คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ตามที่เคยสัญญา จะเล่าเรื่องอดีตเจ้าสัวแห่งแบงก์รวงข้าวให้ฟัง
ก็ต้องมีเรื่องไปเอี่ยวสักหน่อย
เพราะจู่ๆจะไปรู้จัก The  Little Big Man อย่างใกล้ชิด
ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลานก็ดูกระไรอยู่

ครั้งนั้น (ไม่อยากเอ่ยปีเลย  เดี๋ยวอ่านๆไปก็จะนับนิ้วได้เอง)
กูรูได้รับมอบหมายดำเนินการโปรเจ็คท์เกี่ยวกับบริการใหม่ล่าสุดของแบงก์นี้
ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหรือเรียกอีกนัยว่า Project Manager ก็คือ
ดร.หนุ่มน้อยไฟแรง (ขณะนั้น) อดีตนักเรียนทุนธนาคารกสิกรไทยคนเก่ง
ปัจจุบัน ท่านเป็นใหญ่เป็นโตในบริษัทจัดระดับความเสี่ยงชั้นนำ

โปรเจ็คท์ที่ร่วมทำงานกับแบงก์รวงข้าว คือ การนำเสนอบริการ Retail
สำหรับชาวต่างชาติที่พำนักอาศัย หรือทำงานอยู่ในเมืองไทย
กลุ่มชนที่เรียกสั้นๆว่า Expat กันนั่นเอง
(หรือจะอ่านกวนๆว่า  อะแป๊ะ ก็ได้)

ถ้าจะฟังเรื่องราวของเจ้าสัวรวงข้าวให้สนุก
ก็ต้องเข้าใจสภาพธุรกิจรีเทลแบงก์กิ้งประมาณยี่สิบกว่าปี (เอ้า เผลอบอกปีไปล่ะ)
เมื่อครั้นอุตสาหกรรมการเงินยังไม่เปิดเสรี
ธนาคารต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยที่รู้จัก ก็น้อยนิด ที่พอๆได้ยินชื่อบ้างก็คือ
แบงก์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC ปัจจุบัน) แถวถนนสีลม
(ก่อนหน้านั้นอยู่ท่าน้ำสี่พระยา เป็นตึกเก่ายุคอาณานิคม สวยมากๆ
เวลาจะข้ามเรือตรงท่านั้นต้องขอหยุดแหงนชมความงามเสมอ  ถูกรื้อถอนในเวลาต่อมา
ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งของโรงแรมโรยัล ออร์คิดและศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้)
แบงก์อินโดสุเอซ แถวถนนวิทยุ  แบงก์ออฟอเมริกา แถววิทยุ  เมอร์แคนไทล์แบงก์แถวสีลม
แบงก์ชาร์เตอร์  แบงก์ของญี่ปุ่นอีก 2-3 แบงก์  
ส่วนซิตี้แบงก์น่ะหรือ ยังเล็กมากๆ เพิ่งหัดเดินเตาะแตะในไทย
ไม่ต้องพูดถึงแบงก์จากประเทศเพื่อนบ้านข้างใต้คือ สิงคโปร์  ไม่เห็นวี่แววเลย
แบงก์ต่างชาติเหล่านี้เติบโตในอัตราส่วนที่จำกัด
ด้วยกฏระเบียบคุมเข้มของธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการขยายสาขาและบริการ

ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ประมาณปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา
บริษัทต่างชาติได้กลับเข้ามาลงทุนบ้านเรามากขึ้น
หลังจากแน่ใจแล้วว่า เราจะไม่ได้รับผลของโดมิโนเอฟเฟ็ค
ซึ่งก่อนหน้านั้น ตื่น  กลัวกันมาก เพราะเพื่อนบ้านซีกซ้ายของเราทั้ง 3 ประเทศ
เวียดนาม กัมพูชา และลาวก็ไปกันหมดแล้ว
(กัมพูชาไปก่อน  แล้วก้อเวียดนามแตก ลาวเป็นประเทศสุดท้าย)
จะหยุดก็ตรงสยามเมืองยิ้มของเรานี่แหละ
มีการพนักขันต่อว่าจะไปเมื่อไหร่ (แต่ไปแน่ๆ)
เผอิญเกิดความขัดแย้งระหว่าง  2 จ้าวลัทธิคอมมิวนิสต์เสียก่อน
ข้างในเองก็ฟัดกันนัวเนีย  ขบวนการแพร่ขยายเลยชะงักงัน  
เราก็เลยรอดมาได้ (มาฟัดกันเองต่อ..อุ๊ย ไม่ใช่ มาพัฒนาชาติกันต่อ)

เมื่อสัญญาณกลับเข้ามาลงทุนในเมืองไทยชัดเจนขึ้น
บริษัท ห้าง ร้านฝรั่งเริ่มกิจการใหม่ขะมักเขม้น
ที่ตั้งอยู่ก่อนแล้วก็ขยายกิจการตามลำดับ  
บรรดานายใหญ่บิ๊กบอสฝรั่ง บินกลับไปมาเป็นว่าเล่น
ส่วนนายเล็กๆรองลงมาก็สำแดงบทบาทอยากจะสร้างผลงานในเมืองไทย
ไว้เป็น Success Story  สำหรับประดับเกียรติประวัติตัวเอง
เผื่อได้รับการโปรโมทเป็นใหญ่เป็นโตที่อื่นบ้าง

อา..โอกาสนี้เองทำไมเหล่าธนาคาร ผู้บริการทางการเงินจะไม่ขยายกิจการรองรับบ้างล่ะ

คิดได้ดังนั้นแล้ว บริการทางการเงินตัวใหม่เอี่ยมอ่อง
ที่จัดเป็นสำรับไว้รับแขกต่างชาติก็บรรเจิดขึ้น
นั่นก็คือ  บริการทางการเงินสำหรับชาวต่างชาติ
มีภาษาเรียกโก้ๆว่า  Arkantuka Banking
เดาชื่อภาษาไทยกันได้มั้ยเอ่ย.......





เฉลย   อาคันตุกะ แบงก์กิ้ง  - Banking for Our Guest
และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้กูรูมีโอกาสแวะโฉบเฉี่ยวทำงานกับบรรดา Banker รวงข้าว ณ ขณะนั้น
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เมื่อกล่าวถึงแบงก์รวงข้าว ในสายตาคนรุ่นใหม่
เพื่อนๆคิดถึงอะไรบ้าง
CEO ปากกล้าคนปัจจุบันที่นานๆพูดที
มีแต่ประโยคคมๆเชือดบาดใจคนบางคน
จนตอนหลังต้องสงบปากสงบคำ พูดปีละหน (แต่ก็ไม่วายยังกริบๆ...)

ช้างคู่บุญ พลายปัญญา-บารมีที่ยืนชูงวงอยู่หน้าสาขาสำนักงานใหญ่
สร้างอำนาจ ความเกรงขามตามหลักฮวงจุ้ยที่เจ้าของยึดมั่น
อันลือลั่น ที่ทำให้ผู้คนกังขาว่าธนาคารจะเปลี่ยนบริการแล้วหรือ
จน CEO คนเดิมต้องออกมาแก้ข่าวและเร่งโปรโมทแคมเปญระดมเงินบริจาค
ช่วยช้าง ช่วยหนูด้วย ลบคำครหาอื้ออึงนั้นเสีย

ที่แน่นอนที่สุด แม้ชื่อจะเกี่ยวข้องกับอาชีพเกษตรกรรมคนไทย
แต่ก็ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นแบงก์ของชาวนาเลยแม้แต่น้อย
ข้อนี้ ทำให้ฝรั่งต่างชาติงงๆว่าชื่อท่านได้แต่ใด
ทำให้ผู้บริหารยุคหลังต้องเปลี่ยนชื่อ เรียกสั้นๆไป


แต่สำหรับคนรุ่นเก่าสมัยกูรู (ตอนนั้นยังเด็กๆเยาว์วัยอยู่นะคร้าบ)
รวงข้าว เป็นแบงก์ที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย  ไม่โอ้อวด ไม่โฉ่งฉ่าง
มีข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์และโฆษณาเป็นระยะๆเสมอต้น เสมอปลาย
ไม่ได้ก้าวรุดไฮเทค หรือล้าหลังเป็นราชการ
ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกภาพของเจ้าสัว The Little Big Man ท่านนี้จริงเชียว

แม้จะไม่ใช่ลูกน้องในสังกัด
กูรูก็มีช่วง เวลาที่ต้องเข้าพบปะ เสนองานให้ท่านรับทราบเป็นระยะๆ
บนชั้นทำงานส่วนตัวที่มีภาพจิตรกรรมชนะการประกวดวางเต็มผนังสองข้างทางเดิม
เหมือนเป็นแกลเลอรี่ของสำนักงาน  มัวแต่ชมภาพเพลิน บางครั้งก็ลืมดูข้างหน้า
ว่ามีประติกรรมอ่อนช้อยของบรรดาศิลปินคนไทยชื่อดังตั้งตระหว่านร่วม
เห็นลูกน้องคนสนิทเล่าให้ฟังว่า
วันไหนอารมณ์ดีๆ  เจ้าสัวจะเป็นไกด์กิตติมศักดิ์เล่าประวัติของภาพแต่ละภาพให้ฟังเอง
ภาพทุกภาพถูกซื้อในราคาที่สมน้ำสมเนื้อ
ทั้งนี้เพื่อให้กำลังใจแก่คนทำงานศิลป์
ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้และสรรค์สร้างงานสืบไป

ทุกครั้งที่เจอ The Little Big Man
จะเห็นท่านอยู่ในชุดสูทสีขรึมซึ่งก็ดูไม่ต่างจากนายแบงก์ผู้มีรสนิยมทั่วไป
แต่ที่บอกความปราณีตขึ้นอีกระดับก็คือ
ปลายผ้าลูกไม้สีต่างๆที่พับเป็นสามเหลี่ยมเสียบบนกระเป๋าเสื้อสูทใกล้หน้าอก
(ไม่ทราบเพื่อนคนไหนยังแต่งชุดสูทมีผ้าเสียบเหนืออกอยู่หรือเปล่า เผลอๆเอามาเช็ดปากเสียนี่ อิอิ)
ด้วยบุคลิกที่เงียบขรึม พูดเบา จนทำให้ทั้งชั้นทำงานเงียบมากๆ
อย่าเผลอหายใจดังๆเชียวล่ะ เพราะอาจจะกลบเสียงสั่งงานของท่านได้
ภาษาท่าทางของท่านก็ดูง่ายมากเพียงแค่ผงกหัว
ลูกน้องรายรอบก็รู้ทันทีว่างานชิ้นนี้ผ่านหรือไม่
พร้อมๆกับแอบถอนใจโล่งอก
แต่ถ้านั่งเฉยๆสักพัก แล้วขยับตัวขอโทษจะไปประชุมที่อื่นต่อ
ปล่อยให้มือรองนั่งฟัง
วันนั้นพวกเราก็หน้าเหี่ยวกลับออฟฟิค
ดีไม่ดีโดนเจ้านายเล่นงานอีก
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

นอกเหนือจากรสนิยมสุนทรีแล้ว
ความใส่ใจเรื่องการศึกษา
ก็เป็นอีกความประทับใจหนึ่งที่หลงเหลือให้คนรุ่นหลังจดจำ

สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจด้านนี้ก็คือ
การให้ทุนเรียนต่อปริญญาโทของแบงก์ที่เปิดกว้างให้แก่คนภายนอก
บรรดา Banker ที่ก้าวขึ้นมาจนได้รับความไว้วางใจ
หลายท่านเป็นนักเรียนทุนในความอุปถัมภ์ของแบงก์
เอ่ยชื่อมา พวกเราต้องร้องอ๋อ เพราะกระจัดกระจายไปตามบริษัทการเงินต่างๆ
(เอ...บางรายก็เป็นเจ้าสัวเหมือนกัน สะสมภาพเขียนได้รางวัลเหมือนกัน
ไม่รู้มีทุนให้เรียนต่อด้วยหรือเปล่า เหอะ เหอะ )
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นหนึ่งในคณะผู้ร่วมก่อตั้ง GIBA
(ชื่อขณะนั้น คือ Sasin วันนี้)
เดินทางไปขอความร่วมมือด้านหลักสูตรการศึกษาจากมหาวิทยาลัยท้อปเท็น เมืองมะกัน
มาพัฒนาในเมืองไทยเพื่อยกระดับบุคคลากรด้านการบริหารให้ทัดเทียมกับฝรั่ง
เจรจาตาอ่วยกับอั้งม้อไม่เสียเปรียบเขา
เพราะเล็งเห็นแล้วว่า ฝรั่งจะต้องเข้ามาลงทุนในเมืองไทยอีกมหาศาล
หลังจากสงครามอินโดจีนสงบ
ตอนนั้น จีน ยังเป็นมังกรหลับอยู่  
นานๆก็ผงกหัวงัวเงียขึ้นมาสักครั้ง แล้วก็ล้มตัวนอนต่อ

ย้อนกลับมาถึง อาคันตุกะ แบงค์กิ้ง
หลังจากผ่านขั้นตอนการศึกษาเบื้องต้นแล้ว
ก็ถึงเวลาต้องทำโครงการนำร่องหรือ Pilot Project
โดยเริ่มที่สาขาที่มีออฟฟิค สำนักงานฝรั่งตั้งอยู่เยอะๆ
นั่นก็คือ สาขาสีลม สำนักงานใหญ่เก่า
และสาขาพหลโยธิน สำนักงานใหญ่ปัจจุบัน (ขณะนั้น)

มีอะไรในอาคันตุกะแบงก์กิ้งสำหรับชาวต่างชาติบ้าง
เริ่มตั้งแต่เอกสารทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ  สมุดแบงก์พร้อมดีไซน์พิเศษ
ช่องบริการต่างหาก มีพนักงานดูแลโดยเฉพาะ  
พร้อมอภิสิทธิ์อื่นๆในการ Settle Down ด้านการเงิน
ของบรรดา อะแป๊ะเอ๊ย  Expat ที่ก้าวย่างเข้ามาอยู่ในแดนสยามครั้งแรก
ดูๆไปก็ไม่ต่างจากบริการ Privilege ทั้งหลาย
ที่หลายๆแบงก์กำลังพะเน้าพะนอลูกค้ารายใหญ่ๆตอนนี้

อาคันตุกะ แบงค์กิ้งเริ่มไปได้   6  เดือน โปรเจ็คท์นำร่องก็ต้องเลิก
เพราะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
จำนวนผู้มาใช้น้อยมาก จากการสำรวจ Feed Back
อะแป๊ะเหล่านี้ยังพอใจและสบายใจที่จะใช้บริการแบงก์ต่างชาติ หรือ Affiliated
เนื่องจากความคุ้นเคย และไม่สนุกกับกฏระเบียบต่างๆที่ออกคุมเข้มโดยแบงก์ชาติ
(เช่น ธุรกรรมการโอนเงินไปมาที่ถูกคุมเพดาน )
และหากจำเป็นจะต้องใช้แบงก์ไทย
Big Boss เหล่านี้ก็มีเลขานุการคนไทยจัดการให้เสร็จสรรพ
ไม่เห็นจะต้องเดินเข้าแบงก์งงๆให้วุ่นวาย

แต่ตัวแปรสำคัญที่เข้ามาทำให้ธุรกิจแบงก์เปลี่ยนโฉมหน้า
นั่นก็คือ การเข้ามาของ บัตร ATM ที่เริ่มที่แบงก์ใบโพธิ์ก่อน
เป็นเหตุให้แบงก์ที่เหลือต้องระดมเร่งระบบ IT รองรับยกใหญ่
ทำให้ทิศทางของการแข่งขันของธุรกิจธนาคารไม่ได้จำกัดแค่เคาน์เตอร์อีกต่อไป

แบงก์รวงข้าว  ต้องเริ่มศักราชใหม่ของธนาคารอีเล็คทรอนิคส์
ปรับเปลี่ยนนโยบายเชิงรุก ทุ่มเทกำลังเงินและทรัพยากรบุคคลมหาศาล
เพื่อยกระดับสถานะแบงก์ไม่ให้ล้าหลัง

The Little Big Man นายธนาคารผู้สุนทรีก็ต้อง Go  Hi Tech เช่นกัน
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอประทานโทษ  Replyท่อนที่ 2 พิมพ์ตกไปหนึ่งคำสำคัญ ตามนี้ครับ
เพิ่งสังเกตเห็น
ช้างคู่บุญ พลายปัญญา-บารมีที่ยืนชูงวงอยู่หน้าสาขาสำนักงานใหญ่
สร้างอำนาจ ความเกรงขามตามหลักฮวงจุ้ยที่เจ้าของยึดมั่น
แคมเปญ E-Girl อันลือลั่น ที่ทำให้ผู้คนกังขาว่าธนาคารจะเปลี่ยนบริการแล้วหรือ
จน CEO คนเดิมต้องออกมาแก้ข่าวและเร่งโปรโมทแคมเปญระดมเงินบริจาค
ช่วยช้าง ช่วยหนูด้วย ลบคำครหาอื้ออึงนั้นเสีย
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เข้ามาติดตามอ่านครับพี่

เหมือนยังไม่จบ..หรือจบแล้ว...

ขออีกหน่อยนะครับพี่ กำลังสนุก
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เข้ามาดัน  :cool:
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

คลี่รวงข้าวจัดสำรับรับฝรั่ง

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เข้ามาติดตามอ่านครับพี่

เหมือนยังไม่จบ..หรือจบแล้ว...

ขออีกหน่อยนะครับพี่ กำลังสนุก
เรื่องของ The Little Big Man ท่านนี้ยังมีต่อครับ
ขอเวลาลำดับความทรงจำอีกสักพัก

มาเล่าเรื่อง รางวัลพู่กันทอง กันดีกว่า
เป็นรางวัลที่ทางแบงก์รวงข้าว
สนับสนุนการประกวดงานจิตรกรรมของศิลปินไทย
ได้ค้นคว้าประวัติและความเป็นมาตามนี้
เปิดกรุพันล้าน งานศิลป์ล้ำค่าของกสิกรไทย  
   
 
เป็นเวลานานกว่า 5 ทศวรรษที่ผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย
ได้เก็บสะสมงานศิลปะของบรรดาศิลปินต่าง ๆ ไว้
ด้วยเหตุผลที่เริ่มมาจากความชอบส่วนตัว
จนกลายมาเป็นงานศิลป์อันล้ำค่า
ที่รวมความเป็น"สุดยอด"ของศิลปินแห่งยุคเอาไว้
อย่างงานของ.ม.ล.ปุ่ม มาลากุล ที่อย่าว่าแต่หาซื้อเลย
แค่จะขอยลโฉมยังยากเลย แต่แกลลอรีแห่งนี้มีอยู่ถึง 12 ภาพทีเดียว

อารมณ์สุนทรียะแห่งศิลปะ

กว่าธนาคารกสิกรไทยจะเก็บภาพที่มีมูลค่ามหาศาลนับพันภาพได้นั้น
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในยุคของเกษม ล่ำซำ
ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการของธนาคารเมื่อปี 2491 ถึง 2504
ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มนำงานศิลปะที่เขาชื่นชอบ
และซื้อเก็บสะสมไว้เป็นจำนวนมาก
มาจัดวางไว้ตามมุมต่าง ๆ ของธนาคาร
เพื่อแบ่งปันให้พนักงานและลูกค้าได้ชื่นชมความงามของศิลปะ
รวมถึงแบ่งปันภาพส่วนหนึ่งไปติดตั้งยังสาขาต่างจังหวัดที่ห่างไกล

นั่นถือว่าเป็นยุคแห่งการเริ่มต้น
ของการบ่มเพาะอารมณ์สุนทรียะแห่งงานศิลปะให้แก่พนักงานทุกคน
และสืบทอดกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ที่กลายมาเป็นวัฒนธรรมขององค์กรแห่งนี้  
ที่จะนำงานศิลปะมาตกแต่งตามสาขาต่าง ๆ ทั่วไป

เมื่อเข้าสู่ยุคของบัญชา ล่ำซำเข้ามาบริหารแบงก์รวงข้าว
ปณิธานงานศิลป์ก็มิได้เลือนหายไป
เนื่องเพราะบัญชาก็เป็นนักเสพงานศิลป์เข้าไปถึงจิตวิญญาณเช่นกัน
จนได้ริเริ่มการประกวดงานศิลปกรรมร่วมสมัยขึ้นเมื่อปี 2522

"เหตุผลที่คุณบัญชาจัดการประกวดขึ้นมานั้นนอกจากจะมีความชอบงานศิลปะแล้ว
ยังมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือศิลปินคนไทยอีกด้วย "
ดาราณีย์ ตันชัยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสของธนาคารฯกล่าว

การประกวดศิลปกรรมร่วมสมัยนั้นได้จัดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2522
และมาสิ้นสุดเมื่อปี 2538 เนื่องจากเจอพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
ระหว่างนั้นยังมีการประกวดเนื่องในวาระพิเศษอีกหลายครั้ง
รวมเป็นงานประกวดทั้งหมดประมาณ 30 กว่าครั้ง
ซึ่งถือเป็นองค์กรที่จัดการประกวดงานด้านศิลปะมากที่สุด
และถือว่าปณิธานของบัญชา ล่ำซำได้สัมฤทธิผล
เพราะนอกจากรางวัลที่มอบให้แก่ศิลปินที่ชนะการประกวดเป็นเงินจำนวนสูงแล้ว
ศิลปินจำนวนมากที่ชนะการประกวดจากเวทีนี้
ต่างกลายมาเป็นศิลปินชื่อดังในยุคปัจจุบัน
อาทิ ปรีชา เถาทอง เป็นศิลปินคนแรก
ที่คว้ารางวัลศิลปกรรมยอดเยี่ยมของปีแรกที่จัดการประกวด
ในชื่อภาพ " แสงภายใน"
หรือพิษณุ ศุภนิมิตร , ปริญญา ตันติสุข สมชาย เถาทอง
แต่ละคนก็ส่งผลงานเข้าประกวดและคว้ารางวัลมาหลายครั้งเช่นกัน

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วบัญชา ล่ำซำจะชอบงานศิลปะสไตล์สีน้ำหรือสีน้ำมันที่เป็นภาพวิวทิวทัศน์
โดยให้เหตุผลกับคนใกล้ชิดว่า " ชอบภาพพวกนี้เพราะดูแล้วสบายใจดี "
โดยเฉพาะผลงานของอาจารย์สะอาด ถนอมวงศ์ ที่มีมาถึง 60 ภาพ

เมื่อผ่านมาสู่ยุคของบรรยงค์ ล่ำซำ ขึ้นมาบริหารแบงก์รวงข้าวบ้าง
ที่ชื่นชอบงานสีน้ำแนวคลาสสิกอย่างของอาจารย์ สวัสดิ์ ตันติสุข
อาจารย์คิด โกศลวัฒน์ เป็นต้น

และบรรยงค์ก็ยังให้การสนับสนุนศิลปินอย่างต่อเนื่องมาจากบัญชาผู้พี่ชาย  

จนมาถึงรุ่นลูกชายของบัญชาคือบัณฑูร
ซึ่งเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเช่นกัน
เพราะนอกจากจะมีสายเลือดของความเป็นศิลปิน
ที่เล่นดนตรีได้เก่งกาจทั้งไทยเดิมและสากลแล้ว
บัณฑูรยังชอบงานศิลปะเฉกเช่นคุณพ่อด้วย
โดยเฉพาะในช่วงที่ย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ที่ราษฎร์บูรณะนั้น
บัณฑูรดำริให้มีการจ้างศิลปินผลิตงานประติมากรรมเป็นจำนวนมาก
เพื่อนำไปติดตั้งในอาคารใหม่

" เนื่องจากรูปแบบของอาคารสำนักงานใหญ่ที่ราษฎร์บูรณะนั้นดูทันสมัย
ดังนั้นคุณบัณฑูรจึงต้องการให้มีงานประติมากรรมที่เป็นแนวแอ็บสแตรก
ไปติดตั้งที่นั่นเป็นจำนวนมาก " ดาราณีย์ กล่าว

เปิดกรุงานศิลป์

ในวงการศิลปินและนักสะสมงานศิลป์นั้นต่างยกย่องว่าธนาคารกสิกรไทย
เก็บงานศิลปะที่ล้ำค่ามหาศาลไว้เป็นจำนวนมาก
เพราะในจำนวนกว่า 2 พันชิ้นงานที่ใช้เวลาเก็บสะสมมากว่าครึ่งศตวรรษนั้น
 มีผลงานของศิลปินชื่อดังหลากหลายมาก
และเป็นที่รวม"ความเป็นที่สุด" ของงานศิลป์แผ่นดินเอาไว้จำนวนมาก

ดาราณีย์ กล่าวถึงงานศิลปะจำนวนกว่า 2,000 ชิ้นของธนาคารว่า
เริ่มต้นมาจากความชอบส่วนตัวของผู้บริหารธนาคารในยุคแรก ๆ
ที่สะสมมาก่อน ซึ่งส่วนมากจะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่ให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจ
รวมทั้งภาพเขียนที่เป็นงานจำลอง( Reproduction) จากต่างประเทศ
ผลงานเหล่านี้ได้ค่อย ๆ สะสมมากขึ้นและสไตล์ของงานศิลป์ก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ซึ่งมาเป็นความหลากหลายของผลงาน โดยสามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกัน
คือในยุคเริ่มต้นส่วนมากจะเป็นการจัดซื้อโดยผู้บริหาร
ซึ่งจะมีผลงานของศิลปินชื่อดังในปัจจุบันเป็นจำวนมาก

อย่างผลงานของศิลปินชื่อดังที่เสียชีวิตไปแล้วอาทิ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล
ที่ในวงการนักสะสมยอมรับว่าอย่าว่าแต่หาซื้อเลย แค่หาดูยังแทบไม่มี
เพราะตอนนี้ใครที่มีผลงานของม.ล.ปุ่มจะเก็บไว้สมบัติที่หวงแหนที่สุด
และในวงการไม่มีการซื้อขายผลงานของศิลปินท่านนี้มานานแล้ว
แต่ทางธนาคารมีภาพของศิลปินท่านนี้ถึง 12 ภาพด้วยกัน
และชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดคือภาพสีน้ำมัน " บ้านไทยชายคลอง " ซึ่งวาดเมื่อปี 2504

หรือภาพชุดวรรณคดีของอ.จักรพันธุ์ โปษยะกฤต จำนวน 8 ภาพ
ซึ่งเป็นศิลปกรรมที่สะสมจากการว่าจ้างในช่วงปี 2522
โดยเป็นภาพขนาดใหญ่ประมาณ 1.2 เมตร
ซึ่งคนในวงการบอกว่าปัจจุบันอ.จักรพันธุ์จะวาดรูปเล็กลงแล้ว
เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ดังนั้นภาพใหญ่ขนาดนี้
ถือว่าหาได้ยากในยุคนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับบรมครูในยุคปัจจุบันอีกจำนวนมาก

อาทิ เฉลิม นาคีรักษ์ มีเซียม ยิบอินซอย
สวัสดิ์ ตันติสุข ทวี นันทขว้าง อวบ สาณะเสน
กำจร สถิรกุล  นพรัตน์ ลิวิสิทธิ์  คิด โกศลวัฒน์
ปรีชา เถาทอง   สุชาติ วงษ์ทอง  ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง เป็นต้น

และเมื่อครั้งที่ธนาคารฯได้เริ่มจัดการประกวดศิลปกรรมร่วมสมัยมาเป็นเวลา 16 ปีนั้น
นอกจากจะได้สะสมผลงานที่ได้รับรางวัลทุกปีไว้เป็นจำนวนมากแล้ว
ยังมีอีกหลายภาพที่ส่งเข้าประกวดแม้จะพลาดรางวัลแต่ก็กลับถูกตาต้องใจของผู้บริหาร
จนอนุมัติให้จัดซื้อไว้เป็นสมบัติของธนาคารอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงงานของศิลปินที่ยังมีผลงานอยู่ในวงการศิลป์ในปัจจุบัน เช่น
สุรสิทธิ์ เสาว์คง พิทักษ์พล วิสุทธิ์ ประยอม ยอดดี
อรรถสิทธิ์ อนิวรรตน์ชน วิวิชชา ยอดนิล

และอีกสุดยอดหนึ่งของการเก็บสะสมผลงาน
คือการจัดซื้อในนิทรรศการจิตรกรรมเนื่องในวาระพิเศษ
เป็นรางวัล "พู่กันทอง " ซึ่งมีจำนวน 32 ชิ้น
นอกนั้นก็เป็นการจัดซื้อตามโอกาสต่าง ๆ
รวมถึงการซื้อผลงานของศิลปินต่างประเทศ
ในโอกาสที่ผู้บริหารเดินทางไปต่างประเทศและเยี่ยมชมแกลลอรีต่าง ๆ
เมื่อถูกใจผลงานชิ้นใดก็จะซื้อกลับมาเก็บ ซึ่งมีอยู่จำนวน 20 ชิ้น

งานชิ้นที่โดดเด่นและนำมาจัดแสดงไว้ให้ดูกันก็มีจำนวนมาก
อย่างเช่นภาพที่บัญชา ล่ำซำชอบมากที่สุด ชื่อภาพ "เกาะในฝัน"
ซึ่งนำมาติดอยู่ในห้องทำงาน
เป็นภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานให้

ผลงานอลังการในชื่อ "กำแพงแห่งศรัทธา 72 พรรษามหาราชา"
ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 3 ของสำนักงานใหญ่นั้น
เป็นผลงานชิ้นเอกของอาจารย์ศิลปากร 50 ท่าน
ที่มารวมกันปั้นผลงานกันคนละชิ้นสองชิ้น
เป็นจำนวน 72 ชิ้นต่อหน้าเตาเผา
ที่พิเศษคือผลงานแต่ละชิ้นนั้นไม่มีบล็อก
นั่นหมายถึงว่าแต่ละชิ้นจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น
และนำมาประกอบกันเป็นกำแพงเพื่อแสดงถึงบุญญาธิการของพระเจ้าอยู่หัวฯ

และในจำนวนสองพันกว่าชิ้นนั้นมีจิตรกรรมที่ถือว่าใหญ่ที่สุดคือ
งานของ อ.ธนู มาลากุล ณ อยุธยา ในชื่อ " กรุงเทพมหานครา "
ซึ่งมีขนาดถึง 250 x 810 ซม.
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่บริเวณโถงทางเดินชั้น 8 ของสำนักงานพหลโยธิน
ซึ่งเล่ากันว่าภาพใหญ่ขนาดนี้ ไม่สามารถลำเลียงมาทางลิฟต์ของอาคารได้
วิธีเดียวที่จะทำได้คือการใช้ชักลอกขึ้นมาทางด้านข้างของอาคารไปยังชั้นที่ 8
และต้องเลาะกระจกที่เป็นผนังด้านของตึกออกเพื่อนำภาพเข้ามาในอาคาร

ฟังแค่นี้ก็เหนื่อยแทนแล้ว

แต่ก็เป็นเรื่องที่แปลกมากที่ในจำนวนศิลปินชื่อดังแห่งยุคนั้น
กลับมี 3 ท่านที่แกลลอรีของธนาคารรวงข้าว
ไม่มีผลงานของท่านแม้สักชิ้นคือ

ถวัลย์ ดัชนี เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และอ.เขียน ยิ้มศิริ


อ่านรายละเอียดได้ที่ Link นี้

http://www.siam-handicrafts.com/webboar ... sp?QID=743
โพสต์โพสต์