นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ต้องออกตัวก่อนนะครับ  ว่าผมศึกษามาน้อยทางด้านนี้  แต่ผมไม่เคยมองว่าธรรมะ  ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าานทรงสอนเป็นสิ่งที่ยาก  เพราะเวลาท่านสอนไม่ยากจริงๆครับ  หากพี่ๆน้องๆทุกคน  เคยได้อ่านชาดกหรือว่า  พุทธประวัติบ้าง  จะเห็นได้ครับว่า  ท่านสอนง่ายเสมอตามกำลังปัญญาของบุคคล  ถ้าบุคคลมีใจรักธรรมะบทใดเป็นพิเศษ  ท่านสอนบทนั้นเพื่อให้เข้าถึงมรรคผลอย่างง่ายที่สุด  เพื่อให้ง่ายขึ้น  ผมจะค่อยๆพิมชาดกให้อ่านกันนะครับ  หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่ๆน้องๆทุกคน  บางครั้งผมอาจจะมีพิมสิ่งที่เป็นความคิดของผมบ้าง  ถ้าผิดพลาดประการใด  ก็เป็นเพราะผมเป็นผู้มีอวิชชาปิดกั้นใจเอง  อาจารย์ที่ท่านสอนผม  ท่านสอนมาดีแล้วครับ  เป็นเพราะผมยังไม่ถึงธรรมนั้นอย่างแท้จริงเอง  แต่ไม่อยากให้พี่น้องทุกคน  มองว่า  นิพพาน  เป็นของยาก  เพราะจะทำให้เสียโอกาสที่เราได้เกิดมาในเขตพระพุทธศาสนา  อย่างน้อยก็จับทางให้ถูก  จะได้ไม่ต้องลงอบายภูมินะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 2

โพสต์

งูเหลือมฟังธรรม

        ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  การฟังเรื่องราวของพระสูตร  ก็ถือว่า ฟังเรื่องราวของผู้ปฏิบัติก่อน  การที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เอาพระสูตรมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง  ก็มีความประสงค์อยู่ว่า  จะได้ถือเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติ

        มีบรรดาพุทธบริษัทหลายท่านว่า  เรื่องราวของพระสูตร  เป็นเหตุไร้ผล  เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์มานาน  และมีใครที่ไหนบ้างจะจำเข้าไว้  ดีไม่ดี  เขาก็กล่าวว่าพระสูตร  เป็นเรื่องราวที่บรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายแต่งขึ้นไว้หลอกเด็ก  เรื่องนี้จะเป็นประการใดก็ช่างเถิด

        บรรดาท่านพุทธบริษัท  เรามาถือ  เอาเหตุ  เอาผล  กันดีกว่า  เรื่องพระสูตรจะจริง  หรือไม่จริง  ก็ช่าง  ถ้าเราเป็นคนมีปัญญา  สามารถปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคสอน  ทำ ทิิพจักขุญาณ  ให้เกิด  ทำ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ให้เกิด  ทำ  อตีตังสญาณ  อนาคตังสญาณ  ให้เกิด  ทำ  เจโตปริยญาณ  ให้เกิด  เพียงเท่านี้  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค  ก็รู้สึกว่า  จะเป็นของไม่ยากนัก  จะเห็นว่า  คำสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดา  มีเหตุผลพอสมควร  แล้วก็เป็นความจริงทุกอย่าง

        สำหรับพระสูตร  ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังมาในกาลก่อน  ถึงบุพกรรม  รู้สึกว่า  เป็นกรรมชั่ว  ทำตัวให้ได้รับความทุกข์ฟังแล้วน่าสลดใจ  ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรอ้างตัวอย่าง  แม้แต่กรรมของพระองค์เอง  ที่เป็นพระมหาชนก  ด้วยมีเจตนาความรักในสามเณรตัวเล็กๆ  ซึ่งเป็นเด็กอายุแค่ 7 ขวบ  พายเรือมา  สามเณรตัวเล็กๆนี้  น่ารักมาก  แกล้งทำน้ำให้เป็นคลื่น
เพื่อเป็นการล้อสามเณร  พอดีสามเณเรือล่ม  อาศัยที่พระองค์ทำให้สามเณรเรือล่ม  และก็มีความรักอยู่เป็นทุน  จึงได้อุ้มสามเณรนั้นขึ้นบก  เปลี่ยนผ้าให้ใหม่  รับเป็นโยมปวารณา  ในฐานะที่พระองค์เป็นพระราชา  เณร  เป็น  เณรหลวง  เป็นพระของหลวง มีความสุขเป็นพิเศษ

        แต่ถึงกระนั้นก็ดี  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวว่า กรรมเพียงเล็กน้อยเท่านี้  ท่านจัดว่า  เป็น  อกุศลกรรม ความจริง  น่าจะคิดถึงเจตนา เจตนาของพระองค์ไม่ได้คิดว่า  จะฆ่า  หรือจะแกล้งสามเณร  ให้มีความทุกข์

        แต่ว่า กรรมเพียงเล็กน้อยเท่านี้  ก็ทำให้องค์สมเด็จพระชินสีห์  ต้องว่ายน้ำมาถึง 500 ชาติ  แต่ว่า  ผลของความดี

ที่สงเคราะห์สามเณร การว่ายน้ำคราวใด ก็ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เป็นพระราชา ทุกชาติ เหมือนกัน เป็นอันว่า  ผลของความชั่ว  และผลของความดี  ให้ผลร่วมกัน

        แต่ทว่า  ต่อแต่นี้ไป  จะกล่าวถึงผลความดี  ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง  เพราะว่า  การเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น  พระพุทธเจ้าทรงแนะนำโดยเฉพาะ  คือ  ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันหนึ่งนั่นก็คือ  พระนิพพาน  การจะไปพระนิพพาน  ของบรรดาท่านพุทธบริษัท  รู้สึกว่ามันยากเหลือเกิน  ทั้งนี้เพราะว่า  ก่อนจะไปพระนิพพานได้  ต้องตัดกิเลส  เป็น  สมุจเฉทปหาน  สำหรับกิเลสนี้  พระโบราณจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า  มี  กิเลสถึงพันห้าตัณหาร้อยแปด  เป็นอันว่า  กิเลส  และตัญหานี้  นับกันจริงๆมันไม่ถ้วน  แล้วเราจะมานั่งไล่กิเลสให้หมดใจ  ไล่ตัญหาให้หมดใจ  มันจะเป็นไปได้อย่างไร  นี่เป็นเรื่องน่าสงสัย

        สำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท  เมื่อไหร่เราจะไล่กิเลสหมด  เราจะไล่ความรักที่เกี่ยวกับกามารมณ์  การอยากมีผัวมีเมีย  อยากมีลูก  เมื่อไหร่มันจะหมดไปสักที  เราจะไล่กิเลสตัวร้าย  คือ  ความโกรธ  คิดประทุษร้ายชาวบ้านชาวเมืองนี้  เมื่อไหร่มันจะหมดไป  เราจะมาไล่ความหลงที่ปรากฏขึ้นในใจ มันก็แสนยาก  เพราะมันหลงเสียแล้ว  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ถ้าเราฟังไปในด้านการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา  รู้สึกว่า  จะยากเต็มที

        แต่ทว่า  องค์สมเด็จพระมหามุนี  ในฐานะที่เป็นสัพพัญญู  เป็นพระพุทธเจ้า  มีความฉลาดเป็นพิเศษ  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็มีวิธีแนะนำ  คือ  แนะนำแบบความฉลาด  ถ้าฉลาดจริงๆ  บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง  การไปพระนิพพาน  ก็ไม่ใช่ของยากเหมือนกัน  บางทีท่านฟังแล้ว  จะรู้สึกว่า  ง่ายเกินไปกว่าที่ท่านคิด  แต่ว่า  สำคัญอยู่ที่จิตเท่านั้นแหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  เราจะเกิดในอบายภูมิ  มีนรก  มีเปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  หรือจะมาเป็นมนุษย์มีความสุข  มีความทุกข์  เกิดเป็นเทวดา  เกิดเป็นพรหม  หรือเกิดที่นิพพาน  ความสำคัญอยู่ที่ใจอันเดียว  ถ้าใจเราดี  จับอยู่ในส่วนดี  เราก็มีความสุข  สามารถจะเปลื้องความทุกข์เข้าถึงพระนิพพานได้  ถ้าเรากลายเป็นคนใจร้าย  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เราก็ไม่พ้นความทุกข์

        ทีนี้เรามาดูตัวอย่างกัน  สำหรับท่านที่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานง่ายๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เป็น  สัตว์เดรัจฉาน  สามารถทำจิตใจของตนให้เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายๆ  เพียงตายจากสัตว์เดรัจฉาน  ไปเกิดเป็นเทวดา  จุติจากเทวดามาเกิดเป็นคน  ได้พบศาสนาขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาแล้ว  ฟังเทศน์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเทศน์  เป็นพระสงฆ์สาวกเทศน์  เพียงจบเดียว  ท่านก็บรรลุพระโสดาปัตติผล  พอฟังครั้งที่สอง  ก็เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด  คือ  พระอรหัตผล

        เมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว  ก็จะรู้สึกว่าง่าย  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระจอมไตร  จึงได้ืทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท  ให้ระวังใจเป็นสำคัญ  โดยพระบาลีว่า เจตนาหัง  ภิกขเว  ปุญญัง  วทามิ  ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวว่าเจตนาเป็นตัวบุญ และมีพระบาลีกล่าวว่า  มโนปุพพังคมา  ธัมมา  มโนเสฏฐา  มโนมยา  ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า  มีใจประเสริฐสุด  สำเร็จด้วยใจ เราจะดี  หรือจะชั่วได้  ก็อาศัยใจเป็นสำคัญ

        เอาล่ะ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  เรามาดูตัวอย่างกันว่า  ใครหนอ  ที่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  โดยไม่ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม  แต่ทว่า  พอใจในเสียงธรรม  เกิดเป็นเทวดา  ลงมาเกิดเป็นคน  เข้าถึงซึ่งพระนิพพานง่าย  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะลองฟัง  และลองปฏิบัติตาม  เราเป็นมนุษย์  มีความสำคัญยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  เพราะเรารู้ว่า  เสียงนี้เป็นเสียงธรรม  หรือ  ไม่ใช่เสียงธรรม  ลองฟังเรื่องราวของท่าน ตามพระสูตรมีอยู่ว่า

        เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุืทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระพุทธกัสสป ในสมัยนั้น  ปรากฏว่า  มีงูเหลือมอยู่หนึ่งตัวเป็นงูเหลือมแก่  อาศัยอยู่ในเขตสถาน  คือ  ถ้ำแห่งหนึ่ง  ใกล้ๆกับสำนักของพระสงฆ์  ในคราวหนึ่ง  องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน  อภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์  คือ  ปกรณ์ 7 ประการ  ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่าเป็นปิฏกที่ 3 และเป็นปิฏกที่มีความสำคัญที่สุด  ถ้าเทวดา  และมนุษย์  ปฏิบัติในด้านอภิธรรม  ทั้ง 7 ประการนี้  ได้ครบถ้วนท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วที่สุด

        ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา  ก็ได้เลือกความรู้ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุมา  เห็นว่า  อภิธรรมมีความสำคัญเท่ากับความดีของพระมารดา  ควรแก่ก้อนข้าว  และน้ำนมที่พระมารดาทรงเลี้ยง  คือ  ให้ชีวิตมา  องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ทรงนำอภิธรรมไปแสดง  เทศน์จบเดียว ปรากฏว่า  พระพุทธมารดาได้พระโสดาปัตติผล  และมีเทวดาและพรหมมากท่าน  ได้ถึงซึ่งพระอมตะมหาปรินิพพาน  คือ  เป็น  พระอรหันต์

        นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  การฟังพระอภิธรรมย่อมมีประโยชน์  ถ้าเราฟังด้วยความเคารพ  แม้แต่พระที่ท่านสวด  เราฟังไม่รู้เรื่องว่า  ท่านสวดว่าอย่างไร  แต่ถ้าฟังด้วยใจเคารพแล้ว  ท่านก็สามารถจะถึงพระนิพพานได้  อย่างช้าอีกชาติเดียวเท่านั้น  สำหรับเรื่องราวของคน  อาตมาจะยังไม่พูด  จะขอพูดเรื่องของ  งู  ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานก่อน

        เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงสอนพระอภิธรรมแก่บรรดาพระสาวกแล้ว  คณะสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ก็มีความประสงค์จะท่องจำให้ขึ้นใจ  จึงพากันไปซ้อมพระอภิธรรม  ในถ้ำใหญ่

        ในถ้ำนั้น  ปรากฏว่า  มีค้างคาว  ห้อยหันกันอยู่ 500 ตัว  เพราะว่า  เวลากลางวัน  ค้างคาวนอนหลับ  และนอกจากค้างคาว  ก็มี  งูเหลือมแก่อยู่ตัวหนึ่ง  งูเหลือมตัวนี้แก่มาก  ไปไหนไม่ค่อยไหว  อาศัยอยู่ในถ้ำ  เรื่องราวของค้างคาว  อาตมาจะงดไว้ก่อน  จะพูดเฉพาะเรื่องของ งูเหลือม

        งูเหลือมตัวนี้  เมื่อนอนอยู่  ได้ยินเสียงพระซ้อมอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์  แต่ทว่าบทอื่นๆใดนี้  แกไม่เคยชอบ  ความจริงแกไม่รู้ว่า  พระท่านสวดอะไร ท่านว่าอะไร  จะเป็นธัมมะธัมโมหรือไม่  ท่านไม่เข้าใจ  พอใจแต่เฉพาะในเสียง  ที่พอใจในเสียงก็พอใจอยู่บทเดียว  คือ บทอายตนะ  ในตอนหนึ่งของบทอายตนะ  ที่เราเรียกกันว่า  ปัญจักขันธาใหญ่  ท่านสวดกันว่า  จักขุนทริยัง  โสตินทริยัง  ฆานินทริยัง  ชิวหินทริยัง  เหล่านี้เป็นต้น  มันลงท้าย  ยังๆ

        สำหรับบทนี้  ในสมัยเมื่ออาตมาบวชใหม่ๆ  อยู่กับหลวงพ่อปาน  พระในสมัยนั้นท่านชอบสวดปัญจักขันธาใหญ่  ในสมัยที่มีคนตาย  พระที่บวชใหม่ว่าไม่ได้  อย่างอาตมา  ยังไม่ได้ท่องกับเขา  เวลาเขาสวดบทนี้  ก็ดำน้ำตามเขาไปด้วย  ว่าตัวหน้าไม่ได้  ก็ลงท้าย  ทริยังๆ  พอจบแล้ว  ก็แลกสตางค์ค่าสวดกับเขาได้เหมือนกัน  เขาถวายเท่ากัน  พระที่สวดได้ทั้งหมดก็ได้สตางค์อาตมาสวดกับเขาไม่ได้  เขาก็ถวายสตางค์เท่ากัน  แต่ทว่าการสวดเพื่อหวังสตางค์นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท  องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคท่านบอกว่า  ตายแล้วลงนรก

        ตอนบวชใหม่ๆ  อาตมาสร้างนรกไว้กี่ขุมแล้วก็ไม่ทราบ  มาหวาดหวั่นนรกขึ้นมา  ตอนที่โตขึ้นมาสักหน่อย  หรือบวชนานนิด  จิตคิดขึ้นว่า  ถ้าขืนเกิดต่อไปจะไม่เป็นเรื่อง  ก็จะหาทางไม่เกิด  จึงได้ค้นคว้าดูตำราของพระไตรปิฏกว่า  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศน์ไว้ตรงไหนบ้าง  ที่เราไปพระนิพพานกันได้ง่ายๆ  เมื่อค้นคว้าไปก็พบหลายจุด

        ตอนนี้มาพูดกันถึงงูเหลือม  เมื่องูเหลือมแก่ฟังบทว่า  ทริยังๆ  แกชอบตรงนี้  ไม่รู้ว่าพระท่านว่าดี  หรือไม่ดี  ว่าอะไรก็ไม่ทราบ  แกชอบตรงนี้  ทริยัง  มันลงท้ายเหมือนๆกัน  ฟังเพราะดี

        เมื่อฟังมาได้ 2-3 วัน  อายุของท่านงูเหลือมตัวนี้ก็ถึงเวลาตาย  เพราะแก่มากแล้ว  อาศัยที่ฟังบทของอภิธรรม  ประเภทไม่รู้เรื่อง  เพียงชอบใจในเสียง  ปรากฏว่า  แกตายจากงูเหลือมแล้ว  แกก็ไปเกิดเป็นเทวดา  บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก  มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่  มีนางฟ้า  500  หรือ  1000 เป็นบริวาร  จำไม่ได้นัก

        เมื่อหมดกาลจากความเป็นเทวดา  ก็มาเกิดในเขตของชมพูทวีป  เกิดก่อน  พระเจ้าอโศกมหาราช  ประมาณ  30  ปี  ในระหว่างที่มาเกิด  ความจริง มาจากด้านของความดี  คือ  เป็น  เทวดาได้  เพราะเขตของพระพุทธศาสนา  แต่เวลาที่จะมาเกิดเป็นคน  มาเกิดในตระกูลที่เคารพใน  อเจลก  คือ  พระแก้ผ้า

        ในตอนต่อมาก็ปรากฏว่า  แกบวชเป็นพระในสำนักของอเจลก  เดินแก้ผ้าตามสบาย  ไม่มีกฏหมายลงโทษ  แต่เป็นที่เคารพของตระกูลพระราชา และอาศัยที่ได้ฟัง  ทริยังๆ  มานั่นแหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  เป็นเหตุให้อเจลกท่านนี้ได้  ทิพจักขุญาณ  เป็นเรื่องน่าแปลกมั้ย  บรรดาท่านพุทธบริษัท  การเข้าถึงศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดา  ด้วยกำลังใจที่เคารพเพียงเล็กน้อย  มาเกิดเป็นคน  บวชเป็นอเจลก  ก็ได้ทิพจักขุญาณ  สามารถจะรู้อะไรต่ออะไรได้บ้างตามสมควร  เพราะเป็นญาณที่มาจากฌาณโลกีย์

        มาวันหนึ่ง  เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชยังเป็นเด็กเล็ก  พอเดินได้สะดวกๆ  เวลานั้นเป็นยามว่าง  ท่านพ่อเอาลูกขึ้นไปอุ้มไว้บนตัก  ลูกชายนั่งตักท่านพ่อ  นักไปนั่งมา  ก็ปวดอุจจาระ  ถ่ายอุจจาระออกมาเปื้อนตักของท่านพ่อ  ท่านพ่อเห็นว่าลูกชายถ่ายอุจจาระออกมาเปื้อนก็จับโยนไปข้างๆ  คำว่า  โยน  ในที่นี้  คงจะไม่โยนแรง  คงจะจับไปวางไว้  แต่บาลีท่านกล่าวว่า  โยน  พ่อมีความรักลูก  จะโยนให้เจ็บหนักก็ไม่ได้

        เมื่อมารดาเห็นว่า  พ่อไม่ชอบใจลูก  เพราะลูกขี้รดตัก  จึงได้นำลูกชายที่รักไปอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่  แล้วก็พาลูกชายไปเดินเที่ยวนอกวัง  พอดีคราวนั้นก็ไปพบอเจลกคนสำคัญนี้เข้า  คือ  อเจลกงูเหลือม  ชื่อของท่านมี ถ้าจะกล่าวชื่อให้ฟัง  ก็เป็นการไม่สมควร  จำยาก  เราเรียกกันว่า  อเจลกงูเหลือม  ก็แล้วกัน  อเจลกเป็นที่เคารพของตระกูลนี้  เมื่อเห็นเด็กคนนี้เข้า  ก็ยืนมองดู  พระราชินีสงสัย  จึงได้ถามอาจารย์ใหญ่ว่า  พระคุณเจ้าดูลูกชายของหม่อมฉัน  เพื่อประสงค์อะไรพระเจ้าข้า  อเจลกคนนั้นจึงกล่าววาจาว่า  ภคินี  ดูก่อนน้องหญิง  ลูกชายคนนี้เลียงไว้ให้ดีนะ  เมื่อพระราชบิดาทิวงคต
แล้ว  จะเป็นกษัตริย์ที่มีความสำคัญมาก  จะมีเดชอำนาจมากเหลือเกิน  แต่ทว่าจะต้องฆ่าน้องชายต่างพระมารดา  80  พระองค์  ด้วยความจำเป็น  เมื่ออเจลกพยากรณ์แล้วก็ผ่านไป  นางก็พาลูกชายกลับเข้าไปสู่พระราชวัง

        นับตั้งแต่นั้นมา นางก็จำเรื่องราวไว้  แต่ไม่เคยบอกให้ใครทราบ  เมื่อท่านอโศกมหาราชโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม  บรรลุนิติภาวะ  เป็นที่รักของบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารมาก  เพราะมีจริยาดี  ไม่เหยียดหยามใคร  มีจิตเมตตา พระราชบิดาก็ืทรงโปรด  จึงแต่งตั้งให้ไปเป็น  เจ้าเมืองหน้าด่าน  เพราะมีความสามารถในการรบ  และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย

        ต่อมา  ไม่ช้านานเท่าใด  ก็ปรากฏว่า  พระราชบิดาสวรรคต  บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพาร  จึงได้เชิญพระอโศกมหาราช  มาเถลิงราชสมบัติแทนพระบิดา  ท่านมีน้องชายอยู่องค์หนึ่ง  เป็นพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกัน  นอกจากนั้นเพราะอาศัยพระราชบิดามีพระชายามาก  ก็มีน้องชายต่างพระมารดา 80  องค์

        เมื่อท่านขึ้นเถลิงราชสมบัติ น้องชายต่างพระมารดาก็คิดทรยศหวังจะกบฏ  ยึดราชสมบัติเข้ามาครองเสียเองจึงได้นำกองทัพภายนอกทั้งหมด  เข้ามาล้อมพระราชวัง

        พระเจ้าอโศกมหาราช  กับ  พระอนุชา  สองพระองค์เท่านั้น  และมีทหารวังอีกไม่กี่ร้อยคน  จึงได้ปรึกษากันว่าเวลานี้เขามาล้อมจะจับเรา  เราจะสู้  หรือจะยอมให้เขาจับ  ยอมให้เขาเนรเทศ  ดีไม่ดีบางทีเขาก็ฆ่าเราตาย เขาไม่ยอมเนรเทศ  ท่านน้องชายจึงได้กราบทูลว่า  ในฐานะที่เราเป็นลูกของกษัตริย์  ควรจะทรงความเป็น  ขัตติยมานะเข้าไว้  เมื่อตาย  ยอมตายดีกว่ายอมให้จับ  ถึงแม้ว่าเขาจะมีกำลังมากกว่าเราหลายเท่าก็ตามที  เมื่อพี่กับน้องประกอบไปด้วยความสามัคคี  พร้อมเพรียงกันเช่นนี้  จึงได้รวบรวมกำลังของทหารเท่าที่มีอยู่  ออกไปปะทะกับข้าศึกศัตรู  ซึ่งมีน้องชายต่างมารดา  เป็นผู้นำเข้ามา

        แต่ในที่สุด  ด้วยอำนาจบุญญาธิการ  และความสามัคคี  ท่านทั้งสองก็จับน้องชายต่างพระมารดาได้หมด  กองทัพทั้งหมดก็พากันยอมแพ้  ท่านจึงสั่งประหารชีวิต  น้องชายต่างพระมารดาทั้งหมด

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ถ้าความสามัคคีปรากฏ  ถึงแม้ว่าเราจะมีกำลังน้อยด้อยกว่าข้าศึก  แต่ถ้าเราผนึกกำลังกันไว้ด้วยความสามัคคี  ข้าศึกก็ไม่สามารถเอาชนะเราได้  ดูตัวอย่าง  พระเจ้าอโศกมหาราช  เป็นต้น พระองค์  กับ  น้องชาย  สององค์  สามารถปราบข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าหลายเ่ท่าได้

        ต่อมา  เมื่อเรื่องร้ายอย่างนี้เกิดขึ้น  พระเจ้าอโศกมหาราชจึงถามพระมารดาว่า  เรื่องที่มันเกิดขึ้นมานี้  เคยมีใครพยากรณ์ไว้บ้างหรือเปล่า  พระมารดาก็เล่าความจริงตามเดิมให้ฟัง  พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้บอกว่า  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องการจะเอามาเป็นอาจารย์ประจำสำนัก  พระมารดาจึงได้บอกว่า อเจลก  องค์นี้  ท่านอยู่ไกลจากพระราชวังประมาณ  100  โยชน์

        พระเจ้าอโศกมหาราชก็ไม่ย่อท้อ  จึงส่งกองเกียรติยศ  พร้อมไปด้วยเสลี่ยงประจำพระองค์  ไปรับท่านอเจลกองค์นี้เข้ามา  หวังจะให้เป็นอาจารย์ อยู่ใกล้ๆจะได้เป็นที่ปรึกษา

        เมื่ออเจลกได้เห็นบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารไปรับ  ก็ดีใจ  ขึ้นเสลี่ยงตั้งใจจะมาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน  แต่ว่าอาศัยที่ยังมีกิเลสอยู่ในใจ  ก็นึกครึ้ม  คิดว่า  เราเป็นพระแก้ผ้า  ดีกว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  ที่พระราชาไม่เคารพ  เคารพในเรา

        เมื่อผ่านวัดของสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เขาจึงบอกกับคนหามว่า  วางคานหามก่อน  เราจะไปเยี่ยมสมณะด้วยกัน  นี่แสดงว่า  เบ่ง  เมื่อเขาวางคานหามแล้ว  ท่านก็นวยนาดเข้าไปในวัด  เดินแก้ผ้าโทงๆเข้าไป

        บังเอิญวัดนั้น  มีพระอรหันต์เป็น  สมภาร  เป็นหัวหน้า  เมื่อท่านเห็นอเจลกเดินเข้ามา  ท่านจึงถามว่า  ว่าอย่างไร  พ่ออายตนะ  พ่องูเหลือม ลืมอายตนะเสียแล้วรึ  เมื่อสะกิดถูกแผลเก่าเข้า  สิ่งที่เป็นกุศลประจำใจมันก็ปรากฏ  มีความละอาย  นั่งพับเพียบ  เอาขาปิดหน้าล่างเข้าไว้  พระรู้ว่าท่านอาย  จึงได้ส่งผ้านุ่งให้  ส่งผ้าห่มให้  ท่านอเจกลกเห็นสัตว์ร้ายอยู่เยอะ  มีเสือ  สิงห์  หมู  ละมั่ง  กวาง  เก้ง  เป็นต้น  นอนอยู่  ไม่ทำอันตรายกัีน  จึงถามว่า  สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้  เขาเรียกว่าอะไร  พระก็ตอบตามใจเดิมของท่าน  ที่มีความรู้สึก  ท่านบอกเขาว่า  เขาเรียกกันว่า  อายตนะ  ท่านพูดเรื่องอายตนะพอเบาๆ  ปรากฏว่า  อเจลกงูเหลือม  ได้  พระโสดาปัตติผล

        เมื่อได้พระโสดาบันแล้ว  ก็มีความรู้สึกตนว่า  ความรู้เก่ามันเลวเหลือเกิน  ใช้ไม่ได้  ตั้งใจจะยังไม่ไปหากษัตริย์  จึงมาบอกให้อำมาตย์เข้าไปก่อน บอกว่า  กิจที่เราจะพึงทำยังมีอยู่  ไปกราบทูลพระราชาของเธอให้ทรงทราบว่า  เราเสร็จกิจในพระพุทธศาสนาแล้ว  เราจะเข้าไป

        เมื่อกลับเข้ามาใหม่  ปรากฏว่า  พระองค์นั้น  ซึ่งเป็นพระอรหันต์  เทศน์อายตนะซ้ำอีกคราวหนึ่ง  อย่างละเอียด  ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล  เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา  แล้วจึงได้กลับมาสอนพระเจ้าอโศกมหาราช  ให้มีความเคารพในพระพุทธศาสนา

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า  ฟังเรื่องราวของงูเหลือมว่า  มีจิตเคารพในพระธรรมคำสั่งสอนของ  องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพียงแค่พอใจในเสียง  ตายไปเป็นเทวดา  กลับมาเกิดเป็นคน  เป็นอรหันต์ได้ฉันใด

        ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ซึ่งเกิดเป็นคน  มีความรู้เรื่องว่า  นี้เป็นเสียงของกุศล  และอกุศล  ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทถูกใจในคำสวดบทใดบทหนึ่ง  หรือคำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องจับใจ  เวลาตายลงไป  ใจยังพอใจในเรื่องนั้น  หรือเวลาก่อนจะตาย  เวลาป่วยไข้ไม่สบาย  หรือยามปกติ  เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟัง  ชอบธรรมะตอนไหน  ฟังตอนนั้นเป็นปกติ  เป็นเครื่องจับใจ  ตายแล้วก็ไปสวรรค์  กลับลงมาเกิดอีกที  ดีไม่ีดี  เป็นพระอรหันต์เลย  เช่นเดียวกับ  งูเหลือม

        แต่อาตมามั่นใจว่า  คนเราดีกว่างูเหลือม  เพราะเรารู้เรื่องว่า  นี่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  และก็รู้ว่า  สิ่งทั้งหลายนี้เป็นบุญเป็นกุศล

        เอาล่ะ  บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน  ขอท่านทั้งหลาย  ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จงมั่นใจว่า  ท่านมั่นใจในธรรมบทใดบทหนึ่ง ถ้าไม่ได้อรหัตผลในชาตินี้  ตายก็เป็นเทวดา  กลับมาเกิดอีกที  ได้เป็นพระอรหันต์  เช่นเดียวกับ  งูเหลือมแน่นอน  ในที่สุดนี้  อาตมาก็ขอลาก่อน  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี[/b]
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ชาดกที่ผมพิมนี้นำมาจากหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนะครับ  ถ้าใครสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มได้ครับ  พอดีตอนพิมลืมไป  เพราะปกติเวลาผมพิมจะส่งให้เฉพาะคน  ไม่จำเป็นต้องบอก  เพราะเค้ารู้อยู่แล้วว่าผมเอามาจากไหน  ตอนนี้  ขอเน้นนิดนะครับ  อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง  หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่า  ที่มีคนพูดว่า  สัตว์เดรัจฉานทำบุญไม่ได้  อันนี้ไม่จริง  จากชาดกที่ผมพิมให้อ่าน  และอีกหลายๆเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นค้างคาว  งูเหลือม  โฆสกเทพบุตร  รึว่า  ลิง  กับช้างพระโพธิสัตว์ปริเลยยกะ  ที่เป็นที่มาของพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์  กับเรื่องอื่นๆ  ที่ผมไม่ได้พูดถึงรึไม่รู้อีกมาก  น่าจะทำให้รู้แล้ว  ที่มีคนพูดกันสอนกันว่า  เทวดาทำบุญไม่ได้  เวลาเทวดาจะลงมาจุติเป็นมนุษย์  เทวดาอื่นๆจะพากันมายินดี  อันนี้ไม่จริง  เพราะว่าการที่เราเกิดมาเป็นคนนั้น  เพื่อเร่งรัดบารมีบางส่วนเท่านั้น  แล้วถ้าเคยได้ฟังเทศน์รึอ่านหนังสือมาบ้าง  จะรู้ครับว่า  เวลาองค์สมเด็จพระบรมครูท่านเทศน์  เทวดาและพรหมบรรลุมรรคผลมากกว่ามนุษย์ที่ฟังเยอะ  เพราะจิตของเทวดาและพรหมนั้นเป็นทิพย์  มีปัญญามากกว่าพวกเรานั่นเอง  
        สำหรับธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไว้ถึง  84000  พระธรรมขันธ์  นั้นเราน้อมเอามาปฏิบัติได้จริง  ก็บรรลุธรรมได้ทุกขันธ์ล่ะครับ  ท่านสอนไว้เยอะ  เพราะแต่ละคนนิสัย  ความชอบต่างกัน  จริตต่างกัน  ก็เลือกเอาที่ชอบใจมาปฏิบัตินะครับ
        แล้วอีกเรื่องที่ผมให้ความสำคัญมากก็คือ  เรื่องคนที่เราไหว้นะครับ  จะสักแต่ว่าทำบุญ  แล้วให้เพราะผ้าเหลืองทั้งๆที่บางทีเรารู้ว่าคนที่เราทำบุญด้วยนั้น  ทำไม่ดี  อันนี้ไม่ถูกครับ  ถ้าเราเคารพรักท่านจริง  แล้วเห็นว่าท่านทำผิด  ก็ต้องเตือนท่านนะครับ  จะมาคิดว่า  ชั่วช่างชี  ดีช่างสงฆ์  อันนี้ไม่เห็นด้วยครับ  พ่อผมเคยสอนว่า  ให้เรานึกดูง่ายๆ  ว่าถ้าเราเป็นคนธรรมดา  เวลาไปขอของคนอื่นกินนี่  ง่ายมั้ย  ทีนี้ถ้าเราเป็นพระแล้ว  คนเค้าต้องเอาของที่ดี  ที่เลิศที่สุดมาถวาย  บางทีดีมากจนคนที่ถวายยังไม่เคยได้กินเลย  แล้วเวลาเอามาให้ก็ต้องกราบเรา  ขอให้เรารับของๆเค้า  อย่างนี้แล้ว  ถ้าเรามีความดีไม่สมกับของที่เค้าถวายมา  มันก็คือใช้พระพุทธศาสนาหากิน  อันนี้ลงนรกแน่นอนครับ  การที่เรารู้ว่าไม่ดีแต่ยังให้นี่  เป็นการสนับสนุนให้เค้าทำความเลว  ไม่สมควรอย่างยิ่งครับ   เรื่องนี้ไว้มีโอกาสผมจะพิมชาดกให้่อ่านกันนะครับ  พอพิมเรื่องพวกนี้แล้วชักไหล  ตอนนี้ผมพอเท่านี้ก่อนนะครับ  ไว้นึกอะไรได้  รึว่ามีเวลาว่างจะมาพิมชาดกให้อ่านกันนะครับ
        ธรรมะไม่ใช่ของยากนะครับ  พ่อผมเล่าให้ฟังว่า  เคยอ่านเจอชาดกเรื่องนึง  แต่ท่านไม่ได้เล่าละเอียดนะครับ  ผมเองก็ยังอ่านไม่เจอเรื่องนี้  เลยเล่าละเอียดไม่ได้เหมือนกัน  เอาคร่าวมากๆเลยก็คือ  มีคนๆนึงมาบวชในพระพุทธศาสนา  แล้วก็ถามพระพุทธเจ้าว่าข้อปฏิบัติมีอะไรบ้าง  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วท่านก็บอกไป  ประมาณว่า  มีศีล  227  แล้วก็ข้อวัตรปฏิบัติอื่นๆ  พระท่านนั้นก็บอกว่า  เยอะจัง  ยุ่งยาก  ทำไม่ได้หรอก  องค์สมเด็๗พระบรมครูท่านก็บอกว่า  ไม่ยากหรอก  ทำแต่ความดีให้จิตอยู่ในด้านของความดีเท่านั้น  พระรูปนั้นก็บอกว่า  เออ  อันนี้ไม่ยาก  ทำได้ๆ  แล้วไม่นานท่านก็บรรลุอรหัตผล  ชาดกนี้ถ้ามีเพื่อนๆคนไหนเคยอ่านรึว่าเจอ  เรื่องประมาณนี้  ช่วยรบกวนบอกด้วยนะครับ  ผมเองก็อยากอ่านแบบเต็มๆครับ  ไหลแล้วครับ  ว่าจะมานิดนึงแล้วไปดูหนัง  -..-  ท้ายนี้ทิ้งนึดนึงนะครับ
        สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง      จงละความชั่วทุกอย่าง
        กุสะลัสสูปะสัมปะทา             จงทำแต่ความดี
        สจิตตะปริโยทะปะนัง            จงทำจิตใจให้ผ่องใสปราศจากกิเลส
        เอตัง พุทธานะสาสะนัง          ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสอย่างนี้ เหมือนกันหมด
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 4

โพสต์

:8) นอกจากเหลือมแล้วมีเรื่องงูหลามไหมครับ
     มารออ่านต่อครับ...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ค้างคาวฟังธรรม

        ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  ตอนนี้ก็ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องการปฏิบัติธรรมง่ายๆ  เป็นกฏของกรรมเดิม  แล้วก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอีก  ทั้งนี้ก็เพราะว่า  ความง่ายในการปฏิบัติในพระธรรม  คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาค  มีอยู่  สมเด็จพระบรมครูสอนไว้

        แต่ทว่า  สำหรับที่ท่านทั้งหลายเห็นว่า  การปฏิบัติในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อเข้าถึงพระนิพพานเป็นของยาก

        อาตมาเอง  ก็มีความสงสัยเหมือนกันว่า  ทำไมหนอ  สาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงได้ชอบสอนแบบนั้น  จะไปโทษสาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรมทุกๆองค์  ก็ไม่ได้  เราต้องเรียกว่า  คณาจารย์ทั้งหลาย  ตั้งเหตุ  ตั้งผลกันขึ้นมา  หาเหตุยากๆมาสอน  บอกว่า  พระธรรมคำสั่งสอนที่  องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้น  ต้องปฏิบัติกันให้ ตึงเครียด  กันแบบนี้  มันจึงจะดี

        นี่สิ  บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  การเรียนปฏิบัติแบบนี้ อาตมาไม่อยากจะพูดว่า  เป็นการทำลายความดี  ของพระพุทธเจ้า  จะขอพูดเสียใหม่ว่า  ท่านทั้งหลายที่มีความเข้าใจผิด  คิดว่าสอนให้ลูกศิษย์ปฏิบัติในแบบฉบับที่ยากๆ  มันเป็นของขลังดี  ความรู้สึกอย่างนี้  เป็นเหตุให้เสียผล  ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ปรารถนาในความดี  แต่ความจริง  ถ้าสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่บรรลุมรรคผลแล้ว  สอนตามแบบฉบับที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน  ก็รู้สึกว่า  เป็นของไม่ยาก

        ถ้าจะว่ากันไปอีกที  สำหรับท่านทั้งหลายที่เป็นพระอรหัตผลสอนคน ไม่ยากจริงๆ  ทั้งนี้เพราะว่า  ท่านทั้งหลายเหล่านั้น  ท่านได้บรรลุแล้ว  ย่อมทราบดีว่า  พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ที่ท่านได้บรรลุมาแล้วสิ่งใดบ้าง  ที่พอสมควรกับกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท เหมือนกับการเดินทาง  ถ้าเรารู้จักทางลัด  แต่ว่าไม่เสียผลประโยชน์  เราเดินทางลัดจะถึงไวกว่า  ดีกว่าปล่อยให้บุคคลผู้ไม่รู้จักทาง  เดินบุก  เข้าป่า  เข้ารก  ไปพบหนามบ้างพบสัตว์ร้ายบ้าง  ในที่สุด  เขาเหล่านั้นก็จะคลายความพยายาม  เห็นว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ยากเกินไป  เลยหมดกำลังใจที่จะพึงปฏิบัติ

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  บรรดาคณาจารย์ทั้งหลายที่สอนกัน หรือเขียนตำราขึ้นมา  นิยมเขียนให้มันยากแต่ความจริง  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เวลาสอนคน  องค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้สอนยาก  หาวิธีที่บุคคลลผู้รับฟัง  จะเข้าใจได้ง่ายที่สุด  เท่าที่จะง่ายได้

        เรามาฟังเรื่องราวขององค์สมเด็จพระจอมไตร  ฟังกันไป  จะเห็นว่า องค์สมเด็จพระบรมครูสอนแบบง่ายๆ  ตอนนี้ก็จะนำเอาสัตว์เดรัจฉานเข้านิพพาน  มาให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง  ซึ่งความจริง  ก็เป็นพวกเดียวกับงูเหลือม  ฟังธรรมมาพร้อมกัน

        สำหรับการฟังธรรมของสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้  ก็ฟังเช่นเดียวกับงูเหลือม  ชอบใจเฉพาะในเสียงธรรม  เขาไม่ได้รู้เรื่องว่า  ผู้ที่ไปกล่าวนั้นเป็นพระ  เขาไม่รู้จักคำว่า  พระ  และเขาเองก็ไม่รู้จักภาษามนุษย์  เสียงที่กล่าวไป  จะหาว่าเขารู้จักว่าเป็นธรรม  ก็เปล่า  เพียงแค่พอใจ  ในเสียงเท่านั้น  เมื่อตายจากความเป็นสัตว์  ไปเกิดเป็นเทวดา  พ้นจากเทวดา  เป็นลูกของชาวประมง  เป็นคน  จากลูกชาวประมง  บวชเป็นพระในสำนักของ  พระสารีบุตร  ฟังธรรมนั้นซ้ำอีกครั้งเดียว  เป็นพระอรหัตผล  เรียกว่า  เร็วกว่างูเหลือม

        งูเหลือมต้องมาเกิดเป็นคน  มาบวชเป็นอเจลก  แล้วก็ได้ทิพจักขุญาณ  กว่าจะเข้าถึงพระศาสนา  ขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร  ต้องใช้เวลาตั้งหลายสิบปี  คือ  ตอนบวชเป็นพระได้ทิพจักขุญาณแล้ว  พระเจ้าอโศกมหาราชยักเป็นเด็กต่อมา  เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชครองราชสมบัติแทนพระราชบิดา  ก็แสดงว่า  อย่างน้อย  พระองค์ต้องมีอายุไม่น้อยกว่า  30  ปี  หลางตาองค์นี้  ก็คงจะปาเข้าไป  60-70  ปี  เข้าไปแล้ว  เสียเวลามาก  สำหรับกลุ่มหลังนี้ไม่เสียเวลามาก

        เรื่องนี้  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เคยฟังพระเทศน์มามาก  แต่อาจจะไม่ได้สนใจ  ท่านพวกนี้คือใคร  ท่านพวกนี้ก็คือ  ค้างคาว  500  ตัว  ที่ไปนอนห้อยหัวอยู่ในถ้ำเดียวกับงูเหลือม  ขณะนั้น  พระสงฆ์ทั้งหลายก็พากับไปซ้อมพระอภิธรรม

        การซ้อมแบบนั้น  เป็นการซ้อมให้คล่อง  ไม่ใช่ว่าจะซ้อมอภิธรรมให้เกิดความชำนาญ  แล้วนำไปสวดศพ  เพื่อหวังจะได้ปัจจัย  มาหล่อเลี้ยงชีวิต พระสมัยนั้น  ท่านไม่ได้คิดแบบนั้น  ท่านคิดอย่างเดียวว่า  ทำอย่างไรหนอ เราเป็นอรหันต์เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  นี่เป็นอารมณ์ใจส่วนใหญ่  และมีปริมาณสูงสุด  ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่

        เมื่อพระทั้งหลายเหล่านั้น  เรียนอภิธรรมจากสำนักของสมเด็จพระบรมครูแล้ว  จึงได้นำเอาพระอภิธรรม  ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน  ไปสาธยายให้ขึ้นใจ  เพื่อจะได้จำข้อธรรมไว้ประพฤติปฏิบัติ

        ฉะนั้น  ในขณะที่ท่านทั้งหลายเข้าไปซ้อมอภิธรรมในถ้ำหลังนั้น  คือในถ้ำเดียวกันกับที่งูเหลือมนอนอยู่  แต่ว่าค้างคาวพวกนี้ไม่ได้ชอบธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครู  หรือชอบเสียงอภิธรรมแต่เฉพาะบทอายตนะ  ท่านชอบฟังเสียงทั้งหมด  แต่ไม่รู้ว่า  เสียงนั้นว่าอย่างไร  พระทั้งหลายไปซ้อมกัน  ก็ซ้อมกันแบบเสียงพร้อมๆกัน  ทำเสียงให้สม่ำเสมอกัน  เพื่อความคล่อง และความมีระเบียบ  ค้าวคาวทั้งหมด  ชอบใจเสียงทั้งหมด  เพราะว่าฟังเรียบๆ  เสนาะดี  จะรู้ว่าเสียงนี้  เป็นเสียงธรรมก็หาไม่  ฟังมาฟังไป  ฟังไปฟังมา  เผลอหลับ  เท้าก็หลุด  หล่นลงมา  ศรีษะกระทบหิน  ตายหมดทั้ง  500  ตัว

        เมื่อตายแล้ว  เพราะฟังเสียงในธรรม  พอใจในธรรม  ก็ไปเกิดเป็นเทวดา  บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกทั้งหมด  มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่  มีนางฟ้า  500  เป็นบริวาร

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ฟังพระสูตร  คือ  บุคคลตัวอย่าง  ก็ดูตัวอย่าง  ค้างคาว  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ที่มีเครื่องบันทึกเสียง  เมื่อฟังธรรมจากเสียง  ถ้าบังเอิญ  เสียงในธรรมบทใดบทหนึ่งก็ตาม  อันเป็นที่พอใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท  พยายามฟังบทนั้นไว้ให้ขึ้นใจ  เราจะจำได้  หรือไม่ได้  ก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าทำจิตใจให้รัดรึงผูกติดเข้าไว้กับธรรมบทนั้น  ไม่ต้องฟังทุกบท อันดับแรก  ฟังไปทุกตอน  ฟังไปทุกบท  ถ้าปรากฏว่า  เรารักส่วนใดส่วนหนึ่งมาก  เราฟังเฉพาะส่วนนั้นให้ช่ำใจ  ถ้าเวลาที่ท่านจะตาย  จิตใจของท่านพอใจอยู่ในธรรมบทนั้น  หมายความว่า ขณะจะตาย  ถ้าเปิดธรรมบทนั้นฟังก็ดี  หรือไม่เปิดฟังธรรมบทนั้น  แต่ทว่าจิตใจจับอยู่ในธรรมบทนั้น

        เป็นอันว่า  จิตใจของท่านจับอยู่ในธรรม  ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า  จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา เพราะว่า ใขณะใด  ที่จิตใจเรา  พอใจในธรรม ขณะนั้น  จิตก็ว่างจากกิเลส ถ้าเป็นอย่างนั้น  ท่านเอง  ก็จะได้ผลดี  เช่นเดียวกับค้างคาวทั้ง  500  ตัว  หรือว่าเช่นเดียวกับงูเหลือม

        ตอนนี้มาคุยกันถึงเรื่องค้างคาว  ต่อไป  เป็นอันว่า  ท่านทั้งหลาย ทราบแล้วว่า  วิธีไปสวรรค์แบบง่ายๆ  ด้วยการพอใจในการฟังธรรม  พอใจบทไหนมาก  ฟังซ้ำอยู่แค่นั้น  เราไปสวรรค์ได้  เอาไว้ตอนหนึ่งก่อน  อันดับแรก เรายึดสวรรค์ไว้เป็นทุนก่อน

        ต่อมา  ค้างคาวพวกนั้น  ที่ฟังธรรมในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินวร  ไม่รู้เรื่อง  แต่ว่า  พอใจในเสียง  เมื่อศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น  คือ  พระพุทธเจ้า  ทรงมาอุบัติในโลก  เป็นพระพุทธเจ้า  ประกาศพระพุทธศาสนา  ปรากฏว่า  เทวดาค้างคาวทั้ง  500  ก็จุติจากเทวดา  (คำว่า จุติ แปลว่า เคลื่อน ไม่ได้หมายความว่าตาย)มาเกิดเป็นลูกชาวประมง  ในเขตของพระพุทธศาสนา  ชาวประมงพวกนี้  มีความเลื่อมใสใน  พระสารีบุตรมาก

        ต่อมา  ค้างคาวทั้ง  500  ที่มาเกิดเป็นลูกชาวประมง  ขอได้โปรดทราบ  ไม่ได้เกิดพ่อเดียว  แม่เดียวกัน  ถ้าเกิดพ่อเดียว  แม่เดียวกันทั้ง  500 อย่างนี้  เขาเรียก  ครอก  ไม่ใช่เหล่าคน  มาเกิดในคณะนั้นร่วมกัน  ร่วมคณะ ไม่ใช่ร่วมพ่อแม่คนเดียวกัน  พ่อแม่คนหนึ่ง  อาจจะมีลูก  ห้าคน  สามคน  สี่คน  แบ่งกันเกิด  ไม่ใช่รวมไปเกิดท้องเดียวคราวละ  500  คนเห็นจะแย่

        เมื่อเกิดมาแล้ว  ต่อมาโตขึ้น  ก็มีความพอใจในพระสารีบุตร  ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร  เมื่อบวชแล้ว  ก็อยู่ในสำนักของพระสารีบุตร

        ในกาลนั้น  ปรากฏว่า  เป็นเวลาที่  องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  กำลังไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา  คือ  นำเอาพระอภิธรรมทั้ง  7  คัมภีร์นี้  ไปสอนพระพุทธมารดา พร้อมไปด้วยเทวดาและพรหมทั้งหมด

        ในวันหนึ่ง  องค์สมเด็จพระบรมสุคต  เวลาเช้า  ลงมาบิณฑบาต  ความจริงเมื่อถึงเวลาเช้าทุกวัน  ร่างกายต้องการอาหาร  เพราะว่าการที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขึ้นไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา  พระองค์ไปด้วยอภิญญาสมาบัติ  ยกกายไปทั้งกาย  ไม่ใช่ว่าถอดจิตใจขึ้นไป  อย่างที่พระได้มโนมยิทธิ

        การขึ้นไปของพระต่างกัน  บางท่านที่ได้เฉพาะมโนมยิทธิ  ก็เอาไปแต่นามกาย  คือ  กายภายใน  ที่เราเรียกกันว่า  จิต  จิตในที่นี้จะไปหมายความว่า  มันเป็นดวงๆ  ก็ไม่ถูก  ความจริงแล้ว  มันเป็นกาย  อีกกายหนึ่ง  ที่เราเรียกว่า  อทิสมานกาย  มีหัว  มีเท้า  มีขา  มีร่างกาย  เหมือนกัน

        แต่ว่า  กายนี้จะสวย  หรือไม่สวยปานใด  ต้องวัดกันถึงด้านกุศลผลบุญ  ที่เราทำไว้  ถ้าเราทำบาป  กายนี้ก็เสื่อมโทรม  มองดูไม่สวย  ถ้าเรามีบุญ  ร่างกายก็สวย  ถ้าบุญมากเท่าไหร่  กายนี้ก็ยิ่งสวยมากเท่านั้น  ถ้ากายของพระที่ประกอบไปด้วยพระนิพพาน  จะเป็นแก้วประกายพรึกทั้งดวง  มีแสงสว่าง  กายประเภทนี้  เราจะทราบได้  เมื่อเราได้เจโตปริยญาณ  เพราะอาศัยที่เรามีความเคารพในศาสนา  ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ  ความรู้อันนี้  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้มาแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้สอนพวกเราเหล่าพุทธบริษัท  ถ้าพวกเราปฏิบัติตาม  เราก็ได้เช่นเดียวกัน

        มาพูดกันต่อไปว่า  เมื่อถึงเวลาบิณฑบาต  องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็ทรงใช้ปาฏิหาริย์  เนรมิตรรูปพระขึ้นองค์หนึ่ง  เหมือนกับพระองค์  ให้เทศน์ต่อ  พระองค์ก็ทรงลงมาบิณฑบาตยังเมืองมนุษย์

        ในวันหนึ่ง  พระองค์เห็นพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี  องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสเรียก  พระสารีบุตรว่า  สารีปุตต  ดูก่อนสารีบุตร  เธอจงมาหาตถาคต  ในเวลากลับจากบิณฑบาตแล้ว  พระสารีบุตรกำลังจะกลับวัด  องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์  จึงมาดักพระสารีบุตรอยู่  เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมครูทรงทราบว่า  พระีที่เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ทั้ง  500  รูป  เดิมทีเดียวเคยฟังอภิธรรมทั้ง  7  คัมภีร์  ถ้าเขาฟังซ้ำอีกที  เขาจะได้บรรลุมรรคผล

        เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบอย่างนี้  องค์สมเด็จพระชินวรจึงได้ไปดักพระสารีบุตร  ที่ขอบสระโบกขรณีเมื่อพระสารีบุตรพบองค์สมเด็จพระชินวร  เข้ามากราบถวายบังคมแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า  สารีปุตต  ดูก่อนสารีบุตร  เธอจงเรียนปกรณ์  7  ประการนี้ไป คำว่า ปกรณ์  หมายความถึง  หัวข้อธรรม  ที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  นำมาสวดผีตาย  คือ  คนตาย  ในเวลานั้น

         แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์  ก็มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า  สารีบุตร  ลูกศิษย์ของเธอทั้ง  500  รูป  ที่บวชอยู่ในสำนักของเธอ  เดิมทีเขาเป็นค้างคาว  500  ตัว  เคยฟังปกรณ์  7  ประัการนี้มาแล้ว  แล้วก็หล่นลงมาตายพร้อมกัน ไปเกิดเป็นเทวดาทั้ง  500  ท่าน  เมื่อหมดบุญจากเทวดา  ก็จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นลูกชาวประมง  เวลานี้บวชในสำนักของเธอ  ถ้าเขาฟังปกรณ์  7  ประการนี้จบ  ด้วยความเคารพ ท่านทั้งหมดนั้น  จะเป็นอรหันต์ทั้งหมดทันที

        เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงแนะนำพระสารีบุตรแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็บอกกับพระสารีบุตร  ให้เรียนปกรณ์ทั้ง  7  ประการ  คือ  อภิธรรมทั้ง  7  คัมภีร์  องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวธรรมแต่เพียงโดยย่อ  พอได้ความตามที่พระนำมาสวดเวลาคนตาย  ในเวลานี้

        เมื่อจบแล้ว  องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็แยกจากพระสารีบุตร  ขึ้นไปสู่สวรรค์  เทวโลกชั้นดาวดึงส์  เสด็จประทับที่  บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  เทศน์ต่อพระที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงเนรมิตไว้  ทั้งนี้  พรหมและเทวดาทั้งหมด จะทราบก็หาไม่  เพราะเป็นอำนาจ  พระพุทธปาฏิหาริย์

        สำหรับพระสารีบุตรนั้น  เมื่อได้สดับปกรณ์ทั้ง  7  ประการ  จากองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดามาแล้ว  กลับมา  ก็ปฏิบัติตามกระแสคำแนะนำ  ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  คือ  ฉันข้าวเสร็จแล้ว  จึงได้เรียกพระที่เป็นบริษัททั้ง  500  รูป  มาประชุมกัน  แล้วก็แสดงปกรณ์  7  ประการ  พร้อมด้วยคำอธิบายให้เข้าใจ

        บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น  เมื่อได้ฟังปกรณ์  7  ประการ  พร้อมด้วยคำอธิบาย  ก็ปรากฏว่า  บรรลุอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา

        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า  การที่นำประวัติความเป็นมาของ  งูเหลือมก็ดี ค้างคาวก็ดีมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททราบ  ก็มีความหวังตั้งใจอยู่อย่างเดียว  คือว่า  การสั่งสมบุญบารมีในเขตของพระพุทธศาสนานี้  และการเข้าถึงพระนิพพาน  เป็นของไม่ยากนัก

        ถ้าหากว่า  ท่านทั้งหลายมีความเคารพ  ในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ไม่ดัดแปลงคำสอน  ของพระพุทธเจ้าให้เสียผล  ท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นคน  พบพระพุทธศาสนา  แล้วก็มีความเคารพในพระพุทธศานา  ตั้งหน้าบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ  คือ  สร้างความดีทุกประการ  ตามที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  ที่เป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ท่านทั้งหลาย  เคยพบองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว  และมีน้ำใจผ่องแผ้วประกอบไปด้วยกุศล  บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน จึงมีความพอใจในการสดับ  และปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้  แสดงว่า บุญบารมีของท่านทั้งหลาย  สร้างมาแล้วใหญ่โตมาก  จึงมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทั้งๆที่เราไม่เคยได้พบตัวพระพุทธเจ้า  แต่ก็มีความแน่ใจว่า  พระพุทธเจ้ามีจริง

        เรื่องอย่างนี้  บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง  จะเปรียบเทียบกันได้ว่า  คนที่เขาเป็นเพื่อนกับท่านก็ดี  อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงก็ดี  ที่ได้มีความเคารพในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์อย่างท่าน  อาจจะไม่มี  ท่านไปพูดเรื่องพระพุทธศานา  เขาจะสั่นหัวว่า  เรื่องของศาสนา  เป็นยาเสพติด  ใช้ไม่ได้  นักบวชในศาสนา  ขององค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้ถ่วงความเจริญ  ถ่วงความมั่งมีศรีสุขของสังคม  อย่างนี้  เป็นต้น

        นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน  เป็นการเปรียบเทียบถึงบุญบารมี หากว่าท่านทั้งหลายจะบอกว่า  บารมีที่ข้าพเจ้าสร้างมาน้อยเต็มที  ไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้  แต่บางท่านไม่พูดอย่างนั้น  พูดเสียใหม่ว่า ข้าพเจ้าไม่มีบุญบารมีมาเลย  ไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้

        ถ้าหากว่า  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายคิดอย่างนี้  ก็ขอโปรดประทานอภัย  กลับใจคิดเสียใหม่  คิดว่า  ถ้าเราไม่เคยมีบุญบารมีที่เคยสะสมไว้  เราจะพอใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ไม่ได้ดูตัวอย่าง  เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของท่านก็แล้วกัน ท่านพอใจในพระธรรม  แต่เขาไม่มีความพอใจ  เปรียบเทียบบารมีกันได้  ในตอนนี้  เป็นอันว่า  ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า  เวลานี้ท่านมีบารมีพอสมควร

        รวมความแล้ว  ก็ดีกว่าค้างคาว  ดีกว่างูเหลือมมาก  อย่างน้อยที่สุด ท่านก็รู้ว่า  นี่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ที่สอนไว้  ถ้าบุคคลใดปฏิบัติตาม  จะมีความสุข  หรือถ้าความเลื่อมใสไม่มีถึงแค่นั้น  ท่านทั้งหลายก็ยังรู้จักคำพูดที่พระท่านสวด  หรือฟังเครื่องบันทึกเสียง  ที่ฟังว่า  นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาึคเจ้า  รู้ภาษาแห่งคำพูด  ถ้าจะเปรียบเทียบกับค้างคาว  และงูเหลือม  ท่านดีกว่าหลายแสนเท่า

        ในเมื่อ  ค้างคาว  และงูเหลือม  เป็นสัตว์เดรัจฉาน  ฟังธรรมไม่รู้ว่าธรรม  และก็ไม่รู้เรื่อง  พอใจแต่เพียงเสียง ตายแล้วเป็นเทวดาได้  อันนี้เป็นทุนใหญ่เบื้องแรก  แล้วกลับลงมาเกิดเป็นคน  ฟังพระธรรมซ้ำอีกคราวหนึ่ง ปรากฏว่า  สำเร็จ  อรหัตผล

        บรรดาท่านพุทธบริษัท  เกิดเป็นคน  ฟังภาษาก็รู้เรื่อง  และก็มีความเข้าใจว่า  นี่เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นอันว่า  ท่านมีกำไรดีกว่า  งูเหลือม  และค้างคาวทั้งหมด

        หากว่าท่านพอใจในเสียงธรรมขององค์สมเด็จพระบรมสุคต  ที่บรรดาพระสงฆ์สาวกนำมาแสดง  ฟังแล้วจงอย่างทิ้งไป  เลือกฟังหลายๆเรื่องหลายๆตอน  แล้วก็พิจารณาพระธรรมคำสั่งสอน  ขององค์สมเด็จพระชินวร ว่า  เรื่องไหนเราชอบใจมากที่สุด  มีอยู่เท่าไหร่  ฟังตอนที่เราชอบใจให้หนัก ให้ขึ้นใจ

        เวลาก่อนจะหลับ  นึกถึงพระธรรมบทนั้น  นึกเข้าไว้สัก  2-3  นาที  แล้วก็หลับไป  ไม่เป็นไร  เวลาตื่นใหม่ๆ  นึกถึงพระธรรมบทนั้นเข้าไว้สักนิดหน่อย  เป็นการกระตุ้นเตือนใจ  เวลากลางวัน  ประกอบกิจการงาน  ถ้าว่างเมื่อไหร่  นึกถึงธรรมบทนั้นเข้าไว้

        ถ้าเป็นอย่างนี้  ถ้าบุญวาสนาบารมีของท่านยังอ่อน  จะต้องเร่ร่อนไปในวัฏฏสงสาร  ถ้าตายไปจากมนุษย์เมื่อไหร่อย่างน้อยที่สุด  ท่านก็เกิดเป็นเทวดา  หรือพรหม

        ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี  จากเทวดา  หรือพรหม  มาเกิดเป็นคนฟังธรรมซ้ำอีกหนเดียว  เพราะว่า  พระอรหันต์ก็ดีพระพุทธเจ้าก็ดี  ย่อมรู้ใจคนว่า มีกุศลส่วนใดมาในชาติก่อน  องค์สมเด็จพระชินวรจะสอนบทนั้น  เป็นการซ้ำ  หรือสะกิดแผลเก่า  จะทำให้เราเข้าถึงธรรมบทนั้นได้โดยฉับพลัน  และเป็นอรหันต์ทันที

        เวลาที่เราเกิดเป็นเทวดา  ถ้าพระศรีอารย์ตรัสขึ้นมา  เรายังเป็นเทวดา หรือพรหม  ถ้าฟังเทศน์จากพระศรีอารย์เพียงจบเดียว  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ก็จะได้บรรลุมรรคผลพระนิพพาน  เพราะว่า  องค์สมเด็จพระพิชิตมาร เทศน์สอนพุทธบริษัทคราวใด  ปรากฏว่า  เทวดาหรือพรหม  บรรลุมรรคผลมากกว่าคน  เพราะว่าเทวดาก็ดี  พรหมก็ดี  มีกายเป็นทิพย์  มีความเป็นอยู่เป็นทิพย์  ไม่มีความทุกข์  ไม่มีความกังวล  เมื่อจิตน้อมไปในส่วนของกุศลแล้ว  ก็ปรากฏว่า  มีความเข้าใจในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ดี  เป็นเหตุให้บรรลุมรรคผลได้ง่าย

        เอาล่ะ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ขอยุติคำแนะนำในเรื่องของพระสูตร  ไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สวัสดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[quote="por_jai"]:8) นอกจากเหลือมแล้วมีเรื่องงูหลามไหมครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
dino
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1281
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 7

โพสต์

:8) แหะ แหะ พระนิพพานไม่ยากก็จริง แต่ก็ไม่ง่ายที่คนจะปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง

เพราะการรู้ทฤษฎีไม่ทำให้เราไปถึงพระนิพพานได้
ต้องเข้าใจและปฏิบัติควบคู่ไปด้วยเท่านั้นเอง ไม่มีหนทางลัดใดๆทั้งสิ้น

ทาน ศีล ภาวนา หนทางแห่งพระนิพพาน
ทาน การให้ เพื่อให้ละตัวกู ของกู
ศีล การละเว้นจากการทำชั่วไม่เบียดเบียนคนอื่นและตัวเราเอง
ภาวนา ภาคปฏิบัติแท้จริงเพื่อให้ถึงพระนิพพาน

ถ้าไม่อยากทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด ก็ต้องไปให้ถึงพระนิพพาน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าๆครับ
ผิดพลาดประการใดก็ช่วยชี้แนะด้วยครับ :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 8

โพสต์

dino เขียน::8) แหะ แหะ พระนิพพานไม่ยากก็จริง แต่ก็ไม่ง่ายที่คนจะปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง

เพราะการรู้ทฤษฎีไม่ทำให้เราไปถึงพระนิพพานได้
ต้องเข้าใจและปฏิบัติควบคู่ไปด้วยเท่านั้นเอง ไม่มีหนทางลัดใดๆทั้งสิ้น

ทาน ศีล ภาวนา หนทางแห่งพระนิพพาน
ทาน การให้ เพื่อให้ละตัวกู ของกู
ศีล การละเว้นจากการทำชั่วไม่เบียดเบียนคนอื่นและตัวเราเอง
ภาวนา ภาคปฏิบัติแท้จริงเพื่อให้ถึงพระนิพพาน

ถ้าไม่อยากทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด ก็ต้องไปให้ถึงพระนิพพาน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าๆครับ
ผิดพลาดประการใดก็ช่วยชี้แนะด้วยครับ :)
ชี้แนะไม่กล้าครับ  แต่จะพยายามตอบเท่าที่พอได้นะครับ  แต่อาจจะไม่ตรง  เพราะผมก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไร  แค่อยากจะให้เพื่อนๆมองว่านิพพานจริงๆไม่ยาก  
การทำอะไรก็ตาม  ถ้าเราท้อซะตั้งแต่ยังไม่เริ่ม  มันจะสำเร็จได้ยังไงจริงมั้ยครับ  ถ้าเรามุ่งมั่นอยากจะไปพระนิพพาน  ก็ต้องตั้งใจครับ  สำหรับคนที่มีความตั้งใจไม่มีอะไรยากครับ   การจะทำอะไรก็ตาม  ไม่ว่าจะมุ่งพระนิพพาน  การลงทุน  รึว่าอะไรก็ตามจะสำเร็จได้ก็ด้วย  อิทธิบาท  4  ต้องมี  ฉันทะ  ความพอใจในสิ่งนั้น  วิริยะ  พากเพียรในสิ่งนั้น  จิตตะ  เอาใจจดจ่อกับสิ่งนั้น  ไม่ละทิ้ง  วิมังสา  ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญในสิ่งนั้น  อิทธิบาท  4  นี้  เป็นธรรมที่บางทีเราลืมนึกไป  แต่ว่าใช้กันเป็นปกติสำหรับคนที่ตั้งใจทำอะไรก็ตามนะครับ  ไม่จำเป็นต้องนิพพานเท่านั้น
ตอบตามความคิดผมนะครับ  เรื่อง  ทาน  เสริมนิดนะครับ  รากเหง้าของความชั่วทั้งปวง  คือ  อกุศล  3  มี  โลภะ  โทสะ  โมหะ  การบริจาคทานเป็นการทำลาย  โลภะ  ครับ
ส่วนศีล   เป็นเครื่องสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย  จริงๆแล้วควรรวมใจด้วยนะครับ  สำหรับคนที่ธรรมดา  ยังคิดได้ครับไม่ถือว่าผิด  แต่ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป  แม้แต่คิด  ท่านก็ไม่มีแล้วครับเรื่องจะผิดศีล
ภาวนา  นี่มี  สมถภาวนา  กับ  วิปัสสนาภาวนานะครับ  จะถึงพระนิพพาน  ต้องใช้วิปัสสนา  แต่ก็ทิ้งสมถะไม่ได้  เพราะสมถะ  เป็นเครื่องทำให้จิตสงบ  ถ้าจิตไม่สงบ  ปัญญาไม่เกิดแน่ครับ
ถ้าอยากไปพระนิพพาน  ก็ไปชาตินี้ล่ะครับ  ศาสนาพุทธเราก็ยังอยู่ครบถ้วน  จะรอทำไมครับ  เริ่มด้วยการมองให้เห็นถึงทุกข์  ไอ้ที่เรามองว่าสุขเนี่ย  มันสุขจริงมั้ย  ตามสภาวะความเป็นจริง  แล้วร่างกายที่เราใช้อยู่นี่  มันใช่เรามั้ย  มันเป็นของเราจริงรึเปล่า  ตอนนี้ขอคร่าวๆก่อนนะครับ  เริ่มเบลอครับ  ง่วงจัดมาก  ดูบอลไปด้วย  -..-  ไว้ผมจะค่อยๆพิมเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้ค่อยๆอ่านนะครับ  ถ้ากระทู้นี้ไม่ล่มไปซะก่อนนะครับ  ถ้ามีอะไรที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับผม  และเพื่อนคนอื่นๆ  ช่วยเสริมด้วยนะครับ  ผมยังบกพร่องอีกมากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 9

โพสต์

สำหรับชาดกผมขอพักไว้ก่อนนะครับ  แต่ถ้าวันไหนผมนึกถึงชาดกเรื่องไหนแล้ว  จะเอามาให้อ่านกันครับ  เว้นเรื่องสัตว์ไว้บ้าง  จริงๆผมชอบเรื่องตอนที่องค์สมเด็จพระบรมครูท่านไปโปรด  ช้างพระโพธิสัตว์ปริเลยยกะ  กับลิงมาก  อ่านตอนใกล้ๆจบทีไรน้ำตาจะไหลทุกที  เอาไว้มีโอกาสจะเอามาลงให้อ่านกันครับ  วันนี้  เอาเรื่องการปฏิบัติไปบ้างนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ตัดกังวล

        โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ได้พากันสมาทานศีล  และสมาทานพระกรรมฐานแล้ว  การเจริญพระกรรมฐานสำหรับวันนี้มีภาวะไม่เสมอกัน  เพราะคนเก่าบ้างคนใหม่บ้าง  ฉะนั้นวันนี้จะขอพูดใน  เรื่องกิจเบื้องต้นของพระกรรมฐาน  ตอนสุดท้ายอาจจะพูดในตอนจบ  การเจริญพระกรรมฐานมีอยู่  ๒  แบบ  แบบที่  ๑  คือ  สมถภาวนา  แบบที่  ๒  ได้แก่  วิปัสสนาภาวนา  สำหรับสมถภาวนานี้  เรามีความต้องการอย่างเดียวคือ  ทรงสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์  ที่เรียกกันว่าจิตมีสมาธิ  สำหรับวิปัสสนาภาวนานั้นใช้ปัญญาเป็นเครื่องภาวนา  ตามความเป็นจริงของขันธ์ห้า  เรียกว่า พยายามยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง  นั่นเป็นบทของวิปัสสนาภาวนา

        การเจริญกรรมฐานเบื้องต้นก็จำต้องใช้สมถภาวนา  คือควบคุมอารมณ์จิตให้ทรงอยู่  ถ้า  สมถภาวนาของเราไม่ทรงตัว  เราจะเห็นว่าวิปัสสนาภาวนาก็ไม่มีผล  ถ้าหากว่าเราทรงจิตทรงสมถะทรงสมาธิได้มั่นคง  ได้ถึงฌาน  ๔  การเจริญวิปัสสนาภาวนาก็แสนง่าย  การที่จะบรรลุมรรคผลก็กำหนดเวลาได้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า  ถ้ามีบารมีแก่กล้าก็จะได้สำเร็จอรหัตผลภายใน  ๗  วัน  ถ้ามีบารมีอย่างกลางก็จะได้สำเร็จอรหัตผลภายใน ๗  เดือน  ถ้ามีบารมีอย่างทรามที่สุดก็จะได้บรรลุอรหัตผลภายใน  ๗  ปี

        คำว่าบารมีในที่นี้ก็ได้แก่กำลังใจ  ถ้าเรามีกำลังใจครบถ้วนก็ได้ชื่อว่ามีบารมีเต็ม  การที่จะใช้ศัพท์ว่า  เรามีบารมีอ่อน  อันนี้ไม่เป็นความจริง  เดิมทีก่อนจะเกิดมาถ้าจะมีบารมีอ่อนอาจจะเป็นไปได้  แต่ว่าบารมีนี่เรา  สร้างใหม่กันได้  ถ้าเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนายังบอกว่าอ่อนอีก  ก็แสดงว่าขี้เกียจมากเกินไป  ไม่รู้จักควบคุมกำลังใจ  ปล่อยไปตามสภาวะของกิเลสมัน จะมีผลอะไร  แล้วมานั่งบ่นมันก็ไม่เกิดประโยชน์  ชาวบ้านเขาทำได้  เราทำไม่ได้  จะมานั่งบ่นว่าทำไม่ได้ก็เพราะว่าเรามันดีไม่พอ  ใช้กำลังใจเป็นสำคัญ การจดจำถ้อยคำ  คำแนะนำสั่งสอน  การมีวิริยะ  อุตสาหะมีสติปัญญาควบคุม  อันนี้เป็นของสำคัญ  การเจริญสมถภาวนาในตอนต้น  ตอนต้นหรือตอนปลายมีสภาวะเหมือนกัน  นั่นก็คือ

        อันดับแรก  จงอย่าสนใจกับอารมณ์ภายนอกทั้งหมด  เรื่องราวของชาวบ้านต่างๆ  ยกประโยชน์ไป  เราไม่สนใจ  เรื่องราวของเราก็เหมือนกัน  ตัดความกังวลเสียให้หมด  ที่เรียกว่าปลิโพธ  พระพุทธเจ้าบอกว่าอันดับแรก  จงตัดความกังวลทิ้งเสียให้หมด  ดำริไว้อย่างเดียว  คือกำหนดจิตจับเฉพาะอารมณ์สมถภาวนาที่เราต้องการ  อารมณ์อย่างอื่นเราไม่ต้องการทั้งหมด  นี่ต้องทำอย่างนี้มันถึงจะมีผล  ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ  สักแต่ว่าภาวนา  สักแต่ว่าพิจารณา  อย่างนี้ทำเท่าไรมันก็ไม่มีผล  จงจำให้ดีอันดับแรกจงตัดความกังวลเสียให้หมด  กังวลภายนอกและกังวลภายใน  คือกังวลเรื่องของคนอื่น มีบุตร  ภรรยา  สามี  ญาติ  พี่  น้อง  มิตรสหาย  ยกยอดทิ้งประโยชน์ไป  ไม่สนใจ  ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน  ตัวใครตัวมัน  ตายแล้วก็ไม่ใช่ชวนกันไปตกนรกขึ้นสวรรค์ได้  นี่พูดถึงว่าอารมณ์ที่เราใช้ในการทรงสมาธิจิต

        และอารมณ์กังวลของเราก็เหมือนกัน  มันจะเป็นจะตายก็ช่างมัน  เราต้องการอย่างเดียว  คือความบริสุทธิ์และความตั้งมั่นของจิต  ไม่ใช่มีสัญลักษณ์อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาทางกายก็ระแวงโน่นระแวง  นี่ กลัวจะเป็นอย่างนั้น  กลัวจะเป็นอย่างนี้  อารมณ์จิตเป็นอย่างนี้จะเจริญสักกี่โกฏิชาติมันก็ไม่มีผล

        แล้วต่อมาประการที่สอง  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์  ศีลห้าก็ดี  ศีลแปดก็ดีที่เราสมาทาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันดับต้นศีลห้าเป็นของสำคัญที่สุด  จะใช้คำว่าไม่สามารถไม่ได้  เราต้องเป็นผู้สามารถเสมอในการทรงศีล  จะมาเอาสาเหตุใดมาอ้างว่ามันจำเป็นอย่างนั้นจำเป็นอย่างนี้  อันนี้ไม่ใช่  เพราะทางการเจริญพระกรรมฐานมองไม่เห็นความจำเป็นใดๆ  ที่จะต้องละเมิดศีล  ประการที่สองนี้  พระพุทธเจ้าทรงให้ทรงศีลให้บริสุทธิ์  คือ

        ๑.  เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง หรือว่าทำลายศีลด้วยตนเอง
        ๒.  เราไม่ยุให้ชาวบ้านทำลายศีล
        ๓.  เราจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

        นี่เป็นหลักใหญ่  ต้องทำให้ได้  ไม่ใช่ฟังแล้วก็ลืม  ต้องทำให้ได้ด้วย จำให้ได้ด้วย  และทำให้ได้ด้วยจึงจะมีผล  เพียงแค่นี้ยังมีผลแค่สะเก็ดเท่านั้น

        เมื่อทรงศีลให้บริสุทธิ์แล้ว  พร้อมกันนั้นจิตก็ต้องระงับนิวรณ์ห้าประการ  นิวรณ์ห้าประการคือ  ความต้องการในรูปสวย  เสียงเพราะ  กลิ่นหอม  รสอร่อย  สัมผัสตามความประสงค์  และอารมณ์หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์คือ  พอใจอยู่ในลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  อารมณ์ประเภทนี้ต้องทิ้งไปไม่เอา

        แล้วประการที่สอง  ต้องระงับความโกรธ  ความพยาบาท

        ประการที่สาม  ระงับความง่วงเหงาหาวนอน

        ประการที่สี่  ควบคุมกำลังจิตให้คิดเฉพาะอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เราต้องการ  ไม่ปล่อยให้อารมณ์ฟุ้งซ่านและรำคาญในเสียง

         ประการที่ห้า  ไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  นี่เป็นหลักอันหนึ่ง  ยังไม่จบ

        แล้วประการต่อไป  พระพุทธเจ้าให้ทรงจิตให้อยู่ในพรหมวิหาร  ๔  คือแผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งหมด  เราจะไม่ไปเป็นศัตรูกับใคร  เราจะเป็นมิตรกับสัตว์และบุคคลทั้งหมด  จิตใจเราจะมีความชุ่มชื่นมองไม่เห็นว่าใครเป็นศัตรูของเรา  ผลของเมตตา  แปลว่าความรัก  เรามีความรักในเพื่อนเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย เสมอด้วยตัวเรา

        ประการที่สองมีกรุณาความสงสารปรารถนาจะให้มีความสุข  เรามีอารมณ์จิตคิดอยู่เสมอว่า  เรามีความต้องการจะเกื้อกูลบุคคลอื่นและสัตว์อื่นที่มีความทุกข์ให้มีความ  สุข  ตามความสามารถที่เราจะพึงทำได้  ถ้าแนะนำเองไม่ได้  สงเคราะห์เองไม่ได้  ก็แนะนำให้ไปหาบุคคลที่มีความสามารถที่เขาจะช่วยได้สงเคราะห์ได้

        ประการที่สาม  มุทิตา  มีจิตอ่อนโยน  คือระงับความอิจฉาริษยาเสีย  ตัดโยนทิ้งไป  เมื่อใครได้ดีก็พลอยยินดีกับความดีนั้นด้วย

        สี่อุเบกขา  ความวางเฉย  กฎของกรรมใดๆ  ที่เกิดขึ้นกับร่างกายหรือหมู่คณะ  มันเป็นเหตุที่เราปฏิเสธไม่ได้  อย่างความแก่  ความเจ็บ  ความตาย กับการพลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างนี้เป็นต้น  มันเป็นของธรรมดา ในเมื่อมันเกิดขึ้นมากับตัวเรา  กับหมู่คณะก็ตามวางเฉย  ถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้

        ในเมื่อท่านทั้งหลายทรงคุณธรรมตามที่กล่าวมา คือ

        ๑. ตัดปลิโพธทั้งหมด

        ๒. ทรงศีลบริสุทธิ์

        ๓. ระงับนิวรณ์ห้าประการได้เด็ดขาดในขณะที่ทรงสมาธิ

        ๔. ทรงพรหมวิหารสี่ได้


        อย่างนี้องค์สมเด็จพระศาสดาทรงตรัสว่า  ท่านทรงความดีแค่เปลือกของพระศาสนา  วัดตัวเราให้ดี  วัดใจให้ดีว่าเวลานี้เราทรงความดีเข้าถึงเปลือกของพระศาสนาแล้วหรือยัง  จุดนี้จุดเปลือกนี่เป็นจุดที่สำคัญที่สุด ต้องระมัดระวังให้มาก  ต้องให้ทรงตัวอยู่ตลอดเวลา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทรงศีลหรือทรงพรหมวิหารสี่  ไม่ใช่  จะมาทรงอยู่เฉพาะสมาทานพระกรรมฐานเท่านั้น  สำหรับศีล  พรหมวิหารสี่กับการตัดปลิโพธ  ความกังวล  จะต้อง  ทรงอยู่ตลอด  ๒๔  ชั่วโมง  พูดกันง่ายๆ  ว่าทรงอยู่ตลอดชีวิต  ทุกเวลาทุกนาทีและทุกวินาที  นี่ต้องคุมจิตแบบนี้  สำหรับนิวรณ์ห้าประการนี้เป็นของธรรมดา  เดี๋ยวเราก็ชนะมัน  เดี๋ยวมันก็ชนะเรา  แต่ก็พยายามควบคุม เข้าไม่ช้ามันก็จะเป็นลูกไล่สำหรับเรา  คือเราชนะมัน  คือเป็นผู้ทรงฌาน  ถ้าท่านไม่สามารถจะระงับนิวรณ์ห้าได้  เรื่องสมาธิก็ไม่ต้องพูดถึง  ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์  เราจะมีสมาธิเข้าถึงปฐมฌานได้  เพราะเราระงับนิวรณ์ห้าประการได้  การระงับได้วันหนึ่งชั่วขณะหนึ่งก็ใช้ได้  แต่ก็ยังไม่ดี  ทางที่ดีแล้วจะต้องระงับนิวรณ์ได้ตลอดวัน  นี่มันถึงจะดี

        การจะระงับนิวรณ์จะทำอย่างไร  ถ้าเราชอบใจในของสวยสดงดงาม  เราก็เจริญอสุภกรรมฐานหรือกายคตานุสสติ

        ถ้าหากว่าเราจะปราบโทสะ  คือความโกรธหรือความพยาบาทก็ใช้พรหมวิหารสี่  หรือใช้วรรณกสิณสี่  คือกสิณสีแดง  สีเหลือง  สีเขียว  สีขาว  อย่างใดอย่างหนึ่ง

        เราระงับความง่วงด้วยการเดินบ้าง  เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง  ลืมตาให้กว้างบ้าง  เอาน้ำล้างหน้าบ้าง  เอามือขยี้ตาบ้าง  แหงนดูดาวบ้าง  ถ้าหากอารมณ์จิตฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวอยู่ให้นับลมหายใจเข้าออก

        ถ้าความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ  เจ้ามีขึ้น  เราก็นั่งดูตัวเราว่า  พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า  เมื่อมีความเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็มีความเปลี่ยนแปลง  แล้วก็มีความสลายไปในที่สุด  มาดูตัวเราเวลานี้โตเท่าพ่อเท่าแม่  เวลาคลอดมาใหม่ๆ  โตเท่านี้หรือเปล่า  ถอยหลังไป  ๑๐  ปี  ๒๐  ปี  เราแก่เท่านี้ไหม  เท่านี้เราก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ถูก  แล้วคนที่เกิดมาแล้วไม่ตายเราเห็นบ้างไหม  สัตว์และคนเหมือนกัน  ถ้าสิ่งนี้มันจริงเราก็เลิกสงสัยได้  พระพุทธเจ้าท่านสอนจริง  นี่เป็นหลักใหญ่ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาและสมถภาวนาด้วย

        หลักทั้งหมดนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหมดหลีกเลี่ยง  ไม่ได้  จะขอยกงดเว้นข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้เลย  นี่พูดถึงว่าเราจะเอาดีกัน  ถ้าเราไม่เอาดีกันก็ไม่เป็นไร  แล้วก็อย่ามานั่งบ่นว่าการเจริญพระกรรมฐานทำมาตั้งสามปี  สี่ปี  ห้าปี  ไม่มีอะไรเป็นผล  ที่ไม่มีอะไรเป็นผลก็เพราะว่าเราไม่สามารถจะตัดกังวลได้  ไม่สามารถจะทรงศีลให้บริสุทธิ์ได้  ไม่สามารถจะระงับนิวรณ์ทั้งห้าได้  ไม่สามารถจะทรงพรหมวิหารสี่ได้  สำหรับท่านที่เจริญกันไม่ช้า  ประเดี๋ยวท่านก็ถึง  โน่นถึงนี่ก็เพราะว่าคุณธรรมสี่อย่างนี่ท่านครบอยู่ตลอดเวลา

        แล้วก็ขออย่าอ้างว่าเพราะบารมีท่านมาก  ควรจะอ้างว่ากำลังใจท่านดี ท่านขยันหมั่นเพียรดี  คนที่อ้างว่าบารมีไม่พอ  แสดงว่าขี้เกียจมากกำลังใจไม่ดี  นี่ไม่มีอะไร  บารมีมันเป็นของสร้างใหม่ได้  ไม่ใช่จะต้องเป็นของสร้างมาแต่ชาติปางก่อนเสมอไป  ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครบรรลุมรรคผล

        การที่จะเจริญพระกรรมฐานอันดับต้นก่อนที่จะภาวนา  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาเอาง่ายๆ  นึกถึงความตายกันก่อน  เรานึกรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตายแน่  ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา  ร่างกายไม่ใช่ของเรา  ทั้งนี้เพราะเกิด  แก่  เจ็บ  แล้วก็ตายเหมือนกัน  คำว่าแก่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าแก่หง่อม  ไม่จำเป็นต้องแก่หง่อมเสมอไป  การที่เราเกิดขึ้นมาแล้ววันหนึ่ง เคลื่อนไปหนึ่งนาทีสองนาที  มันก็แก่ไปทุกที  ทีแรกมันอ่อนปวกเปียก  เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาทุกที  การที่เคลื่อนเข้ามาสู่ความเจริญ  เขาเรียกว่าแก่ขึ้น  พอถึงวัยยี่สิบห้าไปแล้ว  ทีนี้ก็แก่ลง  มันโค้งลง  มันก็แก่ทั้งนั้น  คำว่าแก่ของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงต้องถือ  ไม้เท้ายันเสมอไป  เกิดมาวันสองวันสามวันก็ชื่อว่าแก่  นี่มีความเกิดขึ้นแล้ว  ความแปรปรวนมันก็ปรากฏขึ้น  คือความแก่มันปรากฏ  ในที่สุดมันก็ตาย

        ทีนี้ร่างกายของเรา  เราไม่ต้องการความแก่  ไม่ต้องการความป่วย  เราไม่ต้องการความลำบาก  เราไม่ต้องการความตาย  แต่เราต้องตายแน่  ทำอย่างไรๆ  เราก็หลีกเลี่ยงความตายไม่ได้  คิดไว้เสมอว่าเราตายแน่  แล้วก็เมื่อไรจะตาย  ก็คิดไว้ว่านี่เราหายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกมันก็ตาย  หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้ามันก็ตาย  จะไปรอตายกันเมื่อไร  ต้องคิดไว้เสมอว่าความตายมีแก่เราทุกขณะจิต  เราจะต้องเป็นผู้ไม่ประมาท

        ในเรื่องนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสถามพระอานนท์ว่า  อานันทะ  ดูก่อน  อานนท์  เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง  พระอานนท์ทูลตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายวันละ  ๗  ครั้งพระเจ้าข้า  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  อานันทะ  ดูก่อน  อานนท์  ยังห่างเกินไป  ตถาคตเองนี่นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก  นี่เราเอาอย่างพระพุทธเจ้า  ความตายนี่ต้องคิดไว้ทุกขณะว่าเราอาจจะตายเวลานี้  แล้วเราพร้อมหรือยัง  พร้อมที่จะตายแล้วหรือยัง  เมื่อเราพร้อมที่จะตายแล้ว  เราเลือกทางที่จะไปแล้วหรือยัง  ก่อนที่จะตายนี่เราพบ  พระพุทธศาสนานี่เราควรจะเลือกไปได้แล้ว  ถ้าเราเป็นคนมีกำลังใจ  ไม่ขี้เกียจ มีอารมณ์จิตมั่นคง  เพราะยังไงๆ  มันก็จะต้องตาย  ก่อนจะตายร่างกายมันเหมือนกับบ้านที่เช่าอยู่  เมื่อถึงเวลาที่จะไล่ออกก็ต้องไป แต่ก่อนจะไปก็ควรจะหาบ้านไว้เสียก่อน  เราจะไปหากระต๊อบหรือบ้านเท่าเดิมหรือว่าบ้านที่ดีกว่า  หรือเราจะ  ไปอยู่ในตำแหน่งมหาเศรษฐี  นี่เราก็จะต้องสะสมทรัพย์สินของเข้าไว้เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่  ถ้าเราจะไปเลวก็ไม่เป็นไร  มันเลวได้ตามอัธยาศัย

        ถ้าเราจะไปดีกว่าเดิมนี่ต้องเลือกทางไป  การที่จะไปดีกว่าเดิม  สำหรับทานและศีลนี่จะไม่พูดละเพราะว่าปกติอยู่แล้ว  เราจะพูดเฉพาะเวลาภาวนา นี่เป็นเกณฑ์ภาวนา  ถ้าหากว่าเราภาวนาในสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาจิตตกอยู่ใน  ภาวะขณิกสมาธิ  ทรงอารมณ์สมาธิได้บ้างเล็กน้อยตามสมควรไม่นานนัก  แล้วจิตมันกระโดดไปโน่นกระโดดไปนี่สอดส่าย  ไปสู่อารมณ์อื่น พอจับได้พอรู้ตัวก็ดึงกลับเข้ามาใหม่  ภาวนาหรือจับลมหายใจเข้าออกไป ประเดี๋ยวหนึ่งมันก็กระโดดไปอีก  เราก็ไม่ยอมแพ้  พอรู้ตัวก็ดึงกลับมาเล่นชักเขย้อกันอยู่แบบนี้ดึงกันไปดึงกันมา  เวลาตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  แบบสบาย  นี่เรียกว่าเตรียมหาบ้านใหม่  รู้คุณสมบัติที่เราจะพึงได้จากการภาวนา

        ถ้าจิตมีกำลังสูงขึ้นไป  มีความเอิบอิ่ม  มีความชุ่มชื่นทรงสมาธิได้ดีกว่า  มีความสบายใจดีกว่า  มีการสดใสทางจิตดีกว่า  อย่างนี้ท่านเรียกว่าอุปจารสมาธิ  ทีนี้ถึงแม้จิตใจจะมีความสดใสชุ่มชื่นเอิบอิ่มก็ตาม  มันก็มีการโดดเหมือนกัน  จิตมันก็มีการโดด  ไม่ใช่ไม่โดด  มันก็วิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่  พอจับได้ก็ดึงเข้ามา  พอดึงเข้ามามันก็ทรงตัว  มีความชุ่มชื่น  มีความสบายใจ  มีความรื่นเริงหรรษา  พร้อมที่จะเจริญพระกรรมฐานตลอดเวลา  แล้วสมาธิก็ทรงได้ดี  แต่นี่ก็ไม่แน่นักวันนี้ดีพรุ่งนี้อาจจะไม่ดีก็ได้  อย่างนี้เรียกว่า  อุปจารสมาธิ  ถ้าทรงได้อย่างนี้พอตายแล้วไปเกิด  เป็นเทวดาชั้นยามา  ตั้งใจไว้ดีนะจะเอาชั้นไหนก็เอา

        ทีนี้ถ้าหากเราทรงฌาน  การทรงฌานเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฐมฌาน  วันนี้จะพูดเฉพาะปฐมฌาน  เวลาพูดมันเลยมาแล้ว  การที่จะรู้ว่าจิตเราเข้าถึงปฐมฌานหรือไม่  การเข้าถึงปฐมฌานนี่มัน  อาจจะถึงไม่ได้นาน สักสองนาทีสามนาทีมันก็พลัดจากฌาน  อารมณ์พลัดเข้าสู่ธรรมดาที่เราเรียกกันว่าภวังค์  ศัพท์ที่เรียกว่าภวังค์  พยายามใช้ให้มันถูกภวังค์นี่ไม่ใช่แปลว่าหลับสนิท  หรือไม่ใช่แปลว่าลืมตัว  ภวังค์แปลว่าอารมณ์ปกติ  มีความรู้อยู่เป็นอยู่ตามสภาพเดิม  เรียกว่าภวังค์  นี่เคยได้ยินบ่อยๆ  แต่ใช้กันไม่ถูก  อย่าไปใช้มันเลยภาษาบาลีถ้าใช้ไม่เป็น  มันจะเสียเรื่อง  คนรู้เขาจะหัวเราะเยาะเอา

        ถ้าจิตจะเข้าสู่ปฐมฌานให้สังเกตแบบนี้  เมื่อจิตเข้าสู่ปฐมฌานนี่เราชนะนิวรณ์  นิวรณ์ห้าระงับ  จิตเข้าสู่ปฐมฌานทันที  หรือว่าขณะที่เราภาวนาอยู่ก็ตามหรือพิจารณาอยู่ก็ตาม  หูได้ยินเสียงภายนอกชัดเจนแจ่มใส  แต่ทว่าใจเราก็ทำงานได้เป็นปกติ  ไม่ดิ้นรนไปในเสียง  ไม่รำคาญในเสียง  อย่างนี้เรียกว่า  ปฐมฌาน  ปฐมฌานก็ยังมีหยาบมีละเอียดจะอธิบายก็เวลาหมดแล้ว เราทรงปฐมฌานอย่างหยาบ  วันหนึ่งได้สองนาที  สามนาที  ห้านาที  สิบนาที  เรียกว่าช่าง  ไม่ต้องไปตั้งเวลามันทั้งวัน  ไม่ถึงปฐมฌาน  จิตมันก็สู่สมาธิเล็กน้อย  เมื่อจิตหยั่งดีก็เข้าสู่  ปฐมฌานอาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง  ก็ดึงกันไปดึงกันมา  อย่างนี้เรียกว่าปฐมฌานอย่างหยาบ  ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่หนึ่ง

        ถ้ามีอารมณ์ชุ่มชื่นทรงเวลาได้มากกว่านั้นครึ่งชั่วโมง  หรือหนึ่งชั่วโมง อย่างนี้เป็นพรหมชั้นที่สอง  ถ้าทรงอาการดีอย่างนี้ตั้งเวลาได้เลย  ว่าเราจะนั่งสักสองชั่วโมง  ทรงปฐมฌานเข้าปั๊บทรงได้เลย  ถึงเวลาสองชั่วโมง  จิตมันตัดทันที  อย่างนี้เป็นปฐมฌานละเอียดเป็นพรหมชั้นที่สาม  ฌานแต่ละระดับก็เป็นชั้นสูงๆ  ขึ้นไป  นี่เราเลือกของ  เราได้นี่ก่อนที่เราจะตาย  ก่อนที่เราจะตายเราก็ต้องเลือกเรา  จะเอาอะไร

        ถ้าหากว่าเราตั้งใจไม่เอาละการเกิดเป็นมนุษย์  เป็นเทวดาหรือเป็นพรหมไม่ดี  เราต้องการไปนิพพาน  ไม่อยากเกิดอีก  ทำจิตใจให้สบายด้วยอำนาจของฌาน  หวนกลับมาพิจารณาว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่เพียงธาตุสี่มาประชุมกันเป็นกายชั่วคราว  ไม่ช้ามันก็พังลง  มันเสื่อมตลอดเวลา  ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าแล้วเรา  ไม่ต้องการมันอีก  ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิดสำหรับเรา  ความรักในรูป  เสียง  กลิ่น  รส  มีประโยชน์อะไร  เมื่อร่างกายของเรามันไม่ดีแล้ว  ร่างกายของชาวบ้านที่ไหนเขาจะดี ร่างกายเราสกปรก  ร่างกายเขาก็สกปรก  ในเมื่อเรา  ต้องการสะอาด  เราจะเอาร่างกายคนอื่นมาทำไมมันสกปรกนี่  แล้วก็ไม่มีการทรงตัว  มีการสลายตัวไปในที่สุด

        เมื่อพิจารณากายของเราไม่ดี  มันไม่ทรงตัวแล้ว  มันจะต้องพัง  ความรักด้วยอำนาจของตัณหามันก็น้อยไป  ดีไม่ดีมันก็หมดเลย  เขาตัดตรงนี้  ความโลภจะตะเกียกตะกายไปเพื่อประโยชน์อะไร  การหากินด้วยสัมมาอาชีวะ  การหากินด้วยการเลี้ยงชีพอันชอบ  พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยเรียกว่าโลภ  คำว่าโลภนี่มันต้องโกงเขายื้อแย่งเขา  ทำลาย  ทรัพย์สินของเขาที่มีประโยชน์ให้มันพินาศไป  คือได้มาด้วยอาการไม่สุจริตนั่นเอง  อย่างนี้เรียกว่าโลภ  ถ้าเราทำมาค้าขาย  ตามธรรมดา  ทำไร่ทำนา  รับราชการ  เป็นลูกจ้าง รับเงินเดือน  เงินดาวน์ตามความสามารถ  อันนี้ไม่เป็นโลภ  จะได้เงินเดือน มากเท่าไรก็ตาม  ค้าขายได้กำไรมากเท่าไรก็ตาม  ยังไม่ชื่อว่าโลภ  เว้นไว้แต่ของเลวบอกว่าเป็นของดีนี่ซิโลภ  โกงเขา  ทีนี้ถ้า  เราจะต้องตายนี่เราจะโกงเขา  เพื่อประโยชน์อะไร  หากินด้วยสัมมาอาชีวะ  เราตายแล้วมันก็ไม่ไปกับเรา  ใจมันก็สบาย  ความโลภมันก็ตัดได้

        ทีนี้ความโกรธอยากจะฆ่าเขา  เราจะต้องตาย  เขาก็จะต้องตายเหมือนกัน  จะไปฆ่ามันทำไม  ไม่จำเป็นจะต้องฆ่า  มันตายของมันเอง

        ทีนี้ความหลงนั่นเป็นของกูนี่เป็นของกู  ก็นั่งดูแม้แต่ร่างกายของเรามันยังไม่เป็นของกูเลย  เพราะว่าร่างกาย  ของเรามันยังพังนี่  แล้วร่างกายคนอื่น  วัตถุอื่นมันจะเป็นของเราหรือ  ทรัพย์สมบัติของโลกมันเป็นประโยชน์เมื่อมีร่างกาย  เท่านั้น  ถ้าร่างกายสลายตัวแล้ว  ทรัพย์สมบัติของโลกไม่มีอะไรมีประโยชน์เลย  เราจะไปหลงใหลใฝ่ฝันว่านั่นเป็นเรา  เป็นของ  เราเพื่อประโยชน์อะไร  มันไม่มี  มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา  ตัดร่างกายทิ้งไปด้วยกำลังใจ  ไม่ใช้เอามันมาเชือด  เพราะร่างกายนี้  มันเป็นโทษ  มันเป็นทุกข์ ไม่มีประโยชน์  ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าคือร่างกายอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก  ทำใจให้สบาย  จิตมันจะเป็นสุข  ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา  ความแก่ปรากฏก็สบายใจรู้ว่ามันจะแก่  ความป่วยไข้ปรากฎก็สบายใจ  รู้แล้วว่าเกิดมามันต้องป่วย  ความตายปรากฎหรือการพลัดพรากจากของรักของชอบใจปรากฎไม่มีการร้องไห้  ไม่มีการเสียดายเพราะเป็นของธรรมดา  ถ้าจิตของท่านยอมรับนับถือกฎของธรรมดาแบบนี้เขาเรียกว่าพระอรหันต์  อย่างนี้ก็ไปนิพพานได้  มีความสุขที่สุด

        เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาตั้งไว้สองระยะมันก็หมด  ทั้งสองจุดแล้ว  ต่อแต่นี้ขอทุกท่านอันดับแรก  จับลมหายใจเข้าออก  เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า  เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก  เวลาหายใจเข้านึกว่า  พุท  เวลาหายใจออกนึกว่า  โธ  จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 11

โพสต์

วันนี้ก็เอาชาดกพระยสะมาให้อ่านกันนะครับ  สำหรับชาดกหรือว่าธรรมะที่ผมเอามาลงไว้ที่นี่  ผมเอามากจากหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนะครับ  ถ้าใครสนใจจะศึกษาเพิ่มก็ลองหาอ่านดูครับ  สนใจธรรมะหัวข้อไหนลองบอกได้นะครับ  ถ้าหาได้จะเอามาลงให้ได้อ่านกันครับ  ไม่อย่างนั้นก็ลงไว้ตามใจคนโพสล่ะครับ -..-  แต่ผมว่าลีลาการเทศน์ของหลวงพ่อ  อ่านแล้วไม่เบื่อนะครับ  ผมอ่านหลายทีแล้วก็ยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อ่าน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 12

โพสต์

พระยสะ

        ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  ตอนนี้ก็ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องของ  พระยสะ  สำหรับพระยสะนี้  เป็นพระที่บรรลุมรรคผลเป็นกรณีพิเศษ  เพราะว่าการบำเพ็ญกุศลความดี  ในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์   รู้สึกว่าท่านจะไม่ได้ทำอะไร  ไม่ได้บวชก่อน  และไม่ได้ศึกษามาก่อน  เพียงพบองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  สมเด็จพระประทีปแก้วทรงเทศน์อนุปุพพิกถา  เพียงแค่จบเดียว  พระยสะก็บรรลุพระโสดาปัตติผล  ต่อมาองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เทศน์ซ้ำอีกวาระหนึ่ง  ก็ปรากฏว่า  พระยสะได้บรรลุพระอรหัตผล

        บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจะรู้สึกว่า  ง่ายเกินไปมั้ย  การที่พระยสะ  ท่านได้บรรลุมรรคผลเร็วเกินไป  เพียงพบองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  ชั่วระยะเวลาเล็กน้อยเพียงเท่านั้น  ท่านก็บรรลุอรหัตผล  และนอกจากพระยสะแล้ว  ปรากฏว่า  บิดา  มารดา  และภรรยาของท่าน  ตลอดจนกระทั่งเพื่อนอีก  55  คน  มาพบองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ฟังเทศน์ครั้งเดียว  ก็บรรลุโสดาปัตติผล  พอฟังอีกหน  ก็ปรากฏว่าได้อรหัตผล  ( ง่ายจริงๆนะ )

        บรรดาท่านพุทธบริษัท  คงจะสงสัยสินะว่า  ทำไมหนอ  ท่านทั้งหลายเหล่านี้  จึงมีความดีขนาดนั้น  สำหรับพวกเราเอง  มีความเคารพในศาสนาของ  องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  มานานแสนนานแล้วทำไมพวกเราเหล่าพุทธบริษัท  ฟังเทศน์กันมาตั้งมาก  แล้วทำไมไม่บรรลุ พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี  พระอนาคามี  พระอรหัตผล

        ทั้งนี้ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทใช้ปัญญา  ไตร่ตรองสักเล็กน้อยว่า  การฟังพระธรรมเทศนาของบรรดาท่านพุทธบริษัท  ท่านฟังจากใคร  สำหรับท่านที่เทศน์ให้บรรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง  ท่านบรรลุอะไรหรือไม่  เพราะว่าพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  ถ้าผู้เทศน์ปฏิบัติไม่ถึง  ก็มักจะตีความหมายพระธรรมเทศนาของ  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาผิดพลาด  ถ้าหากว่าท่านผู้เทศน์ตีความหมายพลาด  ท่านผู้ฟังก็จะมีความรู้พลาดจากจุด  ที่จะเข้าบรรลุมรรคผล  อย่างนี้  โอกาสที่จะได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้า  ในศาสนาขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้สึกว่า  ยาก  ความจริงมันเป็นอย่างนี้  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ในเมื่อเราฟังยาก  เราก็บรรลุยาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ถ้าไม่ฟังตรงตามพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ความยากก็จะมีมากขึ้นพูดกันถึงความยาก

        เอาล่ะ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  จะยากจะง่ายอย่างไรก็ตามที  เรามาคุยกันถึงเรื่องพระยสะดีกว่า  เพราะว่าพระยสะ  ท่านพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเดี๋ยวเดียว  ท่านก็ได้พระโสดาบัน  เรื่องราวของท่านเป็นอย่างนี้

        ในกาลเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ทรงบรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ สมเด็จพระพิชิตมาร  ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง  5  ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน  แขวงเมืองพาราณสี  ระหว่างที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น

        วันหนึ่ง  ในเวลาตอนเช้ามืด  ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  กำลังเสด็จจงกรมอยู่  ขณะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูได้ยินเสียงบ่นมาตามทางว่า  ที่นี่วุ่นวายหนอ  ที่นี่ขัดข้องหนอ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า  ยสะ  เธอจงมาที่นี่  ที่นี่ไม่วุ่นวาย  ที่นี่ไม่ขัดข้อง

        เมื่อท่านได้ยินเสียงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตรัสอย่างนั้นว่า  ที่นี่ไม่วุ่นวาย  ที่นี่ไม่ขัดข้อง  จึงได้แวะเข้าไป  ด้วยมารยาทความดีของท่าน  ในฐานะที่เป็นลูกมหาเศรษฐี  มั่งมีทรัพย์มาก  มีบ้านสำหรับอยู่ใน  3  ฤดูกาล  แต่ทว่าเป็นสันดานของคนดี  ทั้งๆที่ท่านไม่เคยรู้จักพระ  คือ  องค์สมเด็จพระชินสีห์มาก่อน  เพราะว่าพระสงฆ์เริ่มมีในคราวนั้นเป็นครั้งแรก  ( ไม่กี่วัน )  ด้วยความเป็นผู้มี  วัฒนธรรม  คือ  ความดี  สูง  เวลาที่ท่านจะเข้าไป  ท่านจึงถอดรองเท้าเสียก่อน  แล้วนั่งอยู่ข้างหน้าของ  องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

        พระพุทธเจ้าจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า  ยสะ  เธอกล่าวว่า  ที่นี่ขัดข้อง  ที่นี่วุ่นวาย  แต่เรากล่าวว่า  ที่นี่ไม่ขัดข้อง  ที่นี่ไม่วุ่นวาย  เธอจงตั้งใจสดับพระธรรมเทศนา  เราจะเทศน์ให้ฟัง

        ในสมัยนั้น  บรรดาท่านพุทธบริษัท  พระพุทธเจ้าเทศน์ไม่มีเครื่องกัณฑ์  ไม่ใช่พระธรรมดาเทศน์  เราต้องถวาย  2-300  บาท  ถ้าเป็นพระครูต้องถวาย  4-500  บาท  เป็นเจ้าคุณถวายพันบาท  เป็นสมเด็จถวายหมื่นบาท  เป็นสมเด็จพระสังฆราชถวายแสนบาท  ไม่ต้องมาตีราคาพระเทศน์กัน  พระพุทธเจ้าเทศน์ไม่เคยมีค่าจ้างรางวัล  แต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารเทศน์ด้วย  พระมหากรุณาธิคุณ  จริงๆ

        ฉะนั้น  ในสมัยนั้น  ท่านพุทธบริษัทชายหญิง  จึงเข้าถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์กันมาก  เพราะว่าผู้เทศน์  ไม่ได้รับจ้างเทศน์  เวลาเทศน์ก็ไม่ได้แสดงศักดิ์ศรีว่า  องค์สมเด็จพระมหามุนีเป็นผู้วิเศษวิโสมากเกินไป  สถานที่เทศน์ของ  องค์สมเด็จพระจอมไตร  ก็ใช้ตอไม้บ้าง  ขอนไม้บ้าง  ผ้าสังฆาฏิปูกับพื้นดินบ้าง  เวลาเทศน์  ก็เทศน์กันแบบง่ายๆ  การทำอย่างนี้เพราะองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้บริสุทธิ์  ตัดกิเลสได้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเวลาเทศน์  ก็เทศน์แบบล้างกิเลส  คือ  กิเลสของพระองค์หมดแล้ว  องค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ล้างกิเลสคนอื่นไปด้วย

        สำหรับนักเทศน์ปัจจุบัน  เราทราบไม่ได้ว่า  ท่านมีกิเลสหรือไม่  ถ้าหากว่าท่านนักเทศน์มีกิเลส  คนฟังก็มีกิเลส  เพราะว่าการเทศน์ก็ย่อมพกเอากิเลสเข้ามาด้วย  ช่วยกันให้มีกิเลสมากขึ้น  หากว่าผู้เทศน์ไม่มีกิเลส  ท่านก็วางกิเลสทิ้ง  และก็ล้างกิเลสของคนอื่นให้หมดไปด้วย

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  การฟังเทศน์จึงลำบาก  จะถือว่า  ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าฟังยาก  ไม่เป็นความจริง  ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง  รู้เรื่องราวที่พระพุืทธเจ้าเทศน์  ท่านเทศน์แบบคุยกัน  ไม่ได้ขึ้นไปตั้งท่าทำท่าเป็นผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่  นั่งคุยแบบกันเอง  เทศน์ไป  บอกไป  ถามกันไป  ไล่เรียงกันไป  สร้างความเข้าใจให้เกิด  ในที่สุด  ผู้รับฟังเห็นว่าง่าย  มีความเข้าใจ  ได้บรรลุมรรคผล

        ในตอนนั้น  เมื่อองค์สมเด็จพระทศพล  ทรงเรียกพระยสะเข้าไปใกล้  องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์  อนุปุพพิกถา  มี  5  อย่าง  คือ

             1. อานิสงส์ของทาน  การให้ ว่า  ทาน  การให้  เป็นของดี  เป็นการกำจัด  โลภะ  ความโลภ  และเป็นการสร้าง  เมตตาบารมี

             2. องค์สมเด็จพระชินสีห์เทศน์  อานิสงส์ของศีล  ว่า  การรักษาศีลนี้  เป็นความดี  เป็นเหตุสกัดกั้นอบายภูมิทั้ง  4  ประการ  คือ  ทำให้เราไม่เกิดในนรก  เป็นเปรต  เป็นอสุรกาย  เป็นสัตว์เดรัจฉาน และเป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งความสุข  คือ  สวรรค์  มีทรัพย์มาก  และเข้าถึง  พระนิพพาน  เป็นที่สุด

             3. องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวถึง สวรรค์ ว่า  สวรรค์มีความสุขเพียงใด  มีร่างกายเป็นทิพย์  มีที่อยู่อันเป็นทิพย์  มีความสำเร็จทุกอย่างตามความปรารถนา  ผู้ที่เกิดในสวรรค์  ไม่มีความแก่  ไม่มีความเจ็บ  ไม่มีความตาย  ร่างกายไม่ทรุดโทรม  ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สมความปรารถนาตามใจนึก  ไม่ต้องลงมือทำ

             4. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุืทธเจ้าเทศน์  โทษของกาม  ว่าถ้าใครมีความประสงค์ในกาม  คือ  อยากจะมีผัว  มีเมีย  อยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยา  จะเป็นตลอดกาล  หรือชั่วคราวก็ตามที  สิ่งทั้งหลายเหล่านี้  นำมาซึ่งความสกปรกของกาย  และของจิต  จะกลายเป็นคนมีกิจที่ไม่จบเกม  ( คำว่า  ไม่จบเกม  ก็หมายความว่า  ต้องมีทุกข์อยู่ตลอดเวลาเพราะความห่วงใยซึ่งกันและกัน )

             5. องค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดากล่าวถึง  อานิสงส์แห่งการบวช  คือ  การออกจากกาม  เรียกว่า เนกขัมมบารมี  องค์สมเด็จพระชินสีห์  พรรณนาว่า  ถ้าเราตัดใจของเรา  ออกจากกามคุณได้  อย่างนี้  เราจะเข้าถึงความสุข  คือ  ความพ้นจากความวุ่นวาย  พ้นจากความขัดข้อง

        องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์เพียงเท่านี้  พระยสะฟังจบ  ก็ปรากฏว่า  บรรลุพระโสดาปัตติผล

        ในตอนเช้า  เมื่อบิดามารดาไม่เห็นลูกชาย  เห็นลูกชายหายไป  จึงใช้คนออกติดตามทุกทิศ  บิดาก็ไปตามทิศหนึ่งปรากฏว่า  ไปทางเดียวกับที่พระยสะไป  บิดาตามไป  เห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  กำลังเสด็จจงกรมอยู่

        จงกรม  ก็เดินไป  เดินมา  เดินมา  เดินไป  ไม่ใช่  ยกหนอ  ย่างหนอ  ไม่ใช่ยกๆ  ย่างๆ  เดินธรรมดาๆ  จงกรม  แปลว่า  เดิน  เวลาเดินก็ใช้สติสัมปชัญญะ  ควบคุมอารมณ์อยู่ในเขตของกุศล

        องค์สมเด็จพระทศพล  กำลังเดินไปเดินมา  ( แก้เมื่อย )  พ่อของพระยสะเดินเข้าไป  เห็นพระพุทธเจ้า  ยังไม่รู้จักว่าเป็นพระพุทธเจ้า  เพราะเป็นการบรรลุครั้งแรก  แต่พระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้พ่อลูก  ไม่เห็นกัน  ด้วยอำนาจของฤทธิ์

        เมื่อท่านบิดาไปถึงแล้วไซร้  จึงเข้าไปถามพระพุทธเจ้าว่า  ท่านอยู่ในสถานที่นี้  เห็นลูกชายของเราเดินผ่านมาบ้างมั้ย  ลูกชายของเราชื่อ  ยสะ  องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงกล่าวว่า  ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ  หาลูกชายของท่านทำไมฟังเทศน์ก่อนไม่ดีรึ

        รู้สึกว่าการเทศน์ของพระพุทธเจ้านี้  ง่าย  เหลือเกิน  แต่ไม่ใช่ง่ายนะ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าบุคคลใด  มีอุปนิสัยไม่ถึง  ไม่ตกอยู่ในข่ายพระญาณ  พระพุทธเจ้าก็ไม่เทศน์โปรด  แต่ถ้าตกอยู่ในข่ายพระญาณแล้ว  ก็ไม่ต้องนิมนต์เหมือนกัน  ท่านไปเทศน์ของท่านเอง  ไม่ต้องเสียค่าจ้างรางวัล  เทศน์ให้ฟังแบบฟรีๆ

        สำหรับพระยสะกับบิดาของท่านนี้ก็เหมือนกัน  เพราะว่าทั้งสองท่านตกอยู่ในข่ายพระญาณ  ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารเทศน์ง่ายผิดปกติ  จะเรียกว่า  ผิดปกติก็ไม่ได้  ถือว่าเป็นปกติขององค์สมเด็จพระบรมครู

        เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมาร  ให้บิดาของพระยสะนั่ง  ท่านก็เทศน์อนุปุพพิกถาตามเดิม  เมื่อเทศน์จบ  ท่านพ่อก็ได้บรรลุ  พระโสดาบัน  เวลานั้น  พระยสะนั่งอยู่ด้านหลัง  พ่อกับลูกไม่เห็นกัน  ฟังอนุปุพพิกถาซ้ำ  ก็ปรากฏว่าได้บรรลุอรหัตผล  องค์สมเด็จพระทศพลจึงได้คลายฤทธิ์  ให้พ่อลูกเห็นกัน

        เมื่อพ่อลูกได้เห็นกันแล้ว  ท่านพ่อจึงได้กล่าวกับพระยสะว่า  ยสะ  จงให้ชีวิตกับแม่ของเธอเถิด  เมื่อเจ้าหายออกมา  แม่ของเจ้าร้องไห้  เลือดตาแทบจะไหลออกจากกระบอกตา  พระยสะเป็นพระอรหันต์เสียแล้ว  จึงได้มองดูองค์ศมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัส  กับบิดาของพระยสะว่า  โภ ปุริสะ  ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ  ยสะ  เวลานี้  ไม่ควรแก่การครองเรือน  เพราะได้บรรลุอรหัตผลเสียแล้ว  ท่านบิดาพอได้ฟังเท่านั้น  ก็ปลื้มใจ  ดีใจมาก  กล่าวว่า  เป็นบุญของพระยสะ  ถ้าเช่นนั้น  ข้าพระพุทธเจ้าขอนิมนต์พระองค์  กับพระยสะ  ทั้งสองท่าน  ไปรับภัตตาหารในเวลาเช้าวันนี้  แล้วก็ลากลับ

        เมื่อบิดากลับไปแล้ว  พระยสะจึงได้ขอบวชกับพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เอหิภิกขุ  แปลว่า  เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด  ผ้าไตรจีวร  สำเร็จไปด้วยฤทธิ์  ก็มาสวมกายท่าน  แล้วท่านทั้งสองก็เข้าไปในบ้าน

        เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ  พระพุทธเจ้าเทศน์อีกครั้ง  มารดา  กับภรรยาเก่าของพระยสะ  ก็บรรลุโสดาปัตติผล  ต่อมาเพื่อนอีก  55  คน  ได้ฟังข่าวว่า  พระยสะบวชในพระพุทธศาสนา  ก็เข้ามาบวชบ้าง  ทุกคนได้ฟัง  อนุปุพพิกถา  เทศน์กัณฑ์เดียวกัน  ก็ปรากฏว่า  บรรลุมรรคผลเหมือนกัน

        การที่พระยสะจะได้พบพระพุทธเจ้า  ขอเล่าย้อนไปอีกนิดหนึ่ง  คือว่า  ท่านเป็นลูกมหาเศรษฐี  มีทรัพย์มาก  มีบ้านอยู่  3  ฤดู  ฤดูร้อน  ฤดูฝน  ฤดูหนาว  มีบ้านแต่ละหลังเหมาะสมแก่ฤดูกาล  และในระยะนั้น  ปรากฏว่ามีนงคราญสำหรับปฏิบัติปรนเปรอมีอยู่มาก  เพราะบิดาเป็นมหาเศรษฐี  หาสาวๆ  นารีที่มีความสวยความงาม  ได้สะดวก  นำมาปรนเปรอลูกชาย  หญิงทั้งหลายเหล่านั้น  ก็ล้วนแต่สวยสดงดงามตามปกติ  ที่เขานิยมกัน

        พระยสะ  นอกจากจะมีภรรยาประจำแล้วหนึ่งท่าน  สาวสรรกำนัลในทั้งหลายเหล่านั้น  ต้องการใึครก็ได้  ( ช่างมีความอิ่มเอมเปรมใจเสียเหลือเกิน )  แต่ทว่าเพราะอาศัยกุศลผลบุญเดิม

        คืนวันหนึ่ง  พระยสะตื่นขึ้นมาตอนดึกสงัด  ปรากฏว่า  สตรีทั้งหลายเหล่านั้น  นอนหลับสนิท  พระยสะมองดูบรรดาสาวสรรกำนัลใน  ที่เป็นเมียเล็กบ้าง  เมียใหญ่บ้าง  เมียประจำบ้าง  มองเห็นเป็นซากศพไปหมด  มีความไม่สบายใจ  จึงได้สวมรองเท้า  เดินออกจากบ้านไป  เปล่งวาจาว่า  ที่นี่วุ่นวายหนอ  ที่นี่ขัดข้องหนอ  แล้วจึงได้พบกับพระพุทธเจ้า  ได้ฟังเทศน์คราวเดียว  เป็น  พระโสดาบัน  ฟังครั้งที่สองเป็นพระอรหันต์  ท่านทำบุญอะไรไว้  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายคงจะสงสัย  ถ้าสงสัย  ก็จะขอย้อนกลับไปในอดีตชาติ  ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเคยตรัสไว้ว่า

        ในสมัยก่อน  ถอยหลังไปในศาสนาของ  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงพระนามว่า  พระพุทธกัสสปทศพล  สมัยนั้น  ปรากฏว่า  พระยสะ  และเพื่อนทั้ง  55  คน  เป็นสัปเหร่อสาธารณะ  ( คำว่า  สัปเหร่อสาธารณะ  เป็นคนสำหรับเผาศพ  แต่ไม่ใช่นักเผาศพรับจ้าง  เหมือนกับตามวัดต่างๆที่เขามีเมรุ  และมีเจ้าหน้าที่เผาศพ )  สำหรับศพคนที่ร่ำรวย  มีเงิน  จับจ่ายใช้สอยไม่ขัดข้อง  มีคนเขารับจ้างเผาให้  แต่คณะของท่านยสะไม่เกี่ยว  เกี่ยวอยู่อย่างเดียว  คือ  ถ้าคณะใด  บุคคลใดมีความยากจนเข็ญใจ  มีความเป็นอยู่ไม่ปกติสุข  ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง  หาคนรับจ้างเผาไม่ได้  คณะของพระยสะก็ทำให้เป็นสาธารณประโยชน์  ด้วยเมตตาบารมี  ไม่มีค่าจ้างรางวัลใดๆ  ทำแบบนี้เป็นปกติ

        ต่อมาวันหนึ่ง  ปรากฏว่า  ขณะที่คณะของพระยสะ  คือ  บิดามารดา  ภรรยา  และตัวของท่านเอง  กำลังบริโภคอาหารอยู่  มีคนเขามาแจ้งบอกว่า  โฉมตรูนางหนึ่ง  กำลังตั้งครรภ์  ตายลอยมาตายกระแสน้ำ  ชาวบ้านเขาดึงเข้าไว้  และมาตามพระยสะไป  บอกว่า  ศพสาธารณะมาแล้ว  ขอบรรดาสัปเหร่อผู้ใจแกล้ว  ผู้มีจิตเมตตา  ได้โปรดกรุณาไปจัดการศพตามหน้าที่  พระยสะ  บิดามารดา  ภรรยา  พร้อมด้วยสหายทั้ง  55  คน  ก็มีความยินดี  ไม่มีความรังเกียจ  ไปช่วยจัดการศพ  ยกขึ้นสู่เชิงตะกอนแล้วก็เอาฟืนใส่  เอาไฟเผา  กะว่าฟืนเพียงเท่านี้  ก็สามารถจะทำให้ศพไหม้ได้อย่างสบายๆ  แล้วก็กลับมาบ้าน  มารับประทานอาหารต่อไป

        เพียงครูใหญ่ๆ  ฟืนหมด  ไฟโทรม  ก็ปรากฏว่าศพไม่ไหม้  ชาวบ้านทั้งหลายจึงได้มาแจ้งให้พระยสะทราบ  พระยสะเมื่อทราบแล้ว  จึงได้ไปดู  เห็นศพไม่ไหม้จริงๆ  เพราะศพอิ่มไปด้วยน้ำ  จึงได้เสี้ยมไม้แหลม  แล้วก็แทงลงไป  ให้น้ำไหลออกมา  ( แทงเสียหลายรู  ล่อเสียเยอะ )  ทีนี้มันไม่ได้ไหลมาแต่น้ำอย่างเดียว  ท่านพุทธบริษัท  น้ำเลือด  น้ำเหลือง  น้ำหนอง  ไขมัน  ต่างๆ  มันก็ไหลมาด้วย  ช่วยกันไหล

        พระยสะพิจารณาไปแล้ว  ก็รู้สึกในใจว่า  โอหนอ  ร่างกายคนนี้หาความดีอะไรไม่ได้  ส่วนที่อยู่ภายใน  เต็มไปด้วยความสกปรกโสมม  สิ่งที่เราเห็นว่าสวย  คือ  หนังกำพร้า  ที่ปิดบังอยู่นิดหน่อยเท่านั้น  ข้างในจริงๆนั้น  ที่ไหนได้  ไม่น่าดูเลย  ยิ่งมองดูเพียงใด  ความเบื่อหน่าย  เห็นว่าร่างกาย  สกปรก  มันก็มีขึ้น  อารมณ์จิตจึงเกิด  นิพพิทาญาณ  จับใจ  ( คำว่า  นิพพิทาญาณ  แปลว่า  ความรู้สึกเบื่อหน่าย  ญาณ  แปลว่า  รู้  นิพพิทา  แปลว่า  เบื่อ )

        เกิดความเบื่อหน่ายจริงๆ  คิดว่า  ร่างกายของเราก็ดี  ของบุคคลอื่นก็ดี  มันสกปรกแบบนี้  เราจะไปนั่งยินดียินร้ายกับร่างกายเพื่อประโยชน์อะไร  เราประคับประคองร่างกาย  ก็ไม่ต่างกับประคับประคองถุงอุจจาระ  คือ  ข้างในคล้ายอุจจาระ  มันสกปรก  มันเน่าเลอะเทอะไปหมด  ทำจิตให้สลด เกิดนิพพิทาญาณ  มีความเบื่อหน่ายในขันธ์  5  คือ  ร่างกาย

        เมื่อท่านมีความรู้สึกแบบนี้  จึงไปบอกพ่อ  บอกแม่  บอกภรรยา  บอกสหายทั้ง  55  คน  ให้ทุกคนนั่งพิจารณาดูซากศพของสตรี  หญิงสาวสวย  แต่มีท้องมาด้วย  คือ  มีบุตรในครรภ์  ว่า  สิ่งทั้งหลาย  ที่มันหลั่งไหลออกมานั้น  มันน่ารัก  น่าชมเพียงใด  คนทั้งหลายที่ได้รับฟัง  มาดูแล้ว  ก็เกิดนิพพิทาญาณ  ความเบื่อหน่ายในร่างกายเหมือนกัีน  ความเมามันในกามารมณ์ลดน้อยลงไปยังไม่หมด  เพราะอะไร  เพราะว่าหน้าที่ของสามี  หน้าที่ของภรรยา  ยังปฏิบัติกันอยู่ตามปกติ  แต่ว่าจิตใจนี้จะมีความรื่นเริง  เหมือนสมัยก่อนก็หาไม่

        เพราะอาศัยความดีเพียงเท่านี้  บรรดาท่านพุทธบริษัท  จิตใจของท่านทั้งหลายมีความเบื่อหน่ายในร่างกาย  เห็นว่า  สกปรก  เห็นคนเดินไปเดินมา  ก็นึกถึงภาพสตรีคนที่ว่าเมื่อสักครู่นี้  ที่ตาย  แล้วก็แทงให้น้ำเหลือง  น้ำหนอง  น้ำเลือด  ไขมันต่างๆ  ให้ไหลออกมา  ท่านมองผู้หญิงก็ดี  ผู้ชายก็ดี  คิดว่า  สภาพอย่างนี้  มันมีสภาวะเหมือนกัน  ในจิตใจของท่านพระยสะ  มีนิพพิทาญาณแต่ไม่ถึงที่สุด

        ฉะนั้น  บุคคลคณะนี้  เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์  จึงไปเกิดเป็นเทวดา  บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก  อาศัยเมตตาบารมีของท่าน  เกิดมาในชาติใหม่  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสแล้ว  ตอนนี้เอง  ก็ปรากฏว่า  เป็นเศรษฐีตามๆกัน  เนื่องด้วยอำนาจบารมีของเมตตา

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  อาศัยนิพพิทาญาณเดิม  ที่เคยพบมาก่อน  ฉะนั้น  เมื่อพบองค์สมเด็จพระชินวร  เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์ไป  ตั้งแต่  ทาน  ศีล  สวรรค์  โทษของกาม  และการออกจากกาม  ไปกระทบใจตรงกามารมณ์มันไม่ดี  และการออกจากกามเป็นของดี

        นี่แหละ  องค์สมเด็จพระชินสีห์  มักจะสะกิดแผลเก่าอยู่เสมอ  เพราะว่าพระองค์ทรงทราบ  จึงเป็นปัจจัยให้พระยสะและบรรดาสหาย  พร้อมไปด้วยบิดามารดา  และภรรยา  สำเร็จเป็นอรหัตผล  ในตอนต้นก็เป็น  พระโสดาบันแบบง่ายๆ

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  การนำเรื่องราวของพระยสะมากล่าวแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท  ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ทราบชัดว่า  จิตใจของเรา  ถ้ารักธรรมดาจุดใดจุดหนึ่ง  ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้  แล้วปฏิบัติทำกำลังใจของเรา  ยึดมั่นในอารมณ์นั้นให้ปรากฏ  พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมสุคต  จะสร้างความสบายใจให้เกิดในชาติปัจจุบัน  ถ้าเราไม่สามารถจะเข้าพระนิพพานในชาตินี้  แต่ว่าใจของเรายินดี  จับเฉพาะอารมณ์  ธรรมบทนั้นบทเดียวแล้ว  เราไม่ยอมปล่อย  อย่างอื่นเราชอบเหมือนกัน  แต่รักบทไหน  เกาะบทนั้นให้ติด  อารมณ์อย่างนี้  เมื่อจิตออกจากร่างกายไป  จะไปสวรรค์ก่อน  ถ้าย้อนลงมาเกิดอีกที  คราวนี้เป็นได้ถึงพระนิพพานแน่

        ฉะนั้น  การเข้าถึงพระนิพพานเป็นของไม่ยาก  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ถ้าเรามีความฉลาดในการปฏิบัติธรรมเราก็จำเอาไว้ว่า  ค้างคาวก็ดี  งูเหลือมก็ดี  พระยสะก็ดี  มีความดีเฉพาะอย่าง  เขาไปพระนิพพานได้ฉันใด  พวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย  มีเสียงสำหรับฟัง  มีหนังสือสำหรับดู  เราก็วิเคราะห์ดูว่า  อย่างไหนดี  เราก็จับอย่างนั้นเป็นปกติ  ในที่สุด  เราก็จะมีผล  เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  อย่างน้อยก็ชาติหน้าเท่านั้น

        เอาล่ะ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  เรื่องราวของท่านพระยสะ  ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผล  จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 13

โพสต์

วันนี้ผมนึกขึ้นได้ว่า  ตอนบวชนี่  พระอาจารย์เคยสอนเกี่ยวกับเรื่อง  ทาน  ศีล  ภาวนา  เคยได้ยินกันใช่มั้ยครับ   แล้ว  อันนี้ล่ะ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  ก็คงเคยได้ยินอีกเหมือนกัน  ผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว  แต่ระลึกได้คร่าวๆว่า  อาจารย์ท่านพูดถึงประมาณว่า  ทาน  ศีล  ภาวนา  นี่ของฆราวาส  สำหรับสงฆ์ต้อง  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  คิดไปคิดมา  คิดมาคิดไป  ด้วยความที่ยังไม่บรรลุธรรม  ผมก็คิดว่า  ไม่น่าจะถูกครบถ้วน  ทำไมสงฆ์ไม่มีทาน  เพราะการเทศนาธรรมหรือแสดงธรรมแก่ชาวบ้าน  ก็ถือเป็นธรรมทาน  เป็นทานอย่างหนึ่ง  แล้ว  ที่บอกว่า  ภาวนา  คำนี้ก็อย่างที่ผมเคยพิมไปตอนต้นๆ  ว่ามันแยกได้เป็น  2  อย่าง  คือ  สมถภาวนา  กับ  วิปัสสนาภาวนา  สำหรับสมถะก็ทำให้เกิดสมาธิ  ส่วนวิปัสสนาก็เป็นตัวปัญญา  ถ้าจะให้นึกเอง  ก็คงคิดได้ประมาณว่า  ธรรมทานก็เป็นหน้าที่ของสงฆ์ล่ะ  แต่หน้าที่หลักจริงๆ  คือการปฏิบัติให้เสร็จกิจทางพุทธศาสนา  ก็เลยตัดทานออก  เหลือเพียงแค่  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  ล่ะมั้ง  ขอเพื่อนๆผู้มีปัญญาช่วยอธิบายหรือช่วยพิมความคิดไว้บ้างนะครับ  

ทีนี้ก่อนจะไปอ่านชาดกเรื่องกรรม  ขอทิ้งนิดนึงว่า  กรรมชั่วใดที่เราเคยทำไว้  อย่าไปนึกถึง  ให้นึกถึงแต่กรรมดี  ไม่ใช่ว่าให้ทำชั่วแล้วลืม  แล้วทำชั่วใหม่เรื่อยๆนะครับ  แต่สิ่งพลาดพลั้งไปแล้ว  เราแก้ไขอะไรไม่ได้  ก็ตั้งใจไว้ว่า  ความชั่วนั้นจะไม่มีกับเราอีก  ให้จิตอยู่ในส่วนของกุศลไว้เสมอ  ให้คิดเสมอว่า  ความตายจะมีกับเราทุกๆคน  อย่าไปคิดว่าพรุ่งนี้  เพราะมันนานไป  ความตายอาจจะมีกับเราได้ทุกขณะ  อาจจะเป็นวันนี้  ตอนนี้ก็ได้  อย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท  ให้จิตจับความดีไว้เสมอ  และก็นึกเสมอว่า  ร่างกายนี้  มันไม่เราไม่ใช่ของเรา  มันจะเป็นของเราได้ยังไง  ในเมื่อเราไม่อยากให้มันแก่  มันก็แก่  เราไม่อยากให้เจ็บไข้ไม่สบาย  มันก็เป็นซะทุกอย่าง  เราห้ามอะไรมันไม่ได้  แล้วมันจะเป็นของเราไปไ้ด้ยังไง  ภายในก็เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก  น้ำเลือด  น้ำเหลือง  ตับ  ไต  ไส้  ปอด  ไม่มีอะไรสวยสดงดงามเลย  ไอ้ที่เรามองว่าสวย  หล่อ  นี่มันที่ตรงไหน  ก็ตรงหนังกำพร้าซึ่งหนาสักประมาณครึ่งมิลได้มั้ยหว่า  แล้วลอกหนังออก  มันยังสวยอยู่มั้ย  นึกให้ออกนะครับ  ว่ามันทุกข์ยังไง  การมีสังขารนี่  ทำให้เกิด  นิพพิทาญาณขึ้น  แม้จะยังไม่ถึงที่สุด  ก็ขึ้นชื่อว่าเกิด  จิตมีสภาพจำ  เมื่อถึงเวลา  จะได้ไปสู่ภพที่ดีก่อน  แล้วก็รอพระท่านมาสะกิดแผลเก่า  เหมือนพระยสะ  เอาล่ะครับ  อ่านชาดกเรื่องกรรมกันดีกว่านะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 14

โพสต์

บุพกรรมของคน  3  คน

        ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  ลำดับต่อไปนี้  อาตมาภาพจะได้นำพระสูตร  เนื่องด้วยกฎของกรรม  มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท  ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีบรรดาประชาชนทั้งหลาย  สงสัยกฎของกรรม  เป็นอันมาก  มักจะมีบุคคลทั้งหลายมาถามว่า  ชาตินี้ไม่ได้ทำความชั่วอะไร  ทำแต่ความดีทุกอย่าง  บุญก็ทำ  กรรมก็สร้าง  หมายถึงบุญกุศลก็ทำ  พระธรรมเทศนาก็ฟัง  และการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของ  องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็ทำ

        เมื่อทำแล้วทุกอย่างในด้านของความดี  ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสรรเสริญ  แต่ก็กลับมาถูกกรรมชั่วสนองให้เกิดมีความทุกข์อย่างนี้  ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความสงสัยว่า  การทำบุญในศาสนา  ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่มีผล

        เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของบรรดาพุทธศาสนิกชน  จึงได้ขอนำพระสูตร  ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้  มาให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้สดับ  สำหรับตอนนี้ขอนำเรื่องของคน  3  คน  ที่มีกรรมตามสนอง  เป็นกรรมจากชาติก่อน  มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า

        เมื่อ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร  ทรงปรารภชน  3  คน  จึงได้แสดงพระธรรมเทศนานี้ความว่า  น อนฺตลิกฺเข  น สมุทฺทมชฺเฌ  เป็นต้น  ความมีอยู่ว่า

        เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ประทับยับยั้งสำราญอิริยาบถ  อยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร  บรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกัน  มาเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านได้เข้าไปสู่บ้านตำบลหนึ่งเพื่อจะบิณฑบาต  อันเป็นปกติของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  เพราะว่า  บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  ย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยง  เมื่อชาวบ้านรับบาตร  ของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว  ก็นิมนต์ให้นั่งฉันที่สำหรับเป็นที่ฉัน  คือ  เขาจัดสถานที่ไว้ตามสมควร  เมื่อถวายข้าวยาคู  และของเคี้ยว  ( สำหรับ  ยาคู  ท่านแปลว่า  ข้าวต้ม  ของเคี้ยวก็คงเป็น  กับข้าว )  เป็นต้น  เมื่อถวายของท่านแล้ว  ก็รอเวลาให้พระฉันเสร็จ  เพื่อจะฟังธรรม

        ในขณะนั้นเอง  ปรากฎว่า  เปลวไฟลุกขึ้นจากเตาของหญิงคนหนึ่ง  สำหรับหญิงคนนั้น  เป็นผู้หุงข้าว  และปรุงกับข้าว  ท่านบอกว่า  สูปะ  และพยัญชนะ  ( แกง  และกับ )  อยู่ที่เตาไฟ  ไฟนั้นได้ลุกขึ้นติดชายคา  เสวียนหญ้าอันหนึ่ง  ปลิวขึ้นจากชายคานั้น  สำหรับ  เสวียนหญ้า  เขาทำกลมๆ  ทำด้วยหญ้า  สำหรับรองหม้อข้าวหม้อแกง ถูกเปลวไฟเผา  ลมพัดมา  เสวียนหญ้าอันนั้น  ก็ปลิวขึ้นไปบนอากาศ

        ในขณะนั้นเอง  ปรากฎว่า  มีกาตัวหนึ่ง  บินมาในอากาศ  เสวียนหญ้าอันนั้น  ก็สอดเข้าไปในคอกาพอดี หมายความว่า  เวลาที่กาบินมา  เสวียนหญ้าก็ลอยขึ้นไป  กาตัวนั้นก็บินมา  เอาคอสอดเข้าไปในเสวียนหญ้านั้นพอดี  เป็นอันว่า  เสวียนหญ้านั้นก็ติดคอกา  เกิดไฟไหม้ขน  ไฟไหม้ตัว  กาตัวนั้นทนความร้อนไม่ไหว   ก็ตกลงกลางบ้าน  บินต่อไปไม่ได้  ก็เป็นอันว่า  ต้องตายกัน  กรรมอันนี้ไม่มีใครเขาทำ  ไฟลุกติดขึ้นมาจากชายคา  เสวียนหญ้าถูกไฟไหม้ลมพัดลอยขึ้นไป  กาบินมาเอาคอสวมเข้าไปพอดี  ไฟก็ไหม้ตกลงมาตาย

        บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  เห็นเหตุนั้นจึงได้คิดว่า  เออ  นี่เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน  กรรมหนักแท้ๆ  ท่านผู้มีอายุ  ท่านคุยกันว่า  ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลกๆ  ที่เกิดขึ้นแก่กา  ตามธรรมดา  กาบินมาในอากาศเฉยๆ  เสวียนหญ้าถูกไฟลุก  ลอยขึ้นไปบนอากาศ  เสวียนไม่มีชีวิตจิตใจ  ความเร็วของกา  เอาคอคล้องเสวียนหญ้าเข้าให้  แล้วก็ตกมาตาย  เหตุนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์  เราไม่สามารถจะพยากรณ์กันได้  เว้นแต่  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  ก็คงไม่มีใครสามารถจะรู้กฎของกรรมนี้ได้  จึงได้ปรึกษากันต่อไปว่า  เมื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  จะต้องทูลถามเรื่องนี้  เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ  โมทนาแก่ชาวบ้านแล้ว  ก็พากันลาชาวบ้านไป

        มาอีกตอนหนึ่ง  ท่านกล่าวว่า  เมื่อภิกษุอีกพวกหนึ่ง  โดยสารเรือไป  เพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน  ในขณะนั้น  เรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางมหาสมุทร  ขณะที่เรือวิ่งๆไป  แล้วมันก็หยุด  ( ถ้าเป็นสมัยนี้  ก็ต้องดูว่าน้ำมันเชื้อเพลิงหมดหรือไม่  หรือเป็นเพราะเหตุใด  แต่ว่าสมัยนั้น  เป็นสมัยเรือใบ  ลมก็มี  ใบก็กาง  แต่ว่าเรือหยุด )

        บรรดามนุษย์ทั้งหลาย  คือ  ชาวเรือ  จึงพากันคิดว่า  คนกาลกิณีจะพึงมีในเรือนี้  ในสมัยนั้นเขาคิดกันแบบนี้  ถ้าอะไรมันไม่ดีเกิดขึ้น  เป็นเหตุสุดวิสัย  แสดงว่า  มีคนกาลกิณีเกิดขึ้น  ต่างคนต่างทำสลากแจกกัน  ให้คนทุกคนจับสลาก  สลากนั้นเป็นสลากเสี่ยงทาย  เมื่อทุกคนจับกันแล้ว  ภรรยาของนายเรือ  ตั้งอยู่ในปฐมวัย  ( แสดงว่าเป็นหญิงสาว  นายเรือมีภรรยาสาว  กำลังน่ารัก  เห็นจะเป็นเด็กสาวรุ่นๆ )  เมื่อสลากถึงแก่นาง  ( หมายความว่า  นางจับสลากได้แล้ว )  พวกมนุษย์ก็พากันว่า  จงแจกสลากอีก  ( หมายความว่า  เอาสลากมาแจกกันอีก )  แล้วจึงแจกกันถึง  3  ครั้ง  สลากก็ถึงแก่นางนั้นคนเดียวถึง  3  ครั้ง

        เป็นอันว่า  เขาคงจะเสี่ยงทาย  เขียนไว้ในสลากว่า  คนไหนเป็นกาลกิณี  ขอสลากนี้จงถึงแก่บุคคลนั้น  แล้วก็เขียนไว้  แล้วก็ม้วน  ถ้าใครจับถูกสลากกาลกิณีนั้น  ก็ชื่อว่า  เหตุร้ายนี้  เกิดจากคนนั้น  เป็นคำอธิษฐานของบุคคลทั้งหลาย

        แต่ทว่า  ภรรยาของท่านนายเรือเป็นหญิงสาว  น่ารัก  เป็นหญิงวัยรุ่น  จับสลากทั้ง  3  วาระ   ก็ถูกสลากใบนั้นทุกครั้ง บรรดาพวกที่ไปในเรือ  มองดูหน้านายเรือ  เพื่อจะปรารภว่า  นาย  นี่จะว่าอย่างไรกัน  ภรรยาของท่านเห็นจะเป็นคนกาลกิณีกันแน่  ท่านนายเรือจึงกล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่อาจจะให้มหาชนฉิบหายได้

        ทั้งนี้ก็หมายความว่า  เมื่อเขาหารือว่า  ภรรยาของท่าน  เป็นคนกาลกิณีแน่  เพราะการจับสลากก็ไม่มีอคติ  การจับก็ไม่ได้บอกให้จับทีหลัง  ตามธรรมดา  นายเรือ  กับภรรยาของนายเรือ  จับก่อน  แต่ทว่าเจ้าหล่อน  ก็จับถูกสลากใบที่เป็นกาลกิณีทุกที

        บรรดาลูกเรือทั้งหลายจึงปรึกษานายว่า  ทำอย่างไรกันแน่  นาย  จะกล่าวโทษก็เกรงว่า  เจ้านายจะโกรธ  ถ้าจะไม่พูดอะไรเลย  ก็เกรงว่าอันตรายจะพึงมี  จึงหันเข้าไปปรึกษานายว่า  จะทำอย่างไร  สำหรับนายท่านก็ดี  ท่นรักชีวิตคนมากยิ่งกว่ารักภรรยาของท่าน  ท่านจึงกล่าวว่า  เราไม่ต้องการให้คนอื่นฉิบหาย  คนเป็นจำนวนมาก  คือ  เมียของเราคนเดียว  แต่คนในเรือนี้มากไปกว่านี้  เราไม่ต้องการให้คนทั้งหลายเหล่านี้  ต้องย่อยยับไปด้วย

        ฉะนั้น  เพื่อประโยชน์แก่นางนี้  พวกท่านจงทิ้งเขาในน้ำเถิด  หมายความว่า  ถ้าเขาจะรักเมีย  เพื่อประโยชน์กับนาง  ก็ปล่อยให้คนอื่นตาย  แต่ถ้ารักคนมากกว่า  ก็ต้องปล่อยให้เมียตาย  เขาจึงบอกว่า  เราจะยอมให้คนอื่นฉิบหายไม่ได้  เพื่อประโยชน์แก่นางคนเดียว  จึงได้บอกให้คนทั้งหลายเหล่านั้น  จับโยนลงไปในน้ำ

        นางนั้น  เมื่อพวกมนุษย์จะจับโยนทิ้งน้ำ  กลัวต่อมรณภัย  ก็ร้องขอความช่วยเหลือ  ร้องขอความเมตตา  นายเรือได้ยินเสียร้องนั้น  จึงกล่าวว่า  น้องรัก  ประโยชน์อะไรด้วยอาภรณ์ของนางนั้น  ถ้าหากว่าเราพอใจในเธอ  ความฉิบหายก็จะเกิดกับบุคคลทั้งหลายเปล่าๆ  ซึ่งคนทั้งหลายมีชีวิตยิ่งกว่าเธอ  ( ชีวิตมากกว่าเธอ  เธอคนเดียว )  จงเสียสละชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่

        เป็นอันว่า  นายเรือมีน้ำใจเด็ดเดี่ยว  ไม่เห็นกับความสาว  ไม่เห็นกับความสวย  ของภรรยาที่น่ารัก  ฉะนั้น  จึงกล่าวว่า  พวกท่านจงเปลื้องอาภรณ์  เครื่องประดับของนางให้หมด  ให้นางนุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่ง  แล้วจงทิ้งไปในน้ำนั้น  เป็นอันว่า  เขาจะทิ้งน้ำ  เขาก็บอกให้บรรดาคนทั้งหลาย  เปลื้องเครื่องประดับของนาง  ที่แต่งมาสวยสดงดงาม

        เป็นธรรมดา  ภรรยาของนายเรือก็ต้องแต่งตัวสวยมาก  เพราะมีทุนมาก  เขาบอกต่อไปว่า  ข้าพเจ้าจะไม่มองดูนาง  เป็นอันว่า  นายเรือเองก็ใจอ่อนเหมือนกัน  ถ้าขืนมองดูเธอ  ก็อาจจะใจอ่อน  อาจจะยับยั้ง  ไม่ให้จับเธอโยนทิ้งน้ำ  แต่ความจริง  คนเรามาด้วยกันดีๆ  จู่ๆ  ก็จับโยนทิ้งน้ำให้ถึงแก่ความตาย  ก็ต้องคิด  แต่ว่าเขาก็มีน้ำใจเด็ดเดี่ยว  เห็นประโยชน์ส่วนใหญ่มากกว่าประโยชน์ส่วนน้อย  ที่จะพึงรักษาภรรยาไว้แต่ผู้เดียว  แต่คนอื่นจะต้องตาย  เขาไม่ทำ  น้ำใจแบบนี้น่าจะหาเอามาเป็นผู้นำประเทศ  ผู้นำจังหวัด  ผู้นำหมู่บ้าน  ผู้นำตำบล  ถ้าพวกเราได้คนแบบนี้  ประเทศชาติจะมีความสุข

        เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ว่า  ข้าพเจ้าจะไม่ดูนางนั้น  ผู้ลอยอยู่เหนือกระแสน้ำได้  เพราะฉะนั้น  พวกท่านจงเอากระออมหมายความว่า  ที่ใส่น้ำ  เอาทรายใส่ให้เต็ม  ผูกไว้ที่คอ  โยนนางลงไปเสียในมหาสมุทร  ทั้งนี้ก็เพราะว่าข้าพเจ้าจะได้ไม่เห็นเขา  เมื่อคราวที่เขาลอยน้ำขอความช่วยเหลือ  เพราะเกรงว่าจะใจอ่อน  บรรดามนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น  ก็ได้กระทำตามนั้นแล้ว  เวลานั้นปรากฎว่า  ปลา  และเต่า  ก็รุมกินนางนั้น  ที่ตกไปในน้ำ  ( เวลานี้  คงเป็นเหยื่อของฉลาม  เป็นต้น )

        ในเมื่อภิกษุทั้งหลาย  ได้ฟังเรื่องเหล่านั้นแล้ว  ก็คิดว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์  คนละพวกกับพวกก่อน  เรื่องทั้งหลายเหล่านี้  ความจริงภรรยาของนายเรือก็อยู่ดีๆ  ไม่ได้ทำความผิด  ปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบทุกอย่าง  ตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี  และตามหน้าที่ของแม่บ้าน  แต่ทว่าจู่ๆเขาก็หาว่า  เธอเป็นกาลกิณี  เจ้ามือระยำนี้มันก็แปลก  มันก็ดันไปหยิบเอาสลากขึ้นมาได้  สลากนั้นเขามีความหมายว่า  คนที่ไม่ดีเท่านั้น  จะต้องเป็นผู้ถือสลากนี้  แต่บังเอิญยอดนารี  เธอก็จับได้ถึง  3  ครั้ง

        ถ้าคิดว่า  คนอื่นใจร้าย  มันก็ไม่ถูก  ถ้าคิดว่า  คนอื่นใจดี  พิจารณาตามถูกตามควร  ก็บังเอิญเป็นเคราะห์กรรมไปจับถูกสลากนั้นเข้า  มันก็ไม่ควรเหมือนกัน  เป็นอันว่า  การกระทำของบุคคลทั้งหลาย  ( ชาวเรือนั้น )  จะผิด  หรือจะถูก นางจะเป็นคนกาลกิณีจริง  หรือไม่จริง  ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  พากันคิดว่า  เรารู้ไม่ได้  นอกจากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  ไม่มีใครรู้แน่

        ฉะนั้น  เมื่อพวกเราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  พวกเราจะทูลถามเนื้อความนี้แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เป็นอันว่า  เป็นรายที่สองแล้ว  ตายหาความผิดไม่ได้  ทีนี้มาอีกตอนหนึ่ง  ในสูตรเดียวกัน  ท่านกล่าวว่า

        ภิกษุ  7  รูป  อีกพวกหนึ่ง  ( พวกที่แล้วๆ  มาสองพวก  ไม่บอกจำนวนพระ )  ท่านบอก  ภิกษุอีกพวกหนึ่ง  มีจำนวน  7  รูป  ไปจากปัจจันตชนบท  เพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  คำว่า ปัจจันตชนบท  หมายถึง  ประเทศชายแดนอยู่ในป่า  ไกลจากความเจริญ

        ในเวลาเย็น  ท่านเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง  เพื่อจะขออาศัยที่พัก  จึงได้ถามว่า  ที่พักมีไหมขอรับ  ปรากฎว่า  ที่วัดแห่งนั้น  มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง  มีเตียงอยู่  7  เตียงพอดี  พระท่านมา  ก็มา  7  องค์  คล้ายๆกับคนเขาตั้งท่าคอยเข้าไว้  เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแลเห็นถ้ำนั้นแล้ว  และก็เข้าไปในถ้ำ  นอนบนเตียงนั้น  ในตอนกลางคืน  แผ่นหินเท่าเรือนยอด ( เรือนยอด  คือ  เรือนยอดแหลม  เรือนใหญ่ๆ )  ได้กลิ้งมาปิดประตูถ้ำไว้

        บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายเจ้าของถิ่นจึงกล่าวว่า  พวกเราให้ถ้ำนี้แก่ภิกษุอาคันตุกะ  หมายความว่า  เราให้พระที่เดินทางมา  นอนอยู่ในถ้ำนี้  แต่ทว่าก้อนหินก้อนใหญ่นี้  มันมาปิดประตูเสียแล้ว  พวกเราจะนำแผ่นหินนี้ออก  จึงได้พากันประชุมพวกชาวบ้านบ้าง  พระบ้าง  ภิกษุสามเณรทั้งหลายบ้าง  จากบ้านรวมทั้งหมดด้วยกัน  7  ตำบลด้วยกัน  เพราะก้อนหินใหญ่มาก  ใช้ความพยายามอยู่เพื่อจะให้หินนั้นออก  หินมันก็ไม่ยอมออก  เพราะหินก้อนมันใหญ่  จะทำอย่างไรๆ  มันก็ไม่เขยื้อนออกไปได้  ( ใช้คนถึง  7  ตำบล )

        แม้บรรดาพวกภิกษุที่เข้าไปอยู่ภายใน  บรรดาพวกภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเหล่านั้น  ที่อยู่ข้างใน  ก็พยายามเหมือนกัน  พยายามเพื่อจะผลักหินให้พ้นออกไป  แต่ก็ไม่อาจที่จะให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนออกไปได้  ตลอดเวลา  7  วัน

        เป็นอันว่า  พระทั้งหลายเหล่านั้น  ต้องถูกขังอยู่  7  วัน  ชาวบ้าน  7  ตำบล  พระด้วย  เณรด้วย  และพระที่อยู่ภายในอีก  7  องค์  ดันกันไป  ดันกันมา  เพื่อที่จะให้หินก้อนนั้นออก  มันก็ไม่ยอมออก  เป็นอันว่า  พระทั้งหมดข้างใน  อดข้าว  7  วัน  พระข้างนอกกับชาวบ้าน  ก็ทำงานครบ  7  วัน  บรรดาพระอาคันตุกะทั้งหลายที่อยู่ในนั้น  ก็เกิดความหิวแผดเผาตลอด  7  วัน  ( การไม่ได้บริโภคอาหาร  7  วัน  ก็ต้องคิด )  ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างหนัก

        เป็นอันว่า  ในวันที่  7  หินก็กลิ้งออกไปเองอย่างแปลกประหลาด  ไม่มีใครเขาดัน  เวลาดันหินไม่ไป  แต่เวลาครบ  7  วัน  ไม่มีใครเขาผลักเขาดัน  หินไปเอง  บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในนั้น  ออกมาแล้ว  ต่างคนต่างคิดว่า  นี้เป็นบาปของพวกเรา  บาปประเภทนี้  มันปรากฎขึ้นได้อย่างไร  ในชาตินี้กรรมใหญ่ของเราก็ไม่ได้ทำอะไร  เมื่ออยู่กับพ่อกับแม่  อยู่กับบิดามารดา  ก็มีความรัก  เคารพบิดามารดาทุกอย่าง  จะมีการดื้อ  การด้านบ้าง  ก็เล็กๆ  น้อยๆ  พอสมควร  แต่ทำไมเราจึงต้องมารับบาปกรรมขนาดอดข้าวอยู่ถึง  7  วัน  อดเฉยๆ  ก็ไม่เป็นไร  ต้องออกแรงดันหินด้วย  หินมันก็ไม่ไป

        แต่ว่าเมื่อครบ  7  วันแล้ว  ไม่มีใครทำอะไรกับหิน  พระข้างนอก  คนข้างนอก  ก็คิดว่า  พระ  7  องค์นั้น  ตายแน่  ก็เลยหมดกำลังใจที่จะทำอะไร  เขาก็ไม่ทำกัน  พระในถ้ำ  7  องค์นั้นก็หมดแรงที่จะดันหิน  หินนั้นก็เปิดไป  มันก็กลิ้งไปเอง  ท่านคิดว่า  พวกเราบาปหนัก  แต่กรรมประเภทนี้  นอกจาก  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้  หากว่าเราจะได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร  จะต้องทูลถามเรื่องนี้  ให้พระศาสดาทรงพยากรณ์

        เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นออกมาแล้ว  ก็เดินทางต่อไป  บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  เมื่อเวลามาถึงสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง  หมายความว่า  ก่อนจะถึง  เดินมารวมกันได้เองอย่างไม่มีการนัดหมาย  ก็เลยร่วมกันเป็นคณะเดียวกัน  เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  ถวายบังคม  แล้วนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว

        ในขณะนั้น  องค์สมเด็จพระพิชิตมารกระทำพุทธปฏิสันถาร  ทักทายปราศรัยแล้ว  บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  จึงได้ทูลถามเหตุที่ตนเห็นมา  และที่ตนได้เสวยมาแล้วตามลำดับ  ( หมายความว่า  พระสองพวกแรกถามเหตุของกา  เหตุของหญิงเมียนายเรือ  บรรดาพระพวกหลังก็ถาม  เหตุที่ตนต้องอดข้าวถึง  7  วัน  เพราะอาศัยหินเจ้ากรรมมันทำเหตุ )

        ลำดับนั้น  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  จึงได้ทรงพยากรณ์กับบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  กานั้นเสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้  ( หมายความว่า  กาที่บินมาในอากาศ  ที่ต้องตาย  เพราะเอาคอเข้าไปสวมเสวียนที่มีไฟลุกโชน  แล้วก็ถูกไฟไหม้  เพราะอาศัย  กรรมที่ตนทำไว้แล้วในชาติก่อน )  หลังจากนั้น  องค์สมเด็จพระชินวรจึงได้มี  พระพุทธฎีกาตรัสว่า

        ในอดีตกาล  มีชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี  เขาพยายามฝึกโค  คือ  วัวของเขา  สำหรับไถนา  สำหรับใช้งานอยู่ตัวหนึ่ง  แต่ว่าเจ้าวัวตัวนี้มันก็แปลก  มันเป็นวัวดื้อ  วัวด้าน  ไม่สามารถจะฝึกได้  เพราะว่าวัวของเขาตัวนั้น เดินไปได้หน่อยหนึ่ง  แล้วมันก็นอนเสีย  ให้มันทำงาน  ใช้ไถนา  ใช้ลากเกวียน  ใช้ลากล้อ  มันไปได้หน่อยหนึ่ง  มันก็นอน  เจ้าของเขาก็ทุบตี  ไล่ให้มันลุกเดิน  มันก็เดินไปได้หน่อยหนึ่ง  แล้วมันก็นอนเหมือนอย่างเดิม  ชาวนานั้นโกรธ  แม้จะพยายามฝึกแล้ว  ฝึกเล่า  มันก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม  จึงได้บอกกับวัวว่า  ดีละ  เจ้าวัวตัวดื้อ  บัดนี้  เจ้านอนสบายที่ตรงนี้แล้ว  จงนอนสบายต่อไป  ( คือไม่ต้องลุกจากที่นี้แล้ว )

        ฉะนั้น  เขาจึงได้นำท่อนฟืนบ้าง  ฟางบ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เอาฟางมาทำป็นเสวียน  พันคอโคนั้น  ก่อนที่จะจุดไฟ  เขาเอาฟืนท่อนเล็กๆ  ทับ  ลงไปที่ตัวโคก่อน  แล้วเอาฟางกลุ่มใหญ่มาผูกคอโค  แล้วก็ทับไปที่คอโค  แล้วก็จุดไฟ  ไฟก็ลุกโชนขึ้น  คลอกโคตัวนั้นถึงแก่ความตาย บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็ทราบ  กรรมที่กาตัวนั้นพึงต้องถูกกระทำ

        องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า  ภิกษุทั้งหลาย  กรรมอันเป็นบาปนั้น  อันกานั้นทำแล้วในครั้งนั้น  ( คือสมัยที่เขาเกิดเป็นคนเผาโค )  ตัวเขาเองต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน  เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น  เกิดขึ้นแล้ว  ในกำเนิดแห่งกา  7  ครั้ง  ( หมายความว่า  เผาโคครั้งดียว  แต่เขาต้องเกิดเป็นกา  7  ครั้ง  แล้วก็ถูกเผาแบบนี้โดยไม่มีเจตนาของใครถึง  7  ครั้งด้วยกัน )  และก็ตายในอากาศแบบนี้หมือนกัน  ด้วยผลของกรรม  ที่ปรากฎในกาลก่อน

        เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงพยากรณ์เรื่องของกา  ที่ถูกเสวียนไฟคล้องคอตายแล้ว  บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  ที่พบหญิงภรรยาของนายเรือ  ที่ถูกจับถ่วงน้ำ  จึงได้กราบทูลผลของกรรม  แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  หญิงภรรยานายเรือนั้น  เพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ  พระพุทธเจ้าข้า  จึงได้กลายเป็นคนกาลกิณี  เรือวิ่งมาเฉยๆ  แล้วก็หยุด  ไม่สามารถจะทำอะไรให้เรือเคลื่อนไปได้  ทั้งๆที่ใบก็กางอยู่  และลมก็มี  เป็นเหตุให้บุคคลทั้งหลายหล่านั้น  มีความสงสัยว่า  จะมีคนกาลกิณีเกิดขึ้นในเรือ  แล้วจึงได้จับสลากกัน  สลากสำหรับคนกาลกิณีมีใบเดียว  เขาทำครบทุกคน  เมื่อจับแล้วเธอก็ถูกสลากนั้นถึง  3  วาระ  ในที่สุด  ก็จำจะต้องถูกจับถ่วงน้ำ  ถึงแก่ความตาย

        เมื่อบรรดาภิกษุทั้งหลาย  กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จึงนำมาซึ่งอดีตกรรม  ความมีอยู่ว่า

        ในอดีตกาลนานมาแล้ว  หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของคหบดีคนหนึ่ง  ในกรุงพาราณสี ได้กระทำกิจทุกอย่าง  มีการตักน้ำ  ซ้อมข้าว  ปรุงอาหาร  เป็นต้น  ด้วยมือของตนเอง  หมายความว่า  เธอเป็นคนขยัน  นางเองมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง  สุนัขของนางตัวนั้น  มีความจงรักภักดีต่อนางมาก นั่งแลดู  นางนั้น  ผู้ทำกิจทุกอย่างในเรือน  หมายความว่า ไม่ว่านางทำอะไร  สุนัขตัวนั้น  ก็มองดูอยู่ตลอดเวลา  มันมีความจงรักภักดี  เมื่อนางนำเอาข้าวปลาอาหาร  ไปนาก็ดี  นำไปส่งสามีเวลาทำนา  เจ้าสุนัขตัวนั้นมันก็ไปด้วย  เวลาที่นางจะไปป่า  ต้องการจะหาวัสดุต่างๆ  มีฟืน  และผัก  เป็นต้น  เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ไปกับเธอเสมอๆ  เป็นอันว่า  สุนัขมีความจงรักภักดีในเธอ  ถือว่าเป็นนายที่น่ารัก  เป็นนายที่มีเมตตาของมัน

        บรรดาคนหนุ่มทั้งหลาย  เห็นว่าเวลานางไปไหน  ก็มีสุนัขตามไปด้วย  ก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า  พวกเราเว๊ย  มาดูพรานสุนัขผู้หญิง  นางพรานสุนัขมาแล้ว  จะไปทางไหนก็ตาม  ย่อมนำสุนัขไปเสมอๆ  วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับเนื้อ  ( คำว่า  พรานสุนัข  หมายความว่า  พรานเขามีสุนัขเป็นครื่องมือ  เวลาจะไปไล่เนื้อ  ก็ให้สุนัขไล่กัด  ไล่เนื้อเข้ามา  เมื่อสุนัขต้อนเนื้อเข้ามาทางพราน  พรานก็ยิง  หรือว่าเนื้อไปทางสุนัข  สุนัขก็กัด  แกก็ล้อเลียนว่า  วันนี้เราจะกินข้าวกับเนื้อ  เพราะว่านางพรานสุนัขจะนำเนื้อมาขาย  หรือนำเนื้อมาแจกกับพวกเรา )  จะไปทางไหนก็ตาม  เจ้าหนุ่มๆทั้งหลายเหล่านั้น  มันก็ล้อ  มันก็เลียน  นางก็เกิดความขวยเขิน  ละอายต่อคำพูด  ของบรรดาพวกชนทั้งหลายเหล่านั้น

        ตอนนี้มาถึงกรรม  ด้วยความอาย  ลืมนึกไปว่า  สุนัขตัวนั้นมันมีความจงรักภักดี  ที่ไปอย่างนี้ก็เพราะว่า  ตามธรรมดา  สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์  เราจะตี  เราจะด่า  เราจะลงโทษมันประการใดก็ดี  สำหรับสุนัข  ประเดี๋ยวมันก็เดินเข้ามาประจบประแจง  ในภาษิตบางส่วน  หรือคนบางท่าน  ได้กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า  ความกตัญญูรู้คุณ  บางทีสุนัขจะดีกว่าคนหลายคน  เพราะคนหลายคน  ที่เราบำรุงบำเรอด้วยดี  เขาก็มีความรัก  ถ้าผิดใจนิดเดียว  เขาอาจจะฆ่าเราได้

        นางอายแก่ใจแบบนั้นแล้ว  แทนที่จะคิดเป็นอย่างอื่นว่า  สุนัขตัวนี้มีความจงรักภักดีแก่ตน  กลับประหารสุนัขตัวนั้นเสีย  คำว่า  ประหาร  หมายความว่า  ขว้างบ้าง  ตีบ้าง  ขว้างด้วยก้อนดินบ้าง  ตีด้วยท่อนไม้บ้าง  เป็นต้น  ให้สุนัขนั้นหนีไป  สุนัขไปแล้ว  มันก็ไม่รู้ว่า  นายของมันไล่ทุบ  ไล่ตีมัน  ด้วยความผิดอะไร

        ต่อมาท่านบอกว่า  ได้ยินว่า  สุนัขตัวนั้น  เคยป็นสามีของนางในชาติก่อน  ที่สุนัขนี้ติดตาม  มีความจงรักภักดี  ก็ต้องคิดเหมือนกัน  บรรดาท่านพุทธบริษัท  องค์สมเด็จพระภควันต์กล่าวว่า  สุนัขตัวนั้น  ได้เคยเป็นสามีของนางในชาติก่อนๆ  มาถึง  3  ชาติด้วยกัน  เพราะเหตุฉะนั้น  มันจึงไม่อาจที่จะตัดความรักในนางได้  เมื่อนางจะขว้าง นางจะตี  นางจะไล่  ประการใดก็ตามที  เมื่อนางหยุด  นางไปไหน  มันก็ตามไปด้วยความจงรักภักดี  ต่อไป  ตามพระบาลี  ท่านกล่าวว่า

        จริงอยู่  ใครๆ  ชื่อว่าไม่เคยเป็นเมีย  หรือว่าเป็นผัวกัน  ( ศัพท์ภาษาเพราะหน่อยเขาเรียก  เป็นสามีภรรยากัน  แต่ว่า  บาลีท่านบอกชัดว่า  ไม่เคยเป็นผัวป็นเมีย )  มาในกาลก่อน  ในสงสารอันมีที่สุด  อันบุคคลไปตามไม่รู้แล้ว  ( หมายความว่า  ในอัตภาพต่างๆ  ที่เราเกิดมานี้  มันใช้เวลานานมาก  ใช้เวลานับเป็นแสนๆกัป  แต่ละกัปๆ  บางทีเราอาจจะเกิดตั้ง  2  ครั้ง  3  ครั้ง  วนกันไป  วนกันมา  ท่านจึงกล่าวว่า  ผู้หญิง  และผู้ชาย  ที่เกิดมาในชาตินี้ทั้งหมด  ที่ไม่เคยเป็นสามี  ไม่เคยเป็นภรรยากัน  ไม่มี  อาจจะเคยสัมผัสผ่านกันมา  ในบางวาระ  ครั้งหนึ่ง  หรือสองครั้ง  หมายความว่า  ในชาติหนึ่ง  หรือสองชาติสามชาติก็ได้  เพราะการเกิดของเรา  เป็นล้านๆครั้ง  ไม่ใช่เป็นแสนๆครั้ง  นับเป็นร้อยๆล้านครั้งก็ได้  เพราะการเกิดมันนับไม่ถ้วน  เป็นคนบ้าง  เป็นสัตว์บ้าง  เป็นเทวดา  เป็นพรหมบ้าง  เป็นสัตว์ในอบายภูมิบ้าง  โดยเฉพาะที่มาเกิดเป็นคน  มันก็นับไม่ถ้วน )

        ท่านกล่าวว่า  ถึงกระนั้น  ความรักมีประมาณยิ่ง  ( หมายความว่า  ความรักที่มีความชิดเชื้อมาในกาลก่อน  เคยป็นสามีภรรยากันในกาลก่อน  มันมีประมาณมากอย่างยิ่ง )  ท่านกล่าวต่อไปว่า  ย่อมมีในผู้ที่เป็นญาติกัน  ในอัตภาพไม่ไกล  ( หมายความว่า  บางคนในชาตินี้  เกิดต่างพวกต่างพ้อง  ต่างพี่ต่างน้อง  ต่างบิดามารดา  แต่ว่าในกาลก่อน  เคยป็นญาติกันมา  ก็เกิดความรักกันได้  พอได้ยินชื่อ  ก็นึกรักคนนั้นขึ้นมาทันที  เหมือนกับว่า  เป็นพี่เป็นน้องกัน  อย่างนี้  เป็นต้น  เรื่องนี้ก็ปรากฎแก่บุคคลหลายคน  เพราะว่าบางทีเราไม่เคยเห็นหน้าเขา  แต่ว่าเคยได้ยินชื่อว่า  คนนั้นคนนี้  เราก็เกิดความพอใจ )

        องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า  เพราะเหตุนั้น  สุนัขตัวนั้น  จึงไม่อาจที่จะละนางได้  ถึงนางจะทุบ  จะตี  เป็นประการใดก็ตาม  เขาก็ไม่โกรธนาง  แสดงความจงรักภักดี

        ปัจจัยอันนี้เอง  บรรดาท่านทั้งหลาย  องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า  เป็นเหตุให้  นางโกรธสุนัขนั้น  เมื่อนำข้าวยาคูไปเพื่อสามีที่นาแล้ว  นางจึงเอาเชือกใส่ไว้ในชายพก แล้ว  จึงเดินทางไป  สุนัขตัวนั้น  เห็นนายที่เป็นที่รักของมัน  คือ  ภรรยาในอัตภาพชาติก่อนๆ  ไปแล้ว  มันก็ไปกับนางเหมือนกัน  ตามนางไป  ไปไหนมันก็ตามไปด้วย  นางให้ข้าวยาคูแก่สามีแล้ว  ถือเอากระออมเปล่า  ( วันนี้วางแผนฆ่าสุนัข  เวลาที่จะเอาข้าวไปให้สามี  ก็เอาเชือกไปด้วย  เมื่อเอาข้าวไปให้สามีแล้วก็ถือกระออมเปล่า )  ไปสู่แม่น้ำแห่งหนึ่ง  เมื่อไปถึงริมแม่น้ำแล้ว  นางก็ตักทรายใส่กระออมจนเต็ม  ( จะได้มีน้ำหนักมากๆ )  แล้วจึงได้ให้สัญญา  เรียก  สุนัขตัวซื่อสัตย์เข้ามา  ( คือ  สามีเก่าของนาง )  ให้มายืนอยู่ในที่ใกล้ๆ  เจ้าสุนัขก็ดีใจว่า  วันนี้เจ้านายใจดี  อุตส่าห์เรียกเข้ามา  มันจึงเข้ามาหา  ด้วยความดีใจ

        แล้วนางจึงได้กล่าวว่า  นี่เธอ  มันนานแล้วนะ  ที่เราได้รับการเยาะเย้ยจากพวกชาวบ้านต่างๆ  ก็เพราะตัวเจ้านี้เป็นสำคัญ  ในวันนี้  เจ้ากับเรา  เห็นจะต้องจากกันเสียแล้ว  ความจริง  นางพูด  เจ้าสุนัขมันไม่รู้  มันดีใจ  ที่นายพูดกับมัน  แต่มันไม่รู้ว่าพูดว่าอย่างไร  สุนัขมันเข้าใจเพียงสัญญา  เรียกมันมา  มันก็มา  จะให้มันกิน  มันก็กิน  มันจำสัญญาบางอย่างเท่านั้น

        เจ้าสุนัขกระดิกหาง  ดีใจหูรี่  หมอบอยู่ข้างๆนาง  นางจึงได้จับเจ้าสุนัขตัวนั้น  ( จับก็ไม่ต้องจับแรง  ท่านบอกว่า  ใช้มือจับอย่างมั่นที่คอแล้ว  หมายถึง  ลูบๆ  คลำๆ  จับมัน  มันก็ยอมให้จับแต่โดยดี )  จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมที่ใส่ทรายจนเต็ม  แล้วเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข  เมื่อทำเสร็จ  ( จะทำอย่างไรเจ้าสุนัขมันก็ยอม  เพราะมันมีความรัก ) จึงได้ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ  กระออมมันหนัก  เจ้าสุนัขตัวนั้น  ก็ตามกระออมลงน้ำไปด้วย  เพราะเชือกผูกคอมันอยู่  เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ถึงกาละ  ( คือ  ตาย )  ในที่นั้นเอง

        องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า  เพราะอาศัยกรรมเพียงเท่านี้  นางนั้นต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน  เพราะกรรมที่ฆ่าสัตว์  และ  เพราะอาศัยผลของกรรมนั้น  ( คำว่า  วิบาก  แปลว่า  ผล )  ด้วยผลของกรรมที่เหลือ  คือ  เศษกรรมที่เหลืออันนั้น  ที่นางเอากระออม  ที่เต็มไปด้วยทราย  ผูกคอสุนัขถ่วงน้ำ  นางต้องตายเพราะเหตุที่เขาถ่วงน้ำแบบนี้สิ้นมาแล้ว  100  ครั้ง  ( คือ  100  อัตภาพ )

        นี่เป็นกฎของกรรมที่เรามองไม่เห็น  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ฉะนั้น  เกิดมาในชาตินี้  ถ้าบังเอิญจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง  เป็นปัจจัยให้เรามีทุกข์  ทั้งๆที่เราพิจารณาแล้วว่า  กรรมความชั่วประเภทนี้  ไม่มีสำหรับเรา  ถ้า  เรามีความสงสัยอย่างนั้น จงคิดถึงเรื่องกา  กับเรื่องหญิงซึ่งเป็นภรรยาของนายเรือนี้ก็แล้วกัน  ว่า  กรรมเก่าที่เราทำมาแล้ว  เรามองไม่เห็น  ชาตินี้ถึงแม้ว่าเราจะทำความดีเพียงใดก็ตามที  ก็เป็นเรื่องยาก  ที่เหล่าเราทั้งหลาย  จะทราบว่า  กรรมทั้งหลายเหล่านั้น  มันมาเพราะอะไร  ทั้งนี้ก็ต้องอาศัย  ท่านผู้ได้ฌานสมาบัติ  ต้องเป็น  โลกุตตระฌาน  จึงจะสามารถทราบเหตุการนี้ได้โดยแท้  ถ้าเป็น  โลกียฌาณ  ก็ไม่แน่เหมือนกัน  เพราะอุปทานมันกิน

        เป็นอันว่า  เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพยากรณ์กฎของกรรม  กับบรรดาภิกษุพวกที่สอง  ที่ปรารภถามถึงภรรยาของนายเรือแล้ว  บรรดาภิกษุ  7  รูป  จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า  ที่พวกข้าพระพุทธเจ้า  ต้องติดอยู่ในถ้ำถึง  7  วัน  เพราะอาศัยหินใหญ่นั้น  ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น  กลิ้งทับอยู่หน้าถ้ำ  คน  7  ตำบล  ก็มีจำนวนไม่น้อย  ก็ไม่สามารถจะทำหินให้เคลื่อนไปได้  พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ก็ช่วยกันดัน  หินก็ไม่เขยื้อน  ต้องอดอาหาร  ทรมานร่างกายอยู่ถึง  7  วัน

        เมื่อครบ  7  วันแล้ว  หินนั้น  ก็เคลื่อนไปเฉยๆ  เป็นเรื่องอัศจรรย์  ขอองค์สมเด็จพระพิชิตมาร  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้โปรดมีพระมหากรุณาธิคุณ  สงเคราะห์บอกกรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด  พระพุทธเจ้าข้า

        องค์สมเด็จพระมหากรุณา  จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  กรรมนี้มีอยู่  เราจะกล่าวให้ฟัง  ในอดีตกาล มีเด็กเลี้ยงโค  7  คน  เป็นชาวกรุงพาราณสี  เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ  7  วัน  ในประเทศใกล้ดงแห่งหนึ่ง  ( หมายความว่า  ไปเลี้ยงอยู่ใกล้ๆบ้านไม่ไกลนัก  ไปครั้งละ  7  วันจึงกลับ )

        วันหนึ่ง  เที่ยวไปเลี้ยงโคแล้ว  กลับมาพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง  ( เวลากลับจากเลี้ยงโค  พบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง  เห็นเหี้ย  ก็เลยอยากจะกินเนื้อเหี้ย )  เจอะเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง  จึงได้พากันไปไล่ตาม  เหี้ยหนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง  เหี้ยมันกลัวตาย  และจอมปลวกแห่งนั้น  ก็มีช่องอยู่  7  ช่อง  เหี้ยตัวนั้นเข้าไปอยู่เข้าในช่องใดช่องหนึ่งแล้ว  ก็อาจจะออกช่องใด  ช่องหนึ่งก็ได้  เพราะจอมปลวกมี  7  ช่อง  ศูนย์กลางข้างในเป็นโพรง  ( หมายถึงเป็นทางออกได้  เป็นทางเข้าได้ )

        บรรดาเด็กทั้งหลายเหล่านั้นปรึกษาหารือกันว่า  บัดนี้พวกเราไม่สามารถจะจับเหี้ยตัวนี้ได้เสียแล้ว  มันเข้าไปอยู่ในช่องจอมปลวกใหญ่  วันพรุ่งนี้เราจึงมาจับมัน  ปรึกษากันอย่างนี้แล้ว   ต่างคนต่างก็ถือเอากิ่งไม้ที่หักๆ  เอามาคนละกำ  สองกำ  รวมด้วยกันทั้ง  7 น  ก็พากันอุดช่องโพรงของจอมปลวกนั้น  7  ช่อง  อุดเสียให้แน่น  ให้เหี้ยออกมาไม่ได้ พออุดแล้ว  ก็กลับไป

        ในวันรุ่งขึ้น  เด็กทั้งหลายเหล่านั้นลืม  ไม่ได้นึกถึงเหี้ยนั้นเลย  เพราะว่าเวลามาเลี้ยงควาย  เลี้ยงวัว  เลี้ยงคราวละ  7  วัน  คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะมา  เธอก็ลืมไป  และต้อนโคไปกินที่อื่น  เธอก็ไม่ได้นึกถึงเหี้ย

        ครั้นวันครบที่  7  พาโคกลับมาบ้าน  เมื่อพบจอมปลวกอันนั้น  กลับคิดขึ้นมาได้ว่า  เราอุดเหี้ยไว้ในโพรงจอมปลวกอันนี้  เจ้าเหี้ยตัวนั้น  มันจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้  ตายแล้วหรือยังก็ไม่รู้  ตั้ง  7  วันแล้ว  จึงได้พากันไปเปิดช่องที่ตนอุดไว้แล้ว  7  ช่องด้วยกัน  คนละช่องๆ

        สำหรับเหี้ยที่อยู่ในโพรงนั้น  มันอดอาหารตั้ง  7  วัน  ก็หมดอาลัยในชีวิต  เหลือแต่กระดูก  และหนัง  คลานสั่นออกมา  ( หมายความว่า  มันหมดเรี่ยว  หมดแรง  ตัวก็ผอมลงไป  เพราะการอดข้าวอดน้ำ  อาหารก็ไม่มี  น้ำก็ไม่มีจะกิน  มันก็หมดอาลัยในชีวิต  คิดว่า  คราวนี้ตายแน่  หมดอาลัย  เวลาที่เด็กทั้งหลายเหล่านั้นเปิดช่อง  เห็นช่องโผล่  มีช่องพอจะออกได้ก็เดินออกมา  ด้วยความหมดเรี่ยวหมดแรง )  เด็กทั้งหลายเหล่านั้น  เห็นดังนั้นแล้ว  จึงได้ทำความเอ็นดู  พูดกันว่า  ทีแรกเจ้าเหี้ยตัวนี้มันอ้วน  พวกเราจะฆ่ามันกินเนื้อ  แต่เวลานี้  เจ้าเหี้ยตัวนี้มันมีแต่หนังหุ้มกระดูก  ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  ถ้าเราจะฆ่ามันให้ตาย  เอาเนื้อไปกิน  เนื้อมันก็ไม่มี  ทั้งนี้ก็เพราะว่า  มันอดเหยื่อของมันถึง  7  วัน  จึงได้แสดงความรักในเหี้ยนั้น  เกิดความสงสาร  จึงได้ลูบหลังเหี้ยตัวนั้น  แล้วก็ปล่อยไป  เวลาเขาจะปล่อย  เขาก็บอกกับเหี้ยว่า  จงไปตามสบายของเจ้าเถิด

        องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  จึงได้ตรัสต่อไปว่า  ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เด็กทั้งหลายเหล่านั้น  ไม่ต้องไหม้ในนรกก่อน  เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย  หมายความว่า  เด็กทั้งหลายเหล่านั้น  ที่ทรมานเหี้ยไม่ต้องตกนรก  ไม่เหมือนกับกา  ไม่เหมือนกับภรรยาของนายเรือ  ( ท่านบอกว่า  เด็กทั้งหลายเหล่านั้น  ไม่ต้องไหม้อยู่ในนรก  เพราะไม่ได้  ฆ่าเหี้ยนั้น )  แต่ชนทั้ง  7  นั้น  คือ  บรรดาเด็กทั้ง  7  นั้น  ได้เป็นผู้ต้องอดข้าว  อดน้ำ  ตลอด  7  วัน  มาถึง  14  อัตภาพ  ( หมายความว่า  เกิดมาแล้ว  14  ชาติ  หลังจากตายชาตินั้น  ก็มาเกิดเป็นคน  แต่เกิดเป็นคนก็ต้องมาอดข้าวแบบนี้  มา  14  ชาติแล้ว )

        องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า  ภิกฺขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  กรรมนั้น  พวกเธอได้เป็นเด็กเลี้ยงโค  ( หมายความว่า  พระ  7  องค์นั้น  เป็นเด็กเลี้ยงโค )  ได้ทำกรรมนั้นแล้ว  ในกาลนั้น  เป็นอันว่า  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพยากรณ์ปัญหา  อันภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลถามแล้ว  ด้วยประการ  ดังนี้

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ขึ้นชื่อว่า  กฏของกรรมในชาติก่อน  เราไม่สามารถจะเห็นได้  สำหรับเรื่องนี้ยังไม่จบ  เหลืออีกนิดหนึ่ง

        ในครั้งนั้น  ภิกษุรูปหนึ่ง  กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์  ที่ทำกรรมเป็นบาปไว้แล้ว  ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี  แล่นอยู่ในมหาสมุทรก็ดี  เข้าไปอยู่ในซอกแห่งภูเขาก็ดี  หรือประการใดพระพุทธเจ้าข้า  หมายความว่า  ภิกษุรูปนี้สงสัยว่า  คนที่สร้างกรรมชั่วแบบนี้  ถ้าเขาจะเหาะไปในอากาศ  หรือนั่งเรือไปในทะเล  หรือหนีเข้าไปอยู่ในซอกเขา  เขาจะหนีได้ไหม  พระเจ้าข้า  ( พระรูปนี้ท่านก็ถามแปลก  ท่านคิดว่า  กรรมนั้นมันเป็นวัตถุ  หรือกรรมเป็นคนไล่ติดตาม  หรือกรรมเป็นผีติดตาม  แต่ความจริงกรรมนั้น  เป็นความชั่วที่ติดตามใจ  ไม่ได้ติดตามกาย  ถ้าใจของเราไปอยู่ที่ไหน  มันก็ไปด้วย  เธอไม่ได้คิด )  ต่อไปขอได้โปรดฟัง  คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร  ท่านตอบว่าอย่างไร

        ในขณะนั้น  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  จึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า  อย่างนั้นแหละ  ภิกษุทั้งหลาย  หมายความว่า  แม้คนทั้งหลายเหล่านั้น  เขาจะอยู่ในอากาศก็ดี  หรือว่าจะไปในทะเล  มหาสมุทรก็ดี  จะอยู่ในซอกเขาลำเนาไพรที่ไหนก็ได้  กรรมทั้งหลายเหล่านั้น  ย่อมติดตามเขาไปอยู่ตลอดเวลา  ไม่พึงสามารถจะพ้นกรรมชั่วไปได้  เมื่อจะทรงสืบ  อนุสนธิพระธรรมเทศนา  พระองค์จึงตรัสบาท  พระคาถาว่า

        คนที่ทำกรรมชั่วไว้  จะหนีไปในอากาศก็ดี  ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้  หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร  ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมแห่งความชั่วที่ตนทำไว้แล้วได้  จะหนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา  ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วที่ตนทำไว้แล้ว  ทั้งนี้เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด  พึงพ้นจากกรรมชั่วนั้นได้  ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น  หามีอยู่ไม่

        เป็นอันว่า  เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสอย่างนี้แล้ว  เมื่อเวลาจบพระธรรมเทศนา  บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  ก็ได้บรรลุมรรคผล  มีพระโสดาบัน  เป็นต้น  พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงมีประโยชน์  แม้แต่มหาชนผู้ประชุมกัน  ทั้งนี้ก็หมายความว่า  เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์  หรือเวลาที่พระทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ก็ไม่ได้มีอยู่แต่พระ  มีบรรดาประชาชนทั้งหลาย  ส่วนใหญ่เข้าไปนั่งรอฟังเทศน์อยู่  เมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูทรงแสดงพระธรรมเทศนา  แก้ปัญหากฏของกรรม  3  ประการ  คือ

            กรรมของกา  เอาคอเข้าไปคล้องในเสวียนไฟ

             กรรมของหญิืงผู้เป็นภรรยาของนายเรือ  ถูกถ่วงน้ำ

             กรรมของบรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  ผู้ถูกขัง  7  วัน
ต้องอดอาหารจนเกือบจะตาย

        เมื่อ  องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแก้ปัญหา  ก็เกิดธรรมปีติแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง  ในที่สุด  เขาทั้งหลายเหล่านั้น  ทั้งพระ  ทั้งฆราวาส  ก็พากันบรรลุมรรคผล  เป็นพระอริยบุคคล  มีพระโสดาบัน  เป็นต้น  เป็นจำนวนมาก

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  การนำเอากรรมทั้งหลายเหล่านี้  มาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทได้รับทราบก็เพราะว่า  เวลานี้  มีคนส่วนใหญ่  เคยมาปรารภให้ฟังว่า  ชาตินี้ทำความดีทุกอย่าง  แต่ทำไมจึงเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์  คือ  มีทุกข์หลายประการเข้ามาเบียดเบียน  หากว่า  ท่านได้สดับเรื่องนี้แล้ว  ก็จงหวนนึกถึงตัวของท่านว่า  ความสำคัญที่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้น  อาจจะเป็นผลของกรรม  คล้ายๆกับท่านทั้งสาม  ที่กล่าวมาแล้วนี้ก็ได้

        สำหรับตอนนี้  ก็ต้องขอยุติเรื่องราวกฏของกรรม  ของคน  3  คน  ไว้  ณ  ที่นี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล  จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 15

โพสต์

[quote]พอใจอยู่ในลาภ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ไม่นึกว่าคนจะเข้ามาดูจน 300กว่าแล้ว  ต้องขอโทษเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านด้วยนะครับ ช้าไปหน่อย วันนี้ง่วงๆ มึนๆแล้ว นึกอะไรไม่ออกนะครับ  ด้วยความง่วง  ขอฝากเรื่องการฆ่าสัตว์ไว้นิดนะครับ  อย่าคิดว่าการที่เราฆ่าสัตว์เล็กๆ  อย่างฆ่ายุง  มันจะไม่บาปนะครับ  พอดีได้เคยได้ยินมาตอนขึ้นลิฟท์  เค้าตียุงแล้วพูดกับแฟนว่า  ต้องฆ่ามันก่อน ไม่งั้นมันฆ่าเรา  ฆ่าสัตว์แบบนี้ไม่บาปหรอก  ผมล่ะงงจริงๆ  ใครสอนมาก็ไม่รู้  การฆ่าสัตว์ในความคิดผมมันบาปทั้งนั้นล่ะครับ  ตัวกรรมมันเกิด  ไม่ว่าจะตั้งใจรึไม่  นี่ผมคิดเองนะ  เพราะยังไม่เคยอ่านเจอที่สอนตรงๆ  ไม่ว่า้เราเจตนารึไม่  กรรมมันเกิดแล้ว  แต่ถ้าไม่เจตนาศีลไม่ขาด  ครั้งหนึ่งผมเคยคิดเล่นๆว่า  เอาไว้ใช้กรรมหมดค่อยไปนิพพาน  แต่พอได้รู้มากขึ้น  ก็รู้ว่า  เป็นเรื่องยากมาก  หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้กรรมหมด  แล้วไปนิพพาน  เราต้องทำให้กรรมมันไล่เราไม่ทัน  รึว่าไม่มีโอกาสจะให้ผล  นั่นคือ  นิพพานซะเลย  ไว้มีโอกาสจะเอาเรื่องพระโมคคัลลาน์มาให้อ่านกันนะครับ  ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว  แต่กรรมก็ยังมาเล่นงาน  โดนทุบซะกระดูกละเอียด  ก่อนที่ท่านจะอธิษฐานให้กระดูกประสานกันด้วยฤทธิ์  แล้วไปลาองค์สมเด็จพระบรมครูเข้าพระนิพพาน  ชักยาวละครับ  เดี๋ยวไม่ได้ชาดก  การลดปาณาติบาต  จะทำให้อายุยืนขึ้นนะครับ  และสำหรับผม  ผมได้อารมณ์ที่เย็นลงด้วย  ลองดูนะครับ  ค่อยๆทำไป  ไม่ใช่ของยากครับ  แรกๆอาจจะมีบททดสอบเกิดขึ้น  เอาชนะให้ได้นะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 17

โพสต์

เอรกปัตตนาคราช

        ท่านสาธุชนทั้งหลาย  ตอนนี้มาพบกับเรื่อง  พญาเอรกปัตตนาคราช  สำหรับเรื่องราวตอนนี้  ถ้าจะกล่าวกันไปก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคล  เป็นมงคลเหมือนกัน  หมายถึงว่า  เกิดเป็นคน  บวชพระ  แล้วเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  มันไม่เป็นมงคลเฉพาะตัวท่านพญาเอรกปัตตนาคราช  แต่เห็นว่า  เป็นมงคลแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท  จึงได้นำเรื่องราวนี้มาแสดง  เพื่อให้บรรดาท่านพุทธบริษัทจะได้ทราบไว้  ทั้งนี้ก็เพราะว่า  ในปัจจุบัน  ญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านมักจะถือมติว่า  ชั่วชางชี  ดีช่างสงฆ์

        ถ้าหากว่าเราวางใจได้  ก็ไม่เป็นไร  แต่ว่าโทษร้ายมันเกิด  คือ  เราเข้าใจว่าพระธรรมเทศนาของ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นของประเสริฐ  ท่านที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา  ถ้าปฏิบัติตามพระธรรมวินัย  พวกเราให้นามว่า  พระ  ซึ่งแปลว่า  ประเสริฐ  ก็เลยคิดว่านักบวชในพระพุทธศาสนาประเสริฐไปทั้งหมด  จะทำอะไรก็ตามท่านทำดี  ทำชั่ว  ก็ช่าง  ถือว่า  ชั่วช่างชี  ดีช่างสงฆ์  แบบนี้ก็ไม่ตรงตามคติที่พระพุทธเจ้าต้องการ

        การที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  สอนบรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นพระ  เป็นเณรภิกษุณี  หรือสามเณรี  อุบาสก  อุบาสิกา  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ต้องการให้ประพฤติดี  ประพฤติชอบ  ประกอบไปด้วยกุศล  แล้วก็ทำจิตของตนให้พ้นจากกิเลส  เป็น  สมุจเฉทปหาน  ถ้าพระท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เราบำเพ็ญกุศลกับท่าน  เราก็เป็นผู้บริสุทธิ์ไปด้วย  ถ้าพระเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์  เราทำบุญกับผู้ไม่บริสุทธิ์  เราจะหาความบริสุทธิ์ได้ที่ไหน

        ในเวลานี้  จิตใจของบรรดาอุบาสก  อุบาสิกาทั้งหลายส่วนใหญ่  มักจะไปติดในด้านยศฐาน์บรรดาศักดิ์  และตำแหน่งหน้าที่  คิดว่า  ท่านมียศใหญ่  ตำแหน่งใหญ่  เป็นคนดี  แต่ไม่แน่นัก  บรรดาท่านพุทธบริษัท  เราจะต้องวัดกันด้วยพระธรรมวินัย  ถ้าหากว่าท่านผู้ใดปฏิบัติในด้านพระวินัยดี  ที่เรียกว่า  ศีลบริสุทธิ์  และมีจิตดี  คือ  มีอารมณ์เป็นสมาธิ  รักษาฌาณสมาบัติให้ตรงตัว  และในที่สุด  ทำลายความหมองมัวของจิตให้หมดไป  กล่าวคือ  ทำลายกิเลส  เป็น  สมุจเฉทปหาน  เป็นพระโสดาบัน  สกิทาคามี  อนาคามี  อรหันต์  นักบวชประเภทนี้แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร  ท่านเรียกว่า  พระ

        ถ้ายังไม่ถึงพระโสดาบันเพียงใด  ท่านยังไม่เรียก  พระ  ท่านเรียกว่า  สมมุติสงฆ์  ถ้าหากท่านทั้งหลายบูชาสมมุติสงฆ์
 ที่เขาสมมุติให้เป็นพระ  ตัวท่านเอง  เป็นอุบาสก  อุบาสิกา  ก็เป็น  อุบาสก  อุบาสิกา  ขั้นสมมุติเท่านั้นยังไม่ใช่ของจริง

        ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง  บำเพ็ญกุศลกับพระจริงๆ  ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป  ท่านทั้งหลายที่มีความเคารพในพระรัตนตรัย  ก็เป็นอุบาสก  อุบาสิกาจริงๆ  ไม่ใช่ของปลอม  อุบาสก  อุบาสิกา  แปลว่า  ผู้นั่งใกล้พระพุทธศาสนา  คือ  มีความเคารพในพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์อย่างแท้จริง  และผลแห่งการบูชา  พระพุทธพระธรรม  พระสงฆ์  ก็จะปรากฏแก่ท่านพุทธบริษัทชายหญิง  ตามที่กล่าวมาแล้ว  คือ  อย่างน้อยที่สุด  ถ้าชาตินี้ท่านไม่ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน  ดีไม่ดี  ถ้าพระพวกนั้นท่านเป็นพระอริยเจ้า  และท่านสอนตามแนวที่ท่านได้มา

        หากว่าท่านเป็น  พระโสดาบัน  ท่านก็จะแนะนำในระดับของพระโสดาบัน  ซึ่งเป็นของไม่ยาก  ทำได้ง่ายๆ  ทำจิตใจปลดเปลื้องจากกิเลสเล็กน้อยเท่านั้น  คือ  มีจิตอยู่ในขอบเขตของศีล  มีความเคารพในพระรัตนตรัยแน่นอน  มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์  ความรักยังมี  ความโลภยังมี  ความโกรธยังมี  ความหลงยังมี  แต่ทว่าอยู่ในขอบเขตของศีล  ท่านก็จะได้รับความดี  คือ  เป็นพระโสดาบัน  หมายความว่า  ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปเกิด  ในอบายภูมิ  4  ต่อไป  ปิดประตูอบายภูมิ  ความจริง  ประตูเขาไม่ได้ปิด  แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะลงไป  เรียกว่า  การเกิดของเราก็สั้นเข้ามา

        ถ้าเป็นพระโสดาบันมีจิตหยาบ  ก็เกิดเป็นคนอีก  7  ชาติ  เราก็ถึงนิพพาน  ระหว่างการเกิด  ก็สลับกันแค่มนุษย์  กับเทวโลก  หรือพรหมโลก  มีความสุข  ถ้าเป็นพระโสดาบันอย่างกลาง  เราก็เกิดเป็นมนุษย์อีก  3  ชาติ ถึงพระนิพพาน  ถ้าเป็นพระโสดาบันอย่างละเอียด  ก็เกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว  ถึงพระนิพพาน  ระหว่างที่เราไม่ได้เป็นมนุษย์  เป็นเทวดา  หรือ  พรหม  เราก็มีความสุข  จุดหมายปลายทางแน่นอนของพระโสดาบันถึงง่าย  ย่นการเกิด  เข้ามามาก  เรียกว่า  ไม่ต้องลำบากนาน  เกิดนานมากเท่าไหร่  ลำบากมากเท่านั้น

        ถ้าหากว่า  พระที่ท่านบูชา  ท่านเป็น  พระสกิทาคามี  ท่านมีความดีคือ  ระงับความรักลงไปมาก  ระงับความโกรธ  ระงับความโลภ  ระงับความหลง  จิตใจเกือบจะปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้เกือบหมด  จะเหลือแค่อุปนิสัย  มีใจนึกนิดๆ  หน่อยๆ  เท่านั้น  ท่านก็จะสอนท่านให้เข้าสู้ความเป็นพระสกิทาคามี  ถ้าเป็นพระสกิทาคามี  เกิดเป็นมนุษย์อีกทีเดียว  เราก็ไปถึงพระนิพพาน

        ถ้าพระที่ท่านบูชา  ท่านเป็น  พระอนาคามี  ตัดความอยากในกามเสียได้หมด  มีอสุจิอันแห้งแล้ว  และตัดความโกรธ  ความพยาบาทได้หมด  จิตใจของท่านสบาย  ท่านก็จะสอนให้ท่านเป็นพระอนาคามีเหมือนท่าน  การเป็นพระอนาคามี  ถ้าตายจากมนุษย์นี้  ก็ไปเกิดเป็น  เทวดา  หรือพรหม  ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก  บำเพ็ญบารมีเข้าถึงพระนิพพานได้เลย

        ถ้าบังเอิญพระที่ท่านบูชา  ท่านเคารพนับถือ  ท่านเป็น  พระอรหันต์  ท่านก็จะสอนท่านให้เป็นพระอรหันต์ด้วย  ช่วยให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  การเข้าถึงพระ  ไม่ใช่เข้าถึงยศ  ตำแหน่ง  ยศ  ตำแหน่งของพระ  วัดอะไรกันไม่ได้  ที่ท่านมียศฐาน์บรรดาศักดิ์ใหญ่  มีตำแหน่งใหญ่โต  ที่เป็นพระดี  ควรแก่การบูชาก็มีมาก  แต่ว่ามีตำแหน่งหน้าที่  มียศฐาน์บรรดาศักดิ์  กลายเป็นเปรตของพระพุทธศาสนา  ก็มีไม่น้อย

        ฉะนั้น  บรรดาท่านพุทธบริษัท  เวลาที่จะบูชาพระ  จงอย่ามองหน้าพระเฉพาะยศฐาน์บรรดาศักดิ์  หรือตำแหน่งหน้าที่  ต้องมองดูความดีในเขตของ  พระพุทธศาสนาว่า  พระประเภทนั้น  ท่านเป็นพระอย่างไร  เป็นพระจริง  หรือพระปลอม  พระจริงต้องเป็นพระอริยเจ้า  ถ้าพระสมมุติ  เราเรียกกันว่าพระปลอม  แต่ถ้าปฏิบัติตนเพื่อการเป็นพระอริยเจ้า  ก็มีผลแห่งการบำเพ็ญกุศล  หากว่าท่านทำตนเยี่ยงฆราวาส  เมาอยู่ในลาภสักการะ  หรือในยศฐาน์บรรดาศักดิ์  พระประเภทนี้  ท่านบูชาเท่าไหร่  ท่านก็หาความดีไม่ได้  เรื่องที่จะำพูดกันต่อไปนี้  ก็จะกล่าวถึงท่าน  เอรกปัตตนาคราช  ดูตัวอย่างพระที่ทำความผิดเพียงเล็กน้อย  ตัวเองต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

        ถ้าหากบรรดาท่านพุทธบริษัทไปบูชาพระประเภทนี้เข้า  ตัวท่านจะพบความดีได้อย่างไร  เพราะว่าตัวของท่านเอง  ท่านยังช่วยตัวเองไม่ได้  ไม่มีโอกาสที่จะช่วยตัวเองให้เกิดเป็นคน  หรือเกิดเป็นเทวดา  หรือเกิดเป็นพรหม  เวลาท่านไปบูชาพระประเภทนี้  ท่านจะแนะนำให้ท่านทั้งหลายไปเกิดเป็น  เทวดา  หรือพรหม  หรือเกิดเป็นมนุษย์  ได้อย่างไรแม้ตัวของท่านเอง  ตายจากความเป็นพระ  ยังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  การที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ของเอรกปัตตนาคราชนี้  ทำกรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ที่ชาวบ้านเห็นว่า  ไม่มีความสำคัญ  แต่สำหรับนักบวช  ที่บวชเป็นพระ  ต้องถือว่า สำคัญมาก

        ทั้งนี้เพราะว่า  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเป็นวินัย  ข้อบังคับพระ  กับฆราวาส  ปฏิบัติไม่เหมือนกัน  ฆราวาสทรงศีล  5  ประการ  ก็ชื่อว่า  คุ้มตัวได้  แต่พระมีศีล  227  สิกขาบท  ที่องค์สมเด็จพระบรมสุคต  ทรงบัญญัติห้ามไว้  ถ้าละเมิดกฏ  กรรมใดๆ  ถ้าเป็นกรรมเล็กน้อย  ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ถ้ากรรมมากยิ่งกว่านั้นไป  ที่ฆราวาสถือว่าไม่เป็นไร  พระก็ต้องลงนรก  ตัวอย่างเช่น  พระไปรักผู้หญิง  ติดต่อกับผู้หญิง  ในฐานะที่เป็นคู่รัก  แบบนี้ลงนรกทันที  ถ้าฆราวาสเขาจะรักกันสักเท่าไหร่ก็ดี  เขาไม่ต้องลงนรก  เพราะยังไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร  สำหรับพระ  เป็นแต่แสดงอาการเกี้ยวสตรี  แค่นี้ลงนรกแล้ว  บรรดาท่านพุทธบริษัท

        และอีกประการหนึ่ง  พูดกันแบบง่ายๆ  ท่านเอรกปัตตนาคราช  ท่านทำกรรมที่บรรดาฆราวาสยังไม่เห็นว่า  เป็นโทษ  คือ  พรากของเขียว  เล็กๆ  น้อยๆ  ให้หลุดไป  ด้วยเจตนาเพื่อเล่น  ไม่ใช่ดายหญ้าวัด  หรือทำความสะอาดวัดอย่างนี้  องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์  ไม่ทรงห้าม  การอ่านพระวินัย  ต้องอ่านกันให้ชัดว่า  องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์  มีความประสงค์อย่างไร  องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า  จงอย่าพรากของเขียว  เพื่อเล่น  คำว่า  เพื่อเล่น  จงจำไว้อย่าไปจำแต่คำว่า  พรากของเขียวเท่านั้น  ถ้าพรากของเขียวเพื่อเป็นประโยชน์  ไม่มีโทษอะไร  ถ้าพรากเพื่อเล่น  ท่านหาว่า  เล่นอย่างเด็ก  ไม่สมควรกับความเป็นพระ  อย่างนี้ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

        หากว่าพระท่านปฏิบัติตนแล้ว  ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ท่านไปบูชา  ท่านไปสงเคราะห์  ท่านจะไปไหนเล่า  บรรดาท่านพุทธบริษัท  เมื่อหัวหน้าเดินไปทางซ้าย  ท่านก็เดินตามซ้ายไป  หัวหน้านำไปทางขวา  ท่านก็เดินไปทางขวา  ทีนี้หัวหน้าเดินไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ท่านจะไปนิพพานได้อย่างไร  เรื่องนี้ขอให้เป็นข้อคิดของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  คิดกันเอาเอง  ตัดสินใจกันเอาเองก็แล้วกันว่า  ควร  หรือไม่ควร  ประการใด  ต่อไปนี้  ก็จะเล่าเรื่องของ  พญาเอรกปัตตนาคราช

        ในสมัยเมื่อ  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระพุทธกัสสป  เวลานั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง  จำพรรษาอยู่ชายทะเล  อยู่ในถ้ำ  เป็นภูเขาชายทะเล  ( เวลานี้ก็มีมาก  ภูเขาชายทะเล )  ท่านจำพรรษา  บวชเป็นพระถึง  20000  ปี  ( เวลานั้น  คนมีอายุถึง  40000  ปี  อายุมากเหลือเกิน  เฉพาะการบวชของท่าน  จำศีลภาวนาอยู่ถึง  20000  ปี  ก็ยังเอาดีไม่ได้ )  ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา  ที่เรียกว่า  สมมุติสงฆ์

        วันหนึ่ง  ท่านอาบน้ำอยู่ชายทะเล  มีเรือสำเภาลำหนึ่ง  แล่นมาช้าๆ  เพราะลมมันอ่อน  เฉียดเข้ามาใกล้กับที่ท่านอาบน้ำ  ท่านเห็นตะใคร่น้ำจับข้างเรืออยู่  มันยาวมาก  เพราะเรือเดินทะเล  ต้องเดินทางกันเป็นเดือนๆ  ตะไคร่มันก็จับมาก  ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมา  โผกายไปจับตะใคร่น้ำ  ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย  ร่างกายของท่านหนัก  มันต้านทานน้ำไว้มาก  ตะใคร่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้  ในที่สุด  ตะใคร่ก็หลุดออกมา  ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือ  ไม่เป็นไร  เำพราะน้ำมันตื้น  ท่านก็กลับสถานที่เดิม

        การพรากของเขียว  คือ  ทำให้ตะใคร่น้ำหลุดออกมาจากที่เดิม  พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็น  อาบัติปาจิตตีย์  สำหรับอาบัติปาจิตตีย์นี้  มีโทษไม่เหมือนกัน  การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  พระพุทธเจ้าก็ทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์  แต่ปาจิตตีย์ตัวฆ่าสัตว์นี้  ลงนรก  แต่ว่าปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พ้นจากที่  คือ  ให้พลัดพรากจากที่เดิม  ดูผล

        เมื่อท่านเป็นพระอยู่องค์เดียว  ก็ไม่มีการแสดงอาบัติ  คือ  ไม่มีโอกาสระงับโทษนี้  ( ทำอย่างไร )  เวลาตายอาบัติมันก็คาใจ  การที่สร้างอาบัติปาจิตตย์  ให้เกิดขึ้น  มันคาใจนิดเดียวเท่านี้แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ทั้งหลาย  การจำศีลของพญาเอรกปัตตนาคราชสมัยเป็นคน  ไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์  เป็นเทวดา  หรือพรหมแต่ผลที่พึงได้รับก็คือ  ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เป็นพญานาค  มีนามว่า  พญาเอรกปัตตนาคราช  ด้วยอำนาจ  แห่งการบำเพ็ญบารมีมาถึง  20000  ปี  มีสมบัติอันเป็นทิพย์  มีความเป็นอยู่คล้ายเทวดา  แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ที่ได้นามว่า  พยาเอรกปัตตนาคราช  ก็เพราะว่า  มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา  มีสภาพเหมือนตะใคร่น้ำ  คือ  ทั้งตัวมันรุ่มร่าม  นุงนังไปหมด  เหมือนตะใคร่น้ำลอยน้ำ  แบบนั้น  จึงได้นามว่า  พญาเอรกปัตตนาคราช

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  การบูชาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  ถ้าเรามีความฉลาด  เราก็คงจะได้ดี  อย่างพระคุณเจ้ารูปนี้  ด้วยอำนาจอกุศลที่ท่านทำ  ทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ไปบูชาพระประเภทนี้เข้า  ท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ตัวท่านจะเป็นอะไร  คิดกันดูก็แล้วกัน

        แต่ก็ยังมีความดีอยู่อีกนิด  ที่จิตของ  พญาเอรกปัตตนาคราช  ยังน้อมอยู่ในส่วนของกุศล  มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  บุญบารมีเดิมยังส่งเสริมให้มี  สภาวะเป็นทิพย์  คือ  มีที่อยู่อันเป็นทิพย์  มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์  ต่อมา  ก็ได้  นาควิภา  คือ  นาคนารีอีกตัวหนึ่ง  มาเป็นคู่ครอง  มีลูกขึ้นมาเป็นหญิง  มีนามว่า  นางนาคมาณวิกา

        ครั้นต่อมา  เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้  ทรงอุบัติขึ้น  พญานาคตนนี้  ถึงแม้ว่าจะเป็นนาค  แต่มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์  มีความคิดอยู่เสมอว่า  เมื่อไหร่หนอ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่  จะทรงอุบัติขึ้น

        ท่านมีอายุนานเหลือเกิน  ท่านเกิดเป็นนาคในสมัย  พระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า  และพระพุทธเจ้าองค์นั้นปรินิพพานไปแล้ว  สิ้นเวลาเป็นล้านๆปี  ถ้าจะนับเวลามนุษย์  ท่านพญานาคตนนี้  ก็ยังมีอายุยืนเป็นพญานาคอยู่ถ้าหากว่าท่านตายจากความเป็นนาค  ความดีเดิมปรากฏ  ก็จะบันดาลให้ท่านเป็นเทวดาได้  แต่ทว่าอายุของท่านมันนานเกินไป  แต่จิตใจของท่านก็ยังน้อมไปด้วยกุศล

        วันหนึ่ง  มีจิตใจเกิดไม่สบายใจ  คิดว่า  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  อุบัติขึ้นแล้วในโลก  หรือยัง  นั่งนึก  นอนนึก  มันทนไม่ไหว  จึงได้เรียกลูกสาวมา  คือ  นางนาคมาณวิกา  ให้แปลงเป็นมนุษย์สาวสวย  ตัวท่านเองก็แผ่พังพาน  ให้ลูกสาวยืนอยู่บนพังพานของท่าน  แล้วก็ร้องเพลงเป็นพุทธภาษิต  ที่ท่านผูกขึ้น  โดยท่านตั้งจิตคิดว่า  เพลงนี้  มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น  ที่จะทรงแก้ได้  ถ้าคนธรรมดา  ไม่สามารถจะแก้เพลงได้  เพลงของท่านเป็นพุทธภาษิต  ที่พระพุทธกัสสปตรัสไว้  ท่านจำได้  เพราะจิตเป็นทิพย์

        เมื่อท่านแผ่พังพานลอยขึ้นมาในน่านน้ำ  นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงที่พ่อผูก โดยมีสัญญาว่า  ถ้าใครร้องเพลงแก้เพลงนี้ได้  เราจะยอมเป็นภรรยา  รูปร่างหน้าตาของแกสวยผิดปกติ  สวยมาก  จะหาคนในปัจจุบันสวยเท่าเธอไม่ได้  ไม่ว่าใครๆ  เมื่อทราบข่าวแล้ว  ก็พากันไปร้องเพลงแก้

        เมื่อร้องเพลงแก้แล้ว  นางก็ตอบว่า  ไม่ถูก  พญานาคเองก็เป็นพยาน  บอกว่า  ยังไม่ถูก  ถ้าร้องเพลงแก้ถูกเมื่อไหร่ล่ะก็  เราจะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาท่านทันที  ( เพราะว่าสภาวะของท่านเป็นทิพย์  ท่านก็พูดภาษาคน )

        ต่อมา  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่า  อุตตรมาณพ  ซึ่งเป็นคู่ครองกันมากับนางนาคมาณวิกา  จะได้เป็นพระโสดาบัน  เวลานั้น  อุตตรมาณพได้ยินข่าวเขาลือว่า  นางนาคมาณวิกา  มีรูปร่าง  หน้าตา  ทรวดทรงสวยเป็นกรณีพิเศษ  สวยยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆในโลกจะพึงสวยเท่า  มาร้องเพลงต่างๆ  ให้คนแก้และว่า  ถ้าใครแก้ได้  จะยอมเป็นภรรยา  จึงได้ศึกษาว่า  เพลงเขาร้องว่าอย่างไร  ชาวบ้านเขาบอกให้ฟัง  และก็ตั้งใจ  จะร้องแก้  เดินออกจากบ้านไป

        เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบ  ทรงเห็นอุปนิสัยเขาว่า  จะได้โสดาปัตติผล  องค์สมเด็จพระทศพล  จึงได้ไปนั่งดักกลางทาง  ครั้นเมื่อเขาเห็น  พระพุทธเจ้า  เขารู้จัก  เขาจึงเข้าไปถวายนมัสการ

        องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ตรัสถามว่า  โภ ปุริสะ  ดูก่อน  บุรุษผู้เจริญ  เธอจะไปไหน  อุตตรมาณพจึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า  ข้าพระพุทธเจ้าจะไปร้องเพลงแก้นางนาคมาณวิกา  ( องค์สมเด็จพระบรมศาสดา  ทราบแล้วว่า  เขาเป็นเนื้อคู่กัน )  เขาจะต้องได้กันแน่  และอีกประการหนึ่ง  เมื่อได้กันแล้ว  ได้ฟังเทศน์ของพระองค์  เขาจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล  องค์สมเด็จพระทศพลต้องการอย่างเดียว  คือ  พระโสดาปัตติผล  ให้เขาเจริญเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า  ความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้

        องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ตรัสถามเขาว่า  เพลงที่เธอจะไปร้องแก้  เขาร้องถามมาว่าอย่างไร  เธอจะร้องว่าอย่างไร  อุตตรมาณพจึงเล่าให้พระพุทธเจ้าฟังว่า  เขาร้องถามมาอย่างนี้  ตัวเขาจะไปแก้แบบนี้  องค์สมเด็จพระชินสีห์  จึงได้บอกเขาว่า  แก้แบบนี้ไม่ถูก  ต้องแก้แบบนี้สิ  แล้วพระองค์ก็ทรงผูกเพลงไปให้  สอนให้ร้องเพลง  เพลงนี้เป็นพุทธภาษิต  เมื่อองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร  สอนเขาแล้ว  เขาจึงได้ลาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไป

        เวลานั้น  เมื่อว่างจากคนแก้เพลง  อุตตรมาณพก็ขอรับอาสาจะร้องเพลงแก้  นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลง  ขับคำถามออกมา  อุตตรมาณพก็ร้องเพลงแก้  พญาเอรกปัตตนาคราชตั้งใจฟังอยู่  พอเห็นการร้องเพลงแก้นี้ถูกต้องตามที่ตนตั้งใจไว้  คิดในใจว่า  เวลานี้  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  จะต้องอุบัติแล้ว  ดีใจ  จึงได้เอาพังพานตีน้ำ  น้ำเป็นคลื่น  ทำเอาคนที่ยืนอยู่ริมน้ำ  หล่นลงมาในน้ำตามๆกัน  เพราะถูกคลื่น

        พญาเอรกปัตตนาคราชจึงค่อยๆ  เอาหางประคองคนทั้งหมดขึ้นไปบนตลิ่ง  แล้วตัวเองก็แปลงเป็นมนุษย์ขึ้นไปถามอุตตรมาณพว่า  ถามว่า  เพลงที่ท่านนำมาแก้นี้  ท่านคิดได้เอง  หรือว่าใครสอนท่าน  อุตตรมาณพจึงบอกว่า  เพลงนี้ไม่ได้ร้องได้เอง  องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงสอนให้  พญาเอรกปัตตนาคราชจึงถามว่า  เวลานี้  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน  อุตตรมาณพบอกที่แล้ว  ก็พากันไป

        เมื่อถึง  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  ก็เทศน์โปรด  อุตตรมาณพเป็นพระโสดาบัน  ฝ่ายนางนาคมาณวิกา  ธิดาพญาเอรกปัตตนาคราช  พร้อมด้วยพญาเอรกปัตตนาคราช  เข้าถึงพระไตรสรณคมน์  พญาเอรกปัตตนาคราชจึงได้ยกลูกสาว  พร้อมด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์  ให้อุตตรมาณพอยู่ครองกัน  ( เรียกว่า  นำสมบัติส่วนนั้นมาไว้ในเมืองมนุษย์  จะนำไปไว้บาดาลไม่ได้ )  อุตตรมาณพกลายเป็นมหาเศรษฐีใหญ่

        องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  การสดับพระธรรมเทศนาคราวนั้น  ถ้าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน  ก็จะได้บรรลุพระโสดาบัน  เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น  ( หมายความว่า  ถ้าเป็นคน )  ที่ฟังแล้วไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้  ก็เพราะว่า  พญาเอรกปัตตนาคราชไม่ใช่คน  เป็นสัตว์เดรัจฉาน  ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล  เป็นที่น่าเสียดาย

        นี่แหละ  บรรดาืท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ที่นำเรื่องราวของ  พญาเอรกปัตตนาคราชมาเล่านี้  ก็เพื่อที่จะให้บรรดาท่านพุทธบริษัทรู้จัก  ลีลาของพระ  เห็นว่าพระองค์ใดท่านปฏิบัติไม่ดี  เพียงแค่ความชั่วเพียงเล็กน้อย  เพียงเท่านี้  ถ้าเราเคารพนับถือท่านจริงๆ  ก็ควรจะแนะนำ  ตักเตือนท่าน  อย่าปล่อยในทำนองที่เรียกว่า  ชั่วช่างชี  ดีช่างสงฆ์  เพราะว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น  เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง  เป็นสัตว์นรกบ้าง  เป็นที่น่าเสียดาย  ที่ท่านอดข้าว  อดปลา  คือ  อดข้าวเวลาเย็นมาตั้งนาน  แต่บุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาแล้ว  ไม่บันดาลให้ท่านเป็นพระอริยเจ้า  หรือเป็นเทวดาได้  กลับกลายจากความเป็นคน  ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง  เป็นสัตว์นรกบ้าง

        หรือเห็นพระองค์ใดมีนิสัยไม่ดี  คือ  มีจิตใจอิจฉาริษยาบุคคลอื่น  ที่เขาทำตนได้ดีกว่าก็ตาม  เรี่ยไรทรัพย์สินทั้งหลายมาแล้ว  ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์  กลับเอาไปประกอบกิจอันเป็นประโยชน์ของตนก็ตาม  ให้เป็นประโยชน์แก่พวงพ้องก็ตาม  นี่เป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลง  อเวจีมหานรก

        ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทเห็น  ก็ตักเตือนท่านไว้สักหน่อยก็จะเป็นการดี  คิดว่าช่วยองค์สมเด็จพระชินสีห์  รักษาความดีเข้าไว้  แม้แต่ตัวท่านเองก็เหมือนกัน  ถ้าไปเคารพ  ปฏิบัติตามพระพวกนี้เข้า  พระไปนรก  ท่านก็ไปนรกด้วย  พระไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ท่านก็ไปเกิดด้วย  เพราะอะไร  เพราะนิยมตามแบบฉบับเดียวกัน

        เอาล่ะ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สำหรับเรื่องราวของ  พญาเอรกปัตตนาคราช  ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผล  จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 18

โพสต์

:8) ผมว่า
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ไม่ง่ายหรอกครับ  เพราะถ้านิพพานง่ายนาดนั้น  ก็คงมีคนได้มากมาย  แต่ก็ไม่ยากเกินไป  เพราะว่า  ไม่งั้นคงไม่มีใครได้กัน  แต่ผมอยากให้เพื่อนๆมองว่า  นิพพานไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นรึไกลตัว  ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจเท่านั้นครับ  เหมือนอย่างที่เพื่อนๆชอบลงทุน  ก็ต้องมีอิทธิบาท  4  ในเรื่องของการลงทุน  ธรรมะก็เช่นกันครับ  ถ้าอยากเจริญในธรรม  แล้วไม่มีอิทธิบาท  4  ในธรรม  จะเจริญในธรรมได้ยังไง  จริงมั้ยครับ  แล้วธรรมะนี่  เราลงทุนแค่กำลังใจอย่างเดียว  มีแต่ได้ไม่มีเสีย  ปฏิบัติมากได้มาก  ปฏิบัติน้อยได้น้อย  

องค์สมเด็จพระบรมครูท่านจำแนกบุคคลไว้  4 จำพวก  คือ อุคฆติตัญญู  ท่านเหล่านี้ฉลาดมาก  ได้ฟังธรรมเพียงหัวข้อก็บรรลุธรรมได้  พวกที่สองคือ  วิปจิตัญญู  ท่านเหล่านี้ฟังธรรมหัวข้อไม่เข้าใจ  ต้องอธิบายถึงจะบรรลุธรรม  พวกที่สามคือ  เนยยะ  มีจิตเป็นสัมมาทิฏฐิ  แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้  พวกที่สี่  ปทปรมะ พวกนี้ไม่ได้โง่ซะทั้งหมดนะครับ  บางคนฉลาดมาก  แต่ไม่ยอมรับนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ถ้าจำไม่ผิด  อย่างอาจารย์พระสารีบุตร  ก่อนที่พระสารีบุตรจะบวชในพระพุทธศาสนา  ก็ไปชวนท่านมาบวชด้วยกัน  ท่านก็ถามพระสารีบุตรว่า  ในโลกนี้  คนโง่กับคนฉลาด  ฝ่ายไหนมีมากกว่ากัน  พระสารีบุตรก็ตอบว่าคนโง่  อาจารย์ท่านจึงบอกว่า  ฉะนั้นท่านจงไปเป็นคนฉลาดเถอะ

ผมอยากให้เพื่อนๆคิด  ใคร่ครวญในธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอน  แล้วดูว่ามีสิ่งใดไม่ดี  ไม่ถูกต้อง  ถ้าเราดูแล้วว่าดีเราก็น้อมเข้ามาใส่ตัว  อย่างน้อยที่สุดก็ให้อยู่ในด้านของสัมมาทิฏฐิไว้  ตั้งเป้าไว้ให้สูงที่พระนิพพาน  พลาดยังไง  เราก็ติดที่พรหม  รึสวรรค์  อย่างร้ายก็เป็นมนุษย์อีกเท่านั้น  ให้จิตเราจับส่วนของความดีไว้เสมอ  จิตมีสภาพจำ  ข้อนี้สังเกตุได้  คนเมาหัวราน้ำขนาดไหน  ก็ยังหาทางกลับบ้านได้เสมอ  คนเมายาบ้าที่ว่าขาดสติ  ก็ไม่เคยจะเข้าไปจับตำรวจมาเป็นตัวประกันสักที ( อันหลังนี่ล้อเล่นนะครับ ^^ )  เมื่อถึงเวลาตายจะได้ไม่หลง  ผมไม่ได้แช่งเพื่อนๆนะครับ  ยังไงทุกคนมีความตายรออยู่ในที่สุด  อย่าประมาทครับ  จิตเวลาก่อนจะตายสำคัญมาก  ถ้าเราทำแต่ความชั่วมาตลอดชีวิต  ตอนจะตายจะให้นึกถึงความดีมันก็ยากล่ะครับ  

พอดีนึกถึงเรื่องการปลงอาบัติ  ขอพูดนิดนะครับ  การปลงอาบัติของศาสนาพุทธเรา  ไม่ใช่ว่าปลงแล้วกรรมจะหมดไป  มันหมดไม่ได้หรอกครับ  เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว  ผลที่ตามมาเราต้องรับแน่  จะช้ารึเร็วเท่านั้น  การปลงอาบัติคือการประจารตัวเองกับผู้อื่น  เพื่อให้เค้ารับรู้ถึงความชั่วที่เราทำ  เพื่อให้เราเกิดความละอาย  และสำรวมระวังในการที่จะไม่ผิดในสิ่งนั้นอีก  แต่มาหลังๆนี่ชักจะเขวกัน  สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี  สิ่งที่ชั่ว  เพื่อนๆรู้กันดีอยู่แล้ว  ถ้าได้พลั้งพลาดทำไปแล้ว  ก็อย่าเอาจิตไปผูกกับมัน  ตั้งใจไว้ว่าความเลวนั้นมันจะไม่มีกับเราอีก  แล้วก็ทำจิตของเราให้มันดี  อย่างน้อยที่สุดศีล  5  ไม่ยากเย็นอะไรเลย  เราพอใจข้อไหน  เราก็ทำข้อนั้นให้ได้ก่อน  วิสุง  วิสุง  นี่เราแยกเป็นข้อๆได้  ค่อยๆทำไป  พอเป็นปกติแล้ว  เราก็ค่อยไปข้อที่เราบกพร่อง  ถ้าเราทรงศีล  5  ได้เป็นปกติ  ศีล  5  ไม่มีความหนักสำหรับเรา  ใจรักในพระนิพพาน  ก็ชื่อว่าเป็นพระโสดาบัน  เรื่องความเคารพในพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  เรายกยอดไป  เพราะถ้าไม่เคารพ  เราคงไม่ปฏิบัติตามคำสอนท่านแน่  เมื่อเป็นพระโสดาบัน  เราก็มุ่งหน้าสู่พระนิพพาน  ไม่ถอยหลังอีก  มีแต่จะดีขึ้นไป  อย่างนี้ก็ชื่อว่า  การไปพระนิพพานไม่ห่างตัวแล้ว  ไม่ยากครับ  

ต้องขอบคุณพี่ใจด้วยนะครับ  เข้ามาโพสไว้เสมอๆ  ให้ผมได้รู้ว่ายังมีคนอ่านบ้าง  ไม่ใช่ว่ากดผิดเข้าเฉยๆแล้วออก  เท่านี้ผมก็ดีใจแล้วครับ  ท้ายนี้ความผิดพลาดใดที่ผมได้พิมไว้ในกระทู้นี้  ก็เป็นเพราะความโง่  ความไม่รู้ของผมเอง  ไม่เกี่ยวกับครูอาจารย์ที่สอนผมมานะครับ  ผมมีอะไรบกพร่องไป  ขอให้เพื่อนๆช่วยเตือนด้วยนะครับ  ขอบคุณมากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
dino
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1281
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 20

โพสต์

:bow:  :bow:  :bow: สำหรับกระทู้ดีดีครับ :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 21

โพสต์

พอดีมะกี้พิมยาวไปหน่อย  ลืมตอบพี่พอใจ  -..-  ในความคิดส่วนตัวของผม  ปาณาติบาตนั้นไม่ได้หมายถึงเฉพาะการฆ่าสัตว์เท่านั้น  แต่หมายถึงการทำร้าย  เบียดเบียนเค้าด้วย  ส่วนที่เป็นกรรมผมคงไม่สามารถบอกได้ครับ  ว่าจะยืนจะยาวมากขึ้นมั้ย  เพราะผมก็ไม่ได้ฌาณ  ไม่ได้สมาบัติอะไร  แต่การไม่ทำร้าย  ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  ผมว่าก็ช่วยให้อายุยืนขึ้นนะ  

การที่คนเราอายุไม่เท่ากัน  บางคนตายช้า  บางคนตายเร็ว  ก็เป็นเพราะกรรมปาณาติบาตมาตัดรอน  เรามีสภาวะในชาติปัจจุบันยังไง  ก็เป็นผลจากกรรมที่เราทำไว้ในอดีตชาติ  ถ้าเราอยากเกิดมามีอายุยืนก็ลดปาณาติบาตลง  อยากผิวพรรณดีมีรูปสวย  ก็หมั่นรักษาศีล  อยากมีทรัพย์เราก็ต้องหมั่นทำบุญ  บริจาคทาน  ฯลฯ  ลองย้อนกลับไปอ่านเรื่องบุพกรรมของคน  3  คนดูนะครับ  ถ้าเค้าไม่ทำกรรมปาณาติบาต  เค้าก็ต้องมีอายุที่ยืนกว่าที่เป็นแน่นอนครับ  ไม่ว่าจะเป็นกา  หรือว่าภรรยานายเรือ  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเสมอครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 22

โพสต์

:8) คือเรื่องลดโน่นแล้วได้นี่
     ผมฟังหลวงพ่อท่านหนึ่งที่ผมนับถือเล่าให้ฟังว่า
     มันอาจพูดได้หรือไม่ได้ก็ได้
     แต่แม้นว่าพูดแล้วมันไม่มีใครออกมาบอกออกมายืนยันได้ว่า
     ที่ฉันอายุยืนนี้เพราะฉันไม่เคยผิดศีลข้อนี้เลย
     ท่านว่าพูดออกมาแล้วไม่มีคนยืนยัน ไม่กล้าพูด อะไรทำนองนั้น
     ถ้ามีหลักฐานมีคนมายืนยัน อย่างนี้ท่านกล้าพูด
     อย่างเรื่องภพ ชาติ ท่านก็พูดไว้ว่ามีจริง
     ถ้าใครเคยเจอหรือเคยคุยกับคนที่ระลึกชาติได้ ก็จะเชื่อ
     ใครไม่เคยเจอ จะให้เชื่อก็ลำบากหน่อย
     สมมุติว่าผมเคยเห็นพระอาจารย์รูปนึงแสดงเจโตปริญาณให้ดูให้เห็นกับตัวเองอย่างจังๆ
     อย่างนี้ผมก็ต้องเชื่อเรื่องการอ่านจิตได้อย่างแน่นอน
     แต่เวลาที่ผมมาเล่าให้พี่ไลโอเนล ริชชี่ฟัง
     พี่จะเชื่อผมได้หรือครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 23

โพสต์

[quote="por_jai"]:8) คือเรื่องลดโน่นแล้วได้นี่
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 24

โพสต์

:8) ชอบทั้งปฏิบัติื ชอบทั้งปริยัติ นั่นแล
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eyore
Verified User
โพสต์: 606
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 25

โพสต์

คล้ายๆกับบอกว่า "เป็น VI ไม่ยากอย่างที่คิด" นะครับ

บัฟเฟต์ ลินช์ etc ใครๆก็อ่านมาหมดแหละ
เวลาอ่านมันก็ง่าย

ทำจริงมันยาก

ผิดกันแต่ว่า นิพพานมันยากกว่าเยอะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 26

โพสต์

เอามาเล่าอีกนะครับ

คอยติดตามอยู่ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ตัดนิวรณ์

การอธิบายพระกรรมฐานคืนนี้  ก็ขอต่อเมื่อคืนนี้  เมื่อคืนนี้เราได้ย้ำกันถึงว่า  จุดของการเจริญพระกรรมฐานที่จะพึงให้ได้ดีก็คือ

          ๑.    ตัดกังวลเสียให้หมด  ขึ้นชื่อว่ากังวลภายนอกได้แก่บุคคลอื่น นอกจากตัวเราหรือว่าวัตถุ  กังวลภายในได้แก่ร่างกายของเรา  ตัดทิ้งไปเสียเลย  ถือว่าภาระอันนี้เราไม่มีอีก  เรามีแต่เฉพาะอย่างเดียวคือ  คุมจิตให้เป็นสมาธิ  หรือว่าใช้ปัญญาพิจารณารับรองความรู้ตามความเป็นจริง
          ๒.   เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
          ๓.   ระงับนิวรณ์ห้าประการ  และ
          ๔.   ทรงพรหมวิหารสี่

นี่เป็นหลักใหญ่ในการควบคุมกำลังใจ  ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะควบคุมกำลังใจได้ตามนี้  การเจริญพระกรรมฐานก็ไม่มีผล  กฎสี่ประการนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะต้องรักษาไว้ให้ได้จะต้องทรงไว้ให้ได้ด้วย  ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ  ถ้ากฎสี่ประการนี้ประจำจิตของท่านบรรดาพุทธบริษัททุกขณะจิต จนเป็น  เอกัคตารมณ์คือมีอารมณ์ทรงตัว  ขึ้นชื่อว่ากังวลไม่มี  มีศีลบริสุทธิ์ ระงับนิวรณ์ห้าได้ตามกำลังใจที่เราต้องการ  จิตทรงพรหมวิหาร  ๔  ตลอดวัน อย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า  เข้าถึงเปลือกของความดีของพระพุทธศาสนา  นี่เราได้แค่เปลือกเท่านั้น  ๔  ประการนี่

ทีนี้การทรงความดีระดับเปลือก  วันนี้ก็ขอพูดต่อ  การทรงความดีระดับเปลือก  ความจริงระดับเปลือกนี่เป็นฌาน  ๔  ถ้าเราไม่สามารถจะทรงฌาน ๔  ได้  เราก็ยังไม่ถึงเปลือก  เว้นไว้แต่เพียงว่า  ถ้าจิตเราเข้าถึงปฐมฌานแล้วก็ทรงวิปัสสนาญาณได้  นี่เข้าถึงแก่น  ถ้าแม้ว่าอารมณ์จิตจะไม่เข้าถึงฌาน ๔ แต่เป็นแต่เพียงปฐมฌาน  แต่ว่าจิตทรงวิปัสสนาญาณได้ตัดสังโยชน์ตั้งแต่สังโยชน์สามขึ้นไป  อย่างนี้ชื่อว่าถึงแก่นเป็นสาระเป็นแก่นสารอย่างยอดเยี่ยมที่พระพุทธเจ้าต้องการ

การจะทรงอารมณ์ได้  เราจะไม่พูดกันถึงพวกศีล  พวกอะไรต่อไปอีก  อันดับแรก  เราต้องการทรงสมถภาวนา  สมถภาวนานี่แปลว่า  อุบายเป็นเครื่องสงบใจ  เป็นกำลังสำคัญใหญ่สำหรับนักปฏิบัติเพื่อความดี  ถ้าจิตใจของเราไม่สงบเสียแล้ว  ความกังวลมันก็เกิดศีลมันก็ไม่ทรงตัว  การจะทรงพรหมวิหาร  ๔  มันก็ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมาย  จะเจริญวิปัสสนาญาณก็ไม่ได้ผล  ความสงบนี่จึงชื่อว่าเป็นตัวทรงไว้ทั้งศีลทั้งสมาธิและปัญญา  มีความสำคัญมากจัดว่าเป็นกำลังใหญ่

การที่เราจะสงบจิตทำยังไง ?  ก็มองดูหน้าของนิวรณ์  ตอนนี้เราศึกษากันด้านนิวรณ์  ถ้าอารมณ์ใจของเราที่พอใจในรูปสวย  รสอร่อย  กลิ่นหอม  หรือว่าเสียงเพราะอย่างนี้เป็นต้น  เรียกว่าพอใจในเรื่องสวยสดงดงามก็แล้วกัน ของสวย  คนสวย  สัตว์สวยใช้ได้หมด  คือว่าสวย  เราข้องใจอยู่ในสวย  เราสวยคนอื่นสวย  มันก็เหมือนกัน  รวมความว่าจิตพอใจในความสวยสดงดงาม พระพุทธเจ้าให้ระงับอารมณ์นี้ด้วยกายคตานุสสติและอสุภกรรมฐาน  ต้องใช้อารมณ์ถูก  นี่เราว่ากันถึงนิวรณ์  ถ้าเราปราบนิวรณ์ได้จิตเราก็เข้าถึงปฐมฌานได้  การเจริญพระกรรมฐานไม่จำเป็นเฉพาะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดกาลตลอดสมัย  ให้เป็นไปตามอารมณ์ที่เกิด  แต่สิ่งที่ใช้โดยเฉพาะก็มีอยู่ ประเดี๋ยวจะกล่าวให้ฟัง

เมื่อจิตมีความรักสวยรักงามเกิดขึ้น   ก็ให้ใช้พิจารณาในด้านอสุภกรรมฐานเป็นสำคัญ  อสุภะแปลว่าความไม่สวยไม่งาม  นี่พระพุทธเจ้าให้มองตามความเป็นจริง  ไอ้สิ่งที่เราเห็นว่าสวยนี่  มันสวยจริง ๆ  หรืออย่างไร  ถ้าเราเห็นคนสวย  คนสวยถ้าสวยจริง ๆ  มันต้องไม่สกปรก  ถ้าลงสกปรกแล้วจะให้มันสวยยังไงก็ใช้ไม่ได้  แม้คนก็ดี  สัตว์ก็ดีเราเห็นว่าสวย  เราก็มองดูหาความจริง  ถ้ามันสวยจริง ๆ  ดีจริง ๆ  สะอาดจริง ๆ  ละก็ไม่ต้องอาบน้ำ  ไม่ต้องชำระร่างกาย  ปล่อยมันเป็นอย่างนั้นร่างกายจะทรงความดีอยู่ตลอดเวลา  นี้คนก็ดีสัตว์ก็ดีที่เราว่าสวยนะ  ต้องชำระร่างกายหรือเปล่า  นี่ดูกันแบบผิวเผินที่เราจะเห็นกันได้ง่าย ๆ  คราวนี้ถ้าหากว่าจะไม่อาบน้ำสัก  ๗  วัน  นี่มันก็ทนไม่ไหว  เจ้าตัวเองมันก็ทนไม่ไหว  มันเกรอะกรังไปด้วยเหงื่อไคลเต็มไปด้วยความโสโครก  จะมาเอาสวยอะไรกันตรงนี้  นี่ใจของเรามันหลอกตัวเอง  ไอ้ของที่มันไม่ดีไปหาว่ามันดี มันก็ลงนรกกัน  ที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นเทวดาบ้าง  เป็นพรมหบ้าง  เป็นคนบ้าง  เป็นสัตว์บ้าง  เป็นสัตว์นรกบ้าง  เป็นเปรตบ้าง  เป็นอสุรกายบ้าง  นี่หมุนกันไปหมุนกันมาอย่างนี้  ก็เพราะไอ้ความโง่ของจิตของเลวหาว่าเป็นของดี

คราวนี้มองเข้าไปอีกที  ทั้งคนและสัตว์  ทะลุหน้าเข้าไปหาเนื้อ  ถ้าเราลอกหนังกำพร้าออกหมดจะมีสภาพเป็นอย่างไร  สิ่งที่เราคิดว่าสวย  สิ่งที่เราคิดว่าดี  นี่มันติดอยู่ที่หนังกำพร้านิดเดียวนี่เท่านั้น  ถ้าลอกเข้าไปแล้วมันจะพบกันเลือด  น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองปรากฎอยู่ภายใน  เลิกเนื้อขึ้นไปมีโครงกระดูก  เหลือแต่ตับไตไส้ปอด  อาหารใหม่อาหารเก่ามีเครื่องจักรกลทั้งหลายภายใน  นี่หาจุดนี้ให้มันพบหาความจริง  เราเจริญพระกรรมฐานนี่เราค้นคว้าต้องการหาความจริง  แล้วลองคิดดูซิว่า  ถ้าสภาวะมันเป็นอย่างนั้นนะ  ความจริงมันเป็นอย่างนั้น  ร่างกายมันสกปรกหรือมันสะอาด

ถ้าเราไม่สามารถจะมองเห็นภายในได้  จิตมันดื้อ  ก็สิ่งที่มันหลั่งไหลจากภายในดูมันก็แล้วกัน  น้ำลายที่เราอมอยู่ในปากได้  เวลาบ้วนออกมาแล้วหยิบได้ไหม  น้ำลายอยู่ในปากเรา  เราอมได้เรากลืนได้พอบ้วนออกมาแล้วกลืนไปอีกได้ไหม  เอ้าไม่กลืนละ  เอาเข้าไปอมได้ไหม  ถ้าไม่อมเราเอามือแตะแล้วมาละเลงหน้าทำได้ไหม  เราก็จะบอกว่ามันสกปรก  แล้วไอ้ของที่มันสกปรกเหล่านี้มันอยู่ที่ไหน  มันอยู่ในกายเราใช่ไหม  อุจจาระปัสสาวะก็เหมือนกัน  เรารังเกียจว่ามันสกปรกแล้วมันมาจากไหน  อุจจาระมาจากอาหารที่เราเลือกแล้วด้วยดี  ของอย่างนี้ดี  ของอย่างนี้อร่อย  ของอย่างนี้สะอาดแก่การกิน  ถ้ามันสกปรกเราก็ไม่กิน  เราคิดว่ามันสะอาด  แต่ความจริงมันสกปรก  กินเข้าไปแล้ว  เลือกแล้วด้วยประการทั้งปวง  พอเวลามันเป็นกากถ่ายออกมา  เอามือหยิบได้ไหมออกมาจากกายเราใช่ไหม  นี่พูดถึงร่างกาย  สิ่งที่สกปรกพูดกันสักสิบวันมันก็ไม่จบ  พิจารณากันแต่นี้ใช้ปัญญาพิจารณหาความจริง  ตัดความรู้สึกในคำว่า  เห็นว่าสวยสดงดงามสะอาดสะอ้านตามที่เราต้องการ

ถ้าเราว่ากันถึงด้านวัตถุ  เราเห็นว่าสวย  ก็ต้องดู  วัตถุนี่ที่มันใหม่แล้วมันเก่าได้ไหม  ก่อนที่มันจะเก่าถ้าเราปล่อยไว้ไม่มีอะไรปิดบัง  ไม่คอยขัดสีฉวีวรรณ สักไม่กี่วันฝุ่นละอองเข้ามาจับ  ความเศร้าหมองมันก็จะเกิด  นี่เกิดจากอาการภายนอกเข้ามายุ่งกับมัน  นี่ถ้าอาการภายนอกไม่มายุ่งกับมันปล่อยไว้นานความเศร้าหมองก็จะเกิดขึ้นเอง  เพราะมันเก่ามันเสื่อมลง  แล้วในที่สุดมันก็สลายตัว  นี่ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาอย่างนี้เป็นปกติ  อารมณ์ที่รักในความสวยสดงดงามก็จะระงับไป  ความดิ้นรนในความสวยงดงามก็หมดไป  ถ้าความดิ้นรนอย่างนี้หมดไปก็ชื่อว่าเราชนะนิวรณ์ตัวที่หนึ่ง  เรากำลังจะก้าวเข้าไปสู่ปฐมฌาน  ซึ่งเป็นหลักชัยที่จะเจริญวิปัสสนาญาณให้ได้พระอริยเจ้า


นิวรณ์ตัวที่  ๒  ได้แก่โทสะ  ความโกรธ  หรือความพยาบาท  ความคิดประทุษร้ายผู้อื่นที่มีในใจ  อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสบอกว่า  ให้ใช้เมตตากับกรุณาทั้งสองประการเข้าประหัตประหาร  เมตตาความรัก กรุณาความสงสาร  ให้คิดเสียว่าเขากับเรามีสภาวะเช่นเดียวกัน  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  มีความทุกข์เหมือนกัน  ถ้าเขามีความผิดขึ้นมาบ้างก็จงนึกถึงจิตใจของเรา  ว่าบุคคลทุกคนนี่ที่กระทำไปแล้วทั้งหมด   จะพูดก็ดี  จะทำก็ดี  ก็คิดว่ามันดีจึงทำ  ถ้าหากว่าเขารู้ว่ามันเลว  มันจะเป็นเหตุความเดือดร้อน  ก็ไม่ทำแต่ทำไมถึงได้ทำความชั่ว  ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตที่เป็นอกุศล  อกุศลจิตคือความเลวมันเข้ามาสิงใจ  คล้ายกับผีสิง  มันย้อมใจให้มัวเมาเข้าใจว่าความเลวเป็นความดี  คนที่ถูกผีสิงหรือผีคือกิเลสสิงแบบนี้  ก็เป็นการสมควรแก่การให้อภัย  เห็นเขาทำผิดไม่ผิดระเบียบวินัย  ก็ชื่อว่าเราให้อภัยได้สำหรับส่วนตัว  ถ้าผิดกฎหมายผิดวินัยผิดระเบียบอันนี้ต้องลงโทษตามวินัยตามระเบียบ  ไม่ใช่ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว  เพราะว่าระเบียบและวินัยทั้งหมดเขาวางไว้เพื่อให้บุคคลทำความดี  นี่ถ้าไปละเมิดเข้าก็แสดงว่าชั่ว  ถ้าเราไม่ลงโทษก็แสดงว่า  เราปล่อยให้เขาชั่วตลอดไป  อย่างนี้ก็ไม่ชื่อว่ามีจิตเมตตาความรัก  กรุณาความสงสาร  คนที่รักกันสงสารกัน  จะต้องระมัดระวังกันไว้ไม่ให้ใครชั่วไม่ให้ใครเลว  การลงโทษตามระเบียบตามวินัยถือว่าเป็นการเมตตาปรานี  เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำความชั่ว  ในเมื่อเรามีความรักความสงสารแล้ว  ไอ้ความโกรธความพยาบาทคิดประทุษร้ายมันก็ไม่มี

ถ้าอารมณ์รักอารมณ์สงสารประเภทนี้เราทรงใจไม่อยู่  องค์สมเด็จพระบรมครูก็มีวิธีแนะนำอีก  ให้ใช้กสิณ  ๔  อย่างคือกสิณสีเรียกว่าวรรณกสิณ  คือกสิณสีแดง  สีเหลือง  สีขาว  สีเขียว  อย่างใดอย่างหนึ่งจับเข้าไว้ให้เป็นอารมณ์ ให้จิตทรงในภาพกสิณนั้นไว้ก็สามารถที่จะทำลายโทสะจริตได้  เมื่อจิตใจของเราทำลายโทสะจริตได้  ก็จะมีแต่อารมณ์เยือกเย็น  เพราะโทสะเป็นอารมณ์เร่าร้อน  ถ้าเราทำลายเสียได้ก็จะมีแต่ความเย็น  จิตจะมีความสุข  จะทรงสมาธิอยู่ได้นาน  เรียกว่าเราก็ใกล้จะถึงนิพพานเต็มที่เข้าไปแล้ว  แม้แต่จะเจริญสมถภาวนา


นิวรณ์ตัวที่  ๓  ความง่วงเหงาหาวนอน  ตัวนี้แก้ไม่ยาก  ให้ลืมตาให้กว้างบ้าง  เอามือขยี้ตาบ้าง  เอาน้ำล้างหน้าบ้าง  แหงนดูดาวบ้าง  เดินไปเดินมาบ้าง  นี่ตามวิธีที่พระพุทธทรงแนะนำแก่พระมหาโมคคัลลานะ  เพราะว่าพระมหาโมคคัลลานะไปปฏิบัติกับพระพุทธเจ้า  ท่านนั่งหลับนั่งง่วง  พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้ปฏิบัติตามนี้  นี่ถ้าอารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้นก็แก้แบบนี้


นิวรณ์ตัวที่  ๔  คือ  อุทธัจจะกุกกุจจะ  ความฟุ้งซ่านและรำคาญ  อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดา  ทรงแนะนำให้ใช้อานาปานุสสติกรรมฐาน  โดยเฉพาะไม่ต้องภาวนาบทใด ๆ  ทั้งหมด  ถ้าขืนไปภาวนาหรือพิจารณาเข้าไป  ไอ้จิตมันซ่านอยู่แล้วก็จะช่วยกันซ่านใหญ่  ท่านให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้า  หายใจออก  เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า  เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออกเอาเพียงเท่านี้  จับเฉพาะลมหายใจเข้าหายใจออก  ถ้าจับอย่างนี้มันยังไม่อยู่  เอาละ  ไม่เอาเฉย ๆ  เอานิมิตเข้าไปด้วย  นิมิตอันนี้ไม่ใช่ภาพ หายใจเข้าหายใจออกหนึ่งคู่นับเป็น  ๑  นับไปด้วยหายใจเข้าหายใจออกนับเป็น  ๒  เป็นคู่ที่  ๒  คู่ที่  ๓  คู่ที่  ๔  ถึงคู่ที่  ๑๐  ตั้งเกณฑ์ไว้ว่าตั้งแต่  ๑  ถึง  ๑๐  นี่เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตคิดอย่างอื่น  เราจะจับอยู่เฉพาะลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านั้น  แล้วไม่ต้องทำมาก  แค่  ๑๐  ก็เลิก  ถ้าจิตมันซ่าน  เพราะว่าในกาลบางครั้ง  การนับมันก็ไม่ทรงตัวเหมือนกัน  มันดิ้นไม่ยอมหยุด  อันนี้พระพุทธเจ้าทรงแนะนำบอกว่า  ถ้ามันดิ้นไม่ยอมหยุด  ก็ให้เลิกเสีย  ถ้าเราไม่เลิกก็มีวิธีอย่างหนึ่ง  นั่นก็คือปล่อยให้มันคิดไปตามอารมณ์  มันอยากจะคิดอะไรเชิญคิดตามอัธยาศัย  แล้วควบคุมกำลังใจเข้าไว้  ถ้ามันเลิกคิดเมื่อไร  เราจะทรงสมาธิเมื่อนั้น  ถ้าเราปล่อยอารมณ์คิดไปแบบนี้ไม่นานประมาณ  ๕  นาที  ๑๐  นาที  ไม่เกิน  ๒๐  นาที  เป็นอย่างช้า อารมณ์จิตมันก็จะเหนื่อย  มันจะเลิกคิด  พอมันเลิกคิดเราก็มาจับเอาลมหายใจเข้าออก  ตอนนี้จะมีอารมณ์ดิ่งเป็นฌานทันที  แล้วก็จะทรงสมาธิอยู่ได้นาน  นี่เป็นวิธีการที่จะระงับนิวรณ์  ค่อย ๆ  ระงับมันไป


นิวรณ์ข้อที่  ๕  ความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ไอ้เรื่องนี้เห็นจะไม่ต้องบอก  ถ้าสงสัยแล้วจะมานั่งทำเกลืออะไรกันอยู่ที่นี่เล่า  ไปนอนอยู่บ้านไม่ดีกว่ารึ  ข้อนี้ไม่ต้องอธิบาย  เพราะคนที่มานั่งที่นี่ทั้งหมดแสดงว่าไม่มีความสงสัย  เลิกกันยกยอดกันไป

นี่ถ้านิวรณ์ทั้งห้าประการนี่  ถ้าเราสามารถระงับด้วยวิธีนี้  ใหม่ ๆ  มันก็จะระงับไม่ได้นาน  สัก  ๒  นาที  ๓  นาที  ๔  นาที  ๕  นาที  หรือ  ๑๐  นาทีเป็นอย่างมาก  ถ้า  ๑๐  นาทีมันก็เก่งแล้ว  อารมณ์จิตมันก็จะซ่าน  เราก็จับดึงเข้ามาใหม่  มันไปไหนก็ให้มันไป  มันเผลอนี่ก็ให้มันไป  ไอ้จิตนี่มันซ่านมาเป็นแสน ๆ  กัป  อยู่ ๆ เราก็จะมาจับให้มันนิ่งเฉย ๆ  มันอยู่ไม่ได้นาน  เราก็ถือว่าถ้าทรงจิต  เราทรงอยู่ได้บ้าง  พอมันไปเรารู้ว่ามันไปใช้เวลาไม่มากนัก  แล้วก็ดึงกลับเข้ามาอีกให้ทรงอารมณ์อยู่สักครู่หนึ่งมันก็หนีไปอีก  อย่างนี้ก็ยังดีกว่าสภาวะเดิมที่มันไม่รู้ว่ามันท่องเที่ยวไป  แสดงว่าจิตของเราเริ่มมีสมาธิแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า  อาการที่ปรากฎแล้วอย่างนั้นท่านเรียกว่า  ขณิกสมาธิ  คือทรงได้บ้างไม่ได้บ้าง  ดึงกันไปดึงกันมา  แล้วก็จับเอามาทรงไว้ชั่วขณะหนึ่งมันก็ดึงออกไป  ดึงออกไปแล้วคิดอะไรต่ออะไรเพลิน พอรู้สึกตัวอ้าวนี่เพ่นพล่านไปเสียแล้วรึ  แล้วก็ดึงกลับเข้ามาใหม่  อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรเรียกว่าขณิกสมาธิ

ขณิกสมาธิ  แปลว่า  สมาธิเล็กน้อย  การทรงอยู่องค์สมเด็จพระบรมครูกล่าวว่า  ผู้ที่ได้ขณิกสมาธิ  วันหนึ่งสามารถทรงจิตให้สงบเพียงชั่วขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเราเรียกว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ไม่ว่างจากฌาน  ขณิกสมาธิที่ท่านทรงไว้ได้เวลาตายไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบาย  เราไปสวรรค์ได้  เราก็เหยียบมนุษย์ได้  ถึงแม้จะบอกว่าไปสวรรค์นี่สู้ไปพรหมไม่ได้ ไปพรหมสู้ไปนิพพานไม่ได้  แต่ขั้นแรกให้เกาะสวรรค์ไว้ก่อน  ชื่อว่าเป็นกำไรถมเถไป  เป็นความดีมีความสุข  ต่อไปเราก็ก้าวไปเพื่อสู่สภาวะความเป็นพรหมหรือพระนิพพาน

เอาละสำหรับเวลากาลที่จะพูดมันก็เลยมามากแล้ว  เพราะสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฎ  แล้ว  ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น  สำหรับนักปฏิบัติพระกรรมฐานใหม่  ใหม่หรือเก่าก็ตามพยายามจับลมหายใจเข้าออกให้รู้ลมเข้าลมออกอยู่  ถ้าเราจะภาวนาก็ภาวนาตามอัธยาศัย  หรือว่าจะพิจารณาอะไรก็ได้ให้เป็นไปตามอัธยาศัย  จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 28

โพสต์

วันนี้เอาปฏิบัติเบื้องต้นก่อนนะครับ  ถ้าเริ่มต้นจะเอาลึกเลย  เดี๋ยวจะกลายเป็นท้อแล้วเลิกไป  ผมเองไม่ได้บรรลุธรรมอะไร  แต่ผมก็มองว่าไม่ยากเย็น  เรื่องแบบนี้ผมว่าแล้วแต่คนนะครับ  ถ้าถามหมอว่าผ่าตัดยากมั้ย  หมอก็คงจะบอกว่าไม่ยาก  แต่ถ้าไปถามวิศวะเรื่องผ่าตัด  ก็ต้องบอกว่ายากล่ะครับ  ธรรมะถ้าเราปฏิบัติกันจริงๆไม่ยากหรอกครับ  แถมไม่ต้องลงทุนลงเงินอะไร  ลงแค่กำลังใจอย่างเดียว  แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทีละขั้นด้วย  จะเห็นว่าบางท่านท่านได้พระโสดาบัน  แล้วเป็นพระอรหันต์เลย  บางท่านก็ได้พระอรหันต์ทันที  ผมว่าน้อยมากที่จะค่อยๆทีละขั้น  พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี  อนาคามี  แล้วค่อยบรรลุอรหัตผล  เวลาอ่านชาดกหรือว่าธรรมะอื่นๆ  ก็ขอให้เพื่อนๆคิดไปด้วยนะครับ  เพราะถ้าเราอ่านเอาแค่สนุก  ประโยชน์ที่จะพึงได้  มันก็ลดลงไปมาก  ลองสังเกตุลีลาการสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และลีลาการสอนของหลวงพ่อฤาษี  ว่าท่านเน้นอะไร  เทศน์แบบไหน  เทศน์เรื่องไหนแล้วคนบรรลุมรรคผล  แล้วเราก็ลองปฏิบัติ  ลองใคร่ครวญดู  ต่อไปผมจะโพสเรื่องพระเวสสันดรนะครับ  พอดีมีเพื่อนอยากอ่านเรื่องนี้  ส่วนเรื่องที่ผมเคยพูดไว้ว่าจะเอามาลงให้อ่านกัน  จะค่อยๆทยอยลงนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 29

โพสต์

สำหรับเรื่องการตัดนิวรณ์จริงๆแล้ว  ตรงที่ผมไฮไลท์สีแดง  ในหนังสือไม่ได้เน้นนะครับ  แต่ผมอยากจะเน้น  เพราะว่าการที่จะได้มรรคผลในพุทธศาสนานั้น  ไม่ใช่ของยาก  สำหรับสังโยชน์  3  ที่จะทำให้เราเข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนาก็มี
                1.  สักกายทิฏฐิ  มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา

                2.  วิจิกิจฉา  ความลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย  คือ  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์

                3.  สีลัพพตปรามาส  การลูบคลำศีล  ถือศีลไม่จริงจัง

ข้อ  2  นั้นผมว่าเรายกไปเลยก็ได้  เพราะว่าถ้ามีความสงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู  เราคงไม่มานั่งปฏิบัติตามท่านแน่  เมื่อละสังโยชน์  3  นี้แล้ว  เราก็เป็นพระโสดาบัน  แต่ว่าการละสังโยชน์ข้อที่  1  ของพระโสดาบัน  เข้าใจว่ายังไม่ละเอียดถึงที่สุด

เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าเราตัดอบายภูมิได้สิ้น  ตรงเข้าสู่พระนิพพานเพียงไม่เกิน  7  ชาติ  ผมดูยังไง  ก็ไม่เห็นว่าจะยากสำหรับคนที่มีความตั้งใจ  ถ้าไม่ตั้งใจแล้ว  เราไม่ต้องพูดกัน เอาล่ะครับ  ดึกมากแล้ว  เดี๋ยวผมลงบุพกรรมของกัญหา - ชาลี  ไม่ทัน  ตั้งใจนะครับ  เอาทีละข้อ  ค่อยๆทำไป  ^^
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lionel
Verified User
โพสต์: 118
ผู้ติดตาม: 0

นิพพานไม่ยากอย่างที่คิด

โพสต์ที่ 30

โพสต์

บุพกรรมของกัณหา-ชาลี

        ท่านสาธุชนทั้งหลาย  วันนี้ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องของกรรมเก่า  ที่ตามภาษาบาลีท่านเรียกว่าบุพกรรมคือ  กรรมของกัณหา-ชาลี

        ในเรื่องนี้ปรากฎว่า  บรรดาประชาชนในสมัยปัจจุบัน  พากันโจมตีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เนืองๆ  ความจริง  การโจมตีพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับบรรดาผู้พูด   เพราะเรื่องราวต่างๆ มันผ่านพ้นไปนานแล้ว  แต่เห็นทางมีอยู่ทางเดียวคือ  จะประฌามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ให้เสื่อมทราม  แต่ทว่า  การจะทำอย่างไรก็ตาม  พระพุทธเจ้าจะเสื่อมทรามหรือเสียหายไม่ได้

        ทั้งนี้เพราะว่า  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้ว   เราจะนั่งนินทาว่าร้ายพระพุทธเจ้าสักเพียงใดก็ตาม  ความชั่วมันก็ตกอยู่กับตัวของบุคคลผู้พูดแต่ฝ่ายเดียว   ทั้งนี้เพราะอะไร  เพราะว่า  นินฺทา  ปสํงสา  คำว่า  นินทา  และ  สรรเสริญ  เป็นความชั่วของบุคคลที่เกิดมา  ผลที่เขาพึงจะได้รับในปัจจุบัน  นั่นก็คือ  ความเสียหาย เขาเสียหายกันตรงไหน  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  จะพูดกันให้ฟัง คือ  เสียหาย  เพราะเสียเวลาประกอบกิจการงานของเขา  ถ้าเขาจะเอาเวลาที่เขามานั่งนินทาพระพุทธเจ้า  ไปประกอบการงานให้เป็นประโยชน์  เขาก็จะมีประโยชน์  มีทุนทรัพย์มากขึ้น

        สมมุติว่า  เขานั่งนินทาวันละ  1  นาที  ถ้า  10  วัน  ก็  10  นาที  100  วัน  100  นาที  ปีหนึ่ง  365  วัน  สิ้นเวลาการงานไป  365  นาที  ถ้าลองคิดว่า  เวลา  365  นาทีนี้  ถ้าเขาจะถอนหญ้าหน้าบ้านเขานาทีละ   1  ต้นหญ้าที่มันรกอยู่มันก็จะเตียนไป  365  ต้น  เห็นไหม  บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน  ท่านผู้ถูกนินทาไม่มีความเสียหาย  แต่ว่าบุคคลที่นินทาเท่านั้นมีแต่ความเสียหาย  เมื่อการนินทาไม่ได้อะไร  แล้วก็เสียหายผลประโยชน์ของตน

        ต่อแต่นี้ไป  เรามาพูดถึงอุปนิสัยคือ จริยาขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่พระองค์ทรงให้ทานกัณหาและชาลี  นี่เป็นประเพณีของบุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้าทุกท่าน  เพราะมีกฏเกณฑ์บังคับว่า  ท่านที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้  ต้องเสียสละใหญ่  คือ  เสียของที่รักที่สุดของตัว  นั่นก็คือ  บุตรธิดา  และ   ภรรยา  เป็นต้น  เพราะสิ่งทั้งสองประการนี้  บรรดาประชาชนทั้งหลายมีความรักกันมาก  คนที่จะเป็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ต้องเป็นนักเสียสละเพราะอะไร  เพราะว่า  พระพุทธเจ้าที่เกิดมาแล้ว  สงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัท  พระองค์ไม่มีค่าจ้างรางวัลใดๆ  แม้แต่เทศน์ให้ชาวบ้านฟัง  ก็ไม่มีค่าจ้างเหมือนกัน  พระสมัยปัจจุบันสิ่งที่จะตอบสนองคุณท่านนั้นก็คือ  ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัท  พระองค์มีความพอใจอยู่เพียงนั้น  ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง  มีผลตามความประสงค์  คือ

             1. ไม่ทำความชั่วทั้งหมด

             2. ทำแต่ความดี

             3. รักษาชำระจิตใจของตนเอง  ให้สะอากบริสุทธิ์จากกรรมที่เป็นอกุศล

        องค์สมเด็จพระทศพลต้องการผลตอบสนองเพียงเท่านี้  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท  องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์  ที่ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง 4  อสงไขย  กำไรแสนกัป  ต้องการผลเพียงเท่านี้  ไม่ใช่ค่าจ้างรางวัล  ใครเขาจะนินทาว่าร้ายนั้น  องค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้คำนึงถึง  เพราะพระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่า  เขาจะนินทาแบบไหนก็ตาม  ถ้าพระองค์ทำดี  พระองค์ก็ไม่ทรงเลวไปตามเขาว่า  แต่ถ้าพระองค์เลวแล้ว  ใครจะชมสักเท่าไหร่ก็ตามที  พระองค์ก็ไม่ดีตามคำชม

        ทีนี้กฎเกณฑ์แห่งการเป็นพระพุทธเจ้า  จะต้องเสียสละลูกและเมียเป็นทาน  ถ้ายังไม่สละลูก  ไม่สละเมีย   เป็นทานเพียงใด  ท่านผู้นั้นจะถือว่าเป็นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้  จะไม่มีโอกาสได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ   และโดยปกติ  ลูก  และ  เมียทั้งสองฝ่ายนี้  ถ้าหากสร้างกรรมดีเข้าไว้  ก็จะไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไร  ดูตัวอย่างเช่น   พระนางมัทรี

        เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์เสวยพระชาติเป็น  พระเวสสันดร  หน่อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์  เมื่อให้ลูกเป็นทานไปแล้ว  ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็ให้นางมัทรีเป็นทาน  สละเมียเป็นทานไปอีก  ตอนสละเมียเป็นทานนี้ความจริง  พระนางมัทรีไม่มีกรรมใหญ่ที่จะเข้าสนองผล  ก็เป็นเหตุให้ทิพยอาสน์ของพระอินทร์  บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  ที่เคยอ่อนประดุจสำลี  แข็งกระด้างขึ้นมา

        ท้าวเธอมีความสงสัยว่า  เหตุอะไรจะเกิดแก่บุคคลผู้มีบุญ  ก็ทรงทราบอุปนิสัยความนึกคิด  ขององค์สมเด็จพระจอมไตร  ในสมัยที่เป็น  พระเวสสันดรว่า  หน่อพระทินกร  จะต้องสละพระนางมัทรี  ให้เป็นของคนอื่น และพระนางมัทรีนี้  ก็เป็นคนคู่บารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์มานาน  เป็นกษัตริย์  และเป็นคนดี  ถ้าให้ไปกับคนอื่นที่มีนิสัย  หรือมีสัญชาติเป็น  ทาส ทาสี  ก็ไม่เหมาะ  สมควรที่พระองค์เองจะต้องเสด็จไปรับเสียเอง

        ฉะนั้น  พระอินทร์มีความกรุณาในพระนางมัทรี   เพราะอาศัยความดีที่สั่งสมบารมีมามาก  เป็นคู่บารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  พระอินทร์จึงได้แปลงเป็นพราหมณ์ลงมาขอพระนางมัทรี  องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงประทานให้   ก่อนที่จะประทานให้ก็แจ้งกับพระนางมัทรีว่า   อันนี้เป็นจริยาของบุคคลที่จะได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ต้องให้ลูก  และภรรยา  เป็นทาน  ขอนงคราญจงอย่าขัดข้องเลย  จงโมทนาด้วย

        เมื่อพระนางมัทรีทรงทราบเจตนาองค์สมเด็จพระชินสีห์  ก็ไม่ว่าอะไร ตามใจทุกอย่าง  ยอมไปตกอยู่ในอำนาจของพราหมณ์  แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมาร  เวลาที่เป็นพระเวสสันดรก็นำพระนางมัทรีมา   แล้วนั่งใกล้ท่านพราหมณ์  เขาเรียกกันว่า  อินทพราหมณ์  คือ  พระอินทร์แปลงตัวเป็นพราหมณ์   เมื่อเข้ามาใกล้แล้วจึงได้หลั่ง  ทักษิโณทก  ให้ตกบนฝ่ามือ   แสดงถึง   การให้

        เมื่อพระอินทร์ได้รับพระราชทานพระนางมัทรีแล้ว   จึงได้กล่าวถวายองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า   เวลานี้  พระนางมัทรีเป็นสิทธิของข้าพระพุทธเจ้า   แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าขอถวายคืนเข้าไว้   แต่ขอพรว่า  ถ้าจะให้พระนางมัทรีกับใครแล้ว  ต้องขออนุญาตข้าพระพุทธเจ้าก่อน   เพราะข้าพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ   แต่การมอบไว้นี้ก็ให้เป็นสิทธิ์ในการใช้สอย   อยู่ร่วมในฐานะสามีภรรยาก็ได้   หรือจะรับไว้เป็นคนใช้ก็ได้   ห้ามบุคคลอื่นทั้งหลายที่จะมาขอต่อ  ถ้าใครจะมาขอต่อก็ต้องขออนุญาตก่อน   เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไม่อนุญาต   องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถจะให้ไม่ได้   องค์สมเด็จพระจอมไตรในสมัยนั้น  ที่เป็นพระเวสสันดร  ก็ทรงรับ

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท   มาดูพระนางมัทรีที่ถูกให้   แต่กฎของกรรมเดิมที่นางทำไว้   กรรมชั่วมันไม่มี   ก็เป็นเหตุให้ทิพยอาสน์  ของท้าวโกสีย์สักกเทวราช  แข็งกระด้างเป็นเครื่องเตือนใจ   เป็นเหตุให้พระนางมัทรีไม่ต้องไปอยู่กับพราหมณ์   แต่ความจริง  ไปอยู่ก็ไม่เป็นประโยชน์   เพราะพราหมณ์นั้นเป็นพระอินทร์   เมื่อพระองค์พระราชทานพระนางมัทรีให้เป็นชายาของพราหมณ์   พราหมณ์ถวายแล้ว   พราหมณ์จึงได้แสดงความจริงกับองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  แปลงกายจากพราหมณ์  กลับมาเป็นพระอินทร์ตามเดิม  แล้วก็ประกาศให้ทรงทราบว่า  ข้าพเจ้า  คือพระอินทร์  พระนางมัทรีเป็นของข้าพเจ้า   พระองค์จะให้ใครไม่ได้เด็ดขาด

        เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงรับรองแล้ว   จึงได้ขอพรกับพระอินทร์   8   ประการ   พร   8   ประการนี้คือ

             1. ขอให้ได้เข้าครองพระราชฐานตามเดิม

             2. ให้ได้รับความกรุณาเมตตาจากพระราชบิดาพระราชมารดา  และประชาชนทั้งหลาย  เป็นต้น

        เป็นอันว่าพร  8  ประการ  ไม่ต้องกล่วกัน  เราไม่ได้มาเทศน์อัฏฐพรกัน  อัฏฐพร  คือ พร  8  ประการที่ขอจากพระอินทร์  ไม่ได้เทศน์เรื่องนี้

        เรามาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของกัณหา  และชาลี   ที่ชาวบ้านชอบโจมตีว่า  พระเวสสันดรเห็นแก่ตัวมาก  ไม่เห็นแก่ความลำบากของลูกและเมีย  แต่ว่าคนที่พูดนั้นไม่ทราบความจริง  ก็ไม่น่าตำหนิท่าน  ถ้าคนเราลองโง่เสียอย่างเดียว  ตำหนิกันไม่ได้   แต่คนที่จะตำหนิได้นั้น  ก็ต้องเป็นคนที่ไม่โง่  แต่ว่า  คนโง่  แล้วไม่รู้ตัวว่า  โง่อวดฉลาด  อย่างนี้เขาเรียกกันว่า  โง่แกมหยิ่ง  ไม่ว่าชาย  หรือหญิง  ใช้อะไรไม่ได้ทั้งหมด   แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคตท่านไม่ได้ตำหนิ   อาตมาก็ไม่ได้ตำหนิ   แต่พูดให้ฟังว่า  โง่จริงๆ  นี่น่าสงสาร  ถ้าโง่แกมหยิ่ง  ไม่น่าสงสารเลย

        เรามาพูดถึงเรื่องกัณหา  และชาลี   เมื่อพระราชบิดามอบหมายตนเองให้เป็นสิทธิของตาชูชก  เมื่อตาชูชกแกได้กัณหา  ชาลี  เป็นสิทธิแล้ว   ตาแก่ผู้ใจแกล้ว  แทนที่จะปลอบโยนกัณหา  และชาลีเป็นการเอาอกเอาใจ   กลับมีความคิดเสียใหม่ว่า   เด็กทั้งสองคนนี้เป็นลูกของกษัตริย์   ถ้าเราจะเอาใจเธอทั้งสองคน   พ่อหน้ามนก็จะทะนงตัว   เมื่อไปอยู่กับเรา  ก็จะถือตนว่าเป็นลูกกษัตริย์   จะเป็นนายของเราเข้าไป  จึงตั้งอารมณ์เสียใหม่ว่า  เราต้องข่มขี่   ข่มขู่  เสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  ฉะนั้น  ตาชูชกจึงได้นำเถาวัลย์  มาผูกมือทั้งสองของกุมารากุมารี  แล้วก็เฆี่ยนตี  ฉุดกระชาก  ใช้อำนาจให้เด็กทั้งสองกลัว

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ตอนนี้เอง  ที่บรรดาท่านทั้งหลาย  หลายท่านด้วยกัน  โจมตีองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาว่า  เป็นคนเห็นแก่ตัว  สร้างความชั่วให้แก่บุคคลอื่น  เพื่อความดีของตน  ความจริง  ถ้าเขารู้จักองค์สมเด็จพระทศพลเขาก็คงไม่พูดแบบนั้น  แต่ว่า  เราจะเอาขนมอะไรไปป้อนให้ควายกินเล่า  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ควายที่จะมาชอบทองหยิบฝอยทองนั้น  มันไม่มี   หรือว่าจะหาขนมเค้กอย่างดี  ขนมอะไรก็ตาม  มาป้อนให้กิน  ควายมันก็ไม่ชอบ  เพราะควายมันชอบกินหญ้า  ข้อนี้มีอุปมาฉันใด  คนที่โง่แกมหยิ่ง  มันก็เหมือนกัน  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ชอบคิดแต่สิ่งที่ชั่วร้าย  ส่วนที่เป็นความดีที่เป็นเหตุแห่งความสบายใจ  เขาไม่ชอบคิดกัน

        ทีนี้ก็จะกล่วถึง  บุพกรรมของกัณหา  และชาลี  เรื่องนี้เคยมีพระ  ถามพระพุทธเจ้า  ในกาลที่เล่าเรื่องพระเวสสันดร  เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรทรงเล่าเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  บรรดาพระสงฆ์จึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า   กัณหา  และชาลี  ทั้งสองศรีนี้  ขึ้นชื่อว่า  เป็นขัตติยราช  เป็นบุตรกษัตริย์   เป็นคนมีจริยาดี  แสดงความเคารพนบนอบ  อ่อนโยนกับตาชูชกด้วยดี   แต่ว่าเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์พระราชทานแล้ว  ทำไมตาชูชกจึงได้ทำอย่างนั้น

        องค์สมเด็จพระภควันต์จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เหตุที่จะเกิดขึ้นเช่นนั้น  ก็เพราะอาศัยกรรมเก่าของกัณหา และชาลี   เดิมทีกัณหา  และชาลีเป็นลูกของชาวบ้าน  คือชาวนาธรรมดา  ตาชูชก  ตัวแก่เฒ่าชราคนนี้  แกเป็นควายแก่

        เมื่อต้นข้าวขึ้นมาใหม่ๆ  บิดา  และมารดา  ให้สองศรีนี้ไปเฝ้าต้นข้าว  เพื่อกันควายไม่ให้เข้ามากิน  พอเด็กสองคนนี้เผลอเมื่อไร  เจ้าควายแก่ก็ย่องเข้ามากินเมื่อนั้น  บิดา  และมารดา  ก็ดุว่าเด็กทั้งสองนี้บ้าง  เฆี่ยนตีบ้าง  หาว่าละเลยหน้าที่  เมื่อจะไล่จะปาสักเท่าไรก็ตามที  เจ้าควายแก่ตัวนี้มันไปไม่ไกล  ทำทีเหมือนว่าหันหน้าหนีไป  แล้วกินหญ้าอยู่  พอโฉมตรูทั้งสองกุมารเผลอเมื่อไร  มันก็ย่องเข้ามากินต้นข้าวอ่อนเมื่อนั้น  เป็นเหตุให้สองกุมาร  มีความโกรธ  จึงได้พากันจับควายเฒ่าตัวนั้น  ไปผูกไว้กับต้นไม้  คือ  เอาเชือกผูกที่ตะพาย  แล้วก็ผูกติดกับต้นไม้  สองคนพี่น้อยช่วยกันหาไม้เรียวหนาม  มาตีควายแก่ตัวนี้เสียจนหนำใจ  เรียกว่า  จนพอใจ แล้วจึงปล่อยควายแก่นี้ไป

        องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตรัสว่า  เพราะกรรมในอดีต  ที่กัณหา  และชาลีตีควายแก่  กรรมนั้นมันมาสนองเธอทั้งสอง  เจ้าควายแก่ตัวนั้นมันมาเกิดเป็นชูชก  ทีนี้เมื่อมอบหมายให้ชูชกแล้ว  กรรมเก่ามันเข้าสนองใจ  ทำให้ชูชกเห็นผิด  คิดในใจว่า  เราต้องปราบปรามให้เด็กพวกนี้เข็ดเสียก่อน  กลัวเรา  ไม่เช่นนั้นแล้ว  ไปอยู่กับเราก็จะทำตัวเป็นนาย  เพราะจะถือตัวว่าเป็นลูกเจ้าใหญ่นายโต

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท   ความสงสัยของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ในเรื่องนี้ก็คงจะหมดไป  หรือไม่หมดก็ตามใจ  เพราะบุคคลที่สอนได้นั้นก็มีอยู่ 3 ขั้น  ด้วยกัน  คือ

        อุคฆฏิตัญญู  มีปัญญาดีมาก  แนะนำแต่เพียงหัวข้อก็มีความเข้าใจ

        คนระดับที่สองรองลงมานั้นไซร้  ก็คือ  วิปจิตัญญู  คนประเภทนี้ องค์สมเด็จพระบรมครูบอกว่า  แนะนำหัวข้อเขาไม่เข้าใจ  จะต้องอธิบายนิดหน่อย จึงจะเข้าใจ

        คนประเภทที่สามเรียกว่า  เนยยะ  คนประเภทนี้จะสั่งสอนเท่าไร  ก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้  แต่ก็มีความดี  เข้าถึงไตรสรณาคมน์  มีศีล  5  บริสุทธิ์  ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี  จัดเป็นกัลยาณชน  คือคนดี หรือคนงาม

        คนประเภทที่สี่  คือ  ปทปรมะ  ท่านแปลว่า  มีบทบาทอย่างยิ่ง  บุคคลประเภทนี้  จะเป็นชาย  จะเป็นหญิง จะศึกษาวิชาการสูงขนาดไหนก็ตาม  ก็มีความโง่เป็นปกติ  เรื่องความดี  เรื่องบุญ  เรื่องกุศล  ทำตน และบุคคลอื่นให้มีความสุข  บุคคลประเภทนี้ไม่เคยคิด  และก็เป็นคนไร้เหตุไร้ผล ไม่ยอมรับทราบ  ผลของบุคคลผู้ใด  เหตุผลจะเป็นประการใด  ฉันไม่ฟัง  ฉันต้องการอย่างเดียว  คิอคัดค้านให้มันพินาศไป

        แม้แต่ประเทศชาติของตน  ที่กำลังเป็นไท  ไม่ใช่ทาส  บุคคลประเภทนี้ก็พยายามทำลายชาติให้พินาศ  ด้วยการขายชาติให้แก่ศัตรู  ความจริงตัวของเขาเองไม่รู้หรอก  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ว่าการขายชาติของเขา  มันมีผลร้ายสักเพียงใด  ญาติพี่น้องของเขาทั้งหลาย  ที่เกิดอยู่ในประเทศไทยก็จะพากันลำบาก  ตัวเขาเองที่ถูกป้อยอว่า  ถ้ายึดประเทศไทยได้เมื่อไร  เขาจะให้เป็นใหญ่

        แล้วใครที่ไหนเล่า  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เขาจะให้คนจัญไรประเภทนี้ปกครองประเทศ  แม้แต่บ้านพ่อ  บ้านแม่  บ้านปู่ย่าตายายของเขา  เขายังทรยศได้   แล้วเจ้านายผู้จ้างเขามา  เป็นอะไรที่เขาจะไว้วางใจ เรื่องการไว้วางใจย่อมไม่มีในที่สุด  คนอัปรีย์พวกนี้ก็จะต้องตายโหงไปตามๆ กัน

        นี่เราพูดกันเรื่องกรรมนะ  กรรมของกัณหา  ชาลี  เป็นเช่นใด  คนที่สร้างกรรมชั่วไว้  ผลกรรมก็จะต้องรับเหมือนกัน  ที่นำผลของกรรมมากล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  เพื่อให้มีความเข้าใจในกฎของกรรมที่เป็นความดี  หรือความชั่ว  ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังตัว  จงอย่าคิดว่า  กรรมชั่วนิดหน่อยมันจะไม่ให้ผล

        ตามที่องค์สมเด็จพระทศพลกล่าวถึงกฎของกรรม  ของกัณหา และชาลี  ความจริงถ้าจะคิดกันไปดูอีกที  เจ้าควายตัวนี้มันมาลักข้าวเขากิน  การลงโทษประเภทนั้นควรจะมีผลเสมอกัน  กล่วคือหายกันไป  แต่ความจริง  มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น  มันไม่หายสิ   มันติดตามมาเล่นกัณหา  และชาลีเข้าในชาติสุดท้าย  ตอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  เป็น  พระเวสสันดร  หน่อพระบรมพงศ์โพธิ์สัตว์

        ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท  จำไว้ให้ดี  จงอย่าคิดว่า  ยุงตัวเล็กๆ  มันเป็นเด็ก  ฆ่าแล้วไม่บาป  หรือที่เขากล่าวกันบอกว่า  สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์   แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาฆ่ากินกัน  แล้วกรรมทั้งหลายเหล่านี้นั้น  มันก็ไม่ให้อภัยกับบุคคลผู้ฆ่าเหมือนกัน  ต่อไปในชาติเบื้องหน้า  ถ้าเกิดใหม่  ก็ต้องฆ่ากันไป  ฆ่ากันมา  ผลัดกันฆ่าอยู่แบบนั้น  เช่น  เจ๊กกับหมู  เจ๊กกับไก่  เป็นต้น

        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ก็ดูในกาลต่อไป  เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเทวดา  การที่ชูชกจะรู้ว่ากัณหา  ชาลีอยู่ที่ไหน  ก็เป็นเรื่องของเทวดาช่วย  นางอมิตตดา  ที่เป็นเมียชูชก  อยู่ๆ  เธอก็โกรธชูชกขึ้นมา  หาว่าชาวบ้านด่าเธอ  เธอปฏิบัติความดีกับชูชกมาก  ดีเกินหน้าไป  เป็นเหตุให้บรรดาสาวสรรกำนัลใน  คือหญิงชาวบ้านแถวนั้น  ถูกผัวไปต่อว่า  ว่า  นางอมิตตดาเขามีผัวแก่  เขายังมีความดี  สร้างความดีให้แก่สามีมีความสุข  ส่วนตนเองเป็นสามีภรรยาอายุไล่เรี่ยกัน  แต่ไม่ปฏิบัติตามนั้น  ทำให้มีความทุกข์

        เมื่อบรรดาหญิงทั้งหลายเหล่านั้น  ได้รับการกระทบกระเทือน  ถูกด่าว่าจากสามี  จึงได้มาโกรธนางอมิตตดา นี่เป็นนิสัยพาล  มาด่า  มาว่า มาพูดประชดประชัน  อยากจะให้นางอมิตตดานี้นั้น  ไปเสียจากที่นั้น  ตัวจะได้มีความสุข สามีจะได้ไม่ว่า  ไม่ด่า ไม่ทุบ ไม่ตี

        นางอมิตตดา  เมื่อถูกหญิงทั้งหลายเหล่านั้น  ว่าประชดประชัน  ใจก็นึกขึ้นมาว่า  เวลานี้องค์สมเด็จพระทรงธรรมพระเวสสันดร  หน่อพระบรมพงศ์โพธิ์สัตว์  ออกสู่ ภิเนษกรมณ์  จะต้องให้บุตร  และภรรยา  เป็นทาน  ความจริงนางไม่รู้เรื่อง  เพราะบ้านเมืองสมัยนั้นไม่มีวิทยุ  ไม่มีหนังสือพิมพ์  แต่ที่นางรู้ขึ้นมาได้  ก็เพราะเทวดาเข้าดลใจให้พูดไปแบบนั้น  ให้ชูชกไปขอสองกุมารมา  นี่เป็นเรื่องของเทวดาเขาแนะนำกัน  ถ้าหากพระเวสสันดร  ไม่มีโอกาสให้สองกุมารเป็นทาน  พระเวสสันดรก็ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุ  พระสัมมาสัมโพธิญาณได้

        เมื่อกัณหา  ชาลี  ทั้งสองศรีนี้ไซร้  ถูกชูชกทรมานไประหว่างทาง  ก็ปรากฎว่า  เทวดาก็เข้ามายุ่งอีก  คือ  เมื่อเวลากลางคืน ก็แปลงเป็นพระเวสสันดร  องค์หนึ่ง  แปลงเป็นพระนางมัทรี  องค์หนึ่ง  มาให้สองกุมารนอนบนตัก  ปฐมพยาบาลจนหลับไป   พอตื่นขึ้นเช้า  ทั้งสองเทวดาก็หายไป  ชูชกลากไป

        คราวนี้เทวดาผู้เป็นเจ้ากี้เจ้าการ  ก็เลยพาให้ชูชกหลงทาง  พาไปหาพระเจ้าปู่  เมื่อไปหาพระเจ้าปู่  ไปใกล้ พระเจ้าปู่เห็นเข้า  พระเจ้าปู่  จึงได้ให้อำมาตย์ทั้งหลายไปตามเข้ามา  เพราะจำได้ว่า  เป็นหลาน  ว่า  ใครหนอไปลักหลานของเรามา  ไปจับมันเข้ามา  เมื่อพระเจ้าปู่พบพระเจ้าหลานแล้ว  จึงได้เรียกหลานแก้วทั้งสองให้ขึ้นมานั่งบนตัก

        ตอนนี้เทวดาก็มีสร้างความเมตตาขึ้นมาอีก  ก่อนที่พระเวสสันดรจะไป  เทวดาก็ดลใจให้ถูกไล่  ตอนนี้เทวดาก็ดลใจให้  พระเจ้าปู่  พระเจ้าย่า  คือพระเจ้ากรุงสญชัย  กับพระนางผุสดี  คิดถึงพระเวสสันดร  บรรดาพสกนิกรทั้งหลายที่เคยโกรธก็ไม่โกรธ  ที่ชาวบ้านเขาโกรธ  เพราะเทวดาแกล้งดลใจให้โกรธ  นี่มันเรื่อง  ของเทวดาปรารถนาจะให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าให้ได้  ให้บำเพ็ญบารมีให้เต็ม

        เมื่อเด็กทั้งสองพบพระเจ้าปู่  พระเจ้าย่าแล้ว  จึงได้บอกว่า  พ่อตีราคามา  ถ้ายังไม่ชำระหนี้  ก็ยังไม่เป็นไท  ยังเป็นทาสของชูชกอยู่  สมเด็จพระเจ้าปู่จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ  อนุญาตให้นำเงินนำทองมาไถ่หลาน  แล้วก็เลี้ยงดูชูชกจนอิ่มหนำสำราญ  เมื่อแกกินมากเข้าไป  ธาตุย่อยไม่ไหว เพราะเป็นขอทานมานาน  ไม่เคยกินของดีๆ  ในที่สุด  ตาชูชกนี้แกก็ตาย  เพราะธาตุไม่ย่อย

        พระเจ้ากรุงสญชัย  จึงได้บอกให้คนทั้งหลาย  ประกาศหาญาติของตาชูชก  ก็หาญาติไม่ได้  เป็นอันว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลาย  ที่ยกให้ชูชก  ก็ตกเป็นของหลวงไป  แล้วก็ถามสองกุมารว่า  บิดามารดามีความสุข  หรือประการใด  เด็กทั้งสองก็บอกว่า บิดามารดามีความทุกข์มาก  ลำบากด้วยความเป็นอยู่  และการบริโภค

        ฉะนั้น  พระเจ้ากรุงสญชัย  บรมกษัตริย์  พระบาทท้าวเธอจึงสั่งจตุรงคเสนา  ยกกองทัพไปรับพระเวสสันดรกลับเข้าเมือง  เรื่องมันแค่นี้แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ที่คนเขาโจมตีพระเวสสันดรอย่าเห็นกับเขาด้วยเลย  จงพากันรับทราบกฎของกรรมว่า  กรรมเพียงเล็กน้อย  มันย่อมให้ผลใหญ่

        เอาละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  สำหรับบุพกรรมของกัณหา ชาลี  ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดี  จงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สวัสดี
โพสต์โพสต์