สื่อสารและเทคโนโลยี
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 91
ยอดขายมือถือปี50วูบ5พันล้าน เหตุคนระวังจับจ่าย
ประชาชนระมัดระวังการซื้อมือถือมากขึ้น ส่งผลยอดขายมือถือปี 50 ลดลงถึง 5,000 ล้านบาท โดยมียอดขาย 35,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 49 ที่มียอดขายถึง 40,000 ล้านบาท ปี 50 จำนวนมือถือขายได้มากกว่าปี 49 แต่ร้อยละ 60 เป็นเครื่องราคาถูก
นายกุลดิษฐ สมุทรโคจร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไวร์เลส ดีไวซ์ ซัพพลาย จำกัด (WDS) ผู้นำเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ภายใต้สัญลักษณ์เอ็มเอฟเอ กล่าวว่า ตลาดโทรศัพท์มือถือประเทศไทยปี 2550 ยอดขายเติบโตต่อเนื่องจากปี 2549 โดยปี 2550 มียอดขายมือถือรวมประมาณ 8.5 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 แต่ยอดขายเมื่อคิดเป็นเงินแล้ว มียอดขายที่ลดลงจากปี 2549 โดยมียอดขายรวมปีนี้มียอดเท่ากับ 35,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายปี 2549 มียอดขายถึง 40,000 ล้านบาท ยอดขายเมื่อคิดเป็นเงินลดลง 5,000 ล้านบาท หรือลดลงถึงร้อยละ 17 แม้จำนวนมือถือจะขายได้มากขึ้นก็จริง แต่โดยเฉลี่ยแล้วยอดขายมือถือส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 60 เป็นเครื่องราคาถูกราคาต่ำกว่า 4,000 บาทต่อเครื่อง ซึ่งเป็นไปได้ว่าประชาชนซื้อเครื่องมือถือราคาต่ำกลง จากการแข่งขันของผู้จำนหน่ายมือถือที่รุนแรงหรือไม่ก็เพราะกำลังซื้อลดลง ในขณะที่ตลาดมือถือราคาระดับกลางถึงราคาสูงคือ ราคาสูงกว่า 4,000 บาทขึ้นไป ยังคงเติบโตในอัตราเดิม
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
ประชาชนระมัดระวังการซื้อมือถือมากขึ้น ส่งผลยอดขายมือถือปี 50 ลดลงถึง 5,000 ล้านบาท โดยมียอดขาย 35,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 49 ที่มียอดขายถึง 40,000 ล้านบาท ปี 50 จำนวนมือถือขายได้มากกว่าปี 49 แต่ร้อยละ 60 เป็นเครื่องราคาถูก
นายกุลดิษฐ สมุทรโคจร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไวร์เลส ดีไวซ์ ซัพพลาย จำกัด (WDS) ผู้นำเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ภายใต้สัญลักษณ์เอ็มเอฟเอ กล่าวว่า ตลาดโทรศัพท์มือถือประเทศไทยปี 2550 ยอดขายเติบโตต่อเนื่องจากปี 2549 โดยปี 2550 มียอดขายมือถือรวมประมาณ 8.5 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 แต่ยอดขายเมื่อคิดเป็นเงินแล้ว มียอดขายที่ลดลงจากปี 2549 โดยมียอดขายรวมปีนี้มียอดเท่ากับ 35,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายปี 2549 มียอดขายถึง 40,000 ล้านบาท ยอดขายเมื่อคิดเป็นเงินลดลง 5,000 ล้านบาท หรือลดลงถึงร้อยละ 17 แม้จำนวนมือถือจะขายได้มากขึ้นก็จริง แต่โดยเฉลี่ยแล้วยอดขายมือถือส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 60 เป็นเครื่องราคาถูกราคาต่ำกว่า 4,000 บาทต่อเครื่อง ซึ่งเป็นไปได้ว่าประชาชนซื้อเครื่องมือถือราคาต่ำกลง จากการแข่งขันของผู้จำนหน่ายมือถือที่รุนแรงหรือไม่ก็เพราะกำลังซื้อลดลง ในขณะที่ตลาดมือถือราคาระดับกลางถึงราคาสูงคือ ราคาสูงกว่า 4,000 บาทขึ้นไป ยังคงเติบโตในอัตราเดิม
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/12/07
โพสต์ที่ 92
บอร์ดกทช.กั๊กเบอร์มือถือ
โพสต์ทูเดย์ กทช. ทำมือถือสะดุด เล็งไม่อนุมัติ 18 ล้านเลขหมาย ตามที่ เอไอเอส-ดีแทค-ทรูมูฟ ขอ ชี้เป็นจำนวนที่มากเกินไป
พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ จะไม่อนุมัติเลขหมายให้กับผู้ให้บริการทั้ง 3 รายคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ ที่ขอมารายละ 6 ล้านเลขหมาย รวม 18 ล้านเลขหมาย เนื่องจากเป็นจำนวนมากเกินไป แต่จะอนุมัติบางส่วน
ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่า กทช.จะ อนุมัติเพียงครึ่งเดียวหรือรายละ 2-3 ล้านเลขหมาย เนื่องจากเห็นว่าที่ขอมานั้นมากเกินไปหากเทียบกับลูกค้าใหม่สุทธิ (Net Adds) ปีหน้าที่หลายฝ่ายต่างประเมินว่า ยอดลูกค้าใหม่สุทธิอยู่ที่ 10 ล้านรายเท่านั้น
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการ ผู้อำนวยการเอไอเอส กล่าวว่า จำนวนเลขหมายที่ยื่นขอไปนั้นเหมาะสมดีแล้ว เพราะจะนำไปขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดให้เพิ่มขึ้น
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทค กล่าวว่า การยื่นขอ 6 ล้านเลขหมาย เพื่อนำมาทำตลาด และเอกชนต้องเป็นผู้แบกต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมายละ 2 บาทต่อเดือน เองอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ กทช.จะไม่อนุมัติ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208725
โพสต์ทูเดย์ กทช. ทำมือถือสะดุด เล็งไม่อนุมัติ 18 ล้านเลขหมาย ตามที่ เอไอเอส-ดีแทค-ทรูมูฟ ขอ ชี้เป็นจำนวนที่มากเกินไป
พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ จะไม่อนุมัติเลขหมายให้กับผู้ให้บริการทั้ง 3 รายคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ ที่ขอมารายละ 6 ล้านเลขหมาย รวม 18 ล้านเลขหมาย เนื่องจากเป็นจำนวนมากเกินไป แต่จะอนุมัติบางส่วน
ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่า กทช.จะ อนุมัติเพียงครึ่งเดียวหรือรายละ 2-3 ล้านเลขหมาย เนื่องจากเห็นว่าที่ขอมานั้นมากเกินไปหากเทียบกับลูกค้าใหม่สุทธิ (Net Adds) ปีหน้าที่หลายฝ่ายต่างประเมินว่า ยอดลูกค้าใหม่สุทธิอยู่ที่ 10 ล้านรายเท่านั้น
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการ ผู้อำนวยการเอไอเอส กล่าวว่า จำนวนเลขหมายที่ยื่นขอไปนั้นเหมาะสมดีแล้ว เพราะจะนำไปขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดให้เพิ่มขึ้น
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทค กล่าวว่า การยื่นขอ 6 ล้านเลขหมาย เพื่อนำมาทำตลาด และเอกชนต้องเป็นผู้แบกต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมายละ 2 บาทต่อเดือน เองอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ กทช.จะไม่อนุมัติ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208725
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 93
สมาคม3จีกระทุ้งกทช.
โพสต์ทูเดย์ สมาคมจีเอสเอ็มโลก ผนึก 2 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ไทย ออกโรงกระทุ้งรัฐและ กทช.ปล่อย ไลเซนส์มือถือ 3จี ปีหน้า
นายริคาร์โด ทาวาเรส รองประธานบริหารอาวุโส ฝ่ายนโยบายสาธารณะ สมาคมจีเอสเอ็ม เปิดเผยว่า ประมาณกลางปีหน้า จะเห็นความชัดเจนของการให้บริการมือถือ 3จี ในเมืองไทยมากขึ้น โดยคาด ว่าทางคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จะมีการพิจารณาจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขการออกใบอนุญาตโทรศัพท์มือถือยุคที่ 3 หรือ 3จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ในช่วงไตรมาสแรก หลังจากนั้นกลุ่มผู้ให้บริการมือถือจะเริ่มติดตั้งเครือข่ายและสามารถเปิดให้บริการมือถือ 3จี ภายในไตรมาส 4 ปีหน้า
ปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังไม่เปิดให้บริการมือถือ 3จี คือ ไทย พม่า และลาว ถือเป็นการ สูญเสียโอกาสของประเทศ นาย ทาวาเรส กล่าว
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (โมบาย บรอดแบนด์) จะช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างงาน ลดความเหลื่อมล้ำในการสื่อสารได้มากขึ้น
นอกจากนี้ หากไทยมีการลงทุนนำเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง เช่น เอชเอสดีเอ มาใช้เหมือนทั่วโลก ก็จะเข้าช่วยผลักดันการใช้งานไอทีและเศรษฐกิจในเมืองไทย นายทาวาเรส กล่าว
ด้านนายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับกลุ่มผู้ให้บริการมือถือทุกค่าย ยื่นเสนอให้รัฐบาลและ กทช.ออกใบอนุญาตมือถือ 3จี ในปีหน้า ซึ่งเอไอเอสเตรียมพร้อมที่จะลงทุน อยู่แล้ว
นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค กล่าวว่า บริการมือถือ 3จี เมืองไทยล่าช้ามานาน ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาส ต้องการให้รัฐบาลเร่งออกใบอนุญาต 3จี ก่อนปี 2553 แต่รัฐต้องไม่กำหนดเงื่อนไขประมูลใบอนุญาต 3จี เพราะอาจจะทำให้ราคาสูง และภาระจะตกไปอยู่ที่ผู้บริโภค ทำให้มีผู้ให้บริการมือถือมากเกินไป จึงต้องการให้ภาครัฐออกใบอนุญาตให้กับ 3 ค่ายมือถือเดิมเท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209134
โพสต์ทูเดย์ สมาคมจีเอสเอ็มโลก ผนึก 2 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ไทย ออกโรงกระทุ้งรัฐและ กทช.ปล่อย ไลเซนส์มือถือ 3จี ปีหน้า
นายริคาร์โด ทาวาเรส รองประธานบริหารอาวุโส ฝ่ายนโยบายสาธารณะ สมาคมจีเอสเอ็ม เปิดเผยว่า ประมาณกลางปีหน้า จะเห็นความชัดเจนของการให้บริการมือถือ 3จี ในเมืองไทยมากขึ้น โดยคาด ว่าทางคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จะมีการพิจารณาจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขการออกใบอนุญาตโทรศัพท์มือถือยุคที่ 3 หรือ 3จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ในช่วงไตรมาสแรก หลังจากนั้นกลุ่มผู้ให้บริการมือถือจะเริ่มติดตั้งเครือข่ายและสามารถเปิดให้บริการมือถือ 3จี ภายในไตรมาส 4 ปีหน้า
ปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังไม่เปิดให้บริการมือถือ 3จี คือ ไทย พม่า และลาว ถือเป็นการ สูญเสียโอกาสของประเทศ นาย ทาวาเรส กล่าว
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (โมบาย บรอดแบนด์) จะช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างงาน ลดความเหลื่อมล้ำในการสื่อสารได้มากขึ้น
นอกจากนี้ หากไทยมีการลงทุนนำเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง เช่น เอชเอสดีเอ มาใช้เหมือนทั่วโลก ก็จะเข้าช่วยผลักดันการใช้งานไอทีและเศรษฐกิจในเมืองไทย นายทาวาเรส กล่าว
ด้านนายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับกลุ่มผู้ให้บริการมือถือทุกค่าย ยื่นเสนอให้รัฐบาลและ กทช.ออกใบอนุญาตมือถือ 3จี ในปีหน้า ซึ่งเอไอเอสเตรียมพร้อมที่จะลงทุน อยู่แล้ว
นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค กล่าวว่า บริการมือถือ 3จี เมืองไทยล่าช้ามานาน ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาส ต้องการให้รัฐบาลเร่งออกใบอนุญาต 3จี ก่อนปี 2553 แต่รัฐต้องไม่กำหนดเงื่อนไขประมูลใบอนุญาต 3จี เพราะอาจจะทำให้ราคาสูง และภาระจะตกไปอยู่ที่ผู้บริโภค ทำให้มีผู้ให้บริการมือถือมากเกินไป จึงต้องการให้ภาครัฐออกใบอนุญาตให้กับ 3 ค่ายมือถือเดิมเท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209134
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 94
แทคได้ทีสอนทรูมูฟ-ฮัทช์ ปีหน้าหายใจเฮือกสุดท้าย
โพสต์ทูเดย์ แทค แนะ ทรูมูฟ-ฮัทช์ เร่งปรับตัวฝ่าวิกฤตฮัลโหลมือถือถึงทางตัน หลังตัวเลขผู้ใช้พุ่ง แต่รายได้ไม่โต
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือแทค กล่าวว่า ในปีหน้าทั้งบริษัท ทรูมูฟ และบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย ต้องเร่งตัวเอง ให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขัน ในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือได้ เพราะในปีหน้าถือว่าเป็นปีสุดท้ายที่จะสามารถหาลูกค้ารายใหม่ๆ ได้
ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา ทั้งสองรายเล็กต้องประสบปัญหาเดียวกันคือ จำนวนผู้ใช้บริการโตขึ้น แต่รายได้ไม่เติบโต เนื่องจากผู้ให้บริการทั้งสองรายต่างใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นจุดขายในการทำตลาด และไม่ส่งผลดีในแง่ของการดำเนินธุรกิจ และหากปีหน้าทั้ง ทรูมูฟ และฮัทช์ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ ก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น
นายธนา กล่าวว่า ในปีหน้าจะเห็นการทำตลาด หรือโปรโมชันสำหรับลูกค้าใหม่น้อยลง เพราะการแข่งขันจะเน้นไปที่การรักษาฐานลูกค้าเก่า ทั้งในรูปแบบการนำเสนอสิทธิพิเศษต่างๆ หรือโปรโมชันในรูปแบบเบอร์พิเศษ คนพิเศษ เช่น เพื่อน โทร.หาเพื่อน หรือคนในครอบครัว (Friend and Family) โทร.หากันฟรี โดยปีหน้าจะเป็นปีสุดท้ายที่ตลาดผู้ใช้รายใหม่จะโต หรือมีผู้ใช้มือถือเกือบ 100% ของประชากร และจะเริ่มอิ่มตัว การรักษาลูกค้าเก่าจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า การนำเสนอสิทธิพิเศษ (Privilege) ให้กับลูกค้าเก่าจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นปีหน้า เพื่อให้ลูกค้าอยู่ในระบบได้นานที่สุด ซึ่งง่ายกว่าการหาลูกค้าใหม่ในปีหน้าที่สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำตลาดลูกค้าใหม่ทำได้ยากขึ้นมาก
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะ เห็นสงครามราคากลับมาอาละวาดอีกรอบ หากมีความชัดเจนเรื่อง ค่าเชื่อมต่อเลขหมาย หรือเอซี (แอกเซสชาร์จ)
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209137
โพสต์ทูเดย์ แทค แนะ ทรูมูฟ-ฮัทช์ เร่งปรับตัวฝ่าวิกฤตฮัลโหลมือถือถึงทางตัน หลังตัวเลขผู้ใช้พุ่ง แต่รายได้ไม่โต
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือแทค กล่าวว่า ในปีหน้าทั้งบริษัท ทรูมูฟ และบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย ต้องเร่งตัวเอง ให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขัน ในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือได้ เพราะในปีหน้าถือว่าเป็นปีสุดท้ายที่จะสามารถหาลูกค้ารายใหม่ๆ ได้
ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา ทั้งสองรายเล็กต้องประสบปัญหาเดียวกันคือ จำนวนผู้ใช้บริการโตขึ้น แต่รายได้ไม่เติบโต เนื่องจากผู้ให้บริการทั้งสองรายต่างใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นจุดขายในการทำตลาด และไม่ส่งผลดีในแง่ของการดำเนินธุรกิจ และหากปีหน้าทั้ง ทรูมูฟ และฮัทช์ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ ก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น
นายธนา กล่าวว่า ในปีหน้าจะเห็นการทำตลาด หรือโปรโมชันสำหรับลูกค้าใหม่น้อยลง เพราะการแข่งขันจะเน้นไปที่การรักษาฐานลูกค้าเก่า ทั้งในรูปแบบการนำเสนอสิทธิพิเศษต่างๆ หรือโปรโมชันในรูปแบบเบอร์พิเศษ คนพิเศษ เช่น เพื่อน โทร.หาเพื่อน หรือคนในครอบครัว (Friend and Family) โทร.หากันฟรี โดยปีหน้าจะเป็นปีสุดท้ายที่ตลาดผู้ใช้รายใหม่จะโต หรือมีผู้ใช้มือถือเกือบ 100% ของประชากร และจะเริ่มอิ่มตัว การรักษาลูกค้าเก่าจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า การนำเสนอสิทธิพิเศษ (Privilege) ให้กับลูกค้าเก่าจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นปีหน้า เพื่อให้ลูกค้าอยู่ในระบบได้นานที่สุด ซึ่งง่ายกว่าการหาลูกค้าใหม่ในปีหน้าที่สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำตลาดลูกค้าใหม่ทำได้ยากขึ้นมาก
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะ เห็นสงครามราคากลับมาอาละวาดอีกรอบ หากมีความชัดเจนเรื่อง ค่าเชื่อมต่อเลขหมาย หรือเอซี (แอกเซสชาร์จ)
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209137
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 95
เครื่องเล่นเกมพกพา-เอ็มพี 3 ติดอันดับไฮเทคยอดฮิตปี'50
12 ธันวาคม พ.ศ. 2550 10:31:00
'บิซิเนส วีค' เผยบทวิเคราะห์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยอดเยี่ยม-ยอดแย่ ประจำปี ยก "เอ็มพี 3-เกมคอนโซล" รักษาตำแหน่งผู้นำตามคาด ขณะที่ "ดีวีดี" และอุปกรณ์ดาวน์โหลดข้อมูลจากพีซี-ทีวี รั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดาวร่วง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
เวบไซต์บิซิเนส วีค รายงานบทวิเคราะห์ อันดับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยอดเยี่ยม และยอดแย่ ประจำปี 2550 โดยหนึ่งในผู้ชนะปีนี้คือ "แอ๊ปเปิ้ล" ที่ยังคงครองความโดดเด่นในธุรกิจเครื่องเล่นสื่อพกพา ที่มีแบรนด์ "ไอพ็อด" เป็นเหมือนคำจำกัดความของสินค้าทุกกลุ่ม
ขณะที่ ผู้แพ้ในตลาดดังกล่าวก็คือ บริษัทต่างๆ ที่กล้าเข้ามาท้าทายแอ๊ปเปิ้ล ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก มาตั้งแต่ปี 2546
บริษัทวิจัยตลาดเอ็นดีพี กรุ๊ป เผยว่า แม้ไมโครซอฟท์ จะโหมกระแสเปิดตัวเครื่องเล่นเพลงรุ่นใหม่ "ซูน" เมื่อปลายปี 2549 แต่กลับทำยอดขายได้เพียง 1.2 ล้านเครื่อง นับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงกลางปี 2550 ส่วน "ไอพ็อด" ของแอ๊ปเปิ้ล มียอดขายสูงกว่าถึง 17 เท่า เฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในตลาดสหรัฐ "แซนดิสก์" ผู้ผลิตชิพความจำ และอุปกรณ์เก็บข้อมูล สามารถยึดตำแหน่งผู้ผลิตอุปกรณ์ไฮเทคอันดับ 2 รองจากแอ๊ปเปิ้ล โดยเป็นผลจากการมีฐานผลิตหน่วยความจำแฟลชของตัวเอง
เอ็นพีดี ประเมินว่า แซนดิสก์ขายเครื่องเล่นเพลงได้ราว 10% ของจำนวนเอ็มพี 3 ที่ขายในตลาดสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แอ๊ปเปิ้ล ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกตลาดที่เข้าไป โดยหนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจดาวน์โหลดรายการทีวี ซึ่งแม้บริษัทจะเปิดตัว "แอ๊ปเปิ้ล ทีวี" ที่สามารถเชื่อมต่อกับบริการไอทูนส์ และรายการทีวีได้ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย อย่างที่เคยเกิดกับเครื่องเล่นไอพ็อด
"ไม่มีอะไรในธุรกิจนี้ที่แน่นอน ซึ่งในความเป็นจริง ภาพของตลาดนี้เริ่มไม่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ " นายคริส ครอตตี้ นักวิเคราะห์กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากไอซัพพลาย กล่าว
ขณะที่ ตลาดวิดีโอเกม ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอีกกลุ่มในปีนี้ โดยเครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น 3 (พีเอส3) ของโซนี่ และเอ็กซ์บ็อกซ์ 360 ของไมโครซอฟท์ ได้เริ่มออกมาเรียกความสนใจตั้งแต่ก่อนเปิดตัวช่วงปลายปี 2549
ข้อมูลจากไอซัพพลายระบุว่า ยอดขายเครื่องเล่นเกมพกพา (เกม คอนโซล) ของทั้งโซนี่ และไมโครซอฟท์ ไล่ตามหลังเครื่องเล่นเกม วี ของนินเทนโด ซึ่งมียอดขายถึงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาแล้วมากกว่า 15 ล้านเครื่อง แซงหน้าเอ็กซ์บ็อกซ์ ที่มียอดขาย 10.4 ล้านเครื่อง และพีเอส 3 ขายได้ 8.8 ล้านเครื่อง ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในอีกด้านหนึ่ง ยอดขายเครื่องเล่นดีวีดีทั่วโลกก็กำลังชะลอตัว เนื่องจากตลาดผู้บริโภคเริ่มเข้าใกล้จุดอิ่มตัว โดยมียอดขาย 126 ล้านเครื่อง เทียบกับ 130 ล้านเครื่อง เมื่อปีก่อนหน้า ไอซัพพลาย คาดการณ์ว่า การโต้แย้งระหว่างมาตรฐานดีวีดียุคหน้า ในท้ายที่สุดแล้วจะยุติด้วยการจนมุมทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจนถึงขณะนี้มียอดขายเครื่อง "บลู-เรย์" ที่นำทีมพัฒนาโดยโซนี่ และ "เอชดี ดีวีดี" ของฝั่งโตชิบา เพียง 2.2 ล้านเครื่อง ขณะเดียวกัน คาดว่าจากจำนวนทีวีความละเอียดสูง (เอชดีทีวี) 32 ล้านเครื่อง มีผู้ใช้เครื่องเล่นดีวีดียุคหน้าไม่ถึง 7%
พร้อมกันนี้ ผลสำรวจจากเอ็นดีพี พบว่า มีผู้รู้จักมาตรฐานเอชดี ดีวีดี เพียง 29% และรู้จักมาตรฐานบลู-เรย์ 20%
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=210549
12 ธันวาคม พ.ศ. 2550 10:31:00
'บิซิเนส วีค' เผยบทวิเคราะห์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยอดเยี่ยม-ยอดแย่ ประจำปี ยก "เอ็มพี 3-เกมคอนโซล" รักษาตำแหน่งผู้นำตามคาด ขณะที่ "ดีวีดี" และอุปกรณ์ดาวน์โหลดข้อมูลจากพีซี-ทีวี รั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดาวร่วง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
เวบไซต์บิซิเนส วีค รายงานบทวิเคราะห์ อันดับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยอดเยี่ยม และยอดแย่ ประจำปี 2550 โดยหนึ่งในผู้ชนะปีนี้คือ "แอ๊ปเปิ้ล" ที่ยังคงครองความโดดเด่นในธุรกิจเครื่องเล่นสื่อพกพา ที่มีแบรนด์ "ไอพ็อด" เป็นเหมือนคำจำกัดความของสินค้าทุกกลุ่ม
ขณะที่ ผู้แพ้ในตลาดดังกล่าวก็คือ บริษัทต่างๆ ที่กล้าเข้ามาท้าทายแอ๊ปเปิ้ล ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก มาตั้งแต่ปี 2546
บริษัทวิจัยตลาดเอ็นดีพี กรุ๊ป เผยว่า แม้ไมโครซอฟท์ จะโหมกระแสเปิดตัวเครื่องเล่นเพลงรุ่นใหม่ "ซูน" เมื่อปลายปี 2549 แต่กลับทำยอดขายได้เพียง 1.2 ล้านเครื่อง นับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงกลางปี 2550 ส่วน "ไอพ็อด" ของแอ๊ปเปิ้ล มียอดขายสูงกว่าถึง 17 เท่า เฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในตลาดสหรัฐ "แซนดิสก์" ผู้ผลิตชิพความจำ และอุปกรณ์เก็บข้อมูล สามารถยึดตำแหน่งผู้ผลิตอุปกรณ์ไฮเทคอันดับ 2 รองจากแอ๊ปเปิ้ล โดยเป็นผลจากการมีฐานผลิตหน่วยความจำแฟลชของตัวเอง
เอ็นพีดี ประเมินว่า แซนดิสก์ขายเครื่องเล่นเพลงได้ราว 10% ของจำนวนเอ็มพี 3 ที่ขายในตลาดสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แอ๊ปเปิ้ล ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกตลาดที่เข้าไป โดยหนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจดาวน์โหลดรายการทีวี ซึ่งแม้บริษัทจะเปิดตัว "แอ๊ปเปิ้ล ทีวี" ที่สามารถเชื่อมต่อกับบริการไอทูนส์ และรายการทีวีได้ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย อย่างที่เคยเกิดกับเครื่องเล่นไอพ็อด
"ไม่มีอะไรในธุรกิจนี้ที่แน่นอน ซึ่งในความเป็นจริง ภาพของตลาดนี้เริ่มไม่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ " นายคริส ครอตตี้ นักวิเคราะห์กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากไอซัพพลาย กล่าว
ขณะที่ ตลาดวิดีโอเกม ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอีกกลุ่มในปีนี้ โดยเครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น 3 (พีเอส3) ของโซนี่ และเอ็กซ์บ็อกซ์ 360 ของไมโครซอฟท์ ได้เริ่มออกมาเรียกความสนใจตั้งแต่ก่อนเปิดตัวช่วงปลายปี 2549
ข้อมูลจากไอซัพพลายระบุว่า ยอดขายเครื่องเล่นเกมพกพา (เกม คอนโซล) ของทั้งโซนี่ และไมโครซอฟท์ ไล่ตามหลังเครื่องเล่นเกม วี ของนินเทนโด ซึ่งมียอดขายถึงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาแล้วมากกว่า 15 ล้านเครื่อง แซงหน้าเอ็กซ์บ็อกซ์ ที่มียอดขาย 10.4 ล้านเครื่อง และพีเอส 3 ขายได้ 8.8 ล้านเครื่อง ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในอีกด้านหนึ่ง ยอดขายเครื่องเล่นดีวีดีทั่วโลกก็กำลังชะลอตัว เนื่องจากตลาดผู้บริโภคเริ่มเข้าใกล้จุดอิ่มตัว โดยมียอดขาย 126 ล้านเครื่อง เทียบกับ 130 ล้านเครื่อง เมื่อปีก่อนหน้า ไอซัพพลาย คาดการณ์ว่า การโต้แย้งระหว่างมาตรฐานดีวีดียุคหน้า ในท้ายที่สุดแล้วจะยุติด้วยการจนมุมทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจนถึงขณะนี้มียอดขายเครื่อง "บลู-เรย์" ที่นำทีมพัฒนาโดยโซนี่ และ "เอชดี ดีวีดี" ของฝั่งโตชิบา เพียง 2.2 ล้านเครื่อง ขณะเดียวกัน คาดว่าจากจำนวนทีวีความละเอียดสูง (เอชดีทีวี) 32 ล้านเครื่อง มีผู้ใช้เครื่องเล่นดีวีดียุคหน้าไม่ถึง 7%
พร้อมกันนี้ ผลสำรวจจากเอ็นดีพี พบว่า มีผู้รู้จักมาตรฐานเอชดี ดีวีดี เพียง 29% และรู้จักมาตรฐานบลู-เรย์ 20%
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=210549
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/12/07
โพสต์ที่ 96
ดีแทคฟันธงปีหน้าเผาจริงอุตฯไอที
โพสต์ทูเดย์ ดีแทค เชื่อวงการโทรคมนาคมไทยปีหน้ามีแต่ทรงกับทรุด เพราะการเมืองไม่มีเสถียรภาพ รอลุ้น รมต.ใหม่ช่วยฉุดกระเตื้อง
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวถึงทิศทางอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยในปี 2551 ว่า ยังไม่มีอะไรที่ ดีขึ้นกว่าปี 2550 และน่าจะซึมยาว เนื่องจากภาครัฐยังไม่มีนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนวงการโทรคมนาคม โดยเฉพาะเรื่องอนุมัติการให้บริการระบบ 3 จี ทั้งที่ในโลกนี้มีเพียงพม่า, เกาหลีเหนือ และประเทศไทยเท่านั้นที่ยังไม่มีบริการนี้
ขณะเดียวกันปัญหาฟ้องร้องเรื่อง ค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (ไอซี) ระหว่าง บริษัท ทีโอที บริษัท กสทโทรคมนาคม ดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ ที่ยังไม่ได้ข้อยุติจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดรวมโทรศัพท์มือถืออยู่ในระดับทรงตัวหรืออาจจะทรุดลงได้
นอกจากนี้ ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) คนใหม่จะเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถด้านโทรคมนาคมหรือไม่
ขณะนี้ภาคธุรกิจโทรคมนาคมต้องการรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เพราะตลาดไม่สามารถหยุดนิ่งได้ในช่วงที่เกิดสุญญากาศไม่มีคนกำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้การแข่งขันไม่มีสีสัน นอกจากนี้ ยังต้องลุ้นเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารทีโอที และกสทฯที่ถือสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่าจะเป็นใครมาดูแล เพราะต้องเข้ามาดูแลปัญหาระหว่างรัฐและเอกชน
ขณะที่ผู้ประกอบการไม่สามารถ คิดสิ่งใหม่ๆ ได้มาก ทุกรายจึงทำได้เพียงพยายามรักษาฐานลูกค้าไว้ให้มากที่สุด
วงการโทรคมนาคมไทยในปีนี้เรียกว่าเผาหลอก ส่วนปีหน้าเรียกว่าเผาจริง เพราะไม่มีปัจจัยอะไรที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ นายธนา กล่าว
สถานการณ์ของดีแทคในปี 2551 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ10% ทั้งรายได้และจำนวนลูกค้าตลาดที่คาดว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูงเป็นตลาดชนบท โดยเฉพาะในภาคเหนือและอีสาน ปีหน้าจึงจะเห็นสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง เพื่อช่วงชิงลูกค้าใน 2 พื้นที่ดังกล่าว
ดีแทคยอมรับว่ายังอ่อนแอในภาคเหนือมากที่สุด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นลำดับที่ 2 คือ มีแชร์อยู่ที่ 20% แต่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) มีส่วนแบ่งตลาดถึง 50% จึงต้องเร่งบุกตลาดโดยตั้งเป้าจะเพิ่มแชร์อีก 10% ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายเฉพาะพื้นที่
ส่วนพื้นที่ กทม.และภาคใต้ดีแทคมีส่วนแบ่ง 40% ภาคอีสานมี 30% นอกจากนี้ ปีหน้าจะลงทุนขยายเครือข่ายอีก 1-1.1 หมื่นล้านบาท โดยเน้นติดตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ 450 สถานีลงทุน 1.5 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209602
โพสต์ทูเดย์ ดีแทค เชื่อวงการโทรคมนาคมไทยปีหน้ามีแต่ทรงกับทรุด เพราะการเมืองไม่มีเสถียรภาพ รอลุ้น รมต.ใหม่ช่วยฉุดกระเตื้อง
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวถึงทิศทางอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยในปี 2551 ว่า ยังไม่มีอะไรที่ ดีขึ้นกว่าปี 2550 และน่าจะซึมยาว เนื่องจากภาครัฐยังไม่มีนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนวงการโทรคมนาคม โดยเฉพาะเรื่องอนุมัติการให้บริการระบบ 3 จี ทั้งที่ในโลกนี้มีเพียงพม่า, เกาหลีเหนือ และประเทศไทยเท่านั้นที่ยังไม่มีบริการนี้
ขณะเดียวกันปัญหาฟ้องร้องเรื่อง ค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (ไอซี) ระหว่าง บริษัท ทีโอที บริษัท กสทโทรคมนาคม ดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ ที่ยังไม่ได้ข้อยุติจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดรวมโทรศัพท์มือถืออยู่ในระดับทรงตัวหรืออาจจะทรุดลงได้
นอกจากนี้ ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) คนใหม่จะเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถด้านโทรคมนาคมหรือไม่
ขณะนี้ภาคธุรกิจโทรคมนาคมต้องการรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เพราะตลาดไม่สามารถหยุดนิ่งได้ในช่วงที่เกิดสุญญากาศไม่มีคนกำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้การแข่งขันไม่มีสีสัน นอกจากนี้ ยังต้องลุ้นเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารทีโอที และกสทฯที่ถือสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่าจะเป็นใครมาดูแล เพราะต้องเข้ามาดูแลปัญหาระหว่างรัฐและเอกชน
ขณะที่ผู้ประกอบการไม่สามารถ คิดสิ่งใหม่ๆ ได้มาก ทุกรายจึงทำได้เพียงพยายามรักษาฐานลูกค้าไว้ให้มากที่สุด
วงการโทรคมนาคมไทยในปีนี้เรียกว่าเผาหลอก ส่วนปีหน้าเรียกว่าเผาจริง เพราะไม่มีปัจจัยอะไรที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ นายธนา กล่าว
สถานการณ์ของดีแทคในปี 2551 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ10% ทั้งรายได้และจำนวนลูกค้าตลาดที่คาดว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูงเป็นตลาดชนบท โดยเฉพาะในภาคเหนือและอีสาน ปีหน้าจึงจะเห็นสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง เพื่อช่วงชิงลูกค้าใน 2 พื้นที่ดังกล่าว
ดีแทคยอมรับว่ายังอ่อนแอในภาคเหนือมากที่สุด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นลำดับที่ 2 คือ มีแชร์อยู่ที่ 20% แต่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) มีส่วนแบ่งตลาดถึง 50% จึงต้องเร่งบุกตลาดโดยตั้งเป้าจะเพิ่มแชร์อีก 10% ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายเฉพาะพื้นที่
ส่วนพื้นที่ กทม.และภาคใต้ดีแทคมีส่วนแบ่ง 40% ภาคอีสานมี 30% นอกจากนี้ ปีหน้าจะลงทุนขยายเครือข่ายอีก 1-1.1 หมื่นล้านบาท โดยเน้นติดตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ 450 สถานีลงทุน 1.5 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209602
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 97
ออราเคิลเผย 5เทคโนโลยี เปลี่ยนอุตฯ
โพสต์ทูเดย์ ออราเคิล เผย 5 เทคโนโลยี ปี 2551 ที่มาแรง ในเอเชีย ประกาศเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่รองรับตลาด
นายณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียน และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) กล่าวถึงแนวโน้มไอทีที่สำคัญสำหรับปี 2551 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งมีแนวโน้มว่า 5 เทคโนโลยี ที่กำลังจะ กลายเป็นหัวข้อสำคัญสำหรับองค์กรต่างๆ ในเอเชีย-แปซิฟิก ในช่วงปีหน้า ได้แก่ 1.ความโปร่งใสในการดำเนินงาน ความเสี่ยง และความสอดคล้องตามกฎระเบียบ (Gover nance, Compliance and Risk Management-GRC) 2.การเพิ่มความโปร่งใสให้กับระบบซัพพลายเชน 3.การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการผนวกรวมแอพพลิเคชัน และข้อมูล 4.Enterprise 2.0 และความยืดหยุ่นของข้อมูล 5.สถาปัตยกรรมแบบครบวงจร และโซลูชันสำหรับกลุ่มอุตสาห กรรมเฉพาะ
สำหรับออราเคิล มีแผนเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม ข้อมูลแบบครบวงจรที่อ้างอิงมาตรฐาน โดยประกอบสร้างบนชุดเทคโนโลยีเดียวกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงปี 2550 พบว่า องค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลางมุ่งเน้นการปรับใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล เพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจ บริหารความเสี่ยง และลดค่าใช้จ่ายด้านไอที ซึ่งส่งผลต่อผลการดำเนินงานโดยตรง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211295
โพสต์ทูเดย์ ออราเคิล เผย 5 เทคโนโลยี ปี 2551 ที่มาแรง ในเอเชีย ประกาศเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่รองรับตลาด
นายณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียน และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) กล่าวถึงแนวโน้มไอทีที่สำคัญสำหรับปี 2551 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งมีแนวโน้มว่า 5 เทคโนโลยี ที่กำลังจะ กลายเป็นหัวข้อสำคัญสำหรับองค์กรต่างๆ ในเอเชีย-แปซิฟิก ในช่วงปีหน้า ได้แก่ 1.ความโปร่งใสในการดำเนินงาน ความเสี่ยง และความสอดคล้องตามกฎระเบียบ (Gover nance, Compliance and Risk Management-GRC) 2.การเพิ่มความโปร่งใสให้กับระบบซัพพลายเชน 3.การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการผนวกรวมแอพพลิเคชัน และข้อมูล 4.Enterprise 2.0 และความยืดหยุ่นของข้อมูล 5.สถาปัตยกรรมแบบครบวงจร และโซลูชันสำหรับกลุ่มอุตสาห กรรมเฉพาะ
สำหรับออราเคิล มีแผนเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม ข้อมูลแบบครบวงจรที่อ้างอิงมาตรฐาน โดยประกอบสร้างบนชุดเทคโนโลยีเดียวกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงปี 2550 พบว่า องค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลางมุ่งเน้นการปรับใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล เพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจ บริหารความเสี่ยง และลดค่าใช้จ่ายด้านไอที ซึ่งส่งผลต่อผลการดำเนินงานโดยตรง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211295
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 98
หุ้นสื่อสารลาทีปีเก่า
อำลาปีเก่า กลุ่มสื่อสารฝ่ามรสุมปัจจัยลบกระหน่ำทั้งการเมือง ความไม่ลงตัวการใช้ IC กดดันราคาหุ้นระส่ำ กลายเป็นหุ้นรองบ่อนไม่น่าสนใจ เซียนหุ้นมองปีหน้ามีฟื้นนำโดย ADVANC ปัญหาคลี่คลายกำไรโต 16%
หากบันทึกค่า IC กำไรพุ่งปรี๊ดเฉียด 30% 29% แนะ
อำลาปีเก่า กลุ่มสื่อสารฝ่ามรสุมปัจจัยลบกระหน่ำทั้งการเมือง ความไม่ลงตัวการใช้ IC กดดันราคาหุ้นระส่ำ กลายเป็นหุ้นรองบ่อนไม่น่าสนใจ เซียนหุ้นมองปีหน้ามีฟื้นนำโดย ADVANC ปัญหาคลี่คลายกำไรโต 16%
หากบันทึกค่า IC กำไรพุ่งปรี๊ดเฉียด 30% 29% แนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 99
ไฟเขียวทีโอทีปรับซีเมนส์5พันล.
โพสต์ทูเดย์ อัยการสูงสุดไฟเขียวบอร์ดทีโอที ปรับ ซีเมนส์-อีริคสัน ติดตั้ง 5.6 แสนเลขหมายล่าช้า ทิ้งทวนรัฐบาลขิงแก่
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ โฆษก คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการตอบกลับจากสำนักงานอัยการสูงสุดว่า ให้ทีโอทีคิดค่าปรับกรณี บริษัท ซีเมนส์ และกิจการร่วมค้าอีริคสัน ติดตั้งโครงการขยายเลขหมายโทรศัพท์พื้นฐาน 5.6 แสนเลขหมาย มูลค่า 5.79 พันล้านบาท ล่าช้า กว่าสัญญา ซึ่งทีโอทีจะเร่งพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้เกิดความชัดเจน มากที่สุด โดยยึดผลประโยชน์ของ ทีโอทีเป็นหลัก และจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2-3 เดือน
ทั้งนี้ จากการพิจารณาสัญญา ที่ทีโอทีทำไว้ร่วมกับซีเมนส์ และกิจการร่วมค้าอีริคสัน เบื้องต้นพบว่า ไม่มีสัญญาข้อใดที่กำหนดให้ทีโอที ต้องจ่ายเพิ่มเติม ระบุแต่เพียงว่า หากมีเนื้องานเพิ่ม ก็ต้องจ่ายตามความเป็นจริงของเนื้องานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ทางซีเมนส์ ยื่นของบประมาณ จากทีโอทีเพิ่มมาอีก 750 ล้านบาท เพื่อให้การติดตั้งแล้วเสร็จ ซึ่งอัยการสูงสุดแจ้งว่า ทีโอทีไม่จำเป็นต้อง จ่ายเพิ่มใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านนายยิ่งศักดิ์ ศรีสุขสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ภาคขายและบริการนครหลวงที่ 1 สายงานขายและบริการนครหลวง ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการคืบหน้าไปแล้วประมาณ 90% ดังนั้น จึงเหลือเพียง 10% เท่านั้น
โครงการดังกล่าวมีกำหนดที่ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 2549 โดยทางบริษัทอ้างว่าจะต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม และแทนที่บริษัท ซีเมนส์ และกิจการร่วมค้าอีริคสัน จะต้องถูกปรับเนื่องจากทำงานล่าช้าวันละ 0.1% หรือ 1 ล้านบาท แต่บริษัทกลับเรียกร้องให้ ทีโอที จ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 700-750 ล้านบาท จากงานที่เพิ่มขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211470
โพสต์ทูเดย์ อัยการสูงสุดไฟเขียวบอร์ดทีโอที ปรับ ซีเมนส์-อีริคสัน ติดตั้ง 5.6 แสนเลขหมายล่าช้า ทิ้งทวนรัฐบาลขิงแก่
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ โฆษก คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการตอบกลับจากสำนักงานอัยการสูงสุดว่า ให้ทีโอทีคิดค่าปรับกรณี บริษัท ซีเมนส์ และกิจการร่วมค้าอีริคสัน ติดตั้งโครงการขยายเลขหมายโทรศัพท์พื้นฐาน 5.6 แสนเลขหมาย มูลค่า 5.79 พันล้านบาท ล่าช้า กว่าสัญญา ซึ่งทีโอทีจะเร่งพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้เกิดความชัดเจน มากที่สุด โดยยึดผลประโยชน์ของ ทีโอทีเป็นหลัก และจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2-3 เดือน
ทั้งนี้ จากการพิจารณาสัญญา ที่ทีโอทีทำไว้ร่วมกับซีเมนส์ และกิจการร่วมค้าอีริคสัน เบื้องต้นพบว่า ไม่มีสัญญาข้อใดที่กำหนดให้ทีโอที ต้องจ่ายเพิ่มเติม ระบุแต่เพียงว่า หากมีเนื้องานเพิ่ม ก็ต้องจ่ายตามความเป็นจริงของเนื้องานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ทางซีเมนส์ ยื่นของบประมาณ จากทีโอทีเพิ่มมาอีก 750 ล้านบาท เพื่อให้การติดตั้งแล้วเสร็จ ซึ่งอัยการสูงสุดแจ้งว่า ทีโอทีไม่จำเป็นต้อง จ่ายเพิ่มใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านนายยิ่งศักดิ์ ศรีสุขสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ภาคขายและบริการนครหลวงที่ 1 สายงานขายและบริการนครหลวง ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการคืบหน้าไปแล้วประมาณ 90% ดังนั้น จึงเหลือเพียง 10% เท่านั้น
โครงการดังกล่าวมีกำหนดที่ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 2549 โดยทางบริษัทอ้างว่าจะต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม และแทนที่บริษัท ซีเมนส์ และกิจการร่วมค้าอีริคสัน จะต้องถูกปรับเนื่องจากทำงานล่าช้าวันละ 0.1% หรือ 1 ล้านบาท แต่บริษัทกลับเรียกร้องให้ ทีโอที จ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 700-750 ล้านบาท จากงานที่เพิ่มขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211470
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/01/08
โพสต์ที่ 100
คนฮิตมือถือ อวยพรปีใหม่ เพิ่ม15-20%
โพสต์ทูเดย์ ยอดการส่งข้อความเอสเอ็มเอสอวยพรปีใหม่ 2551 ผ่านมือถือพุ่งกระฉูด เติบโตขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักการตลาดบริการสื่อสาร ไร้สาย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ยอดการใช้บริการรับ-ส่งข้อความสั้น หรือเอสเอ็มเอส สำหรับการอวยพรในเทศกาลวันปีใหม่ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 2550 ถึงวันที่ 1 ม.ค. 2551 สูงถึง 30 ล้านข้อความ ขณะที่ยอด การส่งข้อความพร้อมภาพ หรือ เอ็มเอ็มเอส มีจำนวน 3.5 แสน ข้อความ พบว่าโดยรวมเติบโตขึ้น 15-20% จากปีที่แล้ว
ขณะที่รายงานข่าวจากบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค ระบุว่า ตัวเลขคาดการณ์การส่งข้อความในช่วง 2 วันที่ผ่านมา มียอดการส่งเอสเอ็มเอส จำนวน 45 ล้านข้อความ ขณะที่ยอดการ ใช้เอ็มเอ็มเอส อยู่ที่ 5 แสนข้อความ น้อยกว่าปีที่แล้วที่สูงถึง 6 แสน ข้อความ
ทั้งนี้ เนื่องจากพฤติกรรมของ ผู้ใช้มือถือปีนี้ไม่หวือหวา และยังมีการทยอยส่งข้อความกันตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. ทำให้ไม่กระจุกตัวเฉพาะ ในวันที่ 1 ม.ค. เท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ให้บริการมือถือเองก็ได้เตรียมความพร้อมรับมือขยายช่องสัญญาณเครือข่ายให้สามารถรองรับการโทร.และส่งข้อความในช่วงเทศกาลปีใหม่ตามสถานที่สำคัญๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ไว้อย่างดี จึงทำให้ ไม่มีปัญหาในการรับส่งข้อความ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212241
โพสต์ทูเดย์ ยอดการส่งข้อความเอสเอ็มเอสอวยพรปีใหม่ 2551 ผ่านมือถือพุ่งกระฉูด เติบโตขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักการตลาดบริการสื่อสาร ไร้สาย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ยอดการใช้บริการรับ-ส่งข้อความสั้น หรือเอสเอ็มเอส สำหรับการอวยพรในเทศกาลวันปีใหม่ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 2550 ถึงวันที่ 1 ม.ค. 2551 สูงถึง 30 ล้านข้อความ ขณะที่ยอด การส่งข้อความพร้อมภาพ หรือ เอ็มเอ็มเอส มีจำนวน 3.5 แสน ข้อความ พบว่าโดยรวมเติบโตขึ้น 15-20% จากปีที่แล้ว
ขณะที่รายงานข่าวจากบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค ระบุว่า ตัวเลขคาดการณ์การส่งข้อความในช่วง 2 วันที่ผ่านมา มียอดการส่งเอสเอ็มเอส จำนวน 45 ล้านข้อความ ขณะที่ยอดการ ใช้เอ็มเอ็มเอส อยู่ที่ 5 แสนข้อความ น้อยกว่าปีที่แล้วที่สูงถึง 6 แสน ข้อความ
ทั้งนี้ เนื่องจากพฤติกรรมของ ผู้ใช้มือถือปีนี้ไม่หวือหวา และยังมีการทยอยส่งข้อความกันตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. ทำให้ไม่กระจุกตัวเฉพาะ ในวันที่ 1 ม.ค. เท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ให้บริการมือถือเองก็ได้เตรียมความพร้อมรับมือขยายช่องสัญญาณเครือข่ายให้สามารถรองรับการโทร.และส่งข้อความในช่วงเทศกาลปีใหม่ตามสถานที่สำคัญๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ไว้อย่างดี จึงทำให้ ไม่มีปัญหาในการรับส่งข้อความ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212241
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/01/08
โพสต์ที่ 101
กสทฯโยนลูกฝ่ายกม.ศึกษา หวังยื้อคลื่นดีแทคแนบอก
โพสต์ทูเดย์ กสทฯ ป้องดีแทค ย้ำไม่ให้คลื่นคืน กทช. เพื่อส่งต่อเอไอเอส-ทรูมูฟ พร้อมทิ้งหุ้นไทย โมบายหลังถูกฟ้อง
พล.อ.ต.พิริยะ ศิริบุญ โฆษก คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ ฝ่ายกฎหมายไปศึกษาเรื่องคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ที่ได้ให้สัมปทานแก่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค ว่า กสทฯ เป็นผู้มีสิทธิ์ในคลื่นความถี่ดังกล่าวมากน้อยเพียงใด เพื่อชี้แจงต่อ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ภายใน 30 วัน หลังจาก กทช.มีหนังสือขอคลื่น ส่วนที่เหลือกลับไปจัดสรรใหม่
ทั้งนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส และบริษัท ทรูมูฟ ได้ส่งหนังสือร้องเรียนมายัง กทช.เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว เพื่อขอใช้คลื่นความถี่ 1800 ที่เหลือของดีแทค เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์แทนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตคือ กสทฯ ซึ่งเรื่องดังกล่าวบอร์ด กสทฯ เพื่งทราบเรื่อง จึงต้องศึกษาให้รอบคอบ เพราะเรื่องคลื่นความถี่นั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าใครจะมาขอก็ได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติ ให้ขายหุ้นกิจการร่วมค้าไทยโมบาย จำนวน 42% คืนให้กับบริษัท ทีโอที โดยยึดข้อเสนอเดิมที่ ทีโอที ได้เสนอราคา 2.4 พันล้านบาท ซึ่งจะเร่งเจรจากับทีโอทีเพื่อหาข้อสรุปให้ทันบอร์ดชุดนี้ ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อทวงหนี้ 2.6 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213942
โพสต์ทูเดย์ กสทฯ ป้องดีแทค ย้ำไม่ให้คลื่นคืน กทช. เพื่อส่งต่อเอไอเอส-ทรูมูฟ พร้อมทิ้งหุ้นไทย โมบายหลังถูกฟ้อง
พล.อ.ต.พิริยะ ศิริบุญ โฆษก คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ ฝ่ายกฎหมายไปศึกษาเรื่องคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ที่ได้ให้สัมปทานแก่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค ว่า กสทฯ เป็นผู้มีสิทธิ์ในคลื่นความถี่ดังกล่าวมากน้อยเพียงใด เพื่อชี้แจงต่อ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ภายใน 30 วัน หลังจาก กทช.มีหนังสือขอคลื่น ส่วนที่เหลือกลับไปจัดสรรใหม่
ทั้งนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส และบริษัท ทรูมูฟ ได้ส่งหนังสือร้องเรียนมายัง กทช.เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว เพื่อขอใช้คลื่นความถี่ 1800 ที่เหลือของดีแทค เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์แทนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตคือ กสทฯ ซึ่งเรื่องดังกล่าวบอร์ด กสทฯ เพื่งทราบเรื่อง จึงต้องศึกษาให้รอบคอบ เพราะเรื่องคลื่นความถี่นั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าใครจะมาขอก็ได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติ ให้ขายหุ้นกิจการร่วมค้าไทยโมบาย จำนวน 42% คืนให้กับบริษัท ทีโอที โดยยึดข้อเสนอเดิมที่ ทีโอที ได้เสนอราคา 2.4 พันล้านบาท ซึ่งจะเร่งเจรจากับทีโอทีเพื่อหาข้อสรุปให้ทันบอร์ดชุดนี้ ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อทวงหนี้ 2.6 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213942
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/01/08
โพสต์ที่ 102
กสทฯลุยเน็ตผ่านสายไฟ
ร่วมทุนตั้งบริษัทลูก100ล.โดดชิงเค้กบรอดแบนด์-ชูจุดแข็งต้นทุนถูกกว่า10เท่าตัว
โพสต์ทูเดย์ กสทฯ ผนึก อีคอมเมิร์ซ บิสเน็ซ ลุยบรอดแบนด์ผ่านสายไฟฟ้า ร่วมชิงเค้กตลาด ผู้ใช้เน็ตเร็วสูง 1 ล้านราย
นายพิศาล จอโภชาอุดม กรรม การผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า มีแผน ตั้งบริษัทลูกขึ้น ร่วมทุนกับ บริษัท อีคอมเมิร์ซ บิสเน็ซ หรือ อีซีบี เพื่อให้บริการเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายไฟฟ้า (บรอดแบนด์ เพาเวอร์ไลน์) อย่างเต็มตัว โดยใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 100 ล้านบาท โดย กสทฯ ถือหุ้น ในสัดส่วน 49% อีซีบี 48% ส่วน ที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างการหา พันธมิตรที่สนใจ โดยแผนดังกล่าวจะเสนอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาตัดสินในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ การให้บริการในธุรกิจดังกล่าว จะเป็นการรวมจุดแข็งของ กสทฯ คือวงจรอินเทอร์เน็ตที่ กสทฯ มีอยู่ทั่วประเทศ กับ อีซีบี ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการอุปกรณ์เชื่อมต่อ และนำเข้าเทคโนโลยีจากประเทศสเปน มุ่งเจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตในชุมชนที่มีการใช้งานหนาแน่น และบริเวณที่สายโทรศัพท์เข้า ไม่ถึง แต่มีสายไฟฟ้า เช่น กลุ่มคอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร และกลุ่มลูกค้าองค์กร ซึ่งได้ทดลองให้บริการแล้วกับลูกค้าแล้วประมาณ 21 ราย
การร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นบริษัทลูกแห่งที่สองต่อจาก บัซซ์ ทีวี ที่ให้บริการโทรทัศน์บนรถประจำทาง ซึ่งการรุกธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องนั้น เพื่อให้ กสทฯ มีรายได้ทดแทนรายได้จากบริหารหลัก เช่น โทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศที่หายไป และเป็นไปตามนโยบายของบอร์ดที่ไม่ต้องการให้ กสทฯ พึ่งพารายได้ จากสัญญาสัมปทานอย่างเดียว นายพิศาล กล่าว
นายวินิจ คำสมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ อีซีบี กล่าวว่า แม้ความ เร็วของบรอดแบนด์ เพาเวอร์ไลน์ จะเทียบเท่ากับบริการบรอดแบนด์ ผ่านสายโทรศัพท์ หรือ เอดีเอสแอล ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ประมาณ 1-2 เมกะบิตต่อวินาที แต่บรอดแบนด์เพาเวอร์ไลน์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีต้นทุนถูกกว่า 10 เท่า หรือ 1 พันบาทต่อผู้ใช้ 1 ราย ขณะที่ต้นทุนการให้บริการเอดีเอสแอลจะอยู่ที่รายละ 1 หมื่นบาท และมีความได้เปรียบตรงที่ใช้งานง่ายและเข้าถึง ผู้ใช้ตามบ้านได้มากกว่า ซึ่งจะช่วยผลักดันให้มีผู้ใช้บรอดแบนด์เพิ่ม มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1 ล้านราย
ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย รองจาก จีนและ เกาหลี ที่มีการใช้งานบรอดแบนด์ เพาเวอร์ไลน์ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศแถบยุโรป และ สหรัฐอเมริกา โดยการให้บริการครั้งนี้ บริษัทต้องเสียค่าเช่าสายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214185
ร่วมทุนตั้งบริษัทลูก100ล.โดดชิงเค้กบรอดแบนด์-ชูจุดแข็งต้นทุนถูกกว่า10เท่าตัว
โพสต์ทูเดย์ กสทฯ ผนึก อีคอมเมิร์ซ บิสเน็ซ ลุยบรอดแบนด์ผ่านสายไฟฟ้า ร่วมชิงเค้กตลาด ผู้ใช้เน็ตเร็วสูง 1 ล้านราย
นายพิศาล จอโภชาอุดม กรรม การผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า มีแผน ตั้งบริษัทลูกขึ้น ร่วมทุนกับ บริษัท อีคอมเมิร์ซ บิสเน็ซ หรือ อีซีบี เพื่อให้บริการเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายไฟฟ้า (บรอดแบนด์ เพาเวอร์ไลน์) อย่างเต็มตัว โดยใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 100 ล้านบาท โดย กสทฯ ถือหุ้น ในสัดส่วน 49% อีซีบี 48% ส่วน ที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างการหา พันธมิตรที่สนใจ โดยแผนดังกล่าวจะเสนอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาตัดสินในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ การให้บริการในธุรกิจดังกล่าว จะเป็นการรวมจุดแข็งของ กสทฯ คือวงจรอินเทอร์เน็ตที่ กสทฯ มีอยู่ทั่วประเทศ กับ อีซีบี ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการอุปกรณ์เชื่อมต่อ และนำเข้าเทคโนโลยีจากประเทศสเปน มุ่งเจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตในชุมชนที่มีการใช้งานหนาแน่น และบริเวณที่สายโทรศัพท์เข้า ไม่ถึง แต่มีสายไฟฟ้า เช่น กลุ่มคอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร และกลุ่มลูกค้าองค์กร ซึ่งได้ทดลองให้บริการแล้วกับลูกค้าแล้วประมาณ 21 ราย
การร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นบริษัทลูกแห่งที่สองต่อจาก บัซซ์ ทีวี ที่ให้บริการโทรทัศน์บนรถประจำทาง ซึ่งการรุกธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องนั้น เพื่อให้ กสทฯ มีรายได้ทดแทนรายได้จากบริหารหลัก เช่น โทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศที่หายไป และเป็นไปตามนโยบายของบอร์ดที่ไม่ต้องการให้ กสทฯ พึ่งพารายได้ จากสัญญาสัมปทานอย่างเดียว นายพิศาล กล่าว
นายวินิจ คำสมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ อีซีบี กล่าวว่า แม้ความ เร็วของบรอดแบนด์ เพาเวอร์ไลน์ จะเทียบเท่ากับบริการบรอดแบนด์ ผ่านสายโทรศัพท์ หรือ เอดีเอสแอล ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ประมาณ 1-2 เมกะบิตต่อวินาที แต่บรอดแบนด์เพาเวอร์ไลน์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีต้นทุนถูกกว่า 10 เท่า หรือ 1 พันบาทต่อผู้ใช้ 1 ราย ขณะที่ต้นทุนการให้บริการเอดีเอสแอลจะอยู่ที่รายละ 1 หมื่นบาท และมีความได้เปรียบตรงที่ใช้งานง่ายและเข้าถึง ผู้ใช้ตามบ้านได้มากกว่า ซึ่งจะช่วยผลักดันให้มีผู้ใช้บรอดแบนด์เพิ่ม มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1 ล้านราย
ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย รองจาก จีนและ เกาหลี ที่มีการใช้งานบรอดแบนด์ เพาเวอร์ไลน์ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศแถบยุโรป และ สหรัฐอเมริกา โดยการให้บริการครั้งนี้ บริษัทต้องเสียค่าเช่าสายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214185
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/01/08
โพสต์ที่ 103
เอเซอร์ขอกินรวบไอที
โพสต์ทูเดย์ เอเซอร์ โวขอขึ้นเบอร์ 1 ตลาดไอที ทั้งพีซีโน้ตบุ๊ก แอลซีดี และโปรเจกเตอร์
นายแฮรี่ หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ในปีนี้เอเซอร์ตั้งเป้ายอดขายรวม 1.96 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 35% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 1.4 หมื่น ล้านบาท โดยตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ในทุกผลิตภัณฑ์ ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (เดสก์ท็อป) โน้ตบุ๊ก จอแอลซีดี และโปรเจกเตอร์ โดยยอดขายที่ตั้งไว้จะมาจากโน้ตบุ๊ก กว่า 5 แสนเครื่อง เติบโตกว่าปีก่อน 60% เดสก์ท็อป 2 แสนเครื่อง เติบโตขึ้น 30% ขณะที่จอแอลซีดี ตั้งเป้าเติบโต 50% และโปรเจกเตอร์ เติบโต 110%
ทั้งนี้ บริษัทจะทุ่มงบการตลาดกว่า 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ไป 350 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นตลาด รวมถึงเตรียมทีมงานและคู่ค้าเพื่อเจาะตลาดเอกชนและหน่วยงานรัฐที่คาดว่าจะมีงบประมาณเพิ่มขึ้นในปีนี้ และขยายศูนย์บริการอีก 2 แห่ง เป็น 15 ศูนย์
นอกจากนี้ จะปรับปรุงประสิทธิ ภาพการทำงานภายในของบริษัท ทั้งการลงทุนระบบไอที ระบโลจิสติกส์ และจัดการภายในองค์กรใหม่ โดย จัดกลุ่มการบริหารและการตลาดใหม่ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร และผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่ม ผู้ใช้เทคโนโลยีแสดงผลและการ ต่อพ่วง เพื่อรองรับแผนงานและการเติบโตของธุรกิจไอที
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214184
โพสต์ทูเดย์ เอเซอร์ โวขอขึ้นเบอร์ 1 ตลาดไอที ทั้งพีซีโน้ตบุ๊ก แอลซีดี และโปรเจกเตอร์
นายแฮรี่ หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ในปีนี้เอเซอร์ตั้งเป้ายอดขายรวม 1.96 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 35% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 1.4 หมื่น ล้านบาท โดยตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ในทุกผลิตภัณฑ์ ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (เดสก์ท็อป) โน้ตบุ๊ก จอแอลซีดี และโปรเจกเตอร์ โดยยอดขายที่ตั้งไว้จะมาจากโน้ตบุ๊ก กว่า 5 แสนเครื่อง เติบโตกว่าปีก่อน 60% เดสก์ท็อป 2 แสนเครื่อง เติบโตขึ้น 30% ขณะที่จอแอลซีดี ตั้งเป้าเติบโต 50% และโปรเจกเตอร์ เติบโต 110%
ทั้งนี้ บริษัทจะทุ่มงบการตลาดกว่า 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ไป 350 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นตลาด รวมถึงเตรียมทีมงานและคู่ค้าเพื่อเจาะตลาดเอกชนและหน่วยงานรัฐที่คาดว่าจะมีงบประมาณเพิ่มขึ้นในปีนี้ และขยายศูนย์บริการอีก 2 แห่ง เป็น 15 ศูนย์
นอกจากนี้ จะปรับปรุงประสิทธิ ภาพการทำงานภายในของบริษัท ทั้งการลงทุนระบบไอที ระบโลจิสติกส์ และจัดการภายในองค์กรใหม่ โดย จัดกลุ่มการบริหารและการตลาดใหม่ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร และผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่ม ผู้ใช้เทคโนโลยีแสดงผลและการ ต่อพ่วง เพื่อรองรับแผนงานและการเติบโตของธุรกิจไอที
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214184
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/01/08
โพสต์ที่ 104
ตลาดดอทคอม คาดปี51โต100%
ตลาดดอทคอม เผยตลาดอีคอมเมิร์ซ ปี 2551 โตต่อเนื่อง จากพื้นฐานของระบบอินเตอร์ความเร็วสูง และพฤติกรรมซื้อขายออนไลน์ของผู้บริโภค เชื่อจำนวนร้านค้าในเว็บไซต์จะทะลุ 150,000 ร้านค้า ด้วยยอดจำนวนผู้ซื้อกว่า 2 ล้านคนต่อเดือน พร้อมครองส่วนแบ่งทางการตลาดกว่าร้อยละ 50
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอม จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 50 ที่ผ่านมา ตลาด ดอท คอม ได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ โดยเริ่มจากการเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท มีการเพิ่มกำลังคน เพื่อพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ www.TARAD.com ให้มีระบบการใช้งานที่ง่าย ทำงานรวดเร็ว และจัดหมู่หมวดสินค้าให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ในส่วน www.TARADQuickWeb.com มีการเพิ่มบริการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการแบบ แพลตตินั่ม และควิก สตาร์ท สำหรับ เอสเอ็มอี ที่ไม่มีเวลา การที่มีจำนวนร้านค้ารายย่อย และสินค้ามือสอง ที่หลากหลายให้เลือกมากที่สุดใน www.ThaiSecondhand.com การเปิดตัวบริการใหม่ๆ www.TARADFranchise.com www.TARADedu.com และ www.TARADnet.com เพื่อสร้างองค์ความรู้ เพิ่มเครือข่ายพันธมิตร และจำนวนร้านค้าทั่วประเทศ ให้มากยิ่งขึ้น เหล่านี้ ล้วนเป็นการลงทุนในปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในปีนี้
ส่วนภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 51 จะมีผู้ประกอบการออนไลน์ เพิ่มมากขึ้น อีกอย่างมากมาย ด้วยสินค้าที่หลากหลายจำนวนมาก ที่มีราคาต่ำกว่าท้องตลาดอย่างเห็นได้ชัดเจน ส่วนผู้ให้บริการ เว็บไซต์สำเร็จรูป รายใหญ่ๆที่อยู่ในตลาด 3 ราย ก็จะมีการแข่งขันกันรุกตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละรายจะสามารถสร้างผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบได้อีกเป็นจำนวนมาก ถือเป็นผลดีต่อวงการอีคอมเมิร์ซของประเทศ
นอกจากนี้ นายภาวุธ กล่าวว่า ตลาด ดอท คอม ในฐานะที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 50% ในตลาดผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป จะยังคงเดินหน้า เน้นหนักในเรื่องของการเปิดตลาดใหม่ๆ โดยผ่านการให้ความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างผู้ประกอบการออนไลน์ให้มากขึ้น โดยจะเน้นการเป็น One Stop Service ในการให้เครื่องมือที่ครบวงจรในการทำอีคอมเมิร์ซ โดยเป้าหมายหลัก ยังคงเน้นไปที่กลุ่ม เอสเอ็มอี เป็นหลัก รวมทั้งมุ่งหาพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อสร้างตลาดอีคอมเมิร์ซให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
ตลาดดอทคอม เผยตลาดอีคอมเมิร์ซ ปี 2551 โตต่อเนื่อง จากพื้นฐานของระบบอินเตอร์ความเร็วสูง และพฤติกรรมซื้อขายออนไลน์ของผู้บริโภค เชื่อจำนวนร้านค้าในเว็บไซต์จะทะลุ 150,000 ร้านค้า ด้วยยอดจำนวนผู้ซื้อกว่า 2 ล้านคนต่อเดือน พร้อมครองส่วนแบ่งทางการตลาดกว่าร้อยละ 50
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอม จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 50 ที่ผ่านมา ตลาด ดอท คอม ได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ โดยเริ่มจากการเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท มีการเพิ่มกำลังคน เพื่อพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ www.TARAD.com ให้มีระบบการใช้งานที่ง่าย ทำงานรวดเร็ว และจัดหมู่หมวดสินค้าให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ในส่วน www.TARADQuickWeb.com มีการเพิ่มบริการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการแบบ แพลตตินั่ม และควิก สตาร์ท สำหรับ เอสเอ็มอี ที่ไม่มีเวลา การที่มีจำนวนร้านค้ารายย่อย และสินค้ามือสอง ที่หลากหลายให้เลือกมากที่สุดใน www.ThaiSecondhand.com การเปิดตัวบริการใหม่ๆ www.TARADFranchise.com www.TARADedu.com และ www.TARADnet.com เพื่อสร้างองค์ความรู้ เพิ่มเครือข่ายพันธมิตร และจำนวนร้านค้าทั่วประเทศ ให้มากยิ่งขึ้น เหล่านี้ ล้วนเป็นการลงทุนในปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในปีนี้
ส่วนภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 51 จะมีผู้ประกอบการออนไลน์ เพิ่มมากขึ้น อีกอย่างมากมาย ด้วยสินค้าที่หลากหลายจำนวนมาก ที่มีราคาต่ำกว่าท้องตลาดอย่างเห็นได้ชัดเจน ส่วนผู้ให้บริการ เว็บไซต์สำเร็จรูป รายใหญ่ๆที่อยู่ในตลาด 3 ราย ก็จะมีการแข่งขันกันรุกตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละรายจะสามารถสร้างผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบได้อีกเป็นจำนวนมาก ถือเป็นผลดีต่อวงการอีคอมเมิร์ซของประเทศ
นอกจากนี้ นายภาวุธ กล่าวว่า ตลาด ดอท คอม ในฐานะที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 50% ในตลาดผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป จะยังคงเดินหน้า เน้นหนักในเรื่องของการเปิดตลาดใหม่ๆ โดยผ่านการให้ความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างผู้ประกอบการออนไลน์ให้มากขึ้น โดยจะเน้นการเป็น One Stop Service ในการให้เครื่องมือที่ครบวงจรในการทำอีคอมเมิร์ซ โดยเป้าหมายหลัก ยังคงเน้นไปที่กลุ่ม เอสเอ็มอี เป็นหลัก รวมทั้งมุ่งหาพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อสร้างตลาดอีคอมเมิร์ซให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/01/08
โพสต์ที่ 105
CLSAแนะซื้อดีแทค3ปีส่วนแบ่งเด่น
โพสต์ทูเดย์ CLSA เชียร์ซื้อ DTAC อันดับหนึ่งกลุ่มสื่อสาร ด้านราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยวิ่งแซงสิงคโปร์ห่างแล้ว 2.25 บาท
บล.ซีแอลเอสเอ ได้สำรวจผู้ค้าโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ 66 ราย ในกรุงเทพฯ พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ค้าเชื่อว่าบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) จะสร้างสถิติส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า เพราะการให้บริการลูกค้าที่ดีที่สุดและให้ผลประโยชน์จูงใจ ผู้ค้า ด้วยผลประกอบการและการเปิดเสรีโทรคมนาคม จึงให้ลงทุนหุ้น DTAC สูงสุดกลุ่มสื่อสาร ราคาเหมาะสมที่ 40.25 บาท
นอกจากนี้ ให้ซื้อเก็งกำไรทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ราคาที่เหมาะสม 5.95 บาท เพราะประมาณการกำไรปีนี้และจ่ายค่าธรรมเนียมดำเนินธุรกิจต่ำ รวมถึงเป็นหุ้นเบต้าสูงที่แนะนำให้ลงทุนรับการมีรัฐบาลใหม่ และแนะนำให้ลงทุนเหนือตลาด สำหรับแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่ราคาเหมาะสม 97.5 บาท อัตราผลตอบแทนปันผลสูง 7%
ผลการสำรวจครั้งนี้ผู้ค้า 30% ไม่มีความเห็น และ 9% คาดว่า TRUE จะมาแรง และ 5% ให้ ADVANC
ผู้ค้ารายงานว่ายอดขายของ DTAC เข้าใกล้ยอดขายของ ADVANC มากขึ้น โดยยอดขาย SIM 37% เป็นของ DTAC เทียบของ ADVANC ที่ 45% จากส่วนแบ่งการตลาดที่ 30% และ 47%
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจุบันราคาหุ้น DTAC ในตลาดหุ้นไทยสูงกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ถึง 15% เพราะสินค้าขายในไทยคนไทยรู้จักดี
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การจดทะเบียน ในสิงคโปร์อยู่แล้วและเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอีก ส่งผลให้หุ้นมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น ในขณะที่จำนวนหุ้นมีอยู่เท่าเดิม
ราคา DTAC ในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 43 บาท ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 1.23 เหรียญสหรัฐ หรือ 40.75 บาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215868
โพสต์ทูเดย์ CLSA เชียร์ซื้อ DTAC อันดับหนึ่งกลุ่มสื่อสาร ด้านราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยวิ่งแซงสิงคโปร์ห่างแล้ว 2.25 บาท
บล.ซีแอลเอสเอ ได้สำรวจผู้ค้าโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ 66 ราย ในกรุงเทพฯ พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ค้าเชื่อว่าบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) จะสร้างสถิติส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า เพราะการให้บริการลูกค้าที่ดีที่สุดและให้ผลประโยชน์จูงใจ ผู้ค้า ด้วยผลประกอบการและการเปิดเสรีโทรคมนาคม จึงให้ลงทุนหุ้น DTAC สูงสุดกลุ่มสื่อสาร ราคาเหมาะสมที่ 40.25 บาท
นอกจากนี้ ให้ซื้อเก็งกำไรทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ราคาที่เหมาะสม 5.95 บาท เพราะประมาณการกำไรปีนี้และจ่ายค่าธรรมเนียมดำเนินธุรกิจต่ำ รวมถึงเป็นหุ้นเบต้าสูงที่แนะนำให้ลงทุนรับการมีรัฐบาลใหม่ และแนะนำให้ลงทุนเหนือตลาด สำหรับแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่ราคาเหมาะสม 97.5 บาท อัตราผลตอบแทนปันผลสูง 7%
ผลการสำรวจครั้งนี้ผู้ค้า 30% ไม่มีความเห็น และ 9% คาดว่า TRUE จะมาแรง และ 5% ให้ ADVANC
ผู้ค้ารายงานว่ายอดขายของ DTAC เข้าใกล้ยอดขายของ ADVANC มากขึ้น โดยยอดขาย SIM 37% เป็นของ DTAC เทียบของ ADVANC ที่ 45% จากส่วนแบ่งการตลาดที่ 30% และ 47%
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจุบันราคาหุ้น DTAC ในตลาดหุ้นไทยสูงกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ถึง 15% เพราะสินค้าขายในไทยคนไทยรู้จักดี
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การจดทะเบียน ในสิงคโปร์อยู่แล้วและเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอีก ส่งผลให้หุ้นมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น ในขณะที่จำนวนหุ้นมีอยู่เท่าเดิม
ราคา DTAC ในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 43 บาท ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 1.23 เหรียญสหรัฐ หรือ 40.75 บาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215868
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/01/08
โพสต์ที่ 106
ปั้นมูลค่าเพิ่มซอฟต์แวร์ไทยแสนล.
โพสต์ทูเดย์ ซิป้าเร่ขายฝัน หนุนซอฟต์แวร์พันธุ์ไทยโกอินเตอร์ ตั้งเป้าปั๊มรายได้ 1 แสนล้าน ใน 3 ปี
นายรุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือซิป้า กล่าวว่า แนวทางการดำเนินการของซิป้าในปี 2551 จะจัดตั้งโครงการระดับชาติขึ้นมาเป็นธงรบพัฒนาตลาดซอฟต์แวร์ไทยให้มีมูลค่า 1 แสนล้านบาท ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
พร้อมกันนี้จะดึงบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนธุรกิจซอฟต์แวร์ในเมืองไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะที่ จ.ภูเก็ต มีเป้าหมายผลักดันให้เป็นศูนย์วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไอซีทีแห่งชาติ หรือชิลิคอน วัลเลย์ ภูเก็ต เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ในระดับภูมิภาค และขยายงานสร้างโอกาสให้กับนักพัฒนาคนไทย ตลอดจนสานต่อโครงการพัฒนาเนื้อหาข้อมูล หรือบางกอก ดิจิตอล คอนเทนต์ เซ็นเตอร์ ที่ถนนคอกวัว กรุงเทพฯ
จัดทำโครงการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับตลาดโลก หรือโกลบอล เอาต์ซอร์สซิง ที่เชียงใหม่ และพัฒนาระบบเครือข่ายอินเทอร์ เน็ตให้มีขนาดพอเพียงสำหรับการวิจัย พัฒนาระบบบริการและรับงานเอาต์ซอร์สของไทยออกสู่ต่างประเทศ โดยจัดตั้งศูนย์รวบรวมทรัพยากรด้านซอฟต์แวร์ไทยเข้าด้วยกันที่ขอนแก่น
เราต้องการสร้างผู้ประกอบการไทยให้มีความสามารถและได้มาตรฐานความชำนาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าซอฟต์แวร์ รวมถึงการบริการลูกค้าให้ได้ในระดับสากล นายรุ่งเรือง กล่าว
ผอ.ซิป้า กล่าวอีกว่า จะพัฒนาผู้ประกอบการไทยแต่ละรายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ เจ้าของโซลูชันนักพัฒนา ผู้ให้บริการวางและติดตั้งระบบไอทีและเอาต์ซอร์ส
การดำเนินการจะทำไปพร้อมกับวางแผนปรับปรุงระบบการศึกษาไอซีทีให้มีคุณภาพสูง สนองกับชนิดงานและความต้องการของตลาดโลก และสร้างระบบนิเวศน์ของการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยแบบครบวงจร โดยปีนี้รัฐบาลได้จัดสรรงบให้ซิป้า 400 ล้านบาท เพื่อดำเนินการในด้านต่างๆ แล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215897
โพสต์ทูเดย์ ซิป้าเร่ขายฝัน หนุนซอฟต์แวร์พันธุ์ไทยโกอินเตอร์ ตั้งเป้าปั๊มรายได้ 1 แสนล้าน ใน 3 ปี
นายรุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือซิป้า กล่าวว่า แนวทางการดำเนินการของซิป้าในปี 2551 จะจัดตั้งโครงการระดับชาติขึ้นมาเป็นธงรบพัฒนาตลาดซอฟต์แวร์ไทยให้มีมูลค่า 1 แสนล้านบาท ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
พร้อมกันนี้จะดึงบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนธุรกิจซอฟต์แวร์ในเมืองไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะที่ จ.ภูเก็ต มีเป้าหมายผลักดันให้เป็นศูนย์วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไอซีทีแห่งชาติ หรือชิลิคอน วัลเลย์ ภูเก็ต เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ในระดับภูมิภาค และขยายงานสร้างโอกาสให้กับนักพัฒนาคนไทย ตลอดจนสานต่อโครงการพัฒนาเนื้อหาข้อมูล หรือบางกอก ดิจิตอล คอนเทนต์ เซ็นเตอร์ ที่ถนนคอกวัว กรุงเทพฯ
จัดทำโครงการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับตลาดโลก หรือโกลบอล เอาต์ซอร์สซิง ที่เชียงใหม่ และพัฒนาระบบเครือข่ายอินเทอร์ เน็ตให้มีขนาดพอเพียงสำหรับการวิจัย พัฒนาระบบบริการและรับงานเอาต์ซอร์สของไทยออกสู่ต่างประเทศ โดยจัดตั้งศูนย์รวบรวมทรัพยากรด้านซอฟต์แวร์ไทยเข้าด้วยกันที่ขอนแก่น
เราต้องการสร้างผู้ประกอบการไทยให้มีความสามารถและได้มาตรฐานความชำนาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าซอฟต์แวร์ รวมถึงการบริการลูกค้าให้ได้ในระดับสากล นายรุ่งเรือง กล่าว
ผอ.ซิป้า กล่าวอีกว่า จะพัฒนาผู้ประกอบการไทยแต่ละรายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ เจ้าของโซลูชันนักพัฒนา ผู้ให้บริการวางและติดตั้งระบบไอทีและเอาต์ซอร์ส
การดำเนินการจะทำไปพร้อมกับวางแผนปรับปรุงระบบการศึกษาไอซีทีให้มีคุณภาพสูง สนองกับชนิดงานและความต้องการของตลาดโลก และสร้างระบบนิเวศน์ของการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยแบบครบวงจร โดยปีนี้รัฐบาลได้จัดสรรงบให้ซิป้า 400 ล้านบาท เพื่อดำเนินการในด้านต่างๆ แล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215897
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/02/08
โพสต์ที่ 107
โนเกียปรับทัพบริการเน็ตแข่งค่ายคอมพ์
โพสต์ทูเดย์ โนเกีย ปรับทัพ ธุรกิจใหม่ เบนเข็มสู่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ต่อยอดธุรกิจมือถือ ท้าชนยักษ์ใหญ่ค่ายคอมพิวเตอร์
นายวิภู ซาบาวาล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) ในปีนี้ จะ ขยายบทบาทสู่การเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพิ่มจากการเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเห็นแนวโน้มว่าตลาดออนไลน์ทั่วโลกเติบโตสูง
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าโลกของอินเทอร์เน็ตได้ก้าวเข้าสู่ยุคเว็บ 2.0 กลายเป็นชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่ โดยที่ผู้ใช้มือถือโนเกียก็เป็นหนึ่งในชุมชนออนไลน์ ด้วยอัตราการดาวน์โหลดเพลงถึง 30% ขณะที่ยอดขายมือถือฟังเพลงของโนเกีย มียอดขายในปีที่แล้ว 146 ล้านเครื่อง มือถือพร้อมกล้อง 200 ล้านเครื่อง โนเกีย เอ็นซีรีส์ 38 ล้านเครื่อง และโนเกีย อีซีรีส์ 7 ล้านเครื่อง รวมทั้งสิ้น 437 ล้านเครื่อง
ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โนเกียมี ส่วนแบ่งตลาด 40% และในปีนี้โนเกียยังตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น และคาดว่าในปีนี้ ยอดขายมือถือทั่วโลกจะมีถึง 1.14 พันล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10% นายวิภู กล่าว
น.ส.นนทวัน สินธวานนท์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ และบริการ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสภาพแวดล้อมการแข่งขันเปลี่ยนไป เพราะในอุตสาหกรรมมีคู่แข่งมากขึ้น ดังนั้นโนเกียต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาด และขยายฐานธุรกิจจาก ผู้ผลิตมือถือ มาเป็นบริษัทอินเทอร์ เน็ต ด้วยการพัฒนามือถือของโนเกียให้มีความสามารถเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ โดยมี โอวี (Ovi) ซึ่งเป็นการผนวกรวมเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่ พีซี และเว็บเข้า ด้วยกัน ทำให้มือถือใช้งานง่าย
ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจบริการของโนเกีย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตมือถือ 2.กลุ่มบิซิเนส โซลูชัน 3.กลุ่มธุรกิจเครือข่าย และ 4.กลุ่มธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งในกลุ่มธุรกิจอินเทอร์เน็ตของบริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) แบ่งออกเป็น 4 บริการ ได้แก่ 1.เกม โดยการนำเอ็นเกจ (N-Gage) กลับมาเป็นหัวหอกรบ ในตลาดเกมออนไลน์บนมือถืออีกครั้ง 2.บริการดาวน์โหลดเพลงร่วมกับ ค่ายเพลงชั้นนำในเมืองไทย 3.ระบบ นำทางแผนที่ หรือจีพีเอส ผ่านมือถือโนเกีย และ 4.บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไว-ไฟ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219186
โพสต์ทูเดย์ โนเกีย ปรับทัพ ธุรกิจใหม่ เบนเข็มสู่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ต่อยอดธุรกิจมือถือ ท้าชนยักษ์ใหญ่ค่ายคอมพิวเตอร์
นายวิภู ซาบาวาล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) ในปีนี้ จะ ขยายบทบาทสู่การเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพิ่มจากการเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเห็นแนวโน้มว่าตลาดออนไลน์ทั่วโลกเติบโตสูง
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าโลกของอินเทอร์เน็ตได้ก้าวเข้าสู่ยุคเว็บ 2.0 กลายเป็นชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่ โดยที่ผู้ใช้มือถือโนเกียก็เป็นหนึ่งในชุมชนออนไลน์ ด้วยอัตราการดาวน์โหลดเพลงถึง 30% ขณะที่ยอดขายมือถือฟังเพลงของโนเกีย มียอดขายในปีที่แล้ว 146 ล้านเครื่อง มือถือพร้อมกล้อง 200 ล้านเครื่อง โนเกีย เอ็นซีรีส์ 38 ล้านเครื่อง และโนเกีย อีซีรีส์ 7 ล้านเครื่อง รวมทั้งสิ้น 437 ล้านเครื่อง
ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โนเกียมี ส่วนแบ่งตลาด 40% และในปีนี้โนเกียยังตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น และคาดว่าในปีนี้ ยอดขายมือถือทั่วโลกจะมีถึง 1.14 พันล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10% นายวิภู กล่าว
น.ส.นนทวัน สินธวานนท์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ และบริการ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสภาพแวดล้อมการแข่งขันเปลี่ยนไป เพราะในอุตสาหกรรมมีคู่แข่งมากขึ้น ดังนั้นโนเกียต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาด และขยายฐานธุรกิจจาก ผู้ผลิตมือถือ มาเป็นบริษัทอินเทอร์ เน็ต ด้วยการพัฒนามือถือของโนเกียให้มีความสามารถเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ โดยมี โอวี (Ovi) ซึ่งเป็นการผนวกรวมเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่ พีซี และเว็บเข้า ด้วยกัน ทำให้มือถือใช้งานง่าย
ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจบริการของโนเกีย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตมือถือ 2.กลุ่มบิซิเนส โซลูชัน 3.กลุ่มธุรกิจเครือข่าย และ 4.กลุ่มธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งในกลุ่มธุรกิจอินเทอร์เน็ตของบริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) แบ่งออกเป็น 4 บริการ ได้แก่ 1.เกม โดยการนำเอ็นเกจ (N-Gage) กลับมาเป็นหัวหอกรบ ในตลาดเกมออนไลน์บนมือถืออีกครั้ง 2.บริการดาวน์โหลดเพลงร่วมกับ ค่ายเพลงชั้นนำในเมืองไทย 3.ระบบ นำทางแผนที่ หรือจีพีเอส ผ่านมือถือโนเกีย และ 4.บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไว-ไฟ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219186
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/02/08
โพสต์ที่ 108
ห้องเรียน "ไฮเทค" จุดขายใหม่ ร.ร.กวดวิชา
"นักเรียนปัจจุบันมีสไตล์ ความชื่นชอบ ความเร็วในการเรียน ความเก่งไม่เท่ากัน ไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะสามารถตอบสนองการเรียนทุกกลุ่มได้ จึงต้องอาศัยวิธีการเรียนที่หลากหลายเหมาะกับเด็กแต่ละคน ครอบคลุมทุกรูปแบบ ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ เครื่องมือต่างๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ทุกรูปแบบ"
"ธเนศ เอื้ออภิธร" ประธานสถาบัน
เอ็นคอนเส็ปท์ อี-อะเคเดมี สถาบันกวดวิชาภาษาอังกฤษแถวหน้าของเมืองไทย พูดถึงที่มาที่ไปของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาผสมผสานเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของ "เอ็นคอนเส็ปท์"
จากฐานความคิดดังกล่าว ในเวลาเดียวกัน "เทคโนโลยี" ยังเป็น "จุดขาย" ที่สร้างความแตกต่างจากสถาบันกวดวิชาอื่นๆ ด้วย ทำให้รองรับ
ผู้เรียนประมาณหนึ่งแสนที่นั่งต่อปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีการลงทุนด้านเทคโนโลยี 20-25 ล้านบาท
ไล่มาตั้งแต่บริการคอลเซ็นเตอร์, ระบบ learning on demand, เซิร์ฟเวอร์, ระบบลงทะเบียนเรียน และระบบจ่ายเงิน เป็นต้น มีบริษัท เซียร์ซอฟท์ ซึ่งเอ็นคอนเส็ปต์ถือหุ้นอยู่ด้วย 20% พัฒนาโซลูชั่นบางอย่างให้ เช่น ระบบการโอนเงิน, ดาต้าอัพเดต, การรับสมัครเรียน หรือการเรียนออนดีมานด์ เป็นต้น เสียค่าบริการปีละ 5 ล้านบาท
สำหรับเทคโนโลยีล่าสุดที่นำมาใช้ ได้แก่ สร้างห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เรียกว่า "E-studio" เป็นห้องเรียนลักษณะคล้ายสตูดิโอ ประกอบด้วย smart board หรือกระดานอัจฉริยะที่ครูผู้สอนจะสามารถใช้ปากกาพิเศษ หรือนิ้วแตะบนจอเพื่อเขียนข้อความได้ทันที ผ่านระบบทัชสกีน เทคโนโลยี DviT หรือการใช้กล้องติดตามการสัมผัสบนหน้าจอเพื่อควบคุมการเรียนการสอน
นอกจากนี้ยังดึงไฟล์ประกอบการสอนในคอมพิวเตอร์ หรือไฟล์ข้อมูลประเภทอื่น เช่น CD, DVD, VDO หรือไฟล์ประเภทพรีเซนเตชั่น และตระกูลมัลติมีเดีย เช่น Powerpoint, Flash, Web, Edo clips มาใช้ผ่านกระดานอัจฉริยะดังกล่าวได้ด้วย ทั้งจัดเก็บข้อมูลการเรียนการสอนที่ปรากฏบนสมาร์ตบอร์ดให้นักเรียนนำไปใช้ทบทวนที่บ้านผ่านเว็บไซต์ หรืออีเมล์ โดยสามารถ log in เข้าสู่ระบบจากที่บ้าน หรือภายในสถาบันได้
ภายในห้องเรียนยังใช้กล้อง 360 องศา บันทึกภาพการเรียนการสอนและบรรยากาศได้ครบ ทุกมุม รวมถึงมีกล้องโทรทัศน์ 3-4 ตัว เพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดสดและบันทึกเทป และยังมีห้องคอนโทรลควบคุมการ switching หรือ ตัดต่อภาพภายในสตูดิโอด้วย
เทคโนโลยี "E-live (satellite)" หรือการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไทยคม 5 เพื่อส่งสัญญาณให้นักเรียนทั้ง 26 สาขา 19 จังหวัด ทั่วประเทศ เรียนสดๆ ไปพร้อมกันและนักเรียนตามสาขาต่างๆ ซักถามครูผู้สอนได้
โดยส่ง SMS หรือโทร.มายังคอลเซ็นเตอร์ได้ทันที โดยคำถามจะปรากฏบนแถบด้านล่างของหน้าจอสมาร์ตบอร์ดเหมือนที่ปรากฏตามรายการโทรทัศน์ในปัจจุบัน
รวมถึง "alive on demand" ที่ผู้เรียน กำหนดเวลา เลือกเนื้อหา และเรียนซ้ำส่วนที่ต้องการได้ไม่จำกัดครั้ง ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในสถาบัน
ไม่ใช่แค่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนเท่านั้น ยังมีการพัฒนารูปแบบการสอนแบบใหม่ที่เรียกว่า "memolody" หรือเพลงเพื่อการเรียนรู้ศัพท์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ปัจจุบันมีกว่า 260 เพลง ครอบคลุม คำศัพท์ประมาณ 3 พันคำ โดยสถาบันได้สร้างห้องอัดเสียงระบบดิจิทัลไว้ผลิตเพลงต่างๆ เอง
สำหรับห้องเรียนที่เป็นรูปแบบ E-studio มี 7 ห้อง จาก 250 ห้องเรียน
"ธานินทร์ เอื้ออภิธร" ผู้บริหารของสถาบันเอ็นคอนเส็ปต์เสริมว่า พัฒนาการของการเรียนในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ 5 จากยุคแรกคือการสอนสดและอาจารย์คนเดียวกับกล้องวิดีโอ 1 ตัว ยุคที่สองเป็นการใช้มัลติมีเดียเพื่อให้นักเรียนมี อินเตอร์แอ็กทีฟ เช่น magic filter หรือแผ่น กรองเพื่อปิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ยุคที่ 3 เป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับคอมพิวเตอร์เพื่อทบทวนบทเรียน ยุคที่ 4 เป็นยุคแห่งการปฏิรูปห้องเรียน โดยการเรียนทุกอย่างทางออนไลน์, ดาวเทียม และอินเทอร์เน็ต เช่น E-studio
สำหรับยุคที่ 5 ซึ่งกำลังจะมาถึง เป็นยุคที่เรียกว่า "Student Extensive Learning Fitness" หรือ S.E.L.F คือการโฟกัสที่นักเรียนแต่ละคนเพื่อหาศักยภาพที่แท้จริงของนักเรียนคนนั้นๆ ทั้งจุดดีและจุดอ่อน รวมถึงความสามารถในการติดตามวัดผลของเด็กเป็นรายบุคคลได้ ซึ่งทางสถาบันคาดว่าจะสามารถเปิดระบบ S.E.L.F
ได้ภายในเดือน มี.ค.นี้
มากกว่านั้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า "เอ็นคอนเส็ปท์" ยังมีแผนที่จะขยายสาขาไปยังต่างประเทศด้วย เช่น เกาหลี, ญี่ปุ่น, จีน และเวียดนาม โดยใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีเข้าไปเปิดตลาด เพราะในต่างประเทศยังไม่มีการสอนลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
"นักเรียนปัจจุบันมีสไตล์ ความชื่นชอบ ความเร็วในการเรียน ความเก่งไม่เท่ากัน ไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะสามารถตอบสนองการเรียนทุกกลุ่มได้ จึงต้องอาศัยวิธีการเรียนที่หลากหลายเหมาะกับเด็กแต่ละคน ครอบคลุมทุกรูปแบบ ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ เครื่องมือต่างๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ทุกรูปแบบ"
"ธเนศ เอื้ออภิธร" ประธานสถาบัน
เอ็นคอนเส็ปท์ อี-อะเคเดมี สถาบันกวดวิชาภาษาอังกฤษแถวหน้าของเมืองไทย พูดถึงที่มาที่ไปของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาผสมผสานเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของ "เอ็นคอนเส็ปท์"
จากฐานความคิดดังกล่าว ในเวลาเดียวกัน "เทคโนโลยี" ยังเป็น "จุดขาย" ที่สร้างความแตกต่างจากสถาบันกวดวิชาอื่นๆ ด้วย ทำให้รองรับ
ผู้เรียนประมาณหนึ่งแสนที่นั่งต่อปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีการลงทุนด้านเทคโนโลยี 20-25 ล้านบาท
ไล่มาตั้งแต่บริการคอลเซ็นเตอร์, ระบบ learning on demand, เซิร์ฟเวอร์, ระบบลงทะเบียนเรียน และระบบจ่ายเงิน เป็นต้น มีบริษัท เซียร์ซอฟท์ ซึ่งเอ็นคอนเส็ปต์ถือหุ้นอยู่ด้วย 20% พัฒนาโซลูชั่นบางอย่างให้ เช่น ระบบการโอนเงิน, ดาต้าอัพเดต, การรับสมัครเรียน หรือการเรียนออนดีมานด์ เป็นต้น เสียค่าบริการปีละ 5 ล้านบาท
สำหรับเทคโนโลยีล่าสุดที่นำมาใช้ ได้แก่ สร้างห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เรียกว่า "E-studio" เป็นห้องเรียนลักษณะคล้ายสตูดิโอ ประกอบด้วย smart board หรือกระดานอัจฉริยะที่ครูผู้สอนจะสามารถใช้ปากกาพิเศษ หรือนิ้วแตะบนจอเพื่อเขียนข้อความได้ทันที ผ่านระบบทัชสกีน เทคโนโลยี DviT หรือการใช้กล้องติดตามการสัมผัสบนหน้าจอเพื่อควบคุมการเรียนการสอน
นอกจากนี้ยังดึงไฟล์ประกอบการสอนในคอมพิวเตอร์ หรือไฟล์ข้อมูลประเภทอื่น เช่น CD, DVD, VDO หรือไฟล์ประเภทพรีเซนเตชั่น และตระกูลมัลติมีเดีย เช่น Powerpoint, Flash, Web, Edo clips มาใช้ผ่านกระดานอัจฉริยะดังกล่าวได้ด้วย ทั้งจัดเก็บข้อมูลการเรียนการสอนที่ปรากฏบนสมาร์ตบอร์ดให้นักเรียนนำไปใช้ทบทวนที่บ้านผ่านเว็บไซต์ หรืออีเมล์ โดยสามารถ log in เข้าสู่ระบบจากที่บ้าน หรือภายในสถาบันได้
ภายในห้องเรียนยังใช้กล้อง 360 องศา บันทึกภาพการเรียนการสอนและบรรยากาศได้ครบ ทุกมุม รวมถึงมีกล้องโทรทัศน์ 3-4 ตัว เพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดสดและบันทึกเทป และยังมีห้องคอนโทรลควบคุมการ switching หรือ ตัดต่อภาพภายในสตูดิโอด้วย
เทคโนโลยี "E-live (satellite)" หรือการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไทยคม 5 เพื่อส่งสัญญาณให้นักเรียนทั้ง 26 สาขา 19 จังหวัด ทั่วประเทศ เรียนสดๆ ไปพร้อมกันและนักเรียนตามสาขาต่างๆ ซักถามครูผู้สอนได้
โดยส่ง SMS หรือโทร.มายังคอลเซ็นเตอร์ได้ทันที โดยคำถามจะปรากฏบนแถบด้านล่างของหน้าจอสมาร์ตบอร์ดเหมือนที่ปรากฏตามรายการโทรทัศน์ในปัจจุบัน
รวมถึง "alive on demand" ที่ผู้เรียน กำหนดเวลา เลือกเนื้อหา และเรียนซ้ำส่วนที่ต้องการได้ไม่จำกัดครั้ง ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในสถาบัน
ไม่ใช่แค่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนเท่านั้น ยังมีการพัฒนารูปแบบการสอนแบบใหม่ที่เรียกว่า "memolody" หรือเพลงเพื่อการเรียนรู้ศัพท์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ปัจจุบันมีกว่า 260 เพลง ครอบคลุม คำศัพท์ประมาณ 3 พันคำ โดยสถาบันได้สร้างห้องอัดเสียงระบบดิจิทัลไว้ผลิตเพลงต่างๆ เอง
สำหรับห้องเรียนที่เป็นรูปแบบ E-studio มี 7 ห้อง จาก 250 ห้องเรียน
"ธานินทร์ เอื้ออภิธร" ผู้บริหารของสถาบันเอ็นคอนเส็ปต์เสริมว่า พัฒนาการของการเรียนในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ 5 จากยุคแรกคือการสอนสดและอาจารย์คนเดียวกับกล้องวิดีโอ 1 ตัว ยุคที่สองเป็นการใช้มัลติมีเดียเพื่อให้นักเรียนมี อินเตอร์แอ็กทีฟ เช่น magic filter หรือแผ่น กรองเพื่อปิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ยุคที่ 3 เป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับคอมพิวเตอร์เพื่อทบทวนบทเรียน ยุคที่ 4 เป็นยุคแห่งการปฏิรูปห้องเรียน โดยการเรียนทุกอย่างทางออนไลน์, ดาวเทียม และอินเทอร์เน็ต เช่น E-studio
สำหรับยุคที่ 5 ซึ่งกำลังจะมาถึง เป็นยุคที่เรียกว่า "Student Extensive Learning Fitness" หรือ S.E.L.F คือการโฟกัสที่นักเรียนแต่ละคนเพื่อหาศักยภาพที่แท้จริงของนักเรียนคนนั้นๆ ทั้งจุดดีและจุดอ่อน รวมถึงความสามารถในการติดตามวัดผลของเด็กเป็นรายบุคคลได้ ซึ่งทางสถาบันคาดว่าจะสามารถเปิดระบบ S.E.L.F
ได้ภายในเดือน มี.ค.นี้
มากกว่านั้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า "เอ็นคอนเส็ปท์" ยังมีแผนที่จะขยายสาขาไปยังต่างประเทศด้วย เช่น เกาหลี, ญี่ปุ่น, จีน และเวียดนาม โดยใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีเข้าไปเปิดตลาด เพราะในต่างประเทศยังไม่มีการสอนลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/02/08
โพสต์ที่ 109
ทศวรรษที่ 2 ของบลูทูท "กำลังจะกลายพันธุ์"
การพัฒนาของเทคโนโลยีไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ โดยผู้คิดค้นต้องหาฟีเจอร์ใหม่ๆ มาเสริมและอัพเดตสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความทันสมัยตลอดเวลา
"เอ็มเอสเอ็นบีซี" รายงานว่า 10 ปีที่ผ่านมาหลังจาก "บลูทูท" เทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายอวดโฉมสู่ตลาด ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของโลกเทคโนโลยีไร้สายสำหรับการ ถ่ายโอนข้อมูลระหว่างกัน
ไบรอัน โอ รูก นักวิเคราะห์ด้านการบริการสื่อสารจากสถาบันวิจัยการตลาด In-Stat กล่าวว่า ปี 2550 มีอุปกรณ์ประมาณ 800 ล้านชิ้น ทั้งโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์แฮนด์เซตที่มีการ ติดตั้งระบบบลูทูท หรือแม้แต่เกม Wii ของนินเทนโด หรือเครื่องคอนโทรลไร้สาย เพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ ก็มีเทคโนโลยีบลูทูท ถึงแม้ว่าคอเกมทั้งหลายจะยังไม่ให้ความสนใจก็ตาม
แต่หากมองถึงยุคทศวรรษที่ 2 ของบลูทูทต่อจากนี้ มีการคาดกันว่าบลูทูทจะถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ความยุ่งยากเรื่องการเชื่อมต่อจะน้อยลง และบลูทูทรุ่นใหม่จะมีส่วนช่วยให้ชีวิตปลอดภัยขึ้น และเพิ่มความสะดวกสบายของผู้ใช้
อดีตที่ผ่านมา ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะพบปัญหาเรื่องกระบวนการติดตั้งที่มีความซับซ้อน แต่บลูทูทรุ่นใหม่จะแก้ปัญหาดังกล่าวโดยมีสเป็กที่พิเศษขึ้น คือระดับ 2.1+EDR (enhance data rate) ที่ได้รับรองมาตรฐานจากบลูทูท SIG ซึ่งจะมีความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลและกำจัดการเข้ารหัสที่ยุ่งยากออกไป เพื่อให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่แก่ผู้บริโภค
โดยโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์แฮนด์เซตที่มีการเพิ่มสเป็ก 2.1+EDR คาดว่าจะเริ่มทยอยสู่ตลาดปลายฤดูใบไม้ร่วงนี้
"บลูทูทแบบใหม่จะมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะอุปกรณ์จะมีการเข้ารหัสด้วยตัวของมันเอง ดังนั้นต่อไปผู้ใช้งานอาจเพียงแค่นำเครื่องแฮนด์เซต 2 เครื่องที่ต้องการใช้มาวางไว้ใกล้กันเท่านั้น และระบบจะทำงานเชื่อมอัตโนมัติด้วยตัวมันเอง แต่สิ่งที่สำคัญคือถ้าเราต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากสเป็ก 2.1+EDR คือเราจำเป็นจะต้องหาอุปกรณ์ที่มีสเป็กดังกล่าวด้วย" แอน ราเอน รัสมัสเซ็น ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจมือถือ GM Netcom กล่าว
ด้านความเร็วสำหรับการรับส่งข้อมูล เพลง หรือวิดีโอของบลูทูทนั้น ถึงแม้ปัจจุบันบลูทูทมีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยอัตรา 1-3 เมกะบิตต่อวินาที ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ทั่วไป
"แต่ตอนนี้เทคโนโลยีบลูทูทระดับไฮสปีดกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาจะมีอัตราความเร็วถึง 100 เมกะบิตต่อวินาที ดังนั้นถ้าผู้ใช้งานมีเครื่องโทรศัพท์ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก ก็จะต้องการบลูทูทที่เป็นไฮสปีดที่สามารถรับส่งข้อมูลจำนวนมากๆ ได้อย่างรวดเร็ว และถ้า บลูทูทมีความสามารถถึงระดับนั้นจริง แม้แต่การเล่นเพลง MP3 ที่ติดตั้งในโทรศัพท์มือถือ ก็จะสามารถดาวน์โหลดเพลงแบบไร้สายผ่านทางบลูทูทได้ด้วยเวลาไม่ถึงนาที" โอ รูก กล่าว
ขณะที่ปัจจุบันอุปกรณ์หูฟัง บลูทูทนับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้งานระหว่างขับรถ เพราะกฎหมายในหลายประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) ประกาศห้ามคุยโทรศัพท์ระหว่างขับรถ ยกเว้นแต่ใช้แฮนด์ฟรี หรือบลูทูท
ดังนั้นยอดขายของหูฟังบลูทูทในปี 2007 จึงสูงถึง 25 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การเพิ่มขึ้นของรถรุ่นใหม่ที่มาพร้อมการ ติดตั้งบลูทูท แฮนด์ฟรี และอุปกรณ์เสริม ก็มี มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เทคโนโลยีบลูทูทถูกพัฒนาความสามารถขึ้นและไม่ได้มีไว้ใช้งานแค่ด้านโทรศัพท์อย่างเดียว เช่น MotoOokr T505 ของโมโตโรล่า สามารถ ส่งเพลง สายโทร.เข้าจากบลูทูท หรือต่อไปยังระบบ สเตอริโอภายในรถได้
และในอนาคตถ้าบลูทูทมีความเร็วระดับไฮสปีดเกิดขึ้น ก็จะสามารถส่งสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งภาพและเสียงจากโทรศัพท์มือถือไปฉายบนจอภาพที่ติดตั้งภายในรถยนต์ได้ด้วย และถ้าบลูทูทถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับมีระบบเซ็นเซอร์อยู่ภายใน ก็อาจจะเชื่อมต่อกับระบบเซ็นเซอร์ภายในรถเพื่อตรวจเช็กสภาพภายในของรถยนต์ เช่น ตรวจวัดความดันอากาศของล้อรถ เป็นต้น
นอกจากประโยชน์ของเทคโนโลยีบลูทูทที่ใช้ติดต่อสื่อสารแบบไร้สายแล้ว ในอนาคตอุตสาห กรรมการแพทย์ก็จะนำบลูทูทมาใช้ประโยชน์ในฐานะเป็นอุปกรณ์เซ็นเซอร์อย่างหนึ่งเช่นกัน
ผู้ป่วยจะสามารถใช้ระบบเซ็นเซอร์ของบลูทูทเพื่อตรวจวัดระดับกลูโคสของหัวใจ โดยอาศัยการเชื่อมต่อแบบไร้สายของบลูทูทเชื่อมไปยังคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์ของแพทย์ที่โรงพยาบาล ทำให้แพทย์จะสามารถเช็กข้อมูลของคนไข้ หรือตรวจสอบดูได้ว่าคนไข้รายใดมีความจำเป็นที่จะต้องมาที่โรงพยาบาลด่วนเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดหรือไม่ รวมถึงการนำระบบเซ็นเซอร์ของบลูทูทใช้ตรวจสอบสภาพภายในของร่างกาย เป็นต้น
"เฟรด ซิมบริก" ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีจากโมโตโรล่า กล่าวว่า ผู้ใช้งานจะสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการใช้ระบบเซ็นเซอร์ของบลูทูทมาวิเคราะห์ว่าสมรรถภาพร่างกายตนเป็นอย่างไร อัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณการเผาผลาญแคลอรี และผู้ใช้จะสามารถบันทึกข้อมูลทั้งหมดลงบนโทรศัพท์ หรือเก็บไว้ที่โน้ตบุ๊กเพื่อนำมารวบรวมประมวลผลติดตามความก้าวหน้าได้
ทั้งนี้โมโตโรล่าอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์บลูทูทรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มระบบเซ็นเซอร์ลงไป โดยจะเริ่มมีการทดสอบอุปกรณ์ประมาณช่วงครึ่งปีหลังถึงต้นปี 2552 และหลังจากนั้นสินค้าก็จะเริ่มวางตลาด
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
การพัฒนาของเทคโนโลยีไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ โดยผู้คิดค้นต้องหาฟีเจอร์ใหม่ๆ มาเสริมและอัพเดตสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความทันสมัยตลอดเวลา
"เอ็มเอสเอ็นบีซี" รายงานว่า 10 ปีที่ผ่านมาหลังจาก "บลูทูท" เทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายอวดโฉมสู่ตลาด ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของโลกเทคโนโลยีไร้สายสำหรับการ ถ่ายโอนข้อมูลระหว่างกัน
ไบรอัน โอ รูก นักวิเคราะห์ด้านการบริการสื่อสารจากสถาบันวิจัยการตลาด In-Stat กล่าวว่า ปี 2550 มีอุปกรณ์ประมาณ 800 ล้านชิ้น ทั้งโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์แฮนด์เซตที่มีการ ติดตั้งระบบบลูทูท หรือแม้แต่เกม Wii ของนินเทนโด หรือเครื่องคอนโทรลไร้สาย เพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ ก็มีเทคโนโลยีบลูทูท ถึงแม้ว่าคอเกมทั้งหลายจะยังไม่ให้ความสนใจก็ตาม
แต่หากมองถึงยุคทศวรรษที่ 2 ของบลูทูทต่อจากนี้ มีการคาดกันว่าบลูทูทจะถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ความยุ่งยากเรื่องการเชื่อมต่อจะน้อยลง และบลูทูทรุ่นใหม่จะมีส่วนช่วยให้ชีวิตปลอดภัยขึ้น และเพิ่มความสะดวกสบายของผู้ใช้
อดีตที่ผ่านมา ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะพบปัญหาเรื่องกระบวนการติดตั้งที่มีความซับซ้อน แต่บลูทูทรุ่นใหม่จะแก้ปัญหาดังกล่าวโดยมีสเป็กที่พิเศษขึ้น คือระดับ 2.1+EDR (enhance data rate) ที่ได้รับรองมาตรฐานจากบลูทูท SIG ซึ่งจะมีความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลและกำจัดการเข้ารหัสที่ยุ่งยากออกไป เพื่อให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่แก่ผู้บริโภค
โดยโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์แฮนด์เซตที่มีการเพิ่มสเป็ก 2.1+EDR คาดว่าจะเริ่มทยอยสู่ตลาดปลายฤดูใบไม้ร่วงนี้
"บลูทูทแบบใหม่จะมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะอุปกรณ์จะมีการเข้ารหัสด้วยตัวของมันเอง ดังนั้นต่อไปผู้ใช้งานอาจเพียงแค่นำเครื่องแฮนด์เซต 2 เครื่องที่ต้องการใช้มาวางไว้ใกล้กันเท่านั้น และระบบจะทำงานเชื่อมอัตโนมัติด้วยตัวมันเอง แต่สิ่งที่สำคัญคือถ้าเราต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากสเป็ก 2.1+EDR คือเราจำเป็นจะต้องหาอุปกรณ์ที่มีสเป็กดังกล่าวด้วย" แอน ราเอน รัสมัสเซ็น ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจมือถือ GM Netcom กล่าว
ด้านความเร็วสำหรับการรับส่งข้อมูล เพลง หรือวิดีโอของบลูทูทนั้น ถึงแม้ปัจจุบันบลูทูทมีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยอัตรา 1-3 เมกะบิตต่อวินาที ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ทั่วไป
"แต่ตอนนี้เทคโนโลยีบลูทูทระดับไฮสปีดกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาจะมีอัตราความเร็วถึง 100 เมกะบิตต่อวินาที ดังนั้นถ้าผู้ใช้งานมีเครื่องโทรศัพท์ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก ก็จะต้องการบลูทูทที่เป็นไฮสปีดที่สามารถรับส่งข้อมูลจำนวนมากๆ ได้อย่างรวดเร็ว และถ้า บลูทูทมีความสามารถถึงระดับนั้นจริง แม้แต่การเล่นเพลง MP3 ที่ติดตั้งในโทรศัพท์มือถือ ก็จะสามารถดาวน์โหลดเพลงแบบไร้สายผ่านทางบลูทูทได้ด้วยเวลาไม่ถึงนาที" โอ รูก กล่าว
ขณะที่ปัจจุบันอุปกรณ์หูฟัง บลูทูทนับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้งานระหว่างขับรถ เพราะกฎหมายในหลายประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) ประกาศห้ามคุยโทรศัพท์ระหว่างขับรถ ยกเว้นแต่ใช้แฮนด์ฟรี หรือบลูทูท
ดังนั้นยอดขายของหูฟังบลูทูทในปี 2007 จึงสูงถึง 25 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การเพิ่มขึ้นของรถรุ่นใหม่ที่มาพร้อมการ ติดตั้งบลูทูท แฮนด์ฟรี และอุปกรณ์เสริม ก็มี มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เทคโนโลยีบลูทูทถูกพัฒนาความสามารถขึ้นและไม่ได้มีไว้ใช้งานแค่ด้านโทรศัพท์อย่างเดียว เช่น MotoOokr T505 ของโมโตโรล่า สามารถ ส่งเพลง สายโทร.เข้าจากบลูทูท หรือต่อไปยังระบบ สเตอริโอภายในรถได้
และในอนาคตถ้าบลูทูทมีความเร็วระดับไฮสปีดเกิดขึ้น ก็จะสามารถส่งสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งภาพและเสียงจากโทรศัพท์มือถือไปฉายบนจอภาพที่ติดตั้งภายในรถยนต์ได้ด้วย และถ้าบลูทูทถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับมีระบบเซ็นเซอร์อยู่ภายใน ก็อาจจะเชื่อมต่อกับระบบเซ็นเซอร์ภายในรถเพื่อตรวจเช็กสภาพภายในของรถยนต์ เช่น ตรวจวัดความดันอากาศของล้อรถ เป็นต้น
นอกจากประโยชน์ของเทคโนโลยีบลูทูทที่ใช้ติดต่อสื่อสารแบบไร้สายแล้ว ในอนาคตอุตสาห กรรมการแพทย์ก็จะนำบลูทูทมาใช้ประโยชน์ในฐานะเป็นอุปกรณ์เซ็นเซอร์อย่างหนึ่งเช่นกัน
ผู้ป่วยจะสามารถใช้ระบบเซ็นเซอร์ของบลูทูทเพื่อตรวจวัดระดับกลูโคสของหัวใจ โดยอาศัยการเชื่อมต่อแบบไร้สายของบลูทูทเชื่อมไปยังคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์ของแพทย์ที่โรงพยาบาล ทำให้แพทย์จะสามารถเช็กข้อมูลของคนไข้ หรือตรวจสอบดูได้ว่าคนไข้รายใดมีความจำเป็นที่จะต้องมาที่โรงพยาบาลด่วนเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดหรือไม่ รวมถึงการนำระบบเซ็นเซอร์ของบลูทูทใช้ตรวจสอบสภาพภายในของร่างกาย เป็นต้น
"เฟรด ซิมบริก" ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีจากโมโตโรล่า กล่าวว่า ผู้ใช้งานจะสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการใช้ระบบเซ็นเซอร์ของบลูทูทมาวิเคราะห์ว่าสมรรถภาพร่างกายตนเป็นอย่างไร อัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณการเผาผลาญแคลอรี และผู้ใช้จะสามารถบันทึกข้อมูลทั้งหมดลงบนโทรศัพท์ หรือเก็บไว้ที่โน้ตบุ๊กเพื่อนำมารวบรวมประมวลผลติดตามความก้าวหน้าได้
ทั้งนี้โมโตโรล่าอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์บลูทูทรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มระบบเซ็นเซอร์ลงไป โดยจะเริ่มมีการทดสอบอุปกรณ์ประมาณช่วงครึ่งปีหลังถึงต้นปี 2552 และหลังจากนั้นสินค้าก็จะเริ่มวางตลาด
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/02/08
โพสต์ที่ 110
ฮัลโหลเบอร์เดียวเริ่มพ.ค.นี้
โพสต์ทูเดย์ กทช. คาดเริ่มใช้โทรศัพท์เบอร์เดียวกับทุกระบบ ได้ พ.ค. นี้ นำร่องทดลองกับ มือถือก่อน
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า โครงการเลขหมายเดียวทุกระบบ หรือนัมเบอร์ พอร์เทบิลิตี (Number Portability) จะสามารถประกาศใช้ได้ภายในเดือน พ.ค. โดยจะเริ่มใช้งานระหว่างโทรศัพท์เคลื่อนที่กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ก่อน
สำหรับความคืบหน้าของโครงการขณะนี้เหลือเพียงขั้นตอนการพิจารณาร่างโครงการ หลังจากนั้นจะเปิดประชาพิจารณ์เพื่อกำหนดความต้องการของประชาชนไว้ในแผนการดำเนินการ ซึ่งคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะเสร็จในเดือน เม.ย. เพื่อนำไปประกาศใช้
นายสุรนันท์กล่าวถึงการจัดตั้งหน่วยงานกลางเพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณการใช้งาน (เคลียริงเฮาส์) หรือผู้ให้บริการสามารถดำเนินการกันเองได้ ซึ่งผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย จะร่วมลงทุนมูลค่า 1 พันล้านบาท ในการดำเนินการ เบื้องต้นเห็นว่าเคลียริงเฮาส์ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะแต่ละรายมีฐานข้อมูลการใช้งานของลูกค้าอยู่แล้ว
ด้านนายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ให้บริการทั้ง 3 รายได้เริ่มทดลองการปรับเปลี่ยนระบบ (Test run) บางส่วนแล้ว เพื่อทดสอบว่าหากใช้วิธีที่มีอยู่สามารถเคลียริงเฮาส์ได้เช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคหรือว่าลงทุนเพิ่มเติมอีก
สำหรับการตั้งเคลียริงเฮาส์มูลค่าพันล้านนั้น ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อผู้ให้บริการ เพราะหากลงทุนไปแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ให้บริการเท่าที่ควร การลงทุนทั้งหมดก็สูญเปล่า แต่ถ้าเป็นนโยบายของภาครัฐก็พร้อมที่จะดำเนินการตาม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220078
โพสต์ทูเดย์ กทช. คาดเริ่มใช้โทรศัพท์เบอร์เดียวกับทุกระบบ ได้ พ.ค. นี้ นำร่องทดลองกับ มือถือก่อน
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า โครงการเลขหมายเดียวทุกระบบ หรือนัมเบอร์ พอร์เทบิลิตี (Number Portability) จะสามารถประกาศใช้ได้ภายในเดือน พ.ค. โดยจะเริ่มใช้งานระหว่างโทรศัพท์เคลื่อนที่กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ก่อน
สำหรับความคืบหน้าของโครงการขณะนี้เหลือเพียงขั้นตอนการพิจารณาร่างโครงการ หลังจากนั้นจะเปิดประชาพิจารณ์เพื่อกำหนดความต้องการของประชาชนไว้ในแผนการดำเนินการ ซึ่งคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะเสร็จในเดือน เม.ย. เพื่อนำไปประกาศใช้
นายสุรนันท์กล่าวถึงการจัดตั้งหน่วยงานกลางเพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณการใช้งาน (เคลียริงเฮาส์) หรือผู้ให้บริการสามารถดำเนินการกันเองได้ ซึ่งผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย จะร่วมลงทุนมูลค่า 1 พันล้านบาท ในการดำเนินการ เบื้องต้นเห็นว่าเคลียริงเฮาส์ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะแต่ละรายมีฐานข้อมูลการใช้งานของลูกค้าอยู่แล้ว
ด้านนายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ให้บริการทั้ง 3 รายได้เริ่มทดลองการปรับเปลี่ยนระบบ (Test run) บางส่วนแล้ว เพื่อทดสอบว่าหากใช้วิธีที่มีอยู่สามารถเคลียริงเฮาส์ได้เช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคหรือว่าลงทุนเพิ่มเติมอีก
สำหรับการตั้งเคลียริงเฮาส์มูลค่าพันล้านนั้น ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อผู้ให้บริการ เพราะหากลงทุนไปแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ให้บริการเท่าที่ควร การลงทุนทั้งหมดก็สูญเปล่า แต่ถ้าเป็นนโยบายของภาครัฐก็พร้อมที่จะดำเนินการตาม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220078
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/02/08
โพสต์ที่ 111
ทีโอทีเบรกร่วมธุรกิจทรู/3ที
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที ล้มดีลร่วม ทรู-ทีทีแอนด์ที หลังเอกชนเสนอจ่ายส่วนแบ่งรายได้ฮัลโหลพื้นฐานลดลง ทำทีโอทีเสียมากกว่าได้
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ โฆษก คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้บอร์ดทีโอทีได้พิจารณาแล้วว่า จะไม่มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น และบริษัท ทีทีแอนด์ที (3 ที) แม้ในตอนแรก จะมีการตกลงว่าจะเซ็นเอ็มโอยูกับทรู เนื่องจากแผนการร่วมธุรกิจที่ทั้งสองบริษัทเสนอมาทำให้ทีโอทีเสียเปรียบมากกว่าได้ประโยชน์
ทั้งนี้ บอร์ดทีโอทีได้ประเมินว่า ทีโอทีจะไม่ได้รับผลประโยชน์ตามที่คาดไว้ เพราะสายธุรกิจที่ทรูให้บริการอยู่มีบางส่วนที่คาบเกี่ยวกับ ทีโอที ยากต่อการบริหารจัดการ รวมทั้งร่างแผนธุรกิจที่เอกชนเสนอมายังมีบางส่วนที่อิงกับสัญญาสัมปทานและประเด็นการฟ้องร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด ได้สั่งให้แก้ไขเอ็มโอยูใหม่ทั้งหมด และส่งกลับไปยังทรูอีกครั้ง แต่ทรูไม่ได้มีหนังสือตอบกลับมาแต่อย่างใด
รายงานข่าวจากบริษัท ทีโอที ระบุว่า ประเด็นที่ทำให้บอร์ดไม่ยอมรับในข้อเสนอการเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับทรูและทีทีแอนด์ที คือ 1.ทีโอทีต้องยกฟ้องคดีที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งหมด และ 2.จะต้องมีการปรับเปลี่ยนส่วนแบ่งรายได้ใหม่ในธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานใหม่ จากปัจจุบันที่ทรูจ่ายในอัตรา 16% และทีทีแอนด์ที 43%
ถ้าบอร์ดทีโอทีเห็นชอบในข้อเสนอ ก็เท่ากับทำให้ทีโอทีเสียประโยชน์มหาศาล การทำงานของบอร์ดเหลือเพียง 2-3 วัน ซึ่งอาจจะมีการลาออกในวันที่ 14 ก.พ. นี้ การเซ็นเอ็มโอยูก็คงค้างไว้บอร์ดชุดหน้าตัดสินใจ แหล่งข่าวเปิดเผย
พ.อ.นที กล่าวว่า การที่ พล.อ.สพรั่ง ประกาศลาออกในวันที่ 14 ก.พ. นี้ ส่งผลให้ความร่วมมือกับทั้งทรูและทีทีแอนด์ทีไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันบอร์ดชุดนี้แน่นอน ดังนั้น จึงมีเพียงความร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ที่ได้ลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ 21 ม.ค. เท่านั้น
การร่วมมือกับรายอื่นๆ นั้น เนื่องจากบอร์ดชุดนี้ต้องการวาง รากฐานให้ทีโอทีทำธุรกิจกับพันธมิตรมากขึ้น แต่พอมาถึงทรูและทีทีแอนด์ทีที่มีประเด็นฟ้องร้องคดีกันอยู่ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้น การตัดสินใจคงตกอยู่ กับบอร์ดชุดใหม่ ซึ่งมีสิทธิยกเลิกแนวคิดนี้ก็ได้ พ.อ.นที กล่าว
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของทีโอที ในการร่วมมือกับผู้ประกอบการเอกชนเพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายร่วมกันในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกันอย่างมีประโยชน์สูงสุดกับผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกความเข้าใจร่วมกันดังกล่าว จะมีเงื่อนไขต่อท้ายว่า จะไม่ก้าวก่ายสัมปทานเดิมที่มีอยู่ และจะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีโอทีในอนาคต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220335
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที ล้มดีลร่วม ทรู-ทีทีแอนด์ที หลังเอกชนเสนอจ่ายส่วนแบ่งรายได้ฮัลโหลพื้นฐานลดลง ทำทีโอทีเสียมากกว่าได้
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ โฆษก คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้บอร์ดทีโอทีได้พิจารณาแล้วว่า จะไม่มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น และบริษัท ทีทีแอนด์ที (3 ที) แม้ในตอนแรก จะมีการตกลงว่าจะเซ็นเอ็มโอยูกับทรู เนื่องจากแผนการร่วมธุรกิจที่ทั้งสองบริษัทเสนอมาทำให้ทีโอทีเสียเปรียบมากกว่าได้ประโยชน์
ทั้งนี้ บอร์ดทีโอทีได้ประเมินว่า ทีโอทีจะไม่ได้รับผลประโยชน์ตามที่คาดไว้ เพราะสายธุรกิจที่ทรูให้บริการอยู่มีบางส่วนที่คาบเกี่ยวกับ ทีโอที ยากต่อการบริหารจัดการ รวมทั้งร่างแผนธุรกิจที่เอกชนเสนอมายังมีบางส่วนที่อิงกับสัญญาสัมปทานและประเด็นการฟ้องร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด ได้สั่งให้แก้ไขเอ็มโอยูใหม่ทั้งหมด และส่งกลับไปยังทรูอีกครั้ง แต่ทรูไม่ได้มีหนังสือตอบกลับมาแต่อย่างใด
รายงานข่าวจากบริษัท ทีโอที ระบุว่า ประเด็นที่ทำให้บอร์ดไม่ยอมรับในข้อเสนอการเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับทรูและทีทีแอนด์ที คือ 1.ทีโอทีต้องยกฟ้องคดีที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งหมด และ 2.จะต้องมีการปรับเปลี่ยนส่วนแบ่งรายได้ใหม่ในธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานใหม่ จากปัจจุบันที่ทรูจ่ายในอัตรา 16% และทีทีแอนด์ที 43%
ถ้าบอร์ดทีโอทีเห็นชอบในข้อเสนอ ก็เท่ากับทำให้ทีโอทีเสียประโยชน์มหาศาล การทำงานของบอร์ดเหลือเพียง 2-3 วัน ซึ่งอาจจะมีการลาออกในวันที่ 14 ก.พ. นี้ การเซ็นเอ็มโอยูก็คงค้างไว้บอร์ดชุดหน้าตัดสินใจ แหล่งข่าวเปิดเผย
พ.อ.นที กล่าวว่า การที่ พล.อ.สพรั่ง ประกาศลาออกในวันที่ 14 ก.พ. นี้ ส่งผลให้ความร่วมมือกับทั้งทรูและทีทีแอนด์ทีไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันบอร์ดชุดนี้แน่นอน ดังนั้น จึงมีเพียงความร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ที่ได้ลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ 21 ม.ค. เท่านั้น
การร่วมมือกับรายอื่นๆ นั้น เนื่องจากบอร์ดชุดนี้ต้องการวาง รากฐานให้ทีโอทีทำธุรกิจกับพันธมิตรมากขึ้น แต่พอมาถึงทรูและทีทีแอนด์ทีที่มีประเด็นฟ้องร้องคดีกันอยู่ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้น การตัดสินใจคงตกอยู่ กับบอร์ดชุดใหม่ ซึ่งมีสิทธิยกเลิกแนวคิดนี้ก็ได้ พ.อ.นที กล่าว
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของทีโอที ในการร่วมมือกับผู้ประกอบการเอกชนเพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายร่วมกันในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกันอย่างมีประโยชน์สูงสุดกับผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกความเข้าใจร่วมกันดังกล่าว จะมีเงื่อนไขต่อท้ายว่า จะไม่ก้าวก่ายสัมปทานเดิมที่มีอยู่ และจะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีโอทีในอนาคต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220335
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/02/08
โพสต์ที่ 112
AIS และ DTAC หวังการแก้กฎหมายที่คลุมเครือ จะช่วยแก้ปัญหาให้ธุรกิจสื่อสารได้
Posted on Thursday, February 14, 2008
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า หลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่แล้ว ยังมีหลายประเด็นที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ
1. การผลักดันอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยให้พัฒนามากขึ้น เนื่องจากโทรคมนาคมไทยไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการใหม่ ๆ มานานพอสมควรแล้ว
2. การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของประเทศให้ดีขึ้น เนื่องจากขณะนี้ไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติอยู่ ถ้าไทยไม่มีศักยภาพในการแข่งขัน ต่างชาติก็จะไม่เข้ามาลงทุน
3. แก้ปัญหาเรื่องการฟ้องร้อง และความขัดแย้งของธุรกิจสื่อสาร เพราะถ้ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้โทรคมนาคมไทยพัฒนาได้เร็วขึ้น โดยอยากให้รัฐแก้ไขกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มพาณิชย์ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) บอกว่า หลังจากที่รัฐบาลได้มีการประกาศนโยบายหลักออกมา ก็ยังไม่มีนโยบายใดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอย่างชัดเจน แต่การที่นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) บอกว่า จะพยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากรอการตัดสินจากศาล ก็จะต้องใช้เวลานาน รวมถึงแนวคิดที่จะกระจายเทคโนโลยีสู่ชนบท ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
นส.วราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ซีมีโก้ คาดว่า ผลประกอบการของกลุ่มสื่อสารในปี 2551 จะดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่การแข่งขันด้านราคาก็มีแนวโน้มลดลงหลังจากที่มีการนำค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Interconnection Charge : IC) มาใช้ รวมถึงหากมีการลงทุนและใช้เทคโนโลยี 3G ก็จะช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวกับภาครัฐได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มสื่อสารก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากกฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ และกรณีข้อพิพาทเรื่องค่า AC ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Thursday, February 14, 2008
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า หลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่แล้ว ยังมีหลายประเด็นที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ
1. การผลักดันอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยให้พัฒนามากขึ้น เนื่องจากโทรคมนาคมไทยไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการใหม่ ๆ มานานพอสมควรแล้ว
2. การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของประเทศให้ดีขึ้น เนื่องจากขณะนี้ไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติอยู่ ถ้าไทยไม่มีศักยภาพในการแข่งขัน ต่างชาติก็จะไม่เข้ามาลงทุน
3. แก้ปัญหาเรื่องการฟ้องร้อง และความขัดแย้งของธุรกิจสื่อสาร เพราะถ้ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้โทรคมนาคมไทยพัฒนาได้เร็วขึ้น โดยอยากให้รัฐแก้ไขกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มพาณิชย์ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) บอกว่า หลังจากที่รัฐบาลได้มีการประกาศนโยบายหลักออกมา ก็ยังไม่มีนโยบายใดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอย่างชัดเจน แต่การที่นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) บอกว่า จะพยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากรอการตัดสินจากศาล ก็จะต้องใช้เวลานาน รวมถึงแนวคิดที่จะกระจายเทคโนโลยีสู่ชนบท ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
นส.วราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ซีมีโก้ คาดว่า ผลประกอบการของกลุ่มสื่อสารในปี 2551 จะดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่การแข่งขันด้านราคาก็มีแนวโน้มลดลงหลังจากที่มีการนำค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Interconnection Charge : IC) มาใช้ รวมถึงหากมีการลงทุนและใช้เทคโนโลยี 3G ก็จะช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวกับภาครัฐได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มสื่อสารก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากกฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ และกรณีข้อพิพาทเรื่องค่า AC ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/02/08
โพสต์ที่ 113
ไอซีทีเครื่องร้อน ปั้น3จี-ไวแมกซ์ จี้บอร์ดทีโอทีพ้น
โพสต์ทูเดย์ รมว.ไอซีที ระบุไทยล้าหลังกว่าเวียดนาม มาเลเซีย เตรียมหนุนมือถือ 3จี และไวแมกซ์ แจ้งเกิดในไทย รอเพียง ประธานบอร์ดทีโอที ลาออกก่อน
นายมั่น พัธโนทัย รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ยังล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศเวียดนามและมาเลเซีย จึงต้องการจะส่งเสริมให้ไทยมีการนำเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง ทั้ง 3จี และไวแมกซ์มาใช้โดยเร็ว
ทั้งนี้ ทางกระทรวงไอซีทีจะได้หารือ กับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กทช.) และกลุ่มผู้ให้บริการมือถือต่อไป เพื่อเร่งผลักดันในเรื่องดังกล่าว ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221019
โพสต์ทูเดย์ รมว.ไอซีที ระบุไทยล้าหลังกว่าเวียดนาม มาเลเซีย เตรียมหนุนมือถือ 3จี และไวแมกซ์ แจ้งเกิดในไทย รอเพียง ประธานบอร์ดทีโอที ลาออกก่อน
นายมั่น พัธโนทัย รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ยังล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศเวียดนามและมาเลเซีย จึงต้องการจะส่งเสริมให้ไทยมีการนำเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง ทั้ง 3จี และไวแมกซ์มาใช้โดยเร็ว
ทั้งนี้ ทางกระทรวงไอซีทีจะได้หารือ กับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กทช.) และกลุ่มผู้ให้บริการมือถือต่อไป เพื่อเร่งผลักดันในเรื่องดังกล่าว ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221019
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/02/08
โพสต์ที่ 114
ซิป้าหวังไอซีที ดึงทุนนอกรุก ธุรกิจด้านไอที
โพสต์ทูเดย์ ซิป้า หวังไอซีทีกระตุ้นต่างชาติลงทุน อุตฯ ซอฟต์แวร์เพิ่ม สานต่อซิลิคอน วัลเลย์ ดันตลาดโตทะลุ 6 หมื่นล้าน
นายรุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาห กรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน หรือ ซิป้า กล่าวว่า ต้องการให้นายมั่น พัธโนทัย รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กระตุ้นให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันการลงทุนดังกล่าวมีมูลค่าเพียง 200 ล้านบาท เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับตลาดรวมซอฟต์แวร์ที่มีมูลค่าประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การกระตุ้นนักลงทุน ต่างชาติสอดคล้องกับแผนพัฒนาของซิป้าในปีนี้ที่ได้วางให้ จ.ภูเก็ต เป็น ซิลิคอน วัลเลย์ เมืองไทย ขณะที่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และแยกคอกวัว จะเน้นการพัฒนาบุคลากร และการบ่มเพาะผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ยังสานต่อนโยบายรัฐบาลชุดที่แล้ว คือ พยายาม ผลักดันผู้ประกอบการ ในอุตสาห กรรมซอฟต์แวร์ให้เติบโตได้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท ในปี 2553 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 6.2 หมื่นล้านบาท
นายสมเกียรติ อึงอารี นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (เอทีเอสไอ) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเดินทางเข้าพบ รมว.ไอซีที เพื่อให้ทราบถึงปัญหาและภาพรวมของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในมุมมองของเอกชน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221956
โพสต์ทูเดย์ ซิป้า หวังไอซีทีกระตุ้นต่างชาติลงทุน อุตฯ ซอฟต์แวร์เพิ่ม สานต่อซิลิคอน วัลเลย์ ดันตลาดโตทะลุ 6 หมื่นล้าน
นายรุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาห กรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน หรือ ซิป้า กล่าวว่า ต้องการให้นายมั่น พัธโนทัย รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กระตุ้นให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันการลงทุนดังกล่าวมีมูลค่าเพียง 200 ล้านบาท เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับตลาดรวมซอฟต์แวร์ที่มีมูลค่าประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การกระตุ้นนักลงทุน ต่างชาติสอดคล้องกับแผนพัฒนาของซิป้าในปีนี้ที่ได้วางให้ จ.ภูเก็ต เป็น ซิลิคอน วัลเลย์ เมืองไทย ขณะที่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และแยกคอกวัว จะเน้นการพัฒนาบุคลากร และการบ่มเพาะผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ยังสานต่อนโยบายรัฐบาลชุดที่แล้ว คือ พยายาม ผลักดันผู้ประกอบการ ในอุตสาห กรรมซอฟต์แวร์ให้เติบโตได้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท ในปี 2553 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 6.2 หมื่นล้านบาท
นายสมเกียรติ อึงอารี นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (เอทีเอสไอ) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเดินทางเข้าพบ รมว.ไอซีที เพื่อให้ทราบถึงปัญหาและภาพรวมของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในมุมมองของเอกชน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221956
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/03/08
โพสต์ที่ 115
เอกชนเร่ง กทช. ออกใบอนุญาต 3G + WiMAX เชื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
Posted on Friday, February 29, 2008
พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานกรรมการ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า วันนี้ (29 ก.พ.) กทช. มีการทำประชาพิจารณ์แผนแม่บทของกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 เป็นครั้งสุดท้าย โดยแผนแม่บทฉบับนี้ได้นำแนวนโยบายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาลมาร่วมในการกำหนดแผนแม่บทด้วย และหลังจากเสร็จสิ้นการทำประชาพิจารณ์แล้ว กทช. ก็จะนำผลการประชาพิจารณ์ไปปรับใช้ให้ดีขึ้น ทั้งนี้ แผนแม่บทฉบับที่ 2 จะมีการบังคับใช้ระหว่างปี 2551 2553
สำหรับประเด็นสำคัญของแผนแม่บทฉบับที่ 2 คือ การกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบมากขึ้น นอกจากนี้ก็จะต้องจัดให้มีการแข่งขันอย่างเสรี และเป็นธรรมด้วย
พล.อ.ชูชาติยังกล่าวถึงความคืบหน้าของ 3G ด้วยว่า ขณะนี้ กทช. ได้จ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำกฎกติกา โดยคาดว่าภายใน 3 4 เดือนข้างหน้า กทช. จะสามารถออกกฎเกณฑ์การใช้ 3G ได้ ส่วนเทคโนโลยีบนบรอดแบนด์แบบไร้สาย (WiMAX) ก็ได้อนุญาตให้เอกชนกว่า 10 รายไปทำการทดสอบแล้ว โดยผลจากการทดสอบจะนำไปกำหนดเป็นหลักเกณฑ์อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ คาดว่าภายในปีนี้ กทช. จะสามารถออกใบอนุญาต 3G และ WiMAX ได้
ส่วนกรณีที่บทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติ กำหนดให้ กทช. ทำหน้าที่ดูแลวิทยุชุมชนและเคเบิลทีวีนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดของกฎหมายว่า กทช. จะสามารถดูแลเรื่องใดได้บ้าง
นายอนันต์ วรธิติพงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระบบอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันมีหลายประเภท ได้แก่
1. ระบบอินเตอร์เน็ตแบบใช้สายโทรศัพท์เชื่อมผ่านโมเด็ม แต่ระบบนี้มีข้อเสีย คือ ใช้เวลาในการโหลดข้อมูลนาน
2. ระบบอินเตอร์เน็ตแบบใช้สายโทรศัพท์เชื่อมผ่านโมเด็มความเร็วสูง (High Speed) ระบบนี้จะทำให้สามารถโหลดข้อมูลได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระบบอินเตอร์เน็ตแบบใช้สายโทรศัพท์ยังมีข้อจำกัด คือ หลายพื้นที่ในไทยยังไม่มีการเดินสายโทรศัพท์ ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตได้
สำหรับ 3G และ WiMAX ถือเป็นการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย ซึ่งถ้าไทยมีการใช้ระบบนี้ เชื่อว่าจะช่วยในการพัฒนาบุคลากรของประเทศ เพราะประชาชนจะสามารถเข้าถึงแหล่งถึงข้อมูลได้มากขึ้น ส่วนราคาค่าบริการนั้น เชื่อว่าจะไม่สูง เพราะถ้าค่าบริการสูง ผู้บริโภคก็มีสิทธิที่จะไม่เลือกใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการให้บริการเฉพาะด้านและไม่มีผู้ให้บริการมากนัก ก็มีโอกาสที่ราคาค่าบริการอาจจะสูงขึ้นได้
นายอนันต์บอกว่า อยากให้ประเทศไทยมีการใช้ 3G และ WiMAX โดยเร็ว เนื่องจากผู้ประกอบการต่างก็มีความพร้อมทั้งบุคลากรและเงินทุน ขณะที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็มีการพัฒนามากขึ้น และประเทศในอาเซียนก็มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้หมดแล้ว ยกเว้นไทยและพม่า ซึ่งถ้าไทยยังใช้ระบบเดิม แต่ประเทศอื่น ๆ ได้เปลี่ยนไปใช้ 3G กับ WiMAX กันหมด ก็จะทำให้โทรคมนาคมไทยมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีไม่มีอะไหล่สำรองไว้รองรับ
นอกจากนี้ยังอยากให้ผู้ประกอบการ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ควรร่วมมือกันในการพัฒนาและใช้ระบบโครงข่ายร่วมกัน เพื่อลดการลงทุนโครงข่ายที่ซ้ำซ้อน และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็อาจจะมีค่าบริการที่ลดลงด้วย
ติดตาม Hard Topic ทาง Money Channel True Visions 80 ทุกวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 13.00 14.00 น.
ช่องทางการรับชม Money Channel: True Visions ช่อง 80, จานดาวเทียม Samart DTH ช่อง 08 และเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่อง 30
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Cli ... fault.aspx
Posted on Friday, February 29, 2008
พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานกรรมการ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า วันนี้ (29 ก.พ.) กทช. มีการทำประชาพิจารณ์แผนแม่บทของกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 เป็นครั้งสุดท้าย โดยแผนแม่บทฉบับนี้ได้นำแนวนโยบายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาลมาร่วมในการกำหนดแผนแม่บทด้วย และหลังจากเสร็จสิ้นการทำประชาพิจารณ์แล้ว กทช. ก็จะนำผลการประชาพิจารณ์ไปปรับใช้ให้ดีขึ้น ทั้งนี้ แผนแม่บทฉบับที่ 2 จะมีการบังคับใช้ระหว่างปี 2551 2553
สำหรับประเด็นสำคัญของแผนแม่บทฉบับที่ 2 คือ การกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบมากขึ้น นอกจากนี้ก็จะต้องจัดให้มีการแข่งขันอย่างเสรี และเป็นธรรมด้วย
พล.อ.ชูชาติยังกล่าวถึงความคืบหน้าของ 3G ด้วยว่า ขณะนี้ กทช. ได้จ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำกฎกติกา โดยคาดว่าภายใน 3 4 เดือนข้างหน้า กทช. จะสามารถออกกฎเกณฑ์การใช้ 3G ได้ ส่วนเทคโนโลยีบนบรอดแบนด์แบบไร้สาย (WiMAX) ก็ได้อนุญาตให้เอกชนกว่า 10 รายไปทำการทดสอบแล้ว โดยผลจากการทดสอบจะนำไปกำหนดเป็นหลักเกณฑ์อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ คาดว่าภายในปีนี้ กทช. จะสามารถออกใบอนุญาต 3G และ WiMAX ได้
ส่วนกรณีที่บทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติ กำหนดให้ กทช. ทำหน้าที่ดูแลวิทยุชุมชนและเคเบิลทีวีนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดของกฎหมายว่า กทช. จะสามารถดูแลเรื่องใดได้บ้าง
นายอนันต์ วรธิติพงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระบบอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันมีหลายประเภท ได้แก่
1. ระบบอินเตอร์เน็ตแบบใช้สายโทรศัพท์เชื่อมผ่านโมเด็ม แต่ระบบนี้มีข้อเสีย คือ ใช้เวลาในการโหลดข้อมูลนาน
2. ระบบอินเตอร์เน็ตแบบใช้สายโทรศัพท์เชื่อมผ่านโมเด็มความเร็วสูง (High Speed) ระบบนี้จะทำให้สามารถโหลดข้อมูลได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระบบอินเตอร์เน็ตแบบใช้สายโทรศัพท์ยังมีข้อจำกัด คือ หลายพื้นที่ในไทยยังไม่มีการเดินสายโทรศัพท์ ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตได้
สำหรับ 3G และ WiMAX ถือเป็นการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย ซึ่งถ้าไทยมีการใช้ระบบนี้ เชื่อว่าจะช่วยในการพัฒนาบุคลากรของประเทศ เพราะประชาชนจะสามารถเข้าถึงแหล่งถึงข้อมูลได้มากขึ้น ส่วนราคาค่าบริการนั้น เชื่อว่าจะไม่สูง เพราะถ้าค่าบริการสูง ผู้บริโภคก็มีสิทธิที่จะไม่เลือกใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการให้บริการเฉพาะด้านและไม่มีผู้ให้บริการมากนัก ก็มีโอกาสที่ราคาค่าบริการอาจจะสูงขึ้นได้
นายอนันต์บอกว่า อยากให้ประเทศไทยมีการใช้ 3G และ WiMAX โดยเร็ว เนื่องจากผู้ประกอบการต่างก็มีความพร้อมทั้งบุคลากรและเงินทุน ขณะที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็มีการพัฒนามากขึ้น และประเทศในอาเซียนก็มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้หมดแล้ว ยกเว้นไทยและพม่า ซึ่งถ้าไทยยังใช้ระบบเดิม แต่ประเทศอื่น ๆ ได้เปลี่ยนไปใช้ 3G กับ WiMAX กันหมด ก็จะทำให้โทรคมนาคมไทยมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีไม่มีอะไหล่สำรองไว้รองรับ
นอกจากนี้ยังอยากให้ผู้ประกอบการ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ควรร่วมมือกันในการพัฒนาและใช้ระบบโครงข่ายร่วมกัน เพื่อลดการลงทุนโครงข่ายที่ซ้ำซ้อน และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็อาจจะมีค่าบริการที่ลดลงด้วย
ติดตาม Hard Topic ทาง Money Channel True Visions 80 ทุกวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 13.00 14.00 น.
ช่องทางการรับชม Money Channel: True Visions ช่อง 80, จานดาวเทียม Samart DTH ช่อง 08 และเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่อง 30
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Cli ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/03/08
โพสต์ที่ 116
ทรูแตะมือดีแทค ซัดเอไอเอสรับ
โพสต์ทูเดย์ ทรูมูฟ ผนึกดีแทคขย่มเอไอเอส รับหน้าซิมธงฟ้าตามส่วนแบ่งตลาด ชี้รายใหญ่ต้องพร้อมแบกรับต้นทุนได้มากกว่า
นายสุภกิจ วรรธนะดิษฐ์ ผู้อำนวยการด้านการตลาดและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า หากกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือลดราคาลงมาอีก ทรูมูฟสามารถลดราคาซิมการ์ดระบบเติมเงิน (พรีเพด) เหลือ 35 บาท จาก 49 บาท แต่รัฐบาลต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดจำหน่ายทั้งหมด
ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการซิม ธงฟ้า ค่าบริการที่เหมาะสมที่สุดควรอยู่ที่นาทีละ 50 สต. และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส จะต้องรับผิดชอบเรื่องต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการนี้มากกว่ารายอื่นในฐานะที่เป็นผู้นำตลาด โดยปัจจุบันเอไอเอสครองส่วนแบ่งในตลาดโทรศัพท์มือถือ 44% ดีแทค 31% และทรูมูฟ 22%
นายชัยยศ จิรบวรกุล ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มธุรกิจโพสต์เพด ดีแทค กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่รายใหญ่ควรต้องแบกรับ ในเรื่องต้นทุนต่างๆ มากกว่ารายเล็ก เนื่องจากมีความได้เปรียบในทุกด้าน เพราะหากต้องแบกรับเท่ากัน รายเล็กจะเสียเปรียบอย่างมาก
ด้านนายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด เอไอเอส กล่าวว่า ต้องการรอดูนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐก่อนว่า อยากให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ ช่วยประชาชนในมุมใดได้อีก ซึ่งเอไอเอสไม่ต้องการเป็นผู้นำในการเสนอราคานั้น เนื่องจากเป็นรายใหญ่ เพราะอาจถูกมองในเรื่องการทุ่มตลาดได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226507
โพสต์ทูเดย์ ทรูมูฟ ผนึกดีแทคขย่มเอไอเอส รับหน้าซิมธงฟ้าตามส่วนแบ่งตลาด ชี้รายใหญ่ต้องพร้อมแบกรับต้นทุนได้มากกว่า
นายสุภกิจ วรรธนะดิษฐ์ ผู้อำนวยการด้านการตลาดและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า หากกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือลดราคาลงมาอีก ทรูมูฟสามารถลดราคาซิมการ์ดระบบเติมเงิน (พรีเพด) เหลือ 35 บาท จาก 49 บาท แต่รัฐบาลต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดจำหน่ายทั้งหมด
ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการซิม ธงฟ้า ค่าบริการที่เหมาะสมที่สุดควรอยู่ที่นาทีละ 50 สต. และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส จะต้องรับผิดชอบเรื่องต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการนี้มากกว่ารายอื่นในฐานะที่เป็นผู้นำตลาด โดยปัจจุบันเอไอเอสครองส่วนแบ่งในตลาดโทรศัพท์มือถือ 44% ดีแทค 31% และทรูมูฟ 22%
นายชัยยศ จิรบวรกุล ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มธุรกิจโพสต์เพด ดีแทค กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่รายใหญ่ควรต้องแบกรับ ในเรื่องต้นทุนต่างๆ มากกว่ารายเล็ก เนื่องจากมีความได้เปรียบในทุกด้าน เพราะหากต้องแบกรับเท่ากัน รายเล็กจะเสียเปรียบอย่างมาก
ด้านนายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด เอไอเอส กล่าวว่า ต้องการรอดูนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐก่อนว่า อยากให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ ช่วยประชาชนในมุมใดได้อีก ซึ่งเอไอเอสไม่ต้องการเป็นผู้นำในการเสนอราคานั้น เนื่องจากเป็นรายใหญ่ เพราะอาจถูกมองในเรื่องการทุ่มตลาดได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226507
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/04/08
โพสต์ที่ 117
กสทฯลุยเปิดบริการCDMAทั่วปท. ทุ่ม50ล.อัดโปรโมชั่นเต็มสูบเหตุไม่มีภาระค่า"ไอซี"
"กสทฯ" ไม่หวั่นข้อพิพาท "ฮัทช์ & เอไอเอส" ป่วนภาพลักษณ์บริการ ควัก 50 ล้านเปิดตัว "CAT CDMA" ดีเดย์ 51 จังหวัดทั่วประเทศ พ.ค.นี้ พร้อมส่งโปรโมชั่นสุดเร้าใจ เผยแผนยกสถานะเป็น "เน็ตเวิร์กโอเปอเรเตอร์" ดัน "ฮัทช์" รับสิทธิทำตลาดรูปแบบยังไม่คืบหน้า ฟาก "เอไอเอส" ควง "ดีแทค" เปิดแถลงข่าวแจงข้อมูลการโทร. ต้นสัปดาห์หน้ายันไม่มีบล็อกสัญญาณ ทั้งออกโรงกระทุ้ง "กทช." อีกรอบเร่งรัดดึงฮัทช์-กสทฯเข้าระบบ "ไอซี" ยุติปัญหา
นางสาวธันวดี วงศ์ธีรฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจซีดีเอ็มเอ บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทได้เดินหน้าการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ในชื่อ CAT CDMA โดยได้เริ่ม โปรโมตบริการผ่านสื่อโฆษณาต่างๆแล้ว และภายในเดือน พ.ค.นี้จะออกไปเปิดตัวตามจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ภายใต้เครือข่าย 51 จังหวัดทั่วประเทศของ กสทฯด้วย คาดว่าภายในสิ้นเดือน มิ.ย.จะมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 34,000 รายในปัจจุบัน เป็น 60,000 ราย โดยใช้งบประมาณด้านการตลาดในเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
โดยขณะนี้ CAT CDMA ได้มีแคมเปญโปรโมชั่น อาทิ "79 คุยสั้นฟรี" เก็บ รายเดือน 79 บาท โทร.นาทีแรกฟรีในเครือข่ายฮัทช์ และ CAT CDMA นอกเครือข่ายนาทีแรก 0.25 บาท นาทีถัดไป 1.50 บาท
หรือแคมเปญ"179คุยสั้นโทร.ครั้งละ 3 บาท" จ่าย 179 บาท โทร.ได้ 179 บาท คิดค่าโทร.นอกเครือข่ายนาทีแรก 2 บาท ถัดไป 1 บาท ในเครือข่ายนาทีที่ 1-3 นาทีละบาท นาทีที่ 4 เป็นต้นไปฟรี และได้รับสิทธิตามโปรโมชั่นถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2552 หรือจ่ายรายเดือน 149 บาท โทรฟรีทุกเครือข่ายตั้งแต่ 8.00น.-17.00น. ค่าโทร.นอกเวลานาทีละ 1.50 บาท
"ก่อนหน้านี้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเราจะเลิกให้บริการโทรศัพท์ระบบ CDMA ซึ่งไม่เป็นความจริง พอมีข่าวออกไปทั้งพนักงานและลูกค้าต่างสอบถามข้อเท็จจริงเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งกสทฯได้เร่งทำความเข้าใจกับพนักงานและผู้บริโภคแล้ว จากนี้คงจะได้เห็นสื่อโฆษณาของ CAT CDMA มากขึ้นเรื่อยๆ"
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
"กสทฯ" ไม่หวั่นข้อพิพาท "ฮัทช์ & เอไอเอส" ป่วนภาพลักษณ์บริการ ควัก 50 ล้านเปิดตัว "CAT CDMA" ดีเดย์ 51 จังหวัดทั่วประเทศ พ.ค.นี้ พร้อมส่งโปรโมชั่นสุดเร้าใจ เผยแผนยกสถานะเป็น "เน็ตเวิร์กโอเปอเรเตอร์" ดัน "ฮัทช์" รับสิทธิทำตลาดรูปแบบยังไม่คืบหน้า ฟาก "เอไอเอส" ควง "ดีแทค" เปิดแถลงข่าวแจงข้อมูลการโทร. ต้นสัปดาห์หน้ายันไม่มีบล็อกสัญญาณ ทั้งออกโรงกระทุ้ง "กทช." อีกรอบเร่งรัดดึงฮัทช์-กสทฯเข้าระบบ "ไอซี" ยุติปัญหา
นางสาวธันวดี วงศ์ธีรฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจซีดีเอ็มเอ บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทได้เดินหน้าการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ในชื่อ CAT CDMA โดยได้เริ่ม โปรโมตบริการผ่านสื่อโฆษณาต่างๆแล้ว และภายในเดือน พ.ค.นี้จะออกไปเปิดตัวตามจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ภายใต้เครือข่าย 51 จังหวัดทั่วประเทศของ กสทฯด้วย คาดว่าภายในสิ้นเดือน มิ.ย.จะมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 34,000 รายในปัจจุบัน เป็น 60,000 ราย โดยใช้งบประมาณด้านการตลาดในเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
โดยขณะนี้ CAT CDMA ได้มีแคมเปญโปรโมชั่น อาทิ "79 คุยสั้นฟรี" เก็บ รายเดือน 79 บาท โทร.นาทีแรกฟรีในเครือข่ายฮัทช์ และ CAT CDMA นอกเครือข่ายนาทีแรก 0.25 บาท นาทีถัดไป 1.50 บาท
หรือแคมเปญ"179คุยสั้นโทร.ครั้งละ 3 บาท" จ่าย 179 บาท โทร.ได้ 179 บาท คิดค่าโทร.นอกเครือข่ายนาทีแรก 2 บาท ถัดไป 1 บาท ในเครือข่ายนาทีที่ 1-3 นาทีละบาท นาทีที่ 4 เป็นต้นไปฟรี และได้รับสิทธิตามโปรโมชั่นถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2552 หรือจ่ายรายเดือน 149 บาท โทรฟรีทุกเครือข่ายตั้งแต่ 8.00น.-17.00น. ค่าโทร.นอกเวลานาทีละ 1.50 บาท
"ก่อนหน้านี้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเราจะเลิกให้บริการโทรศัพท์ระบบ CDMA ซึ่งไม่เป็นความจริง พอมีข่าวออกไปทั้งพนักงานและลูกค้าต่างสอบถามข้อเท็จจริงเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งกสทฯได้เร่งทำความเข้าใจกับพนักงานและผู้บริโภคแล้ว จากนี้คงจะได้เห็นสื่อโฆษณาของ CAT CDMA มากขึ้นเรื่อยๆ"
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/04/08
โพสต์ที่ 118
คนไทยไฮเทคขึ้น ใช้คอมพ์-เน็ตเพิ่ม
โพสต์ทูเดย์ เผยผู้ใช้คอมพ์ในไทยสูงถึง 16 ล้านคน ส่วนผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตเพิ่มอีก 1 ล้านคน มือถือมีใช้ 28 ล้านคน
รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยสำรวจการใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมของคนไทยอายุ 6 ขวบขึ้นไป พบว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ประมาณ 16 ล้านคน หรือ 26.8% ของประชากร เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีจำนวนผู้ใช้คอมพ์ 15.39 ล้านคน
ด้านผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปี 2550 มีสัดส่วน 9.32 ล้านคน คิดเป็น 15.5% เพิ่มจากปี 2549 ที่มีผู้ใช้งาน 8 ล้านคน โดยพบว่า กทม. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมากที่สุด คือ 40.2% และ 29.9% ตามลำดับ รองลงมาคือ ภาคกลาง 27.5% และ 15.7% ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตน้อยกว่าภาคอื่นๆ คือ 22.9% และ 11.9% ตามลำดับ
สำหรับโทรศัพท์มือถือ พบว่าเป็นผู้มีโทรศัพท์มือถือประมาณ 28.29 ล้านคน หรือ 47% โดย กทม.เป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนของผู้มีโทรศัพท์มือถือมากที่สุด คือ 68% ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนผู้ใช้โทรศัพท์ต่ำสุดคือ 37.8%
นอกจากนี้ ยังพบว่า ครัวเรือนมีการใช้โทรศัพท์พื้นฐานลดลง โดยในปี 2550 มีสัดส่วนการใช้งาน 24.3 เครื่องต่อ 100 ครัวเรือน ลดลงจากปี 2549 ที่มีสัดส่วน 24.8 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนหันไปใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น เนื่องจากสะดวกและถูกกว่า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=232697
โพสต์ทูเดย์ เผยผู้ใช้คอมพ์ในไทยสูงถึง 16 ล้านคน ส่วนผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตเพิ่มอีก 1 ล้านคน มือถือมีใช้ 28 ล้านคน
รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยสำรวจการใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมของคนไทยอายุ 6 ขวบขึ้นไป พบว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ประมาณ 16 ล้านคน หรือ 26.8% ของประชากร เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีจำนวนผู้ใช้คอมพ์ 15.39 ล้านคน
ด้านผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปี 2550 มีสัดส่วน 9.32 ล้านคน คิดเป็น 15.5% เพิ่มจากปี 2549 ที่มีผู้ใช้งาน 8 ล้านคน โดยพบว่า กทม. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมากที่สุด คือ 40.2% และ 29.9% ตามลำดับ รองลงมาคือ ภาคกลาง 27.5% และ 15.7% ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตน้อยกว่าภาคอื่นๆ คือ 22.9% และ 11.9% ตามลำดับ
สำหรับโทรศัพท์มือถือ พบว่าเป็นผู้มีโทรศัพท์มือถือประมาณ 28.29 ล้านคน หรือ 47% โดย กทม.เป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนของผู้มีโทรศัพท์มือถือมากที่สุด คือ 68% ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนผู้ใช้โทรศัพท์ต่ำสุดคือ 37.8%
นอกจากนี้ ยังพบว่า ครัวเรือนมีการใช้โทรศัพท์พื้นฐานลดลง โดยในปี 2550 มีสัดส่วนการใช้งาน 24.3 เครื่องต่อ 100 ครัวเรือน ลดลงจากปี 2549 ที่มีสัดส่วน 24.8 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนหันไปใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น เนื่องจากสะดวกและถูกกว่า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=232697
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/04/08
โพสต์ที่ 119
หนุนซอฟต์แวร์ไทยเจาะตลาดเฉพาะ
โพสต์ทูเดย์ สมาคมส่งออกซอฟต์แวร์ ชูกลยุทธ์นิชมาร์เก็ต เจาะตลาดโลก เล็งสยายปีกสู่เวียดนาม
นายเฉลิมพล ปุณโณทก นายกสมาคมส่งออกซอฟต์แวร์ไทย กล่าวว่า จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยไปเจาะตลาดระดับโลก ภายใต้กลยุทธ์การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Global Niche Cluster Strategy) ซึ่งขณะนี้เริ่มดำเนินการแล้วในประเทศเวียดนามในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม สถาบันการเงิน และภาครัฐ
ทั้งนี้ การรวมกลุ่มผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยเพื่อไปเจาะตลาดโลกในครั้งนี้ เพราะต้องการสร้างมูลค่าให้กับซอฟต์แวร์ไทย ซึ่งได้รับการวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) ด้วยงบประมาณค่อนข้างสูงในทุกครั้ง และหากปล่อยไว้อาจทำให้ประเทศอื่นๆ แซงหน้าไปได้ ดังนั้น เมื่อลงทุนวิจัยและพัฒนาก็ต้องพัฒนาแข่งกับตลาดโลก
นายเฉลิมพล กล่าวว่า ขณะนี้ภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นด้านการส่งออกซอฟต์แวร์ผ่านรูปแบบสมาคมที่ตั้งขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยให้ซอฟต์แวร์ไทยเติบโตได้มากกว่านี้ เพราะซอฟต์แวร์ไทยยังมีสัดส่วนที่น้อยมากหากเทียบกับมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ทั่วโลกที่มีอยู่หลายแสนล้านบาท
นายรุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับ 7 สมาคมผู้ประกอบการไทย เพื่อจัดทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย ระยะเวลาตั้งแต่ปี 2551-2554 ใช้งบการลงทุนและสนับสนุนประมาณ 8,000 ล้านบาท ในการทำโครงการต่างๆ เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์สร้างรายได้ให้ประเทศ 1.5 แสนล้านบาท ภายใน 3 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=232701
โพสต์ทูเดย์ สมาคมส่งออกซอฟต์แวร์ ชูกลยุทธ์นิชมาร์เก็ต เจาะตลาดโลก เล็งสยายปีกสู่เวียดนาม
นายเฉลิมพล ปุณโณทก นายกสมาคมส่งออกซอฟต์แวร์ไทย กล่าวว่า จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยไปเจาะตลาดระดับโลก ภายใต้กลยุทธ์การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Global Niche Cluster Strategy) ซึ่งขณะนี้เริ่มดำเนินการแล้วในประเทศเวียดนามในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม สถาบันการเงิน และภาครัฐ
ทั้งนี้ การรวมกลุ่มผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยเพื่อไปเจาะตลาดโลกในครั้งนี้ เพราะต้องการสร้างมูลค่าให้กับซอฟต์แวร์ไทย ซึ่งได้รับการวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) ด้วยงบประมาณค่อนข้างสูงในทุกครั้ง และหากปล่อยไว้อาจทำให้ประเทศอื่นๆ แซงหน้าไปได้ ดังนั้น เมื่อลงทุนวิจัยและพัฒนาก็ต้องพัฒนาแข่งกับตลาดโลก
นายเฉลิมพล กล่าวว่า ขณะนี้ภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นด้านการส่งออกซอฟต์แวร์ผ่านรูปแบบสมาคมที่ตั้งขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยให้ซอฟต์แวร์ไทยเติบโตได้มากกว่านี้ เพราะซอฟต์แวร์ไทยยังมีสัดส่วนที่น้อยมากหากเทียบกับมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ทั่วโลกที่มีอยู่หลายแสนล้านบาท
นายรุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับ 7 สมาคมผู้ประกอบการไทย เพื่อจัดทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย ระยะเวลาตั้งแต่ปี 2551-2554 ใช้งบการลงทุนและสนับสนุนประมาณ 8,000 ล้านบาท ในการทำโครงการต่างๆ เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์สร้างรายได้ให้ประเทศ 1.5 แสนล้านบาท ภายใน 3 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=232701
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/04/08
โพสต์ที่ 120
จับชีพจร"ขาขึ้น"ธุรกิจเว็บไซต์ไทย โฆษณาไหลเข้า-"เวนเจอร์แคป"ทาบซื้อเว็บTOP5
ธุรกิจเว็บไซต์ไทยส่งสัญญาณ "ขาขึ้น" ผู้ผลิตสินค้า-เอเยนซี่จับตาใกล้ชิด ส่ง เม็ดเงินไหลเข้าอุตสาหกรรมออนไลน์ จับตาปรากฏการณ์ซื้อขายเปลี่ยนมือ "เว็บไซต์" วงในชี้มีกลุ่มเวนเจอร์แคปวิ่งทาบซื้อเว็บไซต์ top5 เผยข้อมูลสถิติ "ทรูฮิตส์" สะท้อนพฤติกรรมคนไทยไม่ใส่ใจ "สาระ" เว็บไซต์วาไรตี้-เว็บบล็อกพุ่งติดชาร์ต ขณะที่เว็บหนังสือพิมพ์ตกอันดับ ขณะที่คีย์เวิร์ดค้นหายอดนิยม "เกม-เพลง-ดวง"
ดร.ปิยะ ตัณฑวิเชียร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (สบทร.) และในฐานะผู้ปลุกปั้นทรูฮิตส์ (www.truehits.net) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการให้บริการของทรูฮิตส์ดอตเน็ต ผลของการเก็บสถิติข้อมูลการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ในประเทศไทยพบว่า พฤติกรรมของนักท่องเน็ตไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ยังคงเหมือนเดิม คือ นิยมเข้าเว็บไซต์วาไรตี้ อย่างสนุกดอตคอม และกระปุกดอตคอม และที่เป็นกระแสมาแรงอีกกลุ่มคือ เว็บบล็อก ไม่ว่าจะเป็น Exteen, Bloggang ที่วิ่งแซงขึ้นมาติดชาร์ตอันดับต้นๆ
ขณะที่เว็บไซต์ประเภทความรู้ อย่างเว็บหนังสือพิมพ์อันดับความนิยมค่อนข้างตกชาร์ต จากปีก่อนหน้าที่มีเว็บหนังสือพิมพ์ติดใน top20 อยู่หลายราย แต่สถิติปีล่าสุดจะตกวูบถ้วนหน้าอยู่ที่ 1% หมายความว่าในการเข้าอินเทอร์เน็ต 100 ครั้ง มีผู้ที่เข้าเว็บไซต์ความรู้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น
"ความจริงอัตราการเข้าเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ก็ยังเติบโตตามปกติ แต่ในส่วนของเว็บไซต์วาไรตี้และเว็บบล็อกนั้นมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด"
นอกจากนี้ จะพบว่าคีย์เวิร์ดหลักของนักท่องเน็ตไทยที่เข้าเสิร์ชเอ็นจิ้น คือ "เกม-เพลง-ดูดวง" และถ้าในช่วงกลางเดือนและสิ้นเดือน "หวย" ก็จะเป็นคีย์เวิร์ดที่มาแรงแซงโค้ง สะท้อนให้เห็นว่าการเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตของคนไทยยังเน้นเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ทำให้เว็บไซต์วาไรตี้ทั้งหลายต้องมีคอนเทนต์ของหัวข้อเหล่านี้ไว้เป็นสาระสำคัญ
และคีย์เวิร์ดที่มาแรงของปีนี้คือ "งาน" หรือ "หางาน" ซึ่งอาจกลายเป็นช่องทางธุรกิจใหม่ของการหางานออนไลน์
ดร.ปิยะกล่าวว่า จากกระแสเว็บบล็อกที่มาแรง สะท้อนให้เห็นว่าเดิมนักท่องเน็ตเป็นแค่ผู้อ่านข้อมูลต่างๆ จากเว็บไซต์ แต่เทรนด์ที่เกิดขึ้นคือนักท่องเน็ตต้องการเป็นผู้ถ่ายทอดข้อมูลหรือความคิดเห็นของตัวเองด้วย ในลักษณะของอินเตอร์แอ็กทีฟ
ขณะที่เว็บไซต์เข้ามามีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น โดยข้อมูลสถิติการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ ของทรูฮิตส์ ก็ทำให้เอเยนซี่และเจ้าของสินค้าเห็นถึง "พลังและโอกาส" ของการโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
"ตอนนี้คนไทยใช้เวลากับการใช้อินเทอร์เน็ตนานมากขึ้น ทำให้เจ้าของสินค้าต่างๆให้ความสำคัญกับโฆษณาออนไลน์มากขึ้น"
ประกอบกับค่าใช้จ่ายของโฆษณา ออนไลน์ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะสื่อทีวี ทำให้เจ้าของสินค้าและเอเยนซี่ต่างๆ เริ่มให้ความสนใจและยอมรับกับสื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้นๆ
โดยปีนี้ธุรกิจโฆษณาออนไลน์มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกรณี "กูเกิล" ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอ็นจิ้น ได้บุกเข้ามาทำกิจกรรมการตลาดในประเทศไทยครั้งแรก ในการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลกับเอเยนซี่ในไทย เพื่อให้เห็นถึงโอกาสและบทบาทของสื่ออินเทอร์เน็ต
ดร.ปิยะกล่าวว่า จากที่แนวโน้มเม็ดเงินโฆษณาจะไหลเข้าสู่สื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้ขณะนี้แวดวงธุรกิจเว็บไซต์มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือมีการซื้อขายเปลี่ยนมือของเว็บไซต์ชื่อดัง เช่นที่ผ่านมาทางโมโนกรุ๊ป ก็ได้เข้าซื้อเว็บไซต์ mthai.com (เว็บไซต์อันดับ 3 ของทรูฮิตส์อะวอร์ด 2007)
นอกจากนี้ยังพบว่าขณะนี้มีกลุ่ม เวนเจอร์แคป (venture capital) มีความสนใจเข้ามาลงทุนในเว็บไซต์ชื่อดัง โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ติดชาร์ตอยู่ใน top5 หรือ top10 โดยการเข้ามาของเวนเจอร์แคป แนวทางการพัฒนาต่อไปก็คือการสร้างมูลค่าเพิ่ม และนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดว่าอีก 1 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่จะเห็นธุรกิจเว็บไซต์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (mai) เพราะเจ้าของเว็บไซต์ก็เหมือนกับเจ้าของสื่ออย่างหนึ่ง แม้ว่าการทำเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่จะทำให้เป็นชุมชนและมีสมาชิกจำนวนมากก็ต้องเล่นกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคเว็บ 2.0
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
ธุรกิจเว็บไซต์ไทยส่งสัญญาณ "ขาขึ้น" ผู้ผลิตสินค้า-เอเยนซี่จับตาใกล้ชิด ส่ง เม็ดเงินไหลเข้าอุตสาหกรรมออนไลน์ จับตาปรากฏการณ์ซื้อขายเปลี่ยนมือ "เว็บไซต์" วงในชี้มีกลุ่มเวนเจอร์แคปวิ่งทาบซื้อเว็บไซต์ top5 เผยข้อมูลสถิติ "ทรูฮิตส์" สะท้อนพฤติกรรมคนไทยไม่ใส่ใจ "สาระ" เว็บไซต์วาไรตี้-เว็บบล็อกพุ่งติดชาร์ต ขณะที่เว็บหนังสือพิมพ์ตกอันดับ ขณะที่คีย์เวิร์ดค้นหายอดนิยม "เกม-เพลง-ดวง"
ดร.ปิยะ ตัณฑวิเชียร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (สบทร.) และในฐานะผู้ปลุกปั้นทรูฮิตส์ (www.truehits.net) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการให้บริการของทรูฮิตส์ดอตเน็ต ผลของการเก็บสถิติข้อมูลการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ในประเทศไทยพบว่า พฤติกรรมของนักท่องเน็ตไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ยังคงเหมือนเดิม คือ นิยมเข้าเว็บไซต์วาไรตี้ อย่างสนุกดอตคอม และกระปุกดอตคอม และที่เป็นกระแสมาแรงอีกกลุ่มคือ เว็บบล็อก ไม่ว่าจะเป็น Exteen, Bloggang ที่วิ่งแซงขึ้นมาติดชาร์ตอันดับต้นๆ
ขณะที่เว็บไซต์ประเภทความรู้ อย่างเว็บหนังสือพิมพ์อันดับความนิยมค่อนข้างตกชาร์ต จากปีก่อนหน้าที่มีเว็บหนังสือพิมพ์ติดใน top20 อยู่หลายราย แต่สถิติปีล่าสุดจะตกวูบถ้วนหน้าอยู่ที่ 1% หมายความว่าในการเข้าอินเทอร์เน็ต 100 ครั้ง มีผู้ที่เข้าเว็บไซต์ความรู้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น
"ความจริงอัตราการเข้าเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ก็ยังเติบโตตามปกติ แต่ในส่วนของเว็บไซต์วาไรตี้และเว็บบล็อกนั้นมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด"
นอกจากนี้ จะพบว่าคีย์เวิร์ดหลักของนักท่องเน็ตไทยที่เข้าเสิร์ชเอ็นจิ้น คือ "เกม-เพลง-ดูดวง" และถ้าในช่วงกลางเดือนและสิ้นเดือน "หวย" ก็จะเป็นคีย์เวิร์ดที่มาแรงแซงโค้ง สะท้อนให้เห็นว่าการเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตของคนไทยยังเน้นเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ทำให้เว็บไซต์วาไรตี้ทั้งหลายต้องมีคอนเทนต์ของหัวข้อเหล่านี้ไว้เป็นสาระสำคัญ
และคีย์เวิร์ดที่มาแรงของปีนี้คือ "งาน" หรือ "หางาน" ซึ่งอาจกลายเป็นช่องทางธุรกิจใหม่ของการหางานออนไลน์
ดร.ปิยะกล่าวว่า จากกระแสเว็บบล็อกที่มาแรง สะท้อนให้เห็นว่าเดิมนักท่องเน็ตเป็นแค่ผู้อ่านข้อมูลต่างๆ จากเว็บไซต์ แต่เทรนด์ที่เกิดขึ้นคือนักท่องเน็ตต้องการเป็นผู้ถ่ายทอดข้อมูลหรือความคิดเห็นของตัวเองด้วย ในลักษณะของอินเตอร์แอ็กทีฟ
ขณะที่เว็บไซต์เข้ามามีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น โดยข้อมูลสถิติการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ ของทรูฮิตส์ ก็ทำให้เอเยนซี่และเจ้าของสินค้าเห็นถึง "พลังและโอกาส" ของการโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
"ตอนนี้คนไทยใช้เวลากับการใช้อินเทอร์เน็ตนานมากขึ้น ทำให้เจ้าของสินค้าต่างๆให้ความสำคัญกับโฆษณาออนไลน์มากขึ้น"
ประกอบกับค่าใช้จ่ายของโฆษณา ออนไลน์ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะสื่อทีวี ทำให้เจ้าของสินค้าและเอเยนซี่ต่างๆ เริ่มให้ความสนใจและยอมรับกับสื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้นๆ
โดยปีนี้ธุรกิจโฆษณาออนไลน์มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกรณี "กูเกิล" ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอ็นจิ้น ได้บุกเข้ามาทำกิจกรรมการตลาดในประเทศไทยครั้งแรก ในการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลกับเอเยนซี่ในไทย เพื่อให้เห็นถึงโอกาสและบทบาทของสื่ออินเทอร์เน็ต
ดร.ปิยะกล่าวว่า จากที่แนวโน้มเม็ดเงินโฆษณาจะไหลเข้าสู่สื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้ขณะนี้แวดวงธุรกิจเว็บไซต์มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือมีการซื้อขายเปลี่ยนมือของเว็บไซต์ชื่อดัง เช่นที่ผ่านมาทางโมโนกรุ๊ป ก็ได้เข้าซื้อเว็บไซต์ mthai.com (เว็บไซต์อันดับ 3 ของทรูฮิตส์อะวอร์ด 2007)
นอกจากนี้ยังพบว่าขณะนี้มีกลุ่ม เวนเจอร์แคป (venture capital) มีความสนใจเข้ามาลงทุนในเว็บไซต์ชื่อดัง โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ติดชาร์ตอยู่ใน top5 หรือ top10 โดยการเข้ามาของเวนเจอร์แคป แนวทางการพัฒนาต่อไปก็คือการสร้างมูลค่าเพิ่ม และนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดว่าอีก 1 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่จะเห็นธุรกิจเว็บไซต์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (mai) เพราะเจ้าของเว็บไซต์ก็เหมือนกับเจ้าของสื่ออย่างหนึ่ง แม้ว่าการทำเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่จะทำให้เป็นชุมชนและมีสมาชิกจำนวนมากก็ต้องเล่นกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคเว็บ 2.0
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209