นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 31

โพสต์

พร้อมสัจจะ

        โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ได้พากันสมาทานอุโบสถศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว  คำสมาทานทั้งหมดขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทถือเป็นหัวใจของการปฏิบัติ

        เราสมาทานศีลจงตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์  อย่าเพียงสักแต่ว่าสมาทาน  แล้วการรักษาศีลให้บริสุทธิ์นี่ก็ไม่ใช่เฉพาะเวลานี้  ถือว่าการสมาทานศีลครั้งแรกในชีวิต  เราก็ต้องรักษากันไปตลอดจนกว่าจะถึงวันตาย อย่างนี้จึงจะชื่อว่าใช้ได้  รวมทั้งพระทั้งเณรก็เหมือนกัน  การเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ย่อมเป็นปัจจัยตัดความเดือดร้อน  เรามีศีลบริสุทธิ์นึกถึงศีลเป็นปกติ  พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นผู้เจริญสีลานุสสติกรรมฐาน  นี่เป็นความดีอันหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าถึงอย่างเลวก็กามาวจรสวรรค์  หรือมิฉะนั้นก็เป็นพรหม  ถ้าศีลบริสุทธิ์จริงๆ  เราก็ไปพระนิพพานได้  ถ้ามีความเข้าใจในศีล

        ประการที่สอง  เมื่อเราสมาทานพระกรรมฐานว่า  อิมาหัง  ภควา  อัตตภาวัง  ตุมหากัง  ปริจัชชามิ  ซึ่งแปลเป็นใจความว่า  ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต  แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  คำนี้เป็นถ้อยคำที่สำคัญที่สุด  เราจงเป็นผู้ไม่ลืม  ถ้าเราไม่ลืมคำนี้แล้วตั้งใจปฏิบัติตามคำนี้  ก็ชื่อว่าเป็นผู้เอาความดีได้ไม่ยาก

        คำว่า  มอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็หมายความว่า  เราจะปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนทุกอย่าง

                 พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่าอย่างไร ?
        พระพุทธเจ้าบอกพยายามละความชั่ว  ประพฤติความดี  และทำใจให้ผ่องใส
        การละความชั่วคือไม่ละเมิดในศีลห้า หรือศีลแปด
        ประพฤติความดี  คือประพฤติตามนัยของศีลที่กล่าวมาแล้วนั้น  ไม่ละเมิดแล้วก็ปฏิบัติตามศีล
        ทำจิตใจให้ผ่องใสก็ได้แก่การระงับจิตจากความรัก  ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง
                 ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนเราอย่างนั้น ?
        ก็เพราะว่า พระองค์ทรงทราบดีว่า  
-  อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเรา  เราไม่มีในร่างกาย  ร่างกายไม่มีในเรา
-  ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุสี่  คือธาตุน้ำ  ธาตุดิน  ธาตุลม  ธาตุไฟ  ประกอบเข้าเป็นเรือนร่างชั่วคราว
-  และเมื่อเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว  มันก็มีความเสื่อมโทรมลงไปทุกขณะ  แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุด  ที่เราเรียกว่าตาย
-  ถ้าหากว่า  ร่างกายมันเป็นเราจริง  เป็นของเราจริง  มันก็ต้องไม่แก่  ก็ต้องไม่ป่วย  แล้วก็ต้องไม่ตาย  เราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น  เมื่อถึงจังหวะนั้น  แล้วมันก็มีสภาพเป็นอย่างนั้น  ฉะนั้น  พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า  มันไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเรา
-  ทีนี้คำว่า  "เรา"  คือใคร ?
        คำว่าเรา  คือจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกาย  ร่างกายมีสภาพเหมือนบ้านเช่าชั่วคราว  เมื่อหมดอายุการเช่าแล้ว  เขาก็ไล่เราไป  บ้านนี่ก็พัง  มันเป็นบ้านชั่วคราวเท่านั้น  อาการพังอย่างนี้  เราเรียกกันตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย
        ความตายนี่มันไม่มีนิมิต  มันไม่มีเครื่องหมาย  มันไม่มีเวลาแน่นอน  ไม่ใช่ว่าเราเกิดมาแล้วจะต้องครบอายุขัย  ๗๕  ปี  หรือ  ๑๐๐  ปีจึงจะตาย  มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น  มันจะตายเมื่อไรก็ได้  คนเกิดทีหลังเราตายให้เราเห็นก็ตั้งเยอะ  คนเกิดพร้อมๆ  มากับเรา  เขาตายให้เราเห็นก็มีมาก  คนที่เขาเกิดก่อนแล้วตายก็มี  นี่ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของเที่ยง  ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
       
        ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าเมาในชีวิต  อย่าเมาในร่างกาย  ที่เรามาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน  เราต้องการเอาดีกัน  จงนึกไว้เสมอว่า
        เราต้องตายแน่ คิดไว้
        แล้วก็อย่าไปหลงในความสวยสดงาม
        อย่าไปหลงในความอ้วนพีของร่างกาย
        อย่าไปหลงในความผ่องใสของผิวพรรณ

        จงคิดเห็นตามความเป็นจริงว่า  ร่างกายของเรานี้นั้นมันเต็มไปด้วยความสกปรก  มันมีอุจจาระปัสสาวะ  น้ำเลือด  น้ำเหลือง  น้ำหนอง  อยู่ภายในร่างกาย  สิ่งที่ปิดตาเราไว้ก็คือหนังกำพร้านิดเดียวเท่านั้น  คนที่ถูกน้ำร้อนลวก  หรือไฟลวกหนังกำพร้าถลอกปอกเปิก  เราก็จะไม่เห็นความสวยงามของร่างกายของบุคคลนั้นเลย

        การทรงอยู่ของร่างกายมันก็ไม่แน่  มันแก่ลงไปทุกวัน  มันทรุดโทรมลงไปทุกวัน  แล้วในที่สุดมันก็ตาย  เราจะไปหวังอะไรกับมัน  ความโง่เท่านั้นที่หลงร่างกายว่ามันยังทรงตัวอยู่  มันจะไม่ตาย  การเมากายนี้เป็นเหตุให้เกิด  เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์

        ฉะนั้น  ถ้าเราไม่มีความเมาในร่างกาย  ในเบื้องต้นคิดว่าเราจะต้องตายอยู่เสมอ  จงคิดไว้ตามแบบของพระ  พระคิดว่า
        ตื่นขึ้นมาเวลาเช้านี่  เราจะได้กินข้าวเช้าหรือไม่ก็ไม่ทราบ
        กินข้าวเช้าแล้ว  เราก็จะได้กินข้าวกลางวันหรือไม่ก็ไม่แน่  อาจจะตายเสียก่อนก็ได้
        กินข้าวกลางวันแล้ว  อาจจะได้กินข้าวเย็นหรือไม่  ก็ไม่แน่
        กินข้าวเย็นแล้ว  เราก็ไม่แน่ใจว่า  เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้น

        นี่คนที่นึกถึงความตายอยู่อย่างนี้  เราก็ต้องเลือกปฏิบัติว่าเวลาที่เราจะตาย เราจะไปไหน  เราจะไปนรก  หรือเป็นเปรต  อสุรกาย  หรือสัตว์เดรัจฉาน  เราจะเกิดเป็นคนจะเป็นคนชั้นดีหรือคนชั้นเลว  หรือว่าเราจะเป็นเทวดา  จะเกิดเป็นพรหม  จะไปพระนิพพานหมดความทุกข์  นี่เราเลือกกันเอาได้

        ถ้าเราต้องการเป็นสัตว์นรก  เปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  เราก็ไม่ต้องเคารพในศีลห้าหรือศีลแปด  เราทำลายมันเสียให้หมดทุกอย่าง  แล้วก็ไปนรกได้แบบสบาย  นี่เลือกเอา

        ถ้าเราต้องการเกิดเป็นคน  ถ้าเป็นคนชั้นดี  เราก็เป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ เมื่อมีศีลบริสุทธิ์แล้วเราก็ให้ทานการบริจาค  เจริญภาวนาไว้เป็นปกติ  เกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีรูปร่างหน้าตาสวย  มีทรัพย์สินไม่ถูกโจรกรรม  โจรภัย อัคคีภัย  วาตภัย  อุทกภัย  มีคนในบังคับบัญชา  มีสามีภรรยามีบุตรธิดา  คนใช้ก็เป็นคนว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท  จะกล่าววาจากับใครก็เป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์  มีคนยอมรับฟัง  ชอบฟัง  แล้วก็เป็นคนไม่ไร้สติสัมปชัญญะ  จะมีทรัพย์สินบริบูรณ์สมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง  นี่ถ้าเราต้องการเกิดเป็นคนชั้นดี

        ถ้าหากว่าเราเห็นว่าความเป็นมนุษย์ไม่พ้นความแก่  ไม่พ้นความตาย  ไปพักความดีหนีทุกข์  อยู่แค่เทวดาก็ได้  การไปพักความทุกข์อยู่แค่เทวดาก็มีว่า  ถ้าศีลของเราบริสุทธิ์  การบริจาคทานเป็นปกติ  การเจริญภาวนาไว้เสมอ  การเจริญภาวนานี่เป็นตัวดึงจิตให้ขึ้นสูงกันลืมความดี  ทำจิตของเราเข้าสู่ขณิกสมาธิ  หรืออุปจารสมาธิ  เราก็ไปเป็นเทวดาได้  ถ้าจะปฏิบัติแบบธรรมดา  เราก็มี  หิริ  และโอตตัปปะ  คืออายความชั่ว  เกรงกลัวความชั่ว  ขึ้นชื่อว่าความชั่วเราไม่ทำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง  เราไม่ยอมละเมิดศีล  ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง  อารมณ์ใดที่เป็นไปเพื่อความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  จะไม่มีเกิดขึ้นมาในใจ  เพราะอารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของความชั่ว  ชื่อว่าเป็นความชั่วเกิดในที่ลับ  คนอื่นเห็นไม่ได้แต่เราเห็น  เมื่อเราระงับอารมณ์อย่างนี้ได้ไว้เป็นปกติ  ตายเราก็เกิดเป็นเทวดา

        ถ้าเราต้องการเกิดเป็นพรหม  เราก็เจริญสมาธิจิตให้ได้ถึงฌานสมาบัติ อย่างนี้เราก็เกิดเป็นพรหม

        ถ้าเราต้องการนิพพาน  เราก็วางขันธ์ห้าคือร่างกาย  เห็นว่าร่างกายนี้ มันไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเรา  เราไม่มีในร่างกาย  ร่างกายไม่มีในเรา  จนกระทั่งเราไม่ยึดถือในร่างกายและทรัพย์สมบัติภายนอกว่ามันเป็นเรา  เป็นของเราทุกสิ่งทุกอย่างถือว่าเป็นกฎธรรมดา  โลกทั้งโลกเราเห็นว่าเป็นความทุกข์  เราไม่ปรารถนาความเกิดอีก  มีใจชุ่มชื่น  มีอารมณ์เบิกบาน  มีจิตจับเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์  อย่างนี้เราก็ถึงพระนิพพาน  นี่กล่าวโดยย่อ

        ให้ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่า  เราเกิดมาแล้ว  เป็นคน  ถ้ากลับลงไปนรกใหม่ก็รู้สึกว่าซวยเต็มที  แทนที่เราจะปฏิบัติดีกลับปฏิบัติเลว  นี่เราสว่างมาแล้วกลับมืดไป  มันก็ไม่เกิดประโยชน์  นี่พูดถึงความหมายในการที่เราต้องเจริญความดี  ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์

        ต่อนี้ไป  เราก็จะพูดถึงการปฏิบัติทรงสมาธิให้มีประโยชน์  การเจริญความดีในพระพุทธศาสนา  เราต้องทรงอารมณ์เป็นผู้ชนะไว้เสมอ  ไม่ทำตนเป็นบุคคลผู้แพ้  เราต้องมีสัจจะคือความจริง  มีวิริยะคือความเพียร  มีสติการทรงระลึกนึกขึ้นมาได้  มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่า  อะไรมันดี  อะไรมันชั่ว  อะไรมันควร  อะไรมันไม่ควร  มีขันติความอดทนเป็นเครื่องประจำใจ  มีอธิษฐานทรงเจตนาเข้าไว้ว่า  เราจะทำความดี  สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทิ้งไม่ได้  เราต้องมีไว้เป็นประจำ

        การที่พวกเราทั้งหลายปฏิบัติเพื่อความดี  อันดับแรกต้องทรงจิตให้เป็นสมาธิ  สมาธินี้มีความสำคัญมากเป็นกำลังใหญ่

        สมาธิอันดับแรกที่บอกให้รับฟัง  นั่นก็คือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก  กรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานกองใหญ่  และแนะนำต่อไปว่า  เวลาหายใจเข้านึกว่า  พุท  เวลาหายใจออกนึกว่า  โธ  นี่ก็มีความสำคัญ  คำว่า  พุทโธ  เป็นพระนามความดีของพระพุทธเจ้า  ชื่อว่าเราเกาะพระพุทธเจ้าด้วยการทรงสติสัมปชัญญะไว้พร้อมกัน  นี่เป็นความดีใหญ่ที่เราจะชนะความชั่วของใจได้  เพราะอะไร  ข้อสำคัญที่สุดคืออารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต  อาการฟุ้งซ่านของจิตนี้  ถ้าเรามีความเข้าใจ  ก็ไม่เห็นมีอะไรจะหนักใจ  ถ้าจิตมันฟุ้งซ่าน  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้จับอานาปานุสสติกรรมฐานอย่างเดียว  คือลมหายใจเข้าออก  กำหนดรู้อยู่ว่า  นี่เราหายใจเข้า  นี่เราหายใจออก  รู้มันอยู่เสมอ  บังคับจิต  ถ้ามันจะซ่านจริงๆ  มันคุมนานไม่ได้  เราบังคับจิตไว้ว่า  ชั่วระยะเวลา  ๕  นาทีหรือ  ๑๐  นาทีนี้เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตของเราไปสู่อารมณ์อื่น  เราจะรู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก  หรือว่าคำภาวนา  เวลาหายใจเข้านึกว่า  พุท  เวลาหายใจออกนึกว่า  โธ  จับมันอยู่จุดนี้ชั่วระยะเวลาสั้นๆ  พอถึง  ๕  นาที  ๑๐  นาทีเราก็เลิก  ผ่อนมัน  เพราะว่าตามธรรมดา  จิตเรามีสภาพท่องเที่ยวอยู่นานแล้วเป็นหลายแสนกัป  อยู่ๆ เราจะมาบังคับให้มันอยู่ในอำนาจนิ่งๆ  นานๆ  มันย่อมเป็นไปไม่ได้  เมื่อมีอารมณ์ใจสบาย  มีความปลอดโปร่ง  เราก็เริ่มทำใหม่  การปฏิบัติแบบนี้จะเป็นกลางวันจะเป็นกลางคืน  เวลาไหนมันก็ได้ทั้งนั้น  จะนั่งขัดสมาธิ  จะนั่งพับเพียบ  นั่งห้อยขา  จะลงนอนตะแคงซ้าย  นอนตะแคงขวา  นอนหงาย  นั่งเก้าอี้  เดินไปเดินมา  หรือยืนก็ทำได้ทุกอย่าง  คือไม่จำเป็นอยู่ว่าเฉพาะจะมานั่งสมาธิรวมกัน  ถ้าเราคิดว่าจะให้อารมณ์ของเราคุมสติสัมปชัญญะ  การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  และคำภาวนาเฉพาะเวลานี้เวลาเดียวต่อหนึ่งวัน   นั่นแสดงว่าเรายังห่างจากความดีอยู่มาก  จงอย่าเป็นผู้แพ้ต่ออารมณ์ของความชั่ว  เราจงเป็นผู้ชนะ  วันหนึ่งเราชนะไม่ได้  เราก็ชนะเป็นพักๆ  ตลอดวันไม่ได้  ไม่ช้าไม่นานเท่าไรจิตก็เกิดความเคยชิน  เวลาปฏิบัติเอาดีได้จริงๆ  เป็นการวัดจิตของเรา  มีจุดหนึ่งจะเป็นวิปัสสนาญาณก็ดี  สำหรับผู้ปฏิบัติเก่า  เราก็รู้กันอยู่แล้วอะไรเป็นสมถะ  อะไรเป็นวิปัสสนา  พอใจกองไหนใน  ๔๐  กอง  หรือในมหาสติปัฏฐานกองไหน  ถ้าเราชอบใจทำได้เลย  แต่ว่า  อันดับแรก  อย่าลืมกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไว้ก่อน  จะเป็นผู้ใหม่ก็ดี  ผู้เก่าก็ดี  ถ้าเราตั้งใจว่าจะเป็นผู้ทรงฌานตามปกติทุกวัน  แต่ละวันเราจะเป็นผู้ไม่ขาดจากฌาน  ถึงอย่างไรก็จะทรงฌานให้ได้  ทั้งเวลาหัวค่ำและเช้ามืด  หมายถึงว่าถ้าเวลามันน้อย

        เวลาหัวค่ำทำใจสบาย  สวดมนต์สวดพรสมาทานพระกรรมฐานทำกรรมฐานร่วมกับเพื่อนแล้ว  กลับไปถึงสถานที่อยู่  นอน  เวลานอนจิตใจก็จับถึงอารมณ์ของพระเข้าไว้  ตั้งใจคิดว่าเราต้องการพระนิพพาน  อารมณ์นี้จงอย่าทิ้ง  คิดไว้เสมอว่าเราต้องการพระนิพพาน  จำไว้ให้ดี  ถ้าเราต้องการพระนิพพานเราทำอย่างไร ?  เราจะต้องเกาะองค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้าไว้  นั่นคือคำภาวนาว่า  พุทโธ  เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่นิพพานนี่  ถ้าหากว่าเราต้องการจะไปนิพพาน  เราก็นั่งนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า  เมื่อจิตเกาะพระพุทธเจ้าอยู่  มันจะไปไหน  ตายก็ไปตามพระพุทธเจ้า

        เวลานอนลงไปก็ภาวนา  จับลมหายใจเข้าออก  ภาวนาว่า  พุทโธ  ภาวนาไปจนกว่าจะหลับ  ถ้าใหม่ๆ  มันไม่หลับมัน  เกิดความรำคาญ  ก็เลิกเสียก็ได้  นอนนะ  แล้วนอนให้หลับ  ต่อไปถ้าอารมณ์มันชินภาวนาไปภาวนาไปไม่ช้าก็หลับ  หรือบางทีมีการคล่องเข้า  พอพุทแล้วไม่ทันจะโธ  มันจะหลับ  ปล่อยเลยอย่าห้าม  เพราะว่านี่เราต้องการจะหลับ  แล้วจงมีความเข้าใจว่าถ้าจิตเราเข้าไม่ถึงปฐมฌานมันจะหลับไม่ได้   มันจะเกิดความรำคาญ

        ถ้าภาวนาจนหลับไปพร้อมกับคำภาวนา  ไม่รู้มันไปหลับอยู่ตรงไหน  นั่นแหละคือจิตเราเข้าไปถึงปฐมฌาน  คือฌานที่หนึ่ง  เราเป็นพรหมได้สบาย  แล้วในช่วงแห่งการหลับทั้งหมดตลอดเวลาหลับ  ท่านถือว่าหลับอยู่ในระหว่างสมาธิ  ถ้าบังเอิญเราเป็นอะไรจะต้องตายในระหว่างการหลับ  ก็จะไปเป็นพรหมทันที

        แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วยังไม่มีกิจสำคัญที่ต้องลุกไปก็นอนอยู่แบบนั้น  จับลมหายใจเข้าออกกับภาวนาต่อไปให้จิตมันสบาย  ถ้าหากจิตใจของท่านมีความชุ่มชื่นมากเท่าไร  เวลาเช้ามืดจิตทรงตัวอยู่เท่าไร  วันทั้งวันในวันนั้นก็จะมีแต่ความสุข  นี่แสดงว่าเราเป็นผู้ทรงฌานตั้งแต่หัวค่ำยันเช้ามืด  ถ้าทำได้เป็นปกติอย่างนี้คำว่า  นรก  เปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  ไม่มีสำหรับท่าน  ถ้าตายไปแล้วเราก็จะเป็นพรหมทันที  ใกล้พระนิพพาน

        เอาละการพูดตักเตือนบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านก็ขอให้เราจำไว้ว่า  เราจะต้องเป็นผู้ชนะ  คือว่าชนะจุดใดจุดหนึ่งตามกฎของพระกรรมฐาน  ๔๐  อะไรก็ได้  ให้เป็นไปตามอัธยาศัย  ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไปเอาคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานมาอ่าน  หรือไปเอามหาสติปัฏฐานสูตรมาอ่าน  ชอบใจตรงไหน  ภาวนาตรงนั้น  ชอบตรงไหนพิจารณาตรงนั้น  เพื่อให้ถูกอัธยาศัยของเรา  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือกำหนดรู้ลมหายใจ  กับคำภาวนาว่าพุทโธ  พุทโธนี้อย่าทิ้ง  ให้ทรงเข้าไว้  เมื่อใจสบายเราก็พิจารณาตามพระกรรมฐานที่เขากล่าวไว้ในตำรา  นี่จะไม่ผิด  แล้วจะมีประโยชน์สำหรับท่าน

        เอาละต่อแต่นี้ไป  ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น  กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 32

โพสต์

วันนี้เอาธรรมปฏิบัติไปก่อนนะครับ  ตาลายละ  ผมคิดว่าจะสลับกับชาดกให้ได้อ่านกัน  กินเวลาสักหน่อย  แต่จะค่อยๆทยอยให้ครับ  อยากให้เพื่อนๆมองว่า  ธรรมะนี่ไม่ใช่ของยากเย็นอะไร  สำหรับเพื่อนๆที่มองว่ายาก  ก็ให้ลองนึกดูว่า  วิชาความรู้ที่เราเรียนมา  ตอนที่เราไม่รู้เรื่องเราก็มองว่ายาก  พอนานๆเข้า  เรียนมากขึ้น  เข้าใจมากขึ้น  วิชาที่เรามองว่ายาก  มันก็เป็นของง่ายสำหรับเรา  ธรรมะก็เช่นกัน  เมื่อลองทำลองปฏิบัติแล้ว  ก็จะรู้ว่า  ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย  ไตร่ตรองกันดีๆ  ความจริง  พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องผิดศีล  5  เลยแม้แต่น้อย  ผมมีความรู้สึกว่าการผิดศีล  มันต้องใช้ความพยายามมากกว่า  ไม่ว่าจะเป็นพยายามฆ่าสัตว์  ขโมยของคนอื่น  ทำลายของรักของชอบใจ  ช่วงชิงมา  คิดสารพัดหาทางโกหกคนอื่น  เมื่อโกหกแล้วก็ต้องมานั่งจำสิ่งที่พูดไป  กินเหล้าเมาเสียสติ  บางทีเสียมากกว่านั้น  ก็เมื่อเป็นอย่างนี้  เราจะทำเพื่อประโยชน์อะไร  นี่มันง่ายเท่านี้เอง  
บทสวดมนต์ที่เราสวดๆกัน  จริงๆแล้วก็คือคำสอนที่องค์สมเด็จพระบรมครูท่านสอนไว้  เพียงแต่เราฟังไม่เข้าใจ  ถ้าเราฟังเข้าใจ  เมื่อฟังบ่อยๆ  ได้ยินบ่อยๆ  ก็จะค่อยซึมซับไปบ้าง  ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าผมรู้นะครับ  ผมเองก็ไม่รู้ภาษาบาลีเหมือนกัน  พอจะเดาได้เป็นคำๆ  ที่เคยได้ยินได้ฟังมา  สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการรู้  เดี๋ยวนี้มีบทสวดมนต์ที่มีแปลอยู่ด้วย  เมื่อแปลแล้วอาจแปลกๆสักนิด  แต่ก็ไม่เกินวิสัยที่จะเข้าใจได้  ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านดู  คิดๆดูมันก็เป็นเรื่องแปลก  ที่คนสมัยนี้นิมนต์พระมาฉันอาหารที่บ้าน  เวลาท่านไม่สวด  ก็ไม่ทำอะไรกัน  พอเริ่มสวดล่ะ  โคล้งเคล้งๆ  มีกิจกรรมขึ้นมาทันที  อย่างนี้  ถึงจะไม่เข้าใจเหมือนกัน  แต่ก็มีความดีสู้ค้างคาว  สู้งูไม่ได้  เพราะแม้งูและค้างคาวไม่เข้าใจในเสียงธรรม  ก็ยังพอใจ  ชอบใจในเสียงนั้น  เอาล่ะครับ  ตอนนี้หิวแล้ว  -..-  ต้องไปหาอาหารเลี้ยงสังขารหน่อย  ตั้งใจกันนะครับเพื่อนๆทุกคน  อย่าให้เสียโอกาสที่เกิดมาเป็นมนุษย์  ทั้งยังเป็นมนุษย์ที่เกิดในเขตพระพุทธศาสนาด้วย  ไม่ใช่ของง่าย  อย่าคิดว่าเราไม่มีบารมีพอ  บารมีสร้างกันใหม่ได้  แล้วถ้าเกิดในเขตพระพุทธศาสนาบอกว่าไม่มีบารมี  เราก็คงไม่ต้องพูดกัน  เพราะแม้แต่ตัวท่านเองก็ตัดทางตัวเองเสียแล้ว  ก็ไม่มีใครจะช่วยท่านได้
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 33

โพสต์

เอานิพพานน้อยๆ แบบท่านพุทธทาส ว่าไว้

ก็ง่ายดีนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 34

โพสต์

ถ้าต้องการนิพพาน  แบบไหนก็ไม่ต่างกันครับ  ถึงทางหลวงพ่อท่านพุทธทาสจะเป็น  สุกขวิปัสสโก  แต่ผมเชื่อว่าถ้าลองปฏิบัติจริงแล้ว  อารมณ์จะไม่ต่างกัน  สุกขวิปัสสโก  ท่านต้องการเพียงอย่างเดียวคือ  นิพพาน  ตัดกิเลสให้หมดสิ้น  เมื่อปฏิบัติสมาธิถึงระดับหนึ่ง  จะใช้วิปัสสนาควบกันไม่หวังฤทธิ์  เป็นการปฏิบัติที่เหมือนสบาย  แต่ท่านก็เอาจริงเอาจังในการปฏิบัติไม่แพ้กันครับ  ยังไงเสียถ้าจะเป็นพระโสดาบันขึ้นไป  ไม่ว่าจะเป็น  สุกขวิปัสสโก  เตวิชโช  ฉฬภิญโญ  ปฏิสัมภิทัปปัตโต  ท่านก็ทรงศีลบริสุทธิ์ตามเพศของท่านไม่ต่างกันครับ  

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้หลายแบบ  ก็เพราะแต่ละคนความชอบไม่เหมือนกัน  บางคนชอบอย่างนึง  บางคนก็ไม่ชอบ  แต่สุดท้ายถึงที่หมายเดียวกันคือ  นิพพาน  เลือกปฏิบัติทางที่ชอบนะครับ  จะทำให้ปฏิบัติได้ดี  อยากให้ลองปฏิบัติกันนะครับ  แบบไหนก็ดีทั้งนั้นล่ะครับ  เพราะถ้าไม่ดี  องค์สมเด็จพระบรมครูท่านไม่ทรงสอนไว้แน่  ^^  ขอบคุณสำหรับเม้นนะครับ  ทำให้ผมรู้ว่ายังพอมีคนอ่านอยู่บ้าง
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 35

โพสต์

บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

        ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  ตอนนี้ขอนำเรื่องราวกรรมเก่าของพระโมคคัลลาน์  มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเห็นว่า  ท่านที่มีบุญใหญ่  คือ  พระโมคคัลลานะ  เป็นถึงอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เป็นพระสาวกฝ่ายซ้าย  ที่มีฤทธิ์มาก  ไม่น่าจะถูกคนฆ่าตาย  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ขึ้นชื่อว่าเรื่องกฎของกรรมที่ท่านทั้งหลายชอบบ่นกัน  บอกว่าทำบุญ  ทำทานมามาก  ทำไมบุญที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า  ทำดีจะได้รับผลดี  แต่ว่าพวกเรานี้กลับได้รับผลร้าย  ถ้าคิดอย่างนี้ละก็  นึกถึงเรื่องราวของกฎของกรรมเก่าๆ  ที่เล่าสู่กันฟัง  เอาเข้ามาคิด  จงคิดว่า  ชาตินี้เราไม่ได้ทำ  แต่ว่าชาติก่อนๆ  เราอาจจะทำก็ได้  เพราะเราเองก็ทราบไม่ได้เหมือนกันว่า  ชาติก่อนๆ  เราทำอะไรไว้บ้าง

        ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้  ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  คือ  การระลึกชาติหนหลังได้  มันก็เป็นของไม่ยาก  แล้วการบำเพ็ญปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้ปรากฎนี้  ความจริงมันก็ไม่ยากเหมือนกัน  ทำไมจึงกล่าวว่าไม่ยาก  ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติตามคำแนะนำ ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติหนหลัง  ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับ เรียนหนังสือชั้นประถมเท่านั้นเอง  ยังไม่ใช่ใหญ่โตมโหฬารอะไรนัก  แต่ทว่าเรื่องของการปฏิบัติ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ฟังกันในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐานดีกว่า  ถ้ามีเวลา  จะอธิบายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า  การที่จะได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติได้นั้น  เขาทำกันอย่างไร  เอาไว้ฟังกันในเรื่องของพระกรรมฐาน  นี่เราคุยกันเรื่องของพระสูตร  เล่านิทานสู่กันฟัง  แต่เป็นนิทานเรื่องจริงๆ  ไม่ใช่นิทานเล่าโกหกกันเล่น  เว้นไว้แต่ว่า  ไปหยิบเอาตัวนิทาน  มาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้าไม่ได้  แต่เรื่องขององค์สมเด็จพระจอมไตร  พระองค์ก็ทรงรับรองอยู่แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีบแก้วบอกว่า  ถ้าใครไม่เชื่อ  เชิญมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตาม  ฉะนั้น  ขอบัณฑิตทั้งหลาย  ที่ทรงความเป็นบัณฑิต  ประเภทไหนก็ช่าง  ถ้าอยากจะรู้ความจริงเรื่องกฎของกรรมเก่าๆ  ก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็จะรู้เรื่องได้ไม่ยาก  ไม่ลำบากอะไร  ต่อไปนี้  มาคุยกันถึงเรื่อง  บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

        ในสมัยนั้น  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้พระมหาโมคคัลลานะ  และพระสารีบุตรมาเป็นคู่อัครสาวกซ้ายขวา  อัคร  แปลว่า  ผู้เลิศ  พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาชั้นเลิศ  ประเสริฐ  ไม่มีใครเสมอเหมือน  นอกจากพระพุทธเจ้า  พระมหาโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน  เรื่องการมีฤทธิ์แล้ว ใครไม่ยิ่งไปกว่าพระมหาโมคคัลลานะ  พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า  เป็นผู้เลิศเรื่องมีฤทธิ์

        อาศัยความมีฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะ  ท่านเป็นพระขยัน  เวลากลางคืน  ท่านมักจะไปเที่ยวสวรรค์บ้าง  ไปเที่ยวเมืองนรกบ้าง  ไปพบเทวดาก็ดี  ไปพบพรหมก็ดี  ไปพบสัตว์นรก  เปรต  อสุรกายก็ตาม  ท่านก็ถามถึงประวัติเดิม  เกิดที่ไหน ใครเป็นพ่อ  ใครเป็นแม่  ใครเป็นพี่  ใครเป็นน้อง  ทำความดี  ทำความชั่วอะไร จึงมาเกิดในแดนนี้  เมื่อท่านทราบแล้ว  ก็มาถามองค์สมเด็จพระชินสีห์  ให้ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท

        เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรางทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า  เรื่องนี้พระโมคคัลลานะไม่ได้กุขึ้น  พระพุทธเจ้าเมื่อทราบว่าจริง  ก็ทรงรับรอง  แล้วประกาศให้เขาทราบ  แล้วในสถานที่ใดเป็นที่ยากลำบาก  คนเจริญศรัทธาไม่ดีพอ  พระอื่นมีความสามารถไม่พอ  พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานะไป

        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะไปถึงแล้ว  ก็แสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ  ด้วยความชำนาญในการแสดงฤทธิ์  เป็นการน้อมจิตให้บุคคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความเชื่อถือ  เห็นเป็นอัศจรรย์  แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จตามไปทีหลัง  ตอนนี้พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะโปรดบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น  ก็พากันบรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน

        เรื่องพระมหาโมคคัลลานะมีความสามารถเป็นอัจฉริยบุคคล  เลิศกว่าบุคคลอื่น  แม้แต่พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เศร้าสร้อยหงอยใจ  บรรดาบริษัท  บริวารของเดียรถีย์ทั้งหลาย  พากันมาเคารพในพระพุทธเจ้า  สร้างความยาก  สร้างความลำบากให้เกิดแก่เดียรถีย์  เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความสามารถไม่พอ  และก็ดีไม่จริง  เป็นเหตุให้บริษัทชายหญิงของเขา  มาติดพระพุทธเจ้ากันเสียเกือบหมด

        เขาจึงได้พากันพิจารณาว่า  องค์สมเด็จพระบรมสุคตที่มีคนนับถือมาก  มีลาภสักการะมาก  ก็เพราะอาศัย  พระโมคคัลลาน์เป็นกำลังสำคัญ  เพราะท่านเที่ยวไปยังที่ต่างๆ  เที่ยวเมืองนรกบ้าง  เมืองสวรรค์บ้าง  ปลุกใจประชาชน  ให้มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นเหตุ

        เขาจึงคิดกันต่อไปว่า  ถ้าเราจะทำลายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  คือพระพุทธเจ้า  ทำลายไม่ได้แน่  เพราะคิดทำลายมาหลายวาระแล้ว  เคยใช้นางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้องไปประกาศให้คนทราบว่า  พระพุทธเจ้าทำให้ท้อง  แต่หนูจัญไร  กลับไปกัดเอาเชือกที่ผูกไม้  ที่แกล้งทำเป็นคนท้องให้ขาดลงมา  เป็นเหตุให้ นางจิญจมาณวิกาได้รับโทษ  ลงอเวจีทั้งเป็น

        แล้วก็พระเทวทัตได้หาทางกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า  สั่งนายขมังธนูยิงบ้าง  ปล่อยช้างนาฬาคีรีให้ไล่แทงพระพุทธเจ้าบ้าง  กลิ้งหินให้ทับบ้าง  พระพุทธเจ้าก็ไม่มีอันตราย  ( สำหรับเรื่องกลิ้งหินที่พระเทวทัต  โดนเท้าพระพุทธเจ้าห้อเลือดนั้น  ตอนนั้นผมได้รู้มาว่า  ที่โดนเพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมครู  ทรงยื่นปลายเท้าไปให้โดน  เพราะถ้าไม่โดน  เทวทัตจะโกรธจัด  จนเส้นเลือดในสมองแตกตาย  ทำให้ไม่สามารถกลับตัวตอนธรณีสูบได้   องค์สมเด็จพระบรมครู  จึงยอมโดนนะ  ไม่ใช่ว่าทำร้ายสำเร็จ  อันนี้ผมพิมเองนะไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อ  ผมรู้มาจากตอนเรียนนักธรรมตรี )

        การที่คิดจะฆ่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นของทำได้ยาก  แต่ว่าถึงกระไรก็ดี  ถ้าตัดแขนขาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียได้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ก็จะต้องเศร้าไป  แขนขาที่สำคัญขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็คือ  พระมหาโมคคัลลานะ  ที่มีฤทธิ์มาก  และปลูกศรัทธาคนได้ดี

        บรรดากลุ่มเดียรถีย์ทั้งหลายพร้อมใจกัน  แต่ความจริง  เขาประกาศว่า  เขาเป็นพระอรหันต์  แต่กลับมีอารมณ์จิตอิจฉา  พระพุทธเจ้า  คิดจะฆ่าสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดูเอาเถิด  บรรดาท่านพุทธบริษัท  เขาประกาศตนว่า  เขาเป็นคณาจารย์ใหญ่  สอนให้บุคคลอื่นทำความดี  แต่ว่าจิตใจของตัวนี้เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  เพราะอะไร  เพราะสัตว์เดรัจฉานมันยังมีความกตัญญู  รู้ความดีของคน  แต่ว่าบรรดาเดียรถีย์หน้ามนพวกนี้  เขาไม่เคยเห็นความดีของพระพุทธเจ้า  และพระมหาโมคคัลลานะ  มีอย่างเดียวท่านทั้งหลายเหล่านี้ดีกว่าเขา  เขาต้องคิดทำลาย  สมัยนี้มีบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ที่คณาจารย์ทั้งหลายตั้งสำนักกันขึ้นมา  แต่เห็นว่าสำนักอื่นเขาดีกว่า  มีอารมณ์อิจฉาริษยา  มีหรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ  ถ้าบังเอิญมีก็รู้สึกว่าน่าสลดใจ  แต่เข้าใจว่า  ไม่มี  แต่ก็ไม่แน่นัก  เพราะเคยพบท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง  ท่านตั้งสำนักสมถวิปัสสนาของท่านขึ้นมา  ปรากฎว่าคนอื่นเขาตั้งทีหลัง  ท่านเป็นพระ  เป็นพระราชาคณะ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  เห็นว่าคนอื่นเขาดีกว่าตน  ทนไม่ไหว  แทนที่จะมีมุทิตา  ในพรหมวิหาร 4  กลับหาทางย่ำยี  กลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  เป็นที่น่าสงสาร  ปรากฎว่าท่านผู้นี้เมื่อตายลงไป  เวลาก่อนจะตาย  ถูกทุกขเวทนาครอบงำมากต้องทุรนทุราย  ไร้สติสัมปชัญญะ  ตายแล้วลงอเวจีมหานรก  กฎของกรรมนี้ผ่านมาแล้วไม่นาน

        ความจริงเรื่องราวในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร  ทรงพระชนม์อยู่  ก็มีตัวอย่างมากมาย  ท่านบวชภายหลัง  มีตำรามากเรียนได้ครบ  เรียนจบเป็นมหาเปรียญ  แล้วก็เป็นเจ้าคุณฯ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  ไม่น่าจะประพฤติความชั่วแบบนั้น  แต่ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เพราะว่าการปฏิบัติธรรมของท่านนั้น  ไม่ได้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  อย่างแท้จริง  ท่านตั้งสำนักหลอกชาย  และหญิงเพื่อนำทรัพย์สินไปให้ท่านเท่านั้น  ลูกศิษย์ของท่านอาจจะดีได้  แต่ตัวของท่านเอง  ลงอเวจีมหานรก  ที่พูดอย่างนี้  ก็พูดตามสำนักของท่านอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง  ซึ่งพวกเรายกย่องกันว่า  ท่านเป็นผู้ประเสริฐ  มีทิพจักขุญาณแจ่มใส  สามารถรู้อะไรต่ออะไรได้  โดยที่พวกเราไม่ต้องถาม  เมื่อท่านกล่าวขึ้นมาอย่างนั้น  ก็สร้างความแน่ใจว่า  คงจะเป็นแบบนั้น  เพราะว่าดูจริยาของท่านผู้นั้น  ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

        บรรดาเดียรถีย์เหล่านั้น  เมื่อฆ่าพระมหาโมคคัลลานะแล้ว  ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร  และก็กรรมของเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้น  คือ  โจรที่รับอาสา 500 คนถูกฆ่าหมด  พวกเดียรถีย์ถูกปลดจากความดี  การที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่าในคราวนี้  ความจริงท่านทราบก่อน  เพราะมีญาณพิเศษ  ประเดี๋ยวจะมานั่งสงสัยกันว่า  มีฤทธิ์ขนาดนั้น  มีญาณขนาดนั้น  ทำไมไม่หนีพวกโจรที่เข้าไปฆ่าตัวเอง  ความจริงโจรมาล้อมแล้ว 2 ครั้ง  ท่านรู้  เมื่อรู้ตัวแล้ว  ท่านก็เหาะหนีไป  โจรเข้ามาล้อมครั้งที่  3  ท่านก็มานั่งพิจารณาว่า  นี่มันเรื่องอะไร  ถอยหลังชาติเข้าไป  ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ก็ทราบว่า  กรรมเก่าของท่านที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน

        เรื่องนี้  องค์สมเด็จพระชินวร  เคยเทศน์ให้พระฟัง  เพราะพระท่านมีความสงสัยว่า  พระมหาโมคคัลลานะนี้  มีบุญใหญ่  ทำไมจึงได้ถูกโจรทุบตาย  แต่ความจริง  ระหว่างที่ถูกโจรทุบนั้น  ท่านไม่ตาย  เขาทุบแล้วก็คิดว่าท่านตาย  กระดูกแหลกเหลวหมด  เขาลากท่านไปทิ้งไว้ที่กอไผ่  เมื่อโจรไปแล้ว  ท่านก็อธิษฐานจิต  ด้วยอำนาจของกำลังฤทธิ์  ประสานกระดูกทั้งหมดให้ติดกัน  แล้วก็เหาะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรมบมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขอลาเข้าสู่พระนิพพาน  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงอนุญาตแล้ว  จึงได้กราบลาองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ไปนิพพานในที่สมควร

        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะนิพพานแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ก็ทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลาย  นำอัฐิธาตุของพระมหาโมคคัลลานะ  บรรจุเข้าไว้ในสถูป  ให้เขาสร้างสถูป  เป็นที่บรรจุกระดูกไว้  สถูปนั้นก็ทำเหมือนกับ  บาตรคว่ำ  คือทำดินนูนขึ้นมาเป็นโคก  เป็นสัญญลักษณ์  คนจะได้ไม่เดินข้าม  และท่านกล่าวกฎของกรรมว่า ถอยหลังไปประมาณ  1,000 ชาติ  เรื่องนี้พระมหาโมคคัลลานะก็ทราบ  ทราบตอนโจรมาล้อมครั้งหลังว่า

        พระมหาโมคคัลลานะเป็นลูกชายของพ่อแม่  ที่ทั้งพ่อ  และแม่  ตาบอดทั้งคู่  โฉมตรูโมคคัลลานะในเวลานั้น  เป็นคนที่ประกอบไปด้วยความกตัญญู  รู้คุณบิดา  และมารดา  เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดีทุกประการ  เมื่อทำงานกลับมาแล้ว  ก็ต้องมาหุงข้าวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่  คนดีอย่างนี้หายาก

        ต่อมา  ท่านพ่อ  ท่านแม่เห็นว่า  ลูกชายลำบาก  ก็อยากจะหาเมียให้  จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ  แต่ทว่าพระมหาโมคคัลลานะก็คัดค้านว่า  อย่าเลย  หญิงที่นำมา  ดีไม่ดีเขาจะไม่รักพ่อ  ไม่รักแม่ก็เป็นได้  แต่ว่า  บิดา  และมารดาทั้งสองนั้นไซร้ก็บอกว่า  ไม่เป็นไรลูก จะหาคนที่มีตระกูลเสมอกัน  คือ  ตำแหน่งของท่านก็เป็นเศรษฐี  เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก  จึงไปขอหญิงในตระกูลอื่นเข้ามา

        ในตอนแรกๆ  แม่ลูกสะใภ้คนดี  ก็มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาของผัว  เป็นอย่างดี  แต่ว่าพระมหาโมคคัลลานะ  ท่านมีความรักในพ่อ  และแม่ท่านมาก  เวลากลับมาจากทำงาน  แทนที่จะเข้าไปจู๋จี๋กับเมียก่อน  แต่กลับเข้าไปจู๋จี๋กับพ่อแม่เสียก่อน  เหตุนี้เอง  เป็นเหตุให้นางเมียไม่พอใจ  คิดจะฆ่าทั้งสองคนเสีย  จึงได้หาอุบายด้วยประการทั้งปวง

        ในที่สุด  ก็บอกกับพระมหาโมคคัลลานะว่า  บิดา  มารดาของท่านเป็นคนใจร้าย  หุงข้าวให้กิน  ก็ไม่กิน  แต่ความจริง  เวลาที่ทำอาหารให้ผัว  มีรสอร่อย  แต่ทำอาหารให้แก่พ่อผัว  แม่ผัว  บางทีก็เค็มจัดเกินไป  เผ็ดจัดเกินไป  เปรี้ยวจัดเกินไป  พ่อผัว  แม่ผัวกินไม่ไหว  ก็เลยไม่กิน  นางก็ฟ้องบอกว่า  นี่แหละ  อาหารมันเหมือนกัน  แต่ว่าท่านทั้งสองไม่ยอมกิน  ท่านลูกชายก็ยังไม่ว่าอะไร

        ต่อมา  นางในก็เอาใหม่อีก  ทำอาหารรสจัด  ในเมื่อท่านทั้งสองไม่กิน  นางก็เทราดไปเต็มบ้าน  เมื่อลูกชายกลับมา  ก็ฟ้องบอกว่า  ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคน  ทำอาหารให้ก็ไม่กิน  แล้วก็เทราดไปบนบ้าน  เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด  ฉันปัดกวาดไม่ไหว  เช็ดถูไม่ไหว  อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว  ฉันขอลากลับบ้าน

        อาศัยที่จอมนงคราญอกตัญญู  ไม่รู้คุณคน  ทำให้พระโมคคัลลาน์หน้ามน  ซึ่งเป็นคนกตัญญู  รู้คุณ  เป็นคนอกตัญญูไป  เพราะการนั่งทูลนอนทูลของเมียสาว  มันก็มีความสำคัญเหมือนกัน  นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฟังไว้แล้วก็คิดด้วยว่า  ความดีที่เรามีอยู่  เราจงอย่าเชื่อคนอื่น  อย่างไรๆ  ก็สอบสวนให้ดีเสียก่อน  เป็นเหตุให้พระมหาโมคคัลลานะคิดผิดในตอนนั้น  เพราะอาศัยเมียออดอ้อน  สนับสนุน  หาทางกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  จนเห็นว่าบิดามารดาของตนนี้เป็นคนไม่ดี

        วันหนึ่ง  คิดจะฆ่าพ่อ  ฆ่าแม่เสียในป่า  จึงได้บอกกับบิดา  และมารดาว่า  ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งป่าทางโน้นเป็นญาติกัน  ความจริงบิดามารดาก็รู้จัก  ท่านสั่งให้ท่านทั้งสองไปเยี่ยม  และเวลานี้ท่านก็เตรียมเกวียนไว้แล้ว  จะให้บิดามารดาทั้งสองนั่งไปในเกวียน  ท่านจะเป็นคนบังคับเกวียนไป  เมื่อท่านบิดามารดาทั้งสองได้ฟัง  ก็เห็นใจ  คิดว่าลูกชายของเรานี้เป็นคนดี  จึงให้ลูกชายประคองบิดามารดาทั้งสองศรี  นั่งบนเกวียน

        พอเข้าไปถึงป่าลึก  ท่านพระมหาโมคคัลลาน์คิดจะฆ่าพ่อ  ฆ่าแม่ในป่า  จึงได้บอกกับท่านบิดาว่า  คุณพ่อช่วยจับเชือกบังคับวัวไว้ให้ที  กระผมนี้กำลังปวดอุจจาระ  จะไปถ่ายอุจจาระ  ท่านพ่อก็จับเชือกเข้าไว้  บังคับวัวให้เดินตรง

        ท่านมหาโมคคัลลานะไปแล้ว  ก็ทำเสียงดังเหมือนกับโจรจะเข้ามาปล้น  ท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองคน  ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย  เข้าใจว่าโจรร้ายมาปล้น  ห่วงลูกชายของตน  คือ  มหาโมคคัลลานะ  ผู้เป็นลูกชาย  ท่านทั้งสองจึงได้ร้องประกาศไปว่า  ลูกเอ๋ย  พ่อแม่ทั้งสองคนแก่แล้ว  ปล่อยให้พ่อแม่ตายเถิด  ลูกยังมีความเป็นหนุ่มอยู่ หนึเอาตัวรอดไปก่อน  ไม่ต้องห่วงพ่อ  ห่วงแม่

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  น้ำใจของบิดามารดา  ย่อมมีความสำคัญแก่บุตรเพียงนี้  ยอมตายแทนลูก  แต่ว่าลูกคนนี้สิ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  พระโมคคัลลานะเอง  ที่ปลอมมาเป็นโจร  เมื่อพ่อแม่พูดอย่างนั้น  ใจไม่ยักอ่อน  พ่อบังอรใช้ไม้ทุบพ่อ  และแม่ตายทั้งคู่  เมื่อพ่อโฉมตรูฆ่าพ่อ  และแม่ตายแล้ว  ก็แจวอ้าวกลับบ้าน

        องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า  เขาก็ไม่มีความสุข  เพราะกฎของกรรมที่ทำกับบิดามารดา  เมื่อตายแล้วจากชาตินั้น  ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก  เมื่อตกอเวจีมหานรกสิ้นเวลากัปหนึ่ง  พ้นจากนั้น  ก็มาเกิดเป็นเปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร  คือ  เป็นมนุษย์บ้าง  เป็นเทวดาบ้าง  เป็นพรหมบ้าง  เฉพาะเป็นมนุษย์ 1,000 ชาติพอดี  ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  อาศัยบุญเก่า  ที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระศาสดาเป็น  สุเมธดาบส

        ตอนนั้น  องค์สมเด็จพระบรมสุคตบูชาพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระ  ท่านอยู่ในป่า  เมื่ออาราธนาพระพุทธเจ้ามาถึงลำรางเล็กๆ  ท่านก็ทอดกายเป็นสะพาน  ให้พระพุทธเจ้า  และพระอรหันต์เดิน  เมื่อมาสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านก็ประกาศตน  ปรารถนาพระโพธิญาณ  ก่อนที่จะถวายอาหารให้พระพุทธเจ้า  และพระสงฆ์  พระปทุมุตตระจึงได้เข้านิโรธสมาบัติ  พระอรหันต์ทั้งหมดเข้าผลสมาบัติ  สมาบัติทั้งสองนี้มีกำลังมาก  เพราะดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล  เมื่อออกจากสมาบัติทั้งสอง  จะมีการคล่องในกิจการของตน  คือในความเป็นอยู่  ถ้าปรารถนาความร่ำรวย  ก็จะร่ำรวยสมความปรารถนา  ถ้าปรารถนาความสำเร็จมรรคผล  ก็จะสำเร็จมรรคผลสมความปรารถนา

        เมื่อองค์สมเด็าจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว  ทรงรับพระกระยาหาร  หลังจากนั้นแล้ว  พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พร  และก็ทรงพยากรณ์ว่า  นับตั้งแต่นี้ไปอีก  91  กัป  ท่านสุเมธดาบสจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า  มีพระนามว่า  พระสมณโคดม

        ในขณะนั้นเอง  พระโมคคัลลานะ  และพระสารีบุตร  ทั้งสองท่านเป็นสาวกของสุเมธดาบส  จึงได้เข้ามากราบองค์สมเด็จพระบรมสุคต  องค์หนึ่งบอกว่า  ข้าพระพุทธเจ้า  ขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวา  อีกองค์หนึ่งประกาศกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  ข้าพระพุทธเจ้า  ขอเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  ของพระสมณโคดม

        เป็นอันว่า  อาศัยบุญบารมีที่ติดตามกันมาอย่างนี้  สิ้นเวลา  91  กัป  แต่ความจริงมากกว่านั้น  องค์สมเด็จพระทรงธรรมจึงกล่าวว่า  มหาโมคคัลลานะ  ชาตินี้มาพบเรา  จึงได้กลายเป็นคนมีฤทธิ์มาก  เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  แต่ว่าโมคคัลลานะถึงแม้ว่าจะตาย  ท่านก็ไปนิพพาน  ไม่มีความทุกข์อะไร

        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ตรัสแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า  ภิกฺขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในกรรมเล็กน้อยว่า  จะไม่ให้ผล  ดูตัวอย่างพระมหาโมคคัลลานะ  เป็นสำคัญ  ท่านเป็นอริยสงฆ์  เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  มีฤทธิ์มาก  แต่ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎของกรรมได้  ขึ้นชื่อว่า  กรรมใดที่เราทำไว้แล้ว  ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้  ก็จะให้ผลในชาติต่อๆ ไป

        ฉะนั้น  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ที่เคยบ่นบอกว่า  ทำบุญให้ทานแล้ว  ก็มีความไม่สบาย  เมื่อฟังเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะแล้วไซร้  ก็โปรดทราบว่า  กฎของกรรมเก่าของเรา  ทำไว้มากเพียงใด  เราไม่ทราบ  ฉะนั้น  ถ้ากรรมใดที่มันเกิดขึ้นกับเรา  ทำให้เราได้รับความลำบาก  ก็คิดไว้ในใจว่า  เราจะใช้หนี้มัน

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ขึ้นชื่อว่า  กฎของกรรมเราหนีไม่พ้น  สำหรับตอนนี้  ก็ขอยุติเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะ  ในเรื่อง  บุพกรรม คือกรรมเก่าไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดี  จงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สวัสดี
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 36

โพสต์

วันนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดมากนะครับ  แต่วันนี้ใจนึกถึงประโยคที่ผมชอบมากประโยคหนึ่ง  ของหลวงพ่อ  ท่านสอนว่า  จงกล่าวโทษโจษตนเองเสมอ  ถ้าเราไม่เลว  ไม่มีความเร่าร้อน    ขอเพื่อนๆอย่าไปใส่ใจกับจริยาของบุคคลอื่น  เค้าจะทำยังไง  เราไม่ต้องสนใจ  แม้สิ่งเหล่านั้น  คำพูดนั้น  มันกระทบเรา  ก็อย่าคิดอย่าทำอะไรให้ใจเร่าร้อน  พยายามรักษาจิตไว้ให้ดี  ให้เป็นปกติ  ผมอ่านชาดกเรื่องนึง  

        ครั้งนึง  มีพราหมณ์มาด่าพระพุทธเจ้า  ท่านก็ทรงเฉย  พอพราหมณ์นั้นด่าจบ  ก็พูดว่า  พระสมณโคดม  แกแพ้ข้าแล้ว  องค์สมเด็จพระพิชิตมาร  ก็ทรงถามว่า  แพ้ยังไง  ท่านพราหมณ์ก็ตอบว่า  ข้าด่าแก  แล้วแกด่ากลับไม่ได้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงตรัสว่า  ดูก่อนพราหมณ์  ตถาคตคิดว่า  ถ้าใครมาด่า  แล้วตถาคตด่ากลับ  แสดงว่า  ตถาคตเลวกว่าคนๆนั้น  ท่านทรงถามพราหมณ์คนนั้นว่า  อาหารที่เจ้าของบ้านยกมาต้อนรับแขก  แต่แขกไม่รับ  ของสิ่งนั้นจะเป็นของใคร  ท่านพราหมณ์คนนี้ได้ฟัง  จึงได้รู้สึกตัว  กราบขอขมาองค์สมเด็จพระบรมครู  และขอบวชในพระพุทธศาสนา  ไม่นานท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล

        ดูตัวเอง  ดูจิตตัวเองนะครับ  ถ้าเราดี  คนเค้าว่า  ว่าเราเลว  เราก็ไม่เลวไปตามคำพูดเค้า  แต่ถ้าเราเลว  คนเค้าชมว่าเราดี  เราก็หาได้ดีอย่างที่เค้าชม  ให้จิตจับในด้านของกุศลอยู่เสมอ  ให้เกิดความเคยชินนะครับ  หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 37

โพสต์

:8) เข้ามาอ่าน
     เป็นแฟนประจำกระทู้นี้ครับ
     ผมเองก็เป็นอีกคนที่ยอมปฏิบัติเพราะ
     ได้เห็นความเหนือชั้นของธรรมะของพระพุทธองค์ครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 38

โพสต์

กำหนดรู้ลม

        สำหรับวันนี้ก็มาศึกษาต่อจากวันก่อน  วันก่อนๆได้พูดกันถึงพื้นแห่งการปฏิบัติพระกรรมฐานในเบื้องต้น  ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจถึงวิธีของการปฏิบัติ วันนี้ก็มาศึกษาต่อเรื่องอารมณ์ของสมาธิ  การฟังพระกรรมฐานในตอนกลางคืน  ก็ขอได้โปรดให้ถือว่า  ให้ฟังติดต่อกันไปตามลำดับ  ถ้าหากว่าท่านมีอะไรไม่เข้าใจ  ก็ไปเปิดคู่มือพระกรรมฐานอ่านดู  จะมีอยู่ในนั้นทั้งหมด เวลากลางคืนต่อแต่นี้ไป  ก็จะสอนตามลำดับไปจนกว่าจะจบ  เพราะว่าถ้าขืนย้อนกันไปย้อนกันมา  คนเก่าอยู่  คนใหม่มา  แล้วก็ย้อนต้นกันอยู่เสมอๆ ความรู้ก็คงจะรู้กันไม่จบ  สำหรับบางท่านมีหนังสือก็ไม่ได้อ่าน  อันนี้ก็น่าตำหนิอยู่มาก  ตำรับตำรามีอยู่ไม่ได้อ่านนี่ก็รู้สึกว่าจะหยาบเกินไป  เป็นการปฏิบัติไม่หวังดีในการปฏิบัติ  สักแต่ว่าทำ  อย่างนี้มันไม่เกิดประโยชน์  การศึกษาข้อวัตรปฏิบัติตามหลักตามเกณฑ์  จำจะต้องรู้กันไปให้ตลอด  ถ้าไม่รู้แล้วก็เหมือนกับการดำน้ำหาเข็ม  มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  เป็นการบังเอิญเท่านั้นที่เราจะทำได้ดี  ระเบียบปฏิบัติของเรามีครบถ้วน  นักศึกษานักปฏิบัติน่าจะมีความฉลาดมานานแล้ว

        ต่อนี้ไปก็จะพูดถึงอารมณ์สมาธิ  เรื่องเบื้องหลังจะไม่ขอพูดต่อไป  ใครมาศึกษาใหม่ก็ไปค้นคว้าเอาตามตำรา  คำว่าสมาธินี้มีอยู่ด้วยกันสามระดับ  คือ

    ขณิกสมาธิ  แปลว่า  สมาธิเล็กน้อย

    อุปจารสมาธิ  แปลว่า  สมาธิปานกลาว  เฉียดฌานเข้าไป

    อัปปนาสมาธิ  เป็นสมาธิอันดับหนัก  คือเริ่มตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปถึงฌานสี่  เป็นสมาธิที่มีความมั่นคง

        การเจริญพระกรรมฐาน  เราควรจับจุดเอาอานาปานสติกรรมฐานเป็นสำคัญ  เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐานนี้  จะเป็นคนประเภทไหนก็ตาม  มีความจำเป็นทั้งหมด  เพราะว่าอานาปานสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานระงับอาการฟุ้งซ่านของจิต  เราจะเจริญอะไรก็ตาม  ถ้าเราไม่สามารถระงับความฟุ้งซ่านของจิตได้  สมาธิมันก็ไม่เกิด  แล้วใครที่ไหนเล่า  มีบ้างไหม  ที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน  มีบ้างหรือเปล่า  หาไม่ได้  คนที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่านจริงๆ  ก็มีพระอรหันต์เท่านั้น  องค์สมเด็จพระทรงธรรม์  คือพระพุทธเจ้าท่านเป็นสัพพัญญูรู้ความจริง  ฉะนั้นในมหาสติปัฏฐานสูตร  ท่านจึงขึ้นอานาปานสติก่อน  นี่เป็นแบบฉบับของการสอน  ที่เราสอนกันก็สอนตามแบบของพระพุทธเจ้า  เรื่องแบบของชาวบ้านชาวเมืองที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่นี่ไม่เอาด้วย  เพราะอะไร  เพราะว่าคนสร้างไม่ใช่พระพุทธเจ้า  ดีไม่ดีคนสร้างก็ไม่ใช่พระอรหันต์  ในเมื่อคนสร้างแบบไม่ได้อะไร  แล้วคนปฏิบัตตามแบบมันจะได้อะไร

        ในเมื่อพระพุทธเจ้าเห็นว่าอานาปานสติเป็นของสำคัญ  ถึงได้ขึ้นต้นไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร  เมื่อทรงอานาปานสติถึงอารมณ์ฌาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอานาปานสตินี้ทรงอารมณ์ได้ถึงฌานสี่  สำหรับผู้มีอุปนิสัยเป็นสาวกภูมิ  ถ้าผู้มีอุปนิสัยเป็นพุทธภูมิก็ทรงได้ถึงฌานห้า  จัดว่าเป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญมาก  แล้วก็เป็นกรรมฐานระงับกายสังขาร  ในเมื่อร่างกายของเราป่วยไข้ไม่สบายมีทุกขเวทนา  เราใช้อานาปานสติกรรมฐานทรงฌานเข้าไว้ ทุกขเวทนามันจะคลายลงไป  ดีไม่ดีก็ไม่รู้สึกในทุกขเวทนานั้น  ถ้าได้ถึงฌานสี่

        อีกประการหนึ่ง  ท่านที่คล่องในอานาปานสติกรรมฐาน  รู้เวลาตายของตัว  ว่าเราจะตายเวลาไหนแน่  ตายด้วยอาการแบบไหน  ตายเมื่อไร  นี่เรารู้  ก็กลายเป็นคนไม่มีความหวาดหวั่นในความตาย  แล้วยิ่งไปกว่านั้นอานาปานสติกรรมฐานยังเป็นกรรมฐานมีความสำคัญใหญ่  เราจะทำกรรมฐานกองอื่นๆในสมถภาวนา  หรือว่าวิปัสสนาภาวนาก็ตาม  ต้องใช้อานาปานสติกรรมฐานเอาเป็นพื้นฐาน  ให้จิตสงบเสียก่อน  ถ้ามิฉะนั้นการเจริญกรรมฐานในกองอื่นๆในด้านสมถภาวนา  หรือวิปัสสนาภาวนา  จะไม่มีอะไรเป็นผล  องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงเห็นคุณของของอานาปานสติ  กรรมฐานแบบนี้  ฉะนั้นองค์สมเด็จพระมหามุนี  จึงให้ขึ้นต้นอานาปานสติกรรมฐานก่อนในมหาสติปัฏฐานสูตร

        การเจริญอานาปานสติกรรมฐานตามแบบปฏิบัติที่นิยมกัน  ก็ให้ใช้พุทธานุสสติกรรมฐานควบคุมไปด้วย  ช่วยให้กำลังใจเกิดขึ้น  การทำความดีในพระพุทธศาสนา  ถ้าขาดกำลังใจเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรเป็นผล  เพราะการฝึกนี่เราฝึกใจ  เราไม่ได้ฝึกกาย  ถ้ามีแต่การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เราก็คิดว่าจิตมันว่างไป  นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรใช้คำ  ‘พุทโธ'  รู้สึกว่าจิตใจมันมั่นคง  อันนี้อาตมาก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็นความดีเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง  คือ  หนึ่งเราได้อานาปานสติกรรมฐาน  สองเราได้พุทธานุสสติกรรมฐาน  ได้เป็นกรรมฐานสองอย่างร่วมกัน   คือไม่สร้างความเหน็ดเหนื่อยเพราะใช้คำเพียงสองคำ  หายใจเข้านึกว่า  ‘พุท'  หายใจออกนึกว่า  ‘โธ'   อย่างนี้  ไม่ขัดกับอานาปานสติกรรมฐาน

        ในเมื่อรู้คุณสมบัติของอานาปานสติกรรมฐานแล้ว  สำหรับคุณสมบัติของพุทธานุสสติกรรมฐาน  กรรมฐานกองนี้เป็นกำลังใหญ่มาก  มีอานิสงส์สูงมาก  ถ้าตายเป็นเทวดาก็มีรัศมีกายผ่องใสยิ่งกว่าเทวดาที่บำเพ็ญกุศลอย่างอื่น  เทวดาเขาถือว่าใครมีรัศมีกายผ่องใสมาก  เทวดาองค์นั้นมีบุญญาธิการมาก  แล้วการเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นเหตุดึงใจให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าถึง  พระนิพพานได้รวดเร็ว  นี่จำไว้ด้วย  นี่เป็นอานิสงส์หรือเป็นผล

        คราวนี้เรามาว่ากันในตอนต้น  การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  เรียกว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน  พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าให้เรากำหนดรู้ว่า  นี่เราหายใจเข้า  นี่เราหายใจออก  เราหายใจเข้ายาวหรือสั้น  หายใจออกยาวหรือสั้น  ก็ให้รู้ด้วย  เป็นการทำจิตให้สะดวก  ทำจิตให้มีความละเอียดลออ  ทำสติสัมปชัญญะให้ทรงตัว  ท่านมีอุปมาไว้ว่าคล้ายๆกับนายช่างกลึงชักเชือกกลึง  เวลาที่ชักเชือกกลึงยาวหรือสั้น  ก็รู้อาการชักเชือกกลึงนั้นยาวหรือสั้น  นี่ทำจิตให้รู้อยู่

        ถ้าจะถามว่าจิตรู้อยู่นี่ใช้กันกี่เวลา  ก็จะต้องขอตอบว่า  ให้รู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นจนกว่าจะหลับนั่นแหละเป็นการดี  การเจริญพระกรรมฐานแบนี้  ก็รู้สึกว่าหนักอยู่สำหรับคนใหม่หรือยังไม่ได้ฌาน  อานาปานสติกรรมฐานไม่ใช่ของกล้วยๆ  มีกำลังมากอยู่  แต่ว่าถ้ามากไปจนแบกไม่ไหว ก็ไม่มีใครเขาได้กัน  เมื่อมีคนเขาได้นับไม่ถ้วนก็แสดงว่าไม่หนักเกินไป  พอกำลังของท่านพุทธบริษัทที่มีศรัทธาจริงจะพึงทำได้

        แล้วเรามาเจริญกันแบบไหน  จึงจะมีคุณ  นี่เราควบพุทธานุสสติ   เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้าพร้อมกับนึกว่าพุท   เวลาหายใจออกนึกว่าโธ  อย่างนี้ไม่เหนื่อยเพราะไม่ต้องเร่งการหายใจ  นี่ก็ต้องปล่อยการหายใจให้เป็นไปตามปกติ  อย่าเร่งรัดให้เร็วหรือว่าอย่าผ่อนให้ช้า  อย่ากลั้นลมหายใจ ปล่อยไปตามสบาย  บางทีสติสัมปชัญญะของเราไม่ดีพอ  การหายใจธรรมดาไม่รู้สึก  ก็เร่งหายใจให้หนักๆอันนี้ใช้ไม่ได้  ต้องปล่อยลมหายใจไปตามธรรมดา  แล้วเอาจิตของเรานี้เข้าไปวัด  จับมันเข้าไว้  นี่หายใจเข้า  นี่หายใจออก  ถ้าอารมณ์ธรรมดามันเผลอ  ก็แสดงว่าสติสัปชัญญะของเรามันเฟือนไป  จิตใจไม่ทรงอยู่ในสมาธิ  นี่เป็นเครื่องสังเกต  นี่เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

การเจริญสมาธิจิต  ในด้านอานาปานสติเป็นศัตรูกับอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน  และรำคาญในเสียงภายนอก  ตามธรรมดาของจิตเรานี่มันท่องเที่ยวมาหลายแสนกัป  ไม่มีใครบังคับมัน  หรือว่าเรามีเกณฑ์บังคับอยู่บ้างในชาติก่อนก็อาจเป็นได้  แต่ทว่าในชาตินี้เราเพิ่งมาใช้  เพิ่งบังคับ  มันก็ลืมท่าลืมทางเหมือนกัน ในระยะต้นๆเราจะมาตั้งเวลาครึ่งชั่วโมง  หนึ่งชั่วโมง  สองชั่วโมง  บังคับจิตให้อยู่ตามใจชอบนั้นมันเป็นไปไม่ได้  ต้องดูแบบฉบับที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงอธิบายไว้  ในวิสุทธิมรรค  เพราะว่าในวิสุทธิมรรคท่านอธิบายถึงวิธีบังคับจิตไว้ละเอียดดี  ว่าให้สังเกตการพิจารณาจิต  ถ้าเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมด้วยคำภาวนา  หรือไม่ภาวนาก็ตาม  ถ้าใช้ระยะเวลาที่ไม่จำกัด  จิตมันฟุ้งซ่านไม่ทรงตัว  ไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์จิตให้มันทรงตัวอยู่ได้  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้ปฏิบัติแบบนี้  คือให้นับลมหายใจเข้าออก  นับไปด้วย  หายใจเข้าหายใจออกนับเป็นหนึ่ง  นี่เป็นจังหวะที่หนึ่ง  แล้วก็หายใจเข้าหายใจออกหนึ่ง  หายใจเข้าหายใจออกสอง  นับไปถึงสอง  แล้วก็มาขึ้นต้นใหม่นับไปถึงสาม  ขึ้นต้นใหม่นับไปถึงสี่   ขึ้นต้นใหม่นับไปถึงห้า  แล้วขึ้นต้นใหม่นับไปถึงหก  เจ็ด  แปด  แล้วก็ถึงสิบ  พอถึงสิบแล้วก็ย้อนมาขึ้นต้นใหม่นับหนึ่ง  แล้วขึ้นต้นใหม่นับหนึ่งถึงสองไปตามลำดับ  ท่านให้ทำอย่างนี้ จะได้เป็นการควบคุมกำลังจิตคือนับไปด้วยจะได้ห่วงนับ  อารมณ์แห่งการรู้ของจิตมันจะหยาบไปหน่อยก็ช่างมัน  เราเอาผลกัน  เราไม่ใช่ปฏิบัติเอาปริมาณของเวลา  เราต้องการอารมณ์จิตเป็นสมาธิจริงๆ

        คราวนี้เราก็มาตั้งต้นกันว่า  ขั้นแรกเราตั้งใจนับ  1  ถึง  5  ในเกณฑ์  1  ถึง  5  นี้เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตของเราฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่นเป็นอันขาด  ต้องมีความเข้มแข็งการสร้างความดีเพื่อสวรรค์  เพื่อพรหมโลก  หรือเพื่อนิพพาน  ถ้าอ่อนแอสักแต่ว่าทำละก็ตระวังจะหลงตัวว่าเป็นผู้ได้ดีแล้วลงนรกไป  พวกนี้ไปกันมาก  คนเจริญกรรมฐานนี่ไม่ใช่ไปสวรรค์เสมอไป  ถ้าหลงตัวเมื่อไรลงนรกเมื่อนั้น  คนที่จะมีดีหรือไม่มีดีนี่เราสังเกตกันง่าย  ค้นที่มีความดี  มีสมาธิเข้าถึงใจ  เขาไม่พูดฟุ้งส่งเดช  มีจริยาเรียบร้อย  ถ้าจะพูดก็มีเหตุมีผล  ไม่สักแต่ว่าพูด  นี่เป็นเครื่องสังเกตภายนอก  สังเกตง่าย  คนที่ทรงสมาธิ  ถ้ายิ่งทรงสมาธิเป็นฌาน  ทรงฌานอยู่ด้วยแล้ว  พวกนี้ขี้เกียจพูดมากที่สุด  เห็นหน้คนแล้วก็เบื่อในการพูด  ไม่อยากจะพูด  เพราะถ้าไปพูดเข้าละมันเสียเวลาทรงสมาธิของเขา  ดีไม่ดีไปชวนเขาพูดเหลวไหลเป็นการทำฌานเขาเสื่อม  พวกนี้รังเกียจในการพูด  ถ้าไม่มีความจำเป็นแล้วเขาจะไม่พูด  นี่เป็นเครื่องสังเกต

         ถ้าเรา  จะกำหนดให้รู้ง่าย  ตั้งนับ  1  ถึง  5  ขึ้นต้น  1  แล้วขึ้นต้น  1  2  ขึ้นต้น  1  2  3  ขึ้นต้น  1  2  3  4  ขึ้นต้น  1  2  3  4  5  เอาแค่  5  นี่เท่านั้น  นี่ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าในช่วง  1  ถึง  5  นี่เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นมายุ่งกับอารมณ์จิตของเราเป็นอันขาด  ในเมื่อทรงได้ดีแล้ว  เวลานับทรงตัวอยู่ได้ดีแล้ว  อารมณ์อื่นไม่ยุ่งถึง  5  แล้ว   เลิกเลย   นี่หมายถึงว่าจิตของเรายังไม่ทรงอารมณ์พอ  ยังไม่แน่นิ่งพอ   เลิกเสียเป็นการผ่อนคลาย ในเมื่อเรามีความสบายใจ  แล้วก็มาว่ากันใหม่  นับ  1  ถึง  5  อีกสักครั้ง  ตอนเลิกนี่เลิกให้มันสบาย  คุยกันบ้าง  อ่านหนังสือบ้าง  นอนเล่นบ้าง  ฟังวิทยุบ้าง  ปล่อยมันตามสบาย   เราบังคับมันชั่วขณะหนึ่งแล้วปล่อยมันวิ่งเล่นไปตามสบาย   แล้วต่อมาก็มานับตั้งต้น  1  ถึง  5  ใหม่  จนตั้งต้น  1  ถึง  10  ในจังหวะรอบแรก  รู้สึกว่าทรงตัวได้ดี  แต่พอจิตเริ่มจะส่ายก็เลิกเสียต่อไปสักสองสามวันมีอารมณ์ชิน  มาตั้งต้น  1  ถึง  10  สัก  2  วาระ  คุมให้มันอยู่ตามจังหวะนี้  นี่ตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ให้ปฏิบัติตามนี้  นี่เขาลองทำกันมาแล้ว  คนที่ผ่านมาแล้ว  แล้วได้อยู่นี่   บุคคลผู้ใดจะไม่ปฏิบัติตามกระแสพระดำรัสขององค์สมเด็จพระบรมครูนี่ไม่มี   เขาไม่ฝืนกัน  ถ้าพวกฝืนที่บอกว่าได้  นั่นก็คือหลง  ไม่ใช่ของจริง  เป็นความหลงผิด  ความจริงไม่ได้จริง  คิดว่าได้  นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เราจะรวบรวมกำลังใจในด้านอานาปานสติกรรมฐาน

        อีกแบบฉบับหนึ่ง  นั่นก็คือว่า  เวลาที่จิตมันซ่านจริงๆ  1  ถึง  5  หรือ  1  ถึง  3  มันก็ทนไม่ไหว  อย่างนี้มันมีอยู่เหมือนกัน  บางทีวันนี้มีความสบายใจ  พรุ่งนี้จะเอาให้ได้ดีมันกลับไม่เอาเรื่องเอาราวฟุ้งซ่านบอกไม่ถูก  บังคับมันไม่อยู่อย่างนี้  องค์สมเด็จพระบรมครูทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัท  พากันปล่อยจิตไปตามอารมณ์  มันอยากคิดนี่  ควบคุมไม่อยู่แล้ว ปล่อยให้มันคิดไป  แล้วเราเอากำลังใจเข้าควบคุมไว้  มันจะคิดไปไหนให้มันคิดไป  แล้วถ้ามันเลิกคิดเมื่อไร  เราจะใช้งานให้เป็นสมาธิทันที  ท่านอุปมาเหมือนกับคนที่ฝึกม้า  ม้าตัวพยศ  ทำยังไงขณะที่มันมีแรง  เอาเข้าทางไม่ได้  จะฝึกให้เป็นไปตามอัธยาศัยที่เราต้องการไม่ได้   ในเมื่อไม่ได้จริงๆก็กอดคอมันไว้  ปล่อยให้มันวิ่งไปตามอัธยาศัย  มันอยากพยศ  วิ่งไปวิ่งไป  ถ้ามันหมดแรง  เราก็จูงเข้าทาง  มันหายพยศเพราะไม่มีแรงจะพยศ  นี่กำลังจิตของเราก็เหมือนกัน  ถ้ามันซ่านจริงๆบังคับไม่อยู่ก็อย่าไปยุ่งกับมัน  ดีไม่ดีจะเป็นโรคประสาทตาย  ท่านบอกให้ปล่อยไป  ปล่อยมันแล้วก็ควบคุมเข้าไว้  มันเลิกคิดก็ไม่เกิด  20  นาทีเป็นอย่างมาก   นี่เคยลองมาแล้ว  พอเลิกคิดปั๊บจับอารมณ์เป็นสมาธิ  กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  คราวนี้เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น  อารมณ์มันจะดึงเข้าเป็นฌานทันที  มันจะนิ่งสบาย  ดีไม่ดีครึ่งชั่วโมง  หนึ่งชั่วโมงไม่อยากเลิก  อารมณ์มันสบาย  มันเป็นฌาน

        นี่เป็นการฝึกสมาธิเบื้องต้น  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจำไว้  ถ้าจะพูดมากไปมันก็ไม่มีอะไรมาก  ก็มีเท่านี้แหละ  วิธีฝึก  เรื่องอารมณ์สมาธิในแต่ละขั้นในวันต่อไปค่อยพูดกัน

        ต่อแต่นี้ไปบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  พยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น  กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย  จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 39

โพสต์

[quote="por_jai"]:8) เข้ามาอ่าน
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 40

โพสต์

:8) ผมไปวิ่งที่ระยอง
     วิ่งไปทำสมาธิไป
     นับลมหายใจเข้าออกเป็นหนึ่งครั้ง
     นับได้ประมาณ3000ครั้ง
     จะเสียสมาธิบ้างก็ตรงหมาน้อยริมทางที่เราวิ่งเข้าไปในขันธสีมาของมัน
     มันก็เลยแสดงความเป็นเจ้าถิ่นให้เราได้รู้บ้าง
     วิ่งสำหรับผมนี่คือการปฏิบัติธรรมดีๆนี่เอง

     อ่านเรื่องค้างคาวกับงูเหลือมฟังธรรมแล้วตรงกับที่พระอาจารย์ปราโมทย์สอนเลยครับ
     ท่านว่าซีดีธรรมะของท่านไม่จำเป็นต้องฟังให้รู้เรื่อง
      ให้ฟังไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เข้าไปถึงภวังคจิตได้เอง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 41

โพสต์

ปฏาจาราเถรี

        ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  ต่อไปนี้จะขอนำเอาบุคคลตัวอย่าง  ที่ปรากฏมาใน  พระธรรมบทขุททกนิกาย  มาเล่าให้แกบรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง  เพราะจะได้เป็นเครื่องศึกษาว่า  ปฏิปทาของท่านที่ได้บรรลุมรรคผล  ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะว่าการบรรลุมรรคผลนั้น  ย่อมมีผลการบรรลุไม่เสอกัน

        สำหรับตอนนี้  จะนำเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง  ที่สำเร็จอรหัตผล  ท่านเจ้าของเรื่องมีนามว่า  นางปฏาจารา  สำหรับเรื่องราวของนางปฏาจารานี้  ขอนำเรื่องโดยพิสดาร  มากล่าวแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท  ตามพระบาลีมีดังนี้

        เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุืทธเจ้า  ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร  ในครั้งนั้น  องค์สมเด็จพระพิชิตมาร ทรงปรารภ  พระปฏาจาราเถรี  เป็นเหตุ  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ตรัสเป็นพระคาถาโดยย่อว่า  โย จ วสฺสสตํ ชีเว  เป็นต้น  ตามพระบาลีมีใจความว่า

        ดังได้สดับมานั้น  นางปฏาจารานั้น  ได้เป็นธิดาของมหาเศรษฐี  ผู้มีสมบัติถึง  80  โกฏิ  ในกรุงสาวัตถี  มีรูปงาม  ในเวลาที่นางมีอายุได้  16  ปี  มารดาบิดาต้องการจะรักษาเธอไว้ในที่ๆปลอดภัย  จึงให้นางอยู่บนปราสาท  7  ชั้น  คือ  บนชั้นที่  7

        ถึงเมื่อเป็นอย่างนั้น  ท่านกล่าวว่า  การระวังรักษาคนนั้น  บรรดาท่านพุทธบริษัท  มันไม่ใช่วัตถุ  คนมีชีวิตจิตใจ  ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า

        เมื่อบิดามารดารักษาถึงขนาดนั้น  นางก็ยังสมคบ  คือ  รักใคร่กับคนใช้คนหนึ่ง  ที่ใกล้ชิด  ห้ามกายมันห้ามได้  แต่ห้ามใจมันห้ามไม่ได้

        เป็นอันว่า  มีคนใช้คนหนึ่ง  ที่อยู่ในบ้านของนาง  รูปร่างหน้าตาดี  เป็นคนท่าทางอ่อนน้อม  จริยาวาจาไพเราะอ่อนหวาน  นางก็เกิดรักคนใช้คนนั้นขึ้นมา

        ในเวลาต่อมา  ปรากฏว่า  มารดาบิดาของนาง  ได้ตกลงกับท่านเฒ่าแก่ของชายคนหนึ่ง  ซึ่งมีชาติตระกูลเสมอกัน  ยกให้เขา  โดยที่ผู้ใหญ่เห็นสมควร  แล้วก็กำหนดทำการวิวาห์  คือ  กำหนดวันแต่งงาน

        ครั้นเมื่อวันวิวาห์  คือ  วันแต่งงาน  ใกล้เข้ามา  นางจึงได้พูดกับคนรับใช้นั้นว่า  ฉันได้ยินข่าวว่า  มารดากับบิดาของฉัน  ยกฉันให้แก่คนในตระกูลโน้น  ในเวลาที่ไม่ช้านี้  ฉันก็จะต้องแต่งงาน  เมื่อแต่งงานแล้ว  ฉันก็ไปอยู่ในบ้านผัวของฉัน  ตัวท่านเองในระหว่างเราสองคน  จะมีความรักกันมากสักเพียงใดก็ตามที  ถึงแม้ท่านจะไปหาฉัน  ถือของกำนัล  คือ  เครื่องบรรณาการ  ไปเพื่อฉัน  ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใกล้ฉันได้  ถ้าหากว่าเธอมีความรักฉันจริงๆ  ก็จงพาฉันหนีไปเสีย  ในทางใดทางหนึ่ง  ในเวลานี้ก็แล้วกัน  ถ้าเวลานี้ไม่จัดการ  ก็เป็นอันว่า โอกาสของเราจะหมดไป  ในวันหน้าไม่มีโอกาส

        คนรับใช้คนนั้น  ความจริงไม่ใช่ัรักกันเฉยๆ  เธอได้มีโอกาสร่วมรักในฐานะสามีภรรยากันลับๆ  อยู่แล้ว  จึงได้รับปากว่า  ดีละ  นางผู้เจริญ  ถ้าอย่างนั้นล่ะก็  ฉันก็จะไปยืนอยู่ที่ประตูเมือง ( ด้านทิศใดทิศหนึ่ง ตามที่ตกลงกันไว้ )  ในเวลาเช้าตรู่  แล้วขอเธอจงออกไป  ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง  ไปหาฉันที่นั้น

        เป็นอันว่า  เมื่อถึงวันที่นัดหมายกันแล้ว  เขาก็ไปกันตามนั้น  ชายหนุ่มก็ไปคอยอยู่  ฝ่ายธิดาของท่านมหาเศรษฐี  ซึ่งมีนามว่า  ปฏาจารา  ในเวลากลางคืนเข้านอน  เธอก็ห่มผ้าปอนๆ  คือ  ผ้าเก่า  แล้วสยายผมให้ยุ่ง  เอารำมาทาร่างกายเสีย  ให้ผิวมันขะมุกขะมอม  ในเวลาเช้ามืด  จึงได้ถือหม้อน้ำออกจากเรือน  ทำทีเหมือนว่า  พวกทาสีจะไปทำงาน  แล้วก็ได้ไปในที่นัดหมายกันไว้  ในเวลาเช้าตรู่

        สำหรับคนรับใช้นั้น  พานางไปไกลแล้ว  สำเร็จการอาศัยอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง  คือ  เข้าไปในป่า  ก็อยู่ในป่าอยู่ในเมืองไม่ได้  ความจริง  ขึ้นชื่อว่า  ความรัก  พระพุทธเจ้ากล่าวว่า  คนที่จะแต่งงานกัน  มีเหตุ  2  ประการด้วยกัน

             1. ปุพเพสันนิวาส  เคยเป็นสามีภรรยาร่วมกันมาในชาติก่อน  นี้อย่างหนึ่ง

             2. อีกประการหนึ่ง  อาศัยความใกล้ชิดซึ่งกันและกัน  เป็นเหตุให้เห็นใจซึ่งกันและกัน  อย่างนี้ก็รักกัน  แต่งงานกันได้

        เมื่อเธอเข้าไนป่าแล้ว  ก็ปลูกกระท่อมเล็กๆ  อยู่ในหมู่้บ้านแห่งหนึ่ง  ไถนาในป่านั้น  และก็นำฟืนบ้าง  นำผักบ้างเอาไปขาย  ฝ่ายลูกมหาเศรษฐีก็ถือหม้อน้ำมาแล้ว  ก็ทำกิจ  มีการตำข้าว  หุงข้าว  เป็นต้น  ความจริง  รักกันเสียอย่างเดียว  เรื่องฐานะไม่มีความสำคัญ  เธอไม่เคยทำงานด้วยตนเอง  อยู่บ้านก็มีคนรับใช้  แต่เมื่อมาอยู่กันตามลำพัง  เธอก็ทำงานทุกอย่างได้  แต่ใจของเธอมีความสุข  เพราะได้อยู่กับคนที่เธอรัก  ก็เสวยผลแห่งความรักของตน ที่รักคนรับใช้

        ในเวลานั้น  ปรากฏว่านางตั้งครรภ์ขึ้น และเมื่อเวลาที่มีครรภ์แก่  นางจึงได้อ้อนวอนสามีว่า  ที่หมู่บ้านนี้  ใครๆที่จะอุปการะเราก็ไม่มี  ไม่มีญาติ  ไม่มีพี่น้องที่ไหน  ตามธรรมดา  มารดาบิดานี้  จะเป็นคนใจอ่อนโยนในบุตรทั้งหลายฉะนั้น  ขอท่านจงนำฉันไปยังสำนักของบิดามารดาฉัน  ฉันจะไปคลอดบุตรที่บ้านแม่บ้านพ่อ  อย่างไรๆ  ท่านก็ไม่ฆ่าฉัน

        ท่านสามีก็คัดค้านว่า  นางผู้เจริญ  เจ้าพูดอะไร  มารดาบิดาของเจ้า  เห็นเจ้าคงจะไม่ฆ่าเจ้า  แต่ว่าเวลาเห็นฉันเข้าสิ  ดีไม่ดี  ฉันอาจจะต้องตาย  หรืออาจจะต้องถูกทรมาน  อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้  เพราะว่าขโมยลูกสาวของท่านมา  ขโมยก็ไม่ใช่ขโมยยามปกติ  ขโมยเวลาใกล้จะแต่งงานอยู่แล้ว  อย่างนี้ฉันไปไม่ได้

        เมื่อนางอ้อนวอนแล้วๆ เล่าๆ  แต่ว่าสามีก็ไม่ยอม  ในเมื่อนางไม่ได้รับความยินยอมจากสามี  ปรากฏว่า  ในวันหนึ่ง  ในเวลาที่สามีไปป่า  เธอจึงเรียกบุคคลผู้คุ้นเคย  คือ  บ้านใกล้ๆมา  แล้วก็สั่งว่า  ถ้าสามีของฉันกลับมาจากป่าถามว่า  ฉันไปไหน  ขอบรรดาพวกท่านทั้งหลายจงบอกว่า  ฉันไปสู่ตระกูลของตน

        เมื่อนางสั่งคนข้างบ้านแล้ว  จึงได้ปิดประตูเรือนจนเรียบร้อย  แล้วก็หลีกไปจากบ้าน  แล้วออกเดินทางไป  ฝ่ายท่านสามีกลับมาจากป่า  ไม่เห็นภรรยา  จึงได้ถามคนบ้านใกล้เรือนเคียง  ผู้คุ้นเคยกัน  เมื่อได้ทราบว่า  เวลานี้  ภรรยาตั้งใจจะไปบ้าน  จึงได้ติดตามไป  ด้วยคิดว่า  เราจะขอให้นางกลับ  เมื่อพบนางแล้ว  จึงได้อ้อนวอนด้วยประการต่างๆ  นางก็ไม่ยอมกลับ  ตั้งใจจะไปคลอดบุตรที่บ้าน  นี่เป็นประเพณีของพราหมณ์

        ในเวลานั้นเอง  ขณะที่อ้อนวอนกันอยู่  ท่านกล่าวว่า  ลมกัมมัชวาต  ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า  ลมเบ่ง  มันก็เกิดปั่นป่วนขึ้นในท้องของนาง  นางได้เข้าไปในระหว่างพุ่มไม้แห่งหนึ่ง  จึงได้พูดกับสามีว่า  นาย  ลมกัมมัชวาตของฉันมันปั่นป่วนขึ้นแล้ว  ลมกัมมัชวาต  ก็คือ  ลมเบ่ง  เมื่อลมเบ่งมันเกิดขึ้น  ทุกขเวทนามันก็เกิดขึ้นหนัก  นอนกลิ้ง  นอนเกลือก  อยู่ในพื้นแผ่นดิน

        ตอนนี้  คนที่เขาเจ็บท้อง  มันมีอาการเป็นอย่างไร  อาตมาไม่เคยรู้เรื่องเสียด้วย  ไม่เคยเจ็บท้อง  ทางที่ดี  ไปถามพวกผู้หญิงที่เขาเคยมีลูกก็แล้วกันว่า  เวลาเจ็บท้อง  คือ  เวลาที่ลูกมันจะออก  มันเกิดทุกขเวทนาขนาดไหน

        ขณะที่นางกลิ้งเกลือกอยู่นั้น  เด็กก็คลอดออกมา  ไม่ต้องมีหมอตำแย  ก็ดีเหมือนกัน  เป็นอันว่า  เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว  เขาทั้งสองจึงหารือกันว่า  การที่จะไปสู่เรือนของตระกูลนั้น  มันไม่มีประโยชน์  เพราะว่าการจะไปที่นั้น  ก็มีความประสงค์อย่างเดียว  จะไปคลอดบุตรที่นั่น  เวลานี้บุตรก็คลอดแล้ว  จึงได้ตกลงกลับมาบ้าน  ด้วยสามีสำเร็จการอยู่ด้วยกันต่อไป

        ในพระบาลีท่านกล่าวว่า  ในสมัยต่อมาอีก  นางก็ตั้งครรภ์อีก  เป็นวาระที่สอง  นางเป็นผู้มีครรภ์แก่แล้ว  ก็ได้อ้อนวอนสามีเหมือนกับครั้งที่แล้ว  แต่ว่าสามีก็ไม่ยอมตามเดิม  เมื่อเวลาที่สามีไม่อยู่  เข้าไปในป่า  นางจึงได้อุ้มบุตรคนเดิมด้วยสะเอว  แล้วก็พาท้องที่กำลังใหญ่นั่นแหละ  เดินออกจากบ้านไป

        ในกาลต่อมา  ปรากฏว่า  สามีก็ติดตามไปพบกันในระหว่างทาง  ชักชวนจะให้เธอกลับ  ในเวลานั้น  เมื่อเขาทั้งสองยังเดินอยู่  และก็อ้อนวอนกันอยู่  ท่านกล่าวว่า  มหาเมฆ  อันมิใช่ฤดูกาลที่จะเกิดฝน  ก็บังเกิดขึ้น  ความจริง  มันเป็นฤดูแล้ง  ฝนไม่น่าจะตก  เมฆตั้งขึ้นอย่างหนัก  ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆ  มีท่อธารตกลงมา  หมายความว่า  ฝนมันตกใหญ่  ตกอย่างหนัก  สายฟ้าก็แลบ  ปรากฏว่า  โดยรอบๆ  มันมืดไปหมด  น้ำก็เต็มไปหมด  แลดูฟ้าก็แลบแปลบปลาบ  เสียงท้องฟ้าดังครืนครั่นน่ากลัว  คล้ายๆกับว่า  จะทำลายเธอทั้งสองให้พินาศไปด้วยอำนาจแห่งเมฆนั้น

        ในขณะเดียวกันนั้นเอง  ปรากฏว่า  ลมกัมมัชวาต  คือ  ลมเบ่ง  ก็เกิดขึ้นแก่นางอีก  นางจึงเรียกสามีมาว่า  นาย  ลมกัมมัชวาตของฉัน  มันปั่นป่วนขึ้นแล้ว  ฉันไม่อาจที่จะทนต่อไปได้  และก็ไม่อาจจะเดินต่อไปได้  ขอท่านจงรู้สถานที่  ที่ฉันจะพึงคลอดบุตร  ว่า  สถานที่ไหน  ฝนไม่รดเปียก  และก็เหนือน้ำที่จะหลั่งไหลมาเวลานี้  ขอท่านได้โปรดหาที่  ที่นั้นให้ฉันด้วยเถิด

        ฝ่ายสามีที่มีมีดอยู่ในมือ  ก็เดินไปตรวจข้างโน้นบ้าง  ข้างนี้บ้าง  เห็นพุ่มไม้  ซึ่งเกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหนึ่งเห็นว่าที่นี้เป็นที่เหมาะ  บนจอมปลวกสูง  น้ำฝนไม่สามารถจะไหลท่วมมา  ต้นไม้ก็เป็นพุ่ม  อาศัยจงอยปลวก (ยอดปลวก)  ที่มันชะเง้อออกมา  สามารถจะบังฝนได้  จึงได้เริ่มตัดไม้ในเวลานั้น

        ในขณะเดียวกัน  ท่านกล่าวว่า  งูตัวที่มีพิษร้ายกาจ  มันก็เลื้อยออกมาจากจอมปลวก  เพราะมันหนีฝนมาเหมือนกัน  ออกมาแล้วมันก็กัดเขา  คือ  สามีของนางปฏาจารา  ลงถึงแก่ความตายในขณะนั้น  ปรากฏว่า  สรีระของเขา  มีสีเขียวดังเปลวไฟ  ที่ตั้งขึ้นในภายในนั้น  หมายความว่า  หนังไหม้  เพราะพิษของงูมันร้าย  เธอก็ล้มลง  แล้วขาดใจตายที่นั้น

        ฝ่ายภรรยา  คือ  ปฏาจารา  ยืนคอยสามีอยู่  ฝนก็ตกหนัก  ลมกัมมัชวาต  ลมเบ่ง  มันก็เกิด  ท้องมันก็ปวด  เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส  มองดูทางมาของสามีว่า  สามีของเราไปทางนี้  เมื่อไหร่เขาจะมาสักที  มองเท่าไหร่ๆ  ก็มองไม่เห็นเขา  เวลานั้น  การคลอดบุตรก็เกิดขึ้น  นางก็คลอดบุตรคนเดียว

        เป็นอันว่า  ทารกทั้งสองทนความหนาวด้วยอำนาจของลมและฝนไม่ได้  ก็ร้องไห้ลั่น  นางจึงเอาทารกทั้งสองคนนั้นไว้ในระหว่างอก  หมายความว่า  เอาไว้ในระหว่างท้อง  แล้วนางก็ยืน  2  ขา  เอาแขนอีก  2  แขน  เท้าลงไปกับพื้นเป็นอันว่า  ยืนคร่อมลูกทั้งสองไว้  เพื่อต้องการจะไม่ให้ลูกทั้งสองถูกน้ำฝน  ที่มันตกลงมาจากฟ้า  แต่ทว่าน้ำฝนที่มันไหลมากับพื้น  มันถูกลูก

        ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า  ร่างกายของลูกทั้งสิ้น  เป็นไปเหมือนกับใบไม้้เหลือง  คำว่า  ใบไม้เหลือง  นี่ตัวมันซีดเพราะมันหนาวจัด  ความจริง  มันน่าจะตายเสียตั้งแต่เวลากลางคืน  ท่านแม่ก็หนัก  คลอดบุตรเสียเลือด  เสียน้ำ  เสียกำลัง  ลูกก็เล็กทั้งสองคน  น้ำก็ท่วม  ฝนก็ตกตลอดคืน  ลองคิดดู  ท่านพุทธบริษัท  ว่า  การมีลูก  มีผัว  มันลำบากขนาดไหน

        เป็นอันว่า  สามีก็หายไป  ไม่เห็นกลับมา  ทุกขเวทนาก็เบียดเบียนใจของนางหนักขึ้น  ร่างกายก็หนาว  สงสารลูกก็สงสาร  สงสารตัวก็สงสาร  มองหาผัวก็ไม่มา  คืนยันรุ่งก็ไม่ได้นอน  ตั้งท่านยงโย่ยงหยก  เอาร่างกายเป็นร่มบังฝนสำหรับลูกอยู่อย่างนั้น

        เมื่อเวลารุ่งสาง  นางจึงได้อุ้มบุตรคนหนึ่ง  ซึ่งมีสีเหมือนกับชิ้นเนื้อ  คือ  บุตรคนเล็ก  ใสสะเอว  แล้วก็จูงบุตรคนโตด้วยนิ้วมือ  แล้วกล่าวว่า  พ่อ  จงมาเถิดพ่อ  พ่อของเจ้าเขาเดินไปในทางนี้  ไปดูทีเถิดว่า  เวลานี้พ่อเจ้าอยู่ที่ไหน  นางก็พาลูกน้อยคนหนึ่ง  พาจูงเดินไปอีกคนก็อุ้มไป  ไปทางที่สามีไปเมื่อตอนเย็น  ขณะไปถึงที่สามี  ที่นอนตายอยู่  นางก็เห็นว่า  สามีของนาง  ล้มลงตายบนจอมปลวก  ร่างกายมีสีเขียว  ตัวแข็งกระด้าง  นางเสียใจร้องไห้รำพันว่า  เพราะอาศัยเรา  สามีของเราจึงตายที่หนทางเปลี่ยว

        เป็นอันว่า  ตอนนี้ทุกขเวทนา  บีบคั้นนางอย่างหนัก  ในขณะนั้นเอง  นางจึงได้ตัดสินใจว่า  เวลานี้สามีของเราก็ตาย  ที่พึ่งก็ไม่มี  จะต้องมีบิดาและมารดาเป็นที่พึ่ง  ตอนนี้ต้องเดินทางกลับบ้านกันแน่  ทำอย่างไรๆ  พ่อแม่จะตี  จะฆ่า  จะด่า  จะว่า  ก็ยอมทุกอย่าง  หมดทางแล้ว

        ฉะนั้น  นางแก้วจึงได้เดินทาง  หวังจะไปบ้าน  ขณะที่เดินทางไป  ก็มีแม่น้ำขวางหน้าอยู่แม่น้ำหนึ่ง  ความจริง  แม่น้ำนี้มันไม่ลึก  แต่มันกว้าง  แม่น้ำนี้ชื่อว่า  แม่น้ำอจิรวดี  ที่เต็มไปด้วยน้ำมีปริมาณสูงเพียงเข่า  แต่ว่าในที่บางแห่งก็สูงเพียงนม  ก็ไม่ลึกนัก  ทั้งนี้ก็เพราะว่า  ฝนที่ตกตลอดคืนยันรุ่ง  ทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นมากขึ้นมา  ปกติน้ำในแม่น้ำนี้มันจะน้อย  แต่ว่าแม่น้ำในป่านี้มันจะเป็นต้นน้ำ

        เธอจึงคิดในใจว่า  น้ำนี้  เราไม่สามารถจะนำบุตรของเราทั้งสองคนนี้  ข้ามไปพร้อมกันได้  เพราะว่าตนเป็นคนที่มีความรู้อ่อน  ที่เรียกว่า  ความรู้อ่อน  ก็เพราะว่า  ไม่เคยลำบากลำบนมาเลย  เป็นลูกเศรษฐี  มีหน้าที่ใช้เขาอย่างเดียวเรื่องการมีลูกมีเต้า  ก็ไม่เคยลำบากขนาดนี้

        นางจึงเอาบุตรคนใหญ่วางไว้ฝั่งนี้  แล้วก็เอาบุตรคนเล็กอุ้มข้ามฝั่งไปวางไว้ฝั่งโน้น  ความจริงจะเอาไปพร้อมกันก็ได้  ขณะที่อุ้มบุตรคนเล็กไปวางไว้ฝั่งโน้นแล้ว  ขณะที่วาง  ก็เอาใบไม้มาปูลาดเข้า  แล้วก็วางลูกไว้  ให้นอนบนใบไม้  คิดว่า  เราจะกลับไปรับลูกคนใหญ่  แต่เธอก็มีความห่วงใยลูกคนเล็ก  เดินเหลียวไปเหลียวมา  เหลียวมาเหลียวไปเหลียวหน้าเหลียวหลัง  อยู่อย่างนั้น

        ในเวลาที่นางเดินมาถึงกลางแม่น้ำ  ในเวลาเดียวกันนั้น  ก็ปรากฏว่า  มีเหยี่ยวหนึ่งบินมาในอากาศ  เห็นลูกชายคนเล็กของนางเข้า  ก็คิดว่า  ก้อนเนื้อ  จึงได้โฉบลงมาจากอากาศ  ด้วยมีความสำคัญว่า  ชิ้นเนื้อชิ้นนี้มันใหญ่จริงๆ  น่ากินเหลือเกิน  นางเมื่อเห็นเหยี่ยว  เฉี่ยวโฉบลงมาอย่างนั้น  เพื่อต้องการบุตร  นางจึงได้ยกมือทั้งสองขึ้น  เพื่อจะส่งเสียงดัง  เพื่อจะไล่นก  เหยี่ยวไม่ได้ยินเสียงนางนั้นเลย  เพราะมันตั้งใจจะกิน  และที่มันก็ไกลกัน  จึงได้เฉี่ยวเอาเด็กบินขึ้นไปสู้บนอากาศ  ลูกคนเล็กไปแล้วหนึ่งคน

        ท่านกล่าวว่า  ลูกคนโตที่ยินอยู่ฝั่งนี้  ได้ยินเสียงมารดายกมือยกไม้สองข้าง  ได้ยินเสียงดังอย่างนั้นที่กลาแม่น้ำก็คิดว่า  แม่เรียกให้ตัวไปหาเร็วๆ  จึงได้กระโดดลงไปในน้ำ  จะไปหาแม่  และก็ถูกน้ำพัดไป  ไหลไปตามกระแสน้ำ

        นางเดินร้องไห้รำพันว่า  บุตรของเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป  และอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไป  สามีก็ตายในทางเปลี่ยวเธอร้องไห้อยู่แบบนี้  ขณะที่เดินมาในระหว่างทาง  โดยที่มีความตั้งใจว่า  จะไปหาบิดาและมารดา  ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีใหญ่  เพราะว่าเธอหมดที่พึ่ง  หมดที่อาศัย  มีความรู้สึกว่า  บิดามารดาก็คงไม่ฆ่าลูก  หรือถ้าพ่อแม่จะตี  จะด่า  จะว่า  ประการใดก็ตามที  ก็ขอยอมรับ  ตกลงตัดสินใจไปหาบิดาและมารดา  แล้วก็ร้องตะโกนไปในระหว่างทาง  เพราะความคลุ้มคลั่งเสียใจ  ที่บรรดาบุตรน้อยทั้งสองคนตาย  และสามีก็ตาย  หมดที่พึ่ง  ที่อาศัย  ถ้าเราเป็นเขาบ้าง  ก็ลองคิดดูว่า  อารมณ์จิตใจขณะนั้น  จะมีความรู้สึกเป็นอย่างไร

        ในระหว่างที่เดินทางไป  เพื่อจะหาบิดามารดา  ก็พบชายคนหนึ่ง  เดินมาจากกรุงสาวัตถี  ก็เป็นที่ๆบิดามารดาของเธออยู่  เธอจึงได้ถามชายบุคคลนั้นว่า  พ่อคุณ  พ่อมหาจำเริญ  พ่ออยู่ที่ไหนจ๊ะ  ชายคนนั้นก็ตอบว่า  ฉันอยู่ที่กรุ่งสาวัตถี  แม่  สำหรับปฏาจาราซึ่งเป็นธิดาของมหาเศรษฐี  จึงถามว่า  ท่านรู้จักตระกูลเศรษฐีชื่อนั้นเห็นปานนี้  หมายความว่า  ถามถึงบิดามารดาในกรุงสาวัตถี  แต่ไม่ได้บอกเขาว่า  เป็นพ่อ  เป็นแม่  ถามว่า  ท่านรู้จักท่านมหาเศรษฐีชื่อนั้นไหม  สามีชื่อนั้น  มีภรรยาชื่อนั้น

        สำหรับบุรุษคนนั้นก็ตอบว่า  แม่  ฉันทราบดีจ๊ะ  แต่ว่าเธอจะถามฉัน  ถึงบุคคลตระกูลนั้น  เพื่อประโยชน์อะไร หากว่าจะถามถึงคนอื่นล่ะก็  ควรจะถาม  ถ้าถามถึงท่านมหาเศรษฐี  หรือภรรยาท่านมหาเศรษฐี  ลูกชาย  ลูกสาวท่านมหาเศรษฐีนี้  อย่าถามเลย

        ตอนนี้  ปฏาจาราก็สงสัย  จึงได้ถามเขาว่า  กิจอื่นที่ฉันต้องการจะพบคนอื่น ไม่มี  ฉันต้องการคนๆเดียว  คือคนในตระกูลนั้น  มหาเศรษฐีตระกูลนี้  เท่านั้น  สำหรับบุคคลอื่นไม่เกี่ยว  ฉันจึงถามถึงเขา

        สำหรับบุรุษผู้นั้นก็บอกว่า  แม่  อย่าถามเลย  ตระกูลนี้ไม่ควรจะถาม  แกก็พูดเป็นปัญหาอยู่นั่น  จะบอกตรงๆแกก็ไม่บอก  สำหรับปฏาจาราก็บอกว่า  พ่อคุณ  กรุณาบอกฉันเถิด  รู้จักหรือเปล่า  เวลานี้ท่านอยู่เป็นสุขสบายมั้ย  สำหรับชายคนนั้นก็บอกว่า  แม่คุณ  จะบอกให้ฟัง  วันนี้แม่เห็นฝนตกไหม  เมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา  ฝนมันตกคืนยันรุ่ง  แม่มหาจำเริญ  เธอทราบบ้างหรือเปล่า  ปฏาจาราจึงได้บอกว่าทราบ  พ่อ  สำหรับฝนเมื่อคืนนี้  ตกยันรุ่ง  แต่ทว่าฉันคิดว่า  ฝนที่ตกนี้  ฝนมันตกแต่เฉพาะที่ฉันเท่านั้น  ไม่ใช่ตกเพื่อบุคคลอื่นเลย   เธอก็ไม่ได้บอกเรื่องของเธอ  แต่ว่าฉันจะบอกเหตุ  ที่ฝนตกเพื่อฉันแก่ท่านต่อภายหลัง

        หมายความว่า  เธอบอกว่า  ฝนเมื่อคืนนี้  ที่ท่านบอกว่า  มันตกหนัก  มีทั้งฝน  และลม  มันตกเฉพาะเพื่อฉัน  ไม่ใช่เพื่อคนอื่น  แต่เรื่องนี้ฉันจะบอกภายหลัง   ลำดับนั้น   ขอท่านโปรดบอกความเป็นไป   ในเรือนของท่านมหาเศรษฐีนั้นด้วย

        สำหรับบุรุษนั้นจึงบอกว่า  แม่คุณ  วันนี้  ในเวลากลางคืน  มหาเศรษฐีที่เธอถามนั่นแหละ  ฝนมันตกหนักและลมก็พัดจัด  บ้านเรือนก็พังหมด  ทรัพย์สินทั้งหลายถูกลมและฝนทำลายสิ้น  ทับเอาคนทั้ง  3  คนตายไป  คือ

             1. ท่านมหาเศรษฐี

             2. ภรรยาของท่านมหาเศรษฐี

             3. บุตรชายของท่านมหาเศรษฐี

        คนทั้งสามนี้  ตายไปพร้อมๆกัน  เมื่อคืนนี้  และในเวลานี้  ชาวบ้านเขาเอาศพท่านเศรษฐีพ่อ  เศรษฐีแม่  เศรษฐีลูก  เอาไปเผาอยู่ที่เชิงตะกอนอันเดียวกัน  ( เชิงตะกอน  หมายความว่า  ที่เผาศพ )  ในขณะที่ฉันมา  ควันไฟมันยังไม่หมด  ถ่านเพลิงก็ยังลุกอยู่  ไฟก็ยังลุกอยู่  นางปฏาจาราเมื่อได้ฟังชายคนนั้นบอกเพียงเท่านั้น  ความเสียใจจากบุตรทั้งสองตายไปต่อหน้าต่อตา  คือ  คนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป  อีกคนถูกน้ำพัด  และสามีอันเป็นที่รักของเธอก็ต้องมาตายเพราะอาศัยเธอ  จึงถูกงูกัดตาย  ความทุกข์หนักปรากฏกับนางอยู่แล้ว  และเมื่อนางแก้วได้รับฟังว่า  บิดามารดา  และพี่ชาย  ตาย  ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย  ต้องถูกถล่มถลายไปด้วยลมและฝน  ความเดือดร้อนมันก็เกิดขึ้น  ความเสียใจก็เกิดขึ้นในขณะนั้น  ยับยั้งไม่อยู่

        ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า  นางไม่รู้สึกตัว  เปลื้องผ้า  สยายผม  ปล่อยให้ผ้าผ่อนหลุดลุ่ยไปหมด  มีอาการวิกลวิกาลเหมือนคนวิกลจริต  ยืนตะลึงอยู่  แล้วก็ร้องรำพันไปว่า  บุตรทั้งสองคนตายแล้ว  สามีของเราก็ตายแล้ว  ที่ทางเปลี่ยว  บิดามารดา  และพี่ชาย  ก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน  และความตายทั้งหมดนี้  เป็นความตายในคืนเดียวกัน  เป็นอันว่า  เราเป็นผู้มีกรรมหนัก  ต้องเป็นผู้มีอันที่จะต้องล้มละลาย  ฉิบหายไปเสียหมด  ผัวตาย  ลูกตาย  พ่อตาย  xxxxx  พี่ตาย  ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกถล่มถลายลงมา  ในเมื่อไม่มีคนปกครอง  คนเขาก็ยื้อแย่งไปหมด  เราหมดที่พึ่ง  เธอมีสติเหมือนกับคนบ้า  คือ  เป็นคนไร้สติ

        เป็นอันว่า  คนทั้งหลายเขาเห็นนางแล้ว  เขาเข้าใจว่า  นางเป็นหญิงบ้า  บอกว่า  หญิงบ้ามาแล้วๆ  เขาว่ากันอย่างนั้น  ทุกคนจึงถือเอาหยากเยื่อ  กอบฝุ่นบ้าง  เอาก้อนดินบ้าง  โปรยไปที่ศรีษะเธอบ้าง  ขว้างไปที่ศรีษะเธอบ้าง  เป็นอันว่า  เธอทุกข์อยู่แล้ว  ก็ถูกคนทั้งหลาย  ซึ่งมีความเข้าใจผิดว่า  เธอเป็นคนบ้า  ถูกเขาไล่เขาตีอีกอารมณ์กลุ้ม  มันก็หนักขึ้น

        ในข้อนี้ท่านทั้งหลาย  จงนึกถึงพระบาลี  ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  ปิยโต ชายเต โสโก  ปิยโต ชายเต ภยํ  ซึ่งแปลเป็นใจความว่า  ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรัก  ภัยอันตรายเกิดจากความรัก  ปฏาจาราสิ้นคนรักทุกคน  สามีเป็นที่รัก  ก็สิ้นไปแล้ว  พี่ชายเป็นที่รัก  ก็สิ้นไปแล้ว  ทรัพย์สินทั้งหลาย  ที่จะเป็นเครื่องยังประโยชน์  ให้สำเร็จแห่งความสุขในสมัยที่มีชีวิต  ก็หมดไปแล้ว  เธอเป็นคนหมดตัวทุกอย่าง  ไม่ใช่หมดแค่ทรัพย์สิน  หมดทั้งที่พึ่งด้วย

        เป็นอันว่า  เกิดมา  ท่านบอกว่า  ชาติปิ ทุกขา  ความเกิดเป็นทุกข์  โลกนี้หาอะไรเที่ยงไม่ได้  ชีวิตคนก็ไม่เที่ยง  ชีวิตสัตว์ก็ไม่เที่ยง  ทรัพย์สินก็ไม่เที่ยง  เมื่อมันไม่เที่ยงแล้ว  ก็มีการสลายตัวไปในที่สุด  ทุกท่านอ่านแล้วก็คิดตามด้วย  เอามาเปรียบเทียบกับตัวเรา  ถึงตัวเราจะไม่เป็นปฏาจารา  แต่ก็คิดว่า  ในที่สุด  ในวันหน้าถ้าอาการอย่างนี้จะไม่ปรากฏเหมือนนางปฏาจารา  แต่สักวันหนึ่งข้างหน้า  บิดามารดาเป็นที่รักของเรา  ท่านก็ต้องตาย  คนทั้งหมดที่เรารักก็ต้องตาย  ตัวเราเองก็ต้องตาย  ทรัพย์สินทั้งหลาย  เราจะมีสิทธิ์ปกครองจากที่ไหน  เป็นอันว่าโลกไม่เที่ยง  พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า  จงอย่ายึดถืออะไรทั้งหมด  ในมหาสติปัฏฐานสูตร  ขอเล่ากันต่อไป

        สมเด็จพระบรมศาสดาประทับนั่ง  แสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัททั้ง  4  คำว่า  บริษัท  4 คือ

             ภิกษุ  ได้แก่  พระผู้ชาย

             ภิกษุณี  พระผู้หญิง

             อุบาสก  คนนับถือพระศาสนาที่เป็นผู้ชาย

            อุบาสิกา  คนนับถือพระศาสนาที่เป็นผู้หญิง

        ในพระเชตวันมหาวิหาร  ที่กรุงราชคฤห์มหานคร  องค์สมเด็จพระชินวรได้ทอดพระเนตรเห็น  นางผู้บำเพ็ญมีมาตั้งแสนกัป  และมีความสมบูรณ์ไปด้วยอภินิหาร  เดินมา  องค์สมเด็จพระบรมครู  รู้ถึงอดีตของกรรมว่า  ผลที่บางบำเพ็ญมาแล้วในกาลก่อน  จะเป็นปัจจัยให้เธอบรรลุอรหัตผล  เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา  แต่ว่ากรรมที่เธอได้รับมาจะเป็นเรื่องอะไำรนั้น  ท่านไม่ได้บอก  เล่าเรื่องของท่านต่อไป

        ท่านกล่าวว่า  ได้ยินว่า  ในอดีตกาล  ในกาลแห่งพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระปทุมุตระ  นางปฏาจารานั้นเห็นพระเถรีผู้ทรงพระวินัยรูปหนึ่ง  อันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุืทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระปทุมุตระ  ทรงตั้งไว้ในตำหน่ง  เอตทัคคะ  คือ  ผู้เป็นเลิศ  เหมือนกับท้าวสักกะ  มาจับที่แขน  ตั้งไว้ในสวนนันทวัน  ไม่รู้ว่า  เลิศทางไหนจึงทำความดีแล้ว  ตั้งมโนปณิธานปรารถนาว่า  แม้หม่อมฉัน  ก็พึงได้เป็นผู้มีตำแหน่ง  เลิศกว่าบรรดาเถรีทั้งหลายในด้านพระวินัยปิฏก

        เป็นอันว่า  พระเถรีรูปนั้น  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระปทุมุตระ  คงจะตั้งไว้ในตำแหน่ง  เป็นผู้เลิศในด้านพระวินัย  นางจึงได้สร้างความดี  มีการทำบุญ  ทำกุศล  สมาทานรักษาศีล  เจริญสมถภาวนา  วิปัสสนาภาวนา  ตามแบบฉบับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  จึงได้ตั้งมโนปณิธานไว้อย่างนั้นว่า  ขอหม่อมฉันต่อไปในภายภาคหน้า  จงเป็นผู้เลิศกว่าหญิงทั้งหลาย  ในด้านพระวินัยปิฏก  แล้วก็กล่าวต่อไปว่า  ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  องค์ใดองค์หนึ่ง  ไม่จำกัดลงไป

        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า ปทุมุตระทรงเล็งด้วย  อนาคตังสญาณ  คือ  ญาณที่รู้ไปข้างหน้าโน้น  ในอนาคตก็ทรงทราบว่า  ความปรารถนาของเธอจะสำเร็จ  จึงทรงพยากรณ์ว่า  ในอนาคตกาล คือ  กาลต่อไปข้างหน้า  หญิงผู้นี้จะได้เป็นผู้เลิศกว่าพระเถรีทั้งหลาย  ในด้านพระวินัย  โดยมีนามว่า  ปฏาจารา  ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม

        เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระปทุมุตระ  ทรงทราบแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จึงได้ทรงพยากรณ์ตามนั้น

        เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา  ทรงเห็นนางผู้มีความปรารถนามาแล้วด้วยดี  มาอย่างนั้น  และเป็นผู้สมบูรณ์ไปด้วยอภินิหาร  ควรจะได้อรหัตผล  และเป็นผู้ทรงในพระวินัย  เป็นผู้เลิศกว่าหญิงทั้งหลายที่บวชเป็นพระในด้านพระวินัย

        เมื่อเธอกำลังเดินเข้ามาในที่ไกล  จึงได้ทรงดำริว่า  ถ้าเว้นเราเสียแต่ผู้เดียว  ผู้อื่นที่ชื่อว่า  สามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้  จะหาไม่ได้  พระองค์จึงได้ทรงทำนางโดยประการหนึ่ง  หมายความว่า  ด้วยอำนาจกำลังฤทธิ์  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ให้นางเดินตรงมาสู่พระมหาวิหาร  ชื่อว่า  พระเชตวัน

        เวลานั้น  ปรากฏว่า  บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายเห็นเธอเข้า  ก็มีความเข้าใจว่า  เป็นหญิงบ้า  จึงได้พากันเอาไม้บ้าง  ท่อนฟืนบ้าง  ก้อนหินบ้าง  ไล่ตีนาง  ขับออกไป  ไม่ให้นางเข้ามาในมหาวิหาร  สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า  โภ ปุริส  ดูกรท่านผู้เจริญ  ขอพวกท่านจงหลีกไป  ขอท่านทั้งหลายจงอย่าห้ามเธอ  จงปล่อยให้เธอเข้ามาให้ใกล้  มาถึงเราตรงนี้

        แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ตรัสว่า  ภคินี  ดูกรน้องหญิง  ขอเธอจงเป็นผู้มีสติมาเถิด  หมายความว่า  เธอจงกลับได้สติตามเดิมเถิด  ทั้งนี้ก็เพราะว่า  จะได้ท่านเป็นผู้สงเคราะห์  ในการสืบเนื่องซึ่งกันและกัน ( อย่าลืมว่า  นับตั้งแต่พระปทุมุตระมา  กว่าจะถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดมนี้  พระพุทธเจ้าทรงผ่านมาหลายองค์  แต่ทว่านางก็ไม่ได้มรรคผลในชาตินั้น  ต้องมาได้ในชาตินี้  ตามที่พระปทุมุตระทรงพยากรณ์ )

        เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรตรัสอย่างนั้น  นางก็กลับได้สติด้วยอำนาจพุทธานุภาพในขณะนั้นเอง  ในเวลานั้นนางได้กำหนดความหมายว่า  มีความรู้สึกตัวว่า  เราไม่ได้นุ่งผ้า  เราไม่ได้ใส่เสื้อผ้า  ปล่อยตัวเป็นชีเปลือย  ชักอายจึงเกิด  หิริ  และโอตตัปปะ  คือ  ความละอายแก่ใจ  จึงได้นั่งกระโหย่ง  เป็นการปิดบังอวัยวะที่ควรจะสงวน

        ในขณะนั้นเอง  บุรุษผู้หนึ่งจึงได้โยนผ้าห่มผืนหนึ่งให้แก่นาง  นางนุ่งห่มผ้าห่มผืนนั้นแล้ว  ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐิ์  อยู่ใกล้พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านกล่าวว่า  พระพุทธเจ้าสวย  มีผิวเหมือนกับทองคำ

        จึงได้กราบทูลว่า  ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่หม่อมฉันด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า  เพราะว่า  เหยี่ยวเฉี่ยวบุตรของหม่อมฉันไปคนหนึ่งพระเจ้าข้า  และบุตรอีกคนหนึ่งก็ถูกน้ำพัดไป  สามีตายที่ทางเปลี่ยว  มารดาบิดา  พี่ชาย  ถูกเรือนทับตาย  เขาเผาอยู่บนเชิงตะกอนเดียวกัน

        เมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดา  สดับคำของนาง  จึงได้ตรัสว่า  อย่าคิดเลย  ปฏาจาราน้องหญิง  ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า  น้องหญิง  ก็เพื่อ  ให้เธอเบาใจว่า  มีที่พึ่ง  เธอมาสู่สำนัก  ของผู้สามารถที่เป็นที่พึ่งของเธอได้แล้ว  เธอจงอย่าคิดว่า  บัดนี้บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป  บุตรคนหนึ่งของเธอถูกน้ำพัดไป  สามีตายที่ทางเปลี่ยว  มารดาบิดา  และพี่ชาย  ถูกเรือนทับตาย  ฉันใด  น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้  เพราะอยู่ในสังสารวัฏนี้ในเวลาที่ปิยชน  คือ  คนเป็นที่รัก  มีบุตร  เป็นต้น  ตาย  ความจริง  น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่  ยังน้อยกว่าน้ำน้ำตาของเธอที่ร้องไห้  เพราะอาการตายของคนทั้งหลายแบบนี้  มานับไม่ถ้วน  ท่านว่าอย่างนั้น

        เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้สติว่า  ขึ้นชื่อว่า  ความตาย  ที่ต้องพลัดพรากจากกันและกัน  ในระหว่างบุตรก็ดี  ธิดาก็ดี  สามีก็ดี  บิดามารดาก็ดี  พี่ก็ดี  ทรัพย์สินก็ดี  ถึงแม้ว่าจะไม่ตายด้วยอาการอย่างนี้  แต่ก็ตายมาแล้วในอดีตชาติ  มีอยู่เป็นปริมาณมากมาย  น้ำตาที่ไหลมาทีละน้อยๆ  มันมากกว่าน้ำในมหาสมุทร

        องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสเป็นพระคาถาว่า  น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่  มีประมาณน้อย  น้ำตาของบุคคลผู้อันทุกข์ถูกต้องแล้ว  เศร้าโศก  ไม่ใช่น้อย  มากกว่าน้ำในมหาสมุทรนั้น  เหตุไรเธอจึงจะประมาทอยู่

        เมื่อพระศาสดาตรัสสอนอย่างนั้นแล้ว  ความเศร้าโศกในสรีระของนางก็เบาบางลง  ถือว่า  มันเรื่องธรรมดาเราจะมานั่งเศร้านั่งโศกอยู่  เพื่อประโยชน์อะไร

        ลำดับนั้น  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  เห็นนางมีความเศร้าโศกเบาบางแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงเตือนอีกว่า  ปฏาจารา  น้องหญิง  ขึ้นชื่อว่า  ปิยชน  มีบุตร  เป็นต้น  ปิยชน  แปลว่า  คนเป็นที่รัก ไม่อาจเพื่อเป็นที่ต้านทาน  เป็นที่พึ่ง  หรือว่าเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลก  คือ  บุคคลที่จะตาย  ได้ คนเราถ้าจะตาย  ไม่มีอะไรที่จะป้องกันได้ เพราะฉะนั้น  บุตรเป็นต้น  เหล่านั้นถึงแม้จะมีอยู่  ก็ขึ้นชื่อว่า  เหมือนไม่มี  เพราะเวลาที่เราจะตาย  ลูกเต้าพ่อแม่  ช่วยเราไม่ได้  เราก็ต้องตาย  ส่วนบัณฑิตที่ชำระศีลดีแล้ว ( บัณฑิต  แปลว่า  ผู้รู้ คือ  ผู้รู้ที่ชำระศีลสะอาดแล้วคือ ศีล หมดจดไม่บกพร่อง ) ควรชำระทางที่ยังสัตว์  ให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้น  หมายความว่า  เมื่อทำศีลบริสุทธิ์แล้ว  ก็ตั้งใจเพื่อพระนิพพาน  ทำการทำลายกิเลสที่มีอยู่ในใจให้พินาศไป  เมื่อกิเลสหมดเมื่อไหร่  ก็ถึงพระนิพพานเมื่อนั้น

        หลังจากนั้นเอง  องค์สมเด็จพระภควันต์  จึงได้ตรัสเป็นพุทธภาษิตว่า  บุตรทั้งหลาย  ไม่มีเพื่อจะต้านทานบิดามารดาก็ไม่มี  ถึงพวกพ้องก็ไม่มี  เมื่อบุคคลถูกความตายเข้าครอบงำแล้ว  ความต้านทานในญาติทั้งหลาย  ไม่สามารถจะต้านทานได้  บัณฑิตทราบอำนาจประโยชน์นั้นแล้ว  จึงสำรวมในศีล  คือ  ทำศีลให้บริสุทธิ์  พึงชำระทางไปนิพพานโดยรวดเร็ว  คือ  ทำจิตละ  อวิชชา

        ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา  นางปฏาจารา  เผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินแล้ว  ก็ตั้งอยู่ใน  โสดาปัตติผล  ในชนทั้งหลาย  เหล่าอื่นเป็นอันมาก  ก็บรรลุมรรคผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผล  เป็นต้น

        ฝ่ายนางปฏาจารา  เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว  ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ขอบรรพชากับพระศาสดาพระศาสดา  คือ  พระพุทธเจ้า  ได้ส่งนางไปยังสำนักของนางภิกษุณี  ให้บรรพชาแล้ว  นางอุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า  ปฏาจารา  เพราะนางกลับความประพฤติได้  หมายความว่า  เสียใจเลิกแล้ว  ไม่เสียใจต่อไป  ถือเป็นเรื่องธรรมดา

        วันหนึ่งนางกำลังเอาน้ำมา  ตักน้ำมาล้างเท้า  เทน้ำลงไป  น้ำนั้นก็ไหลไปหน่อยหนึ่ง  แล้วก็ขาด  คือ  ไปหยุดอยู่เทน้ำไปครั้งที่สอง  น้ำไหลไปไกลกว่านั้นนิดหนึ่ง  ก็หยุด  ก็ซึมไปในดิน  เทไปครั้งที่สาม  น้ำไหลลงไปไกลกว่านั้นไปหน่อยหนึ่ง  แล้วก็หยุดอยู่  เพราะว่าน้ำซึมลงไปในดิน  เธอก็ได้คติถือเอาเรื่องนี้เป็นนิมิต  แห่งการเจริญวิปัสสนาญาณ  เป็นการตัดกิเลส  คือ  เอาน้ำนั่นแหละ  เป็นอารมณ์  กำหนดด้วยวัยทั้งสามแล้วคิดว่า  สัตว์เหล่านี้ตายเสียในปฐมวัยก็มี  เหมือนน้ำที่เราราดลงไปทีแรก  ตายเสียในมัชฌิมวัย  คือ  วัยท่ามกลางก็มี  เหมือนน้ำที่เราเทลงไปครั้งที่สองและตายในปัจฉิมวัยก็มี  เหมือนกับน้ำที่เราเทลงไปในวาระที่สาม

        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ประทับอยู่ในพระคันธกุฏิ  ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี  รัศมี  6  ประการ  ให้ปรากฏดุจว่า  พระองค์ยืนอยู่ตรงหน้าของนางนั้น  ตรัสว่า  ปฏาจารา  ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น  ด้วยความเป็นอยู่ในวันเดียวก็ดีในขณะเดียวก็ดี  ของผู้เห็นความเกิด  และความเสื่อมไปแห่งขันธ์  5  นั้น  ชื่อว่า  ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่  100  ปี  ของบุคคลผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้น  และไม่เห็นความเสื่อมไปของขันธ์  5  ดังนี้แล้ว

        องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จึงได้กล่าวเป็นพระพุทธภาษิตว่า  ผู้ใดไม่เห็นความเกิดขึ้น  และไม่เห็นความเสื่อมไปแม้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึง  100  ปี  ก็ไม่มีประโยชน์  สู้บุคคลผู้เห็นความเกิดขึ้น  และความเสื่อมไปของขันธ์  5  แม้แต่วันเดียวก็ไม่ได้  บุคคลประเภทนี้เขามีความประเสริฐกว่า

        ครั้นเมื่อจบพระธรรมเทศนาตอนนี้  ก็ปรากฏว่า  นางปฏาจารา  ได้บรรลุอรหัตผล  เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา

        สำหรับเรื่อง  ปฏาจาราเถรี  ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผล  จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 42

โพสต์

หายไปนานเลย  จะนั่งพิมนานๆก็ไม่มีเวลา  หลังจากนี้อาจจะเน้นธรรมะมากขึ้นกว่าชาดกสักพัก  เพราะจะรีบ  เพื่อให้พิมธรรมะแนวทางปฏิบัติของสุกขวิปัสสโกต่อไป  พอดีผมเพิ่งหยิบหนังสือเก่าของพ่อมาอ่าน  ประกอบกับที่เคยมีเพื่อนๆพูดถึงการปฏิบัติแนวทางนี้  ของหลวงพ่อท่านพุทธทาส  ผมเองก็ไม่เคยอ่านหนังสือของท่าน  แต่คิดว่าแนวทางไม่ต่างกัน  จึงอยากเอามาลงให้เพื่อนๆอ่านเพื่อศึกษากันต่อไป  และหนังสือเล่มนี้  ตัดเป็นหัวข้อย่อยๆเยอะ  ผมสามารถพิมวันละนิดตามหัวข้อ  ไม่ต้องนั่งพิมหลายๆชม.ต่อวันได้  ^^"

        สำหรับวันนี้ผมก็นำเรื่องท่านปฏาจารามาให้อ่านกัน  จำได้ว่าตอนอ่านตอนพิม  มีบางช่วงอินมาก  น้ำตาไหล  ผมคงจะปฏิบัติมาน้อยไป  รักษาจิตไม่ดี  แต่เป็นชาดกที่ดีเรื่องนึงที่ผมชอบมาก  เลยเอามาให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ  วันนี้ขอตัวก่อนนะครับ  เจริญในธรรมครับ  เพื่อนๆทุกคน
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 43

โพสต์

[quote="Lionel"]
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 44

โพสต์

ปีติ
        วันก่อนเราได้พูดกันถึงอารมณ์ของสมาธิ  พูดมาได้เล็กน้อยเวลาก้อหมดไป  ก่อนที่บรรดท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะนึกถึงอะไรทั้งหมด  อันดับแรกให้นึกถึงความตายเป็นอารมณ์เสียก่อน  เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง  แต่ความตายเป็นของเที่ยง  เรามาสร้างความดีกันก็เพื่อว่าจะได้เป็นทุนไว้ในเวลาที่เราจะตาย  นี่การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์  พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นมรณัสสติกรรมฐาน  และจัดว่าเป็นความไม่ประมาทในชีวิต  เพราะเราจะคิดอยู่เสมอว่า  ถ้าเราตายแล้ว  ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด  เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฎะ  ก่อนจะตายเราก็แสวงหาความดีเข้าไว้

        ความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงแนะนำเบื้องต้น  นั่นก็คือการให้ทาน  ทานเป็นปัจจัยแห่งความรัก  ทานเป็ฯปัจจัยแห่งการผูกมิตร  คนที่ให้ย่อมมีจิตเป็นสุข   หมายความว่าจะไปในที่ไหนก็ตาม  บุคคลผู้รับทานจากเราย่อมแสดงความเป็นมิตรกับเรา  เว้นไว้แต่คนบางเหล่าเท่านั้นที่ไม่รู้คุณคน  อันนี้เราก็ยกให้ด้วยอำนาจของเมตตาบารมี  ตายจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว  คนที่ให้ทานไว้ก็จะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ  ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด  เราก็จะมีความสุขในการเสวยทรัพย์สมบัติ  นี่เป็นผลของทานที่เราพึงได้

        อีกประการหนึ่งความดีเบื้องต้นของการเตรียมตัวเพื่อตาย  ก็คือการมีศีลบริสุทธิ์คนที่มีศีลบริสุทธิ์ตายไปแล้วมีอายุยืนนาน  มีรูปร่างหน้าตาสะสวย  ถ้าเกิดเป็นมนุษย์มีทรัพย์สมบัติไม่ถูกอัคคีภัย  โจรภัย  อุทกภัย  วาตภัยทำอันตรายเพราะอำนาจของศีลเป็ฯขอบเขต  มีคนในปกครองก็รู้สึกว่าอยู่ในโอวาท ไม่มีใครฝ่าฝืน  วาจาเป็นที่รักของบุคคลอื่น  สติสัมปชัญญะสมบูรณ์  นี่เป็นความดีอันดับที่สองที่เราจะเตรียมตัวเพื่อตาย

        อันดับที่สาม  องค์สมเด็จพระจอมไตรให้ภาวนานึกถึงความดี  ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาเป็นต้น  อันนี้องค์สมเด็จพระทศพลให้ทรงยึดไว้เพื่อกันลืมสติสัมปชัญญะ  เป็นการทรงสติสัมปชัญญะ  ไม่ให้เราลืมในขณะที่เราจะตาย  เพราะว่าเวลาเราจะตายถ้าเราฝึกภาวนาเข้าไว้  อารมณ์จิตจะชินในด้านของกุศล  ถ้าในขณะนั้นจิตของเรานึกถึงกุศลส่วนใดส่วนหนึ่ง หรืคำภาวนาว่าพุทโธ  ธัมโม  สังโฆ  เป็นต้น  อย่างใดอย่างหนึ่ง  แล้วก้อตาย  อบายภูมิไม่มีสำหรับเรา  มีที่ไปอย่างเลวเราก็เป็นมนุษย์ชั้นดี  หรือมิฉะนั้นก็เป็นเทวดา  หรือมิฉะนั้นก็เป็นพรหม  บทใดที่เราภาวนาไว้จนขึ้นใจ  ต่อไปถ้าไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  หรือพระอรหันต์  ท่านจะเทศน์อานิสงส์ของบทนั้น  เราฟังเพียงจบเดียวก็ได้บรรลุอรหัตผลเข้าถึงพระนิพพาน

        นี่ก่อนที่เราจะตายตั้งใจไว้ว่า  เราตายแล้วจะไม่เป็นผู้ลำบาก  เราตายแล้วจะเป้นผู้ไม่มีทุกข์  เราจะมีความสุขพอสมควร  แม้ว่าจะยังไม่เข้าถึงพระนิพพานเพียงใดก็ตามที  นี่คุณธรรมแบบนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจดจำแล้วปฏิบัติไว้เป็นปกติ  จึงจะชื่อว่าเราไม่เสียทีในการเกิด  เพราะถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว  ตายไปแล้วต้องไปเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์นรก  เป็นเปรต  เป็นอสุรกาย  เป็นสัตว์เดรัจฉาน  ก็ชื่อว่าเราก็แย่มาก  เป็นการขาดทุน  การสร้างความดีที่เรียกกันว่าทำบุญ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรามีความสุขดียิ่งๆขึ้นไป  อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเตรียมไว้ทุกขณะจิต

        ต่อแต่นี้ไปก็จะขอพูดถึงอารมณ์ของสมาธิ  ที่เราจะพึงเข้าถึง  เมื่อคืนนี้พูดถึงอานาปานสติไว้หน่อยหนึ่ง  ว่าจะต่อมันก็หมดเวลาที่จะพูด  การฝึกอารมณ์  การข่มใจเนื่องเพราะจิตฟุ้งซ่านเราก็ทราบแล้ว  ที่กล่าวมาแล้วเมื่อคืนนี้  ไม่ต้องย้อมกลับไป

        คราวนี้เราก็มาดูกำลังใจคือผลที่เราจะพึงได้จากการเจริญสมาธิ  การเจริญสมาธินี้  เราต้องมีอารมณ์รู้จักฝึก  รู้จักกำหนดจิต  รู้กิจที่เราทำว่าผลมันได้แค่ไหน  ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งทำประเภทดำน้ำกันเรื่อยไป  อย่างนี้มันก็ไม่มีผล  ดีไม่ดีเราพบของดีเข้าแล้วก็ทิ้งไป  บางคราวเรามาพบเหตุเป็นศัตรูกับอารมณ์ของสมาธิในด้านสมถภาวนา  หรือวิปัสสนาภาวนาเป็นเครื่องคุณธรรมทำลายความดี  เราก็เข้าใจว่าของดีไปยึดถือเอาเข้าไว้  เป็นอันว่า  เราเหนื่อยเปล่าในปฏิบัติ  ฉะนั้น ในฐานะที่บรรดาท่านพุทธบริษัท  มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็จงตั้งใจกำหนดไว้เพื่อความรู้

        การทรงอานาปานสติกรรมฐานหรือว่าพุทธานุสสติกรรมฐาน  หรือว่ากรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ดี  ถ้าเราสามารถทรงความดีนี้ได้แล้ว  แล้วต่อไปก็จงกำหนดใจคิดถึงอารมณ์ที่เราพึงได้  ถ้าเราทรงความดี  คือทั้งระงับความฟุ้งซ่าน  ระงับความโกรธ  ความพยาบาท  ระงับความรู้สึกพอใจในกามารมณ์  หรือระงับความสงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  ครั้งหนึ่งได้ชั่วขณะเดียว  ได้เพียงนาทีสองนาที  อารมณ์จิตก็ซ่านคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป  แล้วสักประเดี๋ยวหนึ่งเราก็รู้ตัวดึงเข้ามาใหม่  สลับกันมาสลับกันไปอย่างนี้ ท่านเรียกว่าขณิกสมาธิ  อาการที่สงสัยยังไม่มี

        ผลเพียงแค่ขณิกสมาธิแบบนี้  ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงไว้ได้ทุกๆวัน  ผลที่เราจะพึ่งได้  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเวลาที่ท่านจะตายท่านจะไม่หลงตาย  เวลาที่ป่วยหนักมากๆ  อารมณ์ใจมันก็เข้ามารวมตัว  จะทรงจิตเป็นฌานได้  หรือมิฉะนั้นจะทรงจิตเป็นสมาธิ  สูงขึ้นไปกว่านั้นถึงขั้นอุปจารสมาธิ  เพราะคนถ้ารู้ตัวว่าจะตาย  ก็จะรวบรวมกำลังกายกำลังใจไว้เพื่อช่วยตัวเองเสมอ  นี่เป็นกฏธรรมดา  ผลที่ได้มาจากขณิกสมาธิ  ส่วนมากเขาไม่เกิดเป็นคนแล้ว  เขาไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เป็นเปรต  เป็นอสูรกาย  เป็นสัตว์นรก  ขณิกสมาธิส่งผลให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

        ตัวอย่างในพระพุทธศาสนามีมาก  เช่นท่านมัฎฐกุลฑลีเทพบุตร  เป็นคนที่ไม่เคยทำบุญมาเลยในกาลก่อน  เพราะพ่อเป็นคนขี้เหนียว  นามของพ่อก็คือ  อทินนปุพพกพราหมณ์  แปลว่าพราหมณ์ผู้ไม่เคยให้อะไรมาเลยในกาลก่อน  ขี้เหนี้ยวมาก  บุญก็ไม่เคยทำ  กรรมดีก็ไม่เคยสร้าง  เพราะความเหนียวแน่นเสียดายทรัพย์  ท่านมัฎฐกุลฑลีเทพบุตรตอนที่เป็นลูกชายป่วยไข้ไม่สบายลง  พ่อก็ไม่หาหมอมารักษา  เพราะความขี้เหนียวเก็บยามารักษาอย่างเดียว  ในที่สุดลูกก็ตาย  เมื่อลูกชายใกล้จะตายคิดว่าพ่อแม่ก็ดีทรัพย์สินทั้งหลายที่มีมากถึง ๘๐ โกฎิ  ไม่มีประโยชน์สำหรับตน  คิดว่าองค์สมเด็จพระทศพลคงจะมีพระมหากรุณาโปรดให้มีความสุข  จึงนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  อย่างที่พวกเราภาวนาว่า  พุทโธ    ท่านคำนึงถึงความดีของพระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  จิตก็ออกไปจากร่างกายที่เราเรียกกันว่าตาย  ผลความดีเล็กน้อยที่คิดถึงคุณความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตร  เรียกว่าขณิกสมาธิ  ท่านก็ได้ไปเกิดบนดาวดึงส์เทวโลกมีวิมานทองคำ  มีต่างหูเกลี้ยง  มีนางฟ้า  ๕๐๐  เป็นบริวาร  จัดว่ามีความสุขพอสมควร  ทั้งๆที่ท่านไม่เคยทำบุญมาในกาลก่อนเลย  ถ้าพวกเราทำอย่างงั้น  ได้กำไรกว่ามัฎฐกุลฑลีเทพบุตรมาก  เพราะเราทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามานับไม่ถ้วน  แล้วเราก็ให้ทานภายนอกเขตของพระพุทธศาสนามานับไม่ถ้วน  เช่นให้ทานแก่คนขอทาน  ให้ทานแกคนรับความลำบาก  ให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน  อย่างนี้ก็มีอานิสงส์ใหญ่  อานิสงส์ทั้งหลายจะรวมตัว  เราก็จะมีความดียิ่งกว่ามัฎฐกุลฑลีเทพบุตร  มีความสุขกว่า  มีอำนาจวาสนาบารมีดีกว่า

        สำหรับสมาธิที่น่ากลัวก็คืออุปจารสมาธิ  อุปจารสมาธินี่ ทำลายความดีคนลงไปเสียมาก  อาการของอุปจารสมาธิมีความอิ่มอกอิ่มใจ  มีความปลื้มปีติยินดี  มีความขยันในการสุขกายสุขใจเพราะอำนาจสมาธิเป็นเครื่องส่งเสริม  เป็นเหตุให้เราไม่อิ่มไม่เบื่อในการเจริญสมาธิ  หรือว่าในการเจริญวิปัสสนาญาณ  นักปฏิบัติพระกรรมฐาน  พอเข้าถึงปีติ  คืออุปจารสมาธิ  มีปีติเต็มที่  พวกนี้ได้ดีทุกคน  เว้นไว้แต่คนที่หลงเท่านั้น

        อาการของอุปจารสมาธิที่จะเกิดขึ้น  ในอันดับหนึ่งจะมีการขนลุกซู่ซ่า  เรียกว่าขนพองสยองเกล้า  นั่งๆอยู่ก็มีอาการขนลุกชันขึ้นมาเป็นปกติ  ซึ่งในกาลก่อนความหนาวไม่มี  การสัมผัสกับลมไม่มี  แต่มันขนลุกขึ้นมาเฉยๆ  อย่างนี้จัดว่าเป็นปีติเบื้องต้น  ไม่ต้องแก้ไข  ถ้ากำลังใจของเราตกกว่านั้นอาการอย่างนั้นมันก็ไม่เกิด  ถ้ากำลังใจสูงขึ้นไปอีกหน่อย  อาการอย่างนั้นมันก็หายไป  อาการที่เกิดทางกายนี่  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าเอาจิตเข้าไปยุ่ง  มันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน  เรารวบรวมกำลังใจไว้อย่างเดียวดีกว่า  ทรงอารมณ์จิตให้เป็นสมาธิ  บางท่านก็เอาใจเข้าไปยุ่งจนเสียผล  มีเยอะแยะไป  แล้วมีบางรายอธิบายให้ฟังอยู่อย่างนี้แล้วก็ยังไม่หายความสงสัย  ย้อนไปย้อนมาถึงอาการที่เกิดทางกาย  ถ้าอารมณ์ใจเป็นอย่างนี้ล่ะก็  อารมณ์จิตมันละเอียดลงไปก็ปรากฎทางกายขึ้นมาบ้าง  มันจะเป็นยังไงก็ปล่อยมัน  อย่าไปสนใจ  รักษาใจเป็นสมาธิแล้วเป็นพอ

        อาการที่  ๒   เมื่อขนพองสยองเกล้าผ่านไป  คราวนี้เกิดน้ำตาไหล  นั่งไป  นั่งพอใจสบาย  น้ำตามันไหล  ดีไม่ดีมันก็ไหลเอามากๆ  แล้วก็ไม่ไหลแต่เวลาที่นั่งเจริญสมาธิ  บางทีไปพบอะไรสะดุดใจเข้า  ใครเขาพูดอะไรสะดุดใจเข้า  จิตมันทรงปีติอยู่แล้วนี่  เราไม่รู้มัน  เพราะเราไม่ได้ระวัง  ไอ้ปีติตัวนี้มันขังอยู่ในใจ  แล้วไม่มีเหตุไม่มีผล  นี่อาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นแก่บรรดาท่านพุทธ      ศาสนิกชน  จงคิดว่ากำลังใจของเราก้าวขึ้นไปแล้ว   มีสมาธิสูงขึ้นเข้าถึงระดับปีติที่  ๒  ปีตินี่แปลว่าอิ่มใจ  อาการอย่างนี้ความชุ่มชื่นในการที่บำเพ็ญกุศลมักจะมากขึ้นตามลำดับ  มีความเชื่นมั่นในความดีของพระพุทธศาสนา  คนประเภทนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามขอวัตถุใดๆ เพราะว่าขอแล้ว  ท่านมีกำลังใจสูง  ท่านก็ให้  ถ้าพระขอพระก็เป็นโทษเป็นอาบัติ  นอกจากแต่เพียงว่าเราขาดอะไร  ท่านเห็นใจ  ท่านถวายพระ  อันนี้ไม่เป็นไร  ถ้าพระองค์ไหนไปอ้าปากขอก็มีหวังลงนรกทันที  อาการอย่างนี้เป็นอันดับที่  ๒  ถ้าจิตมีกำลังใจสูงขึ้นไป  อาการน้ำตาไหลมันก็จะหายไป

        คราวนี้อาการมาใหม่  คือร่างกายโยกไปโยกมาโยกข้างหน้าโยกข้างหลัง  บางทีก็หมุนไปทั่วตัว  บางทีก็แสดงอาการตึงตังตึงตังคล้ายปลุกพระ  อาการอย่างนี้เขาเรียกว่าโอตกันติกาปีติ  เป็นปีติที่  ๓  อาการเคลื่อนไหวของกายมันจะแรงมันจะเบาประการใดก็ตามที่  จะรู้สึกว่ากำลังใจของเราตั้งมั่นอยู๋ในอารมณ์สมาธิไม่เสื่อมคลาย  นี่อาการกายอย่างนี้ถ้าปรากฏก็ต้องใช้ศัพท์ว่าช่างมัน  มันจะแสดงเป็นยังไงก็ช่างหัวมัน  เมื่อใจเราสบายแล้วก็แล้วกัน  เรื่องทางกายเราไม่เกี่ยว  อันนี้ต้องจำไว้ให้ดี  อาการประเภทนี้ปรากฏมีคนเป็นจำนวนมากมาถามกันมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าไปในกรุงเทพฯ  เขาถามกัน  อธิบายให้ฟังแล้วแกก็ไม่ได้ดี  เพราะอาการที่เกิดขึ้นแก่ตัว  ตัวไม่รู้  คนที่เขาผ่านมาแล้วบอกก็ยังไม่รับฟัง  ยังนั่งตั้งหน้าตั้งตาสงสัย  ไอ้ตัวสงสัยมันเข้ามาข้องอยู่เมื่อไร  เราก็บรรลัยเมื่อนั้นผลแห่งการปฏิบัติมันก็ไม่ปรากฏ  นี่อาการอย่างนี้ปรากฏเราจะรู้สึกว่าจิตใจของเราตั้งมั่นมากขึ้น  เราต้องการอย่างเดียวให้จิตใจตั้งมั่น  ร่างกายมันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน

        ต่อมาเป็นปีติที่  ๔  เรียกว่า อุพเพงคาปีติ  ปีติอันดับนี้จะมีตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ  แต่ว่าใจเราก็สบาย  ไอ้ตัวลอยขึ้นไปนี่มันไม่ใช่เหาะ  เมื่อใจเข้าถึงระดับ  ปีติตัวนี้มันลอยของมันขึ้นไปเอง  ถ้ากำลังจิตจะคลายนิดหนึ่งมันก็จะเลื่อนมานั่งที่เดิมตามปกติ  ไม่ต้องกลัวว่าจะลอยไปแล้วก็กลับไม่ได้  อารมณ์ใจจะมีความชุ่มชื่น  มีความชื่นบานมากกว่าปีติที่แล้วมา

        ถ้ากำลังใจของเราสูงขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง  อาการอย่างนั้นมันก็หายไป  จะมีอาการซาบซ่าเหมือนกับกายเบา  กายโปร่งคล้ายกับกายไม่มีอะไร  จะมีเพียงหนังบางๆ  ผสมอยู่ เนื้อกระดูกภายในมันจะไม่ปรากฏ มีความรู้สึกยังงั้น  นั่งอยู่อย่างนี้ดูอาการมันเหมือนกะว่าตัวเราโตขึ้นบ้าง  หน้าใหญ่บ้าง  ร่างกายสูงขึ้นไปบ้าง  แต่มีอารมณ์ใจชุ่มชื่น  มีจิตเป็นปกติมีอารมณ์ตั้งมั่นในสมาธิ  อาการนี้ท่านเรียกว่า ผรณาปีติ  เป็นปีติตัวสุดท้าย แล้วก็มันมีอาการใกล้กับความสุข  เมื่อปีติตัวนี้ปรากฏขึ้นแล้วพอระงับหายไป   ความสุขก็ปรากฏ  คำว่าความสุขปรากฏนี่มันสุขจริงๆ  เราจะนั่งสัก ๒๐–๓๐ วันโดยไม่ลุกเลยก็ได้  ความปวดความเมื่อย  ความไม่สบายกายไม่สบายใจมันจะไม่มี  มีแต่ความสดใสชุ่มชื่น  บรรยายกันไม่ถูก

        นี่พอจิตเข้าสู่ระหว่างปีติก็ดี  เข้าถึงสุขก็ดี  เรียกว่าเป็นอุปจารสมาธิ  ถ้าถึงตัวสุขจัดว่าเป็นอุปจารสมาธิเต็มที่  เริ่มตั้งแต่ปีติแรกก็เรียกว่าอุปจารสมาธิเบื้องต้น  อาการของปีติที่กล่าวมาแล้วถึงห้าขั้นนั้น  ไม่ได้หมายความว่าจะต้องผ่านเหมือนกันทุกคน  บางคนก็ผ่านเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง  บางคนที่มีอารมณ์สูงกว่าไม่ผ่านเลย  คือผ่านอย่างไม่มีความรู้สึก  เข้าไปถึงปฐมฌานเลยทันที  นี่ถ้าเคยได้ฌานมาในกาลก่อน

แล้วตอนที่มีอารมณ์จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิตัวนี้  ตั้งแต่ปีติเป็นต้นไปต้องระมัดระวังแสงสีภาพต่างๆ  มันจะปรากฏ  ตอนนี้พระคณาจารย์ทั้งหลายกำหนดไว้บอกว่าจงอย่าสนใจกับภาพแสงสีใดๆ ทั้งหมด  ถ้าไปสนใจกับภาพแสงสีใดๆ เข้า  จิตใจของเราจะเคลื่อนจากสมาธิ  เราตั้งใจไว้อย่างเดียวว่าอะไรจะมาก็เชิญมา  อะไรจะไปก็เชิญไป  เราไม่สนใจ  เราสนใจอย่างเดียวคือสมาธิที่ทรงไว้  รักษากำลังใจให้ตั้งมั่นไว้ตามเดิม  เช่นเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  คำภาวนาว่ายังไงก็ตาม  ทรงอาการอย่างนั้นไว้ให้เป็นปกติ  จิตก็จะได้เข้าถึงปฐมฌานได้รวดเร็ว  ถ้าเราลงไปหลงในภาพแสงสีแล้วความดีมันก็จะสลายตัวลงไป

        สำหรับท่านทั้งหลายที่มีจิตใจเข้าถึงอุปจารสมาธิแบบนี้  เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ไปเป็นเทวดาชั้นยามา  คือว่าเป็นเทวดาที่ต่อวาสนาบารมี

        เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท  สำหรับวันนี้  กาลเวลาที่จะพูดก็หมดแล้ว  ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง  ดำรงจิตให้มั่น  กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก  ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 45

โพสต์

:8) อุปจารสมาธินี่เป็นผลที่เกิดจากสมถะใช่ไหมครับพี่lionel
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 46

โพสต์

por_jai เขียน::8) อุปจารสมาธินี่เป็นผลที่เกิดจากสมถะใช่ไหมครับพี่lionel
ไม่ใช่พี่ lionel แต่ขอมาแจมครับ

ไม่รู้หรอกครับ แต่คิดว่าใช่ครับ

ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
โดยเฉพาะพี่ lionel ที่ตั้งใจพิมพ์ให้อ่านกันครับ

เอาข้อมูลมาให้เพิ่มครับ เผื่อใครสนใจ ธรรมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ ตาม link ไปเลยครับ

พระธรรมเทศนา และ คำสอน ของ หลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร ( หลวงพ่อฤๅษี ...
http://www.luangpor.com/

วัดจันทาราม (ท่าซุง) http://www.watthasung.com/

สารบัญ รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ผมนำมาลงไว้นะครับ แล้วจะอัพเรื่อยๆ นะครับ
http://board.palungjit.com//showthread.php?t=124421
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 47

โพสต์

ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่  CopyWriter  มากครับ  พี่ทำให้ผมสบายขึ้นเยอะเลย   :)   ผมเองก็ได้ประโยชน์ด้วย  เพราะปกติก็อ่านแต่จากหนังสือที่ซื้อมา  แต่เวปที่พี่เอามาให้นี่  มีทั้งฟังได้และมีให้อ่านเต็มไปหมด  ผมเองก็พิมช้า  พี่เอาเวปมาให้แบบนี้  เพื่อนๆที่ตั้งใจศึกษาจะได้อ่าน  ได้ฟังกันอย่างทันใจ

    สำหรับคำถามของพี่พอใจ  ผมจะตอบตามความคิดของผมนะครับ  ถ้าผมพูดไม่ถูก  ก็เป็นเพราะผมปฏิบัติมาไม่ถึง  รู้ไม่จริงเองนะครับ  ยังไงเมื่ออ่านแล้ว  ถ้าพี่พอใจมีโอกาสถามพระอาจารย์ปราโมทย์  แล้วรบกวนพี่  นำมาลงให้ผมอ่านเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นต่อไปด้วยนะครับ

    ตามความเข้าใจของผม  ถ้าตามความหมายแล้วก็ต้องบอกว่าใช่ครับ เพราะสมถกรรมฐานเป็นเครื่องมือ  หรืออุบายให้จิตสงบเป็นสมาธิ  แต่ผมรู้สึกว่าถ้าบอกเท่านี้ก็จะไม่ถูกซะทีเดียว  ผมเข้าใจว่าพี่พอใจน่าจะมาทางวิปัสสนากรรมฐาน  ก็ต้องบอกว่า  เมื่อปฏิบัติจริงแล้ว  เราจะแยกไม่ได้หรอกครับ  ต้องทำคู่กันไป  สมถกรรมฐานอย่างเดียว  ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลได้  ดูได้จากฤาษี  หรือผู้ทรงฌาณสมัยพุทธกาล  ก็มีเล่าให้ฟังกันมาก  ท่านเหล่านั้น  บางท่านอย่างอาจารย์ขององค์สมเด็จพระบรมครูเรา  ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ  อาจารย์ท่านนั้นก็ได้ถึงฌาณ  8  ทีเดียว  แต่ก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้   วิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียวก็ไม่ได้ผลเช่นกัน  เพราะถ้าไม่มีสมาธิเสียแล้ว  ปัญญาแท้มันไม่เกิด  มีแต่สัญญาคือความจำ  ก็ท่องกันไป  ไม่เกิดประโยชน์  อารมณ์วิปัสสนา  ก็ต้องมีถึงระดับฌาณเหมือนกัน  ถึงบรรลุมรรคผล

    ทั้งสมถกรรมฐาน  และวิปัสสนากรรมฐานเป็นของดีทั้งคู่  เพราะถ้าไมดี  องค์สมเด็จพระบรมครูท่านไม่ทรงสอนไว้แน่  แต่คนเดี๋ยวนี้เข้าใจผิด  ผมเคยไปวัดแห่งหนึ่งสอนวิปัสสนากรรมฐาน  แล้วอาจารย์สอนวิปัสสนาที่นั่น  ก็ว่าสมถะแบบเสียไปเหมือนกัน  ประมาณว่า  สมถะนี่เค้าฝึกกันเอาถึงตายนะ  นั่งริมหน้าผา  ใจไม่สงบรึกลัวนี่ตกลงไปตาย  ของเรานี่สบายกว่าเยอะอะไรแบบนั้น  มันก็เป็นเรื่องที่ตลกดีเหมือนกัน  ในความเห็นของผม  การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่เค้าสอน  ผมก็ว่ามี  สมถะอยู่ด้วย  โดยที่อาจารย์ที่ว่าสมถะนั้นก็ไม่รู้  รึว่ารู้อันนี้ก็ไม่ทราบได้

    ชาดกที่มีมา  เรื่องเล่าที่มีมา  เราอ่านเราดูกันที่กำลังใจเป็นสำคัญ  อย่างสมัยที่มีพระรูปหนึ่งในพุทธกาล  ป่วยไข้ไม่สบายมาก  ปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย  ท่านก็ตั้งใจว่า  ถ้าวันไหนโรคภัยไม่รุมเร้า  ปฏิบัิติธรรมได้ดีเป็นสมาธิ  ท่านจะเชือดคอตัวเอง  ท่านไม่สนใจสังขารของท่าน  ท่านหวังพระนิพพาน  พอถึงเวลาท่านก็ทำ  ถามว่า  องค์สมเด็จพระบรมครูทรงรู้มั้ย  ก็บอกได้เลยว่าทรงรู้แน่  เพราะไม่มีอะไรที่องค์สมเด็จพระบรมครูไม่รู้  แต่ท่านไม่ห้าม  เพราะพระท่านนั้นตั้งใจดีและท่านก็จะไปที่ดี  คือนิพพาน  ที่มีเล่ากันมาก็เพราะให้ดูความตั้งใจของท่าน  ความตั้งใจจริงในการปฏิบัติ  ไม่ใช่เล่าเพื่อไปทำตามเค้า  เราตามเฉพาะกำลังใจ  เรื่องนี้ไว้ผมจะพิมมาให้อ่านกันอย่างละเอียด  วันนี้เอาคร่าวๆก่อนนะครับ

    ท้ายนี้ถ้าความเห็นของผมไม่ถูกต้อง  รึว่าเพื่อนๆคนไหนมีคำแนะนำยังไง  ก็ช่วยโพสไว้ให้อ่านด้วยนะครับ  ผมจะได้อ่านและทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 48

โพสต์

[quote="Lionel"]
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
chakasak
Verified User
โพสต์: 183
ผู้ติดตาม: 0

:D

โพสต์ที่ 49

โพสต์

นิพพานจะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย

มันง่ายเพราะแค่ตัดกิเลสตัญหา อวิชชา ก็จบ นิพพานก็เกิด
เหมือนที่ท่านพุทธทาสบอก นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตัดอุปทานได้ก็จบ

แต่มันยากที่ว่า ถ้าตัดอวิชชา กิเลสตัญหาออกไป ก็คือตัดสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดว่าจริงออกไป ตัดกามคุณ 5 ตัดอุปทานความยึดติดว่านี่เรา นี่ของเรา ซึ่งมันยากที่จะตัดจริง

เหมือนกับเรารู้อยู่ว่า ถ้าเราไม่ต้องทำงานหาเงิน เราก็จะสบาย แต่เราก็รู้ว่าถ้าเราไม่ทำงานเราก็ไม่ได้เงิน ถ้าเราคิดว่าโอเค บวชซะ เราก็ไม่ต้องหาเงิน แต่เราต้องยอมทนไม่เสพกามเหมือนฆราวาส ถ้าทำได้เราก็หลุดพ้นจากวงจรการทำงานหาเงิน นิพพานก็เหมือนกัน แต่ยากกว่า เพราะต้องละอุปทานขันธ์ห้าทั้งหมด จึงถึงนิพพานได้

:D
ลงหุ้นหวังปันผล ได้มากกว่าดอกเบี้ยก็พอใจแล้ว