ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 181
ผมก็ลองคิด ดู ว่า
การซื้อหุ้นแต่ละครั้ง มีความเสี่ยง ไม่มาก ก็ น้อย ว่า เมื่อซื้อ แล้ว หุ้นจะขึ้น หรือลง
แต่ถ้าบังเอิญ หุ้นขึ้นแล้ว ขาย
ก็แปลว่า ได้เงินสด มา แล้ว ต้องซื้อ หุ้นตัวใหม่
การซื้อครั้งใหม่ มีความเสี่ยง ไม่มาก ก็ น้อย ว่า เมื่อซื้อ แล้ว หุ้นจะขึ้น หรือลง
แต่ถ้าบังเอิญ หุ้นขึ้น แล้วขาย เท่าทุนแล้วขาย หุ้นลงแล้วขาย
ก็แปลว่า ได้เงินสด มา แล้ว ต้องซื้อ หุ้นตัวใหม่
การซื้อครั้งใหม่ มีความเสี่ยง ไม่มาก ก็ น้อย ว่า เมื่อซื้อ แล้ว หุ้นจะขึ้น หรือลง
และก็คง หมุนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
นั่น ดูคล้ายกับ เราเข้ารับความเสี่ยง บ่อยครั้งขึ้น ตามอัตราการซื้อขาย
การที่รู้มูลค่า อาจจะทำ ให้สร้าง ความน่าจะเป็นที่จะกำไรได้สูงขึ้น และลด ความน่าจะเป็นที่จะขาดทุน
นี่ดูเหมือนเป็นรูปแบบ ของ การ ซื้อ เพื่อ ขาย
การซื้อหุ้นแต่ละครั้ง มีความเสี่ยง ไม่มาก ก็ น้อย ว่า เมื่อซื้อ แล้ว หุ้นจะขึ้น หรือลง
แต่ถ้าบังเอิญ หุ้นขึ้นแล้ว ขาย
ก็แปลว่า ได้เงินสด มา แล้ว ต้องซื้อ หุ้นตัวใหม่
การซื้อครั้งใหม่ มีความเสี่ยง ไม่มาก ก็ น้อย ว่า เมื่อซื้อ แล้ว หุ้นจะขึ้น หรือลง
แต่ถ้าบังเอิญ หุ้นขึ้น แล้วขาย เท่าทุนแล้วขาย หุ้นลงแล้วขาย
ก็แปลว่า ได้เงินสด มา แล้ว ต้องซื้อ หุ้นตัวใหม่
การซื้อครั้งใหม่ มีความเสี่ยง ไม่มาก ก็ น้อย ว่า เมื่อซื้อ แล้ว หุ้นจะขึ้น หรือลง
และก็คง หมุนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
นั่น ดูคล้ายกับ เราเข้ารับความเสี่ยง บ่อยครั้งขึ้น ตามอัตราการซื้อขาย
การที่รู้มูลค่า อาจจะทำ ให้สร้าง ความน่าจะเป็นที่จะกำไรได้สูงขึ้น และลด ความน่าจะเป็นที่จะขาดทุน
นี่ดูเหมือนเป็นรูปแบบ ของ การ ซื้อ เพื่อ ขาย
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 182
แล้วถ้า พ่อค้าคนเดิม มีเงิน เหลือ และออม
การฝากเงิน ธนาคาร ได้ดอกเบี้ย ปีละ 3%
การซื้อ พันธบัตร รัฐบาล ได้ดอกเบี้ย ปีละ 4%
การซื้อ หุ้น ที่ให้ ผลตอบแทน โดย เป็นเงินปันผล ปีละ 5%
การซื้อ บ้าน คอนโด แล้วให้ ผู้ อื่นเช่า ได้ผลตอบแทน ปีละ 6%
การสร้าง อพาร์ทเมนท์ ให้คนเช่า ได้ผลตอบแทน ปีละ 8%
การที่ นำเงิน ไปสร้างขยาย ธุรกิจ ได้ผลตอบแทน ปีละ 15%
การนำเงิน ไปร่วมกับ บุคคล ผู้มี ความชำนาญ ความรู้ ซื่อสัตย์ แล้วสร้างธุรกิจใหม่ ได้ผลตอบแทน ปีละ 18%
สิ่งเหล่านี้ เรียกว่า อะไรดีครับ
ใช่การลงทุน รึเปล่าน๊า
การฝากเงิน ธนาคาร ได้ดอกเบี้ย ปีละ 3%
การซื้อ พันธบัตร รัฐบาล ได้ดอกเบี้ย ปีละ 4%
การซื้อ หุ้น ที่ให้ ผลตอบแทน โดย เป็นเงินปันผล ปีละ 5%
การซื้อ บ้าน คอนโด แล้วให้ ผู้ อื่นเช่า ได้ผลตอบแทน ปีละ 6%
การสร้าง อพาร์ทเมนท์ ให้คนเช่า ได้ผลตอบแทน ปีละ 8%
การที่ นำเงิน ไปสร้างขยาย ธุรกิจ ได้ผลตอบแทน ปีละ 15%
การนำเงิน ไปร่วมกับ บุคคล ผู้มี ความชำนาญ ความรู้ ซื่อสัตย์ แล้วสร้างธุรกิจใหม่ ได้ผลตอบแทน ปีละ 18%
สิ่งเหล่านี้ เรียกว่า อะไรดีครับ
ใช่การลงทุน รึเปล่าน๊า
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 183
นิสัย ของ เงิน
เงิน มี นิสัย มักจะไป อยู่ ในที่ ผลตอบแทน สูงสุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ความรู้ ความเข้าใจ ของ ผู้เป็นเจ้าของเงินด้วย
เช่น ถ้าเจ้าของเงิน ไม่มีความรู้ใดๆ ก็จะฝากเงินไว้
ถ้าเจ้าของเงิน มีความรู้เรื่อง พันธบัตร ก็จะนำเงิน ลงในพันธบัตร เพราะผลตอบแทนสูงกว่า
ถ้าเจ้าของเงิน มีความรู้เรื่อง ธุรกิจ ก็จะนำเงิน ลงในธุรกิจ เพราะผลตอบแทนสูงกว่า (แม้ความเสี่ยง จะดูสูงกว่า)
และ ผลตอบแทน ของสิ่ง ต่างๆเหล่านี้ ก็มีการแข่งขันอยู่ด้วย
เช่น ถ้า ดอกเบี้ย การฝากเงิน มาอยู่ที่ 6%
กลุ่ม คนที่จะ ลงเงินไปกับการซื้อ บ้าน หรือ คอนโดให้คนอื่นเช่า ก็จะชะลอตัวลง
ถ้าไม่คิดว่า ราคาบ้าน หรือ คอนโด จะสูง ขึ้น
ถ้าดอกเบี้ย การฝากเงิน มาอยู่ ที่ 8%
กลุ่ม คนที่จะลงเงิน ในหุ้น ที่ให้ ผลตอบแทน โดย เป็นเงินปันผล ปีละ 5% ก็อาจจะมองที่จะขายหุ้น
เพราะ การฝากเงิน ยิ่งถ้ามีการค้ำประกันด้วยแล้ว แทบจะไม่มีความเสี่ยง
แต่หุ้น ต้องเสี่ยง ต่อ ราคาที่ขึ้นลง และ การทำกำไรของบริษัท
แล้วเมื่อ คนส่วนใหญ่ ขายหุ้น เพื่อนำเงินไปไว้ในที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ผลตอบแทนสูงกว่า
ราคาหุ้น ก็จะลดลง แล้วราคาหุ้น จะลดลงไปถึงเท่าไหร่ล่ะ
ถ้า ฝากเงิน 100 บาท ได้ ดอกเบี้ย 8% จะได้ ปีละ 8 บาท
ถ้าราคาหุ้น 100 บาท ได้ ปันผล 5% จะได้ปีละ 5 บาท
ถ้าราคาหุ้นตัวเดิมลดลง จนมาอยู่ที่ 62.5 บาท ได้ปันผลเท่าเดิม ปีละ 5 บาท จะเท่ากับได้ผลตอบแทน 8%
ซึ่ง เมื่อ ราคา หุ้นลดลงมาที่ 62.5 บาท แล้ว ได้ปันผลจำนวนเท่าเดิม ก็จะได้ ผลตอบแทนปี ละ 8 % เท่ากับเงินฝาก
เป็นภาพ คร่าวๆ ของการวิ่ง หาผลตอบแทน ของเงิน
ภาพแบบนี้เกิด ขึ้น ในระดับการ โยกย้ายเงิน ข้าม ประเทศเลยทีเดียว
เช่น ประเทศ หนึ่ง พันธบัตร รัฐบาล ได้ดอกเบี้ย 3%
ประเทศ สอง พันธบัตร รัฐบาล ได้ดอกเบี้ย 7%
ถ้าประเทศ ที่สอง ไม่มีความเสี่ยง เรื่อง ค่าเงิน การเมือง การปกครอง และ ปัจจัย อื่นๆ มากนัก
หรือ เมื่อ คำนวณ ความเสี่ยงโดยรวม แล้วยัง ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ถ้า โยกย้ายเงิน
โอกาส ที่เจ้าของเงิน ผู้มีความรู้ ในประเทศ ที่หนึ่ง ก็จะย้ายเงิน ไปซื้อ พันธบัตร ใน ประเทศ ที่2
ซึ่ง ก็จะทำให้เงินไหลเข้า ประเทศที่ 2
ภาพคร่าวๆ ของ นิสัยเงิน นะครับ
เงิน มี นิสัย มักจะไป อยู่ ในที่ ผลตอบแทน สูงสุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ความรู้ ความเข้าใจ ของ ผู้เป็นเจ้าของเงินด้วย
เช่น ถ้าเจ้าของเงิน ไม่มีความรู้ใดๆ ก็จะฝากเงินไว้
ถ้าเจ้าของเงิน มีความรู้เรื่อง พันธบัตร ก็จะนำเงิน ลงในพันธบัตร เพราะผลตอบแทนสูงกว่า
ถ้าเจ้าของเงิน มีความรู้เรื่อง ธุรกิจ ก็จะนำเงิน ลงในธุรกิจ เพราะผลตอบแทนสูงกว่า (แม้ความเสี่ยง จะดูสูงกว่า)
และ ผลตอบแทน ของสิ่ง ต่างๆเหล่านี้ ก็มีการแข่งขันอยู่ด้วย
เช่น ถ้า ดอกเบี้ย การฝากเงิน มาอยู่ที่ 6%
กลุ่ม คนที่จะ ลงเงินไปกับการซื้อ บ้าน หรือ คอนโดให้คนอื่นเช่า ก็จะชะลอตัวลง
ถ้าไม่คิดว่า ราคาบ้าน หรือ คอนโด จะสูง ขึ้น
ถ้าดอกเบี้ย การฝากเงิน มาอยู่ ที่ 8%
กลุ่ม คนที่จะลงเงิน ในหุ้น ที่ให้ ผลตอบแทน โดย เป็นเงินปันผล ปีละ 5% ก็อาจจะมองที่จะขายหุ้น
เพราะ การฝากเงิน ยิ่งถ้ามีการค้ำประกันด้วยแล้ว แทบจะไม่มีความเสี่ยง
แต่หุ้น ต้องเสี่ยง ต่อ ราคาที่ขึ้นลง และ การทำกำไรของบริษัท
แล้วเมื่อ คนส่วนใหญ่ ขายหุ้น เพื่อนำเงินไปไว้ในที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ผลตอบแทนสูงกว่า
ราคาหุ้น ก็จะลดลง แล้วราคาหุ้น จะลดลงไปถึงเท่าไหร่ล่ะ
ถ้า ฝากเงิน 100 บาท ได้ ดอกเบี้ย 8% จะได้ ปีละ 8 บาท
ถ้าราคาหุ้น 100 บาท ได้ ปันผล 5% จะได้ปีละ 5 บาท
ถ้าราคาหุ้นตัวเดิมลดลง จนมาอยู่ที่ 62.5 บาท ได้ปันผลเท่าเดิม ปีละ 5 บาท จะเท่ากับได้ผลตอบแทน 8%
ซึ่ง เมื่อ ราคา หุ้นลดลงมาที่ 62.5 บาท แล้ว ได้ปันผลจำนวนเท่าเดิม ก็จะได้ ผลตอบแทนปี ละ 8 % เท่ากับเงินฝาก
เป็นภาพ คร่าวๆ ของการวิ่ง หาผลตอบแทน ของเงิน
ภาพแบบนี้เกิด ขึ้น ในระดับการ โยกย้ายเงิน ข้าม ประเทศเลยทีเดียว
เช่น ประเทศ หนึ่ง พันธบัตร รัฐบาล ได้ดอกเบี้ย 3%
ประเทศ สอง พันธบัตร รัฐบาล ได้ดอกเบี้ย 7%
ถ้าประเทศ ที่สอง ไม่มีความเสี่ยง เรื่อง ค่าเงิน การเมือง การปกครอง และ ปัจจัย อื่นๆ มากนัก
หรือ เมื่อ คำนวณ ความเสี่ยงโดยรวม แล้วยัง ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ถ้า โยกย้ายเงิน
โอกาส ที่เจ้าของเงิน ผู้มีความรู้ ในประเทศ ที่หนึ่ง ก็จะย้ายเงิน ไปซื้อ พันธบัตร ใน ประเทศ ที่2
ซึ่ง ก็จะทำให้เงินไหลเข้า ประเทศที่ 2
ภาพคร่าวๆ ของ นิสัยเงิน นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 184
และเมื่อ พ่อค้า คนเดิม สร้าง และ ขยาย ธุรกิจไปเรื่อยๆ
จาก ห้างหุ้นส่วน มาเป็น บริษัท แล้วก็ มาเป็น บริษัท มหาชน แล้วก็เข้าจะทะเบียน ในตลาดหุ้น
ซึ่ง พ่อค้า จะเอา ธุรกิจ ของตัวเอง เข้าตลาดหุ้นทำไม ( อยู่ ๆก็ลด สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของของตัวเองลงแต่ยังคงได้อำนาจการบริหารอยู่ เพราะ ยังคงถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก)
เวลา เข้าตลาดหุ้น หรือ IPO
สมมุติ บริษัท มีผู้ถือ หุ้นอยู่แล้ว 7 คน รวม 7 ล้านหุ้น ( แต่จริงๆ บริษัท จะเป็น มหาชน ต้องมีผู้ถือ หุ้นเป็นร้อยคนมั้งครับ)
แล้วจะนำ บริษัท เข้า ตลาดหุ้น จึงมีมติว่า จะออก หุ้น เพิ่ม 3 ล้านหุ้น โดยขายให้บุคคลทั่วไป
สมมุติว่า ขายให้ บุคคลทั่วไป ในราคา หุ้นละ 10 บาท
ออก มา 3ล้านหุ้น หุ้น ละ 10 บาท ก็จะได้เงิน 30 ล้านบาท
ซึ่งเงินจำนวนนี้ ทั้งหมด หลังหักค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม ในการจัดขาย ก็จะเข้าไปในบริษัททั้งหมด
ซึ่ง ผู้บริหาร อาจจะนำเงินนี้ ไปชำระหนี้ หรือ ขยาย ธุรกิจก็ได้ (และยังมีเหตุผลทางตัวเลข การเงินอื่นๆอีก)
และการนำบริษัท เข้าจดทะเบียน ก็เป็น ส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ บริษัท ดูดี มีชื่อเสียง และน่าเชื่อถือ ขึ้นได้
และ เมื่อ เข้า ตลาดหุ้น สำเร็จ
จำนวน หุ้นที่ IPO นี้ และรวมถึง หุ้นที่ผู้ถือ หุ้นเก่า ถือ แล้วต้องการขาย ก็จะออกมาหมุนเวียน ให้ซื้อขายในตลาด
ซึ่ง เงิน ที่เกิด จาการซื้อขายนี้ ไม่ได้เข้า บริษัท
ดังนั้น เงิน นี้ ผู้ขาย หุ้น (สิทธิ์ การเป็นเจ้าของ) จะได้รับเงินส่วนนี้ไป
จาก ห้างหุ้นส่วน มาเป็น บริษัท แล้วก็ มาเป็น บริษัท มหาชน แล้วก็เข้าจะทะเบียน ในตลาดหุ้น
ซึ่ง พ่อค้า จะเอา ธุรกิจ ของตัวเอง เข้าตลาดหุ้นทำไม ( อยู่ ๆก็ลด สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของของตัวเองลงแต่ยังคงได้อำนาจการบริหารอยู่ เพราะ ยังคงถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก)
เวลา เข้าตลาดหุ้น หรือ IPO
สมมุติ บริษัท มีผู้ถือ หุ้นอยู่แล้ว 7 คน รวม 7 ล้านหุ้น ( แต่จริงๆ บริษัท จะเป็น มหาชน ต้องมีผู้ถือ หุ้นเป็นร้อยคนมั้งครับ)
แล้วจะนำ บริษัท เข้า ตลาดหุ้น จึงมีมติว่า จะออก หุ้น เพิ่ม 3 ล้านหุ้น โดยขายให้บุคคลทั่วไป
สมมุติว่า ขายให้ บุคคลทั่วไป ในราคา หุ้นละ 10 บาท
ออก มา 3ล้านหุ้น หุ้น ละ 10 บาท ก็จะได้เงิน 30 ล้านบาท
ซึ่งเงินจำนวนนี้ ทั้งหมด หลังหักค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม ในการจัดขาย ก็จะเข้าไปในบริษัททั้งหมด
ซึ่ง ผู้บริหาร อาจจะนำเงินนี้ ไปชำระหนี้ หรือ ขยาย ธุรกิจก็ได้ (และยังมีเหตุผลทางตัวเลข การเงินอื่นๆอีก)
และการนำบริษัท เข้าจดทะเบียน ก็เป็น ส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ บริษัท ดูดี มีชื่อเสียง และน่าเชื่อถือ ขึ้นได้
และ เมื่อ เข้า ตลาดหุ้น สำเร็จ
จำนวน หุ้นที่ IPO นี้ และรวมถึง หุ้นที่ผู้ถือ หุ้นเก่า ถือ แล้วต้องการขาย ก็จะออกมาหมุนเวียน ให้ซื้อขายในตลาด
ซึ่ง เงิน ที่เกิด จาการซื้อขายนี้ ไม่ได้เข้า บริษัท
ดังนั้น เงิน นี้ ผู้ขาย หุ้น (สิทธิ์ การเป็นเจ้าของ) จะได้รับเงินส่วนนี้ไป
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 185
ดังนั้น แปลว่า ขณะ นี้ บริษัท ของพ่อค้าคนนี้ เป็น บริษัทในตลาดหุ้นเรียบร้อยแล้ว
มีหุ้น รวม 10 ล้านหุ้น อยู่ที่หุ้นละ 10 บาท มูลค่า บริษัท ปัจจุบัน ก็เท่า กับ 100 ล้านบาท
ปีที่ ผ่านมา มีกำไร จากธุรกิจ ปกติ 10 ล้านบาท มีส่วนผู้ถือ หุ้น ก่อนเข้าตลาด 40 ล้านบาท
ได้เงิน เพิ่มทุน ขาย IPO มา 30 ล้านบาท ดังนั้น ส่วนผู้ถือ หุ้น ปัจจุบัน คือ 70 ล้านบาท
ดังนั้น PE = 10 P/BV = 1.42 ROE = 14.28 EPS = 1 บาท
แล้วมาดู ว่าเค้าทำ ธุรกิจอะไร
พ่อค้า เค้าก็เปิดร้านค้า สิครับ ( เอาเป็นร้าน ขายของชำดีกว่า) สมมุติ มี 10 สาขา
แล้วกำไร ของบริษัท นี้จะมาจากอะไร กำไร ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของรายได้ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ถูกป่ะ
อย่างนั้น รายได้ บริษัท นี้ มาจากอะไร
รายได้หลัก เวลา มีลูกค้า เข้ามา ใน ร้าน ก็เดิน เลือกซื้อสินค้า
พอเลือกได้ ก็เดิน มาจ่ายเงิน พอจ่ายเงิน ก็รับ ใบเสร็จ แล้วก็นำสินค้าไป
ซึ่ง สินค้า ที่ขายไป คงไม่ยอม ขายขาดทุน หรือเท่าทุนแน่
ดังนั้น ราคาสินค้า ก็จะถูก บวก กำไรไว้แล้ว
แปลว่า เมื่อมีคนมาซื้อสินค้า แต่ละชิ้น ๆ ก็จะมีรายได้ และ ส่วนต่างกำไร ไปด้วย
และเมื่อ นำรายได้ ทีละชิ้นๆ มารวม กัน ทุกสาขา ทั้ง รอบปี
ก็จะได้ รายได้ ทั้งปี แล้วนำไปลบ ค่าใช้จ่าย ต่างๆ ทั้งต้นทุนสินค้า ค่าเช่า ค่าแรงงาน รวมถึง ภาษี
ก็จะได้ ส่วนที่เหลือ ก็คือกำไร
งั้น แปลว่า มีส่วน ที่เป็นกำไร เข้ามา ใน บริษัท 10 ล้าน บาท จริงๆสินะ
ถ้าคุณ เป็นเจ้า ของ บริษัทนี้ทั้งหมด ก็คงไม่ยาก ที่จะนำเงิน 10 ล้านบาท นี้ เอามาเป็นของส่วนตัวของคุณเอง เอาไปใช้จ่าย หรือ เก็บออม
นั่นแปลว่า ถ้าคุณ เป็น เจ้าของ บริษัท คุณจะได้เงิน 10 ล้าน บาท จริงๆ โดยที่ ไม่จำเป็น ต้องขายหุ้นเลย เพื่อให้ได้กำไร
แต่เพราะ นี่คือ บริษัท มหาชน ครับ และ แบ่งสิทธิ์ ความเป็นเจ้าของออกเป็นหุ้นๆ
และมีผู้บริหาร เป็นผู้ตัดสินใจสูงสุด
และด้วย บุคคลทั่วไป การมีเงิน 100 ล้าน บาท แล้วเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด คงเป็นเรื่องไม่ง่าย
แล้วด้วยเพราะ เป็น ธุรกิจ อาจจะต้อง มีการลงทุน เพื่อ ขยาย สาขา หรือ อื่นๆ
ดังนั้น ผู้ บริหาร จึงตัดสิน ใจ ว่า จะ แบ่งเงินให้ผู้ถือ หุ้น ในอัตรา 50% ในรูปของปันผล
( ถ้าเราเป็นเจ้าของ ทั้งหมด จะเอาออก มา ทั้ง 100% เลยเนอะ ไม่ขยายหรอก 555)
แล้วสมมุติ ว่าเรา ลงทุนเป็นเงิน 1 ล้าน บาท หุ้นละ 10 บาท เราจะได้หุ้น 1 แสนหุ้น
ซึ่ง เท่ากับ 1% จาก จำนวนหุ้นทั้งหมด (100000/10000000) * 100 = 1%
EPS = 1 บาท ปันผล 50% = 0.5 บาท ดังนั้น จะได้เงินสด 0.5*100000 หุ้น = 50000 บาท
ลงทุน 1 ล้านบาท 1 ปี ได้เงินปันผล 50000 บาท ก็เท่ากับได้ 5%
แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของ บริษัททั้งหมด โดยลงเงิน 100 ล้านบาท แล้วเก็บกำไรครึ่งหนึ่งไว้ในบริษัท เพื่อขยาย กิจการเหมือนกัน
แปลว่า เราก็จะนำเงินออกมา ใช้จ่าย หรือ ออม ได้เป็นเงิน 5 ล้าน บาท
เห็นมั้ยครับ ผลตอบแทนเป็นไปตามอัตราส่วนที่เราลงทุน
แล้ว ส่วนที่ยังเหลือ ในบริษัท ล่ะจะเป็นยังไง
ผู้บริหาร ที่ดี และ ซื่อสัตย์ ก็จะนำเงินไปขยาย กิจการ ต่อ แล้ว มูลค่า ก็จะรวม อยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น ของบริษัทครับ
ซึ่งนั่น ก็ยังคง อยู่ ในสิทธิ์ การถือหุ้น ของเรา
เห็นมั้ยครับ ไม่ต้องขายหุ้นก็ได้เงิน ลงทุน 1 ล้าน บาท ปีนึงได้ 5 หมื่น บาท
นี่แหละ ครับ ผลตอบแทนที่ได้จากบริษัท โดยตรง
แต่เอ่ ได้แค่ ห้าหมื่น เองน้อย มากเลยเนอะ ถ้าเก็งกำไร ต้องได้มากกว่านี้แน่
ซึ่ง มันอาจจะ จริง หรือ อาจจะไม่จริงก็ได้มั้ง
มีหุ้น รวม 10 ล้านหุ้น อยู่ที่หุ้นละ 10 บาท มูลค่า บริษัท ปัจจุบัน ก็เท่า กับ 100 ล้านบาท
ปีที่ ผ่านมา มีกำไร จากธุรกิจ ปกติ 10 ล้านบาท มีส่วนผู้ถือ หุ้น ก่อนเข้าตลาด 40 ล้านบาท
ได้เงิน เพิ่มทุน ขาย IPO มา 30 ล้านบาท ดังนั้น ส่วนผู้ถือ หุ้น ปัจจุบัน คือ 70 ล้านบาท
ดังนั้น PE = 10 P/BV = 1.42 ROE = 14.28 EPS = 1 บาท
แล้วมาดู ว่าเค้าทำ ธุรกิจอะไร
พ่อค้า เค้าก็เปิดร้านค้า สิครับ ( เอาเป็นร้าน ขายของชำดีกว่า) สมมุติ มี 10 สาขา
แล้วกำไร ของบริษัท นี้จะมาจากอะไร กำไร ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของรายได้ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ถูกป่ะ
อย่างนั้น รายได้ บริษัท นี้ มาจากอะไร
รายได้หลัก เวลา มีลูกค้า เข้ามา ใน ร้าน ก็เดิน เลือกซื้อสินค้า
พอเลือกได้ ก็เดิน มาจ่ายเงิน พอจ่ายเงิน ก็รับ ใบเสร็จ แล้วก็นำสินค้าไป
ซึ่ง สินค้า ที่ขายไป คงไม่ยอม ขายขาดทุน หรือเท่าทุนแน่
ดังนั้น ราคาสินค้า ก็จะถูก บวก กำไรไว้แล้ว
แปลว่า เมื่อมีคนมาซื้อสินค้า แต่ละชิ้น ๆ ก็จะมีรายได้ และ ส่วนต่างกำไร ไปด้วย
และเมื่อ นำรายได้ ทีละชิ้นๆ มารวม กัน ทุกสาขา ทั้ง รอบปี
ก็จะได้ รายได้ ทั้งปี แล้วนำไปลบ ค่าใช้จ่าย ต่างๆ ทั้งต้นทุนสินค้า ค่าเช่า ค่าแรงงาน รวมถึง ภาษี
ก็จะได้ ส่วนที่เหลือ ก็คือกำไร
งั้น แปลว่า มีส่วน ที่เป็นกำไร เข้ามา ใน บริษัท 10 ล้าน บาท จริงๆสินะ
ถ้าคุณ เป็นเจ้า ของ บริษัทนี้ทั้งหมด ก็คงไม่ยาก ที่จะนำเงิน 10 ล้านบาท นี้ เอามาเป็นของส่วนตัวของคุณเอง เอาไปใช้จ่าย หรือ เก็บออม
นั่นแปลว่า ถ้าคุณ เป็น เจ้าของ บริษัท คุณจะได้เงิน 10 ล้าน บาท จริงๆ โดยที่ ไม่จำเป็น ต้องขายหุ้นเลย เพื่อให้ได้กำไร
แต่เพราะ นี่คือ บริษัท มหาชน ครับ และ แบ่งสิทธิ์ ความเป็นเจ้าของออกเป็นหุ้นๆ
และมีผู้บริหาร เป็นผู้ตัดสินใจสูงสุด
และด้วย บุคคลทั่วไป การมีเงิน 100 ล้าน บาท แล้วเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด คงเป็นเรื่องไม่ง่าย
แล้วด้วยเพราะ เป็น ธุรกิจ อาจจะต้อง มีการลงทุน เพื่อ ขยาย สาขา หรือ อื่นๆ
ดังนั้น ผู้ บริหาร จึงตัดสิน ใจ ว่า จะ แบ่งเงินให้ผู้ถือ หุ้น ในอัตรา 50% ในรูปของปันผล
( ถ้าเราเป็นเจ้าของ ทั้งหมด จะเอาออก มา ทั้ง 100% เลยเนอะ ไม่ขยายหรอก 555)
แล้วสมมุติ ว่าเรา ลงทุนเป็นเงิน 1 ล้าน บาท หุ้นละ 10 บาท เราจะได้หุ้น 1 แสนหุ้น
ซึ่ง เท่ากับ 1% จาก จำนวนหุ้นทั้งหมด (100000/10000000) * 100 = 1%
EPS = 1 บาท ปันผล 50% = 0.5 บาท ดังนั้น จะได้เงินสด 0.5*100000 หุ้น = 50000 บาท
ลงทุน 1 ล้านบาท 1 ปี ได้เงินปันผล 50000 บาท ก็เท่ากับได้ 5%
แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของ บริษัททั้งหมด โดยลงเงิน 100 ล้านบาท แล้วเก็บกำไรครึ่งหนึ่งไว้ในบริษัท เพื่อขยาย กิจการเหมือนกัน
แปลว่า เราก็จะนำเงินออกมา ใช้จ่าย หรือ ออม ได้เป็นเงิน 5 ล้าน บาท
เห็นมั้ยครับ ผลตอบแทนเป็นไปตามอัตราส่วนที่เราลงทุน
แล้ว ส่วนที่ยังเหลือ ในบริษัท ล่ะจะเป็นยังไง
ผู้บริหาร ที่ดี และ ซื่อสัตย์ ก็จะนำเงินไปขยาย กิจการ ต่อ แล้ว มูลค่า ก็จะรวม อยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น ของบริษัทครับ
ซึ่งนั่น ก็ยังคง อยู่ ในสิทธิ์ การถือหุ้น ของเรา
เห็นมั้ยครับ ไม่ต้องขายหุ้นก็ได้เงิน ลงทุน 1 ล้าน บาท ปีนึงได้ 5 หมื่น บาท
นี่แหละ ครับ ผลตอบแทนที่ได้จากบริษัท โดยตรง
แต่เอ่ ได้แค่ ห้าหมื่น เองน้อย มากเลยเนอะ ถ้าเก็งกำไร ต้องได้มากกว่านี้แน่
ซึ่ง มันอาจจะ จริง หรือ อาจจะไม่จริงก็ได้มั้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 186
แต่ถ้า บริษัท นี้ มีผู้บริหาร ที่ดี เก่ง และ รูปแบบ ธุรกิจ ที่ดี และ มีความต้องการจากตลาด
ก็มีความเป็นไปได้ มาก ที่บริษัท จะเติบโต ต่อไป
ซึ่ง เมื่อเรา เข้าใจ ว่าบริษัท นี้ ดีอย่างไรบ้าง และก็คาดว่า
กำไรมีความสม่ำเสมอ และ น่าจะเติบโตไปได้เรื่อย
ก็ตัดสินใจ ที่อยากจะได้สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของ ในบริษัท จึงลงทุน ซื้อหุ้น
และด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง รวม ถึง องค์ประกอบที่ดีในบริษัท
10 ปีผ่านไป บริษัท มีสาขา เพิ่มเป็น 20 สาขา จาก 10 สาขา
ยอดขายก็เพิ่ม เป็นสองเท่า และกำไร ก็เพิ่มเป็นสองเท่าเช่นกัน
เมื่อ เป็นเช่น ราคา ก็น่าจะ ขึ้นมา เป็นสองเท่าเช่นกัน
คือ จาก 10 บาท เป็น 20 บาท
แต่เพื่อ เข้าใจง่าย จึงสมมุติ ว่า บริษัท จ่ายปันผลให้ เท่าเดิม มาทุกๆปี เป็นจำนวน 5% จากเงินลงทุนหุ้นละ 10 บาท (ซึ่งความเป็นจริง เมื่อมี กำไรสูงขึ้น และปันผลใน อัตรา 50% ของกำไร ทั้งหมด จำนวน น่าจะสูงขึ้น)
งั้นลองมาคิด ถึงมูลค่า และผลตอบแทน ในอัตรา ทบต้น เมื่อผ่านไป 10ปี กับ บริษัทแห่งนี้กัน
ได้ผลตอบแทนจาก ปันผล ปีละ 5 % ซึ่งเรา ก็สามารถ นำไป reinvestment ได้ ( นำไปลงทุนต่อ)
แล้วราคาหุ้น ที่เพิ่ม จาก 10 บาทเป็น 20 บาท นั่น แปลว่า 1 ล้าน เป็น 2 ล้าน
การที่ ราคา เพิ่ม จาก 10 บาท เป็น 20 บาท ถ้าคิด เป็นอัตราทบต้น คือการเพิ่ม ปีละ 7 % ในช่วงเวลา 10 ปี
10*107%=10.7*107%=11.44*107%12.25*107%=13.10*107%=14.02*107%=15*107%=16.05
16.05*107%=17.18*107%=18.38*107%=19.67
ซึ่งมันจะแปลได้ว่า ต่อปี ได้ปันผล 5% + ส่วนต่างราคาหุ้น เท่าตัว ซึ่ง เท่ากับ 7% ต่อปีทบต้น
ซึ่งในกรณี ถ้าคุณ นำเงินปันผลที่ได้รับต่อ ปี ไปลงทุนด้วย
ดังนั้น อาจคิดได้ว่า จะได้ผลตอบแทน 5%+7% = 12% แบบทบต้นเลยทีเดียว
( นี่คือ บริษัท ที่ทำค้าปลีก แต่ถ้าเป็น บริษัทผลิตน้ำอัดลม ล่ะ
รายได้ ก็มาจาก น้ำแต่ละขวด แต่ละกระป๋อง ที่ขายผ่านร้านค้าต่างๆ ก็มาเป็นรายได้ทั้งหมด หักค่าใช้จ่ายต่างๆก็กลับมาเป็นกำไร
แล้ว ข้อสมมุติ อีกอย่าง
สมมุติ มีบริษัท 2 บริษัท ธุรกิจ แบบเดียวกันทุกอย่าง สินค้าแบบเดียวกัน ได้ความนิยมจากผู้บริโภคเท่าๆกัน
บริษัท แรก มีธุรกิจ อยู่ใน ประเทศ ที่มี ประชากร 200 กว่าล้านคน
บริษัท สอง มีธุรกิจ อยู่ใน ประเทศ ที่มี ประชากร 60 กว่าล้านคน
สองประเทศนี้ มีค่าครองชีพ และอัตราการใช้จ่าย ต่อ หัวพอๆกัน
คิดว่า บริษัทไหน มีขนาดกำไรมากกว่ากัน และมีมูลค่าของบริษัท มากกว่ากัน
น่าจะเป็น บริษัท แรก ใช่มั้ยครับ เพราะ จำนวนประชากรที่มากกว่า ปริมาณ ยอดขายก็มากกว่า ซึ่งก็จะทำให้ทำกำไรได้มากกว่า กำไรมากกว่า มูลค่า ของบริษัทก็จะสูงกว่า
นั่นทำให้ ดูคล้ายกับว่า ถ้ามี 2 บริษัท ที่ทำธุรกิจเหมือนกันทุกอย่างเลย และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคพอๆกัน
บริษัทแรก(แถมบางบริษัท ผลิตสินค้าขายข้ามชาติกันเลย โดยมียี่ห้อเป็นที่รู้จักทั่วโลก) ที่อยู่ อเมริกา ก็น่า ทำกำไร และมีมูลค่า ทางธุรกิจ สูงกว่าบริษัท สอง ที่อยู่ ไทย
นั่นแปลว่า นักลงทุน ในอเมริกา ถ้ามาลงทุน แต่เฉพาะในประเทศไทย ก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ลดลงกว่าการลงทุนในอเมริกา)
(เมื่อมี บริษัท ที่ดี ก็ต้อง มีบริษัท ที่ไม่ดีเช่นกัน
งบการเงิน ที่บอกว่ามี สินทรัพย์ อย่างนู้น อย่างนี้ ถ้าจะลงทุนจริงๆ ควรจะตรวจสอบด้วยว่า
มีสิ่งนั้น จริงๆ หรือไม่ มีมูลค่าเช่นนั้นจริงๆ หรือ ไม่
ในหลายๆ บริษัท ก็มีการตกแต่ง บัญชี ให้ดูดี)
ก็มีความเป็นไปได้ มาก ที่บริษัท จะเติบโต ต่อไป
ซึ่ง เมื่อเรา เข้าใจ ว่าบริษัท นี้ ดีอย่างไรบ้าง และก็คาดว่า
กำไรมีความสม่ำเสมอ และ น่าจะเติบโตไปได้เรื่อย
ก็ตัดสินใจ ที่อยากจะได้สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของ ในบริษัท จึงลงทุน ซื้อหุ้น
และด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง รวม ถึง องค์ประกอบที่ดีในบริษัท
10 ปีผ่านไป บริษัท มีสาขา เพิ่มเป็น 20 สาขา จาก 10 สาขา
ยอดขายก็เพิ่ม เป็นสองเท่า และกำไร ก็เพิ่มเป็นสองเท่าเช่นกัน
เมื่อ เป็นเช่น ราคา ก็น่าจะ ขึ้นมา เป็นสองเท่าเช่นกัน
คือ จาก 10 บาท เป็น 20 บาท
แต่เพื่อ เข้าใจง่าย จึงสมมุติ ว่า บริษัท จ่ายปันผลให้ เท่าเดิม มาทุกๆปี เป็นจำนวน 5% จากเงินลงทุนหุ้นละ 10 บาท (ซึ่งความเป็นจริง เมื่อมี กำไรสูงขึ้น และปันผลใน อัตรา 50% ของกำไร ทั้งหมด จำนวน น่าจะสูงขึ้น)
งั้นลองมาคิด ถึงมูลค่า และผลตอบแทน ในอัตรา ทบต้น เมื่อผ่านไป 10ปี กับ บริษัทแห่งนี้กัน
ได้ผลตอบแทนจาก ปันผล ปีละ 5 % ซึ่งเรา ก็สามารถ นำไป reinvestment ได้ ( นำไปลงทุนต่อ)
แล้วราคาหุ้น ที่เพิ่ม จาก 10 บาทเป็น 20 บาท นั่น แปลว่า 1 ล้าน เป็น 2 ล้าน
การที่ ราคา เพิ่ม จาก 10 บาท เป็น 20 บาท ถ้าคิด เป็นอัตราทบต้น คือการเพิ่ม ปีละ 7 % ในช่วงเวลา 10 ปี
10*107%=10.7*107%=11.44*107%12.25*107%=13.10*107%=14.02*107%=15*107%=16.05
16.05*107%=17.18*107%=18.38*107%=19.67
ซึ่งมันจะแปลได้ว่า ต่อปี ได้ปันผล 5% + ส่วนต่างราคาหุ้น เท่าตัว ซึ่ง เท่ากับ 7% ต่อปีทบต้น
ซึ่งในกรณี ถ้าคุณ นำเงินปันผลที่ได้รับต่อ ปี ไปลงทุนด้วย
ดังนั้น อาจคิดได้ว่า จะได้ผลตอบแทน 5%+7% = 12% แบบทบต้นเลยทีเดียว
( นี่คือ บริษัท ที่ทำค้าปลีก แต่ถ้าเป็น บริษัทผลิตน้ำอัดลม ล่ะ
รายได้ ก็มาจาก น้ำแต่ละขวด แต่ละกระป๋อง ที่ขายผ่านร้านค้าต่างๆ ก็มาเป็นรายได้ทั้งหมด หักค่าใช้จ่ายต่างๆก็กลับมาเป็นกำไร
แล้ว ข้อสมมุติ อีกอย่าง
สมมุติ มีบริษัท 2 บริษัท ธุรกิจ แบบเดียวกันทุกอย่าง สินค้าแบบเดียวกัน ได้ความนิยมจากผู้บริโภคเท่าๆกัน
บริษัท แรก มีธุรกิจ อยู่ใน ประเทศ ที่มี ประชากร 200 กว่าล้านคน
บริษัท สอง มีธุรกิจ อยู่ใน ประเทศ ที่มี ประชากร 60 กว่าล้านคน
สองประเทศนี้ มีค่าครองชีพ และอัตราการใช้จ่าย ต่อ หัวพอๆกัน
คิดว่า บริษัทไหน มีขนาดกำไรมากกว่ากัน และมีมูลค่าของบริษัท มากกว่ากัน
น่าจะเป็น บริษัท แรก ใช่มั้ยครับ เพราะ จำนวนประชากรที่มากกว่า ปริมาณ ยอดขายก็มากกว่า ซึ่งก็จะทำให้ทำกำไรได้มากกว่า กำไรมากกว่า มูลค่า ของบริษัทก็จะสูงกว่า
นั่นทำให้ ดูคล้ายกับว่า ถ้ามี 2 บริษัท ที่ทำธุรกิจเหมือนกันทุกอย่างเลย และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคพอๆกัน
บริษัทแรก(แถมบางบริษัท ผลิตสินค้าขายข้ามชาติกันเลย โดยมียี่ห้อเป็นที่รู้จักทั่วโลก) ที่อยู่ อเมริกา ก็น่า ทำกำไร และมีมูลค่า ทางธุรกิจ สูงกว่าบริษัท สอง ที่อยู่ ไทย
นั่นแปลว่า นักลงทุน ในอเมริกา ถ้ามาลงทุน แต่เฉพาะในประเทศไทย ก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ลดลงกว่าการลงทุนในอเมริกา)
(เมื่อมี บริษัท ที่ดี ก็ต้อง มีบริษัท ที่ไม่ดีเช่นกัน
งบการเงิน ที่บอกว่ามี สินทรัพย์ อย่างนู้น อย่างนี้ ถ้าจะลงทุนจริงๆ ควรจะตรวจสอบด้วยว่า
มีสิ่งนั้น จริงๆ หรือไม่ มีมูลค่าเช่นนั้นจริงๆ หรือ ไม่
ในหลายๆ บริษัท ก็มีการตกแต่ง บัญชี ให้ดูดี)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 187
ผมคงไม่สามารถ แนะนำ ตัวหุ้นใดๆ ได้
การเลือก หุ้นระยะยาวที่จะเหมาะกับตัวเอง นั้น
จะขึ้น อยู่ กับ วงกลม ของความเข้าใจ ในแต่ละคนครับ
ผมมี นิทาน เรื่องเล่า ให้อ่านครับ
นักแม่นธนู
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีนักแม่นธนูผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งชื่อกานหยิง ว่ากันว่าแกเก่งถึงขนาดแค่โก่งธนูเท่านั้น สัตว์ทั้งหลายตกใจถึงกับนอนราบกับพื้น นกที่กำลังบินก็ถลาตกลงมารอให้แกยิงเอาอย่างสบาย
กานหยิงมีศิษย์คนหนึ่งชื่อเฟยเหว่ ต่อมาเฟยเหว่ผู้นี้มีผีมือเก่งกว่าอาจารย์มาก
ชิชางมาขอเรียนศิลปะการยิงธนูกับเฟยเหว่ เฟยเหว่บอกว่า
ก่อนอื่นเธอต้องหัดมองไม่กะพริบตาให้ได้นานๆเสียก่อน
ชิชางกลับไปบ้าน นอนหวายใต้กี่ (หูกทอผ้า) ของภรรยา ฝึกมองโดยไม่กะพริบตาเลยตลอดเวลาสองปี แม้ว่าของแหลมคมจะหล่นลงมาถูกหางตาก็ตาม
เขารายงานให้อาจารย์ทราบ อาจารย์พูดว่า
ยังใช้ไม่ได้ ขึ้นต่อไปเธอต้องหัดมอง ถ้าเธอมองเห็นของเล็กเท่าของใหญ่ และของใหญ่เท่าของเล็กได้เมื่อไร ค่อยมาหาฉัน
ชิชางจึงเอาขนจามจุรีผูกเหาแขวนไว้ที่หน้าต่าง ยืนจ้องมันจากระยะที่ไกลพอสมควร สิบวันให้หลัง เขามองเห็นเหาตัวนั้นใหญ่ขึ้นๆจนกระทั่งถึงปีที่สาม มันใหญ่เท่าล้อรถ เวลาแกมองดูสิ่งอื่นๆรอบข้างก็เห็นมันใหญ่เท่าภูเขาเลากาไปหมด แกจึงหยิบธนูมายิงใส่เหาตัวนั้นทันที ลูกศรทะลุหัวใจเหาออกไปโดยไม่ทำให้ขนจามจุรีแกว่งแม้แต่นิดเดียว
ชิชางไปรายงานให้เฟยเหว่ทราบ
ใช้ได้แล้ว เฟยเหว่ตอบ
จากนั้นเฟยเหว่ก็ถ่ายทอดศิลปะการยิงธนูให้ชิชางจนหมดไส้หมดพุง ชิชางพอรู้เท่าอาจารย์ก็คิดวางแผนฆ่าอาจารย์ ตามวิสัยศิษย์อกตัญญู เมื่อมาประจันหน้ากันวันหนึ่ง ชิชางมิรอช้ายิงใส่อาจารย์ทันที อาจารย์ยิงตอบ ลูกศรทั้งสองปะทะกันกลางอากาศตกลงยังพื้นดิน เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดลูกศรของอาจารย์หมด ของศิษย์ยังเหลืออยู่หนึ่งดอก เขาปล่อยออกจากแล่งทันที
เฟยเหว่คว้าเรียวหนามข้างตัวโยนรับทันที
ทั้งสองโยนคันธนูทิ้ง ต่างก้มกราบกันพลางสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
แต่นั้นมา ทั้งสองไม่เคยสอนศิลปะการยิงธนูให้ใครเลย!
เครดิต : นิทานปรัชญาเต๋า ศาสตราจารย์พิเศษ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
รู้สึกยังไงบ้างครับ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าไร้สาระนะครับ
ผมอยากให้สนใจ ประโยคที่ว่า
ก่อนอื่นเธอต้องหัดมองไม่กะพริบตาให้ได้นานๆเสียก่อน
ประโยคนี้ อยากจะเปรียบกับ เวลาต้องการศึกษา ทำสิ่งใด
ต้องกล้าที่ จะมอง มุ่งมั่นที่ จะมอง และ อดทน ที่จะมอง อย่างแน่วแน่ ต่อสิ่งๆนั้น
อย่างเช่น การมอง บริษัท บริษัทหนึ่ง
ยังใช้ไม่ได้ ขึ้นต่อไปเธอต้องหัดมอง ถ้าเธอมองเห็นของเล็กเท่าของใหญ่ และของใหญ่เท่าของเล็กได้เมื่อไร ค่อยมาหาฉัน
และเมื่อกล้าที่ จะมอง มุ่งมั่นที่ จะมอง และ อดทน ที่จะมอง อย่างแน่วแน่ ต่อสิ่งๆนั้นแล้ว
เมื่อมอง ก็จะเห็นทุกอย่างชัดเจน
เมื่อเห็นทุกอย่างชัดเจน ก็ทำความเข้าใจ ดูลายละเอียดแต่ละอัน ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก
แยกแยะ ให้ได้ ว่าส่วนไหน อยู่ที่ไหน เพื่ออะไร
เปรียบ เหมือนมองนาฬิกา ข้อมือ(ไม่ใช่ ดิจิตอลนะครับ) ก็ได้ครับ
นาฬิกา ข้อมือ ทั่วไปก็มีขนาดเล็ก อยู่แล้ว
แต่ช่างนาฬิกา เมื่อ แกะนาฬิกาออก ดูเข้าไปที่เครื่อง ซึ่ง ประกอบ ด้วย ชิ้นส่วนที่เล็กลงไปอีก
มีทั้งฟันเฟือง มากมาย เข็ม และอื่นๆ
ช่างนาฬิกา จะรู้ว่า นาฬิกาข้อมือ เล็กๆ ก็มีส่วนประกอบมากมาย ถึงเป็นนาฬิกาข้อมือนี้ได้
ช่างนาฬิกา ก็รู้ว่า ส่วนประกอบเล็ก มากมาย ประกอบกัน ถึงเป็น นาฬิกาข้อมือเล็กๆ ได้
ก็คล้าย มองบริษัทครับ
และถ้า สามารถ ดู บริษัท และเข้าใจได้ขนาดนี้แล้ว
ก็จะสามารถ หาคำตอบได้ว่า เป็นบริษัทที่เราควรลงทุนหรือไม่
** แต่พวก เรื่อง อกตัญญู เป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างมากนะครับ **
การเลือก หุ้นระยะยาวที่จะเหมาะกับตัวเอง นั้น
จะขึ้น อยู่ กับ วงกลม ของความเข้าใจ ในแต่ละคนครับ
ผมมี นิทาน เรื่องเล่า ให้อ่านครับ
นักแม่นธนู
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีนักแม่นธนูผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งชื่อกานหยิง ว่ากันว่าแกเก่งถึงขนาดแค่โก่งธนูเท่านั้น สัตว์ทั้งหลายตกใจถึงกับนอนราบกับพื้น นกที่กำลังบินก็ถลาตกลงมารอให้แกยิงเอาอย่างสบาย
กานหยิงมีศิษย์คนหนึ่งชื่อเฟยเหว่ ต่อมาเฟยเหว่ผู้นี้มีผีมือเก่งกว่าอาจารย์มาก
ชิชางมาขอเรียนศิลปะการยิงธนูกับเฟยเหว่ เฟยเหว่บอกว่า
ก่อนอื่นเธอต้องหัดมองไม่กะพริบตาให้ได้นานๆเสียก่อน
ชิชางกลับไปบ้าน นอนหวายใต้กี่ (หูกทอผ้า) ของภรรยา ฝึกมองโดยไม่กะพริบตาเลยตลอดเวลาสองปี แม้ว่าของแหลมคมจะหล่นลงมาถูกหางตาก็ตาม
เขารายงานให้อาจารย์ทราบ อาจารย์พูดว่า
ยังใช้ไม่ได้ ขึ้นต่อไปเธอต้องหัดมอง ถ้าเธอมองเห็นของเล็กเท่าของใหญ่ และของใหญ่เท่าของเล็กได้เมื่อไร ค่อยมาหาฉัน
ชิชางจึงเอาขนจามจุรีผูกเหาแขวนไว้ที่หน้าต่าง ยืนจ้องมันจากระยะที่ไกลพอสมควร สิบวันให้หลัง เขามองเห็นเหาตัวนั้นใหญ่ขึ้นๆจนกระทั่งถึงปีที่สาม มันใหญ่เท่าล้อรถ เวลาแกมองดูสิ่งอื่นๆรอบข้างก็เห็นมันใหญ่เท่าภูเขาเลากาไปหมด แกจึงหยิบธนูมายิงใส่เหาตัวนั้นทันที ลูกศรทะลุหัวใจเหาออกไปโดยไม่ทำให้ขนจามจุรีแกว่งแม้แต่นิดเดียว
ชิชางไปรายงานให้เฟยเหว่ทราบ
ใช้ได้แล้ว เฟยเหว่ตอบ
จากนั้นเฟยเหว่ก็ถ่ายทอดศิลปะการยิงธนูให้ชิชางจนหมดไส้หมดพุง ชิชางพอรู้เท่าอาจารย์ก็คิดวางแผนฆ่าอาจารย์ ตามวิสัยศิษย์อกตัญญู เมื่อมาประจันหน้ากันวันหนึ่ง ชิชางมิรอช้ายิงใส่อาจารย์ทันที อาจารย์ยิงตอบ ลูกศรทั้งสองปะทะกันกลางอากาศตกลงยังพื้นดิน เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดลูกศรของอาจารย์หมด ของศิษย์ยังเหลืออยู่หนึ่งดอก เขาปล่อยออกจากแล่งทันที
เฟยเหว่คว้าเรียวหนามข้างตัวโยนรับทันที
ทั้งสองโยนคันธนูทิ้ง ต่างก้มกราบกันพลางสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
แต่นั้นมา ทั้งสองไม่เคยสอนศิลปะการยิงธนูให้ใครเลย!
เครดิต : นิทานปรัชญาเต๋า ศาสตราจารย์พิเศษ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
รู้สึกยังไงบ้างครับ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าไร้สาระนะครับ
ผมอยากให้สนใจ ประโยคที่ว่า
ก่อนอื่นเธอต้องหัดมองไม่กะพริบตาให้ได้นานๆเสียก่อน
ประโยคนี้ อยากจะเปรียบกับ เวลาต้องการศึกษา ทำสิ่งใด
ต้องกล้าที่ จะมอง มุ่งมั่นที่ จะมอง และ อดทน ที่จะมอง อย่างแน่วแน่ ต่อสิ่งๆนั้น
อย่างเช่น การมอง บริษัท บริษัทหนึ่ง
ยังใช้ไม่ได้ ขึ้นต่อไปเธอต้องหัดมอง ถ้าเธอมองเห็นของเล็กเท่าของใหญ่ และของใหญ่เท่าของเล็กได้เมื่อไร ค่อยมาหาฉัน
และเมื่อกล้าที่ จะมอง มุ่งมั่นที่ จะมอง และ อดทน ที่จะมอง อย่างแน่วแน่ ต่อสิ่งๆนั้นแล้ว
เมื่อมอง ก็จะเห็นทุกอย่างชัดเจน
เมื่อเห็นทุกอย่างชัดเจน ก็ทำความเข้าใจ ดูลายละเอียดแต่ละอัน ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก
แยกแยะ ให้ได้ ว่าส่วนไหน อยู่ที่ไหน เพื่ออะไร
เปรียบ เหมือนมองนาฬิกา ข้อมือ(ไม่ใช่ ดิจิตอลนะครับ) ก็ได้ครับ
นาฬิกา ข้อมือ ทั่วไปก็มีขนาดเล็ก อยู่แล้ว
แต่ช่างนาฬิกา เมื่อ แกะนาฬิกาออก ดูเข้าไปที่เครื่อง ซึ่ง ประกอบ ด้วย ชิ้นส่วนที่เล็กลงไปอีก
มีทั้งฟันเฟือง มากมาย เข็ม และอื่นๆ
ช่างนาฬิกา จะรู้ว่า นาฬิกาข้อมือ เล็กๆ ก็มีส่วนประกอบมากมาย ถึงเป็นนาฬิกาข้อมือนี้ได้
ช่างนาฬิกา ก็รู้ว่า ส่วนประกอบเล็ก มากมาย ประกอบกัน ถึงเป็น นาฬิกาข้อมือเล็กๆ ได้
ก็คล้าย มองบริษัทครับ
และถ้า สามารถ ดู บริษัท และเข้าใจได้ขนาดนี้แล้ว
ก็จะสามารถ หาคำตอบได้ว่า เป็นบริษัทที่เราควรลงทุนหรือไม่
** แต่พวก เรื่อง อกตัญญู เป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างมากนะครับ **
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 188
แล้วถ้า คุณ ลงทุน ไปเรื่อยๆ
ได้ผลตอบแทนมาเรื่อยๆ
แต่รู้สึก วุ่นวายใจ และอยากมีเพิ่มมากๆ จนเกินสมควร
ผมมี ประโยคนี้ครับ
A watched pot never boils.
The observed investment never matures.
But the one you forgot about will bear the great return.
ผมแปลแบบไม่เก่ง อังกฤษ ก็ว่า
หม้อน้ำ ที่ดูอยู่ ไม่เคย เดือด
การลงทุน ที่สังเกตอยู่ ไม่เคยประสบความสำเร็จ
แต่ มีคนหนึ่ง ที่คุณลืมไป จะช่วยให้คุณ ได้รับผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่
คุณ รู้มั้ยครับ คนหนึ่งที่คุณ ลืมไปคือใคร ซึ่ง จะช่วย ให้คุณได้รับผลตอบแทน ที่ยิ่งใหญ่ด้วย
ผมเคยถาม หลายๆคน
คำตอบ คือ คนนู้น คนนี้ ไปเรื่อยไม่จบไม่สิ้น
ไม่เคยมี ใครตอบว่า คนหนึ่งคนนั้นที่ลืมไป
คือ ตัวเราเอง
เมื่อเราเข้าใจ ตัวเอง เราก็จะรู้ ว่าเราพอ ที่สิ่งใด
เช่น คุณ ได้ผลตอบแทนมาสัก 10 ล้าน บาท แต่ในใจรู้สึกว่า อยากได้มาก พอได้มาก ก็อยากได้ขึ้นไปอีก
การลงทุนนี้ ก็ดู ว่า ไม่ประสบความสำเร็จ สักที
แต่เมื่อ เข้าใจตัวเอง รู้ว่า จริงๆ 10 ล้านบาท มากพอสำหรับตัวเอง อาจจะในแง่ดำรงชีวิต เมื่อเห็นอย่างนี้ก็แปลว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว และก็ยังคงสามารถ ลงทุนต่อได้อย่างมีความสุข ไม่รีบเร่งจนเกินไป
และ ผมก็มีกลุ่มคำ ที่อยากให้กลับมาสนใจคือ
75 ปี เวลาที่คุณจะมีถ้าคุณโชคดี
75 ฤดู ร้อน 75 ฤดูฝน 75 ฤดูหนาว
อย่าปล่อยให้มันเสียเปล่า หยุดวุ่นวาย แล้วเอาเปลือกที่ครอบคุณอยู่ออกซะ
ไม่ใช่หยุดการกระทำทั้งหมด หรือให้โลกหยุดหมุน
ให้กล้าเสี่ยงมีชีวิตชีวา และสนใจครอบครัวให้มากขึ้น
สนใจสิ่งที่มีชีวิตในตัวคุณ แทนความกลัว
สัมผัสความรักแทนความชัง
สัมผัสมนุษยชาติ
นั่นแหละ ขุมทรัพย์ ของคุณ
จาก หนังเรื่อง HOLY MAN
ได้ผลตอบแทนมาเรื่อยๆ
แต่รู้สึก วุ่นวายใจ และอยากมีเพิ่มมากๆ จนเกินสมควร
ผมมี ประโยคนี้ครับ
A watched pot never boils.
The observed investment never matures.
But the one you forgot about will bear the great return.
ผมแปลแบบไม่เก่ง อังกฤษ ก็ว่า
หม้อน้ำ ที่ดูอยู่ ไม่เคย เดือด
การลงทุน ที่สังเกตอยู่ ไม่เคยประสบความสำเร็จ
แต่ มีคนหนึ่ง ที่คุณลืมไป จะช่วยให้คุณ ได้รับผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่
คุณ รู้มั้ยครับ คนหนึ่งที่คุณ ลืมไปคือใคร ซึ่ง จะช่วย ให้คุณได้รับผลตอบแทน ที่ยิ่งใหญ่ด้วย
ผมเคยถาม หลายๆคน
คำตอบ คือ คนนู้น คนนี้ ไปเรื่อยไม่จบไม่สิ้น
ไม่เคยมี ใครตอบว่า คนหนึ่งคนนั้นที่ลืมไป
คือ ตัวเราเอง
เมื่อเราเข้าใจ ตัวเอง เราก็จะรู้ ว่าเราพอ ที่สิ่งใด
เช่น คุณ ได้ผลตอบแทนมาสัก 10 ล้าน บาท แต่ในใจรู้สึกว่า อยากได้มาก พอได้มาก ก็อยากได้ขึ้นไปอีก
การลงทุนนี้ ก็ดู ว่า ไม่ประสบความสำเร็จ สักที
แต่เมื่อ เข้าใจตัวเอง รู้ว่า จริงๆ 10 ล้านบาท มากพอสำหรับตัวเอง อาจจะในแง่ดำรงชีวิต เมื่อเห็นอย่างนี้ก็แปลว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว และก็ยังคงสามารถ ลงทุนต่อได้อย่างมีความสุข ไม่รีบเร่งจนเกินไป
และ ผมก็มีกลุ่มคำ ที่อยากให้กลับมาสนใจคือ
75 ปี เวลาที่คุณจะมีถ้าคุณโชคดี
75 ฤดู ร้อน 75 ฤดูฝน 75 ฤดูหนาว
อย่าปล่อยให้มันเสียเปล่า หยุดวุ่นวาย แล้วเอาเปลือกที่ครอบคุณอยู่ออกซะ
ไม่ใช่หยุดการกระทำทั้งหมด หรือให้โลกหยุดหมุน
ให้กล้าเสี่ยงมีชีวิตชีวา และสนใจครอบครัวให้มากขึ้น
สนใจสิ่งที่มีชีวิตในตัวคุณ แทนความกลัว
สัมผัสความรักแทนความชัง
สัมผัสมนุษยชาติ
นั่นแหละ ขุมทรัพย์ ของคุณ
จาก หนังเรื่อง HOLY MAN
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 189
ผม ก็ ขอจบ เรื่องเล่า ของผม แต่เพียงเท่านี้ นะครับ
ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่ สละเวลาอ่าน เรื่องเล่า ของผม
แต่ ผมก็อยาก จะขอวอน ให้
ทุกท่าน ที่มีความรู้ ได้มอบ ความรู้ ที่เป็นประโยชน์ ต่อ ผู้ที่ขาดความรู้
ทุกท่าน ที่ประสบความสำเร็จ มีฐานะ ก็ได้มอบ สิ่งช่วยเหลือ แก่ผู้ที่ด้อยโอกาส กว่าในสังคม
การที่เรามีมากพอ จนล้น แล้วได้เป็นผู้ให้ สิ่งมีประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็มีความสุขไม่น้อย นะครับ
ถ้าเรื่องที่ผมเขียนทั้งหมดนี้ สามารถ นำไปใช้ประโยชน์ ในทางที่ดี สามารถนำไปใช้ได้ตามสะดวก นะครับ :D
ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่ สละเวลาอ่าน เรื่องเล่า ของผม
แต่ ผมก็อยาก จะขอวอน ให้
ทุกท่าน ที่มีความรู้ ได้มอบ ความรู้ ที่เป็นประโยชน์ ต่อ ผู้ที่ขาดความรู้
ทุกท่าน ที่ประสบความสำเร็จ มีฐานะ ก็ได้มอบ สิ่งช่วยเหลือ แก่ผู้ที่ด้อยโอกาส กว่าในสังคม
การที่เรามีมากพอ จนล้น แล้วได้เป็นผู้ให้ สิ่งมีประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็มีความสุขไม่น้อย นะครับ
ถ้าเรื่องที่ผมเขียนทั้งหมดนี้ สามารถ นำไปใช้ประโยชน์ ในทางที่ดี สามารถนำไปใช้ได้ตามสะดวก นะครับ :D
-
- Verified User
- โพสต์: 912
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 191
ยังอ่านได้ครึ่งเดียว แต่ขอบคุณมากครับ :D
ปล. ตอนแรกผมเข้าใจมีเซล แต่่เข้าใจ "ไ่ม่มีบาย" ผิด
คิดว่า ควรแปลว่า "ไม่เคยแนะให้ซื้อ" ซะอีก
ปล. ตอนแรกผมเข้าใจมีเซล แต่่เข้าใจ "ไ่ม่มีบาย" ผิด
คิดว่า ควรแปลว่า "ไม่เคยแนะให้ซื้อ" ซะอีก
ในยามลมแรง แม้แต่ไก่งวงยังบินได้
แต่เมื่อยามลมพัดหวน ผู้ที่อยู่รอดนั้่นคือพญาอินทรี
แต่เมื่อยามลมพัดหวน ผู้ที่อยู่รอดนั้่นคือพญาอินทรี
-
- Verified User
- โพสต์: 1088
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 193
marketing ของผมก็เป็น miss มีเซล ไม่มีบาย เหมือนกันครับ
ผมอุตส่าห์บอกเค้าว่าขอคนแก่ๆประสปการณ์เยอะๆมาดูแลพอร์ทดันได้แบบนี้ก็เซ็งครับ
แต่ก็อย่างว่า ผลประโยชน์ของโบรกเกอร์กับผู้ลงทุนมันไม่ตรงกันเท่าไหร่
ผมอุตส่าห์บอกเค้าว่าขอคนแก่ๆประสปการณ์เยอะๆมาดูแลพอร์ทดันได้แบบนี้ก็เซ็งครับ
แต่ก็อย่างว่า ผลประโยชน์ของโบรกเกอร์กับผู้ลงทุนมันไม่ตรงกันเท่าไหร่
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 194
ขอบคุณมากครับ ขยันมาเขียนให้อ่านมาก ๆ เลย
ว่าแต่ว่าตอนนี้คุณอาเหลียงมีความสุขกับการลงทุนของตัวเองรึยังครับ
ว่าแต่ว่าตอนนี้คุณอาเหลียงมีความสุขกับการลงทุนของตัวเองรึยังครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 196
ผม มีความสุข ที่ได้ลงทุน ตั้งแต่แรก แล้วครับ
ผม ชอบ การลงทุน ครับ
ผม มีทุกข์ เพราะ ตัวผม อยากมี อยากได้ กำไร จนไม่รู้ ว่าตัวเองต้องการเท่าไหร่ ไม่จบไม่สิ้น
ผม มีทุกข์ เพราะ ความกลัว กลัวที่จะต้องขาดทุน จากการซื้อ แล้วถือ แล้วต้องการขาย ซึ่งผม ไม่ได้ต้องการ เป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้น และ หรือ ไม่มีความเข้าใจมันมาก จนผมต้องการหุ้นตัวนั้น
ตอนนี้
สิ่งที่ผมเป็น
ผมก็ ยังคง มีความสุข ที่ได้ลงทุน ครับ
(อาจจะ มีความร้อนรน บ้าง เมื่อต้อง ซื้อ หรือ ขาย ซึ่ง การซื้อขาย เกิดขึ้นไม่บ่อยครับ )
ผมก็ ยังคง มีความสุข ที่ผมมี หุ้นที่ผมถือ ครับ
(ใช่ ถ้าเป็นภาวะปกติ แล้วตลาดหุ้นปิด ไป 3 ปี ผมก็คงไม่เดือดร้อนอะไร คำพูดของคุณ วอร์เรน ดูเหมือนเป็นความจริง สำหรับผม)
และการลงทุน ก็ช่วย ตอบโจทย์ ที่ผมเคยคิด ตั้งแต่ตอน เริ่ม เข้า มหาลัยได้ครับ
"จะทำยังไง ให้หาเงินได้พอเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องทำงาน
วิธีแรกที่คิด คือ เงินฝากธนาคาร ตอนนั้น ดอกเบี้ย 7.5% มั้งครับ
ตอนนั้นผมได้ค่าขนมวันละ 200 บาท เสาร์อาทิตไม่ได้ คิดคร่าวๆ เดือนละ 5000 บาท
เอ ถ้าผมขอเงินพ่อมาได้ 1 ล้าน บาท ได้ดอกเบี้ย 7.5% ก็ได้ปีละ 75000 บาท หาร 12 ได้เดือนละ 6250 บาท
พอใช้ work แน่ๆ
แต่ความฝันก็พังทลาย เมื่อคิดได้ว่า พ่อ จะให้เหรอ"
โดยเปลี่ยน จากการฝากเงินธนาคาร เป็นการลงทุนครับ
ถ้าโดย รวม ผม มีความสุข ที่ได้ลงทุนครับ
และ ผมก็ชอบ ตลาดหุ้นด้วยครับ
ยังเคย เดินไปนั่ง หน้าตึก ตลาดหลักทรัพย์ ตอนดึกๆ แบบไม่มีคนแล้วด้วยครับ
โดย ยามไล่ เลย 555
แต่ไปๆ มาๆ ไปนั่งคุยกับยาม 555
( แต่คุณ ยามยังคงคอยดูแล คนเข้าออกอยู่ อย่างไม่ขาด ตกบกพร่อง
และ ยังคง มีการใช้เครื่องสื่อสาร รายงาน ต่อ หน่วยอื่นๆ ตลอดเวลาครับ
เป็น ยามที่ดี และ รอบคอบ ครับ)
ยาม ก็พูดอะไรให้ผมได้ข้อคิดหลายข้ออยู่
ขอบคุณ คุณ ยาม ด้วยครับ
(ยาม = security guard )
ผม ชอบ การลงทุน ครับ
ผม มีทุกข์ เพราะ ตัวผม อยากมี อยากได้ กำไร จนไม่รู้ ว่าตัวเองต้องการเท่าไหร่ ไม่จบไม่สิ้น
ผม มีทุกข์ เพราะ ความกลัว กลัวที่จะต้องขาดทุน จากการซื้อ แล้วถือ แล้วต้องการขาย ซึ่งผม ไม่ได้ต้องการ เป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้น และ หรือ ไม่มีความเข้าใจมันมาก จนผมต้องการหุ้นตัวนั้น
ตอนนี้
สิ่งที่ผมเป็น
ผมก็ ยังคง มีความสุข ที่ได้ลงทุน ครับ
(อาจจะ มีความร้อนรน บ้าง เมื่อต้อง ซื้อ หรือ ขาย ซึ่ง การซื้อขาย เกิดขึ้นไม่บ่อยครับ )
ผมก็ ยังคง มีความสุข ที่ผมมี หุ้นที่ผมถือ ครับ
(ใช่ ถ้าเป็นภาวะปกติ แล้วตลาดหุ้นปิด ไป 3 ปี ผมก็คงไม่เดือดร้อนอะไร คำพูดของคุณ วอร์เรน ดูเหมือนเป็นความจริง สำหรับผม)
และการลงทุน ก็ช่วย ตอบโจทย์ ที่ผมเคยคิด ตั้งแต่ตอน เริ่ม เข้า มหาลัยได้ครับ
"จะทำยังไง ให้หาเงินได้พอเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องทำงาน
วิธีแรกที่คิด คือ เงินฝากธนาคาร ตอนนั้น ดอกเบี้ย 7.5% มั้งครับ
ตอนนั้นผมได้ค่าขนมวันละ 200 บาท เสาร์อาทิตไม่ได้ คิดคร่าวๆ เดือนละ 5000 บาท
เอ ถ้าผมขอเงินพ่อมาได้ 1 ล้าน บาท ได้ดอกเบี้ย 7.5% ก็ได้ปีละ 75000 บาท หาร 12 ได้เดือนละ 6250 บาท
พอใช้ work แน่ๆ
แต่ความฝันก็พังทลาย เมื่อคิดได้ว่า พ่อ จะให้เหรอ"
โดยเปลี่ยน จากการฝากเงินธนาคาร เป็นการลงทุนครับ
ถ้าโดย รวม ผม มีความสุข ที่ได้ลงทุนครับ
และ ผมก็ชอบ ตลาดหุ้นด้วยครับ
ยังเคย เดินไปนั่ง หน้าตึก ตลาดหลักทรัพย์ ตอนดึกๆ แบบไม่มีคนแล้วด้วยครับ
โดย ยามไล่ เลย 555
แต่ไปๆ มาๆ ไปนั่งคุยกับยาม 555
( แต่คุณ ยามยังคงคอยดูแล คนเข้าออกอยู่ อย่างไม่ขาด ตกบกพร่อง
และ ยังคง มีการใช้เครื่องสื่อสาร รายงาน ต่อ หน่วยอื่นๆ ตลอดเวลาครับ
เป็น ยามที่ดี และ รอบคอบ ครับ)
ยาม ก็พูดอะไรให้ผมได้ข้อคิดหลายข้ออยู่
ขอบคุณ คุณ ยาม ด้วยครับ
(ยาม = security guard )
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 197
ผม มี ผลตอบแทน ต่อปีไม่มาก นะครับ
ผม มี ทรัพย์สิน ก็ไม่มากเช่นกัน
แต่ก็ด้วยการ ใช้จ่ายที่ไม่มากมายนัก
ผม ว่าตัวผม ก็พอ จะมีอิสระ ทางการเงิน เล็กๆ ครับ
เมื่อผม มีอิสระ ทางการเงิน เล็กๆ
มันก็ทำให้ ผมได้มีเวลา มีโอกาส มอง และ เรียนรู้ สิ่งรอบข้าง มากขึ้น ครับ
ผมเห็นสุข มากขึ้นนะครับ
แต่รู้สึก ตัวเอง ยังมีความสุขไม่มากพอ
แบบโลภ อ่ะครับ รู้สึกว่ายิ่งมีความสุขมาก ยิ่งดี 555
อยากขอให้ หาเวลา และเรียนรู้ตัวเอง และมองสิ่งรอบข้างใกล้ตัว
บางครั้ง ความสุขอยู่ใกล้ตัวเรามากนะครับ ถ้าเรามองเห็น
แถม ความสุข หลายๆ อย่าง ไม่ได้ ต้องใช้เงิน สักบาท แลกมา
แค่ เพียงยิ้ม พูดคุย จริงใจ เป็นห่วงเป็นใย ก็ได้ความสุขเยอะแล้วครับ
ผม มี ทรัพย์สิน ก็ไม่มากเช่นกัน
แต่ก็ด้วยการ ใช้จ่ายที่ไม่มากมายนัก
ผม ว่าตัวผม ก็พอ จะมีอิสระ ทางการเงิน เล็กๆ ครับ
เมื่อผม มีอิสระ ทางการเงิน เล็กๆ
มันก็ทำให้ ผมได้มีเวลา มีโอกาส มอง และ เรียนรู้ สิ่งรอบข้าง มากขึ้น ครับ
ผมเห็นสุข มากขึ้นนะครับ
แต่รู้สึก ตัวเอง ยังมีความสุขไม่มากพอ
แบบโลภ อ่ะครับ รู้สึกว่ายิ่งมีความสุขมาก ยิ่งดี 555
อยากขอให้ หาเวลา และเรียนรู้ตัวเอง และมองสิ่งรอบข้างใกล้ตัว
บางครั้ง ความสุขอยู่ใกล้ตัวเรามากนะครับ ถ้าเรามองเห็น
แถม ความสุข หลายๆ อย่าง ไม่ได้ ต้องใช้เงิน สักบาท แลกมา
แค่ เพียงยิ้ม พูดคุย จริงใจ เป็นห่วงเป็นใย ก็ได้ความสุขเยอะแล้วครับ
- kongming
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 199
ขอบคุณมากครับ ผมอ่านแล้วเข้าใจคุณเลยครับ แล้วก็พึ่งเข้าใจด้วยว่าถ้าเล่นเก็งกำไรไปเรื่อยๆ ขาดทุนตอนหลังจะเยอะมากถ้าพลาด เป็นประโยชน์สำหรับผมมากครับ ตอนนี้พึงจะเริ่มศึกษาหุ้นครับ หลังจากแรกๆ ก็ซื้อตามความรู้สึก เจ็งครับ แต่ก็อ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้เริ่มไปดูกราฟอีก ก็ดีครับสนุกดี แต่สำหรับผมมันคงยากจริงๆ ถ้าจะเลือกหุ้นแบบ VI เนี่ย (เลือกไม่ถูก) "ยังไม่ได้อ่านตีแตก นะครับ" พึ่งเริ่มศึกษาจริงจัง พอดีช่วงนี้มีเวลาว่างเยอะ ตั้งใจว่า อาจจะเล่นแบบ VI สัก 50% เล่นแบบเก็งกำไรในหุ้น blue chip 30% อีก 20% เป็นพวก LTF RMF
ขอบคุณจริงๆ ครับสำหรับความรู้
ขอบคุณจริงๆ ครับสำหรับความรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 200
ขอบคุณ จากใจจริงคับ เป็นกระทู้เเรกที่ผมนั่งอ่านนานที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา นับถือน้ำใจพี่มากคับ ผมจะเอาประสบการณ์ของพี่มาเป็นเเรงผลักดันให้บรรลุถึงเป้าหมายในการลงทุนให้ได้คับ ขอขอบคุณอีกครั้งคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 365
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 202
ขอบคุณที่มาแบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ดีๆ ให้ทุกคนนะครับ
ได้ข้อคิด บทเรียนมากมายเลยครับ
ได้ข้อคิด บทเรียนมากมายเลยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 203
สวัสดีครับ เคยคุยกันตอนงานจิบเบียร์ที่รัชดา ไม่รู้ว่าจำผมได้รึเปล่า
เท่าที่ผมสังเกตุตอนคุยกัน คุณอาเหลียงเป็นคนที่ท่าทางมีความสุขมากครับ ได้อ่านกระทู้นี้แล้วถึงบางอ้อเลยว่า ทำไมคุณอาเหลียงจึงมีความสุขและยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ
ขอบคุณมากที่มาเล่าให้ฟังครับ
เท่าที่ผมสังเกตุตอนคุยกัน คุณอาเหลียงเป็นคนที่ท่าทางมีความสุขมากครับ ได้อ่านกระทู้นี้แล้วถึงบางอ้อเลยว่า ทำไมคุณอาเหลียงจึงมีความสุขและยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ
ขอบคุณมากที่มาเล่าให้ฟังครับ
In search of super stocks
- pornchai_w
- Verified User
- โพสต์: 244
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 207
เยี่ยมมากครับ นั่งอ่านเกือบ 2ชั่วโมง
เพลินดี น่าจะเป็นหนังสือได้ 1 เล่มเลยนะเนี่ยะ
เป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ แต่เรื่องอย่างนี้บางทีรู้แล้วก็ไม่นำไปใช้จนกว่าจะเจอกับตัวเองจึงจะจำได้
หลายๆเรื่อง เหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดกับตัวผมเองเช่นกันครับ
:lol: ไม่ทราบว่าวันนี้แนวทางการลงทุนของคุณareliang มั่นคงแล้วหรือยังครับ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
เพลินดี น่าจะเป็นหนังสือได้ 1 เล่มเลยนะเนี่ยะ
เป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ แต่เรื่องอย่างนี้บางทีรู้แล้วก็ไม่นำไปใช้จนกว่าจะเจอกับตัวเองจึงจะจำได้
หลายๆเรื่อง เหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดกับตัวผมเองเช่นกันครับ
:lol: ไม่ทราบว่าวันนี้แนวทางการลงทุนของคุณareliang มั่นคงแล้วหรือยังครับ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
- sialic
- Verified User
- โพสต์: 144
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 208
มาลงชื่ออ่านด้วยคน .. ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ
เขียนมาสองปีแล้ว ปีนี้เขียนต่ออีกนะคะ ลักษณะการเขียน
เหมือนมีพัฒนาการทางการลงทุนมาเรื่อยๆ อยากรู้แนวคิดปัจจุบันด้วย
จะได้มีแนวทางมาปรับใช้กับการลงทุนในปัจจุบันของตัวเองด้วย
รออ่านค่ะ :D :D :D
เขียนมาสองปีแล้ว ปีนี้เขียนต่ออีกนะคะ ลักษณะการเขียน
เหมือนมีพัฒนาการทางการลงทุนมาเรื่อยๆ อยากรู้แนวคิดปัจจุบันด้วย
จะได้มีแนวทางมาปรับใช้กับการลงทุนในปัจจุบันของตัวเองด้วย
รออ่านค่ะ :D :D :D
new user