ราวๆไม่เกิน 7 บาทต่อ กก.
ผมคำณวนผิดหรือเปล่าครับ :x
ถึงได้กินขนมขมคอทุกคำ....

วอนท่านผู้รู้ช่วยคิดให้หวานทีครับ

จาก ประชาชาติธุรกิจ 1 พค.51
จี้คนไทยค้ำหนี้น้ำตาลหมื่นล. "สมัคร"บีบขึ้น5บ.นมข้น-น้ำอัดลมอ่วม
ครม.สมัครช็อกคนไทย บังคับผู้บริโภค-อุตสาหกรรมต่อเนื่องต้องกินน้ำตาลแพงขึ้น เกือบ 6 บาท/ก.ก. เพื่อช่วยชาวไร่อ้อยไม่ให้น้อยหน้าชาวนา แจก "เงินเพิ่มค่าอ้อย" ตันละ 169 บาท ด้วยวิธีแยบยลให้ ธ.ก.ส.ปล่อยกู้ผ่านกองทุนอ้อยฯ ใช้การขึ้นราคาน้ำตาลเป็นตัวค้ำประกันเงินกู้ 12,370 ล้านบาท สวนทางน้ำตาลทรายโควตา ก. ล้น เหลือค้างถึงสัปดาห์ละ 2 ล้านกระสอบ จนโรงงานขอลดปริมาณการจำหน่ายน้ำตาลในประเทศ
หลังการเยี่ยมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสานของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดนครราชสีมา ยังไม่ทันข้ามสัปดาห์ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ผลักดันวาระการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของชาวไร่อ้อยและวาระอ้อยแห่งชาติ เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในสัปดาห์นี้ทันที
โดย ครม.ได้มีมติสำคัญออกมา 4 ข้อ ประกอบไปด้วย 1)การ "อนุมัติ" ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อ "เพิ่มราคาอ้อย" ในฤดู 2550/51 ให้กับชาวไร่อ้อยอีกตันละ 169 บาท (จำนวนอ้อย 73.2 ล้านตัน) คิดเป็นเงินอีก 12,370.8 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุนอ้อยฯมีภาระหนี้รวมทั้งของเก่าของใหม่ 24,833.22 ล้านบาท
2)ให้ปรับราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศขึ้นอีก โดยราคาน้ำตาลทรายขาว ณ หน้าโรงงานเท่ากับ 19 บาท/ก.ก. (ไม่รวม VAT) กับราคาน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ณ หน้าโรงงาน เท่ากับ 20 บาท/ก.ก. (ไม่รวม VAT) เพื่อนำเงินที่ได้รับจากการขึ้นราคาน้ำตาลทรายเข้าเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยฯสำหรับนำไปชำระหนี้ "เงินเพิ่มราคาอ้อย" ให้แก่ชาวไร่อ้อย
3)อนุมัติแนวทางการจัดการภาระหนี้จำนวน 12,370.8 ล้านบาท ด้วยการ ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายเฉลี่ยทั่วประเทศ (ปี 2550/51) สูงเกิน 638 บาท/ตัน ณ 10 CCS ให้เก็บ "เงินส่วนเกิน" เข้ากองทุนอ้อยฯเพื่อนำไปใช้หนี้ กับให้กองทุนอ้อยฯเร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 24,833.22 ล้านบาทกับ ธ.ก.ส.ทันที และ 4)เสนอให้ "อ้อย" เป็นวาระแห่งชาติ
นั้นหมายความว่า กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังใช้อำนาจ ครม.รวบรัดบังคับให้กระทรวงพาณิชย์ขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศรวดเดียวอีก ก.ก.ละเกือบ 6 บาท (ราคาขายปลีกบวก VAT) เพื่อช่วยชาวไร่อ้อยภายในประเทศให้ได้รับ "เงินเพิ่มค่าอ้อย" โดยปล่อยให้ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องที่ต้องใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบต้องบริโภคน้ำตาลแพงขึ้นมาทันที
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 เมษายน ได้มีการพิจารณาอนุมัติให้ปรับเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต 2550/2551 ที่ประกาศไว้เดิมที่ตันละ 700 บาท เป็นตันละ 807 บาท เพื่อให้คุ้มกับต้นทุนการผลิตอ้อยของชาวไร่ พร้อมกับอนุมัติให้มีการปรับราคาจำหน่ายน้ำตาลภายในประเทศ (โควตา ก.) หน้าโรงงานอีกกิโลกรัมละ 5 บาท เพื่อเป็นรายได้ส่งให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายนำไปชำระหนี้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประมาณ 24,833 ล้านบาท ให้หมดภายใน 3 ปี โดยราคาน้ำตาลที่ปรับขึ้นจะมีผลถัดจากวันที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
โดยราคาน้ำตาลภายในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นอีกกิโลกรัมละ 5 บาทนี้ จะถูกนำไปเป็นรายได้เข้ากองทุนอ้อยฯเพื่อชำระหนี้ให้กับ ธ.ก.ส.ทั้งหมด ซึ่งเมื่อดูตัวเลขปริมาณน้ำตาลที่ขึ้นงวดไปและจำหน่ายไปแล้วจำนวน 7.2 ล้านกระสอบ ยังเหลือค้างกระดานอีก 1.3 ล้านกระสอบ และที่ยังไม่ขึ้นงวดอีก 11.7 ล้านกระสอบ เท่ากับเหลือน้ำตาลที่ยังไม่จำหน่ายจริงๆ ทั้งสิ้น 13 ล้านกระสอบ หรือประมาณ 1,300 ล้านกิโลกรัม (1 กระสอบเท่ากับ 100 กิโลกรัม) ดังนั้นราคาน้ำตาลที่เพิ่มขิ้นอีกกิโลกรัมละ 5 บาท ก็เท่ากับว่าจะมีรายได้เข้ากองทุนไปชำระหนี้เพียวๆ 6,500 ล้านบาท (1,300 ล้านกิโลกรัม X 5 บาท) โดยฤดูการผลิตหน้า รายได้ของการจำหน่ายน้ำตาลก็จะถูกนำเข้าสู่ระบบเพื่อคำนวณรายได้เป็นปกติเหมือนเดิม
ด้านนางรัตนาภรณ์ จึงสงวนสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า การชำระหนี้ของกองทุน นอกจากจะมาจากรายได้ของการขึ้นราคาน้ำตาลแล้ว มติคณะรัฐมนตรียังระบุว่า หากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต 2550/2551 สูงกว่าตันละ 638 บาท ก็จะต้องนำส่วนเกินไปชำหนี้ด้วย ตัวอย่างเช่น หากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต 2550/2551 อยู่ที่ตันละ 655 บาท เท่ากับจะมีการนำเงินไปชำระหนี้ได้อีก 1,241 ล้านบาท ((655 บาท-638 บาท) X 73 ล้านตันอ้อย) และยังมีรายได้จากการเก็บส่วนต่างของภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1,300 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จแล้วคาดว่าฤดูการผลิตนี้กองทุนจะมีรายได้ชำระหนี้ทั้งสิ้นประมาณ 9,041 ล้านบาท และจากการคำนวณรายได้ของระบบเบื้องต้นแล้วก็คาดว่า "ภายใน 3 ปีน่าจะชำระหนี้ได้หมด"
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานเข้ามาว่า การปรับขึ้นราคาน้ำตาลครั้งนี้ ทางผู้เกี่ยวข้องในกระทรวงอุตสาหกรรมต่างทราบล่วงหน้ามาตั้งแต่วันที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไปพบชาวไร่อ้อยภาคอีสาน โดยทางศูนย์บริการการผลิต การจำหน่าย และการขนย้ายน้ำตาล ได้สั่งระงับการเคลื่อนย้ายน้ำตาลขึ้นงวดน้ำตาลโควตา ก.มาตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนจนกระทั่งวันที่ 29 เมษายนก็ยังสั่งระงับอยู่ แสดงให้เห็นว่าการขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายอีก ก.ก.ละ 5 บาทได้ถูกตัดสินใจ "นอก ครม." ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนนั้นเอง
ทางด้านแหล่งข่าวในวงการค้าน้ำตาล กล่าวว่า การขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายอีก ก.ก.ละ 5 บาท ถือเป็นการ "ช็อกตลาด" ทั้งผู้บริโภคและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ต้องใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมผลิตนมข้นหวาน กับอุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลม ที่ต้องใช้น้ำตาลถึงร้อยละ 50
"ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการนำเงินไปเพิ่มค่าอ้อยให้กับชาวไร่อ้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไร่อ้อยภาคอีสาน ฐานเสียงสำคัญของพรรคพลังประชาชน อย่าลืมว่าตอนต้นปีกองทุนอ้อยฯพยายามไปเจรจาขอกู้เงิน ธ.ก.ส. (เงินเพิ่มตันละ 62 บาท) ปรากฏ ธ.ก.ส.ไม่ยอมปล่อยกู้ เพราะกองทุนอ้อยฯมีหนี้สินล้นพ้นตัว มีความเสี่ยงและขาดหลักประกัน เรียกว่าหนี้เก่ายังไม่ใช้จะมาสร้างหนี้ใหม่อีก" แหล่งข่าวกล่าว
แต่มาครั้งนี้แตกต่างกัน สังเกตดูให้ดีจากการที่ ครม.มีมติให้ปรับราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายขึ้นไปอีก ก.ก.ละ 5 บาทนั้น หมายความว่ากองทุนอ้อยฯมี "รายได้" เข้ากองทุนที่แน่นอนและเพียงพอต่อการใช้หนี้ ทั้งหนี้เก่าหนี้ใหม่ ดังนั้นการปรับขึ้นราคาน้ำตาลก็คือ "หลักประกัน" ชั้นดีที่ช่วยให้ ธ.ก.ส.ยอมปล่อยเงินกู้ให้กับกองทุนอ้อยฯมาจ่าย "ค่าอ้อยเพิ่ม" ให้กับชาวไร่อ้อยได้นั้นเอง
"ประเด็นของเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่า ทำไมต้องให้ประชาชนทั้งประเทศมารับภาระกินน้ำตาลแพงถึง ก.ก.ละ 5 บาท เพื่อช่วยให้ชาวไร่อ้อยได้เงินค่าอ้อยเพิ่ม ตรงนี้แตกต่างจากชาวนา ที่ราคาข้าวเพิ่มขึ้นเพราะตลาดโลกมีความต้องการ แต่น้ำตาลไม่ใช่ แถมภาวะในขณะนี้ น้ำตาลทรายยังมีการผลิตล้นเกินความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย นั้นหมายถึงตามหลักแล้วควรลดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายลงไปด้วยซ้ำ" แหล่งข่าวกล่าว
ล่าสุด โรงงานน้ำตาลได้ออกมาเคลื่อนไหวขอให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ปรับลดปริมาณน้ำตาลโควตา ก. (บริโภคภายในประเทศ) ลงให้เหลือประมาณ 17-18 ล้านกระสอบ จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ 19 ล้านกระสอบ เนื่องจากปริมาณดังกล่าว "เกินกว่าความต้องการ" ของผู้บริโภค ส่งผลให้ยี่ปั๊วซาปั๊วต่อรอง ซื้อน้ำตาลหน้าโรงงาน "ต่ำกว่า" ราคาที่ประกาศไว้เสียอีก แต่โรงงานก็จำเป็นต้องขาย แต่เมื่อนำรายได้ไปคำนวณจะคิดจากรายได้ที่ประกาศ ดังนั้นหากลดปริมาณน้ำตาลโควตา ก.ให้พอดีกับปริมาณความต้องการภายในประเทศ ก็น่าจะทำให้โรงงานสามารถขายน้ำตาลได้ตามราคาที่ประกาศได้
"มันกำลังกลายเป็นเรื่องตลกร้ายกาจของรัฐบาลชุดนี้ เมื่อน้ำตาลทรายภายในประเทศอยู่ในภาวะล้นเกินความต้องการใช้ โรงงานน้ำตาลเองถึงกับออกมาขอลดปริมาณการจำหน่ายน้ำตาลทรายโควตา ก.ลง เพราะขายไม่หมด ถูกบรรดายี่ปั๊วซาปั๊วบีบขอซื้อน้ำตาลต่ำกว่าราคาที่ทางการกำหนดไว้เสียอีก ส่งผลให้ให้การขึ้นงวดน้ำตาลในแต่ละสัปดาห์ขณะนี้เหลือน้ำตาลค้างกระดานถึง 2 ล้านกระสอบ ดังนั้นน้ำตาลต้องลดราคาลงถึงจะถูก แต่รัฐบาลนี้กลับมาบังคับให้น้ำตาลขึ้นราคา สวนทางกับความเป็นจริงในตลาด"
ทั้งนี้ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ได้ออกประกาศปรับราคาขายปลีกน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์เป็น ก.ก.ละ 23.50 บาท (รวม VAT) เท่ากับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ได้ปรับขึ้นราคาจาก ณ หน้าโรงงานมาถึงร้านค้าปลีกรวดเดียวถึง ก.ก.ละ 7.45 บาท ไม่ใช่ 5 บาทอย่างที่แจ้งต่อสาธารณชน