รุ้งกินน้ำ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 61

โพสต์

กูรูขอบสนาม เขียน: ท่านพี่เคยไปนั่งให้อาหารปลาที่สระน้ำข้างหน้าหรือเปล่า
เห็นใครๆบอกว่า มาให้อาหารปลาด้วยกันมักจะเป็นคู่(คลาดแคล้ว)กันต่อมา
ไม่เคยเลยครับ
แต่คนที่จีบสมัยเรียนปี1ก็แห้วอยู่ดี
ริสูบบุหรี่กินเหล้าก็ตอนอกหัก(ไม่ยักกะตาย)นี่เอง
สระน้ำด้านหน้าประตูใหญ่
เย็นๆเดินไปนั่งบ่อยครับ
ความสุขสงบที่หาได้ง่ายมาก

ปีต่อมาจนจบ
ไม่สนใจสาวๆอีกเลยครับ
เสียเวลา เสียใจ ไม่คุ้ม
อยู่กับเพื่อนดีกว่า ทั้งไม่ต้องผิดหวัง ทั้งหัวหกก้นขวิด
เอาตูดแช่น้ำ แล้วเดินต่อไป ประมาณนั้น
คิดกับทุกคนเป็นเพื่อนไปหมด
กลับมีความสุขขึ้นเยอะ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 62

โพสต์

กูรูขอบสนาม เขียน: ท่านพี่เคยไปนั่งให้อาหารปลาที่สระน้ำข้างหน้าหรือเปล่า
เห็นใครๆบอกว่า มาให้อาหารปลาด้วยกันมักจะเป็นคู่(คลาดแคล้ว)กันต่อมา
:'O
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 63

โพสต์

อ้าว คุณสามจุดน้ำตาท่วมเลย
คงเคยผ่านประสบการณ์โยนขนมปังให้ปลากินหน้าสระใหญ่มาแน่ๆ :roll:

ไม่เป็นไรหรอกครับ ทุกคนคงผ่านจุดนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสระใหญ่
ริมน้ำเจ้าพระยา อ่างเก็บน้ำ หรือลานจันทร์
(ใช่หรือเปล่า ขอคนศิลปากรมาตอบด้วย)
เราถึงเป็นผู้เป็นคนมาเล่าเรื่องราวสู่กันฟังได้ถึงเดี๋ยวนี้

เออ..พี่พอใจครับ
หัวข้อของพี่ "บ่นบ้าประสาพอใจ" เนี่ย
ลองเปลี่ยนใหม่ให้ฟังดูโสภาขึ้นดีมั้ย
เพราะเนื้อหาที่พี่แชร์ๆกันไม่บ้าเลย...สนุกดีออก
เอาให้โรแมนติคแบบ

คือสายรุ้งเพริดพราย
คือสายน้ำไหลริน


ประมาณนั้นดีมั้ยคร้าบ

พอเขียนได้หลายๆบทก็มาทำหนังสือทำมือกัน แล้วแจกอ่าน

เอา สายรุ้ง และ สายน้ำของหลายๆคนมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
เป็นตำนานของคนในกลุ่มสังคมเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่มีช่วงเวลาหนึ่งพบพาน
ผ่านไปสิบๆปี หลังจากที่เลือนหายไปตามวาระ
ก็ยังพอมีบางอย่างให้ระลึกถึง

ชะอุ้ย ซาบซึ้งเกินไปหรือเปล่าเนี่ย  :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 64

โพสต์

:8) จัดให้เลยครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
dino
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1281
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 65

โพสต์

:8) แหะ แหะ อ่านไปก็น้ำตาไหลไป
คนเราก็มีภาพความทรงจำที่ประทับใจไม่แพ้กัน
อยู่ที่ว่าใครเก็บไว้เพื่อขุดขึ้นมาประโลมใจได้แค่ไหน
ขอบคุณพี่ป้อมและทุกๆท่านมากครับ

น้ำตาไหลรินเมื่อคิดคำนึงถึงเธอ..... :cry:
ผมไม่ดื่มมากว่าสิบห้าปีแล้ว วันจิบเบียร์ขอซักเมานะพี่ :drink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 66

โพสต์

dino เขียน:
น้ำตาไหลรินเมื่อคิดคำนึงถึงเธอ..... :cry:
ผมไม่ดื่มมากว่าสิบห้าปีแล้ว วันจิบเบียร์ขอซักเมานะพี่ :drink:
ดื่มสุราราดรดทุกข์ ทุกข์ยิ่งทุกข์
(ผมไม่ได้พูด โกวเล้งพูด)
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 67

โพสต์

สังเวยความจน กรอกพิษ ตายยกครัว5ศพ [16 พ.ค. 51 - 04:10]

ที่เกิดเหตุเป็นกระท่อมหลังเล็ก ภายในกระท่อมพบศพเด็กและผู้ใหญ่ นอนตายระเกะระกะเกลื่อนบ้าน 5 ศพ ทราบชื่อ นางโพเค สมรโสภิณวงศ์
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 68

โพสต์

:8) ไปอ่านร้อยคนร้อยหุ้นเกี่ยวกับ 7-11มา
      เจอที่พี่ฉัตรโพสไว้
      ชอบมากครับ ขอเอามาแปะไว้หน่อยกันลืม

hongvalue เขียน:5.เรื่องลอกลายมังกรผมเองก็เห็นว่า ทางเจ้าของนั้น
ค่อนข้างจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ค่อยน่าไว้ใจ แต่
อย่างที่พี่ลูกอีสาน เองก็บอกว่า ภาพใหญ่คือกำไรของบริษัท


พี่ฉัตร เขียน:คงขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนลักษณะไหน  ลงทุนระยะสั้น  หรือระยะยาว

ถ้าเราลงทุนระยะสั้น  หวังผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่ขึ้นไป  ตราบใดที่ราคาหุ้นขึ้น  สิ่งร้ายๆทั้งร้ายเราย่อมมองข้ามไปได้  และเมื่อราคาหุ้นตก  เรื่องเลวร้ายต่างๆก็จะถูกขุดขึ้นมาพูดถึง

แต่ถ้าเราลงทุนระยะยาว  หวังผลตอบแทนจากการดำเนินงานโดยตรงจากบริษัท  พฤติกรรมของผู้บริหารมีส่วนสำคัญอย่างมากครับ

ปล. เราหาหุ้นลงทุนยากขึ้นทุกวันหรือไม่  ทำให้เราต้องยอมรับข้อด้อยบางประการ  เพื่อที่เราจะหาหุ้นลงทุนได้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 69

โพสต์

:8) ช่วงนี้มีน้องๆทั้งที่เจอ
     และพีเอ็มคุยกัน
     กำลังมึนมากที่หุ้น(ที่เคยคิดว่าเป็น)วีไอที่ถือๆอยู่ ร่วงหล่นกันกระจาย
     อันยังความอึดอัด หาวเรอ ให้เป็นอย่างมาก
     ผมเองก็ทุกข์ใจไปด้วย
     แม้ช่วงนี้ผมแทบไม่มีหุ้นในพอร์ตเลย
     ผมติดนิสัยพระอาจารย์มาคือ ถ้าเป็นคนรู้จักและสนิทแล้ว
     ต้องเตือนกัน ต้องเอาวิชาที่มีมาช่วยแนะนำให้
     ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
     ไม่มีใครรู้หรอกครับว่า มันจะเกิดขึ้นตามที่เราคาดการณ์หรือเปล่า
     บางครั้งคิดว่าจะไปทางนี้ มันสับขาหลอกไปทางนั้นซะ
     ผมเองได้รับการเสี้ยมสอนมาอย่างดีว่า
     เล่นหุ้นอย่าให้ขาดทุน
     หุ้นมีแนวโน้มอย่างไร ก็ให้ตัดใจเมื่อถึงทุน
     ผมถือเป็นปราการด่านสุดท้ายของท่านชาย
     ที่ทำดังนี้ ก็เพื่อสละแขนขา รักษาชีวิตแห่งการต่อสู้ไว้
     ที่ผมทำดั่งนี้ได้
     เนื่องจากในอดีตประสบการณ์เรื่องการเล่นแล้วขาดทุนหรือไม่ได้กำไรนั้นก็มีมาเยือนอยู่เนืองๆ
     แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ผมคิดได้ว่า
    ภาพใหญ่ของผมคือมีชีวิตที่มีความสุขพอเพียง
    มีครอบครัวที่มีความสุข
    มีเวลาให้กับการออกกำลังกายบ้าง
    อยู่กับเพื่อนบ้าง
    ซ่อนเงินแฟนบ้าง
    จะได้มีไปเที่ยวคาเฟ่บ้างตามประสา
    ผมว่าจริงๆแล้วผมยังไม่อยากตายครับ
    แม้ว่าไม่มีใครหนีพ้น
    ผมเคยเห็นเพื่อน หรือเพื่อนของเพื่อน หรือญาติของเพื่อน
    ประสบอุบัติเหตุต้องตายไปอย่างง่ายดาย
    บ้างแม้ร่ำลายังไม่ได้ร่ำลาเลย
    ด้วยสาเหตุทั้งที่ประมาท
    ทั้งที่เร่งหาเงินจนอดนอน ขับรถหลับใน
    บ้างก็เครียด ใครพูดใครอธิบายอย่างไรก็ไม่หาย หรือหายแล้วก็กลับมาเครียดอีก(แล้ว)
    อย่างนี้ขับรถสติจะอยู่กับตัวได้ไง
    ผมก็เลยคิดได้ว่าการที่ผมยังมีชีวิตเป็นปกติสุขอยู่นี้
    ถือเป็นกำไรสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิตนี้อย่างยิ่ง
    เรื่องลงทุน เล่นหุ้น กำไรหรือขาดทุนหรือเกียร์ว่าง
    ไม่ใช่ภาพใหญ่ของผมครับ
    ใครอยากคิดอย่างผม ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใดทั้งสิ้น
    ขอให้พี่ๆน้องๆมองภาพใหญ่ไว้หน่อยนะ
    เรายังอยู่ เราก็ยังมีโอกาสอยู่เสมอครับ
    ถ้าเราเล่นแบบ
    high risk ก็เปลี่ยนมาเล่นแบบ low riskบ้าง
    ค่อยๆอ่าน ว่างๆก็ไปสัมนาเพิ่ม หาความรู้แนววีไอบ้าง
    หาความรู้เรื่องกราฟเพื่อหาจุดซื้อจุดขายให้แม่นๆไม่เสียเปรียบ
    รู้ข้อได้เปรียบ/ เสียเปรียบ ของหุ้นตัวที่เราลงทุนให้ดี
    มั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง เป็นคำตอบสุดท้าย
    และก็อีกมากมายหลายอย่าง บอกได้ไม่หมดแล้วแต่สไตล์
   
    ภาพใหญ่ครับมองภาพใหญ่ไว้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
kongkang
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1084
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 70

โพสต์

สาธุ :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 71

โพสต์

ผมชอบเรื่องนี้มากเลยครับ  :8)  :8)  :8)


ขนมแห่งความรัก..ไม่เชื่อแต่ชอบ - รศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล [email protected]

วันนี้ผมมีตำนานของขนมไทยชนิดหนึ่ง ที่นิยมขายกันอย่างแพร่หลายมาฝากผู้อ่าน ขนมชนิดนี้ผมเชื่อว่าผู้อ่านคงจะรู้จักและเคยบริโภคมาแล้วทั้งนั้น แต่เคยสงสัยในชื่อของขนมชนิดนี้ไหมครับว่ามีที่มาอย่างไร ขนมที่ว่าก็คือขนมครกครับ

ตำนานขนมครกมีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยา มีหนุ่มน้อยซึ่งเป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับหลวงตาที่วัดตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่ม ขยันขันแข็งช่วยเหลืองานต่างๆ ของชาวบ้านจนเป็นที่รักใคร่ของคนเกือบทั้งหมู่บ้าน หนุ่มคนนี้มีนามว่ากะทิ ที่ว่าเกือบทั้งหมู่บ้านรักใคร่หนุ่มกะทิก็เพราะว่าคนที่เกลียดหนุ่มกะทิก็มีอยู่บ้าง โดยเฉพาะผู้ใหญ่ปลั่ง ซึ่งมีลูกสาวแสนสวยชื่อแป้ง เป็นลูกสาวคนเดียว จะไม่ให้ผู้ใหญ่ปลั่งเกลียดเจ้าหนุ่มกะทิได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหนุ่มกะทิบังอาจมาจีบลูกสาวของแก แถมสาวแป้งก็มีใจให้หนุ่มกะทิด้วย แอบมาขี่ควายชมแสงจันทร์กันอยู่บ่อยๆ ผู้ใหญ่ปลั่งห้ามเท่าไรก็ไม่ได้ผล ลงทุนจ้างคนไปซ้อมเจ้ากะทิจนสะบักสะบอมเพื่อเป็นการเตือนไม่ให้ไปยุ่งกับลูกสาวของแก

แต่แน่นอนว่าหนุ่มสาวรักกัน อะไรก็ห้ามไม่ได้ เมื่อห้ามไม่สำเร็จผู้ใหญ่ปลั่งเลยหาทางแก้ปัญหาด้วยการจับสาวแป้งแต่งงานกับปลัดอำเภอหนุ่มที่ถูกส่งมาจากกรุงเทพฯ และหลงรักสาวแป้งอยู่

ในคืนก่อนวันแต่งงานซึ่งเป็นคืนเดือนมืด ผู้ใหญ่ปลั่งเชื่อว่าเจ้ากะทิต้องแอบมาพบสาวแป้งที่บ้านแกอย่างแน่นอน ผู้ใหญ่ปลั่งจึงสั่งลูกน้องให้ขุดหลุมพรางไว้รอบๆ บ้านเพื่อให้เจ้ากะทิตกหลุมที่ขุดไว้โดยสั่งให้ลูกน้องเอาดินกลบหลุมหวังจะฆ่าเจ้ากะทิไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการแต่งงาน

ในคืนนั้นเอง หนุ่มกะทิก็มาที่บ้านสาวแป้งตามที่ผู้ใหญ่ปลั่งคาดการณ์ไว้ แต่ที่แกไม่รู้คือสาวแป้งก็วางแผนหนีพิธีแต่งงานด้วยการปีนออกจากหน้าต่างห้องหนีไปหาเจ้ากะทิ แล้วทั้งคู่ก็มาเจอกันที่ลานหลังบ้าน พอพบกันทั้งคู่ก็ตกลงไปในหลุมพรางที่ผู้ใหญ่ปลั่งสั่งขุดไว้ พอได้ยินเสียงคนตกลงไปในหลุม ลูกน้องผู้ใหญ่ปลั่งก็ดีใจรีบเอาดินกลบหลุมจนมิด โดยไม่รู้ว่าสาวแป้ง ลูกสาวผู้ใหญ่ตกลงไปอยู่ในหลุมด้วย

พอถึงตอนเช้าผู้ใหญ่ปลั่ง สั่งให้ลูกน้องขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็น 2 หนุ่มสาวนอนกอดกันตายด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุข ผู้ใหญ่เสียใจที่ตนเองเป็นเหตุให้ลูกสาวต้องตายไป จึงสร้างเจดีย์ครอบหลุมไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจพ่อแม่คนอื่นๆ ไม่ให้คิดกีดกันความรักของใครอีก

ตำนานรักของสาวแป้งกับหนุ่มกะทิเป็นที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านและเมื่อวันครบรอบการตายของหนุ่มสาวคู่นี้ ชาวบ้านก็พร้อมใจกันนำ แป้ง มาผสมกับ กะทิ แล้วหยอดลงไปในหลุมดินเผา เอาฝาทรงเจดีย์ครอบ ออกมาเป็นขนมครก เพื่อเป็นที่ระลึกถึงตำนานรักของหนุ่มสาวคู่นี้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าหนุ่มสาวคู่นี้จะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป แล้วเรียกขนมชนิดนี้ว่า ขนมของ คนรักกัน และต่อมาถูกเรียกย่อๆ ว่า "ค.ร.ก." ซึ่งถูกแผลงเป็นการเรียกว่าขนมครกในปัจจุบัน
ผมอ่านตำนานเรื่องนี้ในนิตยสารฉบับหนึ่งเมื่อ 2-3 เดือนก่อน (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นนิตยสาร GM) โดยผู้เขียนแจ้งว่าเรื่องดังกล่าวมาจากเวบไซต์ ผมเลยเข้าไปหาใน Google โดยใส่คำว่าขนมครกเข้าไปก็พบเรื่องตำนานขนมครกทำนองนี้อยู่หลายเว็บ แต่ไม่มีใครระบุผู้เขียนที่ชัดเจน

ตำนานเรื่องนี้ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่ผมชอบ ผมเคยลองนำไปเล่าในการบรรยายให้ผู้ประกอบการ SMEs ฟัง ผู้ฟังเองก็ชอบเรื่องนี้ โดยผมมองว่าถ้าผู้ประกอบการรายไหนอยากทำขนมครกขึ้นห้างขายแบบขนมครกญี่ปุ่นหรือโรตีบอย โดยขยายสาขาเยอะๆ ละก็ การใช้เรื่องนี้พิมพ์ใส่ซองใส่ขนมครกหรือใช้เป็นเรื่องประจำร้านก็จะช่วยให้สินค้าขายได้มากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น เพราะเรื่องนี้ช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์ของขนมครกที่ดูโบราณให้กลายเป็นขนมแห่งความรักที่มีมนต์เสน่ห์สำหรับวัยรุ่นและง่ายต่อการจัดกิจกรรมทางการตลาดในช่วงวันแห่งความรักเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น

สินค้าหลายชนิดก็สามารถอาศัยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับสินค้าให้โดนใจลูกค้าเพื่อใช้เป็นจุดขายได้ เช่น ผ้าไหมของจิม ทอมป์สัน ก็จะมีตำนานหรือเรื่องราวของเจ้าของที่หายสาบสูญไปให้กลายเป็นเรื่องที่สร้างเสน่ห์ให้กับสินค้า ร้านบ้านไร่กาแฟก็มีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานของบ้านไร่ในเอกสารประชาสัมพันธ์ของร้าน

วันนี้สินค้าของผู้ผลิตแต่ละรายแทบจะไม่แตกต่างกัน ตรายี่ห้อและเรื่องราวที่มากับตรายี่ห้อหรือสินค้าจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้สินค้าแตกต่าง อ่านเรื่องนี้จบแล้วเวลาทานขนมครกครั้งต่อไปท่านก็มีความรู้สึกกับขนมครกต่างจากเดิมแล้ว จริงไหมครับ

จากกรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
www.bangkokbizweek.com

อ่านแล้วอยากกินขนมครกขึ้นมาเลยเชียว  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 72

โพสต์

พี่พอใจ เขียน:     ผมถือเป็นปราการด่านสุดท้ายของท่านชาย
นึกถึงทศกัณฐ์เก็บกล่องดวงใจเลยครับ  :8)
พี่พอใจ เขียน:    ขอให้พี่ๆน้องๆมองภาพใหญ่ไว้หน่อยนะ
   เรายังอยู่ เราก็ยังมีโอกาสอยู่เสมอครับ  
ผมชอบมองภาพของอะไรที่มันใหญ่ๆ เหมือนกันครับ  :8)
วันนั้นเห็นมีพี่ท่านหนึ่งถามว่าข้าวยากหมากแพงทำไมหุ้นขึ้น เลยยกอันนี้มาให้ดูว่าที่ผมพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

รูปภาพ

แกนซ้ายคือเงินเฟ้อ แกนขวาคือ SET คิดการเปลี่ยนแปลงแบบปีต่อปีทั้งหมดนะครับ
เห็นว่าช่วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทยมีช่วงเงินเฟ้อลดลงติดต่อกัน 5 ครั้ง ผมวงไว้ 4 ครั้ง

ตั้งแต่ปี 30 GDP ไทยโตเป็นเลขสองหลักมาตลอด มาได้แค่ 10 ปี ในที่สุดฟองสบู่ก็แตก ในระหว่างการโตถึงขนาดที่เราบอกว่าเราจะเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชียนั้น ช่วงปี 34-36 เงินเฟ้อกลับลดลงตลอดจาก 6% เหลือ 2% กว่า จากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือหุ้นบวกมากกว่า 80% ขึ้นไปสู่ระดับ 1,700 เป็นยอดดอยที่อนุชนรุ่นหลังกล่าวถึงกันบ่อยๆ

ต่อมาปี 39-40 เงินเฟ้อได้ลดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีปัจจัยที่แตกต่าง ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศเราอ่อนแอลงเรื่อยๆ จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื้อรัง (เราเคยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 29 เพียงปีเดียว) ตั้งแต่การลดค่าเงินบาทในสมัยป๋าเปรมฯ ผ่านมาสิบกว่าปีที่เราพยายามตรึงค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพในระดับที่สูงกว่า 25 บาทเล็กน้อย และนั่นเป็นการฝืนความเป็นจริงของประเทศ

เมื่อมีการลอยตัวค่าเงิน เกือบทุกสิ่งก็ถึงจุดจบ เข้าใจว่ามีนักลงทุนฆ่าตัวตายรายวันทีเดียวในช่วงนั้น การลดลงของเงินเฟ้อในช่วงก่อนหน้าไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะมีเรื่องใหญ่กว่านั้นเข้ามากระทบเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือค่าเงินบาทที่อ่อนลงได้นำไปสู่เงินเฟ้ออย่างบ้าคลั่งถึง 10.6% ซึ่งยุคน้ำมันแพงอย่างตอนนี้ก็ยังสู้ไม่ได้

เมื่อเงินเฟ้อมันสูงเกินไปฐานมันก็เลยสูง ผลสะท้อนนั้นรุนแรงจนนำไปสู่เงินฝืดในปี 42 ซึ่งคนไม่ยอมใช้เงิน (ปี 41 real GDP ติดลบ 11.5%) ช่วงนี้เงินเฟ้อลดลงเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งผมไม่ได้วงไว้เพราะถือเป็นสถานการณ์พิเศษ การที่หุ้นเด้งในปี 42 มากกว่า 100% ก็ถือเป็น rebound ช่วงสั้น

เมื่อการบาดเจ็บบอบช้ำได้รับการเยียวยา เจ้าสัวเก่าหายหน้าหายตาไปเจ้าสัวใหม่มาแทนที่ รายใหญ่ในตลาดหุ้นกลายเป็นรายย่อย รายย่อยกลายเป็นรายละเอียด คนส่วนใหญ่ไม่สนใจหุ้นอีกแล้วเพราะเคยเห็นมีแต่คนเจ๊ง คนหมดเนื้อหมดตัวจากหุ้น ราคาหุ้นจึงยืนเพียงระดับต่ำๆ หลายบริษัทก็ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ เศรษฐกิจเริ่มกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง เห็นได้ว่าจากปี 44 ถึงกลางปี 45 เงินเฟ้อได้ลดลงตลอด นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากและต่อมาในปี 46 หุ้นก็ได้บวกมากกว่า 100% แมงเม่าทั้งหลายจึงได้ฤกษ์กลับเข้าตลาดอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับแมงเม่าแล้ว การเข้าตลาดตั้งแต่ช่วงปลายปี 46 เป็นต้นมาคงไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าสู่ใครฟัง สังเกตนะครับว่าจากปลาย 45-49 เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตลอด แต่ใน Q3/49 ราคาน้ำมันกลับหักหัวลงจนเป็นเหตุให้กำไรของพี่เทพ+เฮีย ป. ฟุบติดกัน 4Q การลดลงของเงินเฟ้อแบบนี้ไม่มีอานุภาพมากนักแต่หุ้นก็ยังบวกขึ้นมากกว่า 20%
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 73

โพสต์

เงินเฟ้อจากทั้ง 4 ช่วงที่ผมวงไว้นี้ ช่วงปี 39 เราตัดทิ้ง (เพราะภาพใหญ่ของเศรษฐกิจชนะ) ช่วงปี 49 ก็อาจจะตัดทิ้งได้ เพราะถือเป็นการลดลงทางเทคนิค หุ้นนำตลาดที่ขึ้นในปี 50 ก็มีแต่แบงก์กับพลังงาน แต่สำหรับสองช่วงที่เหลือความสัมพันธ์นี้น่าสนใจมาก

เมื่อเศรษฐกิจเติบโตดีมีเสถียรภาพ (อาจเป็นภายหลังจากที่ซบเซามาระยะหนึ่ง) แต่เงินเฟ้อลด สามารถนำไปสู่การขึ้นครั้งใหญ่ของหุ้นได้ ปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายได้ว่าเมื่อเงินเฟ้อลด กำลังซื้อของผู้บริโภคจะมากขึ้น นำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น แล้วหุ้นก็จะขึ้น

แต่เรื่องเช่นนี้จะตามมาด้วยการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะไม่สูงเช่นเดิม กำลังซื้อของผู้บริโภคถูกบั่นทอน หุ้นจะไม่วิ่งอย่างเคย แต่อาจจะนิ่งๆ บางทีก็ร่วง นักลงทุนทั่วไปที่บ่นๆ กันในปี 47-49 อาจจะเข้าใจสภาพนี้ดี ช่วงเงินเฟ้อสูงขึ้น หุ้นสูงขึ้นด้วยก็จริงแต่ท้ายที่สุด กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ถูกบั่นทอนจะไปทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงได้ในอนาคต กำไรร่วงหุ้นก็ร่วงตาม เศรษฐกิจซบเซา เงินเฟ้อจะลดลงอีกครั้งหนึ่งและช่วงน่าสนใจของหุ้นก็จะกลับมาอีกครั้งซึ่งนักเก็งกำไรและแมงเม่าทั้งหลายอาจออกจากตลาดบ้างแล้ว ปรากฏการณ์นี้เกิดเป็นวัฏจักร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

นั่นเอง ผมจึงได้กล่าวว่า
ปกติหุ้นโดยทั่วไปจะน่าซื้อมากกว่าในตอนที่อัตราเงินเฟ้อกำลังลด
และเช่นกัน หุ้นโดยทั่วไปจะน่าขายมากกว่าในตอนที่อัตราเงินเฟ้อกำลังเพิ่ม


หุ้น undervalue มีอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่บางเวลามีมาก บางเวลามีน้อย ถ้าไม่แน่ใจก็อยู่เฉยๆ ไปก่อน การลงทุนหุ้นมันดีเด่นวิเศษกว่าการลงทุนอย่างอื่นก็เพราะว่ามันป้องกันเราจากเงินเฟ้อได้ อธิบายว่า เงินเฟ้อเกิดเนื่องจากระดับราคาของสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น การเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจจึงป้องกันเราจากเงินเฟ้อได้เพราะตัวมันเองนั่นแหละคือเงินเฟ้อ

ที่เราต้องใส่ใจเป็นพิเศษก็คือกิจการห่วยๆ จำนวนมากอาจไม่สามารถปรับราคาของผลิตภัณฑ์ของเขาตามเงินเฟ้อได้ ในท้ายที่สุดกิจการเหล่านี้จะล้มหายตายจากไปเอง ในฐานะนักลงทุนที่ชาญฉลาดเราไม่ควรที่จะไปข้องแวะกับมัน

เห็นพี่พอใจพูดเรื่องภาพของอะไรใหญ่ๆ ผมก็เลยยกอะไรใหญ่ๆ มาพูดบ้างครับ  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
NinjaTurtle
Verified User
โพสต์: 506
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 74

โพสต์

:bow:  ขอบคุณ สำหรับข้อมูลและข้อคิด นะท่าน
Why not invest your assets in the companies you really like? As Mae West said, "Too much of a good thing can be wonderful."
ภาพประจำตัวสมาชิก
krisy
Verified User
โพสต์: 736
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 75

โพสต์

ชอบทั้งกระทู้

ขอบคุณค่ะ
.....Give Everything but not Give Up.....
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 76

โพสต์

สวัสดีครับ ท่านพี่เจ้าของกระทู้
ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อหัวข้อกระทู้ยังไม่ได้เข้ามาแจมต่อเลย :oops:
เนื่องจากติดธุระวุ่น ต้องไปเฝ้าไข้พี่สืบสายเลือดที่โรงพยาบาลจุฬาฯทุกวัน
ออกแต่เช้ากลับก้อมืด กว่าจะเริ่มเปิดคอมพิวเตอร์ก็ปาไปสามสี่ทุ่ม
เปิดอ่านเวปผ่านๆแล้วก็ทำงานอื่น

ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องโรงพยาบาลรัฐนานมากแล้ว
นานๆมาทีรู้สึกคนมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะไปหมด
ตึกใหม่ๆก็ขึ้นมากมาย
ตึกเก่าๆก็รอวันทุบ เห็นแล้วก็แสนเสียดายในคุณค่าความสวยงาม
แต่นั่นแหละนะความจำเป็นในการรองรับผู้คนที่รอการรักษา
อย่างไรเสียก็คงมีมากกว่า

อีกอย่างตึกบางตึกก็หมดสภาพที่จะใช้งานจริงๆแหละ
ขืนเปิดต่อไปมีสิทธิ์ร้าวถล่มลงมาได้
อันนี้คือข้อถกเถียงกันระหว่างคุณค่าประวัติศาสตร์กับปัจจุบันที่ต้องเยียวยา
ตึกบางตึกถึงจะหยุดใช้งาน
ก็ยังเหมาะสำหรับเก็บเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนเยี่ยมชมจริงๆ
เพื่อให้รู้ว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ของบ้านเรามีความเป็นมาอย่างไร :wink:

กูรูได้เปิดหูเปิดตาบนตึกส.ก. ชั้น 20  
มองออกนอกหน้าต่างเห็นวิวสนามม้าปทุมวันสวยงาม
ดูกลุ่มตึกข้างล่าง พลางนึกถึงเพื่อนๆที่เคยเรียนหมอ (รวมทั้งเพื่อนในเวป)
สมัยก่อนคงเดินโผล่ตึกโน้น เข้าตึกนี้ แล้วก็หลบหายไปอีกตึกโน้น
เพราะผังของโรงพยาบาลถูกเชื่อมด้วยทางรถเข็นถึงกันหมด
มองดูหน้าตาของคนมาโรงพยาบาลรัฐแต่ละคนล้วนมีความกังวล
อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่ไม่มีการจัดระเบียบหรือแต่งเติม
ไม่เหมือนไปโรงพยาบาลเอกชนที่ทำบรรยากาศทุกอย่างให้เหมือนโรงแรม

มองข้ามไปฟากสวนลุม นึกอยู่เหมือนกันว่า
ท่านพี่และพวกพ้องอาจกำลังวิ่งอยู่

แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ดำเนินการสมความมุ่งหมาย เพราะปรารถนามานาน
ก็คือ บริจาคร่างกาย ให้เป็นอาจารย์ใหญ่ เรียบร้อย
เพียงแต่รอส่งเอกสาร ซึ่งคงจะเสร็จสิ้นในไม่ช้า

กลับลงจากตึกตอนหัวค่ำ
เห็นคนบางกลุ่มเตรียมจัดเต้นท์นอนตามสมทุมพ่มไม้
คงเป็นญาติพี่น้องที่มาเฝ้าอาการ แต่หาเรือนพักไม่ได้
พอๆกับที่ศิริราช มีคนเอามุ้งมานอนกางรอแถวพระรูป

นึกๆแล้วตัวเราก็ยังมีสถานะดีอยู่มาก
ที่ยังมีเรือนคุ้มหัวกันน้ำค้างไว้พักผ่อนเอาแรง
ไม่ต้องจากบ้าน จากนาเข้ามาอยู่ในเมืองกรุงที่ทุกอย่างถูกตีค่าด้วยเงินตรา
ถึงหุ้นที่ถือจะถูกทุบ ถูกทึ้งด้วยราคาเหวี่ยงไปมาพอสมควร
นั้นเพียงแค่กระผีกเดียวของเสี้ยวชีวิต ไม่ใช่ทั้งชีวิต

ว่าแล้วก็จะไปบริจาคเงินให้คนไข้อนาถาอีก :D
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 77

โพสต์

คุณ RYU
ชอบตำนานขนมครกมากเลย น่ารักดี :P
รสนิยมขนมไทยๆแบบนี้
ต้องรู้จักท้าวทองกีบม้าแน่ๆ
ต้นตำรับขนมทองทั้งหลาย ทองหยิบ ทองหยอด หวานแสบไส้
เวลาจะกินให้ละเมียด ต้องดื่มชาไม่ใส่น้ำตาลแกล้มด้วย ค่อยลดความหวานหน่อย
ไม่งั้นน้อง Light Sweet คงจะมาแอบอิงในไม่ช้า

ขอบคุณสำหรับข้อมูลเงินเฟ้อในอดีตคร้าบ
แต่รู้สึกจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดอาการเงินเฟ้อและฝืด (Stagflation)
ราวกับมันคือ Perfect Storm ที่ถลาเข้ามาพร้อมๆกัน
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดไม่บ่อยนัก อันนี้มันเกิดจากอะไร
ผลสืบเนื่องจะทำให้เกิดภาวะถดถอยในลำดับต่อไปหรือเปล่า
และภาวะการณ์ขณะนี้กำลังจะซ้ำรอยใช่หรือไม่


และเมื่อเป็นเข่นนี้แล้ว หุ้นยังสามารถดำรงตัวเป็นผู้ปกป้องเงินเฟ้อได้อยู่หรือ:roll:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 78

โพสต์

อนุโมทนาบุญกับพี่กูรูฯ ด้วยครับ  :pray:  :pray:  :pray:

ขนมไทยหลายๆ อย่าง กระบวนวิธีทำยังรุงรังกว่าทำกับข้าวเสียอีกครับ
โดยเฉพาะพวกทองๆ เห็นหม้อน้ำเชื่อมก็กลัวแล้ว  :lol:
แต่ก็อยากจะลองกวนทองเอกดูเหมือนกันครับ
เผื่อจะเอามาทำทองเอกกระจัง แป้งฐานจะทำแบบขนมพายเลย  :o
แต่จะใช้อัลมอนด์สไลด์แทนเม็ดแตงโมครับ ขี้เกียจมานั่งกวาดน้ำตาล
ที่ยอดแปะทองคำเปลวหน่อยๆ ไฮโซซะไม่มี
น้ำลายไหลเลย  อิ  อิ  :ep:

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ไม่รู้ว่าเป็นการสอนหนังสือสังฆราชหรือเปล่าครับ  :oops:  ขอยกเรื่องทฤษฎีปริมาณเงิน (Quantity Theory of Money) มาพูด

จากทฤษฎี
ปริมาณเงินในระบบ = (ปริมาณผลผลิต*ดัชนีราคาผลผลิต)/อัตราการใช้จ่ายหมุนเวียนเงินในระบบ
เงินเฟ้อถูกคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคา หากเราเน้นที่เงินเฟ้อจะได้สมการว่า
ดัชนีราคาผลผลิต = (ปริมาณเงินในระบบ*อัตราการใช้จ่ายหมุนเวียนเงินในระบบ)/ปริมาณผลผลิต
เงินเฟ้อจึงเกิดจากสาเหตุหลักๆ 4 กรณี

1. ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น - สามารถเกิดได้หลายกรณี เช่น สงคราม รัฐบาลอยากได้เงินไปจับจ่ายใช้สอยแต่รายได้ไม่พอเลยพิมพ์แบงก์ขึ้นใช้เอง เงินก็จะเฟ้อ แบงก์กลายเป็นแบงก์กงเต๊ก (สมัยก่อนมีเยอะ) การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางซึ่งเป็นผลให้ธนาคารในระบบขยายการปล่อยสินเชื่อ การเติบโตทางเศรษฐกิจก็ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งทฤษฎีอะไรบางอย่างซึ่งได้ฟังมาเมื่อไม่นานนี้ที่เสนอให้ขึ้นเงินเดือนไปเลยเยอะๆ ยังไม่ต้องดูหรอกว่าผลผลิตเพิ่มขึ้นหรือไม่ มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตหรือไม่ ทักษะความสามารถของบุคลากรเพิ่มขึ้นแล้วหรือไม่ ฯลฯ ขึ้นเงินเดือนไปเลย ไม่มีเงินก็กู้มา (มักง่ายจริงๆ ) แบบนี้ก็จะทำให้เงินเฟ้อ

2. อัตราการใช้จ่ายหมุนเวียนเงินในระบบเพิ่มขึ้น - มักจะเกิดในภาวะที่เศรษฐกิจดีประชาชนมีความเชื่อมั่นสูงจึงจับจ่ายใช้สอยมาก หรืออาจเกิดจากการเร่งการจับจ่ายใช้สอยภาครัฐโดยทำงบประมาณขาดดุลมากๆ หนี้สินภาครัฐ+ภาคครัวเรือนอาจเพิ่มสูงขึ้น อาจเกิดขึ้นพร้อมกับข้อ 1

3. ปริมาณผลผลิตลดลง - เช่น จากสงคราม การเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ภัยแล้ง โรคระบาด จำนวนแรงงานลดลง คนแก่เพิ่มขึ้น และอื่นๆ แม้กระทั่งการเติบโตของกำลังการบริโภคที่เกินกว่าการผลิตจะรับไหว

4. ราคาผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น - ของเท่าเดิมขายแพงขึ้น อาจเพราะการฮั้วกันของกลุ่มผู้ผลิต การผูกขาดโดยกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ การแทรกแซงของภาครัฐ หรือการตั้งใจกำหนดราคาขายให้แพงๆ อย่างทฤษฎีอะไรที่ว่ามาในข้อ 1 ยังไม่ต้องพูดถึงมูลค่าเพิ่มของผลผลิต ประสิทธิภาพของการผลิต ผลิตภาพของแรงงาน ฯลฯ  ทำแบบนี้เงินก็จะต้องเฟ้ออยู่แล้ว

เงินฝืดก็จะมาจากปัจจัยที่ตรงข้ามกับใน 4 ข้อข้างบน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 79

โพสต์

การเติบโตทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากอัตราการเพิ่มผลผลิต อัตราการสะสมทุน และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
เมื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นการจับจ่ายใช้สอยจะเพิ่มขึ้นดันให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปเมื่อเศรษฐกิจเติบโตมันจึงมักมาคู่กันกับเงินเฟ้อ

ในประเทศไทย การเกิดเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วงเมื่อลอยตัวค่าเงินบาทมาจากสาเหตุที่เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วจาก 25 บาทต้นๆ/USD เป็นมากกว่า 50 บาท/USD น้ำมันเคยลิตรละ 7-8 บาท ( :la:  :la: ) กลายเป็นลิตรละ 13-14 ข้าวหอมมะลิราคาทะลุตันละ 14,000 ครั้งแรกก็ตอนนั้น (ก่อนที่ต่อมาจะทรุดฮวบเหลือตันละ 6,000-7,000) ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นพรวดพราดน่ากลัวจริงๆ :|

ช่วงก่อนหน้านั้นไทยขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมาตลอด แต่ระบบเศรษฐกิจยังเดินไปได้เพราะเราเกินดุลบัญชีทุนเคลื่อนย้าย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทางตรง การลงทุนผ่านตราสารทางการเงินหรือเข้ามาเป็นเงินกู้ เศรษฐกิจของไทยเราตอนนั้นเบ่งพองด้วยเงินคนอื่น หนี้สินของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูงลิ่ว เมื่อปัญหาเกิดการปะทุ เงินเหล่านี้ที่เคยเข้ามาในประเทศไทยก็ไหลออกไปอย่างรวดเร็ว (ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง)

ในช่วงแรกที่เงินเฟ้อสูงขึ้นเป็นเพราะเงินบาทอ่อนค่า ดัชนีราคาผู้ปริโภคเพิ่มสูงขึ้น Broad money เปลี่ยนแปลงไม่มากนักแม้ค่าเงินจะอ่อนลงขนาดนั้นเพราะเงินไหลออกประเทศ ปริมาณผลผลิตยังไม่ค่อยลด

ต่อมาเกิดเงินฝืดเพราะแม้ปริมาณผลผลิตจะลดฮวบจากการที่กิจการล้มหายตายจากไปจำนวนมาก ธนาคารล้ม 56 ไฟแนนซ์ถูกปิด คนตกงานจำนวนมาก แต่ค่าเงินเริ่มสมดุลและเงินก็ยังไหลออก Broad money จึงลดลงเล็กน้อย ความเชื่อมั่นผู้บริโภคหดหาย(เงินหยุดหมุน) การจับจ่ายใช้สอยลดลง อัตราส่วนเงินตราต่อเงินฝากเพิ่มสูงขึ้น เหล่านี้ส่งผลมากกว่าการลดลงของผลผลิต

จากรูปข้างบน หากเราตัดผลของเงินเฟ้อจากการอ่อนค่าของเงินบาทออกไปจากต้นปี 39 ถึงปี 42 เราอาจได้ช่วงเวลาใหญ่ที่เงินเฟ้อลดลงตลอดได้เพราะเงินไหลออกจากระบบจนเกิดเงินฝืด และมันก็จะสอดคล้องกับการขึ้นของหุ้นมากกว่า 100% ในปี 42 อีกด้วย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สิ่งที่เกิดกับไทยตอนนั้นจะไม่เกิดกับไทยเราในตอนนี้เพราะฐานะทางการเงินการคลังเราเข้มแข็งกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าจะเกิดก็คงเป็นที่สหรัฐฯ ครับ เพราะตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนามพี่ท่านเล่นขาดดุลการค้ามาตลอดสะสมถึงปัจจุบันนี้มหาศาลบางทีก็ขาดดุลแฝด เป็นหนี้เขาทั่วโลกไปหมดบริโภคเกินตัวไม่รู้จักพอ(เพียง) ที่อยู่ได้มาจนทุกวันนี้เพราะมีคนขนเงินเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ทำให้เกินดุลบัญชีทุนเคลื่อนย้ายช่วยดันเอาไว้ (คล้ายไทยเราสมัยก่อนมาก) เจ้าหนี้/ผู้ผลิตสินค้าป้อนสหรัฐฯ ไม่มีใครอยากให้พี่ท่านล้ม ก็ประคับประคองกันไปแต่ไม่รู้จะได้ถึงเมื่อไหร่

โครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังๆ มานี้น่าสนใจทีเดียว บริษัทใหญ่ๆ outsource มาข้างนอกเกือบหมด ไปตั้งฐานการผลิตที่ประเทศต้นทุนถูกๆ แล้วส่งของเข้าไปขายในประเทศ ตัวเองขาดดุลการค้าก็จริงแต่บริษัทรายงานกำไรเพิ่มขึ้น คนเลยขนเงินเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ยันกันเอาไว้ตลอด

อาจารย์นิเวศน์เองก็เริ่มลงทุนปี 39 (หรือเปล่าจำไม่ค่อยได้ ต้องเปิดตีแตกเช็คก่อน  :oops: ) ตอนแรกพอร์ตก็ลดลงแต่ท้ายที่สุดท่านก็ได้กำไรกลับมามากมาย การเป็นเจ้าของกิจการผู้ผลิตสินค้าและบริการนั้นป้องกันเราจากเงินเฟ้อได้แน่นอนครับ เพราะเงินเฟ้อไม่ใช่สาเหตุแต่เป็นผล เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการ (โดยบริษัท ห้างร้าน ภาคการผลิตทั้งหมด) กล่าวคือเงินเฟ้อเกิดขึ้นเพราะกิจการของเราขึ้นราคาขายนั่นเอง (แต่ก็ต้องเป็นกิจการที่ไม่ล้มละลายนะครับ  :8) )

ตอนไทยเราลอยตัวค่าเงิน พวกส่งออกก็โตกันระเบิดระเบ้อ คิดว่าหุ้นส่งออกของสหรัฐตอนนี้คงดีระเบิดระเบ้อเหมือนกัน

การเข้าใจเรื่องมหภาคเป็นปัจจัยที่ทำให้เราลงทุนได้อย่างมีความสุขมากขึ้นครับ  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 80

โพสต์

กูรู เขียน:มองข้ามไปฟากสวนลุม นึกอยู่เหมือนกันว่า
ท่านพี่และพวกพ้องอาจกำลังวิ่งอยู่
วิ่งเป็นประจำนี่ดีนะครับ
ทำให้ชีวิตประจำวันกระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย
แต่เมื่อวานผมดูสารคดีเขาว่าทุกครั้งที่เราวิ่งกระแทกพื้น
จะเปรียบได้กับการยกลูกโบว์ลิ่งขึ้นมาสูงระดับอกแล้วปล่อยตกพื้น
ถ้าวิ่งมินิมาราธอน1ครั้ง10กม.
ต้องทำอย่างนี้ประมานเกือบๆ7พันครั้ง
ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมีร่างกายที่แข็งแรง
รองรับการกระแทกเช่นนี้ได้มามากกว่า10ปีแล้ว
สำหรับผมยิ่งวิ่งยิ่งดี
ไม่วิ่งหายใจไม่ออก อ่อนเพลีย อ่อนล้า จะไม่สบายเอา...
สงสัยชาติที่แล้ว เป็นม้าใช้ เจ้านายเขาให้วิ่งทั้งวัน...ฮ่า...
ริวงะ เขียน:อาจารย์นิเวศน์เองก็เริ่มลงทุนปี 39
18/8/39 ครับ

เฮียริวงะมาแจมแบบเขียนของยากๆแล้วอ่านเข้าใจง่ายๆอย่างนี้ดีจัง
เรื่องเสดสาดเนี่ย อ่านคนที่เข้าใจมาเขียนนี่มันสวยงามดีแท้นะ
ทั้งๆที่
ตอนที่ผมลงอีคอนสมัยปี1
อ.ผู้สอนบอกว่า เป็นวิชาว่าด้วยการจัดการทรัพยากรให้ไปอยู๋ในที่ๆเหมาะในราคาที่เหมาะในโอกาสที่เหมาะ
ผมว่าเอ๊...ง่ายนิดเดียว
จริงๆเพิ่งมารู้ทีหลังว่า
ง่ายนิดเดียว...ยากตั้งเยอะ...ฮ่า...

ผมวันๆก็คุยกับพระอาจารย์แม็คทุกวัน
ถ้าไปวิ่งก็ได้เจอกินข้าวด้วยกัน
คบกันมาปีกว่าแล้ว คุยแต่เรื่องหุ้น
ไม่เห็นมันจะหมดจะเบื่อซักที
คิดเล่นๆ ถ้ามีคนเก่งเสดสาดอย่างพี่ริวอยู่ในก๊วนด้วย
การวิเคราะห์หุ้นคงมีรสชาติเพิ่มอีกไม่น้อยเลย
แบบว่าเราทำงานเป็นทีม เอ้อ...ไม่ใช่ทีมพรีซิชั่นนะครับ
ซวยเอ๊ยรวยก็รวยไปด้วยกัน
เที่ยวก็เที่ยวไปด้วยกัน
ว่างๆก็ไปซื้อนาฬิกาเรือนละ2-3ล้านใส่กัน(อ้อ..2-3ล้านด็องนะครับ)
ถามพระอาจารย์เรื่องเสดสาด
แกว่าเสดสาดหรือพี่ไม่เห็นมีไร
พี่จำไว้นะ ไซเคิลมีแค่นี้เอง
หุ้น-คอมโมดิตี้ส์-เงินเฟ้อ-พันธบัตร-เงินฝาก
พี่ริวอธิบายหน่อยสิ
แกไม่ยอมอธิบายเพิ่ม แกว่าเป็นความลับของฟ้า...ว่าไปนั่น...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 81

โพสต์

ขอให้พี่ของพี่กูรูหายไวๆนะครับ
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 82

โพสต์

อยู่กันเป็น TEAM เลย ชักจะหนาวๆ แล้วสิครับ  :lol:  คงจะได้คุณพ่อกับพี่ชายคาสโนว่ามาด้วย  :lol:
คงไม่ซื้อนาฬิกาหรอกครับ เดี๋ยวนี้ข้าวก็จานละ 20,000 แล้ว (20,000 ด็อง) แสลงใจจริงๆ  :x
พี่พอใจ เขียน:พี่จำไว้นะ ไซเคิลมีแค่นี้เอง
หุ้น-คอมโมดิตี้ส์-เงินเฟ้อ-พันธบัตร-เงินฝาก
มันก็ไม่ใช่ของลับ เอ๊ย ความลับอะไรนะครับ ถือเป็น cycle ปกติของการลงทุนโดยมีตัวแปรที่สำคัญคืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย วงจรของทั้งสองตัวนี้จะเหลื่อมกันเล็กน้อยในลักษณะที่คล้ายกับ cos wave และ sin wave ตีคู่กัน อัตราดอกเบี้ยป็น sin อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น cos โดยแบ่งวงจรนี้ออกมาได้ 4 ช่วง

ช่วงที่ 1
เป็นช่วงที่ผ่านการตกต่ำทางเศรษฐกิจมาแล้ว อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำๆ ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยช่วงนั้นจะต่ำมากจึงเป็นปัจจัยหนุนให้กิจการห้างร้านต่างๆ มีกำไรเพิ่ม กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็จะเพิ่มอย่างผิดหูผิดตา หุ้นก็จะวิ่งกระฉูดกลายเป็นพระเอกเรียกเสียงฮือฮาจากแมงเม่าให้หันมาสนใจตลาดกันอย่างคับคั่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ในขาขึ้น

ช่วงที่ 2
เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ประชาชนก็จะเบิกบานนำไปสู่การเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย เงินเฟ้อจะขยับขึ้น ธนาคารกลางจึงขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตาม เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้น กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ จึงเริ่มโตช้าลงเรื่อยๆ หุ้นจะไม่ค่อยขึ้นแล้ว พระเอกในช่วงนี้จะกลายเป็นคอมโมดิตี้ส์ซึ่งราคาขายจะกระฉูดในทิศทางเดียวกันกับเงินเฟ้อและปกติก็ขึ้นแรงกว่าเงินเฟ้อ

ช่วงที่ 3
หลังจากช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเบ่งบานที่สุดแล้ว กำลังซื้อของบริโภคถูกบั่นทอน กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ ก็จะเริ่มหดหายบ้างก็ทรงๆ ทรุดๆ ช่วงนี้หุ้นจะเริ่มร่วง ในขณะที่แมงเม่ากำลังเบิกบานอยู่กับโภคภัณฑ์นั้น ผู้มองการณ์ไกลจะทราบว่าเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว เมื่อเงินเฟ้อลดลงการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางก็จะตามมา เมื่ออัตราดอกเบี้ยลด พระเอกช่วงนี้จึงกลายเป็นตราสารหนี้เพราะ yield จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต คนออกจากโภคภัณฑ์ไม่ทันก็ติดดอยไป

ช่วงที่ 4
เป็นช่วงเศรษฐกิจซึมเซาอีกครั้งหนึ่ง กำไรของบริษัทต่างๆ ลดลงฮวบฮาบ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจเจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่เลยไม่ค่อยมีใครมาเก็งกำไร อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะไหลลงไปจูบพื้นด้วยกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยไม่ลดลงแล้วมูลค่าส่วนต่างของพันธบัตรก็จะไม่เหลือ นักลงทุนที่ชาญฉลาดก็จะขายทิ้งฟันกำไรไปเรียบร้อยแต่เพราะเศรษฐกิจยังซึม หุ้นก็เลยซบ โภคภัณฑ์ก็เน่ามาหมาดๆ นักลงทุนไม่รู้จะทำอะไรก็เก็บเงินสดไปก่อน ช่วงนี้ก็ศึกษาหาความรู้เพื่อเตรียมรับมือขาขึ้นของเศรษฐกิจที่จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

มันก็เป็นแบบนี้แหละครับ :lol: มันจะคล้ายๆ กับ chart ที่ผมยกมาเหมือนกัน ผมถือว่าเงินเฟ้อนั้นเป็นตัวแปรปฐมภูมิ อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรทุติยภูมิเพราะ ธปท. ซึ่งปกติใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเป็นปัจจัยในการปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น มักรอข้อมูลเงินเฟ้อก่อนที่จะตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยตาม

อีกสามวันเอง ตื่นเต้น ตื่นเต้น  :lol:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 83

โพสต์

ขอให้พี่ของพี่กูรูหายไวๆนะครับ
ขอบคุณมาก คุณสามจุด
ตอนนี้ออกมาแล้ว แต่ต้องดูแลระยะพักฟื้น คงไม่ได้ไป Meeting แล้วล่ะ
คุยสั้นๆก่อนนะคร้าบ
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 84

โพสต์

อืมม งั้นถือว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่ 2 ได้มั๊ยครับพี่ริว

แต่ทำไมผมไม่ค่อยเบิกบานนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่เลยแฮะ  :roll:
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ก้อนหิน
Verified User
โพสต์: 2344
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 85

โพสต์

... เขียน:อืมม งั้นถือว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่ 2 ได้มั๊ยครับพี่ริว

แต่ทำไมผมไม่ค่อยเบิกบานนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่เลยแฮะ  :roll:
แล้วพี่สามจุด เบิก อย่างเดียว หรือว่า บานอย่างเดียวหละครับ แหะแหะ

เข้ามาทำให้่กระทู้พี่พอใจเละอีกละผม
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 86

โพสต์

:8) กระทู้นี้รับหมดครับทั้งดอกไม้และก้อนหิน
     เพราะฉนั้นก้อนหินเข้ามาป่วนนี่ถูกต้องตามครรลองอยู่แล้วครับ

     อ้อ...เกือบลืมขอบคุณพี่ริวที่มาช่วยอธิบาย
     ผมชอบจริงนะเสดสาดเนี่ย
     มันไขความลับได้มากมายจริง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 87

โพสต์

ขอบคุณคุณ RYU ที่ช่วยแจกแจงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ได้อย่างเข้าใจง่ายๆ  :lol:
อ่านแล้วนึกถึงหนังสือเล่มนี้ครับ

รูปภาพ

ตอนแรกนึกว่าให้กินกาแฟตอนฝนตกจะได้อบอุ่น
แต่พออ่านละเอียดอีกที ชะอุ้ย..คนละเรื่องเดียวกันเลย
เป็นการพูดถึงทฤษฎี Macrowave Logic
ปรากฏการณ์ทั้งธรรมชาติและอธรรมชาติที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งหนึ่ง
ย้อมส่งผลกระเพื่อมไปอีกที่หนึ่ง
เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส
เหมือนฝนตกทางโน้น ก็หนาวในทรวงถึงทางนี้..เออ ใช่หรือเปล่า

เคยมี รีวิวใน ร้อยคนร้อยเล่มแล้วดังนี้

http://www.thaivi.com/webboard/archive. ... varro.html

เนื้อหาคงจะธรรมดาเกินไปสำหรับเพื่อนๆ
แต่ที่ติดใจก็คือ ชื่อหนังสือครับที่ตังได้สะดุด Catchy ดี
สามารถโยงเรื่องราว
ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน ก็หาทางมานัวเนียกันจนได้  :roll:
MindTrick
Verified User
โพสต์: 1289
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 88

โพสต์

... เขียน:อืมม งั้นถือว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่ 2 ได้มั๊ยครับพี่ริว

แต่ทำไมผมไม่ค่อยเบิกบานนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่เลยแฮะ  :roll:
มันไม่ตรง งั้นผมว่า อยู่ ช่วง 3 แล้วใช่ไหมครับ พี่ริว
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 89

โพสต์

แฮะ  แฮะ  มาร่วมคิดเรื่องยากๆด้วยคนครับ

ผมมีความคิดว่า  เงินเฟ้อ  ที่สูงขึ้นในปัจจุบันนั้น  ไม่ได้มีสาเหตุหลักมาจากการจับจ่ายใช้สอยมากนัก  แต่ปัจจัยหลักน่าจะมาจาก  เงินท่วมโลก ครับ

ซึ่งสาเหตุที่เงินท่วมโลกก็มาจาก  สหรัฐขาดดุลแก่จีนอย่างมากมายแต่ต่อเนื่อง  แต่จีนเองก็กลับนำเงินไปให้สหรัฐกู้ยืมต่อ

อีกทั้งปัจจุบันมีการออกตราสารอนุพันธ์มากมาย  เป็นการหมุนสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมได้หลายรอบมากขึ้น  เงินก็เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า

และปัจจัยสำคัญอีกอย่าง  ก็คือ  อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมานานของสหรัฐ  เนื่องจากการกลัวว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำอย่างหนัก  ราคาสินทรัพย์จะร่วงลงอย่างแรง  จึงต้องเพิ่มปริมาณเงินให้มากเข้าไว้

ปริมาณเงินที่ท่วมโลก  ทำให้กองทุนต่างๆต้องหาแหล่งพักเงิน  สุดท้ายก็ไปพักที่ Commodity ทั้งหลาย  จนราคาพุ่งขึ้นอย่างมาก

ในขณะที่อีกหลายประเทศ  เกรงกลัวเรื่องการเมือง  กลัวเศรษฐกิจจะตกต่ำ  จึงมีการอุดหนุนราคาน้ำมัน  ไม่ยอมให้ปล่อยลอยตัว  ดังเช่น  จีน  ทำให้ประเทศเหล่านี้ก็ยังคงบริโภคน้ำมันมากเหมือนเดิม

นับวันราคาน้ำมันก็ยิ่งสูงขึ้น  จนทำให้ภาระของรัฐบาลที่อุดหนุนนั้นมากเกินกว่าที่จะแบกรับไว้ได้  การลอยตัวราคาน้ำมันก็จะเกิดขึ้น

เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  อัตราเงินเฟ้อก็จะวิ่งขึ้นอีกครั้ง  ประชาชนก็จะลำบากมากขึ้น  กำลังซื้อก็จะลดลง

หลายคนอาจจะว่าเมื่อกำลังซื้อลดลง  ราคาของ Commodity คงลดลง  แต่ผมคิดว่าปัจจัยหลักมาจากเงินที่ท่วมโลกในมือกองทุนต่างๆ

ดังนั้นราคา Commodity จะลดลงได้  ปริมาณเงินในโลกต้องลดลงครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รุ้งกินน้ำ

โพสต์ที่ 90

โพสต์

[quote="chatchai"]
ผมมีความคิดว่า
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า