภทที่มีวิธีมองโลกแนวใหม่ๆ แปลกๆ ไม่เหมือนใคร เป็นความคิดแบบแนวดิ่ง เข้าทำนองสวนกระแสนิดๆ แต่ไม่ถึงกับเอียงไปซ้ายเอียงไปขวาเสียเลยทีเดียว
อ่านแล้วสนุกขบขันแต่ก็ได้สาระแบบว่าหัวเราะก่อนแล้วจึงจะซึมลึกนั่นแหละ
ในบทความนี้อ้างถึงนายเจมส์ โรเจอส์ ประธานบริษัทโรเจอส์ โฮลดิ้ง แห่งสิงคโปร์ (นายโรเจอส์คนนี้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนรวมควอนตันกับนายจอร์จ โซรอส ที่ร่วมกันโจมตีเงินบาทของไทยเราเมื่อ พ.ศ.2540 จนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นแหละ) ได้กล่าวในที่ประชุมนายธนาคารทั่วโลก ที่กรุงเซอูล เกาหลีใต้เร็วๆ นี้ว่าชาวเกาหลีจะต้องมีลูกให้มากขึ้น ซึ่งเมื่อกลับบ้านไปวันนี้ควรจะต้องเริ่มลงมือทีเดียว และหากจำเป็นจริงๆ ก็ควรจะลางาน เพื่อทำงานสำคัญระดับชาติกันอย่างจริงจังเสียที
นายโรเจอส์ไม่ได้พูดเล่นตลกๆ นะ เขาพูดต่อหน้านายธนาคารกว่า 500 คน ในที่ประชุม เพราะเกาหลีใต้จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการเกิดของทารก โดยเร่งด่วนแบบว่าเป็นวาระแห่งชาติเลยทีเดียว เนื่องจากอัตราการเกิดของทารกของเกาหลีใต้นั้นต่ำมาก โดยที่คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกเฉลี่ยทั้งประเทศเพียง 1.2 คนเท่านั้น (ภาษาของวิชาสถิตินะ ไม่ใช่ว่าใครจะมีลูก 1.2 คนจริงๆ) จัดว่าต่ำที่สุดเป็นอันดับสองรองจากฮ่องกงเลยทีเดียว
ไม่เฉพาะแต่เกาหลีใต้เท่านั้นประเทศหลักๆ ทางเศรษฐกิจในเอเชีย คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ รวมทั้งฮ่องกง ประเทศเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องเพิ่มอัตราการเกิดของทารก เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศและของโลกในอนาคตอันใกล้นี้
นายโรเจอส์ก็ไปพูดแบบเดียวกันนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ.2549 โดยเขากล่าวว่า
"หากอัตราการเกิดของทารกในญี่ปุ่นซึ่งเป็นอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วของโลกไม่มีการแก้ไขแล้ว ต่อไปก็จะไม่มีคนญี่ปุ่นทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายเงินสวัสดิการให้คนชราในญี่ปุ่นที่มีจำนวนมหาศาลอีกต่อไป"
!จากผลการสำรวจของบริษัทถุงยางอนามัยดูเร็กซ์เมื่อเร็วๆ นี้ปรากฏว่า คู่สามีภรรยาชาวญี่ปุ่นมีเซ็กซ์กันเฉลี่ยปีละ 45 ครั้ง ซึ่งถือว่าต่ำมาก เพราะจัดว่าต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของการมีเซ็กซ์ของคู่สามีภรรยาทั่วโลก ซึ่งมีเซ็กซ์เฉลี่ยปีละ 103 ครั้ง
อัตราการเกิดของทารกญี่ปุ่นได้เริ่มลดลงตั้งแต่ พ.ศ.2515 (ติดต่อกันมา 36 ปีแล้ว) ทำให้ภายใน 5 ปีนี้ คนแก่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีมากกว่าเด็กประมาณสองต่อหนึ่ง ก็คือเท่าตัวเชียวนะ ซึ่งก็หมายความว่าคนที่ทำงานจะมีน้อยกว่าคนแก่ที่เกษียณอายุหยุดทำงานถึง 1 เท่าตัว เมื่อถึงตอนนั้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นคงไปไม่ไหวหรอก
ผลของการเตือนสติให้กับชาวญี่ปุ่นของนายโรเจอส์เมื่อ 2 ปีก่อนนั้นนับว่าได้ผลดี เพราะว่าสหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (NipponKeidanren) ซึ่งเป็นสหพันธ์ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นมีสมาชิกเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจนานาชนิด ถึง 1,632 บริษัท (สหพันธ์นี้ใหญ่กว่าหอการค้าญี่ปุ่นเสียอีก) ได้ถือเป็นนโยบายที่ให้บริษัทสมาชิกทั้งหลายส่งเสริมให้เจ้าพนักงานของบริษัทมีเซ็กซ์มากขึ้น เพื่อที่จะได้มีลูกกันบ้างหรือมีลูกเพิ่มขึ้น
สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นชี้ถึงเรื่องจริงในญี่ปุ่นว่า คนงานญี่ปุ่นไม่ค่อยใช้ประโยชน์ในวันหยุดในการพักผ่อน มักชอบมาทำงานในวันหยุดและคนงานญี่ปุ่น (ผู้ชาย) จำนวนมากมักตายก่อนวัยอันควรอันเป็นผลจากการทำงานมากเกินไป ไม่มีการพักผ่อนเพียงพอซึ่งเรียกว่า "คาโรชิ" เหมือนกับการใหลตายของคนงานบ้านเรา
ซึ่งคงมีจำนวนคนตายแบบนี้มากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากดัชนีบ่งชี้มันชัดเหลือเกิน กล่าวคือบริษัทโตโยต้าจะปลดคนงานออก 6,000 คน ในเดือนมีนาคมปีหน้าและบริษัทญี่ปุ่นใหญ่ๆ ก็ต้องทำเช่นนี้เช่นกัน
ดังนั้น คนงานที่เหลืออยู่ก็ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นแล้วคนงานจะมีเวลาให้ครอบครัวได้อย่างไร?
แม้ว่าบางบริษัทเช่นบริษัทน้ำมันนิปปอนซึ่งเป็นบริษัทกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นจะห้ามไม่ให้พนักงานมาทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ และคนงานต้องได้รับอนุญาตเสียก่อนทุกครั้งหากจะอยู่ที่ทำงานหลัง 1 ทุ่ม
ส่วนบริษัทโทเรอุตสาหกรรมที่ผลิตสิ่งทอที่คนไทยรู้จักดีกับบริษัทออล นิปปอนแอร์เวย์ จะจัดให้มีงานปาร์ตี้และงานปิคนิคให้แก่คนงานและครอบครัวเป็นประจำ เพื่อให้คนงานมีเวลากับครอบครัวเพิ่มขึ้น
นายพิเสกเสนอว่า แค่ส่งเสริมให้พนักงานมีเซ็กซ์มากขึ้นก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าจะให้มีประสิทธิผลจริงๆ ก็ควรจะจ้างให้พนักงานมีลูกนั่นแหละ เนื่องจากปัญหาทางด้านประชากรของญี่ปุ่นนี้ใหญ่เกินกว่านักการเมืองจะนึกไปถึง หากพิจารณาถึงผลงานวิจัยที่จัดทำขึ้นเอง โดยสำนักงานคณะรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ.2550 เองนั้นพบว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกคนหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนมีอายุ 18 ปี นั้นคิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 23.7 ล้านเยน คือประมาณ 8,670,000 บาท (แปดล้านหกแสนเจ็ดหมื่นบาท) ซึ่งเป็นเงินประมาณการขั้นต่ำที่สุดนะ
อีทีนี้คงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมคนญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยมีลูกคนที่สอง คนที่สามกัน เพราะว่าเมื่อคิดถึงตัวเลขเงินค่าเลี้ยงลูกแล้วย่อมไม่มีอารมณ์โรแมนติกอย่างแน่นอน
ดังนั้น ญี่ปุ่นจะต้องจัดการลดภาษีอย่างมโหฬารสำหรับครอบครัวที่มีบุตรเกินกว่า 2 คน
ซึ่งวิธีการนี้ประเทศฝรั่งเศสได้นำมาใช้แล้วได้ผลดีมาก และรัฐบาลญี่ปุ่นควรจะให้เงินสนับสนุนในค่าใช้จ่ายของการศึกษาและสถานที่รับเลี้ยงเด็กแก่ครอบครัวที่มีบุตรให้มากๆ อีกด้วยแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุข, แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นจะให้เงินสนับสนุนบริษัทต่างๆ เพื่อช่วยให้มีการจ้างคนเลี้ยงเด็กหรือตั้งโรงเรียนปฐมวัยขึ้นในบริษัทเพื่อลูกๆ ของพนักงานของบริษัทเอกชนบ้างแล้วก็ตามแต่ควรจะต้องคิดการให้ใหญ่กว่านี้มากๆ โดยการใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นเป็น 4-5 เท่าเลยทีเดียว
เพราะเงินงบประมาณที่ใช้ในปัจจุบันจะช่วยสร้างคนทำงานที่จะเสียภาษีกับคืนให้กับรัฐบาลอย่างคุ้มค่าแน่นอน ในอนาคตเพราะหากไม่มีการใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณชาวญี่ปุ่นในอนาคตอย่างจริงจังและพอเพียงแล้ว จะหวังให้คู่สามีภรรยาชาวญี่ปุ่นทั้งหลายมีอารมณ์โรแมนติกก็เห็นจะหมดหวัง
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 2
8,670,000 บาท 18 ปี
ก็จะตกปีละ 481,667 บาท
หรือ เดือนละ 40,139 บาท
หรือ วันละ 1,338
ไม่น้อยเลยนะครับ แถมเงินจำนวนนี้เป็นแค่ขั้นต่ำด้วย
ไม่ใช่ค่าเฉลี่ย
ผมขอลองคิดของไืทยดูเล่นๆนะครับ อยากรู้ของคนไทยเหมือนกันครับ
( สมมุติฐานผมคงใช้ไม่ได้ดีนักครับ เนื่องจากค่าครองชีพ แต่ละประเทศ
แตกต่างกัน และปัจจัยอื่นๆเช่น เงินเฟ้อ ซึ่งผมไม่มีข้อมูลเชิงสถิติที่แน่นอน )
ผมขอตั้งสมมุติฐานว่าคนทั้งประเทศ
ได้เงินเดือนหรือรายได้เดือนละประมาณ 40,000 บาท โดยเฉลี่ย
(สมมุติตัวเลขขึ้นมาเองนะครับ ไม่ได้อ้างอิงหลักอะไรทั้งสิ้น )
และมีทรัพย์สินหรือมรดก เช่น หุ้น บ้าน รถยนตร์ ที่ดิน ทองคำ อยู่ครอบครัวละ 5,000,000 บาท โดยคิดว่าครอบครัวจะเอาเงิน
หรือทรัพย์สินจากส่วนนมาี้ในการเลี้ยงดูลูกด้วย 30 %
( 30 % ผมคิดว่าไม่เยอะไม่น้อยเกิน เพราะ เราคงไม่สามารถ
ขาย ขายรถทั้งหมด มาเลี้ยงดูลูก ไม่งั้นครอบครัวก็คงไม่มีที่อยู่ -*- )
สมมุติืต่อไปว่าใน 1 เดือน ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูก 1 คน
คิดเป็น 40 % ของเงินเดือน (ค่าใช้จ่ายนี้ได้แก่ ค่าอาหาร เสื้อผ้า
ค่าเทอม ค่าไฟฟ้า ประปา )
ดังนั้นใน 1 เดือนจะมีค่าใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงดูลูก = 40/100 * 40,000
หรือเท่ากับ 16,000 หรือ ตกวันละ 533 บาท ปีละ 194,667 บาท
ดังนั้น 18 ปี จะต้องใช้เงินเลี้ยงลูก
194,667 * 18 = 3,504,006 บาท
บวกกับ 30 % ของทรัพย์สิน 5,000.000 บาท
30/100 * 5,000,000 = 1,500,000 บาท
รวมค่าเลี้ยงดูลูกทั้งหมด ตั้งแต่เกิด จนอายุ 18 ปี
3,504,066 + 1,500,000 = 5,004,066 บาท
ท่านอื่นๆคิดอย่างไรกับตัวเลขนี้ครับ
:?:
ขอบคุณครับ
ก็จะตกปีละ 481,667 บาท
หรือ เดือนละ 40,139 บาท
หรือ วันละ 1,338

ไม่น้อยเลยนะครับ แถมเงินจำนวนนี้เป็นแค่ขั้นต่ำด้วย
ไม่ใช่ค่าเฉลี่ย
ผมขอลองคิดของไืทยดูเล่นๆนะครับ อยากรู้ของคนไทยเหมือนกันครับ
( สมมุติฐานผมคงใช้ไม่ได้ดีนักครับ เนื่องจากค่าครองชีพ แต่ละประเทศ
แตกต่างกัน และปัจจัยอื่นๆเช่น เงินเฟ้อ ซึ่งผมไม่มีข้อมูลเชิงสถิติที่แน่นอน )
ผมขอตั้งสมมุติฐานว่าคนทั้งประเทศ
ได้เงินเดือนหรือรายได้เดือนละประมาณ 40,000 บาท โดยเฉลี่ย
(สมมุติตัวเลขขึ้นมาเองนะครับ ไม่ได้อ้างอิงหลักอะไรทั้งสิ้น )
และมีทรัพย์สินหรือมรดก เช่น หุ้น บ้าน รถยนตร์ ที่ดิน ทองคำ อยู่ครอบครัวละ 5,000,000 บาท โดยคิดว่าครอบครัวจะเอาเงิน
หรือทรัพย์สินจากส่วนนมาี้ในการเลี้ยงดูลูกด้วย 30 %
( 30 % ผมคิดว่าไม่เยอะไม่น้อยเกิน เพราะ เราคงไม่สามารถ
ขาย ขายรถทั้งหมด มาเลี้ยงดูลูก ไม่งั้นครอบครัวก็คงไม่มีที่อยู่ -*- )
สมมุติืต่อไปว่าใน 1 เดือน ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูก 1 คน
คิดเป็น 40 % ของเงินเดือน (ค่าใช้จ่ายนี้ได้แก่ ค่าอาหาร เสื้อผ้า
ค่าเทอม ค่าไฟฟ้า ประปา )
ดังนั้นใน 1 เดือนจะมีค่าใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงดูลูก = 40/100 * 40,000
หรือเท่ากับ 16,000 หรือ ตกวันละ 533 บาท ปีละ 194,667 บาท
ดังนั้น 18 ปี จะต้องใช้เงินเลี้ยงลูก
194,667 * 18 = 3,504,006 บาท
บวกกับ 30 % ของทรัพย์สิน 5,000.000 บาท
30/100 * 5,000,000 = 1,500,000 บาท
รวมค่าเลี้ยงดูลูกทั้งหมด ตั้งแต่เกิด จนอายุ 18 ปี
3,504,066 + 1,500,000 = 5,004,066 บาท
ท่านอื่นๆคิดอย่างไรกับตัวเลขนี้ครับ

ขอบคุณครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 4
icque เขียน:ถามคนที่มีลูกแล้วดีกว่า

เป็นความคิดที่ดีครับ
วันนี้ผมคงต้องกลับไปถามคุณพ่อกับคุณแม่
ว่าตั้งแต่เกิดจนปัจจุบันท่านใช้เงินเลี้ยงดูผมไปเท่าไหร่
:lol: :lol:
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 1260
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 5
-
- Verified User
- โพสต์: 1260
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 6
-
- Verified User
- โพสต์: 590
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 7
ที่ออสเตรเลียอัตราการเกิตก็ต่ำครับ
แต่เขามีวิธีการรับคนต่างประเทศมาสมัครสัญชาติออสเตรเลียครับ
ข้อดีคือ
ประชากรไม่เพิ่ม การจูงใจให้มีลูกทำให้ประชากรเพิ่ม
หาคนมาทดแทนในแรงงานส่วนที่ขาด
เพิ่มรายได้จากคนต่างประเทศมาเรียนกันเยอะบางคนเรียนเพราะหวังสัญชาติ
ข้อเสียคือ
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมเพราะตอนนี้ประชากรกว่า 20%ไม่ใช่ฝรั่งแล้ว
แต่ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีนี่ควรจะเริ่มจะมีนโยบายรับสมัครสัญชาติได้แล้ว
เพราะข้อเสียเรื่องความขัดแย้งทางวัฒนธรรมคงไม่เกิด
คงมีคนไทยสมัครเยอะเลยอิอิ
แต่เขามีวิธีการรับคนต่างประเทศมาสมัครสัญชาติออสเตรเลียครับ
ข้อดีคือ
ประชากรไม่เพิ่ม การจูงใจให้มีลูกทำให้ประชากรเพิ่ม
หาคนมาทดแทนในแรงงานส่วนที่ขาด
เพิ่มรายได้จากคนต่างประเทศมาเรียนกันเยอะบางคนเรียนเพราะหวังสัญชาติ
ข้อเสียคือ
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมเพราะตอนนี้ประชากรกว่า 20%ไม่ใช่ฝรั่งแล้ว
แต่ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีนี่ควรจะเริ่มจะมีนโยบายรับสมัครสัญชาติได้แล้ว
เพราะข้อเสียเรื่องความขัดแย้งทางวัฒนธรรมคงไม่เกิด
คงมีคนไทยสมัครเยอะเลยอิอิ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 8
อ่านแบบ 56-1 ของเมเจอร์บอกว่าตั๋วหนังในไทย(100) ถูกกว่าประเทศอื่นๆมาก เช่น สิงคโปร์ เมกา ประมาณ 200 -400 บ.. อ่านแล้วตะหงิดครับ เพราะดันไม่เปรียบเทียบกับรายได้ ถ้าจำไม่ผิดหนังสือพิมพ์ business week จะมีตารางเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของแต่ละประเทศ ของไทย 10 ปีก่อนประมาณ 2000 เหรียญต่อปี อเมริกา ญี่ปุ่น ประมาณ 30000 เหรียญ ต่างกันมากกว่า 10 เท่า
ดังนั้นผมว่าตั๋วหนังของเมเจอร์ไม่ถูกเลยครับ
กลับมากระทู้ ถ้าดูตามรายได้ 8 ล้านนี่ผมว่าน้อยนะครับเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของคนญี่ปุ่น

กลับมากระทู้ ถ้าดูตามรายได้ 8 ล้านนี่ผมว่าน้อยนะครับเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของคนญี่ปุ่น
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 9
ลูกอิสาน เขียน:อ่านแบบ 56-1 ของเมเจอร์บอกว่าตั๋วหนังในไทย(100) ถูกกว่าประเทศอื่นๆมาก เช่น สิงคโปร์ เมกา ประมาณ 200 -400 บ.. อ่านแล้วตะหงิดครับ เพราะดันไม่เปรียบเทียบกับรายได้ ถ้าจำไม่ผิดหนังสือพิมพ์ business week จะมีตารางเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของแต่ละประเทศ ของไทย 10 ปีก่อนประมาณ 2000 เหรียญต่อปี อเมริกา ญี่ปุ่น ประมาณ 30000 เหรียญ ต่างกันมากกว่า 10 เท่า ดังนั้นผมว่าตั๋วหนังของเมเจอร์ไม่ถูกเลยครับ

ขอบคุณพี่โจ ลูกอิสานมากครับ
ผมขอถามต่อนิดนึงนะครับ
ถ้าเราจะเทียบว่าตั๋วหนังถูกหรือแพง เราเทียบกับต้นทุน
ในการเอาหนังมาฉาย กับ ค่าครองชีพ แทนการเปรียบเทียบจากรายได้
จะได้ไหมครับ หรือว่าปกติเราควรจะเทียบกับรายได้อย่างเดียว
เพราะผมคิดว่าบางทีี่สาเหตุที่ทางเมเจอร์คิดว่าตั๋วหนังของเขาไม่แพงนั้น
อาจจะเป็นเพราะเขาเทียบกับปัจจัยอื่นๆด้วยหรือเปล่าครับ
ไม่ทราบว่าพี่โจคิดว่าปัจจัยที่ใช้ในการเปรียบเทียบ
ปัจจัยไหนเหมาะสมกว่ากันครับ
พี่โจ คิดว่าควรอยู่ที่เท่าไหร่หรอครับลูกอิสาน เขียน: ถ้าดูตามรายได้ 8 ล้านนี่ผมว่าน้อยนะครับ
เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของคนญี่ปุ่น
ผมไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้ รบกวนชี้แนะด้วยครับ
ขอบคุณมากๆครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 10
ส่วนตัวพี่เองเคยคิดว่าจะต้องหาเงินเลี้ยงลูกคนละ5ล้าน 2คนก็10ล้านจนเขาจบ ไม่รู้จะพอหรือเปล่า ส่วนพี่ยุ่นเขาใช้เงินเท่านั้นพี่ว่าถูกว่าสำหรับค่าครองชีพที่นั่นที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ200บาท แสดงว่าเขาต้องช่วยเรื่องค่าเล่าเรียนพอสมควร(เดาเอา) :lol:
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- Alastor
- Verified User
- โพสต์: 2590
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 11
อย่าลืมเผื่อสินสอดกรณีลูกไปขอสาวแต่งงานนะครับnaris เขียน:ส่วนตัวพี่เองเคยคิดว่าจะต้องหาเงินเลี้ยงลูกคนละ5ล้าน 2คนก็10ล้านจนเขาจบ ไม่รู้จะพอหรือเปล่า ส่วนพี่ยุ่นเขาใช้เงินเท่านั้นพี่ว่าถูกว่าสำหรับค่าครองชีพที่นั่นที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ200บาท แสดงว่าเขาต้องช่วยเรื่องค่าเล่าเรียนพอสมควร(เดาเอา) :lol:

คิดแล้วก็แปลกดีนะครับ ในที่ๆคนไม่ค่อยมีเงินลูกดันเยอะ ที่รวยๆลูกน้อย คนแก่เต็มเมือง ถ้าต่อไปไม่มีสาวญี่ปุ่นเกิดมาว่างๆผมจะนั่งดูอะไรละเนี่ยยยย
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert
-
- Verified User
- โพสต์: 1088
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 12
ดูเกาหลีแทนสิครับปิ๊งกว่าอีกเดี๋ยวนี้ :lol:Alastor เขียน: อย่าลืมเผื่อสินสอดกรณีลูกไปขอสาวแต่งงานนะครับ
คิดแล้วก็แปลกดีนะครับ ในที่ๆคนไม่ค่อยมีเงินลูกดันเยอะ ที่รวยๆลูกน้อย คนแก่เต็มเมือง ถ้าต่อไปไม่มีสาวญี่ปุ่นเกิดมาว่างๆผมจะนั่งดูอะไรละเนี่ยยยย
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ที่ญี่ปุ่น 8,670,000 บาท คือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก
โพสต์ที่ 14
มาดูคนไทยแทนดีไหมครับAlastor เขียน:คิดแล้วก็แปลกดีนะครับ ในที่ๆคนไม่ค่อยมีเงินลูกดันเยอะ ที่รวยๆลูกน้อย คนแก่เต็มเมือง ถ้าต่อไปไม่มีสาวญี่ปุ่นเกิดมาว่างๆผมจะนั่งดูอะไรละเนี่ยยยย
เดี๋ยวนี้แต่งตัวเป็นเกาหลี ญี่ปุ่นหมดแล้ว
อิอิ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.