ธรรมะ ธรรมชาติ
- kiri
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 473
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 63
ดีใจที่พี่ๆ สนในธรรมะเหมือนกัน พี่ชงหากอยากได้ข้อมูลพี่ลองดาวน์โหลดจาก www.wimutti.net ก็ได้ค่ะ ภาโหลดประจำ ลองดูของ 25 มีค. 51 ที่ศาลากลางน้ำ เทพศิรินทร์ นะคะ เป็นไฟล์วีดีโอได้เห็นหลวงพ่อด้วย ภาชอบมาก
แต่หาที่ดาวน์โหลดไฟล์เสียงของหนังสือท่านไม่ได้ค่ะ ถ้ามีโอกาสต้องฟัง
- แด่เธอผู้มาใหม่
หรือ
-ประทีปส่องธรรม
นะคะ
แต่หาที่ดาวน์โหลดไฟล์เสียงของหนังสือท่านไม่ได้ค่ะ ถ้ามีโอกาสต้องฟัง
- แด่เธอผู้มาใหม่
หรือ
-ประทีปส่องธรรม
นะคะ
- chakasak
- Verified User
- โพสต์: 183
- ผู้ติดตาม: 0
:D
โพสต์ที่ 66
ยินดีกับทุกท่านและอนุโมทนาในการสนใจศึกษาธรรมะครับ
แนะนำอ่านพระไตรปิฎกครับ เหมือนฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์ครับ
http://www.tipitaka.com/main.htm
อย่างคำตอบว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรจริงๆในพระไตรปิฎกก็เคยมีคนถามครับ
ท่านทรงตอบประมาณว่า เหมือนดังคนถูกศรแทงที่อก ควรหรือที่มานั่งถามว่า ทำไมศรถึงมาปักที่อกเรา ใครเป็นคนยิงมา สิ่งแรกที่ควรทำคือการถอนศรออก ทำแผลและใส่ยาต่างหาก
คำถามว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ก็คือการถามว่าทำไมศรถึงปักที่อก
คำถามว่าทำไมเราถึงเป็นทุกข์ กรรมลิขิตหรือว่าฟ้าลิขิต ก็เหมือนกับการถามว่าใครเป็นคนยิงมา
ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เมื่อเราถูกศรปักอก เปรียบเหมือนกับการที่เราเกิดมาแล้ว ต้องผจญกับทุกข์ร้อยแปดพันเก้า เราควรเหรอที่จะถามคำถามเหล่านั้น สิ่งแรกที่เราควรกระทำคือการถอนศรออก คือการถอนทุกข์ออก และทำแผลให้หายเป็นปกติ คือการดับทุกข์นั่นเอง
เจริญธรรมครับ
แนะนำอ่านพระไตรปิฎกครับ เหมือนฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์ครับ
http://www.tipitaka.com/main.htm
อย่างคำตอบว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรจริงๆในพระไตรปิฎกก็เคยมีคนถามครับ
ท่านทรงตอบประมาณว่า เหมือนดังคนถูกศรแทงที่อก ควรหรือที่มานั่งถามว่า ทำไมศรถึงมาปักที่อกเรา ใครเป็นคนยิงมา สิ่งแรกที่ควรทำคือการถอนศรออก ทำแผลและใส่ยาต่างหาก
คำถามว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ก็คือการถามว่าทำไมศรถึงปักที่อก
คำถามว่าทำไมเราถึงเป็นทุกข์ กรรมลิขิตหรือว่าฟ้าลิขิต ก็เหมือนกับการถามว่าใครเป็นคนยิงมา
ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เมื่อเราถูกศรปักอก เปรียบเหมือนกับการที่เราเกิดมาแล้ว ต้องผจญกับทุกข์ร้อยแปดพันเก้า เราควรเหรอที่จะถามคำถามเหล่านั้น สิ่งแรกที่เราควรกระทำคือการถอนศรออก คือการถอนทุกข์ออก และทำแผลให้หายเป็นปกติ คือการดับทุกข์นั่นเอง
เจริญธรรมครับ
ลงหุ้นหวังปันผล ได้มากกว่าดอกเบี้ยก็พอใจแล้ว
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 69
ผมรู้ว่าใครเป็นอุบาสกนิรนามท่านนี้
บันทึก(ไม่)ลับอุบาสกนิรนาม
(ผู้เขียนได้ปรับปรุงจากต้นฉบับเรื่องประสบการณ์ภาวนาซึ่งเคยส่งไปลงพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ ในนามสันตินันทอุบาสก)
ผมลังเลใจอยู่นานที่จะเล่าถึงการปฏิบัติธรรมของตนเองเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าใครตั้งใจปฏิบัติก็ทำกันได้ แต่ด้วยความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ท่านสั่งให้เขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร่ ผมจึงต้องปฏิบัติตาม โดยเขียนเรื่องนี้ให้ท่านอ่าน
ผมเป็นคนวาสนาน้อย ไม่เคยรู้เรื่องพระธุดงคกรรมฐานอย่างจริงจังมาก่อน จนแทบจะละทิ้งพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะเกิดตื่นเต้นกับลัทธิวัตถุนิยม แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้พบข้อธรรมสั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีสาระสำคัญว่า
"จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ"
ผมเกิดความซาบซึ้งจับจิตจับใจ และเห็นจริงตามว่า ถ้าจิตไม่ออกไปรับความทุกข์แล้ว ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้ทุกข์ จิตใจของผมมันยอมรับนับถือหลวงปู่ดูลย์เป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่นั้น
ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2525 ผมมีโอกาสด้นดั้นไปนมัสการหลวงปู่ดูลย์ที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไปถึงวัดของท่านแล้ว เกิดความรู้สึกกลัวเกรงเป็นที่สุด เพราะท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ และไม่เคยรู้จักอัธยาศัยของท่านมาก่อน ประกอบกับผมไม่คุ้นเคยที่จะพบปะพูดจากับพระผู้ใหญ่มาก่อนด้วย จึงรีรออยู่ห่างๆ นอกกุฏิของท่าน
ขณะที่รีรออยู่ครู่หนึ่งนั้น หลวงปู่ดูลย์เดินออกมาจากกุฏิของท่าน มาชะโงกมองดูผม ผมจึงรวบรวมความกล้าเข้าไปกราบท่านซึ่งถอยกลับไปนั่งเก้าอี้โยกที่หน้าประตูกุฏิ แล้วเรียนท่านว่า "ผมอยากภาวนาครับหลวงปู่"
หลวงปู่หลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่า การภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันก็ยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนา "พุทโธ" จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจจ์ 4 เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหารย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนว่าเข้าใจ ท่านก็บอกให้กลับไปทำเอา
พอขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพเกิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆจนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องเจอจิต จึงพิจารณาเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้วแยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่ง โดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้น และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้
หลังจากนั้น ผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่า ขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆอย่างเป็นอิสระจากกิเลส และอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรมจัดเป็นการจำแนกรูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้น จิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณขั้นใด
ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่า "ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป"
คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมอันลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ 5 ท่านสอนถึงกำเนิดและการทำงานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป
ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง
แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจ) จึงปรากฎออกมา
คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัด จึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า "ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆจะพอไหม"
หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า "การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง
หลังจากนั้นผมก็เพียรดูจิตเรื่อยๆ มา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยหรือเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้วแม้มีเวลาเล็กน้อยก็ดูจิต ดูอยู่นั่นแหละ ไม่นานก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
วันหนึ่งของอีก 4 เดือนต่อมา ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นปลายเดือนกันยายน 2525 ได้เกิดพายุพัดหนัก ผมออกจากที่ทำงานเปียกฝนไปทั้งตัว และได้เข้าไปหลบฝนอยู่ในกุฏิพระหลังหนึ่งในวัดใกล้ๆ ที่ทำงาน ได้นั่งกอดเข่ากับพื้นห้องเพราะไม่กล้านั่งตามสบายเนื่องจากตัวเราเปียกมากกลัวกุฏิพระจะเลอะมาก พอนั่งลงก็เกิดเป็นห่วงร่างกายว่า ร่างกายเราไม่แข็งแรง คราวนี้คงไม่สบายแน่
สักครู่ก็ตัดใจว่า ถ้าจะป่วยมันก็ต้องป่วย นี่กายยังไม่ทันป่วยใจกลับป่วยเสียก่อนแล้วด้วยความกังวล พอรู้ตัวว่าจิตกังวลผมก็ดูจิตทันที เพราะเคยฝึกดูจนเป็นนิสัยแล้ว
ขณะนั้นนั่งกอดเข่าลืมตาอยู่แท้ๆ แต่ประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแต่สติที่ละเอียดอ่อนประคองรู้อยู่เท่านั้น (ไม่รู้ว่ารู้อะไรเพราะไม่มีสัญญา)
ต่อมามันมีสิ่งละเอียดๆ ผ่านมาสู่ความรับรู้ของจิตเป็นระยะๆแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ
ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่า ความว่างที่เหลืออยู่นั้น ถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปอีก กลายเป็นความว่างที่บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง
ในความว่างนั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วได้อุทานขึ้นว่า "เอ๊ะ จิต ไม่ใช่เรานี่"
จากนั้นจิตได้มีอาการปิติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น พร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้ว ถึงกับอุทานในใจ(จิตไม่ได้อุทานอย่างทีแรก)ว่า "อ้อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นตัวเราอีกต่อไป"
เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์ และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มๆ ไป ท่านก็อธิบายว่า จิตผ่านฌานทั้ง 8
ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌาน และไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย
หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า ถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ (หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌาน เพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่จะต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้ ศิษย์จะมัวสนใจฌานทำให้เสียเวลาปฏิบัติ)
พอผมเล่าว่าจิตอุทานได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก
แล้วท่านแสดงธรรมเรื่อง จิตเหนือเหตุ หรือ อเหตุกจิต ให้ฟังมีใจความว่า อเหตุกจิต มี 3 ประการคือ
1. ปัญจทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
2. มโนทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของใจขึ้นรับรู้อารมณ์ทางใจ
3. หสิตุปปาท หรือจิตยิ้ม เป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิตซึ่งไม่มีตัวตนให้ปรากฏออกมาสู่ความรับรู้
อเหตุกจิต 2 อย่างแรกเป็นของสาธารณะ มีทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง 3 - 4 ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์
หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติด้วยการดูจิตเรื่อยมา และเห็นว่าเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย จะมีคลื่นวิ่งเข้าสู่ใจ หรือบางครั้งก็มีธรรมารมณ์เป็นคลื่นเข้าสู่ใจ
หากขณะนั้นขาดสติ จิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตยังไม่ละเอียดพอ ผมเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับๆ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนให้หลวงปู่ดูลย์ทราบ
ท่านกลับตอบว่า จิตจริงแท้ไม่มีการไป ไม่มีการมา
ผมได้มาดูจิตต่ออีกสักครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนา คือมีสิ่งให้รู้ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆว่า จิตไม่ใช่เรา แต่ต่อจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตกลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏนิมิตเป็นเหมือนดวงอาทิตย์โผล่ผุดขึ้นจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ว่ายังไม่ถึงที่สุดของการปฏิบัติ
ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับมาสู่ภูมิของสมถะ และวิปัสสนูปกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ถ้าไม่กำหนดรู้ให้ชัดเจนว่า วิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติจึงต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม(สำนวนของหลวงปู่ดูลย์) หรือใจ (สำนวนของหลวงปู่เทสก์) หรือจิตรวมใหญ่(สำนวนของท่านอาจารย์สิงห์)
เมื่อผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่า ดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป
ผมก็ทำเรื่อยๆ มา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิแบบเป็นพิธีการ ต่อมาอีก 1 เดือน วันหนึ่งขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด(วิญญาณขันธ์)ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ (ร่างกายไม่ได้หัวเราะ) มันเป็นการหัวเราะเยาะกิเลสว่า มันผูกมัดมานาน ต่อๆ ไป จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ความรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาล จึงมีผู้รู้ธรรมในขณะฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก
ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเพียงแต่ให้กำลังใจว่า ให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่ง เคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองออกเผยแพร่ เพราะอาจมีผู้ที่มีจริตคล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อสนองคำสั่งครูบาอาจารย์ และเพื่อรำลึกถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เปี่ยมด้วยอนุสาสนีปาฏิหารย์ รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย สำหรับท่านที่กำลังแสวงหาหนทางปฏิบัติอยู่
บันทึก(ไม่)ลับอุบาสกนิรนาม
(ผู้เขียนได้ปรับปรุงจากต้นฉบับเรื่องประสบการณ์ภาวนาซึ่งเคยส่งไปลงพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ ในนามสันตินันทอุบาสก)
ผมลังเลใจอยู่นานที่จะเล่าถึงการปฏิบัติธรรมของตนเองเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าใครตั้งใจปฏิบัติก็ทำกันได้ แต่ด้วยความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ท่านสั่งให้เขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร่ ผมจึงต้องปฏิบัติตาม โดยเขียนเรื่องนี้ให้ท่านอ่าน
ผมเป็นคนวาสนาน้อย ไม่เคยรู้เรื่องพระธุดงคกรรมฐานอย่างจริงจังมาก่อน จนแทบจะละทิ้งพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะเกิดตื่นเต้นกับลัทธิวัตถุนิยม แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้พบข้อธรรมสั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีสาระสำคัญว่า
"จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ"
ผมเกิดความซาบซึ้งจับจิตจับใจ และเห็นจริงตามว่า ถ้าจิตไม่ออกไปรับความทุกข์แล้ว ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้ทุกข์ จิตใจของผมมันยอมรับนับถือหลวงปู่ดูลย์เป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่นั้น
ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2525 ผมมีโอกาสด้นดั้นไปนมัสการหลวงปู่ดูลย์ที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไปถึงวัดของท่านแล้ว เกิดความรู้สึกกลัวเกรงเป็นที่สุด เพราะท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ และไม่เคยรู้จักอัธยาศัยของท่านมาก่อน ประกอบกับผมไม่คุ้นเคยที่จะพบปะพูดจากับพระผู้ใหญ่มาก่อนด้วย จึงรีรออยู่ห่างๆ นอกกุฏิของท่าน
ขณะที่รีรออยู่ครู่หนึ่งนั้น หลวงปู่ดูลย์เดินออกมาจากกุฏิของท่าน มาชะโงกมองดูผม ผมจึงรวบรวมความกล้าเข้าไปกราบท่านซึ่งถอยกลับไปนั่งเก้าอี้โยกที่หน้าประตูกุฏิ แล้วเรียนท่านว่า "ผมอยากภาวนาครับหลวงปู่"
หลวงปู่หลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่า การภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันก็ยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนา "พุทโธ" จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจจ์ 4 เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหารย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนว่าเข้าใจ ท่านก็บอกให้กลับไปทำเอา
พอขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพเกิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆจนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องเจอจิต จึงพิจารณาเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้วแยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่ง โดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้น และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้
หลังจากนั้น ผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่า ขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆอย่างเป็นอิสระจากกิเลส และอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรมจัดเป็นการจำแนกรูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้น จิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณขั้นใด
ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่า "ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป"
คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมอันลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ 5 ท่านสอนถึงกำเนิดและการทำงานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป
ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง
แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจ) จึงปรากฎออกมา
คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัด จึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า "ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆจะพอไหม"
หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า "การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง
หลังจากนั้นผมก็เพียรดูจิตเรื่อยๆ มา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยหรือเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้วแม้มีเวลาเล็กน้อยก็ดูจิต ดูอยู่นั่นแหละ ไม่นานก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
วันหนึ่งของอีก 4 เดือนต่อมา ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นปลายเดือนกันยายน 2525 ได้เกิดพายุพัดหนัก ผมออกจากที่ทำงานเปียกฝนไปทั้งตัว และได้เข้าไปหลบฝนอยู่ในกุฏิพระหลังหนึ่งในวัดใกล้ๆ ที่ทำงาน ได้นั่งกอดเข่ากับพื้นห้องเพราะไม่กล้านั่งตามสบายเนื่องจากตัวเราเปียกมากกลัวกุฏิพระจะเลอะมาก พอนั่งลงก็เกิดเป็นห่วงร่างกายว่า ร่างกายเราไม่แข็งแรง คราวนี้คงไม่สบายแน่
สักครู่ก็ตัดใจว่า ถ้าจะป่วยมันก็ต้องป่วย นี่กายยังไม่ทันป่วยใจกลับป่วยเสียก่อนแล้วด้วยความกังวล พอรู้ตัวว่าจิตกังวลผมก็ดูจิตทันที เพราะเคยฝึกดูจนเป็นนิสัยแล้ว
ขณะนั้นนั่งกอดเข่าลืมตาอยู่แท้ๆ แต่ประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแต่สติที่ละเอียดอ่อนประคองรู้อยู่เท่านั้น (ไม่รู้ว่ารู้อะไรเพราะไม่มีสัญญา)
ต่อมามันมีสิ่งละเอียดๆ ผ่านมาสู่ความรับรู้ของจิตเป็นระยะๆแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ
ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่า ความว่างที่เหลืออยู่นั้น ถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปอีก กลายเป็นความว่างที่บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง
ในความว่างนั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วได้อุทานขึ้นว่า "เอ๊ะ จิต ไม่ใช่เรานี่"
จากนั้นจิตได้มีอาการปิติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น พร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้ว ถึงกับอุทานในใจ(จิตไม่ได้อุทานอย่างทีแรก)ว่า "อ้อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นตัวเราอีกต่อไป"
เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์ และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มๆ ไป ท่านก็อธิบายว่า จิตผ่านฌานทั้ง 8
ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌาน และไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย
หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า ถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ (หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌาน เพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่จะต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้ ศิษย์จะมัวสนใจฌานทำให้เสียเวลาปฏิบัติ)
พอผมเล่าว่าจิตอุทานได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก
แล้วท่านแสดงธรรมเรื่อง จิตเหนือเหตุ หรือ อเหตุกจิต ให้ฟังมีใจความว่า อเหตุกจิต มี 3 ประการคือ
1. ปัญจทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
2. มโนทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของใจขึ้นรับรู้อารมณ์ทางใจ
3. หสิตุปปาท หรือจิตยิ้ม เป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิตซึ่งไม่มีตัวตนให้ปรากฏออกมาสู่ความรับรู้
อเหตุกจิต 2 อย่างแรกเป็นของสาธารณะ มีทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง 3 - 4 ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์
หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติด้วยการดูจิตเรื่อยมา และเห็นว่าเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย จะมีคลื่นวิ่งเข้าสู่ใจ หรือบางครั้งก็มีธรรมารมณ์เป็นคลื่นเข้าสู่ใจ
หากขณะนั้นขาดสติ จิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตยังไม่ละเอียดพอ ผมเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับๆ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนให้หลวงปู่ดูลย์ทราบ
ท่านกลับตอบว่า จิตจริงแท้ไม่มีการไป ไม่มีการมา
ผมได้มาดูจิตต่ออีกสักครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนา คือมีสิ่งให้รู้ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆว่า จิตไม่ใช่เรา แต่ต่อจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตกลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏนิมิตเป็นเหมือนดวงอาทิตย์โผล่ผุดขึ้นจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ว่ายังไม่ถึงที่สุดของการปฏิบัติ
ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับมาสู่ภูมิของสมถะ และวิปัสสนูปกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ถ้าไม่กำหนดรู้ให้ชัดเจนว่า วิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติจึงต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม(สำนวนของหลวงปู่ดูลย์) หรือใจ (สำนวนของหลวงปู่เทสก์) หรือจิตรวมใหญ่(สำนวนของท่านอาจารย์สิงห์)
เมื่อผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่า ดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป
ผมก็ทำเรื่อยๆ มา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิแบบเป็นพิธีการ ต่อมาอีก 1 เดือน วันหนึ่งขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด(วิญญาณขันธ์)ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ (ร่างกายไม่ได้หัวเราะ) มันเป็นการหัวเราะเยาะกิเลสว่า มันผูกมัดมานาน ต่อๆ ไป จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ความรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาล จึงมีผู้รู้ธรรมในขณะฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก
ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเพียงแต่ให้กำลังใจว่า ให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่ง เคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองออกเผยแพร่ เพราะอาจมีผู้ที่มีจริตคล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อสนองคำสั่งครูบาอาจารย์ และเพื่อรำลึกถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เปี่ยมด้วยอนุสาสนีปาฏิหารย์ รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย สำหรับท่านที่กำลังแสวงหาหนทางปฏิบัติอยู่
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 70
ธรรมของเจ้าคุณนร ที่อมตะมากๆ
อ่านเวลามีคนมาด่าแม่ ดีมากครับ สติอยู่กับตัวดี...
คนเราเมื่อมีลาภก็เสื่อมลาภ เมื่อมียศก็เสื่อมยศ
เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา
เป็นของคู่กันมาเช่นนี้ จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์
ถึงจะดีแสนดีก็มีที่ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชม
นับประสาอะไร พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศดีกว่ามนุษย์และเทวดา
ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน
ปุถุชนอย่างเราจะหลุดพ้นจากโลกะธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้
ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง จะชมก็ช่าง เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่เราจะทำอะไรเราคิดแล้วว่า
ไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราแลคนอื่น เราจึงทำ เขาจะนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำ กรรมเราไม่สร้าง
พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวลกลัวใครติเตียนทำไม
ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่าๆ
ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ
อ่านเวลามีคนมาด่าแม่ ดีมากครับ สติอยู่กับตัวดี...
คนเราเมื่อมีลาภก็เสื่อมลาภ เมื่อมียศก็เสื่อมยศ
เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา
เป็นของคู่กันมาเช่นนี้ จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์
ถึงจะดีแสนดีก็มีที่ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชม
นับประสาอะไร พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศดีกว่ามนุษย์และเทวดา
ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน
ปุถุชนอย่างเราจะหลุดพ้นจากโลกะธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้
ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง จะชมก็ช่าง เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่เราจะทำอะไรเราคิดแล้วว่า
ไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราแลคนอื่น เราจึงทำ เขาจะนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำ กรรมเราไม่สร้าง
พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวลกลัวใครติเตียนทำไม
ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่าๆ
ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 71
สาธุครับเฮีย por_jai ที่ได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเป็นพระธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเลยครับ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช เมื่อครั้งเป็นฆราวาสท่านมีนามว่า ปราโมทย์ สันตยากร เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2495 เป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิด จบการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนโยธินบูรณะ จบปริญญาตรีและโทคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยทำงานที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ ตอนหลังท่านได้ย้ายมาทำงานที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ก่อนที่ท่านจะออกบวชในปี 2544
ในทางธรรมนั้นท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโลแห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ สมัยเป็นฆราวาสท่านเปิดตัวออกเผยแพร่ธรรมะครั้งแรกทางเวปบอร์ดห้่องสมุดพันทิพย์ โดยใช้นามปากกาว่า"สันตินันท์" ภายหลังในบอร์ดนี้ได้มีการถกเถียงกันอย่างขนานใหญ่เกี่ยวกับเรื่องกรณีธรรมกาย ท่่านเห็นความวุ่นวาย จึงได้ย้ายมาเปิดเวปบอร์ด ธรรมะขึ้นมาใหม่คือเวปลานธรรม ( http://larndham.net/index.php )ดำเนินการโดยลูกศิษย์ของท่าน ท่านสอนอยู่ที่นี่สักพักใหญ่ๆ ต่อมาก็มีผู้คนเข้ามาสนทนาธรรมมากขึ้น ความวุ่นวายก็ตามมาอีก มีการถกเถียงกันด้วยเรื่องปริยัติvsปฏิบัติกันมาก ท่านพร้อมกับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งก็ได้ย้ายมาเปิดเวปบอร์ดใหม่อีก เป็นเวปบอร์ดเฉพาะกลุ่ม ชื่อเวป"วิมุตติ" ( http://larndham.net/wimutti/ ) ท่านได้สั่งสอนธรรมะอยู่ที่นี่จนกระทั่งเวปนี้ได้ปิดตัวลงเนื่องจากท่านได้ออกบวช
หลังจากบวชแล้วท่านได้จำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์สวนโพธิญานฯ อำเภอท่าม่วง กาญจนบุรี ท่านได้บำเพญเพียรพร้อมกับสอนธรรมะอยู่ที่นี่จนกระทั่งถึงเวลาสมควรแล้วท่านจึงได้ย้ายมาสร้างสำนักสงฆ์สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในปี2549 จนถึงปัจจุบัน ด้วยความดำริของหลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร แห่งสำนักพุทธธรรม ป่าละอู ซึ่งเป็นศิษย์ผู้พี่ของท่าน
ประวัติโดยย่อๆของท่านเท่าที่ผมจำได้ก็มีเพียงเท่านี้ครับ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช เมื่อครั้งเป็นฆราวาสท่านมีนามว่า ปราโมทย์ สันตยากร เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2495 เป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิด จบการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนโยธินบูรณะ จบปริญญาตรีและโทคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยทำงานที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ ตอนหลังท่านได้ย้ายมาทำงานที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ก่อนที่ท่านจะออกบวชในปี 2544
ในทางธรรมนั้นท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโลแห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ สมัยเป็นฆราวาสท่านเปิดตัวออกเผยแพร่ธรรมะครั้งแรกทางเวปบอร์ดห้่องสมุดพันทิพย์ โดยใช้นามปากกาว่า"สันตินันท์" ภายหลังในบอร์ดนี้ได้มีการถกเถียงกันอย่างขนานใหญ่เกี่ยวกับเรื่องกรณีธรรมกาย ท่่านเห็นความวุ่นวาย จึงได้ย้ายมาเปิดเวปบอร์ด ธรรมะขึ้นมาใหม่คือเวปลานธรรม ( http://larndham.net/index.php )ดำเนินการโดยลูกศิษย์ของท่าน ท่านสอนอยู่ที่นี่สักพักใหญ่ๆ ต่อมาก็มีผู้คนเข้ามาสนทนาธรรมมากขึ้น ความวุ่นวายก็ตามมาอีก มีการถกเถียงกันด้วยเรื่องปริยัติvsปฏิบัติกันมาก ท่านพร้อมกับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งก็ได้ย้ายมาเปิดเวปบอร์ดใหม่อีก เป็นเวปบอร์ดเฉพาะกลุ่ม ชื่อเวป"วิมุตติ" ( http://larndham.net/wimutti/ ) ท่านได้สั่งสอนธรรมะอยู่ที่นี่จนกระทั่งเวปนี้ได้ปิดตัวลงเนื่องจากท่านได้ออกบวช
หลังจากบวชแล้วท่านได้จำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์สวนโพธิญานฯ อำเภอท่าม่วง กาญจนบุรี ท่านได้บำเพญเพียรพร้อมกับสอนธรรมะอยู่ที่นี่จนกระทั่งถึงเวลาสมควรแล้วท่านจึงได้ย้ายมาสร้างสำนักสงฆ์สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในปี2549 จนถึงปัจจุบัน ด้วยความดำริของหลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร แห่งสำนักพุทธธรรม ป่าละอู ซึ่งเป็นศิษย์ผู้พี่ของท่าน
ประวัติโดยย่อๆของท่านเท่าที่ผมจำได้ก็มีเพียงเท่านี้ครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 72
ในซีดีท่านเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังนิดหน่อย
ท่านเรียกพงศาวดารครับ
อย่างผมเรียกศิษย์ลักจำครับ
ไม่เคยได้ส่งการบ้านกับปากซักครั้ง ไม่กล้าจริงๆครับ
ท่้านเล่นอ่านใจคนได้
ผมละกลัวท่านเปิดเผยความชั่วของผมออกลำโพง
อายชาวบ้านแย่
ลักฟังซีดีอย่างนี้แหละดีแล้ว
ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง
เคยฟังในซีดีท่านบอก "ทางพุทธเรื่องบังเอิญไม่มี"
ฟังไปก็งั้นๆ ไม่่ค่อยเก็ทว่างั้น
เมื่อวันเสาร์ที่29พย.ที่ผ่านมามีการจับสลากคิวการมาปฏิบัติที่สวนสันติธรรม
คนไปกันหลายพันคน รถติดยาวเหยียด
ใครๆก็อยากได้คิวต้นๆ
เพราะจะได้โอกาสเป็นลูกศิษย์โดยตรงของหลวงพ่อ
พวกผมมีไปจับสลาก4คน
มีเพียงคนเดียวที่ได้คิวในปีหน้า แบบให้เลือกวันได้เลย
ที่เหลืออีก4ปีบ้าง 5ปีบ้าง
คนเดียวที่ได้ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่จับสลาก
ไปด้วยกัน...ยืนเข้าแถวด้วยกัน
ก็เลยไหนๆก็ไหนๆลองจับดู
แต่พวกผมทั้งก๊วนรู้กันในใจว่า
ถ้าหมอนี่(เป็นหมอจริงๆด้วย)ยอมจับสลากจะได้แน่ๆ
เพราะที่ผ่านมาเห็นๆว่า
ศีลและบุญของแกเยอะเหนือคนอื่นในกลุ่มจริง
ถึงได้บอกว่า "ทางพุทธเรื่องบังเอิญไม่มี"
เหมือนที่ในหนังเรื่องกังฟูแพนด้าบอกไว้ไม่มีผิด...
ท่านเรียกพงศาวดารครับ
อย่างผมเรียกศิษย์ลักจำครับ
ไม่เคยได้ส่งการบ้านกับปากซักครั้ง ไม่กล้าจริงๆครับ
ท่้านเล่นอ่านใจคนได้
ผมละกลัวท่านเปิดเผยความชั่วของผมออกลำโพง
อายชาวบ้านแย่
ลักฟังซีดีอย่างนี้แหละดีแล้ว
ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง
เคยฟังในซีดีท่านบอก "ทางพุทธเรื่องบังเอิญไม่มี"
ฟังไปก็งั้นๆ ไม่่ค่อยเก็ทว่างั้น
เมื่อวันเสาร์ที่29พย.ที่ผ่านมามีการจับสลากคิวการมาปฏิบัติที่สวนสันติธรรม
คนไปกันหลายพันคน รถติดยาวเหยียด
ใครๆก็อยากได้คิวต้นๆ
เพราะจะได้โอกาสเป็นลูกศิษย์โดยตรงของหลวงพ่อ
พวกผมมีไปจับสลาก4คน
มีเพียงคนเดียวที่ได้คิวในปีหน้า แบบให้เลือกวันได้เลย
ที่เหลืออีก4ปีบ้าง 5ปีบ้าง
คนเดียวที่ได้ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่จับสลาก
ไปด้วยกัน...ยืนเข้าแถวด้วยกัน
ก็เลยไหนๆก็ไหนๆลองจับดู
แต่พวกผมทั้งก๊วนรู้กันในใจว่า
ถ้าหมอนี่(เป็นหมอจริงๆด้วย)ยอมจับสลากจะได้แน่ๆ
เพราะที่ผ่านมาเห็นๆว่า
ศีลและบุญของแกเยอะเหนือคนอื่นในกลุ่มจริง
ถึงได้บอกว่า "ทางพุทธเรื่องบังเอิญไม่มี"
เหมือนที่ในหนังเรื่องกังฟูแพนด้าบอกไว้ไม่มีผิด...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 78
ถ้าอยากทราบแบบไม่ผิดต้องไปถามที่สวนสันติธรรม ศรีราชาเองครับf.escape เขียน:ขอคำปรึกษาค่ะ (ไม่กล้าปรึกษาในเวบธรรมะน่ะค่ะ)
คือเราเลือกที่จะปฏิบัติตามแนวดูจิตแล้ว
แต่ยังดูและซื้อขายหุ้นอยู่ เราควรจะตัดเรื่องหุ้นไปเลย หรือว่าแค่เฝ้าดูจิตที่อยากคะ
ขอบคุณค่ะ
ปัญหาที่ถามมาผมคิดว่าผมมีคำตอบให้แต่ไม่แน่ว่าจะ"ใช่"หรือเปล่า
แม่นแล้วครับโอ๊ตใหญ่ เขียน:ป๋าครับ..อุบาสกที่ว่า ปัจจุบัน เป็นพระอยู่ใช่ป่าว..
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 79
ถามต่อ..อะไรเป็นเหตุให้ท่านต้องบวชpor_jai เขียน: แม่นแล้วครับ
คำตอบ..ภาวะของคนธรรมดา(ถือได้แี่ค่ศีล 8 มากสุด) ไม่อาจแบกรับภูมิธรรมอันสูงได้ (ใช่คำตอบนี้หรือเปล่า)
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 80
ผมว่าf.escape เขียน:ขอคำปรึกษาค่ะ (ไม่กล้าปรึกษาในเวบธรรมะน่ะค่ะ)
คือเราเลือกที่จะปฏิบัติตามแนวดูจิตแล้ว
แต่ยังดูและซื้อขายหุ้นอยู่ เราควรจะตัดเรื่องหุ้นไปเลย หรือว่าแค่เฝ้าดูจิตที่อยากคะ
ขอบคุณค่ะ
เวลาดูจอหุ้นนี่ ดูจิตได้บ่อยกว่าปกตินะ
เพราะความโลภและความกลัวเกิดบ่อย และรุนแรงกว่าเวลาที่เราใช้ชีวิตประจำวัน
ทำให้เห็นบ่อยและชัดขึ้น
แต่จริงๆคงแล้วแต่คนไปนะ
เพราะอย่างผมนี่ มักจะชอบไปกดให้มันนิ่งๆตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
เวลาดูจิตมันเลยยาก
เลยต้องดูกายแทน
แต่ถ้าจะเอาให้เหมาะกับตัวจริงๆ
คงต้องไปถามพระอาจารย์เอานะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 82
"ทางพุทธเรื่องบังเอิญไม่มี"por_jai เขียน: แฮ่...ภูมิธรรมของผมไม่ถึงพอจะทราบครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 83
เคยได้ยินมาว่าเมื่อคนเข้าถึงปัญญาสูงสุด มองเห็นทุกอย่างเป็นของไม่จริงแล้วCopyWriter เขียน: "ทางพุทธเรื่องบังเอิญไม่มี"
จะทนอยู่ในสังคมไม่ได้ ต้องออกหาความสัณโดษ
ถ้าเปรียบอย่างหยาบ ๆ คงเหมือนหนอนที่รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในกองขี้ล่ะมั้งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 84
ดีจัง มีหลายคนปฎิบัติธรรม
อนุโมทนา
**********
ขอเพิ่มนิดนึง
เราว่า ไม่ว่า จะเป็นสายไหนๆ สุดท้ายแล้ว ถ้าจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว สติมันจะทำงานของมันเอง เช่น พอเราคิด หรือมีสภาวะอารมณ์มากระทบ ก้อจะรู้ หรือ กายเราขยับ ก้อจะรู้ มันจะไม่ใช่แบบว่า ดูกายแล้ว มันต้องรู้กายอย่างเดียว ถ้าจิตตื่นแล้ว มันจะรู้ทั้งหมด ทั้งที่เป็นกาย และจิต
เพียงแต่ ว่า บางครั้ง การที่เราอยู่ในช่วงที่ตกอยู่ในสภาวะอารมณ์นั้นๆรุนแรง เช่น เสียใจ / อกหัก / เศร้า แบบนี้ การที่เรากลับไปพึ่งทางที่เราถนัดจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้เราตั้งมั่น เรียกสติ กลับมาได้
อนุโมทนา
**********
ขอเพิ่มนิดนึง
เราว่า ไม่ว่า จะเป็นสายไหนๆ สุดท้ายแล้ว ถ้าจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว สติมันจะทำงานของมันเอง เช่น พอเราคิด หรือมีสภาวะอารมณ์มากระทบ ก้อจะรู้ หรือ กายเราขยับ ก้อจะรู้ มันจะไม่ใช่แบบว่า ดูกายแล้ว มันต้องรู้กายอย่างเดียว ถ้าจิตตื่นแล้ว มันจะรู้ทั้งหมด ทั้งที่เป็นกาย และจิต
เพียงแต่ ว่า บางครั้ง การที่เราอยู่ในช่วงที่ตกอยู่ในสภาวะอารมณ์นั้นๆรุนแรง เช่น เสียใจ / อกหัก / เศร้า แบบนี้ การที่เรากลับไปพึ่งทางที่เราถนัดจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้เราตั้งมั่น เรียกสติ กลับมาได้
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ธรรมะ ธรรมชาติ
โพสต์ที่ 88
[quote="kiri"]ดีใจที่พี่ๆ สนในธรรมะเหมือนกัน พี่ชงหากอยากได้ข้อมูลพี่ลองดาวน์โหลดจาก www.wimutti.net ก็ได้ค่ะ ภาโหลดประจำ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า