คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1112
อันนี้เห็นด้วย 100% ครับVIB007 เขียน:โปรดอ่านคำเตือนในฉลากก่อนดื่ม
"ธุรกิจที่ดี แต่ราคาสูงเกินไป อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ดี"
ห้ามดื่มเกินวันละสองขวด
คาปูชิโน่แก้วละ 85 บาท อาจจะคุ้มค่าสู้กาแฟโบราณแก้วละ 15 บาทไม่ได้นะ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1113
คงใกล้จะได้ดวดเป็นขวดที่2VIB007 เขียน:โปรดอ่านคำเตือนในฉลากก่อนดื่ม
"ธุรกิจที่ดี แต่ราคาสูงเกินไป อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ดี"
ห้ามดื่มเกินวันละสองขวด
หลังจากติด แล้วจะต้องซื้อถั่วมากิน อิอิ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1116
งั้นผมก็กินถั่วไปหลายกิโล แถมดื่มไปอีกหลายขวด (แต่ยังไม่เกินวันละสองขวด)
สถานการณ์ตลาดช่วงนี้ พี่ปรัชญามองไว้ว่าอย่างไรบ้างครับ
อยากรู้มุมมองของรุ่นเก๋า ช่วยวิเคาระห์ให้ฟังทีครับ
เป็นวิทยาทานกับน้องๆครับ
สถานการณ์ตลาดช่วงนี้ พี่ปรัชญามองไว้ว่าอย่างไรบ้างครับ
อยากรู้มุมมองของรุ่นเก๋า ช่วยวิเคาระห์ให้ฟังทีครับ
เป็นวิทยาทานกับน้องๆครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1118
VIB007 เขียน:งั้นผมก็กินถั่วไปหลายกิโล แถมดื่มไปอีกหลายขวด (แต่ยังไม่เกินวันละสองขวด)
สถานการณ์ตลาดช่วงนี้ พี่ปรัชญามองไว้ว่าอย่างไรบ้างครับ
อยากรู้มุมมองของรุ่นเก๋า ช่วยวิเคาระห์ให้ฟังทีครับ
เป็นวิทยาทานกับน้องๆครับ
แก้ไขล่าสุดโดย ปรัชญา เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 10, 2004 2:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1119
VIB007 เขียน:งั้นผมก็กินถั่วไปหลายกิโล แถมดื่มไปอีกหลายขวด (แต่ยังไม่เกินวันละสองขวด)
สถานการณ์ตลาดช่วงนี้ พี่ปรัชญามองไว้ว่าอย่างไรบ้างครับ
อยากรู้มุมมองของรุ่นเก๋า ช่วยวิเคาระห์ให้ฟังทีครับ
เป็นวิทยาทานกับน้องๆครับ
ผมมองว่า หุ้นปีนี้เป็นปีปราบเซียน(ถ้าไม่ใช่เซียนอย่างผมคงไม่ถูกปราบ)
เพราะการลงทุนของโลกเรามันเปลี่ยนแปลงเร็ว
และปัจจุบันเขาเล่นข่าว มากกว่าเล่นความจริง(แค่ข่าวลือก็เชื่อไว้ก่อน)
ก็อย่างที่ผมเคยว่า...กองทุนขนาดใหญ่ต่างชาติ
ต้องการให้เปิดเสรีการเงิน เพื่อเคลื่อนย้ายเงินทุนได้สดวก
พอไทยเราหลงกลเปิดเสรี ปีนั้นก็มีเงินสกุลดอลล่าร์มาให้กู้กันในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำๆ
พอคนไทยกู้กันมามากมายเกินความพอดี จุดอ่อนก็เกิดขึ้น
เมื่อต่างชาติขนหุ้นมาขายและแลกเงินดอลกลับและไปซื้อเงินดอลที่สิงคโปร์และที่ตลาดเงิน และขายเงินไทย ก็เลยเกิดตำนาน ปล่อยเงินบาทลอยตัว
โรคต้มยำกุ้ง เศรษฐีที่มีเครดิตดีดีสมัยนั้นพอกู้เงินได้ก็นำเงินไปเก็งกำไรที่ดิน ที่ดินติดมือ แบ๊งก์ก็เกิดหนี้สูญส่งผลกระทบลุกลามไปยังเกือบทุกอุตสาหกรรม
ปัจจุบัน กองทุนเหล่านี้ก็พัฒนาการวิธีหากินไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
จากเก็งกำไรหุ้น
เก็งกำไรค่าเงิน
เก็งกำไรราคาทองคำ
เก็งกำไรตลาดล่วงหน้า
แลตอนนี้กำลังเก็งกำไร ราคาน้ำมัน
และต่อไปคงเก็งกำไรกันไปอีก .....
ก็ในเมื่อเงินจะไหลไปหาผลตอบแทนที่มากกว่าเสมอ
ลองมีกฎหมายใครนำเงินตราเข้าประเทศแล้วห้ามนำออกไปสัก1-2ปี ก็คงไม่มีเรื่องต้มยำกุ้งเหมือนตอนนั้นมาเลย์หัวหมอดี
มหาเธ ขายหุ้นได้แต่ห้ามนำเงินออกนอกประเทศ
เลยเป็นประเทศที่รอดไป
มีใครคิดกันไหมครับ
ทำไมราคาน้ำมันที่มาเลย์ถูกกว่าประเทศไทย
ทั้งที่ประเทศไทยมีบ่อน้ำมัน มีโรงกลั่น และมีอื่นๆอีกมากมาย
ฝากไปช่วยกันคิดหน่อยครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1121
แล้วทำไมไทยไปอ้างอิงราคาน้ำมันของสิงคโปร์chatchai เขียน:มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย เป็นประเทศในอาเซียนที่ผลิตและส่งออกน้ำมันครับ
น่าจะอ้างอิงมาเลเพราะประเทศติดกัน
ถ้าเสรีก็ให้มาเลมาตั้งปั๊มขายในไทยซิจะได้ไม่ต้องปราบการลักลอบขนน้ำมัน
คุณฉัตรชัยคิดว่าไงครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1122
พูดถูกใจครับพี่ปรัชญาปรัชญา เขียน:
ผมมองว่า หุ้นปีนี้เป็นปีปราบเซียน(ถ้าไม่ใช่เซียนอย่างผมคงไม่ถูกปราบ)
เพราะการลงทุนของโลกเรามันเปลี่ยนแปลงเร็ว
และปัจจุบันเขาเล่นข่าว มากกว่าเล่นความจริง(แค่ข่าวลือก็เชื่อไว้ก่อน)
มีใครคิดกันไหมครับ
ทำไมราคาน้ำมันที่มาเลย์ถูกกว่าประเทศไทย
ทั้งที่ประเทศไทยมีบ่อน้ำมัน มีโรงกลั่น และมีอื่นๆอีกมากมาย
ฝากไปช่วยกันคิดหน่อยครับ
ภาวะการเก็งกำไรมันระบาดไปทั่วโลก
เพราะคนต้องการทำกำไรกันระยะสั้นๆ
ทุกคนอยากรวยเร็วๆกันหมด
แต่ลืมนึกถึงความจริงไปว่า
รวยเร็วก็จนเร็วได้
เสี่ยงมากได้มากและเสียมากด้วย
ก็ใครอยากจะเก็งกำไรก็อย่าลืมป้องกันความเสี่ยง
ส่วนราคานำมันมาเลย์ถูกกว่าไทย
เพราะมาเลย์ผลิตน้ำมันเอง รัฐบาลให้เงินสนับสนุน
ไม่เก็บภาษีมาก แถมยังไม่เปิดเสรีการค้าน้ำมันด้วย
ทำให้ตั้งราคาตามใจชอบ ถูกกว่าเมืองไทยกว่าครึ่ง
ส่วนสิงคโปร์ ถึงแม้จะเป็นศูนย์กลางของราคาน้ำมันในภูมิภาค
แต่ราคาน้ำมันที่สิงคโปร์ก็แพงกว่าไทยหลายบาท
ราคาขายก็ลิตรนึงเกือบสามสิบบาท เพราะต้องนำเข้า 100%
รัฐบาลไม่อยากให้คนฟุ่มเฟือยเลยเก็บค่าภาษีเยอะๆ ราคาเลยแพง
ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการเปิดเสรีการเงินครับ
เพราะประเทศเราเล็กๆ คงทนแรงเหวี่ยงจากภายนอกไม่ไหวแน่นอน
ไว้ให้เราปีกกล้ากว่านี้ ถึงจะเดินได้แข็งแรง
จะว่าไปทั้งสิงคโปร์และมาเลย์ก็ยังไม่เปิดเสรีการเงิน 100% เหมือนบ้านเราเลย
ว่าไปแล้ว สงสารประเทศไทย
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะยืนบนขาตัวเองได้
สงสัยจะอีกนาน
แค่พวกเก็งกำไรขนเงินดอลล์กลับ เศรษฐกิจเราก็ซวนเซแล้วครับ
ดูได้จากภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ย พวกไม่กลับ
แต่ถ้าขึ้น เศรษฐกิจในประเทศก็แย่
ทำใจลำบากครับ
ทางที่ดี ค่อยๆเปิดเสรีดีกว่า
จะยกเลิกบางอย่างก็ยังไม่สาย
ไว้แข็งแรงเมื่อไหร่ค่อยมาว่ากันใหม่
ไม่รู้จะเป็นการถอยหลังเข้าคลองหรือเปล่านะครับ
พี่ปรัชญาว่ายังไงบ้างครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1123
สวัสดีครับพี่ๆ คือตอนนี้ผมสงสัยว่าเศรษฐกิจไทยมันยังไงกันแน่ มันกำลังจะดีหรือกำลังฟองสบู่ครับ เท่าที่ผมวิเคราะห์โดยดูจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็ดีขึ้นกันทั้งนั้น ยกเว้นเรื่องน้ำมันกับค่าเงินแล้วจะมีอะไรอีกป่าวครับ
อีกเรื่องก็คือผมอยากถามความเห็นการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารหน่อยครับ ผมสนใจตัว kbank อยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าการใช้ FCF หรือ p/e จะใช้กับกลุ่มนี้ได้หรือเปล่า ผมวิเคราะห์จากการปรับดอกเบี้ยขึ้นว่าน่าจะดีกับแบงค์นะ
อีกเรื่องก็คือผมอยากถามความเห็นการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารหน่อยครับ ผมสนใจตัว kbank อยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าการใช้ FCF หรือ p/e จะใช้กับกลุ่มนี้ได้หรือเปล่า ผมวิเคราะห์จากการปรับดอกเบี้ยขึ้นว่าน่าจะดีกับแบงค์นะ
-
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1124
สวัสดีค่ะ ท่านพี่ทุกๆท่าน... 8)
หลังจากตามอ่านมานาน วันนี้ขออนุญาติ ย้อนอดีต
กลับไปถามเกี่ยวกับการหามูลค่าหุ้น โดยวิธี DCF หน่อยนะคะ
เห็นว่าพี่ๆ แถวนี้ถนัดน่ะค่ะ พอดีกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่แต่ยังงงๆ บางจุดดังนี้ค่ะ
จากสูตร... PV of FCF = FCF / ( 1+ WACC ) ^ t
1.การคาดการณ์กระแสเงินสดอิสระในอนาคต(FCF)
มีหลักการเดาจากอะไรคะ ถ้าเราใช้ กระแสเงินสดสุทธิ ในอดีต แทน
จะได้มั้ยคะ (แหะๆ มั่วค่ะ เอาง่ายเข้าว่า แต่คิดว่าไม่น่าจะได้นะคะ)
และสมมติว่า ถ้าเราสามารถใช้ กระแสเงินสดสุทธิ ย้อนหลังแทนได้
เราจะดูจากส่วนไหนในงบกระแสเงินสดคะ
ใช่ส่วนที่เป็น จากกิจกรรมการดำเนินงาน รึป่าวคะ
(ไหนๆก็มั่วแล้ว เลยขอมั่วต่ออีกหน่อยค่ะ )
2.จำนวนปีที่เราใช้ (t) ควรจะเป็นกี่ปีดีคะ หรือยิ่งมากยิ่งดี
3.จาก WACC ในส่วนของ "ต้นทุนเงินกู้" มันคืออันเดียวกะ "ดอกเบี้ยจ่าย" ที่อยู่ในงบดุลเลยใช่มั้ยคะ
แล้วส่วนของ "ต้นทุนเงินทุน" ที่บวกค่าความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจเข้าไปด้วยนี่
จะเป็นตัวที่ทำให้ WACC ที่ออกมาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เพราะแต่ละคนย่อมประเมินความเสี่ยงไม่เหมือนกัน...ถูกต้องมั้ยคะ
4. นอกจากนั้น เรายังต้องหา"มูลค่าซาก" ที่จะต้องรวมไปด้วยในขั้นตอนสุดท้าย
ก่อนที่จะ discount ออกมา อยากทราบว่า "มูลค่าซาก" นี่เอามาจากตรงส่วนไหนของงบดุลคะ
และสุดท้าย...มีนส.ภาษาไทย ที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน แนะนำบ้างมั้ยคะ
ตอนนี้เจอนส.ของ อ.ชาย เรื่อง "ความลับในการเป็นนักลงทุนมืออาชีพ" เล่มเดียวเองน่ะค่ะ
ขอขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยกรุณาตอบคำถามในล๊อตแรกนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี+มีความสุขกับการลงทุนค่ะ
(แต่คิดว่าระดับพี่ๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้โชคช่วยหรอกค่ะ อิๆๆ )
หลังจากตามอ่านมานาน วันนี้ขออนุญาติ ย้อนอดีต
กลับไปถามเกี่ยวกับการหามูลค่าหุ้น โดยวิธี DCF หน่อยนะคะ
เห็นว่าพี่ๆ แถวนี้ถนัดน่ะค่ะ พอดีกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่แต่ยังงงๆ บางจุดดังนี้ค่ะ
จากสูตร... PV of FCF = FCF / ( 1+ WACC ) ^ t
1.การคาดการณ์กระแสเงินสดอิสระในอนาคต(FCF)
มีหลักการเดาจากอะไรคะ ถ้าเราใช้ กระแสเงินสดสุทธิ ในอดีต แทน
จะได้มั้ยคะ (แหะๆ มั่วค่ะ เอาง่ายเข้าว่า แต่คิดว่าไม่น่าจะได้นะคะ)
และสมมติว่า ถ้าเราสามารถใช้ กระแสเงินสดสุทธิ ย้อนหลังแทนได้
เราจะดูจากส่วนไหนในงบกระแสเงินสดคะ
ใช่ส่วนที่เป็น จากกิจกรรมการดำเนินงาน รึป่าวคะ
(ไหนๆก็มั่วแล้ว เลยขอมั่วต่ออีกหน่อยค่ะ )
2.จำนวนปีที่เราใช้ (t) ควรจะเป็นกี่ปีดีคะ หรือยิ่งมากยิ่งดี
3.จาก WACC ในส่วนของ "ต้นทุนเงินกู้" มันคืออันเดียวกะ "ดอกเบี้ยจ่าย" ที่อยู่ในงบดุลเลยใช่มั้ยคะ
แล้วส่วนของ "ต้นทุนเงินทุน" ที่บวกค่าความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจเข้าไปด้วยนี่
จะเป็นตัวที่ทำให้ WACC ที่ออกมาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เพราะแต่ละคนย่อมประเมินความเสี่ยงไม่เหมือนกัน...ถูกต้องมั้ยคะ
4. นอกจากนั้น เรายังต้องหา"มูลค่าซาก" ที่จะต้องรวมไปด้วยในขั้นตอนสุดท้าย
ก่อนที่จะ discount ออกมา อยากทราบว่า "มูลค่าซาก" นี่เอามาจากตรงส่วนไหนของงบดุลคะ
และสุดท้าย...มีนส.ภาษาไทย ที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน แนะนำบ้างมั้ยคะ
ตอนนี้เจอนส.ของ อ.ชาย เรื่อง "ความลับในการเป็นนักลงทุนมืออาชีพ" เล่มเดียวเองน่ะค่ะ
ขอขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยกรุณาตอบคำถามในล๊อตแรกนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี+มีความสุขกับการลงทุนค่ะ
(แต่คิดว่าระดับพี่ๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้โชคช่วยหรอกค่ะ อิๆๆ )
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1125
แหม ถามยากจัง ผมก็ขอตอบแบบงูๆ ปลาๆ ตามเท่าที่รู้เพียงน้อยนิดก็แล้วกันนะครับ
1. การคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตจะใช้การเดาครับ แต่เท่าที่เห็นพวกนักวิแคระทั้งมืออาชีพ (โบรกเกอร์) และสมัครเล่น (เช่นผมเอง) จะใช้อัตราส่วนทางการเงินเฉลี่ยในอดีตแล้วเดายอดขายว่าจะโตกี่เปอร์เซนต์ครับ
เช่น อัตราส่วนต้นทุนขายต่อยอดขายเป็น 75 % ถ้ายอดขายโตเป็น 100 ล้านบาท ต้นทุนขายก็เป็น 75 ล้านบาท เป็นต้น
หรือเอาตัวอย่างยากกว่านี้หน่อยเช่น อัตราส่วนการหมุนของสินค้าคงคลังเป็น 60 วันเฉลี่ย (= Inv/Sales X 365 ) ภายใน 5 ปีย้อนหลัง ดังนั้นถ้ายอดขายโตขึ้น 5 % คำนวนจากยอดขายปัจจุบันก็พอจะหาระดับสินค้าคงคลังได้เหมือนกัน
2. t ยิ่งมากก็ยิ่งมั่ว แต่น้อยไปก็ไม่เห็นผลของการลงทุนอีกดังนั้น rule of thumb ท่านว่าไปว่าไม่น้อยกว่า 5 ปีครับ ถ้าได้ 10 ปีก็ประเสริฐแต่ผมว่าไม่มีใครทำได้หรอกนอกจากจะคนในบริษัทเองเท่านั้น
3. จริงในส่วนของต้นทุนเงินกู้ ในส่วนของต้นทุนของผู้ถือหุ้น ผมว่ามีหลายท่านที่เห็นไม่ตรงกันเยอะครับ สำหรับผม เห็นว่า ในทางทฤษฎีแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ความเสี่ยงของธุรกิจใดๆ ก็เท่าเดิมครับไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนของใคร ดังนั้น ต้นทุนของผู้ถือหุ้นก็ไม่เปลี่ยนแม้ว่าน้อง enokwan จะเป็นคนลงทุน หรือ ผมเองเป็นคนลงทุนเพราะผมมองว่าต้นทุนของผู้ถือหุ้นคือค่าเสียโอกาสในการลงทุนที่ปรับเข้ากับความเสี่ยงของการลงทุนใดๆ ก็ตาม
ว่ากันไปตามทฤษฎีครับแต่ถ้าจะให้ดี โทรถามบริษัทนั่นแหละดีที่สุด ว่าเวลาเค้าทำ project finance เค้าใช้ wacc เท่าไหร่ครับ
4. มูลค่าซาก terminal value คือค่าของ FCF ในปีสุดท้ายที่เรา forecast ครับ หาไม่ได้จากงบดุลแน่นอนอาศัยการเดาเช่นกัน
เนี่ยะ อย่ามองว่า การหามูลค่าที่แท้จริงเป็นคำตอบสุดท้ายของการลงทุนนะครับ เทคนิคที่ผมทำก็คือ พอหามูลค่าที่แท้จริงได้แล้วต้องเอาผลประกอบการของแต่ละไตรมาสมาเทียบด้วยว่าเค้าทำได้ดีมากน้อยกับ "คุณค่า" ที่เราให้ไว้มั้ย
หุ้นผมก็ทะยอยซื้อครับ เชื่อมั่นมากก็ซื้อมาก เชื่อมั่นน้อยก็ซื้อน้อย
ก็งูๆ ปลาๆ ไปเรื่อยๆ ครับ ผิดถูกยังไงก็ขออภัย
1. การคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตจะใช้การเดาครับ แต่เท่าที่เห็นพวกนักวิแคระทั้งมืออาชีพ (โบรกเกอร์) และสมัครเล่น (เช่นผมเอง) จะใช้อัตราส่วนทางการเงินเฉลี่ยในอดีตแล้วเดายอดขายว่าจะโตกี่เปอร์เซนต์ครับ
เช่น อัตราส่วนต้นทุนขายต่อยอดขายเป็น 75 % ถ้ายอดขายโตเป็น 100 ล้านบาท ต้นทุนขายก็เป็น 75 ล้านบาท เป็นต้น
หรือเอาตัวอย่างยากกว่านี้หน่อยเช่น อัตราส่วนการหมุนของสินค้าคงคลังเป็น 60 วันเฉลี่ย (= Inv/Sales X 365 ) ภายใน 5 ปีย้อนหลัง ดังนั้นถ้ายอดขายโตขึ้น 5 % คำนวนจากยอดขายปัจจุบันก็พอจะหาระดับสินค้าคงคลังได้เหมือนกัน
2. t ยิ่งมากก็ยิ่งมั่ว แต่น้อยไปก็ไม่เห็นผลของการลงทุนอีกดังนั้น rule of thumb ท่านว่าไปว่าไม่น้อยกว่า 5 ปีครับ ถ้าได้ 10 ปีก็ประเสริฐแต่ผมว่าไม่มีใครทำได้หรอกนอกจากจะคนในบริษัทเองเท่านั้น
3. จริงในส่วนของต้นทุนเงินกู้ ในส่วนของต้นทุนของผู้ถือหุ้น ผมว่ามีหลายท่านที่เห็นไม่ตรงกันเยอะครับ สำหรับผม เห็นว่า ในทางทฤษฎีแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ความเสี่ยงของธุรกิจใดๆ ก็เท่าเดิมครับไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนของใคร ดังนั้น ต้นทุนของผู้ถือหุ้นก็ไม่เปลี่ยนแม้ว่าน้อง enokwan จะเป็นคนลงทุน หรือ ผมเองเป็นคนลงทุนเพราะผมมองว่าต้นทุนของผู้ถือหุ้นคือค่าเสียโอกาสในการลงทุนที่ปรับเข้ากับความเสี่ยงของการลงทุนใดๆ ก็ตาม
ว่ากันไปตามทฤษฎีครับแต่ถ้าจะให้ดี โทรถามบริษัทนั่นแหละดีที่สุด ว่าเวลาเค้าทำ project finance เค้าใช้ wacc เท่าไหร่ครับ
4. มูลค่าซาก terminal value คือค่าของ FCF ในปีสุดท้ายที่เรา forecast ครับ หาไม่ได้จากงบดุลแน่นอนอาศัยการเดาเช่นกัน
เนี่ยะ อย่ามองว่า การหามูลค่าที่แท้จริงเป็นคำตอบสุดท้ายของการลงทุนนะครับ เทคนิคที่ผมทำก็คือ พอหามูลค่าที่แท้จริงได้แล้วต้องเอาผลประกอบการของแต่ละไตรมาสมาเทียบด้วยว่าเค้าทำได้ดีมากน้อยกับ "คุณค่า" ที่เราให้ไว้มั้ย
หุ้นผมก็ทะยอยซื้อครับ เชื่อมั่นมากก็ซื้อมาก เชื่อมั่นน้อยก็ซื้อน้อย
ก็งูๆ ปลาๆ ไปเรื่อยๆ ครับ ผิดถูกยังไงก็ขออภัย
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
-
- Verified User
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1126
ขอบคุณค่ะ พี่ ayethebing
อ่า...ถ้าหยั่งท่านพี่ ยัง "รู้เพียงน้อยนิด" น้องว่าคงจะหาคนที่รู้มากได้ยากเต็มทีล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ
ขอเวลาอ่านทำความเข้าใจคำตอบอีกสักหลายๆรอบ แล้วจะมาถามต่อนะคะพี่ aye...ขอฝากไว้ก่อนค่ะ อิๆๆ
ว่าแต่พี่ ฉัตรชัย, พี่วิบูลย์ ,คุณลูกอีสาน และยอดฝีมือการใช้ DCF ท่านอื่นๆ
ขอเชิญมาช่วยชี้แนะเคล็ดวิชานี้หน่อยค่ะ ไม่ต้องถึงกับรู้มากหรอกค่ะ เอาแค่งูๆ ปลาๆ หยั่งพี่ aye ก็พอค่ะ
อ่า...ถ้าหยั่งท่านพี่ ยัง "รู้เพียงน้อยนิด" น้องว่าคงจะหาคนที่รู้มากได้ยากเต็มทีล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ
ขอเวลาอ่านทำความเข้าใจคำตอบอีกสักหลายๆรอบ แล้วจะมาถามต่อนะคะพี่ aye...ขอฝากไว้ก่อนค่ะ อิๆๆ
ว่าแต่พี่ ฉัตรชัย, พี่วิบูลย์ ,คุณลูกอีสาน และยอดฝีมือการใช้ DCF ท่านอื่นๆ
ขอเชิญมาช่วยชี้แนะเคล็ดวิชานี้หน่อยค่ะ ไม่ต้องถึงกับรู้มากหรอกค่ะ เอาแค่งูๆ ปลาๆ หยั่งพี่ aye ก็พอค่ะ
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1127
ขอใช้ความรู้น้อยๆ ตอบเรื่องทำไมน้ำมันมาเลย์ถูกกว่า
เนื่องจากมาเลย์เป็นผู้ส่งออกน้ำมัน รัฐบาลจึงเก็บ
ภาษี(ไม่รู้เรียกว่าพรีเมี่ยมหรือเปล่า)ไว้ แล้วน้ำภาษีนั้นมา
เป็นเงินชดเชยราคาน้ำมันในประเทศ ราคาเลยไม่ค่อยขึ้นลง
กล่าวคือถ้าน้ำมันเพงก็ได้ภาษีมาก เงินชดเชยก็มากตามไปด้วย
ที่รัฐบาลมาเลย์กลัวคือ คนไทย+สิงคโปร์จะ
ขับรถไปเติมน้ำมันที่ประเทศเขาอะครับทำให้เขาเสียผลประโยชน์
เช่น ราคาน้ำมัน 21 บาท ได้รับการชดเชย 5 บาท เหลือ 16 บาท
คนไทยแอบไปเติม สัก 100 ลิตร(ถูกกว่าไทย 2 บาท)
เท่ากับว่าเงินชดเชยจ่ายให้คนไทย 500 บาท
----------------------
ใครมีรถให้ขับรถไปเติมที่มาเลย์นำเงินเข้าประเทศนะครับ
เนื่องจากมาเลย์เป็นผู้ส่งออกน้ำมัน รัฐบาลจึงเก็บ
ภาษี(ไม่รู้เรียกว่าพรีเมี่ยมหรือเปล่า)ไว้ แล้วน้ำภาษีนั้นมา
เป็นเงินชดเชยราคาน้ำมันในประเทศ ราคาเลยไม่ค่อยขึ้นลง
กล่าวคือถ้าน้ำมันเพงก็ได้ภาษีมาก เงินชดเชยก็มากตามไปด้วย
ที่รัฐบาลมาเลย์กลัวคือ คนไทย+สิงคโปร์จะ
ขับรถไปเติมน้ำมันที่ประเทศเขาอะครับทำให้เขาเสียผลประโยชน์
เช่น ราคาน้ำมัน 21 บาท ได้รับการชดเชย 5 บาท เหลือ 16 บาท
คนไทยแอบไปเติม สัก 100 ลิตร(ถูกกว่าไทย 2 บาท)
เท่ากับว่าเงินชดเชยจ่ายให้คนไทย 500 บาท
----------------------
ใครมีรถให้ขับรถไปเติมที่มาเลย์นำเงินเข้าประเทศนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1128
พี่ไม่ใช่ยอดฝีมือนะจ๊ะenokwan เขียน:ขอบคุณค่ะ พี่ ayethebing
อ่า...ถ้าหยั่งท่านพี่ ยัง "รู้เพียงน้อยนิด" น้องว่าคงจะหาคนที่รู้มากได้ยากเต็มทีล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ
ขอเวลาอ่านทำความเข้าใจคำตอบอีกสักหลายๆรอบ แล้วจะมาถามต่อนะคะพี่ aye...ขอฝากไว้ก่อนค่ะ อิๆๆ
ว่าแต่พี่ ฉัตรชัย, พี่วิบูลย์ ,คุณลูกอีสาน และยอดฝีมือการใช้ DCF ท่านอื่นๆ
ขอเชิญมาช่วยชี้แนะเคล็ดวิชานี้หน่อยค่ะ ไม่ต้องถึงกับรู้มากหรอกค่ะ เอาแค่งูๆ ปลาๆ หยั่งพี่ aye ก็พอค่ะ
แค่นักลงทุนธรรมดา
ตอนนี้งานยุ่งมาก ต้องขอโทษทีที่ไม่มีเวลาตอบให้ทันใจ
ใครถามมาต้องรอหน่อยนะช่วงนี้
ยิ่งถ้าถามคุณ Mon Money ก็ไม่ต้องห่วง
ช่วงนี้กำลังรับทรัพย์กับธุรกิจส่วนตัว คงปลีกเวลามาตอบน้อยแน่นอน
เรื่อง DCF จะว่าง่ายก็ง่าย
จะว่ายากก็ยากน่ะ
แต่ที่แน่ๆ คนสิบคนหามูลค่าบริษัทเดียวกันรับรองว่าไม่เท่ากัน(ถ้าไม่แอบดูกัน)
แต่เอ.....ที่ถามมานี่มีอะไรบ้างนะ..... ลืม (พอดีถามเยอะ)
อนาคตก็คืออนาคตenokwan เขียน:1.การคาดการณ์กระแสเงินสดอิสระในอนาคต(FCF)
มีหลักการเดาจากอะไรคะ ถ้าเราใช้ กระแสเงินสดสุทธิ ในอดีต แทน
จะได้มั้ยคะ (แหะๆ มั่วค่ะ เอาง่ายเข้าว่า แต่คิดว่าไม่น่าจะได้นะคะ)
อดีตก็คืออดีตครับ
จะใช้อดีตทำนายอนาคตก็พอได้แต่ไม่ตรงความเป็นจริง
บางท่านคิดง่ายๆว่า ย้อนหลังมีการเติบโตเท่าไหร่
ก็ใช้อันนั้นมาทำนายอนาคต
แต่ถ้าให้ดี คิดว่าเรามองเห็นอนาคตของบริษัทอย่างไร
ก็"ทำนาย"ไปตามนั้น
เช่น ยอดขาย ต้นทุน กำไร กระแสเงินสด
ถ้ามองธุรกิจไม่ออกก็"เดา"กระแสเงินสดในอนาคตไม่ได้จ๊ะ
เอานี่เลย หนังสือของคุณBuglife "รวยด้วยหุ้นด้วยงบการเงิน" มีขายที่ซีเอ๊ดenokwan เขียน:และสมมติว่า ถ้าเราสามารถใช้ กระแสเงินสดสุทธิ ย้อนหลังแทนได้
เราจะดูจากส่วนไหนในงบกระแสเงินสดคะ
ใช่ส่วนที่เป็น จากกิจกรรมการดำเนินงาน รึป่าวคะ
(ไหนๆก็มั่วแล้ว เลยขอมั่วต่ออีกหน่อยค่ะ )
จะบอกว่าใช้ส่วนไหนมาคำนวณกระแสเงินสดนะ
ก็อยู่ที่ว่าเรามองธุรกิจนี้ออกไปอีกกี่ปีenokwan เขียน:2.จำนวนปีที่เราใช้ (t) ควรจะเป็นกี่ปีดีคะ หรือยิ่งมากยิ่งดี
ถ้ามองเห็น 5 ปี ก็"เดา"ไป 5 ปี
ถ้ามองเห็น 10 ปี ก็"เดา"ไป 10 ปี
ยิ่งมากปียิ่งผิดมากจ๊ะ
ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบบบบบบenokwan เขียน:3.จาก WACC ในส่วนของ "ต้นทุนเงินกู้" มันคืออันเดียวกะ "ดอกเบี้ยจ่าย" ที่อยู่ในงบดุลเลยใช่มั้ยคะ
แล้วส่วนของ "ต้นทุนเงินทุน" ที่บวกค่าความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจเข้าไปด้วยนี่
จะเป็นตัวที่ทำให้ WACC ที่ออกมาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เพราะแต่ละคนย่อมประเมินความเสี่ยงไม่เหมือนกัน...ถูกต้องมั้ยคะ
ต้นทุนดอกเบี้ยทุกคนรู้ว่าเท่าไหร่
แต่ต้นทุนของส่วนผู้ถือหุ้นซิ ใครจะตอบได้
ความเสี่ยงของแต่บะคนไม่เท่ากัน
บางตำราใช้ Beta มาหา WACC ด้วยล่ะ จะบอกให้
คงเข้าใจผิดแล้วครับenokwan เขียน:4. นอกจากนั้น เรายังต้องหา"มูลค่าซาก" ที่จะต้องรวมไปด้วยในขั้นตอนสุดท้าย
ก่อนที่จะ discount ออกมา อยากทราบว่า "มูลค่าซาก" นี่เอามาจากตรงส่วนไหนของงบดุลคะ
Terminal Value ไม่ใช่มูลค่าซากครับ ฟังดูเหมือนของตายแล้วยังไงไม่รู้
"มูลค่าซากในทางบัญชี"หมายถึง Net Book Value ครับ
คือมูลค่าของทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดสัญญาหลังจากหักค่าเสื่อมราคาออกไปแล้ว
ในการคำนวณ DCF เราใช้ Terminal Value ครับ
เรียกว่า "มูลค่ากิจการอนันต์" คือมูลค่าของกิจการจนถึงสิ้นสุดอายุขัยบริษัท
หาไม่ได้ในงบดุลครับ ต้องใช้สูตรในหนังสือข้อถัดไป
มีครับ ชื่อ "คู่มือปรับโครงสร้างทางการเงิน เล่ม2 - การหามูลค่าหุ้น" ของ สนพ เดียวกับ อ.ชายenokwan เขียน:และสุดท้าย...มีนส.ภาษาไทย ที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน แนะนำบ้างมั้ยคะ
ตอนนี้เจอนส.ของ อ.ชาย เรื่อง "ความลับในการเป็นนักลงทุนมืออาชีพ" เล่มเดียวเองน่ะค่ะ
ไม่รู้หมดหรือยัง ผมหาไม่ค่อยเจอแล้ว
ลองโทรไปถามสำนักพิมพ์ดูซครับ เผื่อจะมีเหลือในสต๊อค
อ้าว...หมดแล้วหรือครับ คำถาม
เอาล่ะ พอหอมปากหอมคอ
น้องenokwan ก็ไปหาหนังสือมาทำการบ้าน แล้วมาคุยกันใหม่นะครับ
เรื่องหนังสือที่ได้รางวัล พี่ยังไม่ได้รับการติดดต่อกับพี่ธันวาเลยล่ะ
ไม่รู้ว่าพี่ธันวาส่งให้หรือยังไม่รู้ เดี๋ยวจะตามให้น่ะ
โชคดีในการลงทุนครับ
จะเป็นฟองสบู่หรือเปล่า อันนี้"ไม่ทราบ"ครับสวัสดีครับพี่ๆ คือตอนนี้ผมสงสัยว่าเศรษฐกิจไทยมันยังไงกันแน่ มันกำลังจะดีหรือกำลังฟองสบู่ครับ เท่าที่ผมวิเคราะห์โดยดูจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็ดีขึ้นกันทั้งนั้น ยกเว้นเรื่องน้ำมันกับค่าเงินแล้วจะมีอะไรอีกป่าวครับ
ตอนนี้น้ำมันก็ลดลงแล้ว
ค่าเงินก็ทรงๆตัว
แล้วมีอะไรอีกหล่ะ
อ้อ....ดอกเบี้ย Fed
ผมว่าเวลานักลงทุนมองโลกในแง่ร้าย
ก็หาสาเหตุมาอธิบายกันได้ทั้งนั้นหละครับ
สนใจในธุรกิจดีกว่าครับ อย่าไปกังวลกับอะไรมากเลยครับ
ถ้ามีผลกระทบกับธุรกิจเราค่อยสนใจ
การใช้ FCF หรือ p/e ใช้ได้กับทุกธุรกิจครับอีกเรื่องก็คือผมอยากถามความเห็นการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารหน่อยครับ ผมสนใจตัว kbank อยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าการใช้ FCF หรือ p/e จะใช้กับกลุ่มนี้ได้หรือเปล่า ผมวิเคราะห์จากการปรับดอกเบี้ยขึ้นว่าน่าจะดีกับแบงค์นะ
ไม่จำกัดว่าจะเป็นธนาคาร ก่อสร้าง หรืออะไรก็ตาม
ส่วนการปรับดอกเบี้ยจะเป็นผลดีกับกลุ่มธนาคารในช่วงแรก
เพราะสามารถปรับดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนดอกเบี้ยเงินฝากครับ
แต่ในระยะยาว อนาคตของธุรกิจธนาคารขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศครับ
อย่าสับสน
ถ้าขึ้นดอกเบี้ยแล้วเศรษฐกิจแย่ ธนาคารคงไปดีไม่ได้เหมือนกัน
ส่วนตัวผม ธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างซับซ้อน เข้าใจยาก
แค่อ่านงบดุล ผมก็ตาลายแล้วครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจไม่ได้
ลองดูแล้วกันครับ
ผมแนะนำให้"ลงทุน"ในธุรกิจที่เรา"เข้าใจ"ดีที่สุด
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1129
แอบนินทากันอย่างนี้คิดว่าผมไม่ค่อยได้อ่านหรือไง คุณวิบูลย์ตอนนี้งานยุ่งมาก ต้องขอโทษทีที่ไม่มีเวลาตอบให้ทันใจ
ใครถามมาต้องรอหน่อยนะช่วงนี้
ยิ่งถ้าถามคุณ Mon Money ก็ไม่ต้องห่วง
ช่วงนี้กำลังรับทรัพย์กับธุรกิจส่วนตัว คงปลีกเวลามาตอบน้อยแน่นอน
ตอนนี้ที่รับทรัพย์อยู่ก็เกิดจากเพื่อนฝูงในวงการ ไม่สามารถขัดใจสุดที่รักได้ เพราะสินค้าของผมงามตา และสบายกระเป๋าเป็นที่สุด ไม่เชื่อไปถามคุณ นิด(เรื่องงามตา)ดูซิ ถามตัวเองเรื่องสบายกระเป๋า(เนื้อที่ประชาสัมพันธ์สินค้า)
ที่ไม่ได้ตอบก็เพราะพี่Ayeแกเล่นออกตัวว่างูๆปลาๆ ระดับไส้เดือน กิ้งกืออย่างผมจะไปตอบได้อย่างไร อิ อิ เดี่ยวมีเพื่อนมาว่า ว่าเขียนอะไรก็ไม่รู้ อ่านอย่างไงก็ไม่รู้เรื่องซะที
อยากจะคุยเรื่องตายซาก เอ้ยมูลค่าซาก หากให้ผมตั้งชื่อให้ผมจะตั้งว่ามูลค่าที่มีหลังจากช่วงเวลาคิดลด จริงๆแล้วหลังจากเวลาที่เราคิดลดกิจการยังไม่เลิก แสดงว่ากิจการยังมีมูลค่าอยู่เราจึงต้องคำนวนหามูลค่าที่ว่านี่(มันยาวเอาเป็นชื่อฝรั่งแหละดีแล้ว เชื่อผมแหอะ) ว่าบนพื้นฐานของการดำรงค์คงอยู่ของกิจการ(Going concern)เมื่อพ้นห้าปีสิบปี(ตามแต่จะเดา)กิจการจะมีมูลค่าคงเหลือเป็นก้อนเท่าไร เพื่อนำมาคิดลดหามูลค่าที่แท้จริง(อีกแล้ว)ให้ได้
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1130
Mon Money:
ผมไม่ค่อยถูกกับเพชรๆ ทองๆ ครับ สงสัยจะไม่ใช่ลูกค้านะ ว่าแต่ว่าร้านอยู่ไหนครับ ถ้าซื้อแล้วได้ส่วนลดเยอะๆ อาจแนะนำเพื่อนที่เค้าสนใจให้ไปอุดหนุนครับ (ถ้าได้เปอร์เซนต์ค่าคอมนะ เชียร์ใจขาดเลย :lol: KIDDINGGGG)
รวยด้วยแถมดังอีกต่างหาก สุดยอดดดดดด ท่านอาจานมน มันนี่ ข้าน้อยขอคารวะตอนนี้ที่รับทรัพย์อยู่ก็เกิดจากเพื่อนฝูงในวงการ ไม่สามารถขัดใจสุดที่รักได้ เพราะสินค้าของผมงามตา และสบายกระเป๋าเป็นที่สุด ไม่เชื่อไปถามคุณ นิด(เรื่องงามตา)ดูซิ ถามตัวเองเรื่องสบายกระเป๋า(เนื้อที่ประชาสัมพันธ์สินค้า)
ผมไม่ค่อยถูกกับเพชรๆ ทองๆ ครับ สงสัยจะไม่ใช่ลูกค้านะ ว่าแต่ว่าร้านอยู่ไหนครับ ถ้าซื้อแล้วได้ส่วนลดเยอะๆ อาจแนะนำเพื่อนที่เค้าสนใจให้ไปอุดหนุนครับ (ถ้าได้เปอร์เซนต์ค่าคอมนะ เชียร์ใจขาดเลย :lol: KIDDINGGGG)
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1131
ขอบคุณค่า..พี่วิบูลย์...
เรื่องนส.ไม่ต้องกังวลค่ะพี่ ตอนนี้ยังมีให้อ่านอีกเป็นกองเลยล่ะค่ะ
(รวมถึง เล่มที่พี่บอกก็อยู่ในกองนั้นด้วยล่ะจ้ะ..อิๆๆ...เขิลลล จังเยย )
จะรีบจัดการโดยด่วนค่ะ ...เฮียสั่งลุย ทั้งที
เผื่อวันนึง จะได้เป็น นักลงทุนธรรมดา(ที่ไม่ธรรมดา) หยั่งพี่วิบูลย์มั่งจ้ะ
Mon Money:
..."เพราะ คิดถึง...จึงถามหา" มากกว่าค่ะ พี่มน ฮิๆๆๆๆ :lol:
เรื่องนส.ไม่ต้องกังวลค่ะพี่ ตอนนี้ยังมีให้อ่านอีกเป็นกองเลยล่ะค่ะ
(รวมถึง เล่มที่พี่บอกก็อยู่ในกองนั้นด้วยล่ะจ้ะ..อิๆๆ...เขิลลล จังเยย )
จะรีบจัดการโดยด่วนค่ะ ...เฮียสั่งลุย ทั้งที
เผื่อวันนึง จะได้เป็น นักลงทุนธรรมดา(ที่ไม่ธรรมดา) หยั่งพี่วิบูลย์มั่งจ้ะ
Mon Money:
ยังงี้เค้าไม่เรียกว่านินทาหรอกจ้า...แอบนินทากันอย่างนี้คิดว่าผมไม่ค่อยได้อ่านหรือไง คุณวิบูลย์
..."เพราะ คิดถึง...จึงถามหา" มากกว่าค่ะ พี่มน ฮิๆๆๆๆ :lol:
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1132
ไม่ได้นินทาครับMon money เขียน:
แอบนินทากันอย่างนี้คิดว่าผมไม่ค่อยได้อ่านหรือไง คุณวิบูลย์
ตอนนี้ที่รับทรัพย์อยู่ก็เกิดจากเพื่อนฝูงในวงการ ไม่สามารถขัดใจสุดที่รักได้ เพราะสินค้าของผมงามตา และสบายกระเป๋าเป็นที่สุด ไม่เชื่อไปถามคุณ นิด(เรื่องงามตา)ดูซิ ถามตัวเองเรื่องสบายกระเป๋า(เนื้อที่ประชาสัมพันธ์สินค้า)
เขาเรียกว่า ชมลับหลัง
จะเอา Catalogue สินค้ามาลงเวปขายผ่านเนตก็ได้นะครับ
จะได้ประหยัดค่าคอมเซล
คุยกันเรื่องอื่นนอกจากเรื่องหุ้นก็ดีเหมือนกันนะครับ
จะได้ไม่เครียด.....5 5 5
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1133
โค้ด: เลือกทั้งหมด
รวยด้วยแถมดังอีกต่างหาก สุดยอดดดดดด ท่านอาจานมน มันนี่ ข้าน้อยขอคารวะ
ผมไม่ค่อยถูกกับเพชรๆ ทองๆ ครับ สงสัยจะไม่ใช่ลูกค้านะ ว่าแต่ว่าร้านอยู่ไหนครับ ถ้าซื้อแล้วได้ส่วนลดเยอะๆ อาจแนะนำเพื่อนที่เค้าสนใจให้ไปอุดหนุนครับ (ถ้าได้เปอร์เซนต์ค่าคอมนะ เชียร์ใจขาดเลย KIDDINGGGG)
สำหรับเสี่ยAyeแล้วผมจะลดให้เป็นพิเศษ จริงๆแล้วเสี่ยวิบูลย์แกก็ไม่ค่อยสนสินค้าผมเท่าไหร่หรอก พอดี ผบ.ทบ. ผู้บังคับบัญชาแกสั่งให้ควักเงินจ่ายค่าของให้ผมหรอก ผมถึงได้บอกว่างามที่ผู้ใส่ คนจ่ายสบายกระเป๋าไง เสี่ยAye ไม่สนไม่เป็นไร ให้พา ผู้บังคับบัญชาสูงสุดมาชมสินค้าแล้วรอจ่ายเงินดีกว่า อิ อิ
ส่วนเสี่ยวิบูลย์ ค่าทำCatalogueมันแพงเหลือเกินกว่าVIพันธุ์แท้อย่างผมจะรับได้เลยเลือกที่จะให้ คอมเซลดีกว่า อย่าลืมนัดเรานะพรุ่งนี้ 6โมงเย็นศูนย์ศิริกิตย์ และวันเสาร์มื้อเย็นนะ
ใครคิดถึงผมมาหาได้ที่ร้านครับ อยู่หน้าตลาดรามสองบางนาครับ เจอตัวเป็นๆดุกดิกเลยล่ะ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1134
บอกไปเหมือนโกหก ผบ.ทบ. ผมนั่นแหละที่ไม่สนใจ ผมเองก็อยากจะซื้อให้ใจจะขาดดดด
รับสั่งทำมั้ยครับ เคยเห็นแบบของคาร์เทียร์มันสวยดีนะ
รับสั่งทำมั้ยครับ เคยเห็นแบบของคาร์เทียร์มันสวยดีนะ
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1135
มาแอบฟังเสี่ยๆคุยกันครับ ^_^
ผมเสริมนิดหน่อยครับเรื่อง DCF มูลค่าซากนั้นมันอยู่ใน FCF อยู่แล้วเพราะจาก FCF นั้นส่วนหนึ่งเราต้องคำนวณ Capex ด้วย
ซึ่ง Capex ก็คือการซื้อและขายสินทรัพย์นั่นเอง ตลอดเวลาที่กิจการนั้นดำรงอยู่มันเกิดการซื้อสินทรัพย์และการขายซากสินทรัพย์ไปตลอดครับ
การพยากรณ์ Capex ลองเอางบการเงินหลายปีมาดูแนวโน้มประกอบกับยอดขาย
แล้วลองพยากรณ์หา Capex ที่เหมาะสมดูครับ
ผมเสริมนิดหน่อยครับเรื่อง DCF มูลค่าซากนั้นมันอยู่ใน FCF อยู่แล้วเพราะจาก FCF นั้นส่วนหนึ่งเราต้องคำนวณ Capex ด้วย
ซึ่ง Capex ก็คือการซื้อและขายสินทรัพย์นั่นเอง ตลอดเวลาที่กิจการนั้นดำรงอยู่มันเกิดการซื้อสินทรัพย์และการขายซากสินทรัพย์ไปตลอดครับ
การพยากรณ์ Capex ลองเอางบการเงินหลายปีมาดูแนวโน้มประกอบกับยอดขาย
แล้วลองพยากรณ์หา Capex ที่เหมาะสมดูครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1136
หรือจะหมดมนต์เสน่เสียแล้วกระทู้นี้
นานๆผมจะเข้ามาสักครั้ง วันนี้ได้ยินทฤษฎีใหม่ที่ฝรั่งชอบเรียกการลงทุนของคนไทย เรียกว่าทฤษฎีแมลงสาบ ใครรู้เรื่องนี้ตอบหน่อยซิครับ ส่วนผมจะไปหาข้อมูลมาคุยกันคราวหน้าครับ
นานๆผมจะเข้ามาสักครั้ง วันนี้ได้ยินทฤษฎีใหม่ที่ฝรั่งชอบเรียกการลงทุนของคนไทย เรียกว่าทฤษฎีแมลงสาบ ใครรู้เรื่องนี้ตอบหน่อยซิครับ ส่วนผมจะไปหาข้อมูลมาคุยกันคราวหน้าครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- วันพีส
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1137
ที่ผมได้ยินมา เรื่องทฤษฎี แมลงสาป
เป็น ทฤษฎี ที่ ฝรั่ง จะเรียกนักลงทุนไทย โดยเปรียบเทียบนักลงทุนไทย กับลักษณะนิสัยของแมลงสาป
คือ ถ้าแมลงสาป เมื่อได้รับการกระตุ้นให้ตกใจ แมลงสาปจะแตกตื่นออกมาโดยไร้ทิศทาง โดยไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่ทำให้ตกใจ อาจเป็นสิ่งดีสำหรับตัวมันเองหรือไม่ เช่น อยู่ดีๆ มีอาหารใหม่มาให้มัน มันก็จะวิ่งหนีกระจายตัวก่อน และในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน แมลงสาปก็แย่งกันวิ่งหนีก่อน เพราะกลัวภัยอันตรายจะมาถึงตัว
ก็เช่นเดียวกับ ภาษิตไทย กระต่ายตื่นตูม
แต่เมื่อนำมาใช้กับนักลงทุนไทย นั้น จะมีความหมายทางแย่มากกว่าทางดี
กล่าวคือ เปรียบนักลงทุนไทย ที่เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมากระตุ้น นักลงทุนไทย จะตื่นตกใจ แล้วก็ทำลักษณะแบบแมลงสาปคือ ขอแย่งกันขายไว้ก่อน(แมลงสาปแย่งกันหนี) โดยไม่สนใจว่าลักษณะเหตุการณ์นั้น จะส่งผลดีหรือผลเสีย ขอแย่งกันขายไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
เช่น เหตุการณ์ ไข้หวัดนก ที่ผ่านมา ไม่น่ากระทบ อุตสาหกรรมอย่างอื่นนอกจากอาหาร แต่นักลงทุนไทย ก็ พากันขายหุ้น กันทุกหมวด เพื่อขายหนีก่อนดังลักษณะแมลงสาป ยิ่งแย่งกันขายก็ยิ่งทำให้ราคาตก ยิ่งราคาตก ก็ยิ่งขาย ตกลงสุดท้าย ก็คือ การแย่งกันขาดทุน
โดยหากนักลงทุนไทย หยุดไตร่ตรองคิดสักนิด ก็จะรู้ถึงความไม่เกี่ยวข้องกัน ของเหตุการณ์ แล้วนักลงทุนไทยก็จะไม่ขาดทุนกันมาก อย่างที่เกิดขึ้น ในเหตุการณ์ไข้หวัดนก
หรือ การที่หุ้นตัวใด เกิดการขายขึ้นมาในจำนวนมากๆ หุ้น นักลงทุนไทยเมื่อเห็นดังนั้น ก็พากันขายตามออกมาเพื่อหนี ก็เข้าลักษณะเดิมคือ แย่งกันหนีโดยไร้ทิศทางแบบแมลงสาป(แย่งกันขายยิ่งแย่งกันขาย ก็ยิ่งขาดทุน)
หากหยุดพิจารณา เหตุการณ์ก่อน ว่าส่งผลกระทบอย่างไร ก็จะไม่เกิดการขาดทุนมากมาย บางทีการขายหุ้นมากๆ นั้น อาจเป็นข่าวดีก็ได้ เช่น เป็นการขายหุ้นเปลี่ยนมือ จาก ผู้บริหารที่ไม่ดีไปสู่ผู้บริหารที่ดี
แล้วถ้านักลงทุนไทย หยุดคิดไตร่ตรองได้อย่างนี้ แล้วจะแย่งกันขายอย่างเช่นแมลงสาป เพื่ออะไร
สุดท้าย ผมว่าพวกเรานักลงทุนไทย ควรหาภูมิคุ้มกันให้ตัวเองมากๆ โดยการเรียนรู้ รับรู้ ข่าวสารต่างๆ แล้วนำมาคิดผลดี ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ก่อนการตัดสินใจ ไม่ใช่การขาดสติ ขายหุ้นทิ้งก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง แล้วการคิดไตร่ตรองอย่างมีสติ จะค่อยๆ ลบภาพการมองของ ฝรั่ง ว่านักลงทุนไทย เป็น แมลงสาป ลงได้
แต่เหนืออื่นใด ผมว่า นักลงทุนไทยผู้มีสติผู้นั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง
-------------------------------------------------------------------------------------
ทั้งหมดข้างบน คือเรื่องราวของ ทฤษฎีแมลงสาป ที่ผมได้ยินมา แล้วขอใส่เหตุการณ์ที่ ผมรู้สึกว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ทำนิสัยเช่นแมลงสาป เพื่อประกอบ และช่วงท้ายขอแสดงความเห็นส่วนตัวครับ
เป็น ทฤษฎี ที่ ฝรั่ง จะเรียกนักลงทุนไทย โดยเปรียบเทียบนักลงทุนไทย กับลักษณะนิสัยของแมลงสาป
คือ ถ้าแมลงสาป เมื่อได้รับการกระตุ้นให้ตกใจ แมลงสาปจะแตกตื่นออกมาโดยไร้ทิศทาง โดยไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่ทำให้ตกใจ อาจเป็นสิ่งดีสำหรับตัวมันเองหรือไม่ เช่น อยู่ดีๆ มีอาหารใหม่มาให้มัน มันก็จะวิ่งหนีกระจายตัวก่อน และในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน แมลงสาปก็แย่งกันวิ่งหนีก่อน เพราะกลัวภัยอันตรายจะมาถึงตัว
ก็เช่นเดียวกับ ภาษิตไทย กระต่ายตื่นตูม
แต่เมื่อนำมาใช้กับนักลงทุนไทย นั้น จะมีความหมายทางแย่มากกว่าทางดี
กล่าวคือ เปรียบนักลงทุนไทย ที่เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมากระตุ้น นักลงทุนไทย จะตื่นตกใจ แล้วก็ทำลักษณะแบบแมลงสาปคือ ขอแย่งกันขายไว้ก่อน(แมลงสาปแย่งกันหนี) โดยไม่สนใจว่าลักษณะเหตุการณ์นั้น จะส่งผลดีหรือผลเสีย ขอแย่งกันขายไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
เช่น เหตุการณ์ ไข้หวัดนก ที่ผ่านมา ไม่น่ากระทบ อุตสาหกรรมอย่างอื่นนอกจากอาหาร แต่นักลงทุนไทย ก็ พากันขายหุ้น กันทุกหมวด เพื่อขายหนีก่อนดังลักษณะแมลงสาป ยิ่งแย่งกันขายก็ยิ่งทำให้ราคาตก ยิ่งราคาตก ก็ยิ่งขาย ตกลงสุดท้าย ก็คือ การแย่งกันขาดทุน
โดยหากนักลงทุนไทย หยุดไตร่ตรองคิดสักนิด ก็จะรู้ถึงความไม่เกี่ยวข้องกัน ของเหตุการณ์ แล้วนักลงทุนไทยก็จะไม่ขาดทุนกันมาก อย่างที่เกิดขึ้น ในเหตุการณ์ไข้หวัดนก
หรือ การที่หุ้นตัวใด เกิดการขายขึ้นมาในจำนวนมากๆ หุ้น นักลงทุนไทยเมื่อเห็นดังนั้น ก็พากันขายตามออกมาเพื่อหนี ก็เข้าลักษณะเดิมคือ แย่งกันหนีโดยไร้ทิศทางแบบแมลงสาป(แย่งกันขายยิ่งแย่งกันขาย ก็ยิ่งขาดทุน)
หากหยุดพิจารณา เหตุการณ์ก่อน ว่าส่งผลกระทบอย่างไร ก็จะไม่เกิดการขาดทุนมากมาย บางทีการขายหุ้นมากๆ นั้น อาจเป็นข่าวดีก็ได้ เช่น เป็นการขายหุ้นเปลี่ยนมือ จาก ผู้บริหารที่ไม่ดีไปสู่ผู้บริหารที่ดี
แล้วถ้านักลงทุนไทย หยุดคิดไตร่ตรองได้อย่างนี้ แล้วจะแย่งกันขายอย่างเช่นแมลงสาป เพื่ออะไร
สุดท้าย ผมว่าพวกเรานักลงทุนไทย ควรหาภูมิคุ้มกันให้ตัวเองมากๆ โดยการเรียนรู้ รับรู้ ข่าวสารต่างๆ แล้วนำมาคิดผลดี ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ก่อนการตัดสินใจ ไม่ใช่การขาดสติ ขายหุ้นทิ้งก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง แล้วการคิดไตร่ตรองอย่างมีสติ จะค่อยๆ ลบภาพการมองของ ฝรั่ง ว่านักลงทุนไทย เป็น แมลงสาป ลงได้
แต่เหนืออื่นใด ผมว่า นักลงทุนไทยผู้มีสติผู้นั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง
-------------------------------------------------------------------------------------
ทั้งหมดข้างบน คือเรื่องราวของ ทฤษฎีแมลงสาป ที่ผมได้ยินมา แล้วขอใส่เหตุการณ์ที่ ผมรู้สึกว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ทำนิสัยเช่นแมลงสาป เพื่อประกอบ และช่วงท้ายขอแสดงความเห็นส่วนตัวครับ
ผมรู้น้อย แต่จะค่อยๆ ทำความเข้าใจครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1138
ถ้าอ่านกระทู้นี้กันหมดแล้วMon money เขียน:หรือจะหมดมนต์เสน่เสียแล้วกระทู้นี้
นานๆผมจะเข้ามาสักครั้ง วันนี้ได้ยินทฤษฎีใหม่ที่ฝรั่งชอบเรียกการลงทุนของคนไทย เรียกว่าทฤษฎีแมลงสาบ ใครรู้เรื่องนี้ตอบหน่อยซิครับ ส่วนผมจะไปหาข้อมูลมาคุยกันคราวหน้าครับ
ก็เก็บเอาไว้ให้ลูกหลานอ่านแล้วกันครับ
จะได้ไม่กลายเป็น"แมลงสาบ"เหมือนที่ฝรั่งเขาว่าไว้
ผมว่า VI ไม่ต้องกลัวฝรั่งหรือต่างชาติ
ใครว่าฝรั่งไม่เป็น"แมลงสาบ"
ก็ดูตอนยิงมัสยิดภาคใต้และจีนลดเศรษฐกิจ
ใครเป็นคนขายหุ้นออกมายังกับเทน้ำเทท่า
ไม่ใช่"ต่างชาติ"หรือ ขายกันวันละพันกว่าล้าน
ติดต่อกันเป็นสัปดาห์
พวกเราเลยได้มีโอกาสซื้อของถูกไงครับ
อย่าคิดว่า"ฝรั่ง"เก่งกว่าเรา
ผมไม่สนับสนุนแนวคิดนี้แน่นอน
ฝรั่งไม่ได้เรื่องก็มีเยอะครับ
เพียงแต่คนไทยไม่คิดทำสิ่งดีๆให้กับสังคนส่วนรวมมากกว่า
ฝรั่งเลยว่าเราได้
ถ้าคนไทยมี"ความคิด"ทำแต่สิ่งดีๆ
นำ"วัฒนธรรมที่ดี"ของเรามาพัฒนาต่อ
ไม่ตามก้นฝรั่ง
ฝรั่งก็ว่าเราไม่ได้ครับ
แต่เราตามก้นฝรั่งแทบจะทุกอย่าง
โดยลืมรากเหง้าของเราไป
แล้วใครจะมาชื่นชมเรา
ถ้าให้ผมแสดงความคิดเห็น
ผมว่า "ฝรั่ง"ชื่นชม"คนลาว หลวงพระบาง"มากกว่า"คนกรุงเทพ"ครับ
ทั้งๆที่คนลาวมีวัตถุ มีเงิน และสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่าเรามากๆๆ
แต่เขามี"จิตใจ"ที่ยังดีงาม
ไปหลวงพระบาง ไม่ต้องกลัวขโมย ขโจร
ไม่ต้องกลัวใครมาจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติ
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข ทั้งๆที่ไม่มีเงินมาก
ต่างจากเรา เรามีเงินมากขึ้น มีบ้านหลังโต มีรถยนต์คันใหญ่
แต่กลับหาความสุข ความสงบในจิตใจจริงๆ ไม่ได้เลย
ถ้าเราสามารถนำ"วัฒนธรรมอันดีงาม"ของไทยเรากลับมาได้
พร้อมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ผมรับประกัน "ฝรั่ง"ดูถูกเราไม่ได้แน่นอน
แต่คำถามมีอยู่ว่า
เราจะเริ่มทำเมื่อไหร่ และเราจะตั้งใจทำจริงหรือ?????
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1139
ขอลอกคำพูดของพี่ CK มาลงในที่นี้นะครับ
พูดถูกใจมากเลยครับ อ่านกันเอาเองนะครับ
ผมคง"หมดมุข"แล้ว
คงต้อง"หากิน"ด้วยการนำ"คำพูด"ดีๆของพี่ๆน้องๆทั้งหลายในกระทู้ต่างๆมารวบรวมไว้ ณ ที่นี้
เพื่อให้รุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาต่อไป
ใครมี"คำพูด"ดีๆกินใจเอามาโพสในกระทู้นี้ได้นะครับ
พูดถูกใจมากเลยครับ อ่านกันเอาเองนะครับ
ผมคง"หมดมุข"แล้ว
คงต้อง"หากิน"ด้วยการนำ"คำพูด"ดีๆของพี่ๆน้องๆทั้งหลายในกระทู้ต่างๆมารวบรวมไว้ ณ ที่นี้
เพื่อให้รุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาต่อไป
ใครมี"คำพูด"ดีๆกินใจเอามาโพสในกระทู้นี้ได้นะครับ
CK เขียน:การที่บอกว่าเลือกหุ้นดีๆแล้วถือยาวๆ ก็เป็น vi แล้ว นับเป็นความเข้าใจผิด
อย่างมหันต์ครับ
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะต้อง
(1) เลือกหุ้นที่ดีๆ มี growth สูงๆ
(2) อดทนรอราคาซื้อที่เหมาะสม
(3) ลุยซื้อ
(4) exit หรือ cut loss ถ้าตัดสินใจพลาด
(5) อดทนรอกำไรที่จะได้รับ
(6) ปรับปรุงพอร์ตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะวีไอวีเอส จะต้องทำทั้งหกข้อนี้ ก็เหมือนการทำสงคราม
แหละครับ
ส่วนที่แตกต่างกันไปแต่ละคนคือ tactics ในการเลือกหุ้นเอง
บางคนเลือกเพราะกราฟสวย บ้างก็เลือกเพราะผลงานในอดีตดี
บ้างก็เพราะกำไรสะสมเยอะ
ส่วนราคาที่เหมาะสม บ้างก็ดูจากกราฟ บ้างก็ดู p/e p/bv บ้างก็
ดู peg บ้างก็ดู dcf
tactics ในการ exit ก็ต่างกัน บางคนตั้งจุด cut loss จากราคา บ้าง
ก็ดูผลประกอบการ บ้างก็ดู macro/micro economy trend บางคน
ก็ดูนักวิเคราะห์พูด
ส่วนกำไรแต่ละคนก็ต้องการไม่เหมือนกัน บางคนรอปันผลอย่างเดียว
บางคนรอ capital gain อย่างเดียว บางคนรอมันทั้งสองอย่าง
ฯลฯ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 1140
อันนี้ของพี่ปรัชญา ผมชอบมาก
ขอลอกมาโพสนะครับพี่ปรัชญา
หวังว่าคงไม่ถูกเก็บค่าลิขสิทธิ์
ขอลอกมาโพสนะครับพี่ปรัชญา
หวังว่าคงไม่ถูกเก็บค่าลิขสิทธิ์
ปรัชญา เขียน:
เอาตามความรู้สึก คุยกันสนุกสนุกอย่าซีเลียตนะครับ
ก็เคยโพท์สไว้แล้ว ก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน
กองทุนต่างๆ ของ....ไทยต้องทำราคาปิดราคาหุ้น
เพื่อให้ค่าNAVดูดี มูลค่าทางบ/ชและทรัพย์สินมีกำไรต่อหน่วย
ต่างชาติขาย(เพราะได้ราคา)
เพราะหุ้นจองที่กองทุนต่างชาติได้ไปนั้น
อาทิเช่น PTT TOC AOT ราชบุรีโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและอื่นๆ มันขึ้นมาเป็น1-200% อย่างราคาIPO = PTTจาก45ก็มาไกล อย่างราชบุรี13บาทก็มาไกล และที่ยังไม่กล่าวถึง พูดกันแบบชาวบ้านเขาต้องทำราคาปิดก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน นับก่อน7วันจนถึงสิ้นเดือนวันไหนก็ได้ ใครมีหุ้นตัวไหนในพอท์ตกองทุนนั้นๆก็ต้องประคับประคอง นี่คือแม่ไม้คนเล่นหุ้นสมัยโบราณ
ไม่รู้ว่าล้าสมัยหรือยัง ต่างชาติรู้ทางลมก็ขายไปเรื่อยๆ ในเมื่อตั้งกองทุนวายุไว้พยุงหุ้น และบริษัทประกนภัยต่างไม่รู้จะเอาเงินไปบริหารอย่างไรให้งอกเงยก็เอาเงินมาลงทุนในหุ้นนี่เหมือนกัน
เรื่องหุ้น ราคาแพงหรือถูก
อันนี้คงต้องไปวัดกับผลประกอบการที่จะประกาศมาในรอบไตรมาส2
ซึ่งจะประกาศกันหลังสิ้นเดือนนี้30-45วันครับ
คราวนี้ก็มาถึงการเล่นเก็งกำไรผลประกอบการ
นักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเรา ก็จะเข้าไปคัดเลือกซื้อถือรอกะว่าบริษัทนี้คงจะกำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเขาประกาศผลประกอบการ พอประกาศเสร็จก็จะถือหรือขายก็แล้วแต่....
ถ้าบริษัทไหนเจ้าของกรรมการ ไปจนถึงฝ่ายตรวจสอบ บ/ช
รู้อินไซด์เดอร์ ก็จะมาซื้อถ้าผลประกอบการดี หรือขนมาขายถ้ารู้ว่าไม่ดี
อันนี้พวกเรากว่าจะรู้ก็คงไม่ทันเขาล่ะครับ ถ้าพอมีพวกอยู่บ้างก็ดีครับจะได้ขึ้นรถด่วน...ไปกับเขาด้วย
ช่วงที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุน
อันนี้ตอบยากครับ เพราะกระแสเงินไหลเร็ว เท่าที่ทราบตอนนี้ไหลออกทุกวัน อ่านข่าวว่า...ท่านวีรพงษ์ ส่งสัณญานว่าขึ้นดอกเบี้ยซะเงินจะได้พักกินดอกเบี้ยก่อนจะไหลไปที่อื่น
เงินก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่คนคอยกำหนดว่าจะวางตรงไหนแล้วสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดครับ ย่อมแสวงหาโอกาส
ตอนนี้ตลาดทอง ตลาดน้ำมัน เขากำลังเล่นเก็งกำไรกัน
แต่...เมื่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในบ้านเราดี
มีค่าต่างๆให้วัด ต่างชาติเขาก็จะกลับกันเข้ามาหาส่วนต่างราคาเอง
เหมือนเฮียคลายเครียด เขาเรียกว่า...เกมส์ล่าส่วนเกิน
ถ้าถามว่า...ต่างชาติชอบมาเก็งกำไรผลประกอบการช่วงไหนก็จะเป็นเดือน พย-ธค-และมค ต่อจากนั้นกองทุนอีแร้งก็จะขายทิ้งมาเร็วไปเร็วครับ
ส่วนแนวทางการลงทุนแบบระยะยาวคือวิ.....
ผมก็ว่าเป็นโอกาสดีเหมือนกัน ค่อยๆจ้องบริษัทที่เราสนใจและเลือกเก็บหุ้นเข้าพอท์ตถ้าพอท์ตยังพอมีที่ว่างและเงินเย็นแบบไม่ละลาย
วันนี้ผมก็ได้โรงแรมมา1พันหุ้นราคา310-312บาท
ถือยาวไม่ต้องคิดอะไรมาก กะได้ปันผล2งวดสัก15บาทก็เกือบ5%
ดีกว่าฝากแบ๊งค์กินดอกเบี้ย
เรื่องดัชนี ก็คงเดาๆกันไปครับ ใครเดาแม่นก็ว่าเก่ง
ดูกราฟกันไปเรื่อยๆเปลี่ยนทางกันไปถ้าเล่นรอบ ก็คงจะวูบๆวาบๆ
หวาดเสียวกับข่าวที่เข้ามากระทบตลอด
ถ้าคิดถือยาวผมว่า....พอซื้อแล้วถอยรับก็คงจะพอได้ดีอยู่หลายตัวครับ
จับตาดีดี คงมีรางวัลสำหรับคนช่างฝัน
ถือยาวซื้อแล้วถือ
เล่นรอบต้องไว แบบเฝ้ากระดานหรือเรียลทาม
ผมก็ไปมันทั้ง2ทางครับ จับปลา2มือ คน2ใจ
แต่ที่ได้หุ้นดีราคาถูกก็ถือยาวแบบรับปันผลแทนเงินเดือนก็ดีครับ
รออ่านข้อเขียนคุณวิบูลย์ศุกร์นี้ครับ
ขอให้โชคดีได้จับหุ้นถูกตัวนะครับ