ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 1
ผมว่าหลายๆท่านพอเห็นชื่อกระทู้ผมคงจะนึกว่าผมจะชวนทำ AMWAY
ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลยคับ ต้องขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดครับ
:D
ในฐานะที่ห้องนี้เป็นห้อง Alternative investing
ผมเ้ลยอยากจะทราบความคิดเห็นของทุกๆท่าน
เกี่ยวกับการตลาดแบบเครือข่ายว่าในมุมมอง
ของทุกๆท่านว่าการตลาดแบบนี้เป็นอย่างไร
ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนอีกทางที่ดีหรือไม่
ช่วงนี้ผมถูกชวนให้ทำ AMWAY บ่อยมากๆ
จากเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเข้ามหาลัยด้วยกัน และอีกหลายๆคนที่ทำ AMWAY
ทั้งที่ผมไม่รู้จักมาก่อนแต่มักจะมาชวนผมในขณะที่เห็นผมกำลังอ่านหนังสือ
เกี่ยวกับการลงทุนตามร้านหนังสือ หรือ เวลาผมไปงานสัมมนาต่างๆ
สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นเป็นประจำ คือ รูปแบบในการเชิญให้ผมทำ AMWAY
จะเริ่มมากจากการที่เขาจะอธิบายว่าเขากำลังทำ project นั้น project นี้อยู่ เห็นผมสนใจอ่านหนังสือหรือสัมมนาด้านการลงทุน
เลยคิดจะชวนผมให้ไปทำด้วย จากนั้นจะเริ่มแนะนำตัว
และชมผมว่ามีความคิดดีที่จะลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ
ต่อมาก็ชวนคุยไปสักพักว่าเรียนเป็นอย่างไร และจบด้วยการขอเบอร์ผม
หรือไม่ก็ให้นามบัตร( ในนามบัตร บางคนจะเขียนว่า Alticor ซึ่งก็คือบริษัทแม่ของ AMWAY
หรือ ODM ) พร้อมกับบอกว่าจะมีการสัมมนา และเล่นเกมส์ทางการเงินในวันเสาร์-อาทิตย์นี้
และอยากให้ผมไปร่วมด้วยเพราะเป็นโอกาสที่ผมจะได้รับรู้ความร้ใหม่ๆ
ถ้าหากผมไม่ได้ตั้งสติจะรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากๆ แต่ถ้าตั้งสติได้จะเห็นได้ชัดว่า
เป็นไปได้หรือที่จะมีคนที่อยู่ดีๆจะให้เราไปงานสัมมนาฟรี และชวนไปทำธุรกิจที่ได้กำไรอย่างดงาม
ตอนแรกที่ผมถูกชวนนั้นผมยอมรับว่าตั้งสติไม่ค่อยได้ เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ด้วยความที่เราเป็นเด็ก
และช่วงนัี้นอยู่ระหว่างการหาความรู้ด้านการลงทุนแนว VI ใหม่ๆ
ผมกลับบ้านไปคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจที่จะไปร่วมงานสัมมนาดูเพราะคิดว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นน่าสนใจและเรายังไมค่อยมีความรู้จึงควรจะไปหาความรู้ให้มากที่สุด
จากนั้นผมก็คิดถึงความปลอดภัยว่าเราไม่รู้จักกัับคนที่มาชวน ถ้าเราไปจะเกิดอะไรขึ้นไหม สถานที่จัด(ขอไม่เอยถึง)เป็นสถานที่ที่มีคนเยอะ และผมก็ชวนเพื่อนผมไปด้วย คงจะไม่มีปัญหาอะไร
ตอนผมไปถึงผมก็ค่อนข้าง งง เล็กน้อย
เพราะคนที่ชวนผมบอกว่าต้องช่วยกันแชร์ค่าห้องประมาณ 50 บาท
ซึ่งผมก็คิดว่าก็มาแล้ว เราต้องรู้ให้ถึงที่สุดว่ามันคืออะไร
และคิดว่าเงิน 50 บาท แลกกับประสบการณ์มันคุ้มค่า
ผมเลยจ่ายไปเพื่อให้ได้เข้าร่วม
ระหว่างการสัมมนานั้น ผู้ที่บรรยายจะไม่พูดอะไรถึง AMWAY เลย
แต่จะพูดถึงแนวโน้มต่อไปของเศรษฐกิจโลก การที่เราต้องปรับตัวให้เข้ากับ
โลกาภิวัฒน์ และอื่นๆ ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่คล้ายๆกับ จะบอกว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญอยู่กับอะไีร
และเราจะแก้มันยังไง(ซึ่งก็คือการทำ AMWAY เป็นวิธีแก้)
หลังจากสัมมนาจบ ผู้จัดจะให้ผู้ร่วมสัมมนาเล่นเกมส์
( เกมส์นี้มีชื่อว่า Cash Flow หรือ เกมส์กระแสเงินสด
คิดค้นโดย Robert kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ Roch dad Poor Dad )
ซึ่งเขาจะไม่บอกเป้าหมายของการเ่ล่นเกมส์นี้ให้ฟัง
แต่เมื่อเล่นจบ ผู้จัดจะอธิบายว่า การทำงานประจำเหมือนกับหนูถีบจักร
ลูกจ้างไม่มีวันรวยหรือเป็นอิสรภาพทางการเงินได้
รายได้ของคนรวยมาจากทรัพย์สิน และอื่นๆอีกมาก
ซึ่งถ้าเป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนจะรู้สึกว่าสิ่งที่ผู้จัีดงาน
อธิบายนั้นน่าสนใจมากๆ
หลังจากจบทั้งสัมมนาและเล่นเกมส์แล้ว ผู้จัดก็จะบอกว่า
ุถ้าสนใจเรื่องนี้จะมีการสัมมนาต่อเนื่องให้พวกเราได้ไปกันอีก
ซึ่ง มาถึงตรงนี้ทุกๆท่านน่าจะพอนึกออกว่า การสัมมนาครั้งต่อไป
ก็คือการพูดถึง AMWAY นั่นเอง
คราวๆนะครับ เดี๋ยวผมจะมาต่อว่าผมเคยลองใช้ของ AMWAY แล้วรู้สึกยังไง
สิ่งที่ดูเหมือนจะจริงใจ แต่ไม่จริงใจ และอื่นๆ คับ
:D :D
ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลยคับ ต้องขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดครับ
:D
ในฐานะที่ห้องนี้เป็นห้อง Alternative investing
ผมเ้ลยอยากจะทราบความคิดเห็นของทุกๆท่าน
เกี่ยวกับการตลาดแบบเครือข่ายว่าในมุมมอง
ของทุกๆท่านว่าการตลาดแบบนี้เป็นอย่างไร
ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนอีกทางที่ดีหรือไม่
ช่วงนี้ผมถูกชวนให้ทำ AMWAY บ่อยมากๆ
จากเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเข้ามหาลัยด้วยกัน และอีกหลายๆคนที่ทำ AMWAY
ทั้งที่ผมไม่รู้จักมาก่อนแต่มักจะมาชวนผมในขณะที่เห็นผมกำลังอ่านหนังสือ
เกี่ยวกับการลงทุนตามร้านหนังสือ หรือ เวลาผมไปงานสัมมนาต่างๆ
สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นเป็นประจำ คือ รูปแบบในการเชิญให้ผมทำ AMWAY
จะเริ่มมากจากการที่เขาจะอธิบายว่าเขากำลังทำ project นั้น project นี้อยู่ เห็นผมสนใจอ่านหนังสือหรือสัมมนาด้านการลงทุน
เลยคิดจะชวนผมให้ไปทำด้วย จากนั้นจะเริ่มแนะนำตัว
และชมผมว่ามีความคิดดีที่จะลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ
ต่อมาก็ชวนคุยไปสักพักว่าเรียนเป็นอย่างไร และจบด้วยการขอเบอร์ผม
หรือไม่ก็ให้นามบัตร( ในนามบัตร บางคนจะเขียนว่า Alticor ซึ่งก็คือบริษัทแม่ของ AMWAY
หรือ ODM ) พร้อมกับบอกว่าจะมีการสัมมนา และเล่นเกมส์ทางการเงินในวันเสาร์-อาทิตย์นี้
และอยากให้ผมไปร่วมด้วยเพราะเป็นโอกาสที่ผมจะได้รับรู้ความร้ใหม่ๆ
ถ้าหากผมไม่ได้ตั้งสติจะรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากๆ แต่ถ้าตั้งสติได้จะเห็นได้ชัดว่า
เป็นไปได้หรือที่จะมีคนที่อยู่ดีๆจะให้เราไปงานสัมมนาฟรี และชวนไปทำธุรกิจที่ได้กำไรอย่างดงาม
ตอนแรกที่ผมถูกชวนนั้นผมยอมรับว่าตั้งสติไม่ค่อยได้ เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ด้วยความที่เราเป็นเด็ก
และช่วงนัี้นอยู่ระหว่างการหาความรู้ด้านการลงทุนแนว VI ใหม่ๆ
ผมกลับบ้านไปคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจที่จะไปร่วมงานสัมมนาดูเพราะคิดว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นน่าสนใจและเรายังไมค่อยมีความรู้จึงควรจะไปหาความรู้ให้มากที่สุด
จากนั้นผมก็คิดถึงความปลอดภัยว่าเราไม่รู้จักกัับคนที่มาชวน ถ้าเราไปจะเกิดอะไรขึ้นไหม สถานที่จัด(ขอไม่เอยถึง)เป็นสถานที่ที่มีคนเยอะ และผมก็ชวนเพื่อนผมไปด้วย คงจะไม่มีปัญหาอะไร
ตอนผมไปถึงผมก็ค่อนข้าง งง เล็กน้อย
เพราะคนที่ชวนผมบอกว่าต้องช่วยกันแชร์ค่าห้องประมาณ 50 บาท
ซึ่งผมก็คิดว่าก็มาแล้ว เราต้องรู้ให้ถึงที่สุดว่ามันคืออะไร
และคิดว่าเงิน 50 บาท แลกกับประสบการณ์มันคุ้มค่า
ผมเลยจ่ายไปเพื่อให้ได้เข้าร่วม
ระหว่างการสัมมนานั้น ผู้ที่บรรยายจะไม่พูดอะไรถึง AMWAY เลย
แต่จะพูดถึงแนวโน้มต่อไปของเศรษฐกิจโลก การที่เราต้องปรับตัวให้เข้ากับ
โลกาภิวัฒน์ และอื่นๆ ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่คล้ายๆกับ จะบอกว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญอยู่กับอะไีร
และเราจะแก้มันยังไง(ซึ่งก็คือการทำ AMWAY เป็นวิธีแก้)
หลังจากสัมมนาจบ ผู้จัดจะให้ผู้ร่วมสัมมนาเล่นเกมส์
( เกมส์นี้มีชื่อว่า Cash Flow หรือ เกมส์กระแสเงินสด
คิดค้นโดย Robert kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ Roch dad Poor Dad )
ซึ่งเขาจะไม่บอกเป้าหมายของการเ่ล่นเกมส์นี้ให้ฟัง
แต่เมื่อเล่นจบ ผู้จัดจะอธิบายว่า การทำงานประจำเหมือนกับหนูถีบจักร
ลูกจ้างไม่มีวันรวยหรือเป็นอิสรภาพทางการเงินได้
รายได้ของคนรวยมาจากทรัพย์สิน และอื่นๆอีกมาก
ซึ่งถ้าเป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนจะรู้สึกว่าสิ่งที่ผู้จัีดงาน
อธิบายนั้นน่าสนใจมากๆ
หลังจากจบทั้งสัมมนาและเล่นเกมส์แล้ว ผู้จัดก็จะบอกว่า
ุถ้าสนใจเรื่องนี้จะมีการสัมมนาต่อเนื่องให้พวกเราได้ไปกันอีก
ซึ่ง มาถึงตรงนี้ทุกๆท่านน่าจะพอนึกออกว่า การสัมมนาครั้งต่อไป
ก็คือการพูดถึง AMWAY นั่นเอง
คราวๆนะครับ เดี๋ยวผมจะมาต่อว่าผมเคยลองใช้ของ AMWAY แล้วรู้สึกยังไง
สิ่งที่ดูเหมือนจะจริงใจ แต่ไม่จริงใจ และอื่นๆ คับ
:D :D
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 2
ต่อนะครับ
:arrow: :arrow:
หลังจากที่ผมได้เข้ารับฟังการสัมมนาผมก็รู้สึกสนใจ
เป็นอย่างมาก( ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็น AMWAY )
ผมเลยไปฟังสัมมนาในครั้งต่อไปซึ่งก็ได้มีการพูดถึง AMWAY
อย่างเป็นจริงเป็นจัง
ผมเคยได้ยินมาก่อนคราวๆว่า AMWAY คือธุรกิจเครือข่าย
แต่ไม่รู้่ว่าเป็นอย่างไรเลยนั่งฟังต่อเรื่อยๆ
คนที่ชวนนั้นเขาก็อธิบายว่า AMWAY ดีอย่างไร
และถ้าทำแบบถูกต้องจะให้ผลอย่างไร เขาบอกว่าที่ AMWAY มีเชื่อเสียง
ไม่ดีนั้นเป็นเพราะคนทำ ทำแบบผิด ขายเพราะความเกรงใจ ฯลฯ
พอผมพูดถึงทางเลือกอื่นในการลงทุน อย่างลงทุนในหุ้น
เขาก็จะบอกว่าต้องใช้เงินลงทุนเยอะ และต้องเป็นเงินเย็น
ทำ AMWAY ได้มากกว่าและเงินที่ได้มาเรื่อยๆเมื่อสร้างเครือข่ายเสร็จแล้ว
( ในใจผมก็ไม่เห็นด้วยนะครับ ) ผมฟังเขาพูดไปเรื่อยๆจนเข้าใจ AMWAY ดีขึ้น
ผมเลยขอให้เข้าสาธิตตัวอย่างสินค้าของ AMWAY
เขาก็สาธิตให้ดู พอเสร็จก้ถามผมว่าอยากทำไหม
ตอนนั้นผมคิดว่าน่าจะลองทำดูแต่ผมก้ไม่ได้ตัดสินใจ
บอกว่าจะกลับไปคิดที่บ้าน
โชคดีที่คนที่เขาชวนผมไม่ค่อยตามติ้อ ซึ่งปกติมักจะไม่เป็นอย่างนี้
ผมจึงมีเวลาทบทวนเรื่องทั้งหมดที่ผมได้เจอมาในช่วงนั้น
และคำตอบของผมสำหรับเรื่องนี้ ก็คือ " ไม่ทำ "
แต่ผมก็ได้ข้อคิดและประสบการณ์อะไรดีจากเรื่องนี้
ซึ่งก็มาเป็นสาเหตุที่ผมอยากทราบความคิดเห็นของท่านอื่น
ผมขอสรุปสิ่งที่ผมได้จากประสบการณ์นี้นะครับ
ข้อดี
1.สินค้า AMWAY เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีมากๆ แต่ต้องรู้จักวิธีใช้
ึคนส่วนใหญ่จะบอกว่าแพงเพราะไม่รู้จักวิธีใช้
( อันนี้เห็นกับตาตัวเองครับที่คนที่ชวนผมเขาสาธิตให้ดู )
2.ถ้าเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะและการแสดงออก จะทำให้การทำ AMWAY ง่ายขึ้น
3.เมื่อสร้างเครือข่ายได้แล้ว รายได้จะเ้ขามาค่อนข้างแน่นอนสม่ำเสมอ
( อันนี้ตามที่ผมได้รับข้อมูลมานะครับ ไม่ทราบจริงเท็จแค่ไหน เพราะไม่เคยทำ )
4.คนที่เริ่มต้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากเพราะมีฝึกอบรมตลอด และ ใช้เงินเริ่มต้นต่ำ
แค่ค่าสมัครสมาชิก
( ค่อนข้างเห็นด้วยคับ )
5.รายได้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับปริมาณเครือข่ายทีสร้างได้
ข้อเสีย
1.ไม่ค่อยจริงใจมากนัก ตั้งแต่ตอนแรกที่ทำความรู้จักกันก็บอกแค่ว่ามีสัมมนา
แต่จริงๆชวนทำ AMWAY ซึ่งผมว่าตรงนี้ทำให้ Credit ของเขาเสียเอง
( ข้อนี้เป็นเหตุผลหลักๆที่ผมไม่ทำ เพราะดูแล้วไม่มีความจริงใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า
ถ้าบอกว่าชวนไปทำ AMWAY เลยก็ไม่มีคนทำเหมือนกัน )
2.ไม่เหมาะสำหรับคนที่ชักชวนคนอื่นไม่เก่ง หรือ คนที่พูดไม่เก่ง
3. ในบางครั้งคนที่ทำมักจะโลภและพยายามตื้อให้ทำ
( โชคดีผมไม่โดนแต่เพื่อนผมบางคนก็โดน )
4.คนที่ชักชวนให้ทำมักจะบอกว่าุุุ้ทางเลือกในการลงทุนอื่นๆสู้ทำ AMWAY ไม่ได้
เพราะอยากให้เราทุ่มเททำ AMWAY อย่างเดียวซึ่งคนที่ชวนให้ทำนั้นจะได้ % จากการที่เราขายของได้หรือการหาเครือข่ายได้
( ก็เหมือนกับข้อแรกครับ ไม่ค่อยจริงใจ )
5.ถูกมองในแง่ลบตั้งแต่บอกว่ามีของ AMWAY มาขาย
เท่าที่พอจะคิดได้ก็ประมาณนี้ละคับ
ท่านอื่นๆเห็นว่ายังไงบ้างครับ
:?: :?:
:arrow: :arrow:
หลังจากที่ผมได้เข้ารับฟังการสัมมนาผมก็รู้สึกสนใจ
เป็นอย่างมาก( ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็น AMWAY )
ผมเลยไปฟังสัมมนาในครั้งต่อไปซึ่งก็ได้มีการพูดถึง AMWAY
อย่างเป็นจริงเป็นจัง
ผมเคยได้ยินมาก่อนคราวๆว่า AMWAY คือธุรกิจเครือข่าย
แต่ไม่รู้่ว่าเป็นอย่างไรเลยนั่งฟังต่อเรื่อยๆ
คนที่ชวนนั้นเขาก็อธิบายว่า AMWAY ดีอย่างไร
และถ้าทำแบบถูกต้องจะให้ผลอย่างไร เขาบอกว่าที่ AMWAY มีเชื่อเสียง
ไม่ดีนั้นเป็นเพราะคนทำ ทำแบบผิด ขายเพราะความเกรงใจ ฯลฯ
พอผมพูดถึงทางเลือกอื่นในการลงทุน อย่างลงทุนในหุ้น
เขาก็จะบอกว่าต้องใช้เงินลงทุนเยอะ และต้องเป็นเงินเย็น
ทำ AMWAY ได้มากกว่าและเงินที่ได้มาเรื่อยๆเมื่อสร้างเครือข่ายเสร็จแล้ว
( ในใจผมก็ไม่เห็นด้วยนะครับ ) ผมฟังเขาพูดไปเรื่อยๆจนเข้าใจ AMWAY ดีขึ้น
ผมเลยขอให้เข้าสาธิตตัวอย่างสินค้าของ AMWAY
เขาก็สาธิตให้ดู พอเสร็จก้ถามผมว่าอยากทำไหม
ตอนนั้นผมคิดว่าน่าจะลองทำดูแต่ผมก้ไม่ได้ตัดสินใจ
บอกว่าจะกลับไปคิดที่บ้าน
โชคดีที่คนที่เขาชวนผมไม่ค่อยตามติ้อ ซึ่งปกติมักจะไม่เป็นอย่างนี้
ผมจึงมีเวลาทบทวนเรื่องทั้งหมดที่ผมได้เจอมาในช่วงนั้น
และคำตอบของผมสำหรับเรื่องนี้ ก็คือ " ไม่ทำ "
แต่ผมก็ได้ข้อคิดและประสบการณ์อะไรดีจากเรื่องนี้
ซึ่งก็มาเป็นสาเหตุที่ผมอยากทราบความคิดเห็นของท่านอื่น
ผมขอสรุปสิ่งที่ผมได้จากประสบการณ์นี้นะครับ
ข้อดี
1.สินค้า AMWAY เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีมากๆ แต่ต้องรู้จักวิธีใช้
ึคนส่วนใหญ่จะบอกว่าแพงเพราะไม่รู้จักวิธีใช้
( อันนี้เห็นกับตาตัวเองครับที่คนที่ชวนผมเขาสาธิตให้ดู )
2.ถ้าเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะและการแสดงออก จะทำให้การทำ AMWAY ง่ายขึ้น
3.เมื่อสร้างเครือข่ายได้แล้ว รายได้จะเ้ขามาค่อนข้างแน่นอนสม่ำเสมอ
( อันนี้ตามที่ผมได้รับข้อมูลมานะครับ ไม่ทราบจริงเท็จแค่ไหน เพราะไม่เคยทำ )
4.คนที่เริ่มต้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากเพราะมีฝึกอบรมตลอด และ ใช้เงินเริ่มต้นต่ำ
แค่ค่าสมัครสมาชิก
( ค่อนข้างเห็นด้วยคับ )
5.รายได้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับปริมาณเครือข่ายทีสร้างได้
ข้อเสีย
1.ไม่ค่อยจริงใจมากนัก ตั้งแต่ตอนแรกที่ทำความรู้จักกันก็บอกแค่ว่ามีสัมมนา
แต่จริงๆชวนทำ AMWAY ซึ่งผมว่าตรงนี้ทำให้ Credit ของเขาเสียเอง
( ข้อนี้เป็นเหตุผลหลักๆที่ผมไม่ทำ เพราะดูแล้วไม่มีความจริงใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า
ถ้าบอกว่าชวนไปทำ AMWAY เลยก็ไม่มีคนทำเหมือนกัน )
2.ไม่เหมาะสำหรับคนที่ชักชวนคนอื่นไม่เก่ง หรือ คนที่พูดไม่เก่ง
3. ในบางครั้งคนที่ทำมักจะโลภและพยายามตื้อให้ทำ
( โชคดีผมไม่โดนแต่เพื่อนผมบางคนก็โดน )
4.คนที่ชักชวนให้ทำมักจะบอกว่าุุุ้ทางเลือกในการลงทุนอื่นๆสู้ทำ AMWAY ไม่ได้
เพราะอยากให้เราทุ่มเททำ AMWAY อย่างเดียวซึ่งคนที่ชวนให้ทำนั้นจะได้ % จากการที่เราขายของได้หรือการหาเครือข่ายได้
( ก็เหมือนกับข้อแรกครับ ไม่ค่อยจริงใจ )
5.ถูกมองในแง่ลบตั้งแต่บอกว่ามีของ AMWAY มาขาย
เท่าที่พอจะคิดได้ก็ประมาณนี้ละคับ
ท่านอื่นๆเห็นว่ายังไงบ้างครับ
:?: :?:
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- K.O.
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 3
คือ เอาจริงๆนะครับ..........
ผมชอบขายของอะไรที่คนซื้อ๐ เพราะอยากได้สิ่งนั้นจริงๆอ่ะครับ
ไม่ใช่เป็นแบบconnection แล้วคนจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ซื้อของๆเราอ่ะครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ตัวสินค้าก็อาจจะดีก็ได้ผมไม่รู้
ผมชอบขายของอะไรที่คนซื้อ๐ เพราะอยากได้สิ่งนั้นจริงๆอ่ะครับ
ไม่ใช่เป็นแบบconnection แล้วคนจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ซื้อของๆเราอ่ะครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ตัวสินค้าก็อาจจะดีก็ได้ผมไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
จากประสบการณ์ที่เคยทำมา 1 ปีครับ
โพสต์ที่ 4
- สินค้า Amway เป็นสินค้าที่ดีจริง แต่บางตัวก็ไม่เหมาะกับบางคน แพ้ก็มีครับ
- ที่บอกว่า ทำ Amway ต้นทุนต่ำ นั้นไม่จริงครับ จริงๆ สูงมาก แต่พอเราได้ลองเข้ากลุ่มทำแล้ว ก็จะมีการฝึกฝน สาธิตสินค้าเพื่อออกไปขาย ช่วงเวลาที่สาธิต คุณคิดว่าสินค้าที่เอามาสาธิต ต่างๆ นานา เอามาจากไหนครับ .. ก็ที่เราซื้อนั้นแหละครับ เป็นการลงทุน หากเราไม่ซื้อ ก็อาจโดนว่าได้ว่า เราเองยังไม่เคยใช้เลย แล้วจะไปบอกลูกค้าได้ไงว่าดีหรือไม่ดี และนี้ครับคือเหตุผลว่าเราต้องซื้อมันเกือบหมดทุกตัว เพื่อให้รู้ว่าสินค้ามีคุณสมบัติอย่างไร ยิ่งลองใช้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับการยกย่องจากคนในกลุ่มครับ (สินค้าแต่ละตัวราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ) แล้วยอดขายได้ใครครับ ?
- นั้นเป็นค่าใช้จ่ายด้านสินค้า ยังไม่พอ ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านการอบรม สัมมนาด้วยครับ ทึ่คุณไปฟังนั้นแหละ บัตรราคา 100 - 1,000 บาท (หากเป็น ตจว.จะสูงหน่อย) เราก็ต้องเป็นฝ่ายซื้อเอง หากเราชวนคนมาฟัง ก็ต้องจ่ายให้เขาเข้าก่อน บางคนก็ลดค่าใช้จ่ายโดยการบอกกับคนที่เราชวนมา ว่าเป็นค่าห้อง หรืออะไรก็แล้วแต่จะบอก
- upline หวังประโยชน์ จากเราทุกคนครับ โดยเฉพาะ upline ติดตัวเรา แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่าช่วยเรา (ที่แท้ช่วยตัวเอง)
- ทุกสิ้นเดือน ลองไปที่ศูนย์ครับ คนเยอะมาก เพื่อปิดยอด เพื่อให้ได้ % ส่วนแบ่งเยอะๆ แม้ว่าจะซื้อของมาตุนไว้ก็ยอม บางคนยอมเป็นหนี้บัตรเครดิต ก็มีเยอะ
- ที่เห็นๆ อยู่ผู้นับแต่ละคน ใช่มีเงินสดในกระเป๋าครับ มีแต่สินค้าที่ตุนไว้ในบ้านทั้งนั้น ทำไมถึงตุนไว้เยอะๆ ก็เพื่อไม่ให้เสียหน้าในกลุ่มครับ จะได้มีหน้ามีตาว่าตัวเอง ขายได้เยอะยอดเดือนนี้ 21% จะได้เป็นที่เคารพยกย่องว่าเก่งในกลุ่ม (เงินจะกินก็ไม่มีกันอยู่แล้ว)
ยิ่งทำยิ่งจนครับ และนี้คือเหตุผลที่ผม เลิก ทำ (3 ปีแล้ว)
แต่คนที่ทำสำเร็จก็มีนะครับ ทุกธุรกิจมีทั้งสำเร็จ และไม่สำเร็จ
- ที่บอกว่า ทำ Amway ต้นทุนต่ำ นั้นไม่จริงครับ จริงๆ สูงมาก แต่พอเราได้ลองเข้ากลุ่มทำแล้ว ก็จะมีการฝึกฝน สาธิตสินค้าเพื่อออกไปขาย ช่วงเวลาที่สาธิต คุณคิดว่าสินค้าที่เอามาสาธิต ต่างๆ นานา เอามาจากไหนครับ .. ก็ที่เราซื้อนั้นแหละครับ เป็นการลงทุน หากเราไม่ซื้อ ก็อาจโดนว่าได้ว่า เราเองยังไม่เคยใช้เลย แล้วจะไปบอกลูกค้าได้ไงว่าดีหรือไม่ดี และนี้ครับคือเหตุผลว่าเราต้องซื้อมันเกือบหมดทุกตัว เพื่อให้รู้ว่าสินค้ามีคุณสมบัติอย่างไร ยิ่งลองใช้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับการยกย่องจากคนในกลุ่มครับ (สินค้าแต่ละตัวราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ) แล้วยอดขายได้ใครครับ ?
- นั้นเป็นค่าใช้จ่ายด้านสินค้า ยังไม่พอ ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านการอบรม สัมมนาด้วยครับ ทึ่คุณไปฟังนั้นแหละ บัตรราคา 100 - 1,000 บาท (หากเป็น ตจว.จะสูงหน่อย) เราก็ต้องเป็นฝ่ายซื้อเอง หากเราชวนคนมาฟัง ก็ต้องจ่ายให้เขาเข้าก่อน บางคนก็ลดค่าใช้จ่ายโดยการบอกกับคนที่เราชวนมา ว่าเป็นค่าห้อง หรืออะไรก็แล้วแต่จะบอก
- upline หวังประโยชน์ จากเราทุกคนครับ โดยเฉพาะ upline ติดตัวเรา แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่าช่วยเรา (ที่แท้ช่วยตัวเอง)
- ทุกสิ้นเดือน ลองไปที่ศูนย์ครับ คนเยอะมาก เพื่อปิดยอด เพื่อให้ได้ % ส่วนแบ่งเยอะๆ แม้ว่าจะซื้อของมาตุนไว้ก็ยอม บางคนยอมเป็นหนี้บัตรเครดิต ก็มีเยอะ
- ที่เห็นๆ อยู่ผู้นับแต่ละคน ใช่มีเงินสดในกระเป๋าครับ มีแต่สินค้าที่ตุนไว้ในบ้านทั้งนั้น ทำไมถึงตุนไว้เยอะๆ ก็เพื่อไม่ให้เสียหน้าในกลุ่มครับ จะได้มีหน้ามีตาว่าตัวเอง ขายได้เยอะยอดเดือนนี้ 21% จะได้เป็นที่เคารพยกย่องว่าเก่งในกลุ่ม (เงินจะกินก็ไม่มีกันอยู่แล้ว)
ยิ่งทำยิ่งจนครับ และนี้คือเหตุผลที่ผม เลิก ทำ (3 ปีแล้ว)
แต่คนที่ทำสำเร็จก็มีนะครับ ทุกธุรกิจมีทั้งสำเร็จ และไม่สำเร็จ
www.sbuylife.com - ประกันชีวิตจากไอเอ็นจี
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 6
ที่เพื่อนๆเขียนมาเห็นภาพชัดเลยครับ
มีทั้งดีและเสีย
ส่วนตัวก็ใช้อยู่บ้าง
มีทั้งดีและเสีย
ส่วนตัวก็ใช้อยู่บ้าง
VI AD HOC
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 7
คุณ banjobe หมายถึงคนซื้อช่วยให้คนขายสำเร็จก่อนใช่ไหมครับbanjobe เขียน:ข้อดี ความสำเร็จ คือการช่วยให้คนอื่นสำเร็จก่อน มีคุณค่าดีครับ
:?: :?:
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 122
- ผู้ติดตาม: 1
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 8
งานขายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจครับ งานนี้ถ้าทำมากอาจจะแซงคนที่ชวนก็ได้น่ะครับ
ช่วย หมายถึง ช่วยให้ D/L หรือคนที่เราไปชวน ให้เค้าเป็นเถ้าแก่ก่อนครับ หรือทำให้เป็น B (เงินสี่ด้าน) เราก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์ ====>นี่คือแก่นของธุรกิจ
ผมว่าเป็นงานที่ทำให้เราได้รับอิสรภาพทางด้านการเงินให้เร็วขึ้นกว่าเดิมครับ
Amway ช่วยคน 6 คน เป็น B = portfolio ในหุ้น ประมาณ 15-20 ล้านบาท
ช่วย หมายถึง ช่วยให้ D/L หรือคนที่เราไปชวน ให้เค้าเป็นเถ้าแก่ก่อนครับ หรือทำให้เป็น B (เงินสี่ด้าน) เราก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์ ====>นี่คือแก่นของธุรกิจ
ผมว่าเป็นงานที่ทำให้เราได้รับอิสรภาพทางด้านการเงินให้เร็วขึ้นกว่าเดิมครับ
Amway ช่วยคน 6 คน เป็น B = portfolio ในหุ้น ประมาณ 15-20 ล้านบาท
-
- Verified User
- โพสต์: 76
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 9
ระบบเขาจะออกแบบให้ทุกคนทำได้...แต่ก็ไม่ใช่ง่ายถ้าจะทำงานนี้
จะว่าไปโลกนี้ก็ไม่มีงานอะไรง่ายอยู่แล้ว ยิ่งงานพวกนี้ ยิ่งท้อง่าย เลิกง่าย
ถ้าทำงานไม่เสร็จก็เท่ากับว่าเหนื่อยฟรี
กระบวนการฝึกจิตใจ ความคิด ทัศนะ เพราะต้องเผชิญกับการปฏิเสธ
งานแบบนี้ ต้องเข้าใจคน เพราะต้องทำงานกับคน
ถ้าได้อัพไลน์ดี ก็โชคดีไป
ถ้าได้อัพไลน์ไม่ดี ก็ซวยไป
ถ้าอัพไลน์จะเลิกทำธุรกิจไปก่อน ก็ต้องพึ่งตัวเองให้มาก
เราเคยเจออะไรที่ไม่ดี แล้วเราไม่ชอบ ก็ไม่ควรทำเช่นนั้นกับคนอื่น
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น
มาจากค่าเดินทาง ถ้าทำได้ควรใช้รถเมล์ ไปประชุมทุกครั้ง
ศึกษาทดลองสินค้าด้วย ก็พยายามยืมอัพไลน์ อย่าเสียเงินซื้อ
ห้ามซื้อของมาสต็อก ห้ามหลอกคน ห้ามฝืนใจใคร ยอดได้แค่ไหนแค่นั้น
สรุปคือต้อง conservative ให้มากๆ รักษา จรรยาบรรณให้ดี จะมั่นคง
ถ้าคิดว่าจะทำหรือไม่ทำ ต้องรู้ก่อนว่า...
1 ธุรกิจนี้ การแบ่งผลประโยชน์ยุติธรรมหรือไม่
2 ผลตอบแทนที่จะได้ มันคุ้มค่าพอสำหรับเราหรือไม่
2 เราพร้อมจะทุ่มเทเวลาทำธุรกิจนี้ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จได้หรือไม่
จะว่าไปโลกนี้ก็ไม่มีงานอะไรง่ายอยู่แล้ว ยิ่งงานพวกนี้ ยิ่งท้อง่าย เลิกง่าย
ถ้าทำงานไม่เสร็จก็เท่ากับว่าเหนื่อยฟรี
กระบวนการฝึกจิตใจ ความคิด ทัศนะ เพราะต้องเผชิญกับการปฏิเสธ
งานแบบนี้ ต้องเข้าใจคน เพราะต้องทำงานกับคน
ถ้าได้อัพไลน์ดี ก็โชคดีไป
ถ้าได้อัพไลน์ไม่ดี ก็ซวยไป
ถ้าอัพไลน์จะเลิกทำธุรกิจไปก่อน ก็ต้องพึ่งตัวเองให้มาก
เราเคยเจออะไรที่ไม่ดี แล้วเราไม่ชอบ ก็ไม่ควรทำเช่นนั้นกับคนอื่น
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น
มาจากค่าเดินทาง ถ้าทำได้ควรใช้รถเมล์ ไปประชุมทุกครั้ง
ศึกษาทดลองสินค้าด้วย ก็พยายามยืมอัพไลน์ อย่าเสียเงินซื้อ
ห้ามซื้อของมาสต็อก ห้ามหลอกคน ห้ามฝืนใจใคร ยอดได้แค่ไหนแค่นั้น
สรุปคือต้อง conservative ให้มากๆ รักษา จรรยาบรรณให้ดี จะมั่นคง
ถ้าคิดว่าจะทำหรือไม่ทำ ต้องรู้ก่อนว่า...
1 ธุรกิจนี้ การแบ่งผลประโยชน์ยุติธรรมหรือไม่
2 ผลตอบแทนที่จะได้ มันคุ้มค่าพอสำหรับเราหรือไม่
2 เราพร้อมจะทุ่มเทเวลาทำธุรกิจนี้ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จได้หรือไม่
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 10
จุดนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับJ o r n เขียน:ห้ามซื้อของมาสต็อก ห้ามหลอกคน ห้ามฝืนใจใคร ยอดได้แค่ไหนแค่นั้นสรุปคือต้อง conservative ให้มากๆ รักษา
จรรยาบรรณให้ดี จะมั่นคง
ถ้าคิดว่าจะทำหรือไม่ทำ ต้องรู้ก่อนว่า...
1 ธุรกิจนี้ การแบ่งผลประโยชน์ยุติธรรมหรือไม่
2 ผลตอบแทนที่จะได้ มันคุ้มค่าพอสำหรับเราหรือไม่
2 เราพร้อมจะทุ่มเทเวลาทำธุรกิจนี้ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จได้หรือไม่
ธุรกิจเครือข่ายในไทยส่วนมากจะไม่ค่อยมีคนนิยมก็เพราะขาดจุดนี้แหละครับ คนส่วนใหญ่ที่เป็นคนชวนมักจะค่อนข้างทำผิดวิธี อย่างที่ึคุณ Jorn ได้ยก
ตัวอย่าง ทำให้พอคนได้ยินชื่อธุรกิจพวกนี้ก็เบนหน้านี้แล้ว
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะครับ
:D
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 11
ออกตัวละกัน ว่าผมนะทำอยู่...จากคนที่เกลียดเข้าไส้คนนึง แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ได้อยู่ในกลุ่มที่ดี ที่เน้นเรื่องจรรยาบรรมากๆ ใจเขาใจเรา เน้นการเรียนรู้
ผมมองอย่างงี้แล้วกัน
มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองครับ ว่าอยากทำเป็นธุรกิจของเราจริงๆหรือเปล่า...มันอยู่ที่ จริต นิสัยของเรานั้นแหละ ว่าจะตัดสินใจเลือกหรือเปล่า
ทุกๆอาชีพจะมีคนประสบความสำเร็จ และไม่สำเร็จ...แอมเวย์ก็เช่นกัน เพียงแต่แอมเวย์ จะมีคนให้กำลังใจ และล้มแล้วลุกใหม่ ได้เรื่อยๆ
ท้ายสุด ถึงไม่ทำธุรกิจ แค่ใช้สินค้าบางตัว หรือตัวที่เราชอบ ก็โอเคแล้วครับ บอกเพื่อนไปแหละ ว่าเป็นแค่เมมเบอร์ก็โอเคละ
ถ้าอยากรวย มีตังค์ ลงทุนในหุ้น ก็ได้เหมือนกันละครับ เผลอๆมากกว่าด้วยซ้ำ...แต่เพียงแอมเวย์ มันมีบางจุด ที่ผมมองแล้วว่า อยากได้ ก็เท่านั้น...
ไว้อีกสักห้าปี แล้วจะมาบอกครับ ว่าตัวผมเป็นไงบ้าง ณ ตอนนั้น
ผมมองอย่างงี้แล้วกัน
มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองครับ ว่าอยากทำเป็นธุรกิจของเราจริงๆหรือเปล่า...มันอยู่ที่ จริต นิสัยของเรานั้นแหละ ว่าจะตัดสินใจเลือกหรือเปล่า
ทุกๆอาชีพจะมีคนประสบความสำเร็จ และไม่สำเร็จ...แอมเวย์ก็เช่นกัน เพียงแต่แอมเวย์ จะมีคนให้กำลังใจ และล้มแล้วลุกใหม่ ได้เรื่อยๆ
ท้ายสุด ถึงไม่ทำธุรกิจ แค่ใช้สินค้าบางตัว หรือตัวที่เราชอบ ก็โอเคแล้วครับ บอกเพื่อนไปแหละ ว่าเป็นแค่เมมเบอร์ก็โอเคละ
ถ้าอยากรวย มีตังค์ ลงทุนในหุ้น ก็ได้เหมือนกันละครับ เผลอๆมากกว่าด้วยซ้ำ...แต่เพียงแอมเวย์ มันมีบางจุด ที่ผมมองแล้วว่า อยากได้ ก็เท่านั้น...
ไว้อีกสักห้าปี แล้วจะมาบอกครับ ว่าตัวผมเป็นไงบ้าง ณ ตอนนั้น
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 12
ขอเดานะครับถ้าอยากรวย มีตังค์ ลงทุนในหุ้น ก็ได้เหมือนกันละครับ เผลอๆมากกว่าด้วยซ้ำ...แต่เพียงแอมเวย์ มันมีบางจุด ที่ผมมองแล้วว่า อยากได้ ก็เท่านั้น...
หมายถึง เครือข่าย และประสบการณ์ใช่ไหมครับ
ผมจะรอครับไว้อีกสักห้าปี แล้วจะมาบอกครับ ว่าตัวผมเป็นไงบ้าง ณ ตอนนั้น
:D
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับงานขายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจครับ งานนี้ถ้าทำมากอาจจะแซงคนที่ชวนก็ได้น่ะครับ
ช่วย หมายถึง ช่วยให้ D/L หรือคนที่เราไปชวน ให้เค้าเป็นเถ้าแก่ก่อนครับ หรือทำให้เป็น B (เงินสี่ด้าน) เราก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์ ====>นี่คือแก่นของธุรกิจ
ผมว่าเป็นงานที่ทำให้เราได้รับอิสรภาพทางด้านการเงินให้เร็วขึ้นกว่าเดิมครับ
Amway ช่วยคน 6 คน เป็น B = portfolio ในหุ้น ประมาณ 15-20 ล้านบาท
พอดีผมเพิ่งอ่านเจอ
:oops:
ขอทวนความเข้าใจนะครับ
การที่เราไปช่วย D/L ให้ประสบความสำเร็จก่อนต้องทำให้เขาเป็นเถ้าแก่
หมายความว่า ก็ต้องให้เขา(คนที่ถูกชวน) ไปแนะนำสินค้าต่อให้กับคนอื่นๆ
ใช่ไหมครับ
ผมสงสัยอีกนิดนึงนะครับว่าทำไม ทำมากถึงจะแซงคนที่ชวนละครับ
เพราะเท่าที่ผมทราบคือคนที่ชวนจะได้แน่นอนคือ ค่าแนะนำคนมาสมัครเครือข่าย และ ส่วนแบ่งจากการที่เรา(ในฐานะคนถูกชวน) ซื้อสินค้า หรือ แนะนำให้คนอื่นใช้สินค้า ไม่ทราบผมเข้าใจผิดถูกประการใดครัีบ
ขอบคุณครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 14
ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมครับว่า
ทุกๆ ธุรกิจ ทุกๆวงการ มีทั้งคนที่ดี และ คนที่ไม่ดี ดังนั้น ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเราสามารถใช้สติปัญญา ในการแยกแยะ เรื่องของตัวธุรกิจ กับคนที่ทำธุรกิจ รวมถึงวิธีการ ในการทำธุรกิจนั้นๆ ได้หรือไม่
แม้แต่ในวงการของศาสนา ก็ยังไม่พ้น สัจจะธรรมข้อนี้ สิ่งสำคัญ ในความเห็นของผม คือเราคงต้องใช้สติปัญญาของตนเอง เพื่อที่จะมองให้ทะลุ พอที่จะเห็น เนื้อแท้ ข้างใน
ลองดู ธุรกิจหรืองานที่คุณทำอยู่ ซิครับว่า ดีทั้งหมดหรือเปล่า ถ้าไม่ดี หมดทำไมคุณยังอยู่กับสิ่งนั้นๆ ครับ ทุกๆ ธุรกิจ มีวิธี การที่ ดี และ ไม่ดี ดังนั้นเราคือผู้เลือกครับ ว่าจะ เป็นคนแบบไหน หรือ จะใช้วิธีใด
ส่วนตัวผม ผมแบ่งเรื่อง ธุรกิจ เป็นส่วนดังนี้
ธุรกิจที่ดี vs. ธุรกิจไม่ดี
คนดี vs คนไม่ดี
วิธีการที่ดี vs วิธีการไม่ดี
ถ้าเราแบ่งแยกได้ เราก็จะรู้และเห็นความแตกต่าง หรือ ต้องแก้ไข เช่น
ธุรกิจดี + คนไม่ดี + วิธีการที่ดี = ชื่อเสีย
ทำห้องเช่า + พ่อค้าหน้าเลือด + ทำเลดี, ตึกสวย = คนเช่าด่า
แค่อยากแบ่งปันความเห็นส่วนตัวครับ
ทุกๆ ธุรกิจ ทุกๆวงการ มีทั้งคนที่ดี และ คนที่ไม่ดี ดังนั้น ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเราสามารถใช้สติปัญญา ในการแยกแยะ เรื่องของตัวธุรกิจ กับคนที่ทำธุรกิจ รวมถึงวิธีการ ในการทำธุรกิจนั้นๆ ได้หรือไม่
แม้แต่ในวงการของศาสนา ก็ยังไม่พ้น สัจจะธรรมข้อนี้ สิ่งสำคัญ ในความเห็นของผม คือเราคงต้องใช้สติปัญญาของตนเอง เพื่อที่จะมองให้ทะลุ พอที่จะเห็น เนื้อแท้ ข้างใน
ลองดู ธุรกิจหรืองานที่คุณทำอยู่ ซิครับว่า ดีทั้งหมดหรือเปล่า ถ้าไม่ดี หมดทำไมคุณยังอยู่กับสิ่งนั้นๆ ครับ ทุกๆ ธุรกิจ มีวิธี การที่ ดี และ ไม่ดี ดังนั้นเราคือผู้เลือกครับ ว่าจะ เป็นคนแบบไหน หรือ จะใช้วิธีใด
ส่วนตัวผม ผมแบ่งเรื่อง ธุรกิจ เป็นส่วนดังนี้
ธุรกิจที่ดี vs. ธุรกิจไม่ดี
คนดี vs คนไม่ดี
วิธีการที่ดี vs วิธีการไม่ดี
ถ้าเราแบ่งแยกได้ เราก็จะรู้และเห็นความแตกต่าง หรือ ต้องแก้ไข เช่น
ธุรกิจดี + คนไม่ดี + วิธีการที่ดี = ชื่อเสีย
ทำห้องเช่า + พ่อค้าหน้าเลือด + ทำเลดี, ตึกสวย = คนเช่าด่า
แค่อยากแบ่งปันความเห็นส่วนตัวครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 15
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ anaconda ครับ
ผมขอเอาบางส่วนของความคิดเห็นของผมที่สนทนากับเพื่อนสมาชิกท่านอื่น
ในเว็บ Thaviคนนึงทาง Private มาโพสต์ในนี้นะครับ
ผมขอเอาบางส่วนของความคิดเห็นของผมที่สนทนากับเพื่อนสมาชิกท่านอื่น
ในเว็บ Thaviคนนึงทาง Private มาโพสต์ในนี้นะครับ
kornjackrit เขียน: จริงๆโดยส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับธุรกิจเครือข่ายนะครับ
เพราะผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทุกวงการมีทั้งคนดีและคนไม่ดี คนจริงใจและไม่จริงใจ
ขึ้นอยู่กับว่าเรายอมรับและสามารถทนอยู่กับ
ข้อไม่ดีของแต่ละธุรกิจ หรือ แต่ละวงการได้มากแค่ไหน
สำหรับผมเอง ผมก็เคยลองศึกษาธุรกิจเครือข่าย
โดยเฉพาะ Amway อย่างที่ตั้งกระทู้้อะครับ
เพราะผมคิดว่าผมเป็นเด็ก ผมควรจะหาประสบการณ์
กับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างก่อนที่จะตัดสินใจว่าโตขึ้น
ผมอยากจะทำ หรือ อยากจะเป็นอะไร
เมื่อผมลองศึกษาดูแล้ว ถ้าผมไม่ชอบ หรือ ไม่เหมาะกับทักษะความสามารถของผม ผมก็จะไม่ทำ
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ผมประสบความสำเร็จได้รวดเร็ว
หรือง่ายดายเพียงใด
เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะแนวเน้นคุณค่า
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมศึกษาแล้วรู้สึกชอบ ยิ่งศึกษาิิยิ่งชอบด้วยครับ
แนวคิดที่ว่า " การลงทุนในหุ้น คือ การเป็นส่วนหนึ่งในกิจการ
ที่เราจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล และมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้น
ในอนาคต " เป็นแนวคิดที่เข้ากับลักษณะและวิถีชีวิตของผม
จึงเป็นสาเหตุให้ผมอยากจะเป็นนักลงทุนในอนาคต
และเป็นสาเหตุที่ผมไม่ได้ทำ Amway หลังจากได้ศึกษาแล้วครับ
kornjackrit เขียน: ผมว่าสำหรับอาชีพนักลงทุนที่ผมอยากจะเป็นในอนาคต ก็สามารถเป็นมรดกได้(เมื่อผมเสียชีวิืต หุ้นในชื่อของผม
ก็จะตกไปเป็นของลูกผม ซึ่งเขาสามารถรับเงินปันผลต่อไปได้เช่นกัน)
และเงินปันผลก็เป็น Passive Income ชนิดหนึ่งนอกเหนือจากค่าเ้ช่า
ค่าลิขสิทธิ์ ดอกเบี้ย หรือ อื่นๆ
การลงทุนก็มีมากมายไม่จำเป็นต้องเป็น หุ้น เช่น อาจจะเป็น พันธบัตร
ตราสารหนี้ หรือ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์
ส่วนการอบรมทางตลาดหลักทัพย์ก็มีการจัดอบรม
ค่อนข้างบ่อย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
และการอบรมในหลายครั้งก็มีหัวข้อที่หลากหลาย
เ้ป็นการพัฒนาตัวผมเองได้เช่นกันครับ
เครือข่ายผมก็ได้รับเครือข่ายและการสนับสนุนที่ดีจากเว็บไซต์แห่งนี้
ซึ่งพี่ๆในเว็บก็คอยตอบคำถามเวลาผมมีข้อสงสัยด้วยดีตลอดมา
สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมคิดว่ามันเหมาะสมกับตัวผม และผมชอบมันที่สุดครับ
ผมเลยเลือกที่เ้ป็นนักลงทุนอาชีพมากกว่าการทำอย่างอื่น
รวมไปถึงอาชีพต่างๆด้่วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น หมอ วิศวะกร
สถาปนิก ศิลปิน นักดนตรี ฯลฯ
แน่นอนครับ การจะเป็นนักลงทุนได้
ผมต้องมีทุน
คำถามคือ ผมจะเอาทุนจากไหน
ผมขอตอบครับว่า ผมจะทำงานประจำครับ
แต่งานประจำที่ผมอยากทำ ก็คือ ผู้จัดการกองทุน
หรือ ที่ปรึกษาทางการเงิน
ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นอาชีพที่ตรงกับสาขาวิชาที่ผมกำลังศึกษา
ู่และที่สำคัญผมชอบด้วยครับ
ผมคิดว่าการได้ทำงานในสิ่งที่ชอบ
มันก็เหมือนกับการไม่ได้ทำงานครับ
เพราะผมจะมีความสุขที่ได้ทำสิ่งนั้น
และยังได้เงินทุนสำหรับการเป็นนักลงทุนในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่ผมโดนถามเวลาพูดถึงการทำงานประจำ
ก็คือ รายได้จากงานประจำไม่มั่นคงจะเอามาลงทุนได้หรอ ?
ถ้าโดนเลิกจ้าง รายได้เราก็จะหาย
ผมเห็นด้วยนะครับ
แต่ผมเชื่อว่า การมีแผนการเงิน การออม การลงทุน
และแผนการใช้จ่ายที่ดี มันจะช่วยให้ผมไม่ต้องกังวล
หรือเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้ครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับความเห็นของผม
เรื่องแบบนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนครับ
โลกนี้น่าสนใจและมีสีสันเพราะความเห็นที่แตกต่างกัน
ผมชอบลงทุน ปัจจุบันก็สนุกกับงานประจำ และสนุกกับการสร้างรายได้ในรูปแบบของ ค่าเช่า ดอกเบี้ย และ เงินปันผล ควบคู่กับการทำธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ใช่แนวเครือข่าย ตอนนี้รายได้จากการลงทุนยังไม่มากนัก แต่ก็มากพอที่จะหยุดทำงานได้ถ้าต้องการ นอกเหนือจากนี้ ก็มีทรัพย์สินที่สะสมมาเช่น ที่ดิน บ้าน ทอง และอื่นๆ
ผมพบว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่สามารถให้ความสงบทางใจแบบที่ไร้กังวลได้จริงๆ ยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ หุ้นที่พ่อผมซื้อทิ้งไว้ให้เป็นมรดก ปัจจุบันแทบไม่มีค่าแล้วครับ มันเป็นความผิดของผมเองที่เผลอ ไม่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด
ความคิดเห็นจะแปรเปลี่ยนไปตามเวลาครับ สิ่งที่เราเชื่อและยึดถือในวันนี้ อาจจะไม่เป็นแบบนั้นในวันข้างหน้า ผมเพียงแต่รู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ พูดถึงแต่วิธีการและยึดติดกับมันมาก ให้ความสำคัญกับวิธีการมากกว่า เป้าหมาย
สำหรับผม ผมยึดติดกับเป้าหมาย แต่วิธีการยืดหยุนได้ หลายๆครั้งถ้าเราทบทวนดู ก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราไม่ชอบทำจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เราต้องการ แต่สิ่งที่เราชอบทำอาจจะไม่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้
บางครั้งสิ่งที่เราไม่ชอบและฝืนทำไป เราก็อาจจะพบว่าจริงๆแล้วเราชอบมันก็ได้ครับ
ประสบการณ์ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าเส้นผมบังภูเขา ครับ
คุยกันแรกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สนุกๆ นะครับ
เรื่องแบบนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนครับ
โลกนี้น่าสนใจและมีสีสันเพราะความเห็นที่แตกต่างกัน
ผมชอบลงทุน ปัจจุบันก็สนุกกับงานประจำ และสนุกกับการสร้างรายได้ในรูปแบบของ ค่าเช่า ดอกเบี้ย และ เงินปันผล ควบคู่กับการทำธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ใช่แนวเครือข่าย ตอนนี้รายได้จากการลงทุนยังไม่มากนัก แต่ก็มากพอที่จะหยุดทำงานได้ถ้าต้องการ นอกเหนือจากนี้ ก็มีทรัพย์สินที่สะสมมาเช่น ที่ดิน บ้าน ทอง และอื่นๆ
ผมพบว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่สามารถให้ความสงบทางใจแบบที่ไร้กังวลได้จริงๆ ยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ หุ้นที่พ่อผมซื้อทิ้งไว้ให้เป็นมรดก ปัจจุบันแทบไม่มีค่าแล้วครับ มันเป็นความผิดของผมเองที่เผลอ ไม่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด
ความคิดเห็นจะแปรเปลี่ยนไปตามเวลาครับ สิ่งที่เราเชื่อและยึดถือในวันนี้ อาจจะไม่เป็นแบบนั้นในวันข้างหน้า ผมเพียงแต่รู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ พูดถึงแต่วิธีการและยึดติดกับมันมาก ให้ความสำคัญกับวิธีการมากกว่า เป้าหมาย
สำหรับผม ผมยึดติดกับเป้าหมาย แต่วิธีการยืดหยุนได้ หลายๆครั้งถ้าเราทบทวนดู ก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราไม่ชอบทำจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เราต้องการ แต่สิ่งที่เราชอบทำอาจจะไม่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้
บางครั้งสิ่งที่เราไม่ชอบและฝืนทำไป เราก็อาจจะพบว่าจริงๆแล้วเราชอบมันก็ได้ครับ
ประสบการณ์ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าเส้นผมบังภูเขา ครับ
คุยกันแรกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สนุกๆ นะครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 17
anaconda เขียน:ความคิดเห็นจะแปรเปลี่ยนไปตามเวลาครับ สิ่งที่เราเชื่อและยึดถือในวันนี้ อาจจะไม่เป็นแบบนั้นในวันข้างหน้า ผมเพียงแต่รู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ พูดถึงแต่วิธีการและยึดติดกับมันมาก ให้ความสำคัญกับวิธีการมากกว่า เป้าหมาย
สำหรับผม ผมยึดติดกับเป้าหมาย แต่วิธีการยืดหยุนได้ หลายๆครั้งถ้าเราทบทวนดู ก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราไม่ชอบทำจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เราต้องการ แต่สิ่งที่เราชอบทำอาจจะไม่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้
บางครั้งสิ่งที่เราไม่ชอบและฝืนทำไป เราก็อาจจะพบว่าจริงๆแล้วเราชอบมันก็ได้ครับ
ประสบการณ์ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าเส้นผมบังภูเขา ครับ
้
ขอบคุณมากครับ สำหรับความคิดเห็นที่ให้ข้อคิดดีๆครับ
แม้ผมจะยังไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ชอบจนรู้สึกชอบ
แต่ผมก็เชื่ออยู่เสมอว่าหลายๆสิ่ง ที่เราไม่ชอบไม่ใช่เพราะเราไม่ชอบจริงๆ
แต่เป็นเพราะเราไม่เข้าใจมันจริงๆมากกว่า
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือประสบการณ์และเหตุการณ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเปลี่ยนไปชอบในสิ่งที่่เคยไม่ชอบมาก่อนได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามผมก็คิดว่าถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราชอบโดยแท้จริงคืออะไรแล้ว
มันก็เหมือนกับว่าเราได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา
ซึ่งผมก็คิดว่าถ้าผมได้ค้นพบตัวตนของผมจริงๆ ผมก็คงจะไม่ไปสนใจ
หรือไปทำสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุด เพราะนั่้นก็จะหมายความว่า
ผมได้ทำสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดน้อยลง และ ณ ตอนนี้ ผมก็คิดว่าผมได้พบแล้ว
เมื่อผมได้พบสิ่งที่ผมชอบจริงๆแล้ว ผมจึงเลือกที่จะทุ่มเท่พลังงาน และเวลาทั้งหมดที่ผมมี เพื่อทำสิ่งนั้นๆ มากกว่าการแบ่งเวลา
และพลังงานของผมไปทำในสิ่งอื่นซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าผมจะชอบมันหรือเปล่า
( ถึงแม้ในอนาคตผมอาจจะชอบมันก็ได้ )
จริงๆผมเห็นด้วยกับคุณ anaconda เ้กือบทั้งหมดนะครับ
แต่ผมเห็นต่างกับคุณ anaconda ตรงเป้าหมาย
และวิธีการนิดนึง(โดยส่วนตัวนะครับ)
เป้าหมายจริงๆในชีวิตของผม คือ การมีความสุข และการได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นๆ ตามความเหมาะสม
การมีอิสระภาพทางการเงิน หรือ ความร่ำรวย
เป็นแค่สิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
แต่สุดท้าย ต่อให้ผมไม่มีอิสระภาพทางการเงิน หรือ ไม่ได้ร่ำรวยมากมาย
แต่ผมมีความสุข ผมก็คิดว่าผมบรรลุเป้าหมายของผมแล้วเช่นกัน
สำหรับผม ผมคิดว่าผมยึดติดกับเป้าหมาย และค่อนข้างยึดติดกับวิธีการด้วยเช่นกัน
แต่วิธีการที่ผมยึดติด จะต้องเป็นวิธีการที่(แน่นอนว่าต้องสุจริต)
และผมทำแล้วมีความสุดที่สุด ซึ่งนั่นก็ต้องหมายถึง การได้ทำในสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด
(ไม่ใช่การได้ทำในสิ่งที่จะทำให้ถึงเป้าหมายเร็วที่สุด)
เพราะจริงๆแล้วการได้ทำในสิ่งที่ชอบและรักมากที่สุด
สำหรับผม มันก็เท่ากับว่าผมได้ไปถึงเป้าหมายของผมแล้วนั่นเอง
(เพราะ เป้าหมายของผม คือ การมีความสุข)
anaconda เขียน:คุยกันแรกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สนุกๆ นะครับ
ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้คุยกับคุณ anaconda ครับ
และผมก็รู้สึกโชคดีมากที่ได้เจอพี่ๆในเว็บ Thaivi
ทุุกๆท่านที่ใช้เหตุและผลในการแสดงความคิดเห็น
เวลาได้คุยกันยิ่งทำให้ผมรู้สึกสนุกครับ
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบนี้
เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมให้เรารู้จักใช้เหตุใช้ผลในการคิด พิจารณา เพราะผมเชื่อว่าไม่มีใครจะคิดได้ถูกต้องตลอดเวลา
การได้รับฟังความคิดเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลของผู้อื่น
ทำให้เราได้พิจารณาว่าสิ่งที่เราคิดหรือสิ่งที่เราเชื่อนั้นมันเหมาะสมแล้วหรือยัง
หรือ มีความคิดเห็นอื่นๆที่มีเหตุมีผลมากกว่า
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 18
ยินดี และ สนุก ที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับคุณ kornjackrit ครับ
ผมเห็นว่าเราก็เหมือนกันครับ เพราะว่า มนุษย์ ทุกคน มีเป้าหมายเดียวกันหมด คือต้องการความสุข เพียงแต่นิยามความสุขของแต่ละคนแตกต่างกัน
อิสระภาพ ทางการเงินเป็นแค่ ส่วนประกอบ หนึ่งเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบ อื่นๆอีก
สิ่งที่เราพึงระวังคือการหาความสุขผิดที่ เราอาจจะทุ่มเททำอะไรอย่างหนักด้วยความชอบ ความสุขและความสนุก เมื่อสำเร็จแล้ว เราอาจจะพบว่า ทำไมเรายังไม่มีความสุขแบบสุดๆ
ชีวิตคือการเดินทาง คล้ายๆ กับการปีนขึ้นภูเขา ภูเขายิ่งสูง คนยิ่งต้องการพิชิต แม้ต้องแลกด้วยชีวิต คนเหล่านั้นทำงานหนักด้วยด้วยความชอบ ความสุขและความสนุก เมื่อถึงยอดเขา ก็จะเจอกับความหนาวเย็น อ้างว้างเดียวดาย แล้วก็ต้องกลับลงมา หาภูเขาที่สูงกว่า เพื่อท้าทายความสามารถตัวเอง
ข้อแตกต่างของ ชีวิตกับการปีนเขาคือ ชีวิตคนถูกกำหนดด้วยเวลา เราจะมีเวลาลองผิดลองถูก เพื่อหาความสุขจริงๆมากแค่ไหน
ผมเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญและใส่ใจกับความสุขที่แท้จริงน้อยมากๆ ผมชอบถามตัวเองเสมอว่า ปีท้ายๆ ของชีวิตผม ผมจะมีวิถีชีวิตแบบไหน สุขภาพเป็นยังไง เพื่อนฝูงสังคมเป็นยังไง ครอบครัวเป็นแบบไหน และอื่นๆ แล้วผมก็พบว่าความสำเร็จหรือการบรรลุเป้าหมายของตัวเองคนเดียวไม่ใช่คำตอบแน่ๆ
ผมขอยกตัวอย่างเอาแบบสุดโต่งเลยละกันว่า ถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นแล้วชนะ ได้ทั้งเงินปันผล ได้ทั้งราคาหุ้น แต่เพียงคนเดียว ในขณะที่คนอื่นขาดทุนหมด เราก็คงจะสนุก ภาคภูมิใจและมีความสุขกับทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น จริงหรือเปล่าครับ เราจะมีความสุขที่แท้จริงหรือครับ ถ้าสิ่งที่เราได้มา มันเป็นความยับเยินของคนบางคน
แค่ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบและสนุกกับการลงทุนในตลาดหุ้น ผมไม่ได้ต่อต้านระบบทุนนิยม เพียงแต่เห็นว่าคนที่อยู่ในระบบทุนนิยมน่าจะตะหนักรู้และมองต่างมุมเท่านั้นครับ ยินดีรับฟังความเห็นที่แตกต่างครับ
ผมเห็นว่าเราก็เหมือนกันครับ เพราะว่า มนุษย์ ทุกคน มีเป้าหมายเดียวกันหมด คือต้องการความสุข เพียงแต่นิยามความสุขของแต่ละคนแตกต่างกัน
อิสระภาพ ทางการเงินเป็นแค่ ส่วนประกอบ หนึ่งเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบ อื่นๆอีก
สิ่งที่เราพึงระวังคือการหาความสุขผิดที่ เราอาจจะทุ่มเททำอะไรอย่างหนักด้วยความชอบ ความสุขและความสนุก เมื่อสำเร็จแล้ว เราอาจจะพบว่า ทำไมเรายังไม่มีความสุขแบบสุดๆ
ชีวิตคือการเดินทาง คล้ายๆ กับการปีนขึ้นภูเขา ภูเขายิ่งสูง คนยิ่งต้องการพิชิต แม้ต้องแลกด้วยชีวิต คนเหล่านั้นทำงานหนักด้วยด้วยความชอบ ความสุขและความสนุก เมื่อถึงยอดเขา ก็จะเจอกับความหนาวเย็น อ้างว้างเดียวดาย แล้วก็ต้องกลับลงมา หาภูเขาที่สูงกว่า เพื่อท้าทายความสามารถตัวเอง
ข้อแตกต่างของ ชีวิตกับการปีนเขาคือ ชีวิตคนถูกกำหนดด้วยเวลา เราจะมีเวลาลองผิดลองถูก เพื่อหาความสุขจริงๆมากแค่ไหน
ผมเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญและใส่ใจกับความสุขที่แท้จริงน้อยมากๆ ผมชอบถามตัวเองเสมอว่า ปีท้ายๆ ของชีวิตผม ผมจะมีวิถีชีวิตแบบไหน สุขภาพเป็นยังไง เพื่อนฝูงสังคมเป็นยังไง ครอบครัวเป็นแบบไหน และอื่นๆ แล้วผมก็พบว่าความสำเร็จหรือการบรรลุเป้าหมายของตัวเองคนเดียวไม่ใช่คำตอบแน่ๆ
ผมขอยกตัวอย่างเอาแบบสุดโต่งเลยละกันว่า ถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นแล้วชนะ ได้ทั้งเงินปันผล ได้ทั้งราคาหุ้น แต่เพียงคนเดียว ในขณะที่คนอื่นขาดทุนหมด เราก็คงจะสนุก ภาคภูมิใจและมีความสุขกับทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น จริงหรือเปล่าครับ เราจะมีความสุขที่แท้จริงหรือครับ ถ้าสิ่งที่เราได้มา มันเป็นความยับเยินของคนบางคน
แค่ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบและสนุกกับการลงทุนในตลาดหุ้น ผมไม่ได้ต่อต้านระบบทุนนิยม เพียงแต่เห็นว่าคนที่อยู่ในระบบทุนนิยมน่าจะตะหนักรู้และมองต่างมุมเท่านั้นครับ ยินดีรับฟังความเห็นที่แตกต่างครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 19
:D
ยินดีครับที่คุณ anaconda ให้เกียรติพูดคุยเป็นเหตุเป็นผลกัน
และนำเสนอความคิดเห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง
ผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ครับ
ผมคิดว่าสาเหตุหลักอาจจะเป็นเพราะว่าคนเรายึดเอาความสุขในทางโลก
เป็นที่ตั้งหรือเปล่าครับ ?
นอกจากความสุขทางโลกแล้ว ความสุขทางใจ
น่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนเราควรจะเติมเ็ต็ม
ผมเชื่อว่าการได้ทำงานอดิเรกที่เราชอบ
(สำหรับผม คือ การเล่นกีฬา
ฟังเพลง สนทนาในเว็บบอร์ด อ่านหนังสือ และที่ลืมไม่ได้เป็นอย่างยิ่งก็คือการลงทุนในหุ้น)
การทำบุญให้ทานไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือความรู้
และการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
เป็นสิ่งหนึ่งในหลายๆสิ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากความสุขที่ได้จากการประสบความสำเร็จ
และความร่ำรวย
( ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า จุดประสงค์หลักที่ผมลงทุนในหุ้น
เพราะผมชอบกระบวนการของมัน เช่น การวิเคราะหฺ์ธุรกิจ
การวิเคราะห์งบการเงิน และความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง
ของกิจการที่ยอดเยี่ยมที่มีส่วนร่วมในการสร้างเศรษฐกิจ
สร้างงาน และสร้างความเจริญให้กับประเทศ
ส่วนกำไรหรืิอผลตอบแทนนั้นเป็นเป้าหมายรองครับ )
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
ต้องขออภัยที่จำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว
แต่ใจความของหนังสือเล่มนั้นเขียนไว้่่ว่า
" ชีวิตที่มีความสุขและสมบูรณ์ คือ ชีวิตที่สมดุล "
ผมชื่นชอบและเห็นด้วยกับข้อความนี้มาก
และผมก็เชื่อว่าข้อความนี้กล่าวไว้ไม่ผิดแม้แต่น้ิอย
ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ เป็นสิ่งที่ผมก็เคยคิดเล่นๆเหมือนกัน
โดยส่วนตัวผมคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้น
โดยเนื้อแท้ี่ไม่ได้เป็น Zero Sum Game ครับ
( ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งเสีย )
ไม่เหมือนกับการลงทุนใน Future , Option
ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนนะครับ
สมมุติเ้ราร่วมทุนกับเพื่อน เพื่อเปิดบริษัทสักแห่งหนึ่ง
ปรากฎว่าบริษัทที่เราทำกับเ้พื่อนนั้นได้กำไรอย่างงดงาม
ผมและเพื่อนจึงได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล
ตามสัดส่วนเงินลงทุนที่เราทั้งคู่ลงไป
( ในการเปิดบริษัท จะต้องมีการจดทะเบียน
ซึ่งทุนจดทะเบียนนั้นจะแบ่งเป็นหุ้น
ถ้าการลงทุนในหุ้นเป็น Zero Sum Game แสดงว่าต้ิองมีคนขาดทุนจากการลงทุน
แต่จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าทั้งผมและเพื่อนต่างก็ได้กำไรครับ
และที่สำคัญไม่มีใครต้องขาดทุนจากการลงทุนทำธุรกิจของผมและเพื่อน
( อาจจะมีคู่แข่งที่สู้ไม่ได้ ต้องปิดกิจการไป
หรือว่าเขาจะเป็นผู้เสียประโยชน์ ?
ผมคิดว่าถ้าพูดในแง่นี้ ในโลกธุรกิจ กิจการทุกๆอย่างก็เป็นเช่นนี้ครับ
และถ้าพูดในแง่นี้ผมก็ต้องยอมรับว่าการลงทุนในหุ้นเป็นการทำให้คนอื่น
เสียประโยชน์ครับ
แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีกิจการอะไรที่ทำแล้วมีแต่คนได้ประโยชน์ เพราะต่อให้กิจการนั้นจะผลิตสิ้นค้าที่ดีขนาดไหน
ทำให้ผู้บริโภคและสังคมเจริญมากขึ้นแค่ไหน คู่แข่งซึ่งทำผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกันก็ต้องสู้ไม่ได้ ต้องปิดกิจการ
และเป็นผู้เสีัยประโยชน์อยู่ดี )
สิ่งทีี่ผมอยากจะสื่อ ก็คือ ถ้าผมลงทุนแบบนักลงทุน
ไม่ได้ลงทุนแบบนักเ้ก็งกำไร ผลตอบแทนของผม
จะไม่ทำให้ใครต้องขาดทุนอย่างยับเยินแน่นอนครับ
เนื่องจากผลตอบแทนของผมมาจากผลกำไรของบริษัทที่ผมลงทุน
ไม่ใช่ได้้มาจากการซื้อๆขายๆหุ้นเพื่อหวังเอากำไรจากส่วนต่างราคา
และทำให้คนอื่นต้องขาดทุนครับ
ยินดีครับที่คุณ anaconda ให้เกียรติพูดคุยเป็นเหตุเป็นผลกัน
และนำเสนอความคิดเห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง
anaconda เขียน:สิ่งที่เราพึงระวังคือการหาความสุขผิดที่ เราอาจจะทุ่มเททำอะไรอย่างหนักด้วยความชอบ ความสุขและความสนุก เมื่อสำเร็จแล้ว เราอาจจะพบว่า ทำไมเรายังไม่มีความสุขแบบสุดๆ
ผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ครับ
ผมคิดว่าสาเหตุหลักอาจจะเป็นเพราะว่าคนเรายึดเอาความสุขในทางโลก
เป็นที่ตั้งหรือเปล่าครับ ?
นอกจากความสุขทางโลกแล้ว ความสุขทางใจ
น่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนเราควรจะเติมเ็ต็ม
ผมเชื่อว่าการได้ทำงานอดิเรกที่เราชอบ
(สำหรับผม คือ การเล่นกีฬา
ฟังเพลง สนทนาในเว็บบอร์ด อ่านหนังสือ และที่ลืมไม่ได้เป็นอย่างยิ่งก็คือการลงทุนในหุ้น)
การทำบุญให้ทานไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือความรู้
และการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
เป็นสิ่งหนึ่งในหลายๆสิ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากความสุขที่ได้จากการประสบความสำเร็จ
และความร่ำรวย
( ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า จุดประสงค์หลักที่ผมลงทุนในหุ้น
เพราะผมชอบกระบวนการของมัน เช่น การวิเคราะหฺ์ธุรกิจ
การวิเคราะห์งบการเงิน และความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง
ของกิจการที่ยอดเยี่ยมที่มีส่วนร่วมในการสร้างเศรษฐกิจ
สร้างงาน และสร้างความเจริญให้กับประเทศ
ส่วนกำไรหรืิอผลตอบแทนนั้นเป็นเป้าหมายรองครับ )
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
ต้องขออภัยที่จำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว
แต่ใจความของหนังสือเล่มนั้นเขียนไว้่่ว่า
" ชีวิตที่มีความสุขและสมบูรณ์ คือ ชีวิตที่สมดุล "
ผมชื่นชอบและเห็นด้วยกับข้อความนี้มาก
และผมก็เชื่อว่าข้อความนี้กล่าวไว้ไม่ผิดแม้แต่น้ิอย
:D :Danaconda เขียน:ผมขอยกตัวอย่างเอาแบบสุดโต่งเลยละกันว่า ถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นแล้วชนะ ได้ทั้งเงินปันผล ได้ทั้งราคาหุ้น แต่เพียงคนเดียว ในขณะที่คนอื่นขาดทุนหมด เราก็คงจะสนุก ภาคภูมิใจและมีความสุขกับทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น จริงหรือเปล่าครับ เราจะมีความสุขที่แท้จริงหรือครับ ถ้าสิ่งที่เราได้มา มันเป็นความยับเยินของคนบางคน
ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ เป็นสิ่งที่ผมก็เคยคิดเล่นๆเหมือนกัน
โดยส่วนตัวผมคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้น
โดยเนื้อแท้ี่ไม่ได้เป็น Zero Sum Game ครับ
( ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งเสีย )
ไม่เหมือนกับการลงทุนใน Future , Option
ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนนะครับ
สมมุติเ้ราร่วมทุนกับเพื่อน เพื่อเปิดบริษัทสักแห่งหนึ่ง
ปรากฎว่าบริษัทที่เราทำกับเ้พื่อนนั้นได้กำไรอย่างงดงาม
ผมและเพื่อนจึงได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล
ตามสัดส่วนเงินลงทุนที่เราทั้งคู่ลงไป
( ในการเปิดบริษัท จะต้องมีการจดทะเบียน
ซึ่งทุนจดทะเบียนนั้นจะแบ่งเป็นหุ้น
ถ้าการลงทุนในหุ้นเป็น Zero Sum Game แสดงว่าต้ิองมีคนขาดทุนจากการลงทุน
แต่จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าทั้งผมและเพื่อนต่างก็ได้กำไรครับ
และที่สำคัญไม่มีใครต้องขาดทุนจากการลงทุนทำธุรกิจของผมและเพื่อน
( อาจจะมีคู่แข่งที่สู้ไม่ได้ ต้องปิดกิจการไป
หรือว่าเขาจะเป็นผู้เสียประโยชน์ ?
ผมคิดว่าถ้าพูดในแง่นี้ ในโลกธุรกิจ กิจการทุกๆอย่างก็เป็นเช่นนี้ครับ
และถ้าพูดในแง่นี้ผมก็ต้องยอมรับว่าการลงทุนในหุ้นเป็นการทำให้คนอื่น
เสียประโยชน์ครับ
แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีกิจการอะไรที่ทำแล้วมีแต่คนได้ประโยชน์ เพราะต่อให้กิจการนั้นจะผลิตสิ้นค้าที่ดีขนาดไหน
ทำให้ผู้บริโภคและสังคมเจริญมากขึ้นแค่ไหน คู่แข่งซึ่งทำผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกันก็ต้องสู้ไม่ได้ ต้องปิดกิจการ
และเป็นผู้เสีัยประโยชน์อยู่ดี )
สิ่งทีี่ผมอยากจะสื่อ ก็คือ ถ้าผมลงทุนแบบนักลงทุน
ไม่ได้ลงทุนแบบนักเ้ก็งกำไร ผลตอบแทนของผม
จะไม่ทำให้ใครต้องขาดทุนอย่างยับเยินแน่นอนครับ
เนื่องจากผลตอบแทนของผมมาจากผลกำไรของบริษัทที่ผมลงทุน
ไม่ใช่ได้้มาจากการซื้อๆขายๆหุ้นเพื่อหวังเอากำไรจากส่วนต่างราคา
และทำให้คนอื่นต้องขาดทุนครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- PrasertsakK
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 20
ได้อ่านบทสนทนาระหว่างคุณ kornjackrit กับ anaconda แล้วสนุกจริง ๆ ครับ เลยขอเข้าร่วมด้วย
แต่ขอดึงกลับเข้าประเดิม Amway หน่อยนะครับ
ในมุมมองของผมโมเดลของ amway ก็ถือเป็นรูปแบบของธุรกิจที่ดีมาก ๆ แบบหนี่ง แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ตรงส่วนไหนของระบบ และ ปัจจุบันตัวของเราเป็นอย่างไร ถ้าผมเป็นคนทำงาน ไม่มีความสามารถอะไรมากมาย เป็นคนที่เบื่อหน่ายชีวิตการทำงานที่เป็นอยู่ เงินเดือนก็ไม่เท่าไร ผมก็มองว่า amway ก็เป็นทางที่ดีมาก ๆ สำหรับผม เพราะว่า ระบบของ amway จะคอยกระตุ้นให้ผมมีไฟอยู่เสมอ หัวหน้าจะค่อยให้กำลังใจผมเวลาที่ผมโดนเพื่อน(ที่ไม่ชอบ amway)ไม่พูด้วย เงินที่ได้จะกระตุ้นให้ผมหาสมาชิกเพิ่มต่อไปเรื่อย ๆ คนที่ประสพความสำเร็จกับธุรกิจจะพูดให้ผมพร้อมที่จะเดิมไปในวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ ผมจะมีเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เข้าใจความรู้สึกที่ผิดหวังและมีความฝันที่จะประสพความสำเร็จ นี้ยังไม่ร่วมถึงได้ใช้ของดี ๆ และเงินต่อเดือนอีกด้วย
แต่ในมุมมองของผมแล้ว ผมว่า amway ก็มีข้อเสียตรงที่ระบบของมันเอง การที่ amway มีระบบ marketing ที่สำเร็จแล้ว หรือ มีการขายสินค้าที่มั่นใจว่าคุณภาพสูง ผมว่ามันเป็นอะไรที่ดูสะดวกดี แต่เราจะเบื่อหรือเปล่าที่เราทำหน้าที่อยู่อย่างเดียวเอง คือ ขาย ในวิธีที่หลายคนพูดว่าแบบนี้หละคือความสำเร็จ เราจะไม่เบื่อหรือครับที่เราต้องตั้งเป้าหมายความสำเร็จเหมือนคนอื่น เราจะสนุกในชีวิตได้เติมที่อย่างไร ถ้าการทำทุกอย่างในนิยามว่าประสพความสำเร็จจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำเงินตลอดเวลา ผมว่าชีวิตของคนปกติ(สำหรับหลาย ๆ คน) ก็น่าเบื่ออยู่แล้ว นี้ถ้าเราต้องถูกจำกัดวีธีการเพิ่มอีกผมว่าชีวิตคนไม่มีสีสันน่าดู
สุดท้ายผมคงไม่สรุปว่า amway ดีหรือไม่ดีเพราะว่าจริง ๆ แล้วผมก็ไม่เคยได้ร่วมธุรกิจ amway อย่างจริง ๆ กับเขาสักที แต่ก็ฟังสัมนามาประมาณ4-5 ครั้งเห็นจะได้ และผมว่าไม่ว่าคนเราจะทำอะไรก็คงเจอปัญหาและก็เบื่อเป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าเป็น amway เจ้าของธุรกิจ นักลงทุน แต่ผมว่าคนเราควรทำในสิ่งที่ชอบ ชอบในสิ่งที่ทำ และพยายามที่จะไม่หยุดพัฒนาความคิด และ สุดท้าย ก็แบ่งปันสิ่งที่เราได้มาให้กับคนอื่นบ้าง เราก็คงอยู่รอดได้ในโลกเล็ก ๆ ใบนี้
Ps: หวัดดีน้องkornjackrit อย่างเป็นทางการในกระทู้นี้แล้วกัน (พี่อาร์ต ขอนแก่นเอง) และรู้สึกสนุกมาก ๆ ที่ได้เข้ามาเขียนมุมมองของเราบ้าง แต่ต้องขออภัยที่เขียนได้ห่วยมาก ๆ
ART
Life is mine......
แต่ขอดึงกลับเข้าประเดิม Amway หน่อยนะครับ
ในมุมมองของผมโมเดลของ amway ก็ถือเป็นรูปแบบของธุรกิจที่ดีมาก ๆ แบบหนี่ง แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ตรงส่วนไหนของระบบ และ ปัจจุบันตัวของเราเป็นอย่างไร ถ้าผมเป็นคนทำงาน ไม่มีความสามารถอะไรมากมาย เป็นคนที่เบื่อหน่ายชีวิตการทำงานที่เป็นอยู่ เงินเดือนก็ไม่เท่าไร ผมก็มองว่า amway ก็เป็นทางที่ดีมาก ๆ สำหรับผม เพราะว่า ระบบของ amway จะคอยกระตุ้นให้ผมมีไฟอยู่เสมอ หัวหน้าจะค่อยให้กำลังใจผมเวลาที่ผมโดนเพื่อน(ที่ไม่ชอบ amway)ไม่พูด้วย เงินที่ได้จะกระตุ้นให้ผมหาสมาชิกเพิ่มต่อไปเรื่อย ๆ คนที่ประสพความสำเร็จกับธุรกิจจะพูดให้ผมพร้อมที่จะเดิมไปในวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ ผมจะมีเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เข้าใจความรู้สึกที่ผิดหวังและมีความฝันที่จะประสพความสำเร็จ นี้ยังไม่ร่วมถึงได้ใช้ของดี ๆ และเงินต่อเดือนอีกด้วย
แต่ในมุมมองของผมแล้ว ผมว่า amway ก็มีข้อเสียตรงที่ระบบของมันเอง การที่ amway มีระบบ marketing ที่สำเร็จแล้ว หรือ มีการขายสินค้าที่มั่นใจว่าคุณภาพสูง ผมว่ามันเป็นอะไรที่ดูสะดวกดี แต่เราจะเบื่อหรือเปล่าที่เราทำหน้าที่อยู่อย่างเดียวเอง คือ ขาย ในวิธีที่หลายคนพูดว่าแบบนี้หละคือความสำเร็จ เราจะไม่เบื่อหรือครับที่เราต้องตั้งเป้าหมายความสำเร็จเหมือนคนอื่น เราจะสนุกในชีวิตได้เติมที่อย่างไร ถ้าการทำทุกอย่างในนิยามว่าประสพความสำเร็จจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำเงินตลอดเวลา ผมว่าชีวิตของคนปกติ(สำหรับหลาย ๆ คน) ก็น่าเบื่ออยู่แล้ว นี้ถ้าเราต้องถูกจำกัดวีธีการเพิ่มอีกผมว่าชีวิตคนไม่มีสีสันน่าดู
สุดท้ายผมคงไม่สรุปว่า amway ดีหรือไม่ดีเพราะว่าจริง ๆ แล้วผมก็ไม่เคยได้ร่วมธุรกิจ amway อย่างจริง ๆ กับเขาสักที แต่ก็ฟังสัมนามาประมาณ4-5 ครั้งเห็นจะได้ และผมว่าไม่ว่าคนเราจะทำอะไรก็คงเจอปัญหาและก็เบื่อเป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าเป็น amway เจ้าของธุรกิจ นักลงทุน แต่ผมว่าคนเราควรทำในสิ่งที่ชอบ ชอบในสิ่งที่ทำ และพยายามที่จะไม่หยุดพัฒนาความคิด และ สุดท้าย ก็แบ่งปันสิ่งที่เราได้มาให้กับคนอื่นบ้าง เราก็คงอยู่รอดได้ในโลกเล็ก ๆ ใบนี้
Ps: หวัดดีน้องkornjackrit อย่างเป็นทางการในกระทู้นี้แล้วกัน (พี่อาร์ต ขอนแก่นเอง) และรู้สึกสนุกมาก ๆ ที่ได้เข้ามาเขียนมุมมองของเราบ้าง แต่ต้องขออภัยที่เขียนได้ห่วยมาก ๆ
ART
Life is mine......
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 21
สวัสดีึครับพี่อาร์ต
ในที่สุดผมก็ได้คุยกับพี่ซะที 555+
นึกว่าพี่จะไม่มาโพสต์ซะแล้ว อิอิ
ส่งท้ายปีเก่าเลยนะครับ
ขอบคุณที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นนะครับ
ปล.ว่างๆเดี๋ยวผมโทรไปคุยครับ ^ ^
ในที่สุดผมก็ได้คุยกับพี่ซะที 555+
นึกว่าพี่จะไม่มาโพสต์ซะแล้ว อิอิ
ส่งท้ายปีเก่าเลยนะครับ
ขอบคุณที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นนะครับ
ปล.ว่างๆเดี๋ยวผมโทรไปคุยครับ ^ ^
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 413
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 22
[quote="kornjackrit"]
Even Sir Isaac Newton loss in stock market
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณสำหรับความเห็นของพี่ AuI_a VI ครับ
:D
:D
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 24
Aui_a VI เขียน:ซื้อขายก็ไม่จำเป็นต้อง zero sum ครับ เช่น
ขายหมูก็ไม่นับเป็น zero sum game เหมือนกันครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 25
ได้มุมมองหลายมุมดีทีเดียวครับ :D
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 26
เหรียญมีอย่างน้อย 2 ด้านนะครับ บอกที่สิ่งที่เรา พบ สัมผัส หรือคิด ก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าเราคิดว่าเรารู้แล้ว เราก็อาจจะพลาดโอกาศที่จะรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้
คนส่วนใหญ่ตัดสินสิ่งที่พบเจอด้วยข้อมูลที่เก็บสะสมไว้ในสมอง เช่น บริษัทขายตรง ถ้าเราเคยเจอคนมา หลอกให้เข้างานประชุม ยัดเยียดขายของ เราก็จะคิดถ้าเราจะทำ เราก็ต้องไปทำแบบเดียวกันกับเพื่อนเรา เราก็จะตัดสินว่ามันไม่ดี เราไม่ชอบ ไม่ใช่เรา หรือกับตลาดหุ้น เราก็คงรู้ว่ามีนักเสี่ยงโชค ที่คิดว่าตัวเองเป็นนักลงทุน เข้ามาในตลาดหุ้น ขาดทุนแล้วก็ สาบส่งตลาดหุ้น
ความคิดเห็นของคนเหล่านี้ก็ไม่ผิด เพราะมันเกิดจากสิ่งที่พบและเจอ แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่พบและเจอ มันเป็นแค่วิธีการหรือกระบวนการของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทขายตรงหรือตลาดหุ้น และที่สำคัญ เราไม่จำเป็นต้องทำตามคนเหล่านั้น เหมือนกับว่าถ้าเราไปกินก๋วยเตี๋ยว แค่ 2 - 3 ร้านแล้วไม่อร่อย เราจะสรุปมั้ยว่า ก๋วยเตี๋ยวไม่อร่อย ทั้งที่จริงๆ มีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็น พันๆ ร้าน มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นคือน้องผม ตอนเด็กๆ กินปูครั้งแรกเจอปูไม่สด ก็เลยตัดสินใจ ว่าปูไม่อร่อยแล้วก็ไม่กินอีก พูดยังไงก็ไม่ลอง จนผ่านมาหลายๆปี ถึงได้ยอมลองอีก ทุกวันนี้ ชอบกินปูมากๆ
ส่วนตัวผมพยายามจะไม่ตัดสินว่าผมชอบ ไม่ชอบ อะไร, อะไรดีหรือไม่ดี, หรืออะไรถูกหรือผิด หรือแม้แต่ ผมเหมาะ ไม่เหมาะ ถนัด ไม่ถนัดอะไร เพราะมันเป็นการจำกัดตัวเอง และเราอาจจะพลาด สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตก็ได้ มันเป็นการตัดสินใจโดยใช้ความเห็น ณ ขณะนั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงที่แท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง เช่นผมเคยไม่ชอบกีฬากอล์ฟ แต่พอฝืนเล่นไปเรื่อยๆ ก็พบว่ากอล์ฟ เป็นกีฬาที่มีเสน่ห์ ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ถ้าผมทำตามใจทำตามความคิดตัวเอง ผมก็คงพลาดโอกาศ ที่จะรู้จักกีฬากอล์ฟ
ส่วนสำคัญของการพัฒนาตัวเองคือการได้ลองทำสิ่งที่ไม่รู้ไม่ถนัด ถ้าเราวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เรารู้เราชอบเราถนัด แล้วเราจะพัฒนาตัวเองได้มากแค่ไหน
ผมแค่อยากจะบอก ความคิดเห็นส่วนตัวว่า เราควรจะแยกแยะ ได้ว่าอะไรเป็นความจริงอะไรเป็นความเห็น การตัดสินใจของเรานั้นอยู่บนความจริงหรือความเห็น เราจะได้ไม่มองข้ามสิ่งดีๆรอบตัวเรา
ขอบคุณที่สนใจ อ่านความคิดเห็นของผมครับ
คนส่วนใหญ่ตัดสินสิ่งที่พบเจอด้วยข้อมูลที่เก็บสะสมไว้ในสมอง เช่น บริษัทขายตรง ถ้าเราเคยเจอคนมา หลอกให้เข้างานประชุม ยัดเยียดขายของ เราก็จะคิดถ้าเราจะทำ เราก็ต้องไปทำแบบเดียวกันกับเพื่อนเรา เราก็จะตัดสินว่ามันไม่ดี เราไม่ชอบ ไม่ใช่เรา หรือกับตลาดหุ้น เราก็คงรู้ว่ามีนักเสี่ยงโชค ที่คิดว่าตัวเองเป็นนักลงทุน เข้ามาในตลาดหุ้น ขาดทุนแล้วก็ สาบส่งตลาดหุ้น
ความคิดเห็นของคนเหล่านี้ก็ไม่ผิด เพราะมันเกิดจากสิ่งที่พบและเจอ แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่พบและเจอ มันเป็นแค่วิธีการหรือกระบวนการของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทขายตรงหรือตลาดหุ้น และที่สำคัญ เราไม่จำเป็นต้องทำตามคนเหล่านั้น เหมือนกับว่าถ้าเราไปกินก๋วยเตี๋ยว แค่ 2 - 3 ร้านแล้วไม่อร่อย เราจะสรุปมั้ยว่า ก๋วยเตี๋ยวไม่อร่อย ทั้งที่จริงๆ มีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็น พันๆ ร้าน มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นคือน้องผม ตอนเด็กๆ กินปูครั้งแรกเจอปูไม่สด ก็เลยตัดสินใจ ว่าปูไม่อร่อยแล้วก็ไม่กินอีก พูดยังไงก็ไม่ลอง จนผ่านมาหลายๆปี ถึงได้ยอมลองอีก ทุกวันนี้ ชอบกินปูมากๆ
ส่วนตัวผมพยายามจะไม่ตัดสินว่าผมชอบ ไม่ชอบ อะไร, อะไรดีหรือไม่ดี, หรืออะไรถูกหรือผิด หรือแม้แต่ ผมเหมาะ ไม่เหมาะ ถนัด ไม่ถนัดอะไร เพราะมันเป็นการจำกัดตัวเอง และเราอาจจะพลาด สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตก็ได้ มันเป็นการตัดสินใจโดยใช้ความเห็น ณ ขณะนั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงที่แท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง เช่นผมเคยไม่ชอบกีฬากอล์ฟ แต่พอฝืนเล่นไปเรื่อยๆ ก็พบว่ากอล์ฟ เป็นกีฬาที่มีเสน่ห์ ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ถ้าผมทำตามใจทำตามความคิดตัวเอง ผมก็คงพลาดโอกาศ ที่จะรู้จักกีฬากอล์ฟ
ส่วนสำคัญของการพัฒนาตัวเองคือการได้ลองทำสิ่งที่ไม่รู้ไม่ถนัด ถ้าเราวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เรารู้เราชอบเราถนัด แล้วเราจะพัฒนาตัวเองได้มากแค่ไหน
ผมแค่อยากจะบอก ความคิดเห็นส่วนตัวว่า เราควรจะแยกแยะ ได้ว่าอะไรเป็นความจริงอะไรเป็นความเห็น การตัดสินใจของเรานั้นอยู่บนความจริงหรือความเห็น เราจะได้ไม่มองข้ามสิ่งดีๆรอบตัวเรา
ขอบคุณที่สนใจ อ่านความคิดเห็นของผมครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 27
:cheers:
ขอบคุณมากเช่นกันครับ
ผมขอนำความคิดเห็นของคุณ anaconda ไปพิจารณา
และนำไปปรับปรุงความคิดของผมนะครับ
ตอนแรกไม่เห็นคุณ anaconda มาโพสต์ตอบ
สงสัยไปเที่ยวปีใหม่มาใช่ไหมครับ
ยังไงก็ happy New Year ย้อนหลังนะครับ
ขอบคุณมากเช่นกันครับ
ผมขอนำความคิดเห็นของคุณ anaconda ไปพิจารณา
และนำไปปรับปรุงความคิดของผมนะครับ
ตอนแรกไม่เห็นคุณ anaconda มาโพสต์ตอบ
สงสัยไปเที่ยวปีใหม่มาใช่ไหมครับ
ยังไงก็ happy New Year ย้อนหลังนะครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 28
สำหรับความคิดเห็นนี้ผมให้ 3 ตัวครับanaconda เขียน:ส่วนตัวผมพยายามจะไม่ตัดสินว่าผมชอบ ไม่ชอบ อะไร, อะไรดีหรือไม่ดี, หรืออะไรถูกหรือผิด หรือแม้แต่ ผมเหมาะ ไม่เหมาะ ถนัด ไม่ถนัดอะไร เพราะมันเป็นการจำกัดตัวเอง และเราอาจจะพลาด สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตก็ได้ มันเป็นการตัดสินใจโดยใช้ความเห็น ณ ขณะนั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงที่แท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นความคิดที่เปิืดกว้างดีมากเลยครับ ผมชอบมาก
ต้องยอมรับว่าผมประสบการณ์ยังน้อยมากๆ ต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆนะครับ
แต่ผมก็ยังคิดว่าการตัีดสินใจโดยใช้ความเห็น ณ ขณะนั้น
กับสิ่งที่เราคิดจะทำต่อไปในอนาคต น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับช่่วงเวลานั้นเช่นกันเพราะในอนาคตผมก็ยังไม่ทราบว่าจะมีอะไร
เกิดขึ้นบ้าง
ผมยังเชื่อและยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ผมจึงไม่เคยคิดว่าจะไม่่มีทางเปลี่ยนแปลงความชอบ หรือ ความสนใจ
เพียงแต่ ตราบใดที่ผมยังชอบ และรักในสิ่งที่ผมทำอยู่
ผมก็ยังคงจะทำสิ่งนั้นต่อไป และผมก็มั่นใจว่าผมได้ทำสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
ในช่วงเวลานั้นแล้ว แต่ถ้าเกิดมีสิ่งใดก็ตามที่ทำให้สิ่งที่ผมชอบที่สุด
ต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งอื่น ผมก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปทำสิ่งนั้นเช่นกัน
ดังนั้นผมจึงไม่เคยที่จะปิดกั้นโอกาสในการรับรู้หรือทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ
เช่น การเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย
เพียงแต่เมื่อผมได้ทำสิ่งใหม่ๆเหล่านั้นแล้ว ผมยังเห็นว่าสิ่งที่ผมชอบ
และืทุ่มเททำอยู่ในทุกวันนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดอยู่ดีครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 29
ผมเห็นด้วยครับการคิดว่าเรารู้แล้วanaconda เขียน:เหรียญมีอย่างน้อย 2 ด้านนะครับ บอกที่สิ่งที่เรา พบ สัมผัส หรือคิด ก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าเราคิดว่าเรารู้แล้ว เราก็อาจจะพลาดโอกาศที่จะรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้
ทำให้เรามีโอกาสพลาดที่จะรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้
แต่ผมก็คิดว่าถ้าเราเอาเวลาไปศึกษาสิ่งที่เราไม่รู้ทั้งหมด
มันคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะสิ่งที่เรายังไม่รู้นั้นมีมากมายเหลือเกิน
ผมขอยกตัวอย่างนะครับ
ผมเคยศึกษา Future และ Option
ผมศึกษาได้ในระดับหนึ่ง เรียกว่าพอจะเข้าใจว่าทั้งสองตัวนี้ คืออะไร
และใช้งานอย่างไร ผมเห็นทั้งข้อดีข้อเสียของมัน
่แน่นอนครับผมไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดของ Future และ Option
ขนาดจะเป็นผู้เชียวชาญ หรือแม้แต่จะอธิบายให้ใครฟังได้โดยไม่ต้องใช้ข้อูุลอ้างอิง
แต่ผมก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าผมไม่ชอบการเก็งกำไร ใน Future
และ Option ( พูดในแง่การเก็งกำไรนะครับ )
สาเหตุเพราะ ไม่ว่าผมจะศึกษาเกี่ยวกับมันลึกซึ้งเพียงใด
สุดท้ายลักษณะของมันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงยังคงเป็น ตราสารอนุพันธ์ที่ใช้เก็งกำไรอยู่ดี
เช่นเดียวกัน ธุรกิจเครือข่ายก็ยังคงเป็นธุรกิจเครือข่ายไม่ว่า
ผมจะศึกษามันลึกซึ้งแค่ไหน ธุรกิจเครือข่ายคงจะมีลักษณะเหมือนเดิม
สุดท้ายผมต้องกลับมาถามตัวเองว่า
ผมชอบทำธุรกิจเครือข่ายหรือลงทุนในหุ้นมากกว่ากัน
คำตอบของผมก็คืิอ ผมชอบการลงทุนในหุ้นมากกว่า
แน่นอนไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเครือข่ายหรือการลงทุนในหุ้น
ย่อมมีทั้งข้อดีข้อเสีย สิ่งสำคัญผมคิดว่าไม่ใช่แค่เรามองแต่ว่ามันดีเพียงใด
แต่ต้องยอมรับข้อเสียหรือข้อด้อยมันได้ด้วย ถ้าผมยอมรับข้อเสียของมันไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะผมไม่ชอบ หรือด้วยสาเหตุประัการใดก็ตาม
ถึงแม้จะมีข้อดีมากเพียงใด ผมคงจะไม่เลือกที่จะทำครับ
อย่างไรก็ตามผมยังคงศึกษาธุรกิจเครือข่ายอยู่เื่รื่อยๆเวลามีเพื่อนพูดถึง
หรือมีโอกาสไปสัมมนา แม้กระทั่งอ่านหนังสือ
อย่างเช่น โรงเรียนสอนธุรกิจ จาก ผู้เขียน Rich Dad Poor Dad
เพราะไม่แน่ว่าอนาคตผมอาจจะกลับมาสนใจก็เป็นได้
ผมอาจจะไม่อยากทำธุรกิจเครือข่าย แต่ผมก็ไม่เคยต่อต้านสินค้า
หรือบริการถ้าสินค้าและบริการเหล่านั้นมีคุณภาพที่ดี
และหลายๆบริษัทที่ทำธุรกิจเครือข่ายก็มีสินค้าที่มีคุณภาพดีมากเช่นกัน
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 30
สวัสดีปีใหม่ครับ และขออภัยที่หายไปนาน พอดีช่วงปีใหม่ ยุ่งๆ เลยไม่ได้มีเวลาออน
ผมเห็นด้วยครับที่เราคงไม่มีเวลา ไปศึกษาเรื่องที่เราไม่รู้ทั้งหมด ความหมายของผมคือ เวลาที่เรา เรียนรู้อะไร เราน่าจะเอาความรู้และประสบกรณ์ เก่าๆ ของเราที่มีอยู่ พักไว้ชั่วคราวก่อน เท่านั้นเองครับ
เช่น ไม่รู้ว่าคุณเป็นอย่างผม หรือเปล่า เวลาอ่านหนังสือ ซ้ำหลายๆ ครั้ง ผมพบว่า บางช่วงบางตอน ทำไมมันรู้สึกเหมือนเราไม่เคยอ่าน ซึ่งถ้าเรา คิดว่าหนังสือเล่มนี้ เคยอ่านแล้ว ก็ไม่อ่านอีก หรืออ่านผ่านๆ เราก็คงพลาดข้อความเหล่านั้น
ผมสนใจความคิดเห็ของ คุณ kornjackrit ในเรื่องข้อดี ข้อเสียของธุระกิจเครือข่ายและตลาดหุ้น พอจะทำรายการเป็นข้อๆ ให้ได้มั้ยครับ แล้วก็ ถ้าเป็นไปได้ สิ่งที่เราได้รับ จากตลาดหุ้น และ ธุระกิจเครือข่าย
ขอบคุณที่สละเวลาแบ่งปันความรู้และความคิดเห็นกันครับ
ผมเห็นด้วยครับที่เราคงไม่มีเวลา ไปศึกษาเรื่องที่เราไม่รู้ทั้งหมด ความหมายของผมคือ เวลาที่เรา เรียนรู้อะไร เราน่าจะเอาความรู้และประสบกรณ์ เก่าๆ ของเราที่มีอยู่ พักไว้ชั่วคราวก่อน เท่านั้นเองครับ
เช่น ไม่รู้ว่าคุณเป็นอย่างผม หรือเปล่า เวลาอ่านหนังสือ ซ้ำหลายๆ ครั้ง ผมพบว่า บางช่วงบางตอน ทำไมมันรู้สึกเหมือนเราไม่เคยอ่าน ซึ่งถ้าเรา คิดว่าหนังสือเล่มนี้ เคยอ่านแล้ว ก็ไม่อ่านอีก หรืออ่านผ่านๆ เราก็คงพลาดข้อความเหล่านั้น
ผมสนใจความคิดเห็ของ คุณ kornjackrit ในเรื่องข้อดี ข้อเสียของธุระกิจเครือข่ายและตลาดหุ้น พอจะทำรายการเป็นข้อๆ ให้ได้มั้ยครับ แล้วก็ ถ้าเป็นไปได้ สิ่งที่เราได้รับ จากตลาดหุ้น และ ธุระกิจเครือข่าย
ขอบคุณที่สละเวลาแบ่งปันความรู้และความคิดเห็นกันครับ