ของฝากในวันวิสาขบูชา

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
sailom
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

ของฝากในวันวิสาขบูชา

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คัดลอกมาจาก

http://www.bbznet.com/scripts2/view.php ... r=numtopic

บุญกิริยาวัตถุ

เมื่อได้ยินคำว่า บุญ เวลานี้ผู้คนทั้งหลายแทบจะลืมเลือนความหมายที่แท้จริงของมันไป ที่แย่ยิ่งกว่านั้น คนจำนวนมากไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าบุญมีจริง จึงไม่ใส่ใจในการประพฤติดี ขณะเดียวกันยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งอาศัยความไม่เข้าใจในเรื่องบุญของผู้คนเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ซ้ำเติมกันเข้าไปอีก วันนี้จึงขอโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องบุญ ตามประสบการณ์จริง และการเรียนรู้จากครูบาอาจารย์มาเล่าสู่กันฟัง
บุญคือเครื่องยังให้เกิดความสำเร็จ มีคุณลักษณะที่เอิบอาบ ชุ่มชื่น สงบ สันติและ ฉลาด บุญทำให้บุคคลธรรมดา ๆ กลายเป็นพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระราชาได้ บุญมีลักษณะที่เป็นพลังงาน แต่คงไม่สามารถเขียนออกมาเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ กระนั้นก็ดี เราสามารถรับรู้ทราบถึงพลังงานแห่งบุญได้ เช่น ผู้มีบุญ ผู้ใจบุญ ถ้าอยู่ใกล้ใคร เขาก็จะให้พลังที่สงบสุข และสันติต่อผู้อยู่ใกล้
บุญมีกรรมเป็นผู้ควบคุม มีกรรมเป็นนาย บุญมีลักษณะพิเศษอีกแบบหนึ่ง คือน้ำท่วมไม่หาย ไฟไหม้ไม่หมด โจรปล้นไม่ได้
พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราทำบุญ 10 อย่าง
1.ให้ทาน
2.รักษาศีล
3.เจริญภาวนา
4.แผ่เมตตา
5.ฟังธรรม
6.ทำหน้าที่ของพ่อแม่ ลูก และหน้าที่อื่น ๆตามสถานภาพ
7.อ่อนน้อมถ่อมตน
8.ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำดี(อนุโมทนา)
9.ปฏิบัติธรรม
10.ทำความเห็นของตนให้ตรง และถูกต้อง

1. ทาน พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทานมีความมุ่งหมาย 2 ประการ คือ
1.1. เป็นเครื่องมือที่จะลดความตระหนี่ เป็นเครื่องลดความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งถ้าไม่ซ้อมที่จะลดความยึดมั่นถือมั่นไว้ ชีวิตหลังความตายย่อมผูกอยู่กับสิ่งที่ยึดถือนั้น
1.2. เป็นเครื่องสร้างสัมพันธภาพกับสรรพสิ่งรอบ ๆตัวเรา ทั้งที่มองเห็นและไม่เห็น
ทาน แบ่งเป็นหมวดต่าง ๆได้แก่
ก. วัตถุทาน ได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง เสื้อผ้าอาหาร รวมถึงวัตถุธาตุทุกชนิด จัดเป็นทานขั้นต่ำสุด
ข. ทานจากการบริจาคอวัยวะ เลือดเนื้อ เป็นทานที่สูงขึ้นมาอีกขั้น
ค. อภัยทาน เป็นทานที่สูงขึ้นมาอีก
ง. ธรรมทาน จัดเป็นทานขั้นสูงสุด มีคำกล่าวว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง หรือแม้การสนับสนุนให้ผู้อื่นแสดงธรรมก็ถือว่าได้ร่วมในธรรมทานเช่นกัน


ในเรื่องผลของทานนี้จะเกิดมากน้อยมีปัจจัยควรพิจารณาหลายประการ

1. ผู้รับ ผู้รับที่มีความดีมาก หรือมีความบริสุทธิ์มากย่อมเป็นเนื้อนาบุญอันดี ทำน้อย ได้ผลมาก เช่น พระอรหันต์ บิดามารดา ซึ่งมักให้ผลมากและทันที ผู้ทรงฌาณ ผู้ทรงศีล 227 ผู้ถือศีล 8 ผู้ทรงศีล 5 ผู้ไม่มีศีล สัตว์เดรัจฉาน ตามลำดับ
2. ผู้ให้ ผลของทานเกิดขึ้นเรียงตามลำดับชั้นแบบเดียวกัน คือผู้ให้ที่มีศีลมาก ทำทานย่อมมีผลมากกว่าผู้มีศีลน้อยกว่า
3. วัตถุทานที่นำมาเป็นทาน มีข้อพิจารณา คือ
3.1 ความบริสุทธิ์ของการได้มา เงินที่โกงมาทำบุญย่อมไม่ได้บุญสักเท่าไร
3.2 ความจำเป็นของผู้รับทานนั้น เช่นถวายผ้าผืนแรกแก่พระภิกษุ ผ้าผืนนี้ย่อมได้อานิสงส์มากกว่าผืนที่สอง หรือถวายอาหารมื้อแรกแก่พระผู้ออกจากนิโรธสมาบัตินับเป็นมหาทาน
3.3 ความสำคัญของวัตถุนั้นต่อผู้ให้ ถ้าสิ่งนั้นยิ่งสำคัญต่อเจ้าของมากเมื่อสละให้ได้ ย่อมเกิดกุศลมาก

2. การรักษาศีล ศีล แปลว่า สภาวะปกติ แล้วแต่ว่าปกติของผู้ใด จะเป็นของผู้ใดก็ตามข้อกำหนดกติกานั้นต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน เช่น ศีล 5 สำหรับความเป็นมนุษย์ ศีล 8 สำหรับผู้ถือบวชเบื้องต้น ศีล 227 สำหรับพระภิกษุ อริยะกันตะศีล เป็นศีลที่พระอริยะเจ้าชอบใจ
ศีลนั้นเป็นบุญอย่างไร ยกประเด็นง่าย ๆ แต่ละข้อ เช่นผู้ไม่ละเมิดศีล 5ข้อ 1 เรื่องการฆ่า หรือทำร้ายชีวิตอื่นและตนเองย่อมเป็นผู้มีร่างกายดี สุขภาพใจดี มีอายุยืนยาว ไม่ถูกอาฆาตปองร้าย ผู้ไม่ละเมิดศีล ข้อ 2 ข้อว่าลักทรัพย์ และ ข้อ 4.ข้อที่ว่าด้วยเรื่องวาจา ย่อมเป็นที่เชื่อถือ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แม้จะทำการค้าขายก็ย่อมได้เครดิตดี ผู้ไม่ละเมิดศีลข้อ 3.ข้อว่าการผิดต่อบุตร ภรรยา ผู้อื่น ย่อมไม่เป็นที่หวาดระแวง เกลียดชังของสังคมรอบข้าง ส่วนผู้ไม่ละเมิดศีลข้อ 5ว่าด้วยเรื่องสุรา และยาเสพติด และยังหมายรวมถึงการเสพสิ่งมึนเมาอื่น ๆ ย่อมเป็นผู้ที่มีร่างกาย ไม่ถูกเบียดเบียนจากโรค ทรัพย์ไม่ถูกเบียดเบียน ที่สำคัญ สติ และปัญญาย่อมบริบูรณ์อยู่ตามสภาพที่มันเป็น โอกาสทำผิดพลาดย่อมน้อยลง เหล่านี้ย่อมเป็นผลบุญที่เกิดกับผู้ถือศีล แม้กระทั่งในตอนท้ายบทให้ศีลของพระ ยังยืนยันว่า ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ ศีลทำให้สู่สุขคติ และศีลเป็นเครื่องมือสู่พระนิพพาน

3. เจริญภาวนา การเจริญภาวนาเป็นบุญอย่างไร คำตอบคือเมื่อเจริญภาวนา ด้วยความตั้งใจ แล้วจิตเข้าถึงภาวะที่ฉลาด สว่าง สะอาด สงบ นั่นคือบุญที่เกิดกับจิตเช่นกัน จะสังเกตเห็นว่า ภาวะจิตที่เป็นบุญนั้นจะเหมือนกัน คือมีความสงบเป็นพื้น และความสงบสุขลักษณะนี้จะเป็นสุขที่ยั่งยืน เพราะเป็นสุขที่ไม่อิงอามิส ไม่พึ่งวัตถุ

4. แผ่เมตตา การแผ่เมตตาเป็นบุญอย่างไร หลายท่านคงมีประสบการณ์ในการแผ่เมตตา ไม่มากก็น้อย หลังจากได้ทำทาน หรือหลังจากสวดมนต์ และหลายท่านอาจไม่ทราบได้ว่าที่ทำนั้น ทำไปเพื่ออะไร การแผ่เมตตาหรือการอุทิศส่วนกุศลนั้น เป็นบุญเพราะเราได้แบ่งบุญของเราซึ่งได้มายาก ทำได้ยาก ให้แก่ผู้อื่น เป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่ง เป็นกระบวนการ ทำทาน ได้บุญแล้วเอาบุญไปแจกต่อ ถามว่าเช่นนี้บุญที่เราอุตส่าห์ทำมาจะน้อยลงหรือไม่ คำตอบคือไม่ และนอกจากบุญส่วนเดิมไม่น้อยลงแล้ว ยังได้ตอบแทนต่อสรรพสัตว์ ญาติของตน เทวดาฟ้าดิน และอื่น ๆ อีกมากมายที่เรามองเห็นและไม่เห็น เมื่อเทวดา และสรรพสัตว์เหล่านี้ มาเวียนเกิดเวียนตายเกี่ยวเนื่องกับเรา เราผู้เคยเป็นผู้ให้ย่อมได้รับผลตอบแทนทางดีเสมอ ผลก็คือได้บุญ 2 ต่อนั่นเอง
การแผ่เมตตาที่ได้บุญมากคือมีอานิสงส์มากได้แก่การแผ่เมตตาไปโดยไม่ประมาณ กล่าวคือผู้รับมีจำนวนมาก ส่วนการแผ่เมตตาอย่างเฉพาะเจาะจง เช่นต่อญาติ ผู้ใหญ่ มิตรสหาย นั่นก็นับว่าดีอยู่ แต่บุญที่ผู้ให้จะได้จะไม่มากเท่ากับการแผ่เมตตาโดยมิประมาณ
ส่วนผลต่อจิตของผู้ทำ ย่อมนำมาซึ่งความปล่อยวาง นำมาซึ่งเมตตาธรรมในดวงจิต และนำมาซึ่งกุศลจิตคือจิตที่ฉลาด สะอาด สว่าง ของผู้ทำ โดยเฉพาะผู้ที่แผ่เมตตาให้แก่ทุกคนแม้แต่ศัตรู อย่างจริงใจ ไม่เสแสร้ง ย่อมมีอานิสงส์ให้จิตนั้นมีความสะอาด ฉลาด เป็นจิตที่เป็นกุศลมากมหาศาล ตรงกับคำสอนของศาสนาคริสต์ซึ่งสอนให้อภัยต่อศัตรู (อย่างจริงใจ)
ปริมาณอานิสงส์ของการแผ่เมตตานั้นมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่าผู้ที่เจริญเมตตาแม้ชั่วงูแลบลิ้น มีอานิสงส์มากกว่าสร้างพระมหาเจดีย์เสียอีก (แต่ต้องเป็นเมตตาจิตอย่างจริงใจ) ผู้เจริญเมตตาก่อนตายย่อมไปเกิดในที่ดี เกิดท่ามกลางกัลยาณชน เกิดเป็นผู้มีทรัพย์ มีปัญญา แต่การที่จะเป็นผู้เจริญเมตตาก่อนตายได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้ทำสิ่งนี้บ่อยๆ ครั้ง มิใช่นาน ๆ ทำที
ตัวอย่างของคำแผ่เมตตา ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
อีกตัวอย่างหนึ่ง ขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของ ข้าพเจ้า อันมีบิดาและมารดาทั้งหลาย ปู่ย่าตายายทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เทพเจ้าทั้งหลาย เทวดาทั้งหลาย พระยายมราช ท่านท้าวจาตุโลกบาลทั้งสี่ พระธรณี พระคงคา พระเพลิง พระพาย เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าทุ่งเจ้าท่าเจ้าถ้ำ เจ้าป่าเจ้าเขา มิตรทั้งหลาย ศัตรูทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด ในวัฏฏะสงสาร และสถานที่แห่งนี้ ขอจงมารับกุศล ผลบุญนี้ที่ข้าพเจ้า(ทั้งหลาย) ได้ทำแล้วด้วยดี ในครั้งนี้ด้วยเทอญ

5. ฟังธรรม การฟังธรรมนั้นเป็นบุญก็ด้วยการที่ทำให้เราทราบถึงวิธีการที่ถูกต้อง แนวคิดที่ถูกต้อง ทำให้เป็นผู้ฉลาด สะอาด สว่าง สงบ ที่เป็นเช่นนี้เพราะธรรมะมีคุณสมบัติเป็นเครื่องฟอกจิต และการที่เป็นผู้มีความสงบ สะอาด สะอาดในดวงจิตนี้เองถือว่าเป็นจิตที่เป็นบุญ อย่างน้อยการที่เราฉลาดขึ้นก็จะทำให้ทำผิดน้อยลง พูดผิดน้อยลง คิดผิดน้อยลง ในสมัยพุทธกาลมีพระสาวกบางรูป ฟังธรรมกับพระพุทธองค์ แล้วใคร่ครวญตาม จนบรรลุธรรม เป็นพระอริยะบุคคลมากมาย เช่นเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคา จนถึงเป็นพระอรหันต์เลยก็ยังมี ซึ่งท่านเหล่านี้เป็นผู้สั่งสมบารมีธรรมมานานเป็นอสงไขย

6. ทำหน้าที่ของพ่อแม่ ลูก และหน้าที่อื่น ๆตามสถานภาพ มนุษย์เกิดมาเพราะมีกรรมต่อกัน การที่จะเป็นพ่อแม่ ลูก ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้อง เจ้านายลูกน้อง กันนั้น มีทั้งผู้ทำกุศลกรรม และอกุศลกรรมต่อกัน ดังนั้นทุกคนควรทำหน้าที่ของตนให้ถูกตรง
พ่อแม่ต้องรู้จัก เลี้ยงดูด้วยข้าวน้ำ สั่งสอนบุตรให้เป็นคนดี และทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี กตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่ เมื่อบุตรโตขึ้นก็จะรู้จักทำตามอย่าง
บุตรก็ต้องรู้จักตอบแทนบิดามารดา โดยเฉพาะมีคำกล่าวว่าบิดามารดา เป็นพรหมของบุตร บิดามารดาเป็นอรหันต์ในบ้าน ผู้ที่รู้จักตอบแทนบิดามารดา ย่อมประดุจดั่งได้ทำบุญกับพระอรหันต์ และการตอบแทนบิดามารดานี้นอกจากข้าวน้ำ ผ้าผ่อนท่อนสไบ ที่อยู่อาศัย เงินทอง แล้ว การที่ทำให้ท่านได้มีโอกาสเข้าถึงธรรม ย่อมมีอานิสงส์ยิ่งกว่าการเลี้ยงด้วยข้าวน้ำใด ๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะวัตถุสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้เมื่อใช้แล้วก็หมดไป เพียงเลี้ยงดูอัตภาพให้ท้องอิ่ม นอนสบาย เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไม่อาจพกพาสิ่งเหล่านี้ไปได้ แต่การที่ทำให้ท่านได้มีโอกาสทำบุญ มีศีล มีปัญญา จะ ได้ชื่อว่าเลี้ยงบิดามารดาข้ามภพข้ามชาติ เลยทีเดียว

7. อ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนน้อมถ่อมตนนับเป็นบุญ ลองมาใคร่ครวญดูกันว่าเป็นบุญอย่างไร
เราชอบเห็นผู้อื่นอ่อนน้อมต่อเราอย่างใด บุคคลอื่นย่อมอยากให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างนั้น เราไม่เคยเคารพใคร แน่นอน ย่อมไม่มีใครเคารพเรา บุคคลใดเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ย่อมได้รับความเอ็นดูรักใคร่จากบุคคลอื่น แน่นอนรวมถึง โอกาส วิชาความรู้ สิ่งดี ๆ ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลก และทางธรรม
ขณะเดียวกันการที่ได้ทำการคารวะในขณะจิตนั้น จิตย่อมอ่อนน้อมลง ลดความถือตัวถือตนลง ส่วนนี้คือส่วนที่เป็นกุศลในจิต
พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ในมงคล 38 ข้อ คาระโวจะนิวาโตจะ แปลว่าความเคารพต่อสิ่งที่ควรเคารพ
และยังมีสรรเสริญไว้อีกในคำอวยพรของพระสงฆ์ซึ่งเราได้ยินได้ฟังกันบ่อย ๆ แต่ไม่รู้คำแปลท่อนที่ท่านกล่าวว่า
อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑ ฒันติ อายุ วัณโณ สุขังพะลัง
แปลความหมายได้ว่า พรสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่ท่าน ผู้มีปรกติกราบไหว้ มีปรกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์แล
ถึงเวลานี้แล้ว ท่านสังเกตุเห็นหรือไม่ว่า ต้นข้าวที่ออกรวง ซึ่งผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งโลก เมื่อรวงยิ่งสุกยิ่งโน้มตัวลง?

8. ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำดี(อนุโมทนา) การอนุโมทนา เป็นการที่ทำให้จิตใจของเราลดความอิจฉาริษยา ขั้นต่อมาคือลดการยึดถือตัวตน บุญที่เกิดจากการอนุโมทนานี้ แม้จะดูว่าทำได้ง่ายมาก แต่จะมีผลก็ต่อเมื่อจิตใจเห็นดีด้วยอย่างไม่เสแสร้ง เช่นเมื่อเราไปทำความดีมา เราบอกแก่เพื่อนเราว่าวันนี้เราได้ทำความดีเราขอแบ่งบุญให้เพื่อน เพื่อนบอกว่า ดี เท่านี้เพื่อนก็ได้บุญด้วย
อานิสงส์ของบุญลักษณะนี้ จะส่งผลให้เมื่อเราจะทำการใด ๆ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางได้ แต่อย่างไรก็ตามควรลงมือทำบุญลักษณะอื่น ๆให้ครบถ้วนด้วยตนเองด้วย จึงจะดีที่สุด มิฉะนั้นก็ต้องพลอยอาศัยผู้อื่นอยู่เสมอ ๆไม่อาจยืนบนลำแข้งของตนเองได้

9. ปฏิบัติธรรม ข้อนี้นับว่าเป็นบุญอันสูงสุดกว่าบุญทุกข้อที่กล่าวมาแล้วทุกประการ กล่าวคือ ทุกชีวิต ทุกจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อุบัติในโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ พรหมโลก อรูปพรหมโลก หรือที่อุบัติในทุคติภูมิ อันได้แก่ เปรต สัตว์นรก สัมภเวสี สัตว์เดรัจฉาน ล้วนแต่มีเวลาและวาระที่กำหนดด้วยเวลาและกรรมที่สร้างมาทั้งสิ้น แต่ละชีวิต วิญญาณ ล้วนแต่เป็นนักท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏอย่างไม่รู้จบสิ้น แม้บางท่านอาจมีสภาวะอันละเอียด และมีอายุยืนยาวเป็นหลายพันล้านปี เช่นอรูปพรหม แต่ในที่สุดเมื่อถึงเงื่อนเวลาหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนสภาวะไปจากเดิม ไม่มีภาวะใดที่จีรังยั่งยืน เว้นเสียแต่สภาวะที่เราเรียกขานกันว่าเป็นสภาวะนิพพาน เท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นสภาวะที่เป็นอมตะอย่างแท้จริง
สิ่งของเครื่องใช้เงินทองที่ดิน ที่เรามี เราได้ อยู่ในโลกมนุษย์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์สมบัติเท่านั้น สำหรับผู้ฉลาด มันเป็นเพียง พลวัตรปัจจัย ที่ให้โอกาสเราไขว่คว้าหาทางออกจากกลเกมแห่งวัฏฏะเท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วมีเพียงการปฏิบัติธรรมอย่างถูกทางเท่านั้นที่จะแหวกวงล้อมของกิเลสออกไปได้ โดยใช้ปัญญาเป็นเครื่องตัดอาสวะ
พระพุทธองค์ทรงแนะนำการปฏิบัติธรรมไว้ 2 แบบที่จะต้องทำควบคู่กันไปได้แก่
1. สมถะกรรมฐาน เป็นการทำสมาธิให้จิตนิ่ง เมื่อจิตอยู่ในสภาพนิ่งจะมีสภาวะที่รวมตัวกันเปรียบดังแสงอาทิตย์ที่ผ่านเลนซ์นูนรวมเป็นจุดเล็ก ย่อมมีกำลัง จิตที่ฝึกดีแล้วนี้ย่อมสามารถช่วยในการดำรงชีวิตให้มีประสิทธิภาพสูง ส่วนระดับความเข้มข้นของสมาธิแบบนี้ แบ่งเป็น
ก.ขนิกะสมาธิ เป็นสมาธิเล็ก ๆน้อย ๆ ที่บุคคลทั่วไปต้องมีเพื่อใช้ดำรงชีวิตตามปกติ
ข.อุปจาระสมาธิ เป็นสมาธิที่เข้มยิ่งกว่าแบบแรก ใช้ในการเรียนรู้ การจำ การไตร่ตรองเบื้องต้น
ค.อัปนาสมาธิ เป็นสมาธิที่นิ่งละเอียดถึงขั้นตั้งแต่ ปฐมฌาณ ทุติยะฌาณ ตติยะฌาณ จตุตะฌาณ และมีละเอียดถึง อรูปฌาณ อีก สี่ขั้น เมื่อสามารถทำสมาธิถึงขั้นปฐมฌาณ ขึ้นไป จิตจะมีกำลังมากตามลำดับ ซึ่งสิ่งที่จะตามมามีมากมายหลายประการ เช่น เกิดญาณรู้เห็นอัตโนมัติ เห็นในความถี่อื่นที่คนปกติ ไม่เห็น หรือเป็นผู้มีฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น จุดไฟ ดับไฟ เหล่านี้เป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้มิใช่เป้าหมายหลักของการปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญคือการนำเอาจิตที่มีกำลังนี้นำไปพิจารณาธรรมในกายตน เพื่อให้เกิดจิตที่ขาดกิเลสเป็นอริยะบุคคล
2. วิปัสสนากรรมฐาน คือการใช้จิตที่มีกำลังตามลำดับขั้นพิจารณาธรรมะต่าง ๆ เช่น หลักอนิจจังทุกขังอนัตตา (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) หรือพิจารณาตามหลักมหาสติปัฏฐานสี่ อันได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ถึงที่สุดก็จะเกิดปัญญา ที่จะไปตัดกิเลสถึงราก กลายเป็นอริยะบุคคลตามลำดับชั้น จนถึงขั้นเป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลสไม่ต้องมาเกิดอีก
เราจะทำบุญด้วยวัตถุทานต่อท่านผู้ปฏิบัติเท่าใดก็ตาม เราให้อาหารก็เพียงเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อของท่านผู้ปฏิบัติเท่านั้น ไม่อาจได้บุญเท่ากับการลงมือปฏิบัติธรรมเอง เช่นนี้แล้ว เราจะไม่เริ่มหาโอกาสทำในบุญข้อนี้อีกหรือ

10. ทำความเห็นของตนให้ตรง และถูกต้อง ได้แก่
การเชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อในการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นที่มาที่ไป กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่ว เลว หยาบ ผู้ที่เชื่อในกฎแห่งกรรมย่อมไม่ทำบาปทั้งปวง ย่อมยึดมั่นไม่ย่อท้อในการทำความดี ย่อมมีความละอายชั่วกลัวบาป ทั้งต่อหน้าและลับหลัง กรรมนั้นมีทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล และยังแบ่งออกเป็น 3 อย่างได้แก่ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม การจะทำให้เกิด กรรมต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2ประการคือ
1.กรรมต้องเกิดจากเจตนา ก่อนทำ ขณะทำ เมื่อทำใหม่ และเมื่อทำนานแล้ว มีเจตนาขณะใดขณะหนึ่ง ย่อมเป็นกรรม หากทำโดยไม่มีเจตนา ไม่เป็นกรรม
2.กรรมนั้นต้องให้ผลเป็นบุญหรือบาป การกระทำของพระอรหันต์ไม่มีกรรมเพราะสิ้นความยึดถือตัวตน เรียกว่าเป็นกิริยา ส่วนปุถุชนยังมีความยึดถือตัวตนทำอย่างไรถ้ามีเจตนาย่อมเกิดบุญและบาปทั้งสิ้น
เชื่อในพระรัตนตรัย อันได้ แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับว่าเป็นที่พึ่งทางใจของเราทั้งหลาย เป็นกำลังใจ
เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด บุคคลที่เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด จะยึดมั่นในการทำความดีอย่างไม่สั่นคลอน ตรงกันข้ามบุคคลที่ทำความชั่วแล้วยังไม่ได้รับผลร้าย มักไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อเป็นผู้มีความเห็นตรงและถูกต้อง(สัมมาฐิตถิ) ย่อมเป็นพื้นฐานอันสำคัญที่จะยึดมั่นในการประกอบกุศลกรรมอื่น ๆอย่างฉลาด ถูกต้อง และได้ผลอย่างไม่สูญเปล่า จึงนับว่าข้อนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง

จะเห็นว่าใน 10 ประการเบื้องต้นนี้เป็นเรื่องที่จะต้องควักเงิน จ่ายทรัพย์ หรือบริจาคสิ่งของเพียงข้อเดียว นอกนั้นเป็นเรื่องของการลงมือกระทำเรื่องดี ๆให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ซึ่งผิดจากที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมา และในการทำบุญทั้ง 10 ประการนี้ ข้อที่สำคัญที่สุดคือการทำความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้อง หรือการมีสัมมาฐิตถิ เพราะเมื่อมีความเข้าใจ มีปัญญามีความรู้จริง ท่านก็จะสามารถบริหารบุญกิริยาวัตถุ ของท่านให้งอกเงยได้ผลบุญมากกว่าผู้ไม่รู้ โดยที่ลงแรง หรือทรัพยากร เท่ากัน

ในเรื่องที่มีผู้กล่าวว่า ทำดีไม่ได้ดี เป็นการกล่าวโดยอวิชชา เพราะไม่เข้าใจชนิดและเงื่อนเวลาที่กรรมจะให้ผล กรรมชนิดต่าง ๆ ให้ผลในเวลาต่าง ๆ กัน แท้ที่จริงแล้ว ทั้งนี้เพราะผู้ที่กล่าวมีจุดมุ่งหมายทางวัตถุ เป็นทรัพย์สินเงินทอง เป็นตำแหน่งแม้กระทั่งชื่อเสียง ซึ่งเป็นมุมมองแบบแลกได้แลกเสีย เป็นมุมมองที่เป็นการค้า แท้ที่จริงการทำดีหรือทำบุญทุกครั้ง ย่อมมีบุญเกิดทุกครั้ง ได้แก่
1. บุญจะเกิดที่จิตของผู้ทำจนรู้ได้ถึงความสงบเย็น สบาย เรียกว่าเป็นบุญชั้นใน ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดทันทีที่ท่านทำบุญ และบุญที่เกิดกับจิตนี้ เป็นส่วนที่สามารถอุทิศให้ญาติได้ เป็นส่วนที่ติดตามเราไปยังโลกหลังความตายได้
2. ผลบุญที่เกิดชั้นนอก คือผลที่เกิดเป็นโลกธรรม เป็นชื่อเสียง ลาภยศการได้ดีในส่วนทีเป็นวัตถุนั้นจะเกิดช้าเร็ว มากน้อย มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง ขึ้นกับ
2.1. กาลเวลา ได้เวลาที่ผลบุญจะเข้ามาเสวยหรือไม่
2.2. คติ สถานที่ สังคม เอื้ออำนวยให้ได้ผลบุญเลยหรือไม่
2.3. อุปธิ บุคลิกภาพ ร่างกาย เอื้ออำนวยหรือไม่
2.4. ทำอย่างต่อเนื่อง ยาวนานเพียงพอหรือไม่

เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยที่ส่งผลทางด้านผลบุญภายนอก ซึ่งถ้าเหตุปัจจัยไม่พร้อมมูลบุญนั้นก็ยังไม่ส่งผลที่เป็นรูปธรรม แต่ก็มิได้สูญหาย ยังติดตามต่อไปในระยะต่อไป หรือชาติต่อๆไป
และเคล็ดลับที่สำคัญที่สุดอีกข้อหนึ่งที่ต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจก็คือ การทำบุญนั้นต้องยึดหลัก ก่อนทำตั้งใจ ขณะทำเต็มใจ ทำแล้ว สบายใจ ทำกับใครก็ได้บุญ(มากน้อยตามแต่ผู้รับ)
จึงหวังว่าท่านสาธุชนทั้งหลายคงได้มีความเข้าใจ และนำไปสู่การสั่งสมบุญของท่านทั้งหลายสืบไป
บุคคลทั่วไป
ผู้ติดตาม: 0

ของฝากในวันวิสาขบูชา

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณค่ะ อ่านบ้างแล้ว
...........................................

http://www.dhammathai.org/day/visaka.html

วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติคือ
"วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )


ภูมิหลัง
๑. ในการประชุม International Buddhist Conference ณ กรุงโคลัมโบ ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซึ่งมีผู้แทนจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากเข้าร่วม อาทิ บังคลาเทศ จีน ลาว เกาหลีใต้ เวียดนาม ภูฐาน อินโดนีเซีย เนปาล กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน และไทย ได้ตกลงกันที่จะเสนอให้สมัชชาสหประชาชาติรับรองข้อมติประกาศวัน วิสาขบูชาให้เป็นวันหยุดของสหประชาชาติ

๒. ในการเยือนของประเทศต่างๆ ในอินโดจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกา ในปี ๒๕๔๒ ก็ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือ และได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ได้ด้วยดี

๓. คณะทูตถาวรศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กได้จัดเตรียมร่างข้อมติ และได้ขอเสียงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ เพื่อให้มีการรับรองข้อมติเรื่องการประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔

๔. โดยที่สหประชาชาติประกาศวันหยุดเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และจะเป็นปัญหาในเรื่องงบประมาณและการบริหารแก่ สหประชาชาติ หากประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุด ศรีลังกาจึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอร่างข้อมติ ขอให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลที่สหประชาชาติ ทั้งที่สำนักงานใหญ่ และสำนักงานต่าง ๆ แทนการเสนอให้เป็นวันหยุดซึ่ง ออท. ผู้แทนถาวรประเทศต่าง ๆ รวม ๑๖ ประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา บังคลาเทศ ภูฐาน กัมพูชา ลาว มัลดีฟส์ มองโกเลีย พม่า เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สเปน อินเดีย ไทย และยูเครน ได้ร่วมลงนามในหนังสือถึงประธานสมัชชาฯ เพื่อให้นำเรื่องวันวิสาขบูชาเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุมของสมัชชาฯ

๕. ต่อมาเมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ General Committee ของสมัชชาฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว โดย ออท.ผู้แทน ถาวรศรีลังกาได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนหนังสือร้องขอให้ที่ประชุมบรรจุระเบียบวาระดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมัชชาเต็มคณะ ออท.ผู้แทนถาวรไทย อินเดีย สเปน บังคลาเทศ ปากีสถาน ไซปรัส ลาว และภูฐาน ได้กล่าวถ้อย แถลงสนับสนุน ซึ่งที่ประชุม General Committee ได้มีมติให้บรรจุเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาเต็มคณะ

ปัจจุบัน
๑. เมื่อ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔ ได้พิจารณาระเบียบวาระที่ ๑๗๔ International recognition of the Day of Visak โดยการเสนอของศรีลังกา

๒. ในการพิจารณา ประธานสมัชชาฯ ได้เชิญผู้แทนศรีลังกาขึ้นกล่าวนำเสนอร่างข้อมติ และเชิญผู้แทนไทย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ภูฐาน สเปน พม่า เนปาล ปากีสถาน อินเดียขึ้นกล่าวถ้อยแถลง สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรม ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของ สหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติ โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติและที่ทำการสมัชชาจะจัดให้มีการระลึกถึง (observance) ตามความเหมาะสม

๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างข้อมติโดยฉันทามติ

ถ้อยแถลงของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ ศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
ถ้อยแถลงของนายวรวีร์ วีรสัมพันธ์ อุปทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก

เหตุผลที่ องค์การสหประชาชาติหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก
เนื่องจากคณะกรรมมาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ร่วมพิจารณาและมีมติเห็นพ้องต้องกันประกาศให้วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลกทั้งนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวล มนุษย์ทั้งหลายในโลก จะเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนา พุทธและทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยไม่คิดค่าตอบแทน
ล็อคหัวข้อ