npl เพิ่ม 10,000.-ล้านบาท จะทำให้หุ้นลด อีก กี่ %

[015]

สมมุติ kbank ,scb,BBL  มี NPL เพิ่มขึ้นปลายปี หรือต้นปีหน้าอีก แห่งละ 10,000.-ล้านบาท จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้ ลดไปอีกกี่ % ครับ  ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ  โดยผมเห็นว่า ทุก NPL ที่เพิ่มขึ้น 100 บาท จะทำให้ ธนาคารกำไรลดลงทันที 25-30 บาท น่าจะได้นะครับ แบบว่าเป็นมือใหม่ ยังมองอะไรไม่ค่อยออกนะครับ

[chatchai]

ก่อนอื่น  คงต้องถามก่อนว่า  ทำไมถึงคิดว่าสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมี NPL เพิ่มขึ้นแห่งละ 10,000 ล้านบาทครับ

[sorawut]

คิดแบบดิบๆ

เอาหนี้เสีย 1 หมื่นล้านหารด้วยจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วของธนาคารนั้น

ผลที่ได้หารด้วยราคาหุ้นปัจจุบันของธนาคารนั้น

ก็จะได้เปอร์เซ็นต์ที่ลดลงของหุ้นธนาคารนั้น (ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพนะครับ  :lol: )

แต่ให้ NPL เป็นเงินเท่าๆกันกับทุกธนาคารนี่ ไม่ค่อยสมจริงเท่าไร  :roll:

[015]

เป็นการมองในแง่ร้ายนะครับ ซึ่งอาจะไม่สมเหตุสมผลว่าจะเป็นไปได้แบบพี่ว่า  เพียงแต่หากอยากรู้ว่าเงินเฟ้อที่ฝรั่งกลัว นะ จะกระทบกับ value กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของไทยซักขนาดไหน  แต่จริงๆแล้ว ผมถามเพื่อนที่อยู่ bank ธนาคารบางแห่งก็มี NPL รายใหม่ เฉลี่ยเดือนละ 3-4 ร้อยล้านอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายอด %NPL ไม่ขยับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปล่อยสินเชื่อได้ในสัดส่วนที่สูงกว่า อีกส่วนหนึ่ง ก็มี npl เก่าที่แก้ได้ไป  ที่แน่ๆ NPL ใหม่ ต่อปี 3-4 พันล้านบาท มีความเป็นไปได้สูง  ทั้งนี้หากเงินเฟ้อขยับไปมากกว่านี้ ปีหน้าก็กน่าคิดเหมือนกันนะครับพี่

[chatchai]

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักเกณฑ์การคิด NPL  และการตั้งสำรองเสียก่อน

จำนวนการตั้งสำรองก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการผิดนัดชำระหนี้  ไม่ใช่ว่าผิดนัด 1 วันจะต้องตั้งสำรองทั้งจำนวน

อีกทั้งถ้ามีหลักประกัน  จำนวนเงินที่ต้องตั้งสำรองก็ยังสามารถหักลดลงได้อีก  ซึ่งตามปรกติแล้วก็จะมีหลักประกันเกือบทุกราย

และเมื่อมีการแก้ไขหนี้  อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังไม่สูงมากนัก  ก็ช่วยให้ธนาคารแก้ไขหนี้ได้ง่ายขึ้น  และมีภาระในการตั้งำสรองจากการแก้ไขหนี้ไม่สูงนัก

ภาวะการณ์ในปัจจุบันคงไม่น่าห่วงมากนัก  ไม่เหมือนช่วงวิกฤตปี 2540  เนื่องจากในช่วงก่อน  หนี้เสียส่วนใหญ่เกิดจากเงินกู้ยืมต่างประเทศ  เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเกือบ 50%  มูลหนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัว  แน่นอนว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่คงไม่มีความสามารถชำระหนี้ได้

เมื่อบวกกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นประวัติการณ์  สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างมาก  สถาบันการเงินถูกปิด  ลูกหนี้อื่นๆก็เริ่มได้รับผลกระทบตามไปในระยะหลัง

[Dimsum]

พี่ฉัตรชัย  NPL สมัยปี 40 เป็น NPL ของบริษัทต่าง ๆ
แต่ปีนี้ถึงปีหน้า ถ้าเป็น NPL แนวราบ ของผู้บริโภคทั่วไปที่เงินเดือน + รายรับไม่สูง จะเป็นอย่างไรครับ

คือ ปกติคนเหล่านี้ก็กู้เงินนอกระบบ ในระบบ หมุนไปหมุนมาอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้บวกกับของแพงอีก มันก็น่าจะเป็นห่วงน่ะครับ เรื่องกำลังซื้อภายใน เรื่อง NPL

[chatchai]

สมัยนั้นเมื่อบริษัททั้งใหญ่  กลาง  และเล็ก  เริ่มล้มละลาย  ปิดกิจการ  พนักงานก็ตกงานครับ  หมดรายได้  บางส่วนต้องเปิดท้ายขายของ  เงินเฟ้อก็ไม่ได้ต่ำนะครับ  เพราะค่าเงินบาทลดลงอย่างมากและรวดเร็ว  อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยก็สูงมากๆ

ส่วนปัจจุบันนี้  บริษัทห้างร้านส่วนใหญ่ก็ยังพอค้าขายได้บ้าง  ถึงแม้จะกำไรไม่ดีเท่าเดิม  พนักงานก็ยังคงมีงานทำ  มีรายได้  อัตราดอกเบี้ยก็ยังต่ำกว่ายุคนั้นมาก

[015]

ในกรณีสินเชื่อมีหลักประกันทั่วๆไป  (ไม่นับรายใหญ่) ปกติ bank ปล่อยสินเชื่อประมาณ 80% ของราคาประเมินหลักประกัน ดังนั้นหาก Bank ปล่อยสินเชื่อ 100 บาท ก็มีหลักประกัน 125 บาท หาก เป็น NPL (ค้างเกิน 3 เดือน) ธนาคารต้องตั้งสำรอง โดยหักหลักประกันได้ 50-62% ผมให้ 62% ก็นำหลักประกันมาหักได้ 77.5 บาท แสดงว่าธนาคารต้องตั้งสำรอง 23.5 บาท  ซึ่งหากธนาคารปล่อยสินเชื่อในสัดส่วนที่สูงกว่า 80% หากเป็น NPL ก็ต้องสำรองมากกว่า 23.5%   ..........อันนี้ผมถามเพื่อนที่ทำ bank มันอธิบายผมอย่างนี้ ครับ ซึ่ง เพื่อนมันบอกว่า ธ.ขนาดใหญ่ส่วนใหญ่น่าจะใช้เกณฑประมาณนี้ ครับพี่

[chatchai]

เกือบ 7 ปีแล้ว  จำไม่ค่อยชัด

ถ้าค้างชำระเกิน 12 เดือน  ต้องตั้งสำรอง 100% ของมูลหนี้
ถ้าค้างชำระเกิน  6 เดือน  ต้องตั้งสำรอง 50% ของมูลหนี้
ถ้าค้างชำระเกิน 3 เดือน  ต้องตั้งสำรอง 20% ของมูลหนี้
ถ้าค้างชำระเกิน 1 เดือน  ไม่แน่ใจครับ

เมื่อได้ยอดสำรองแล้ว  ก็มาพิจารณาเรื่องหลักประกันที่จะนำมาหักลดยอดสำรองได้  เปอร์เซ็นต์ที่จะนำมูลค่าของหลักประกันมาหักลดก็ขึ้นอยู่กับชนิดของหลักประกัน  ที่ดิน  เครื่องจักร  บัญชีเงินฝาก  หุ้นจดทะเบียน

[015]

ที่พี่เขียนมา เป็นเกณฑ์เดิมครับพี่  เพื่อนผมว่าเกณฑ์ใหม่เป็น บาเซิลทู หรืออะไรประมาณนั้นซึ่งทำให้ bank ต้องสำรองเพิ่มตามเกณฑ์ใหม่ หลังจากหักหลักประกันแล้ว ต้องสำรองเต็ม แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า ธปท.บับคับใช้ โดยทะยอยตามปีหรือเปล่าครับพี่   ทั้งนี้ตามที่ผมอ่าน saa ของ Broke มีบางธนาคาร ที่ตั้งสำรองเพิ่มเผื่อไว้ทุกเดือน(โดยไม่เกียวกับว่า NPL เพิ่มหรือลด)

[chatchai]

เราจะเห็นได้ว่า  ผลกระทบต่อผลประกอบการของสถาบันการเงินจริงๆแล้ว  เป็นหลักเกณฑ์การตั้งสำรองซะมากกว่าที่จะแสดงถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริง

ปีนี้หลักเกณฑ์แบบหนึ่ง  ปีหน้าก็เป็นอีกแบบ  ผลการดำเนินงานก็เปลี่ยนไปมาก  อีกทั้งการตกแต่งบัญชีหนี้ NPL ให้เป็นหนี้ปรกติเพียงชั่วคราวก็ทำได้ไม่ยากนัก