ภาพรวมเศรษฐกิจ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/02/08

โพสต์ที่ 661

โพสต์

ทุ่มสกัดบาทแข็ง ธปท.มีเครื่องมือสู้

โพสต์ทูเดย์ เงินบาทแข็งค่าแตะ 32.88 บาท/เหรียญสหรัฐ คาดไม่เกิน 3 เดือน ทะลุ 32.50 วงในชี้อาทิตย์ที่แล้ว ธปท.แทรกแซงหนัก 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ


นักค้าเงินธนาคารต่างประเทศ กล่าวว่า แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทในตลาดอย่างหนัก โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาใช้เงินในการแทรกแซงกว่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ไม่สามารถต้านทานการแข็งค่าของเงินบาทได้

ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์นี้ เงินบาทอาจจะแข็งค่าไปทดสอบระดับ 32.85 บาท/เหรียญสหรัฐ และภายใน 3 เดือนแรกของปีนี้ คงจะเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าไปยืนที่ระดับ 32.50 บาท/เหรียญสหรัฐ

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท.กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ยังมีเครื่องมือเพียงพอที่จะดูแลสภาพคล่องในระบบและดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และยังเหลือวงเงินเพียงพอที่จะออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบมากกว่าข่าวที่ออกมานั้น แต่จะเป็นเท่าไหร่ไม่ต้องการจะเปิดเผย

ปัจจุบัน ธปท.มีวงเงินสำหรับการออกพันธบัตรถึง 2 ล้านล้านบาท

เรายังมีเครื่องมืออื่นที่เพียงพอ ทั้งการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (สวอป) การทำไบเลต เทอรอล อาร์พี ที่จะซื้อขายกับไพรมารีดีลเลอร์ในรอบเช้าได้ นางสุชาดา กล่าว

นางสุชาดา กล่าวว่า นอกจากนี้ หาก พ.ร.บ.ธปท.มีผลบังคับใช้ ยังจะทำให้ ธปท.เพิ่มช่องทางการดูแลสภาพคล่องได้อีก ด้วยการรับฝากเงินจากธนาคารพาณิชย์โดยตรง โดยการจ่ายดอกเบี้ยตอบแทนได้ด้วย ซึ่งทำให้มีเครื่องมือเพียงพอที่จะดูแล ไม่ใช่มีแค่สวอป

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.3% ค่าเงินสิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 2.3% ค่าเงินอินโดนีเชียแข็งค่าขึ้น 2.1% ค่าเงินฟิลิปปินส์แข็งค่าขึ้น 1.7% ค่าเงินญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น 5.9% ค่าเงินมาเลเชียแข็งค่าขึ้น 2.69% ค่าเงินเกาหลีอ่อนค่าลง 0.7% เงินยูโรแข็งค่าขึ้น 1.3% ค่าเงินจีนแข็งค่าขึ้น 1.7%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218911
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/02/08

โพสต์ที่ 662

โพสต์

แบงก์ชาติ ออกประกาศผ่อนคลายการแลกเปลี่ยนเงินเพิ่มเติมแล้ว

แบงก์ชาติ ออกประกาศผ่อนคลายการแลกเปลี่ยนเงินเพิ่มเติมแล้ว


นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ธปท. ได้ออกประกาศเรื่องการผ่อนคลายการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเพิ่มเติมแล้ว โดยขยายเวลาถือครองเงินดอลลาร์เพื่อให้ธุรกิจไทยมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยจะขยายการถือครองจากเดิมไม่เกิน 120 วัน เป็น 360 วัน

นอกจากนี้ขยายขอบเขตการลงทุนและให้กู้ยืมกิจการในเครือในต่างประเทศ โดยเพิ่มวงเงินไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และกรณีที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ สามารถลงทุนในต่างประเทศได้ไม่จำกัดจำนวน แต่หากเป็นการให้กู้ยืมต้องไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องเป็นบริษัทที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวกและไม่เข้าข่ายถูกเพิกถอน

ทั้งนี้ ในส่วนของกรณีการโอนเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ สามารถทำได้ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อรายต่อปี นอกจากนี้ ยังผ่อนเกณฑ์การฝากเงินตราต่างประเทศ โดยฝากได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยผู้มีเงินตราต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ สามารถฝากเงินตราต่างประเทศกับนิติบุคคลรับอนุญาตได้ไม่จำกัดจำนวน
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/02/08

โพสต์ที่ 663

โพสต์

ธปท.ขนบาทสู้ต่างชาติ

โพสต์ทูเดย์ ธปท.เตรียมพร้อมเลิก 30% โหมปล่อยเงินบาทในตลาดออฟชอร์ ดึงส่วนต่างค่าเงินแคบลงเหลือ 1.8 บาท เพื่อลดแรงกดดัน


แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์เปิดเผยว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พยายามแทรกแซงการแข็งค่าของเงินบาทอย่างหนัก โดยพยายามลดส่วนต่างระหว่างค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (ออฟชอร์) และค่าเงินบาทในประเทศ (ออนชอร์) ด้วยการนำเงินบาทไปปล่อยกู้ต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง ลอนดอน นิวยอร์ก เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของค่าเงินบาทออฟชอร์ที่มีจำนวนจำกัด

ผลจากมาตรการดังกล่าวทำให้ค่าเงินบาทในตลาดออฟชอร์อ่อนค่าลงมาที่ 31.08 บาท/เหรียญสหรัฐ จากก่อนหน้านี้ที่แข็งค่าไปถึง 29 บาท/เหรียญสหรัฐ ใกล้เคียงกับในประเทศที่ยืนในระดับ 32.92 บาท/เหรียญสหรัฐ

วิธีการที่ ธปท.ทำนั้น ไม่มีนักการเงินไหนเห็นด้วย เพราะมี ผลข้างเคียงของการนำเงินสกุลท้องถิ่นไปป้อนต่างชาติ จะเป็น การเอื้อให้ต่างชาตินำเงินบาท ไปเก็งกำไรได้ เพราะในกรณีที่ ธปท.ตัดสินใจยกเลิกมาตรการ 30% สิ่งแรกที่ต่างชาติจะทำคือขายเงินบาททำกำไร และอาจทำกำไรได้หลายรอบกว่าจะถึงกำหนดคืนเงินกู้ จึงอยากให้ ธปท.พิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน แหล่งข่าวเปิดเผย

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากสมาคมธนาคารไทยเปิดเผยว่า การที่ ธปท.ออกไปแทรกแซงเงินในตลาดต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากยังไม่เลิกมาตรการ 30% ก็จะต้องลดส่วนต่างค่าเงินในตลาดต่างประเทศและในประเทศให้ได้

หากไม่ทำจะเกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น เกิดตลาดมืด หรือขนเงินจากในประเทศออกไปต่างประเทศโดยกองทัพมด แหล่งข่าวเปิดเผย

นอกจากนี้ การซื้อเงินจากตลาดต่างประเทศนั้น เป็นการแทรกแซงค่าเงินที่ใช้เงินบาทน้อยกว่าซื้อในประเทศ เพราะถ้าซื้อในประเทศ ธปท.จะต้องซื้อแพงและขาดทุนมากกว่านี้อีก การกระทำของ ธปท.จึงเป็นการประหยัด ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเสียหายแต่อย่างใด แต่ถ้าจะมองว่าหากไม่ออกมาตรการ 30% ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องขาดทุนยับเยินขนาดนี้ก็พูดได้

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า บางครั้งก็ต้องเข้าใจ ธปท.บ้าง ไม่ใช่โจมตีเสียทุกเรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดก็คือต้องยกเลิกมาตรการ 30% ให้เร็วที่สุด เพื่อลดการขาดทุนของ ธปท. หากจะเก็บภาษีเงินทุนไหลเข้าหรือไหลออก มาแทนมาตรการนี้น่าจะเหมาะสมกว่า

ทั้งนี้ ช่วงที่ ธปท. คลอดมาตรการ 30% ออกมา ส่งผลให้ตลาดค้าเงินบาทแยกออกเป็น 2 ตลาด มีผลกระทบกับสถาบันการเงินที่ทำธุรกรรมเงินบาทล่วงหน้าไว้ เพราะจำเป็นต้องส่งมอบเงินบาท แต่สภาพคล่องเงินบาทในต่างประเทศมีน้อยมาก จึงยอมซื้อเงินบาทมาในราคาแพง

อย่างไรก็ดี ในระยะหลังๆ ธปท. เริ่มลดการนำเงินบาทไปปล่อยกู้ ในต่างประเทศลงมา ขณะที่ตลาดออฟชอร์ก็มีการปรับตัว เพราะคาด ว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่จะมีการยกเลิกมาตรการ 30%

แหล่งข่าว ธปท.เปิดเผยว่า ธปท.ไม่ได้นำเงินไปปล่อยในตลาด ออฟชอร์ แต่เป็นเพราะตลาดมีการตอบรับในเรื่องการแข็งค่าของเงินบาทว่าอยู่ในระดับนี้มากกว่า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219079
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/02/08

โพสต์ที่ 664

โพสต์

บี้รัฐวิสาหกิจลุยเบิกงบกู้เศรษฐกิจ

โพสต์ทูเดย์ สำนักรัฐชง รมว.คลัง คนใหม่เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 3.5 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2551 ตั้งเป้าเดือนละ 2.5 หมื่นล้าน


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า สคร.เตรียมแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 2551 เสนอต่อ รมว.คลังคนใหม่ เพื่อ ผลักดันการลงทุนในโครงการต่างๆ ของ รัฐวิสาหกิจให้ได้ตามแผน

ทั้งนี้ สคร.ต้องการทำให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณเดือนละ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าทำได้จะช่วยกระตุ้น ให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้ขยายตัวได้

นายอารีพงศ์ กล่าวยอมรับ ว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนปีงบประมาณ 2550 ที่ผ่านมาทำได้ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้มาก ทำให้มีเม็ดเงินถึง 1 แสนล้านบาท ที่ไม่สามารถผลักดันลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจได้

นายอารีพงศ์ กล่าวว่า สคร.มีหน้าที่ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยในปีงบประมาณ 2551 ตั้งเป้าการเบิกจ่าย งบลงทุนไว้ที่ 3.5 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 90% และมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากข้อตกลงก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายมีความชัดเจน

ในแต่ละปีงบลงทุนเกี่ยวกับระบบขนส่งจะมีมากที่สุด รองลงมาคือ การลงทุนเกี่ยวกับสาขาพลังงาน ซึ่งในปีนี้ผลการประมูลโรงไฟฟ้าเอกชน IPP ก็มีความชัดเจนแล้ว จึงมั่นใจว่ารัฐวิสาหกิจจะเบิกจ่ายได้ตามเป้าแน่นอน ผอ.สคร. กล่าว

นายอารีพงศ์ กล่าวว่า การลงทุนของสาขาพลังงานในระยะยาว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะลงทุน วางโครงข่ายระบบไฟฟ้าให้ครอบคลุม ทั่วประเทศ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ก็จะลงทุนนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินลงไปในระบบ

สำหรับผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจช่วงไตรมาสแรก ปี 2551 นั้น มีการเบิกจ่ายงบลงทุนจำนวน 10.27% ของงบลงทุน 3.5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 3.59 หมื่นล้านบาท เท่านั้น ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากหลายหน่วยงานยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้า หมาย และมีบางหน่วยงานยังไม่มีการเบิกจ่ายเงินแม้แต่น้อย เช่น การเคหะแห่งชาติ (กคช.) เพราะถูกยกเลิกการก่อสร้างในหลายโครงการ

การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 17 แห่ง ประจำปีงบประมาณ 2550 ที่ผ่านมา สามารถเบิกจ่ายได้ 2.03 แสนล้านบาท คิดเป็น 62.95% ของ งบลงทุน 3.22 แสนล้านบาท กฟภ. สามารถเบิกจ่ายได้สูงสุด 1.47 หมื่นล้านบาท ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ 1.6 หมื่นล้านบาท โรงงานยาสูบเบิกจ่ายได้ต่ำสุดเพียง 140 ล้านบาท จากวงเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด 4.95 พันล้านบาท เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างโรงงานยาสูบแห่งใหม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219154
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/02/08

โพสต์ที่ 665

โพสต์

ธปท.ดี๊ด๊ารับกม.ฉบับใหม่เพิ่มเครื่องมือสู้ค่าเงินบาท

โพสต์ทูเดย์ ธปท.เผย พ.ร.บ. ธปท.มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในเดือนนี้ดี๊ด๊ามีเครื่องมือดูแลนโยบายการเงินเพิ่ม


นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกฎหมายและคดีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปแล้ว คาดว่าจะสามารถบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ภายในเดือน ก.พ.นี้ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎระเบียบการปฏิบัติภายในของ ธปท.เอง จึงไม่ต้องรอให้มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 180 วัน เหมือนกฎหมายฉบับอื่น

แหล่งข่าวจากสายตลาดการเงิน เปิดเผยว่า การที่กฎหมาย ธปท.ฉบับใหม่ผ่านจะทำให้ ธปท.มีความคล่องตัว ทำให้เพิ่มเครื่องมือในการดูแลสภาพคล่องและอัตราแลกเปลี่ยนได้มากขึ้น เช่น สามารถคุมสภาพคล่องผ่านช่องทางการรับเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ได้โดยตรงและจ่ายดอกเบี้ยตอบแทนได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งการดูแลค่าเงินบาทผ่านช่องทางการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (สวอป) ให้ตลาดคาดการณ์อีกต่อไป

ธปท.รายงานปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกค้าในประเทศในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.ปี 2550 ที่ผ่านมาพบว่า มีปริมาณการซื้อเงินตราต่างประเทศทั้งสิ้น 7.14 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.35 ล้านล้านบาท (หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ) แบ่งเป็นการซื้อเพื่อชำระ ค่าสินค้าเพียง 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อเพื่อกรณีอื่นๆ ถึง 4.53 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่มีปริมาณการขายเงินตรา ต่างประเทศทั้งสิ้น 6.93 หมื่นล้านเหรียญ สหรัฐ แบ่งเป็นขายเพื่อชำระค่าสินค้า 2.47 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และขายด้วยเหตุอื่น 4.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีปริมาณซื้อขายรวม 1.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219155
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/02/08

โพสต์ที่ 666

โพสต์

บาทแข็งทุบส่งออกพินาศ 1 ปีพังยับ 1 ล้านล้าน คอมพ์/รถยนต์/ไฟฟ้า สาหัสสุด

ธุรกิจร้องจ๊าก! เงินบาทแข็งค่าพ่นพิษแค่ปีเดียวทำเม็ดเงินส่งออกสูญแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท คอมพิวเตอร์-รถยนต์ เจอหนักสุด 7 หมื่นล้านบาท ตามด้วยแผงวงจรไฟฟ้า 8 พันล้านบาท ยางพารา- อัญมณี กลุ่มละ 5 พันล้านบาท ร้องรัฐบาล
หมัก 1 คุมเงินบาทอย่าให้ผันผวนเหมือนกับปีที่ผ่านมา ขณะที่สิ่งทอยอมรับพิษซับไพร์มทำยอดซบ ปรับกลยุทธ์ใหม่หันมาค้าขายในกลุ่มอาเซียนแทน เหตุเพราะได้รับการยกเว้นภาษีระหว่างกัน


จากการติดตามภาวะค่าเงินบาทของหนังสือพิมพ์
สยามธุรกิจ มาอย่างต่อเนื่อง พบว่าผู้ส่งออกต่างแสดงความวิตกกังวลทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในแต่ละช่วง นับจากปลายปี 2548 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 40 บาท พอต้นปี 2549 เหลือ 39 บาท หลังจากนั้นก็ทยอยดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง และเมื่อค่าเงินบาทแตะที่ 38 บาทผู้ส่งออกต่างก็ร้องระงมว่าสถานการณ์การส่งออกของไทยกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติ เพราะหากค่าเงินบาทแตะที่ 37 บาทเมื่อไหร่จะต้องมีผู้ส่งออกปิดกิจการกันจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ปัญหาการผันผวน ของค่าเงินบาทก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่หยุดไม่อยู่ โดยนักการเงินต่างคาดการณ์ว่าอาจได้เห็นเงินบาทแตะที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ในเร็ววันนี้ ซึ่งผู้ส่งออกก็ได้แต่คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถหยุดปัญหานี้ได้ คือรักษาค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ให้แกว่งไปแกว่งมาอย่างที่เป็นอยู่

จากการรวบรวมตัวเลขเม็ดเงินที่หายไปจากการแข็งค่าของเงินบาทเปรียบเทียบดอลลาร์ โดยใช้ฐาน 40 บาทเป็นตัวตั้งลบด้วย 33 บาท เท่ากับว่าเม็ดเงินจากการส่งออกหายไป 7 บาทต่อเหรียญ สำหรับตัวเลขการส่งออกในปี 2550 ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกได้มูลค่า 1.52 แสนล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้น 17.5% เมื่อเทียบกับปี 2549 แต่เมื่อคิดเป็นเงินบาท
ปรากฏว่าส่งออกได้ 5.25 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งหากนำ 7 บาทคูณด้วยจำนวนเงินส่งออกในรูปเหรียญสหรัฐจะเท่ากับว่าประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการ
แข็งค่าของเงินบาทเป็นจำนวนมากถึง 1.06 ล้านล้านบาท

สำหรับสินค้าส่งออก 5 อันดับแรกที่สูญเสียรายได้จากการแข็งค่าของเงินบาทเป็นจำนวนมากถึง 1.06 ล้านล้านบาทประกอบด้วย 1.เครื่อง คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 1.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 2.รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 1.20 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 3.แผงวงจร ไฟฟ้า 8.05 พันล้านเหรียญสหรัฐ 4. ยางพารา 5.64 พันล้านเหรียญสหรัฐ 5.อัญมณีและเครื่องประดับ 5.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นายจำรูญ ชินธรรมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าอยากให้รัฐบาลใหม่เร่งวางมาตรการ
แก้ปัญหาค่าเงินบาทขาดเสถียรภาพอย่างเร่งด่วน เพราะเชื่อว่าจากปัญหาซับไพร์มจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจบลงตรงที่ใด โดยกว่า หนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ
ธุรกิจน้ำตาลขาดทุน จากส่วนต่างค่าเงินแล้วกว่าหมื่นล้านบาท

จากปลายปี 2548 ถึงต้นปี 2549 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่วันนี้หล่นไปเหลือ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐเท่ากับว่าขาดทุน ส่วนต่าง 7 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยเฉลี่ยประเทศ ไทยส่งน้ำตาลออกไปขายต่างประเทศ 7.2 ล้านตัน ใช้บริโภคในประเทศ 2 ล้านตัน โดยราคาส่งออก 250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถ้าคำนวณเงินที่หายไป 7 บาทต่อเหรียญ เท่ากับว่าไทยขาดทุนจากส่วนต่างการส่งออกน้ำตาลแล้วกว่า 1.26 หมื่นล้านบาท นายจำรญ กล่าว

นายจำรูญยังฝากการบ้านถึงรัฐบาลชุดใหม่ว่าไม่ต้องการเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าไปเหลือเท่าสมัยก่อน ขอแค่ไม่แข็งค่ามากจนเกินไปก็เพียงพอแล้ว โดยอยากให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพเช่นเดียวกับประเทศคู่แข่ง แต่ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเสถียรภาพค่าเงินบาทผันผวนจนผู้ส่งออกกังวลตลอดเวลา

ด้านนายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล กรรมการผู้จัดการ โรงงานทอผ้ากรุงเทพฯ เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าค่าเงินบาทที่หายไปเมื่อปีที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องที่โหดร้ายอย่างมาก เมื่อผู้ส่งออกเรียก
ร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาก็มักจะถูกมองว่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่คำนึงถึงผู้นำเข้าบ้าง ในความเป็นจริงผู้ส่งออกไม่ได้บอกว่ารัฐบาลต้องยันค่าเงินบาท ไว้เท่าเดิม เพียงแต่ขอให้มี
เสถียรภาพ คือถ้าจะแข็งค่าก็ให้เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ที่ผ่านมาของเราสวนกระแสคนอื่นแข็งค่ามากกว่าเขาเกิน 10% เลยสร้างความปั่นป่วนและเดือดร้อนไปทั่ว แบงก์ชาติเองก็เพิ่ง
จะมาเข้าใจว่าพวกเราต้องการอะไรเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จึงพยายามควบคุมเสถียรภาพไม่ให้แกว่งเหมือนตอนช่วงต้นปี

การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ให้เป็นไปตามกลไกของตลาดโลก คือสอดคล้องกับประเทศอื่น ถ้าเราแข็งค่าหรืออ่อนค่าในขณะที่ประเทศอื่นเขานิ่งย่อมไม่ใช่เรื่องดี ซึ่งในระยะหลังพอแบงก์ชาติเข้าใจก็ควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น คือให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศคู่แข่ง ซึ่งเป็นภาพที่เราไม่เคยเห็นเมื่อเกือบ ตลอดปีที่ผ่านมา นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงศ์ศักดิ์ยังกล่าวอีกว่า อยากฝากให้รัฐบาลใหม่ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และไม่ควรยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เพราะหากยกเลิกโดยไม่มีมาตรการที่ดีรองรับจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกันใหญ่ ประกอบกับนโยบายสำรอง 30% ก็ควบคุมเฉพาะการนำเงินเข้ามาโดยไม่มีการลงทุน ถ้าเป็นเงินที่นำเข้ามาลงทุนก็ยกเว้น 30% อยู่แล้ว

นายพงษ์ศักดิ์ยังกล่าวถึงสถานการณ์กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอต่อผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มว่า ปัจจุบันสิ่งทอไทยส่งไปขายอเมริกาประมาณ 30% เจาะตลาดระดับกลางถึงบน ซึ่งยอดขายอาจลดลงบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายจนเกินไป ซึ่งในปีที่ผ่านมาก็มีอัตราการเติบโตดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ประกอบการสิ่งทอได้ลดการส่งออกไปอเมริกาหันมาขายในตลาดอาเซียนแทน เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีระหว่างกลุ่มประเทศ อาเซียนด้วยกัน และการขนย้ายวัตถุดิบทำได้ง่ายกว่า ประกอบกับการทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็ช่วยให้อุตสาหกรรมกลุ่มนี้รอดพ้นวิกฤติได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีข่าวโรงงานสิ่งทอปิดตัวอย่างต่อเนื่องนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่รับออเดอร์ต่อจากโรงงานขนาดใหญ่ อีกทอด ซึ่งอาจมีปัญหาเรื่องต้นทุนแรงงาน และการดีไซน์แบบ เมื่อผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตหรือต้องการดีไซน์แบบใหม่ๆ ก็ดึงกลับไปทำเอง ทำให้โรงงานเหล่านั้นอยู่ไม่ได้ ทางออกคือต้องพยายามหันมาสร้างสินค้าของตัวเอง หาตลาดขายเอง แทนการรับจ้างผลิต
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/02/08

โพสต์ที่ 667

โพสต์

เอกชนกังวลถ้ายกเลิก 30% อาจทำเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป ส่วนนักวิชาการสศค.แนะต้องกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน

Posted on Wednesday, February 06, 2008
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ มีแนวโน้มที่พรรคเดโมแเครตจะได้รับการคัดเลือกให้เข้ามาบริหารประเทศ อย่างไรก็ตามนโยบายด้านเศรษฐกิจมหภาคคงไม่ต่างไปจากพรรคริพับลิกันมากนัก เนื่องจากขณะนี้สหรัฐฯ กำลังประสบปัญหา Subprime ดังนั้น ไม่ว่าพรรคใดจะได้เข้ามาบริหารประเทศ ก็จะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงมากจนเกินไป

ดร.เอกนิติคาดว่า ปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 1.5 1.7% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.2% ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดลงอีก 0.5 1% หลังจากที่ลดไปแล้วก่อนหน้านี้ 1.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว แต่เฟดจะลดดอกเบี้ยมากน้อยเพียงใด ก็จะขึ้นอยู่กับอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ว่าจะรุนแรงมากน้อยเพียงใด ปัญหา Subprime จะรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ และปริมาณสภาพคล่องในตลาดเงินโลกเป็นอย่างไรด้วย

อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และมาตรการทางการคลังของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การใช้จ่ายที่เกินตัวของชาวสหรัฐฯ ที่มีผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าหากสหรัฐฯ แก้ไขปัญหาด้วยการลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค ก็จะมีผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอีก และจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงประเทศอื่น ๆ รวมทั้งไทยด้วย

ปัจจุบันการส่งออกของไทยก็เริ่มได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้ว แม้ว่าที่ผ่านมาผู้ส่งออกไทยได้พยายามปรับตัวด้วยการหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ก็ตาม เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบไปที่ประเทศอื่น ๆ ด้วย อย่างไรก็ตามก็ยังมีบางประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เช่น ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก ดังนั้น ผู้ส่งออกก็สามารถกระจายการส่งออกไปที่ประเทศเหล่านี้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้การส่งออกไทยก็ยังมีความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาทด้วย ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ก็มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย คือ

1. ในปี 2550 ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 1.49 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าปี 2549 ที่เกินดุลเพียง 2 พันล้านบาท

2. มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

3. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)

4. เงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตร


สำหรับวิธีการแก้ไขไม่ให้เงินบาทแข็งค่าจนเกินไปนั้น ก็จะต้องทำหลายวิธีประกอบกัน โดยในระยะสั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรจะเข้ามาดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่ากว่าภูมิภาค ขณะที่ในระยะกลาง ภาครัฐควรที่จะเร่งการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนตาม ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% ที่รัฐบาลใหม่ประกาศว่าจะยกเลิกนั้น ก็ควรให้ ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยลงก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดพันธบัตร ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะทำให้ ธปท. สามารถออกพันธบัตร เพื่อนำไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นก็สามารถนำไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อรับผลตอบแทนที่สูงกว่าได้

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ใช้สมมติฐานค่าเงินบาทที่ 33 33.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการคำนวณอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมองว่า ธปท. จะดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพได้

นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ ประธานคณะอนุกรรมการด้านประเด็นการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อยากให้พรรคริพับลิกันได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่ เนื่องจากนโยบายการค้าของพรรคริพับลิกันค่อนข้างเสรีมากกว่าพรรคเดโมแครต นอกจากนี้พรรคริพับลิกันยังไม่นำเรื่องแรงงานและสิ่งแวดล้อมมาร่วมพิจารณาด้วย ทำให้การเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของพรรคริพับลิกัน มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าการเจรจากับพรรคเดโมแครต

นายบัณฑูรบอกว่า จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะนี้ ทำให้ชาวสหรัฐฯ เริ่มชะลอการใช้จ่ายแล้ว ซึ่งจะมีผลให้มีการผลิตลดลง ปัญหาการว่างงานจะเพิ่มขึ้น หลายฝ่ายจึงได้คาดว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครั้งนี้จะยาวต่อเนื่องไปถึงครึ่งแรกของปี 2552 ซึ่งปัญหาของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเช่นกัน เนื่องจากไทยก็มีการส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ด้วย

นอกจากนี้ผู้ส่งออกไทยยังได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทด้วย เพราะเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลง ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% ถ้าหากรัฐบาลใหม่ยกเลิก ก็จะมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ภาครัฐก็ควรที่จะมีมาตรการอื่นมารองรับผลที่จะตามมาด้วย เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในตลาดพันธบัตร
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/02/08

โพสต์ที่ 668

โพสต์

"เลี๊ยบ" สวมบทขุนคลังมืออาชีพ เปิดแถลง 108 มาตรการพลิกฟื้นศก.

โดย ผู้จัดการออนไลน์
7 กุมภาพันธ์ 2551 12:21 น.

      รมว.คลัง เปิดแถลงด่วนทันที หลังหารือบิ๊กขรก.เช้าวันนี้ ฟุ้งหลากหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เตรียมนัดหารือ ธปท.สัปดาห์หน้า สรุปมาตรการ 30% พร้อมเร่งยกร่างแผนคลังภายใน 2 สัปดาห์ เล็งอัดฉีดงบเพิ่ม 5 หมื่นล.กลางปีนี้
     
      วันนี้(7 ก.พ.) น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดแถลงข่าวทันที ภายหลังการหารือกับข้าราชการระดับสูงของกระทรวงฯ โดยระบุว่า ภาระกิจเร่งด่วนตอนนี้ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการชะลอตัว ซึ่งจะให้ความสำคัญมากกว่าการรักษาเสถียรภาพในระยะนี้ เตรียมนัดหารือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สัปดาห์หน้า
     
      "ผมจะหยิบยกประเด็นมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้น นำขึ้นมาพูดคุยกับผู้ว่าฯ ธปท.ถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ต่อไป และจะพูดคุยกับผู้บริหารของกระทรวงการคลัง ยกร่างแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 2 สัปดาห์นี้ เพื่อกำหนดเป็นนโยบายรัฐบาล"
     
      น.พ.สุรพงษ์ กล่าวแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ตอนนี้ คงยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าวหรือไม่ หรือถ้ายกเลิกจะยกเลิกในช่วงเวลาใดจึงจะเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าจะให้อิสระแก่ ธปท.ในการทำงาน
     
      อย่างไรก็ดี น.พ.สุรพงษ์ ระบุว่า การเข้ามาปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจนี้ ตนเองจะขอเดินหน้าในการมุ่งแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ โดยยืนยันว่าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีภาษีหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SHIN โดยขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000015713
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/02/08

โพสต์ที่ 669

โพสต์

มองต่างมุมหุ้นไทย

โพสต์ทูเดย์ หุ้นไทยร่วงกว่า 1% น้อยกว่าตลาดหุ้นเอเชีย โบรกเกอร์ไทยแนะขายลดพอร์ตถือเงินสดรอช้อน ส่วนโบรกฝรั่งเชียร์หาจังหวะช้อนเก็บ


วานนี้ ตลาดหุ้นไทยทรุดหนักเกือบ 20 จุด ก่อนเด้งขึ้นมาปิดที่ 794.63 จุด ลดลง 13.05 จุด หรือ 1.62% ด้วยมูลค่าซื้อขายเบาบาง 16,422.68 ล้านบาท โดยเป็น การปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดหุ้น ต่างประเทศหลายแห่ง เช่น ดัชนีดาวโจนส์ทรุดมากที่สุดในรอบ 1 ปี ติดลบ 370 จุด หรือ 3.93% ส่วนตลาดฮ่องกงดิ่ง 1,339 จุด หรือ 5.40% ตลาดญี่ปุ่นแดงกว่า 4%

ด้านนักลงทุนต่างชาติที่แห่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นไทยตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ร่วม 2 หมื่นล้านบาท วานนี้ กลับมียอดขายสุทธิ 75 ล้านบาท และสถาบันในประเทศยังคงทิ้งต่อ 1,631 ล้านบาท ส่วนรายย่อยช้อนเก็บ 1,706 ล้านบาท

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ตลาดหุ้นจะยังไม่ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มถดถอยชัดเจน จึงแนะนำให้นักลงทุนระยะกลางขายหุ้นลดพอร์ตจาก 50% เหลือ 30%

ในช่วงนี้แนะให้ซื้อหุ้นที่คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูง กว่า 7% เช่น เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA และฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) ให้หลีกเลี่ยงหุ้นพลังงาน เพราะราคาน้ำมันอ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ

ด้านโบรกเกอร์ต่างประเทศ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายเจ้าได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย และเฮโลซื้อหุ้นเข้าพอร์ต

นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธนาคาร เจ.พี. มอร์แกนเชส และบริษัทหลักทรัพย์ เจ.พี.มอร์แกน (ประเทศไทย) กล่าว ว่า เจ.พี.มอร์แกนยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้น แม้ว่าวานนี้ดัชนีลดลงแรง และในช่วงครึ่งปีแรกตลาดจะมีความผันผวนจากปัญหาซับไพรม์ และเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา แต่ในครึ่งปีหลังประเมินว่าธุรกิจของสหรัฐอาจดีดกลับ

สำหรับของประเทศไทยภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล หากมีการ สานต่อนโยบายการลงทุนโครงการขนาดใหญ่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่ลงทุนในระยะยาวและยังไม่ค่อยมีหุ้น ในระยะนี้สามารถซื้อเก็บไว้โดยราคาถือว่าสมเหตุสมผล เพราะถือว่าต่ำกว่าพื้นฐานมากและเป้าหมายที่ เจ.พี.ฯ มองดัชนีสิ้นปีนี้ที่ระดับ 970 จุด เป็นระดับที่ต่ำที่สุดแล้ว แต่หากนักลงทุนมีหุ้นในพอร์ตจำนวนมากแล้วควรจะปรับพอร์ตการลงทุน นำเงินไปพักในตลาดเงินแทน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219377
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/02/08

โพสต์ที่ 670

โพสต์

เช็กสภาพเศรษฐกิจไทย เครื่องยนต์น่าเป็นห่วง!

ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร [email protected]

ถึงตอนนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาอาการ น่าเป็นห่วง

เพราะตัวชี้วัดต่างๆ ทำให้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำแค่ 4.5% ในขณะที่ประเทศคู่แข่งอื่นๆ ในภูมิภาคมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าไทย เช่น เวียดนามคาดว่าจะขยายตัวถึง 8% อินโดนีเซีย 6% มาเลเซีย 5.5% เป็นต้น

การที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ต่ำ ก็เพราะตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจประสบกับปัญหาหลายด้าน

หากจะเปรียบเศรษฐกิจไทยกับเครื่องบินที่มีเครื่องยนต์ 4 เครื่อง ก็จะพบว่า ทั้ง 4 เครื่องทำงานไม่เต็มที่ จึงไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องยนต์ที่ 1 คือ การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งการบริโภคและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง จนไม่สามารถฉุดให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งที่ภาครัฐพยายามเร่งรัดการใช้จ่าย แต่ก็เป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ทันกาล

เครื่องยนต์ที่ 2 คือ การค้าบริการและการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นภาคที่นำรายได้มหาศาลเข้าประเทศไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทว่า ในทางกลับกันพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นน้อยมาก

ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเพียง 3% ขณะที่ปีก่อนในช่วงเดียวกันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 ทำให้การใช้จ่ายในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก จนไม่มีส่วนในการผลักดันเศรษฐกิจให้โตขึ้น แม้ในเดือน ธ.ค. จะดีขึ้นมา แต่ยังมีปัญหาที่ต้องจัดการแก้ไข

เครื่องยนต์ที่ 3 คือ การลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศที่ไม่กระเตื้องขึ้น

กรณีการลงทุนจากต่างประเทศ แม้ตัวเลขจะไม่ชัดเจนว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทางการเมืองประกอบกับเรื่อง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ก็เชื่อว่ามีผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศอย่างแน่นอน เพราะนอกจากเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนแล้ว ยังเป็นเรื่องที่ขาดความชัดเจนว่าภาครัฐจะมีแนวทางอย่างไรต่อไป

เมื่อเหลียวดูเพื่อนบ้านอย่างประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์กลับเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนในยุคโลกาภิวัตน์

ที่ผ่านมา เวียดนามได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อเข้าเป็นสมาชิก WTO รวมทั้งมีมาตรการต่างๆ ที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและส่งเสริมการลงทุนโดยมีข้อจำกัดน้อยที่สุด จึงทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในประเทศเวียดนามมากขึ้น

เครื่องยนต์ที่ 4 คือ การส่งออกไทย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ตัวเลขการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณที่ไม่ปกติ การขยายตัวลดลงเป็นลำดับ หมายความว่า มูลค่าการส่งออกลดลง และมีแนวโน้มว่าปีนี้อาจเห็นเลขตัวเดียว แทนที่จะเป็น 10-12% ตามที่คาดหวังไว้ เพราะถึงตอนนี้ขีดความสามารถในการแข่งขัดเริ่มลดลงมาก ทั้งจากค่าเงินบาทและราคาน้ำมัน รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา

ข้อเท็จจริงที่สามารถยืนยันในปัญหานี้ ได้แก่ การปิดตัวลงอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการส่งออกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

การส่งออกที่ลดลงนี้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะจากประสบการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้น หากประเทศไทยมีปัญหาในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเหตุที่ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจตามมาได้

ผมไม่ได้หมายความว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นอีกครั้ง แต่หากการส่งออกของไทยยังคงมีปัญหาเช่นนี้ ก็อาจนำไปสู่การเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจได้

ปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่งของประเทศไทยที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ก็คือ การใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (fixed exchange rate) ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มมากกว่าประเทศคู่แข่งอื่นๆ ซึ่งคล้ายกับในช่วงนี้ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นกัน แต่อาจมีความแตกต่างกันตรงที่ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบการลอยตัวที่มีการแทรกแซง (managed float)

นอกจากนั้น นโยบายและมาตรการที่ออกมาโดยธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาล ทำให้เกิดปัญหาเงินทุนไหลเข้า ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้บาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลก็คือ การส่งออกประสบกับปัญหาในการแข่งขันมาก เพราะสินค้าส่งออกจะมีราคาสูงขึ้น สู้คู่แข่งไม่ได้ และโดยเฉพาะตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกาที่ประสบกับเรื่องซับไพรม์อีก ผลกระทบย่อมส่งถึงธุรกิจส่งออกไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย

จึงอยากฝากเป็นข้อสังเกตว่า ผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศชุดใหม่ไม่ควรประมาท ควรหาแนวทางและมาตรการรองรับ ในกรณีที่ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยและของโลกยังไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการส่งออกของไทย

หากไม่ได้รับแก้ไขโดยเร็ว อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219284
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/02/08

โพสต์ที่ 671

โพสต์

ธปท.กระอักขาดทุนยับกว่าแสนล.

โพสต์ทูเดย์ แผล ธปท.ปะทุขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินบาทกระฉูด 1.21 แสนล้านบาท


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานงบการเงินของฝ่ายการธนาคาร ซึ่งดูแลเงินทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ ณ สิ้นสุดวันที่ 13 ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมาพบว่ามีจำนวน 1.97 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.41 หมื่นล้านบาท จากสิ้นวันที่ 28 ธ.ค. 2549

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ฝ่ายการธนาคาร แสดงผลขาดทุนสะสมทั้งสิ้น 9.45 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่า ธปท.มีผลขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินบาทสูงถึง 1.21 แสนล้านบาท ส่งผลให้พลิกกำไรสะสมสูงถึง 2.73 หมื่นล้านบาท ในสิ้นปี 2549 กลับมาขาดทุนสะสมถึง 9.45 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การขาดทุนจากการแทรกแซงดังกล่าวถือว่าลดลงจากปี 2549 ที่มีขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินทั้งสิ้น 1.74 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ งบการเงินของฝ่ายการธนาคารยังพบว่า มีหนี้สินอื่นอีก 1.84 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.97 แสนล้านบาท จากเดิมแค่ 1.64 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ หากเทียบมูลค่ากับช่วงเดือน ม.ค. 2550 ที่ค่าเงินบาทเฉลี่ย อยู่ที่ระดับ 35.971 บาท/เหรียญสหรัฐ กับค่าเงินบาทเฉลี่ย ณ เดือนธ.ค. 2550 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 33.70 บาท/เหรียญสหรัฐ จะพบว่า ธปท.มีผลขาดทุน 2.66 บาท/เหรียญสหรัฐ

ก่อนหน้านี้ นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ยังไม่ได้สรุปว่าในปี 2550 ธปท.ขาดทุนค่าเงินบาทจำนวนเท่าใด เพราะอยู่ระหว่างการเร่งจัดทำการตีราคาค่าเงินและสรุปบัญชีให้แล้วเสร็จตามกฎหมายกำหนดภายในเดือน มี.ค. 2551

ขณะที่ นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ นักวิชาการจากกระทรวงการคลัง ประเมินว่า ในปี 2550 ธปท.จะขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงิน 5.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นขาดทุนจากเงินสำรองระหว่างประเทศ 8.04 หมื่นล้านบาท ขาดทุนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นระหว่างปี 7.8 พันล้านบาท และขาดทุนจากการทำสวอป 2 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219347
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 672

โพสต์

โบรกจับหุ้นเด่นอัพไซด์ mai

-กูรู คัดหุ้น UMS และ ILILK ที่ยังมี Upside Gain  ให้ลงทุนได้ แถมยังมีปัจจัยพื้นฐานสนุสนับสนุนให้อุ่นใจ จากที่เก็งผลการดำเนินงานแล้วขยายตัวแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราการทำกำไรสุทธิยังส่อแววไปได้สวย  พร้อม แนะนำจับตาการลงทุน
    นายวรายุ วัฒนศิริ นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์แอ็ดคินซัน จำกัด(มหาชน) ประเมินว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ยังมี Upside Gain ในการเข้าไปลงทุน  คือ บริษัทยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด(มหาชน)UMS ที่ยังมี Upside Gain อยู่ประมาณ11% เมื่ออิงกับระดับราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวในระดับปัจจุบัน  โดยประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 31 บาท
    โดยประมาณการณ์รายได้ ปี2551 ไว้ที่3,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้น28.5% จากปี2550 ที่คาดว่าจะมีรายได้2,438 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิในปี2551 คาดว่าจะอยู่ที่ 415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น16.7% จากปี2550 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 356 ล้านบาท  
    ทั้งนี้ มองว่าUMS มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง  จากการขยายไลน์ธุรกิจท่าเรือ โดยมีแผนที่จะนำเรือขนส่งเข้ามากว่า 10 ลำภายในปีนี้ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งลงได้
     ขณะที่ฐานลูกค้าใหม่ ก็มีความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ถ่านหิน โดยราคาถ่านหินซื้อขายล่วงหน้า สำหรับเดือน ก.พ.2551 ของท่าเรือ Richards Bay SA (FOB)จากประเทศอาฟริกา ซึ่งรายงานโดย ICAP จะเห็นได้ว่าราคาถ่านหินวันที่ 1 ก.พ.2551 อยู่ที่ระดับ 113.48 เหรียญสหรัฐต่อตัน
     วันที่ 4 ก.พ.2551 ระดับราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ115.62 เหรียญสหรัฐต่อตัน  และวันที่ 6 ก.พ.2551 ราคาถ่านหินโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 113.09 เหรียญสหรัฐต่อตัน  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระดับราคาถ่านหินมีการเคลื่อนไหวที่พร้อมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง
 นอกจากนี้ ยังหุ้นบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)ILINK ที่ยังคงมี Upside Gain อีกประมาณ 16% เมื่ออิงกับระดับราคาที่เคลื่อนไหวในปัจจุบัน กับราคาเป้าหมายที่เหมาะสมที่ระดับ 8.20 บาท  โดยคาดว่ารายได้ในปี2551 จะอยู่ที่ 1,072.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น19.4% จากปี2550 ที่คาดว่าจะมีรายได้898.7 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในปี2551 คาดว่าจะอยู่ที่ 102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4% จากปี2550 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 82.6 ล้านบาท
    อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจุบันILINK มีมูลค่างานในมือของธุรกิจวางระบบ อยู่ที่ 415 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทยอยรับรู้มูลค่างานทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลังของปี2551 ทั้งนี้สำหรับสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทจะมาจากธุรกิจการขายเคเบิ้ล ในสัดส่วน 60% ส่วนอีก 40% จะมาจากธุรกิจงานวางระบบ โดยหุ้นดังกล่าวแนะนำซื้อลงทุน
    ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า จากกราฟสัญญาณทางเทคนิคในหุ้นUMS มองว่า ในระยะสั้นราคาหุ้นยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ต่อ ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดปี2550 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ประเมินแนวรับให้ไว้ที่ 27 บาท  และแนวต้านที่ 30 บาท  
    ส่วนหุ้น ILINK มองว่ามีการทยอยเข้ามาเก็บสะสมหุ้นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นมองว่าในระยะยาวโอกาสที่หุ้นดังกล่าวปรับตัวมีความเป็นไปได้สูง สำหรับแนวรับให้ไว้ที่ 6.90 บาท และแนวต้านที่ 7.30 บาท อย่างไรก็ตามหากจะเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นดังกล่าวแนะนำให้รอเข้าในจังหวะที่เหมาะสม โดยอิงกับวอลุ่มการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันด้วยว่าอยู่ในทิศทางใด
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 673

โพสต์

โบรกถอดรหัสหุ้นตระกูลU

โบรก ถอดรหัสหุ้นตระกูลU ผ่านด่านสัญญาณทางเทคนิค ชู 2 เพื่อนซี้ UEC
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 674

โพสต์

คลังตั้งวอร์รูมคุมฟื้นเศรษฐกิจ

โพสต์ทูเดย์ รมว.คลังใหม่ตั้งวอร์รูม มอนิเตอร์ตัวเลขเศรษฐกิจทุกสัปดาห์


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง กล่าวว่า วอร์รูมทางเศรษฐกิจ จะประกอบด้วยตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ โดยจะมีการหารือกันเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจได้ ทันท่วงทีและติดตามผลการทำงานในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้มาตรการต่างๆ เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 เครื่อง ทำงานเพียงเครื่องเดียวคือ การส่งออก ส่วนการบริโภค, การลงทุน และการใช้จ่ายของภาครัฐ มีปัญหาติดๆ ดับๆ ไม่ได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมามีปัญหา

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงการคลังต้องสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ โดยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชน นอกจากนี้ จะเร่งการเบิกจ่ายภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ เพราะหากแผนชัดเจนจะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจมากขึ้น

มาตรการต่างๆ ก็จะมีทั้งด้านการเงินและการคลัง โดยด้าน การเงินจะหารือกับ ธปท.ว่า จะมีมาตรการทางการเงินอะไรบ้างที่ จะกระตุ้นเศรษฐกิจ นพ.สุรพงษ์ กล่าว

รมว.คลัง กล่าวว่า เป้าหมายการทำงานระยะ 6 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจจะต้องกลับมาปกติ การค้าขายกลับมาดี ทุกคนมีความเชื่อมั่น ที่จะบริโภค เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไม่เข้าสู่ภาวะชะลอตัว การลงทุนภาคเอกชนจะต้องเกิดขึ้น ส่วนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะต้องใช้เวลาพอสมควร โดยจะมีการเริ่มลงทุนในปลายปีนี้

นพ.สุรพงษ์ ยังระบุว่า จะมีการทบทวนมาตรการสำรอง 30% ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้น โดยจะเร่งหารือกับผู้ว่าการ ธปท. ในเรื่องนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเงินบาทขณะนี้แข็งค่ามากเกินไป แข็งค่าแล้วราว 2.4% นับจากต้น ปีนี้ เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค แต่ยังให้ ธปท.ทำงานได้โดยอิสระ ขณะที่การบริหารเศรษฐกิจโดยรวม จะให้น้ำหนักในเรื่องของอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) เป็นหลัก

นอกจากนี้จะมีการโรดโชว์ขนานใหญ่ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 2551 ในประเทศญี่ปุ่น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219541
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 675

โพสต์

เลี้ยบพร้อมทุ่มเงิน กระตุ้นถึงรากหญ้า

โพสต์ทูเดย์ หมอเลี้ยบยืนกรานขออัดเงินกระตุ้นถึงรากหญ้า


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง คาดว่า รัฐบาลจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ ซึ่งจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้นโยบายการคลัง เพื่อกระตุ้นให้ถึงเศรษฐกิจฐานรากเป็นหลัก

รัฐบาลจะดำเนินโครงการประชานิยม ที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจในระดับเศรษฐกิจฐานราก ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็มแอล) กองทุนหมู่บ้าน เพื่อให้มีขีดความสามารถดีขึ้น

จากมุมมองของนักวิชาการ พบว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหมาะสมจะต้องกระตุ้นที่รากหญ้า รัฐบาลจึงยังคงจะสานต่อนโยบายเอสเอ็มแอลและกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งจำเป็นต้องจัดสรรเงินลงไปสู่ระดับนี้ให้ได้ และจะให้ความสำคัญกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เป็นหลัก และจะพยายามผลักดันเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้เติบโตเกินกว่า 5.5% เทียบกับที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าจะเติบโตแค่ 4.5-5.5% และจะเพิ่มการขาดดุลในปี 2551 แต่ต้องไม่เกิน 2.5%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219583
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 676

โพสต์

แห่เบิกงบปลุกชีพเศรษฐกิจ 4เดือนทะลักแล้ว5แสนล้าน

โพสต์ทูเดย์ ยอดเบิกจ่ายงบลงทุนพุ่ง เดือน ม.ค.โต 12.20% รอบ 4 เดือน ทุ่มลงไป 5.04 แสนล้านบาทแล้ว


นายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดี กรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ยอดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเดือน ม.ค. 2551 ของ ส่วนราชการต่างๆ มีจำนวน 1.46 แสนล้านบาท คิดเป็น 8.85% ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท ซึ่ง ถือว่าสูงกว่าอัตราการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนถึง 3.29%

สำหรับงบที่มีการเบิกจ่ายนั้นจำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 9.39 หมื่นล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกัน 1.03% และงบประมาณรายจ่ายเพื่อการลงทุนจำนวน 5.29 หมื่นล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกัน 12.20%

นายมนัส กล่าวว่า ถ้าพิจารณาเฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2550-ม.ค. 2551 ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากกระทรวงการคลังทั้งสิ้นแล้ว 5.04 แสนล้านบาท สูงกว่าอัตราการเบิกจ่ายช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนถึง 8.38%

จำแนกเป็นรายจ่ายประจำจำนวน 3.97 แสนล้านบาท หรือ 29.92% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อน 4.67% มีการเบิกรายจ่ายลงทุนจำนวน 1.07 แสนล้านบาท สูงกว่าอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน 22.58%

หน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่าย สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หน่วยงาน อิสระตามรัฐธรรมนูญ 72.61% รัฐวิสาหกิจ 53.06% และกระทรวงแรงงาน 47.12%

สำหรับโครงการที่ได้งบประมาณรายจ่ายลงทุนเกิน 1 พันล้านบาท ที่มี ผลการเบิกจ่ายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย โครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการประเมินผลและพัฒนารัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการกระจายอำนาจ

นายมนัส กล่าวว่า เพื่อขับเคลื่อนเม็ดเงินให้ลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็วเพื่อทำให้เศรษฐกิจหมุนมากขึ้น กระทรวงการคลังได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2551 เงินเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ.2546-2550 และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2551 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอไปแล้ว

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เชื่อว่าเงินงบประมาณที่มีการเบิกจ่าย จะช่วยทำให้เศรษฐกิจโดยรวมกระเตื้องขึ้น และก่อให้เกิดการผลิต การจ้างงาน ทดแทนการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219582
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 677

โพสต์

นโยบายเศรษฐกิจมหภาคในภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

 ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต

เมื่อสัปดาห์ก่อนประธานาธิบดีบุช ประกาศมาตรการกระตุ้นทางการคลังมูลค่า 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3 เท่าของงบประมาณรายจ่ายของประเทศไทย) ตามด้วยธนาคารกลางสหรัฐ ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยเรียกประชุมนอกรอบลดดอกเบี้ยนโยบายลงถึงร้อยละ 0.75 และยังมีแนวโน้มว่าในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในรอบปกติในวันที่ 31 ม.ค. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ชี้ชัดว่าทางการสหรัฐมองว่าเศรษฐกิจประเทศเขาคงสาหัส

ในช่วงปีที่ผ่านมา คาดว่าเศรษฐกิจประเทศเราจะขยายตัวได้ใกล้ร้อยละ 5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการส่งออกที่ขยายตัวถึงร้อยละ 17.5 ขณะที่อุปสงค์ในประเทศมีเพียงการกระตุ้นจากภาครัฐ ในขณะที่การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนอ่อนแรง ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ในปีนี้จะหวังให้ภาคส่งออกเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนอีกไม่ได้แล้ว เราต้องหันมาพึ่งกันเองภายในประเทศมากขึ้น เพื่อไม่ให้ภาวะเศรษฐกิจเราต้องตกต่ำไปตามปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยภายใต้สภาวะที่
(1) การลงทุนเพิ่งเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา
(2) ความมั่นใจภาคเอกชนยังเปราะบาง
(3) เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงจากการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ ตลอดจนราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง
(4) ตลาดการเงินโลกนั้นยังผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ อาจส่งผลให้เงินทุนผันผวนและไหลบ่าสู่ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น

ภายใต้สภาวะแบบนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องมีนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เหมาะสมและประสานสอดคล้องกัน เพื่อให้ภาคเอกชนมั่นใจได้ว่า แนวนโยบายดังกล่าวครอบคลุมและยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสามารถรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจโลกได้ ได้แก่

นโยบายการคลัง ยังจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง
(1) สำหรับในปีงบประมาณปัจจุบันควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างอยู่ระดับแสนล้านบาทให้ออกมาโดยเร็ว เร่งรัดโครงการรัฐวิสาหกิจที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงโครงสร้างที่ยังคั่งค้างอยู่ ที่สำคัญที่สุดโครงการที่ชัดเจนแล้วต้องเร่งดำเนินการให้ภาคเอกชนมั่นใจได้ว่าโครงการดังกล่าวจะเดินหน้าได้อย่างแน่นอน
(2) หนี้สาธารณะที่ ปัจจุบันมีประมาณร้อยละ 38 ต่อ GDP ซึ่งยังไม่สูง เปิดช่องให้รัฐสามารถใช้นโยบายการคลังในปีงบประมาณ 2552 กระตุ้นเศรษฐกิจได้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตระยะยาว และเมื่อเอกชนกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว ภาครัฐจึงค่อยถอนตัวออกมาและลดบทบาทในการใช้จ่ายลง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการขาดวินัยการคลังแต่อย่างใด

นโยบายการเงิน ควรมีความสอดคล้องและมีความยืดหยุ่นเพียงพอกับภาวะเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบนโยบายการเงินปัจจุบัน จะให้ความสำคัญกับทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ อาทิ เมื่อความเสี่ยงด้านการขยายตัวด้านเศรษฐกิจมีมากขึ้นจากภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ และหากผลกระทบดังกล่าวแผ่ขยายและรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลให้เศรษฐกิจโลกอ่อนแรงซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ แรงกดดันต่อเงินเฟ้อก็จะน้อยลง และหากแรงกดดันจากราคาน้ำมันไม่เพิ่มขึ้น นโยบายการเงินในปัจจุบันก็มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน สามารถปรับนโยบายให้เหมาะสมไปตามสภาวะของเศรษฐกิจได้

การบริหารอัตราแลกเปลี่ยน ควรสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานและกลไกตลาด ในช่วงที่ผ่านมาเงินเหรียญอ่อนค่าลง การดูค่าเงินบาทเทียบกับอัตราเหรียญ อาจดูเสมือนว่าเงินบาทแข็ง ซึ่งในแง่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้นต้องดูเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่แข่งและคู่ค้าด้วย ซึ่งดูได้จากดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ได้แข็งกว่าประเทศอื่นแต่อย่างใด

ทางการจึงควรชี้แจงภาคเอกชนให้เห็นชัดเจนว่า เป้าหมายหลักของการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน คือพยายามรักษาค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจมหภาค และเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยนัยนี้ค่าเงินบาทจึงสามารถแข็งค่าขึ้นไปหากสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน (อาทิ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด)

นอกจากนี้ การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นยังเป็นกลไกที่สำคัญที่จะช่วยปรับสมดุลให้เศรษฐกิจด้วย เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังเป็นกลไกที่สำคัญที่จะช่วยปรับสมดุลให้เศรษฐกิจด้วย เพราะค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานนั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศมากขึ้น

สุดท้ายจะช่วยสร้างความสมดุลของเศรษฐกิจระหว่างการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศ

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219525
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 678

โพสต์

คลัง-ธปท.งัดแผนสยบบาทแข็ง
แบงก์ชาติ-คลังงัดมาตรการร่วมแก้ปัญหาบาทแข็งค่าเงิน ธปท.ปลดล็อกถือครองเงินต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น ขยายเวลาถือครองเงินจาก 120 วันเป็น 360 วัน พร้อมเปิดทางบจ.ในตลาดฯลงทุนระหว่างบ.แม่และลูกได้ไม่จำกัดจำนวน ด้านคลังตั้งทีมประกบแบงก์ชาติทำแผนรับมือเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ขณะที่นักธุรกิจไม่ขานรับมาตรการขยายเวลาถือดอลลาร์ รอลุ้นแบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า

สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐและปัญหาซับไพร์มที่ยังส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ซึ่งเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าทำสถิติทะลุ 33 บาทมาแล้ว โดยเป็นผลจากเม็ดเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และผู้ส่งออกที่ยังเทขายดอลลาร์สหรัฐเพราะคาดการณ์ว่าดอลลาร์จะยังอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2551 ค่าเงินเปิดตลาดที่ระดับ 32.90-32.91 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 32.90-32.91 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบจากปลายปี 2550 เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 2.3% แข็งเป็นอันดับที่สามในภูมิภาครองจากเยนญี่ปุ่นที่แข็งค่าขึ้น 3.93 % และริงกิตมาเลเซียที่แข็งค่าขึ้น 2.42% (เทียบจากค่าเงิน 5 ก.พ.กับสิ้นปี2550)

****ธปท.-คลังผ่อนมาตรการถือดอลล์

ต่อสถานการณ์ความกังวลของเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนและส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า ล่าสุดมีรายงานข่าวว่าทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลัง ต่างประกาศมาตรการผ่อนคลายในเรื่องการของการถือครองเงินต่างประเทศ โดยกระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวง ประกาศกระทรวงการคลังให้มีผลบังคับใช้ และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อผ่อนคลายระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดยปรับระยะเวลาการถือครองเงินตราต่างประเทศ กรณีค่าของส่งออกและกรณีอื่นๆจากเดิม 120 วัน ขยายเวลาเป็น 360 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2551

นอกจากนี้ ได้ผ่อนคลายให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ สามารถลงทุนระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูกได้ไม่จำกัดจำนวนจากเดิมที่ให้ไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงการกู้ยืมระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูกได้ไม่เกินปีละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการเพิ่มวงเงินในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศจาก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังได้ออกประกาศยกเลิกการถือครองเงินตราต่างประเทศที่เป็นรายได้จากนอกประเทศ โดยอนุมัติให้การถือครองเงินตราต่างประเทศกรณีเป็นรายได้จากแหล่งเงินในต่างประเทศแบบไม่จำกัดวงเงินจากปัจจุบันที่จำกัดวงเงิน โดยเปิดให้สามารถถือครองเงินดอลลาร์ในต่างประเทศ ไม่จำกัดทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล (ตามเกณฑ์ปัจจุบัน การมีรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่มาจากแหล่งเงินในต่างประเทศ และนำฝากในบัญชีเงินฝากในต่างประเทศ ถูกจำกัดว่าในกรณีที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่มีภาระผูกพัน บุคคลธรรมดาถือครองได้ไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นิติบุคคลถือครองได้ไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในกรณีที่เป็นเงินฝากที่ไม่มีภาระผูกพัน บุคคลธรรมดาถือครองได้ไม่เกิน 0.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 แสนดอลลาร์สหรัฐ) และนิติบุคคลถือครองได้ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมาตรการนี้มีผลตั้งแต่ประกาศกระทรวงออกมาบังคับใช้เมื่อ 1 ก.พ.2551

*****ส่งออกเมินขยายเวลาถือดอลล์

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามความเห็นของนักธุรกิจส่งออกและนายธนาคาร ไม่ได้มองว่าการขยายเวลาการถือครองเงินต่างประเทศจาก 120 วันเป็น 360 วันจะมีผลช่วยให้ผู้ส่งออกชะลอการเทขายดอลลลาร์สหรัฐ

นายบุญยง พัวพงศธร ประธานชมรมธุรกิจต่างประเทศ สมาคมธนาคารไทย ให้ความเห็นว่า สภาพความเป็นจริงผู้ส่งออกส่วนใหญ่รู้ทิศทางของดอลลาร์ที่อ่อนค่า จึงได้มีการซื้อฟอร์เวิร์ดล่วงหน้ากันไปแล้ว ยิ่งรู้ว่าดอลลาร์จะยิ่งอ่อนค่าไปกว่านี้ โอกาสที่เงินในกระเป๋าจะหายก็ยิ่งทำให้ผู้ส่งออกต้องรีบเทขายดอลาร์ แม้ว่าที่ผ่านมาธปท.จะขอความร่วมมือก็ไม่เป็นผลในทางปฏิบัติ ขณะที่เงินจากผู้ส่งออกคงมีอยู่ประมาณ 3-4 ล้านล้าบาท แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งทางการยังไม่ได้คุม

ขณะที่นายหลักชัย กิตติพล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยฮั้วยางพารา ให้ความเห็นว่า โดยปกติแล้วผู้ส่งออกรายกลางหรือรายเล็กที่มีรายได้จากการส่งออกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็ต้องใช้เงินดังกล่าวเพื่อหมุนเวียนในธุรกิจ ขณะที่รายใหญ่เพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่มีเงินเย็นและอาจจะถือไว้นาน แต่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่เมื่อได้รับรายได้มาแล้วก็จะแลกเป็นเงินบาท

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ให้ความเห็นว่า มาตรการของธปท.ที่ออกมานั้น ช่วยลดหรือชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง แต่คาดหวังไม่ได้มากที่จะเห็นทิศทางของค่าเงินบาทที่แข็งค่าสวนทางกับค่าเงินในภูมิภาคได้ เพราะทิศทางของค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สัญญาณการไหลเข้าของเงินที่เข้ามาในตลาดหุ้นในขณะนี้ยังต้องจับตามองเพราะเป็นที่น่าสังเกตว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคได้บวก แต่เม็ดเงินทีไหลเข้าไหลเข้ามาในประเทศไทยค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นลักษณะของเงินร้อนที่อาจจะเข้ามาสั้นๆและออกไปเร็ว ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นยังต้องระมัดระวังอย่างมาก

****เกาะติดธปท.รับมือทุนเคลื่อนย้าย

นอกจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินดังกล่าวแล้ว แหล่งข่าวจากระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและแผนรองรับการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ซึ่งมีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล เป็นประธาน (ตั้งขึ้นตั้งแต่ 9 มกราคม 2551) โดยเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯได้มีการประชุมเป็นนัดแรกเพื่อวางกรอบการทำงานและมีมติให้ตั้งคณะทำงาน 2 ชุด ได้แก่ คณะทำงานเพื่อจัดทำแผนระยะปานกลาง 3-5 ปี เพื่อการดูแลงินทุนไหลเข้าออกให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยคาดว่าจะจัดทำแผนให้แล้วเสร็จภายใน 5 เดือน ส่วนอีกชุดเป็นคณะทำงานฉุกเฉินซึ่งมีผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธาน

คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธปท. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า บทบาทหลักของคณะกรรมการชุดนี้ จะทำหน้าที่จัดทำแผนระยะสั้นรองรับความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย รวมทั้งการจัดทำแผนระยะยาว 5 ปี และพิจารณาแนวทางรองรับกรณีการยกเลิกมาตรการ 30% และ จัดระบบการเข้าออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายไม่ให้เป็นอุปสรรคและมีความผันผวนรวมถึงข้อกำหนดต่างๆ

ในส่วนของแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจโดยผ่านมาตรการด้านการคลังนั้น นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเตรียมทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 เพื่อหารือกับรัฐบาลใหม่ โดยจะยังเป็นงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่อง และน่าจะขาดดุลมากกว่างบประมาณปี 2551 ซึ่งมีระดับการขาดดุลประมาณ 165,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขาดดุลในระดับ 1.8% ของจีดีพี เนื่องจากมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากกรอบรัฐธรรมนูญใหม่ เช่น การตั้งงบประมาณเพื่อนำมาใช้คืนเงินคงคลัง รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามรัฐธรรมนูญในด้านการดูแลการศึกษาและคนชรา และหากมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่เพิ่มเติมอีก ก็จะทำให้การขาดดุลงบประมาณต้องเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

****คลังงัดแผนขาดดุลกระตุ้นศก.

แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำ

งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 เพื่อนำเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาตามความเหมาะสมในของสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันให้มากที่สุด โดยจะมีการนำเสนอรูปแบบของงบประมาณในลักษณะขาดดุล 3 รูปแบบ คือ ขาดดุล 2.5% 2.0% และ 1.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(จีดีพี) เพื่อเป็นการดำเนินนโยบายการคลังให้สนับสนุนการขยายตัวของจีดีพีได้ในระดับ 5.0-5.5 ต่อปี

หากมีการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 2.5% ของจีดีพี หรือมีวงเงินขาดดุลประมาณ 250,000 ล้านบาท จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นได้ถึง 2% หากจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 2.0% ของจีดีพี หรือมีวงเงินขาดดุลประมาณ 200,000 ล้านบาท จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.6% และหากจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 1.8% ของจีดีพี หรือมีวงเงินขาดดุลประมาณ 180,000 ล้านบาท จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.4% ซึ่งเป็นการพิจารณาจากแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาคของ สศค. ที่พบว่า หากรัฐบาลมีการเพิ่มการใช้จ่ายเงินงบประมาณ จำนวน 100,000 ล้านบาท จะสามารถมีสัดส่วนในการช่วยกระตุ้นจีดีพีให้เติบโตขึ้นได้ประมาณ 0.8%

การตั้งงบประมาณรายจ่ายปี 2552 ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีวงเงินตามความต้องการใช้จ่ายจริงประมาณ 1,760,000 ล้านบาท เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รัฐบาลจะมีรายจ่ายประจำเพิ่มสูงขึ้นจากหน่วยงานอิสระ การจัดสรรรายจ่ายเพิ่มให้กับหน่วยงานบางแห่งเพิ่มมากขึ้น และการตั้งชำระคืนเงินคงคลังอีกกว่า 40,000 ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงมีข้อจำกัดในการใช้จ่ายเงินงบประมาณพอสมควร และหากคำนึงถึงกรอบวินัยทางการคลังที่ระบุให้ ยอดหนี้สาธารณะคงค้างต่อจีดีพีไม่เกิน 50% ภาระหนี้ต่องบประมาณไม่เกิน 15% เป็นการจัดทำงบประมาณสมดุล และสัดส่วนงบลงทุนต่องบประมาณรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 25% ด้วยแล้ว จะทำให้มีความจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องต่อไปอีกในปี 2552  
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2294
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/02/08

โพสต์ที่ 679

โพสต์

ธปท.ลั่นกันสำรอง30%เดินมาถูกทาง บอกหากคลังเห็นข้อมูลอาจไม่ยกเลิก

8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 17:09:00

ธปท.เผยพร้อมแจงข้อมูลมาตรการกันสำรอง 30% กระทรวงการคลัง ระบุหากคลังเห็นข้อมูลที่แท้จริงอาจตัดสินใจไม่ยกเลิก ยันเงินลงทุนโดยตรงต่างประเทศยังเป็นปกติ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ ธปท.จะเข้าไปชี้แจงและหารือกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความชัดเจนของมาตรการกันสำรอง 30% ในสัปดาห์หน้า ว่า ขณะนี้ผู้บริหารของ ธปท.อยู่ระหว่างเตรียมข้อมูลต่าง ๆ โดยเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องอธิบายให้กระทรวงการคลังเข้าใจว่า ธปท.ต้องทำอะไรบ้าง

นอกจากนี้ จะมีการชี้แจงในประเด็นต่าง ๆ ที่ยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน โดยเฉพาะตัวเลขต่าง ๆ ที่กระทรวงการคลังยังไม่รู้  ซึ่งหากรู้ข้อมูลมากขึ้นอาจมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ยกเลิก เพราะถ้ายกเลิกอาจจะได้รับมีผลกระทบ จึงจำเป็นที่กระทรวงการคลังต้องชั่งน้ำหนักดูว่าเมื่อยกเลิกแล้ว จะคุ้มหรือเหมาะสมหรือไม่

สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในลักษณะเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) เริ่มลดลงจากการขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลชุดปัจจุบันและจากมาตรการ 30%  นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า เท่าที่ ธปท.ตรวจสอบเงินลงทุนเอฟดีไอยังไหลเข้ามาตามปกติ ซึ่ง ธปท.ก็ไม่ได้ใช้มาตรการกันสำรอง 30% สำหรับการลงทุนในลักษณะนี้ จึงเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติคงไม่ใช้เหตุผลนี้ เพื่อลดความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในไทย รวมทั้งในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ก็ผ่อนคลายมาตรการนี้อยู่เสมอ จึงเชื่อว่าเงินทุนที่ไหลเข้ามาส่วนหนึ่งก็เข้ามาลงทุนที่แท้จริงสร้างประโยชน์ให้แก่เศรษฐกิจไทย

นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ขณะนี้เงินทุนไหลเข้าออกเริ่มมีความสมดุลมากขึ้น เงินไหลที่เข้ามาเก็งกำไรก็โดนกันสำรอง 30% ไว้หมด จึงไม่ค่อยจะเข้ามาแล้ว ส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ส่วนใหญ่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีอยู่แล้ว ด้านผู้ส่งออกก็มีการขยายตลาดอื่นมากขึ้น และมีการค้าขายกับต่างประเทศในหลากหลายสกุลมากขึ้น ซึ่งมีการดูแลตัวเองที่ดีขึ้นกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่ามีการป้องกันความเสี่ยงที่ดีขึ้น

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมายังสอดคล้องกับค่าเงินสกุลในภูมิภาค แม้บางช่วงค่าเงินบาทไทยเทียบกับบางสกุลอาจแข็งกว่าหรือแข็งน้อยกว่าบ้างก็ตาม แต่ค่าเงินบาทไทยอยู่ในระดับกลาง ๆ โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 2% ซึ่งมีเพียง 2-3 ประเทศที่การเคลื่อนไหวค่าเงินใกล้เคียงกับของไทย เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่ากว่าไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/0 ... sid=228062
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/02/08

โพสต์ที่ 680

โพสต์

แบงก์เตือนรัฐ หั่นดอกเบี้ย ก่อนเลิก30%

โพสต์ทูเดย์ ธนาคารชี้จะเลิกกันสำรอง 30% ธปท.ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายก่อน


น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐ ศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า หากรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัดสินใจจะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% ในเร็วๆ นี้ จำเป็นต้องมีมาตรการอื่นมารองรับ ได้แก่ การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงก่อน ทั้งนี้ เพื่อบริหารส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยในประเทศและดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ปัจจุบัน ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3.25% สูงกว่าดอกเบี้ยเฟด ซึ่งอยู่ที่ 3% ซึ่งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งถัดไปวันที่ 27 ก.พ. ก็อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ทันที เพราะการประชุมของเฟดครั้งถัดไปคือ 18 มี.ค. มีการคาดการณ์กันว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.5%

สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดจากการยกเลิก 30% จะเป็นผลดีต่อฐานะการคลังในการตั้งงบประมาณ การมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต้องอาศัยการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตร

ถ้าจะเลิก 30% จริงๆ ก็อาจ ได้เห็นค่าเงินบาทลงไปถึง 32 บาท หรืออาจจะ 31 บาท/เหรียญสหรัฐ น.ส.อุสรา กล่าว

นายณัฐวุฒิ สัจจพุทธวงค์ นักเศรษฐศาสตร์การเงินอาวุโส กลุ่มบริหารการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกก็แทบจะไม่มีความแตกต่างกัน เพราะได้ผ่อนคลายไปมากแล้ว แต่เชื่อว่าค่าเงินบาทในประเทศจะแข็งค่าขึ้นไป 0.2-0.3 บาท/เหรียญสหรัฐเท่านั้น โดยอาจจะแข็งลง ไปที่ 32.5 ก่อนจะอ่อนที่ 32.6-32.7 บาท/เหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219774
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/02/08

โพสต์ที่ 681

โพสต์

อัดฉีด3หมื่นล.ฟื้นธุรกิจชุมชน

โพสต์ทูเดย์ รมว.อุตสาหกรรม ไฟเขียว เสริมงบ 3 หมื่นล้าน ช่วยธุรกิจเอสเอ็มอี/โอท็อป 3 ปี กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน


นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานบอร์ดธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า ธพว. ได้จัดทำโครงการสินเชื่อสู่ผู้ประกอบการและชุมชน วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท มีระยะเวลา 3 ปี (2551-2553) ตามนโยบายของนายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรม ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาผู้ประกอบการในชุมชน

งบประมาณดังกล่าว แบ่งเป็น 1.สินเชื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน 1 หมื่นล้านบาท ให้ผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น (โอท็อป) แฟรนไชส์ ไปต่อยอดการผลิตสินค้า รวมทั้งโรงงานผลิตหม้อก๋วยเตี๋ยว 700 โรง นำไปปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย

2.สินเชื่อเพิ่มประสิทธิภาพเอสเอ็มอี 1 หมื่นล้านบาท จะให้ผู้ประกอบการกู้ไปปรับเปลี่ยนเครื่องจักร พร้อมนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต รวมทั้งปรับปรุงระบบโลจิสติกส์

3.สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรุ่นใหม่ 7.5 พันล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่และแฟรนไชส์ และ 4.สินเชื่อเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 2.5 พันล้านบาท โดยจะให้ผู้ประกอบการกู้เงินไปปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน

โครงการนี้เป็นสินเชื่อเพื่อผลิตสินค้าและบริการ ไม่ใช่กู้เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค หรือกู้ไปใช้หนี้ เพราะจุดประสงค์หลักต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการขยายกิจการหรือเพิ่มศักยภาพผลิต ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นายจักรมณฑ์ กล่าว

กลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการมาจากลูกค้าของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่ผ่านการอบรมแล้ว 2 พันราย ผู้ประกอบการที่ผ่านการบ่มเพาะจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมทั้งลูกค้าของ ธพว. รวม 3 หน่วยงานมีประมาณ 6 พันคน คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงาน 1.8 หมื่นราย

นายจักรมณฑ์ กล่าวว่า ธพว. จะต้องขอเพิ่มทุนจากรัฐบาลประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะอนุมัติเท่าใด

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น หากรัฐบาลสนับสนุนเต็มวงเงินก็อาจคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราปกติ 3% แต่หากรัฐบาลจัดสรรงบให้เพียงส่วนหนึ่ง และ ธพว. ต้องไปหาเงินมาอีกส่วนหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยต้องเป็นอัตราปกติ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219829
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/02/08

โพสต์ที่ 682

โพสต์

พีแอนด์จีจูบปากมิ่งขวัญ

โพสต์ทูเดย์ พีแอนด์จี ขานรับตรึงราคาตามนโยบายกระทรวงพาณิชย์ ย้ำกลยุทธ์ไซซิงผ่านโอเลย์ รับกำลังซื้อต่อครั้งลด รักษาแชร์กว่า 30%


นายเมธี จารุมณีโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดและองค์กร บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ พีแอนด์จี ผู้ผลิตและทำตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภค กล่าวว่าบริษัทยังไม่มีแผนขึ้นราคา แม้ต้นทุนการผลิตและวัตถุดิบสินค้าบางรายการมีการปรับเพิ่มขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รมว.พาณิชย์ คนใหม่ ที่เตรียมทบทวนราคาใหม่สำหรับสินค้าอุปโภค-บริโภค 30 รายการ

พร้อมกันนี้ บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ไซซิง หรือปรับขนาดให้เหมาะกับกำลังซื้อต่อครั้งของผู้บริโภค โดยจะลดขนาด และราคาลงจากราคาปกติ 50% สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิวยี่ห้อโอเลย์ สูตร โอเลย์ โทเทิล เอฟเฟกต์ ขนาดใหม่ 25 มล. ราคาลดลงเหลือ 200 บาท จากขนาดปกติ 50 มล. ราคากว่า 400 บาท เพื่อให้สินค้ากลุ่มดังกล่าวมีขนาด และราคาที่สามารถหาซื้อได้ง่าย ในกลุ่มเป้าหมายลูกค้าใหม่ อาทิ กลุ่มผู้อยากทดลองใช้ หรือนักศึกษา

ก่อนหน้านี้ บริษัทใช้กลยุทธ์ไซซิงเข้าไปทำตลาดในกลุ่มสินค้ายาสระผมยี่ห้อแพนทีน และรีจอยส์ ด้วยการลดขนาดและราคาลงไปอีก 30% จากขนาดปกติ เมื่อเดือน ก.ย.ปีที่ผ่านมา เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อดังกล่าว

นอกจากกลยุทธ์ไซซิง บริษัทได้จัดกิจกรรมการตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 2 สูตร คือ โอเลย์ โทเทิล เอฟเฟกต์ และโอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ ภายใต้แคมเปญ เลิฟ ยัวร์ สกิน เซย์ โอเลย์ รุกผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิวเป็นครั้งแรก หลังรวมทั้ง 2 กลุ่มสินค้ามาทำกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญเดียวกัน โดยผลิตภัณฑ์ โอเลย์ทั้ง 2 กลุ่ม ยังมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ เพื่อรองรับความต้องการกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อต้นปีได้เปิดตัว โอเลย์ โทเทิล เอฟเฟกต์ แอนตี เอจจิง เฟเชียล สเตรช มาสก์ ไปแล้ว

สำหรับแนวทางการทำตลาดสินค้ากลุ่มดูแลผิวแบรนด์โอเลย์ดังกล่าวในปีนี้ เพื่อตอกย้ำและรักษาความเป็นเจ้าตลาดอันดับ 1 ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2550 โอเลย์ มีส่วนแบ่งตลาดรวมราว 30.7% ของมูลค่าตลาดรวม 6.75 พันล้านบาท แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาว 52% ลดริ้วรอย 38% ทั่วไปและอื่นๆ อย่างละ 5% โดยสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น โอเลย์ โทเทิล เอฟเฟกต์ 13.9% รีเจอเนอรีส 1.5% โทเทิล ไวท์ 6.1% และ ไวท์ เรเดียนซ์ 7.9%

ขณะที่ภาพรวมแบรนด์โอเลย์ ปี 2549 เติบโต 3.9% ส่วนแบรนด์คู่แข่ง อาทิ พอนด์ส มีส่วนแบ่งตลาดปี 2550 อยู่ที่ 22.2% ลดลงจากปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 25.6% การ์นิเย่ เติบโตขึ้น 7.1% เดิม 5.5% และลอรีอัล ลดลงเหลือ 7.6% จากเดิม 8.1% และปีนี้คาดว่าตลาดรวมมีอัตราเติบโตเพิ่ม 11% คิดเป็นมูลค่ากว่า 7.5 พันล้านบาท จากการแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่ในปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219817
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 683

โพสต์

คลังเผยรายได้4เดือนแรกปีงบ51 สูงกว่าเป้าหมาย0.6%

11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 14:01:00
 
คลังเผยรายได้รัฐบาลในระยะ 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 สูงกว่าประมาณการเล็กน้อย 0.6%

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวง การคลัง เปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาล ประจำเดือนมกราคม 2551 ว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 96,423 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 570 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.6 และต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.9 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่ำกว่าประมาณการ 2,371 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.9

ทั้งนี้ สาเหตุหลักมาจากฐานภาษีที่จัดเก็บจากดอกเบี้ยต่ำกว่าประมาณการ เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง นอกจากนี้ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ยังจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 1,860 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.5 เป็นผลกระทบเนื่องจากการที่ประชาชนชะลอการซื้อรถยนต์นั่งเพื่อรอรถยนต์นั่งใหม่ประเภท E20 ที่ราคาจะปรับลดลง นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจและส่วนราชการอื่นยังนำส่งรายได้ต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ 1,487 ล้านบาทและ 925 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.7 และ 20.2 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม  ภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรขาเข้า และภาษีน้ำมันจัดเก็บได้สูงกว่า ประมาณการ 3,146 ล้านบาท 1,028 ล้านบาทและ 800 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.9 14.5 และ 12.9 ตามลำดับ และเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ งวดแรกของปีงบประมาณ 2551 จำนวน 10,015 ล้านบาท

สำหรับรายได้ช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.2550-ม.ค.2551) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 421,723 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2,718 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.4 เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมในสังกัดกระทรวงการคลังจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย

โดยกรมสรรพากร จัดเก็บได้รวม 312,088 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 7,013 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.3 และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 10.6 ภาษีที่เก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม โดยจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 7,230 ล้านบาท 3,258 ล้านบาทและ 1,353 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.5 2.1 และ 135.3 ตามลำดับ

กรมสรรพสามิต จัดเก็บได้รวม 95,566 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 867 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.9 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.3 แต่ถ้าหักรายได้จากภาษีกิจการโทรคมนาคมของปีที่แล้วออก จะทำให้ในปีนี้จัดเก็บได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.7 โดยภาษีเกือบทุกประเภทจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการที่สำคัญได้แก่ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์

ส่วนกรมศุลกากร จัดเก็บได้รวม 33,281 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2,661 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.7 และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 11.1 โดยอากรขาเข้าจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 2,377 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.9 เนื่องจากมูลค่านำเข้าทั้งในรูปดอลลาร์สหรัฐ และรูปเงินบาทยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าที่ประมาณการไว้

ขณะที่รัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้รวม 34,279 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 4,197 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.9 แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.8 เนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งยังไม่ได้นำส่งรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และหน่วยงานอื่น นำส่งรายได้รวม 20,691 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3,730 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.3 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 12.7 เป็นผลจากค่าภาคหลวงปิโตรเลียมจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า จากผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 ที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2,718 ล้านบาท และทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นภายหลังจากการตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว กระทรวงการคลังคาดว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2551 จะยังอยู่ในวิสัยที่น่าจะจัดเก็บได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเอกสารงบประมาณ 1.495 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน ค่าเงินบาท และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ
http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/1 ... sid=228614
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 684

โพสต์

คลังล้วงกึ๋นแบงก์ชาติ ส่งสัญญาณหั่นดบ. 0.5% พร้อมเก็บภาษีทุนไหลออก  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
11 กุมภาพันธ์ 2551 11:41 น.
 
 คลังแนะ ธปท.ลดดอกเบี้ย 0.5% ลดแรงกดดันเงินทุนไหลเข้าออกเร็ว พร้อมเสนอเก็บภาษีเงินทุนไหลออก ทดแทน หากโดนใบสั่งให้ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% "สมชัย" ยังแบ่งรับแบ่งสู้ประเด็น Exit Tax
     
      วันนี้(11 ก.พ.) มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการแก้ปัญหาผลกระทบจากเงินทุนไหลเข้าออกเร็ว โดยระบุว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ได้เสนอความเห็นต่อ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในวันนี้ ทั้งเรื่องนโยบายอัตราดอกเบี้ย และการกำกับดูแลค่าเงินบาท รวมไปถึงแนวทางการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงิน
     
      นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง กล่วถึงผลการการหารือกับ น.พ.สุรพงษ์ รมว.คลัง เช้าวันนี้ ระบุว่า สศคได้เสนอแนวทางและมาตรการต่างๆ ที่จะนำมาใช้ทดแทน หากมีการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้น
     
      สำหรับมาตรการที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การปรับลดดอกเบี้ยในประเทศลงเพื่อให้ส่วนต่างกับดอกเบี้ยต่างประเทศลดน้อยลง ส่วนจะลดลงเท่าใดนั้นคงจะต้องมีการหารือในรายละเอียดก่อน และยืนยันว่า รัฐบาลอาจจะไม่ใช้มาตรการจัดเก็บภาษีขาออกเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศ (Exit Tax)
     
      "ยกเลิกมาตรา 30% คาดว่าน่าจะมีแน่นอน แต่หากยกเลิกทันทีจะมีผลกระทบ เพราะดอกเบี้ยของไทยยังสูงกว่าต่างประเทศ จะทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้ามามาก และในที่สุดจะทำให้เงินบาทแข็ง ซึ่งน่าเป็นห่วง...หากจะยกเลิก 30% ก็ต้องลดดอกเบี้ยด้วย"
     
      นอกจากนั้น หากยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ก็ควรจะมีมาตรการเสริมในลักษณะของมาตรการบูรณาการ โดยจะใช้เพื่อช่วยเหลือและลดผลกระทบจาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จะมีต่อผู้ฝากเงิน, ข้าราชการเกษียณอายุ ตลอดจนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงการส่งเสริมให้มีการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศให้มากขึ้น
     
      ส่วนที่มีหลายฝ่ายเป็นห่วงว่าการปรับลดดอกเบี้ยอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นนั้น นายสมชัย กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อในประเทศเกิดจากราคาน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่การใช้จ่ายของประชาชนมีอัตราชะลอตัวลง ดังนั้น การปรับลดดอกเบี้ยจึงไม่น่าจะเป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ จึงทำให้มีช่องที่สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชน
     
      อย่างไรก็ตาม การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จะต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) พร้อมกันทั้งหมดด้วย
     
      แหล่งข่าวจาก กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ น.พ.สุรพงษ์ ได้สั่งการให้ สศค.รวบรวมข้อมูล และเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการกันสำรอง 30% นโยบายอัตราดอกเบี้ย นโยบายการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือแบงก์ชาติ และมาตรการภาษีที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจนั้น สศค.ได้นำรายงานและความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว เสนอต่อ น.พ.สุรพงษ์ แล้วตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าวันนี้
     
      สำหรับในส่วนของการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน สศค.จะเสนอให้กำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าในแต่ละปีค่าเงินบาทสามารถแข็งค่าได้เท่าใด เช่น ประเทศจีน ที่มีการกำหนดว่าค่าเงินหยวนสามารถแข็งค่าขึ้นได้ 15% ต่อปี
     
      ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์พี) ได้เสนอให้ปรับลดลงอีก 0.5% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.25% เนื่องจากมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าที่ไม่ได้มีการปรับขึ้นมานาน
     
      "ควรจะบริหารนโยบายดอกเบี้ยตามทฤษฎีความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยหากอัตราเงินเฟ้อต่ำก็สามารถลดดอกเบี้ยได้ และหากไม่ต้องการให้เงินทุนไหลเข้า ก็ควรที่จะลดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าประเทศอื่น"
     
      ด้านมาตรการกันสำรอง 30% สศค.ได้เสนอให้ยกเลิก เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะมีการใช้มาตรการ 30% ก็ไม่ได้ช่วยให้เงินทุนไหลเข้ามาน้อยลง ค่าเงินบาทก็ยังคงแข็งค่า ทำให้ค่าเงินบาท 2 ตลาด เกิดความแตกต่างกัน ผู้ส่งออกถือเงินเหรียญสหรัฐฯระยะสั้นและขายออกมากขึ้น โดยหลังจากยกเลิกมาตรการ 30% ก็จะเสนอให้ใช้มาตรการเก็บภาษีเงินทุนไหลออกที่นำเข้ามาไม่ถึง1 ปี ในอัตรา 5-10% ของกำไร
     
      นอกจากนี้ สศค.ยังจะเสนอความเห็นเรื่องการตั้งงบประมาณกลางปี ควรไปใช่ต่อยอดในโครงการกองทุนหมู่บ้าน ให้เป็นธนาคารประชาชน และโครงการเอสเอ็มแอล ซึ่งเป็นเรื่องที่ สศค.ได้คิดมาก่อนหน้านี้
     
      สำหรับมาตรการภาษีจะมีการเสนอให้เพิ่มค่าใช้จ่ายหักภาษีจาก 6 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท ทำให้คนมีรายได้น้อยไม่ถึง 2 หมื่นบาทต่อเดือนไม่ต้องเสียภาษี รวมทั้งจะเสนอให้มีการแยกยื่นภาษีระหว่างสามีภรรยา ซึ่งจะทำให้มีการเสียภาษีน้อยลง โดยมาตรการภาษีดังกล่าวเป็นแผนที่ กรมสรรพากร เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ไว้แล้ว
     
      ดร.พิชิต อัครทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญตลาดทุน กล่าวว่า หากรัฐบาลมีนโยบายยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็ควรหามาตรการอื่นมาทดแทน มิเช่นนั้นจะเกิดการเก็งกำไรอย่างรวดเร็ว
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000017041
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 685

โพสต์

Main Story: ทางเลือกลงทุนท่ามกลางวิกฤติ Hamburger Crisis ?
Posted on Monday, February 11, 2008
เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติระลอกใหม่ ซึ่งครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ หรือที่เรียกว่า Subprime ที่เกิดขึ้นเด่นชัดในปีที่ผ่านมา และมีนักวิเคราะห์หลายคนออกมาพูดก่อนหน้านี้แล้วว่าวิกฤติ Subprime จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างรุนแรงในปีนี้ ซึ่งก็เป็นจริงเช่นนั้นเพราะตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐต้องมีการตั้งสำรองหนี้สูญอันเกิดจากสินเชื่อ Subprime ขณะเดียวกันสำนักวิจัยชั้นนำหลายค่ายต่างออกมาปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่สุดของโลก

เราจึงได้เห็นราคาหุ้นและดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนมกราคม จนในที่สุดธนาคารกลางสหรัฐได้จัดการประชุมฉุกเฉินและประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (FED Funds Rate) ลงรวดเดียว 0.75% จาก 4.25% เหลือ 3.5% ถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยมากสุดในรอบ 23 ปี เพื่อชะลอไม่ให้เศรษฐกิจทรุดหนักจนอาจจะฉุดเศรษฐกิจโลกให้ทรุดตามเป็นลูกโซ่ไปด้วย ซึ่งวิกฤติที่เกิดขึ้นในสหรัฐครั้งนี้ได้ชื่อว่า Hamburger Crisis เหมือนกับเมื่อปี 2540 ที่วิกฤติเศรษฐกิจในไทยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย จึงได้รับการเรียกขานว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง (Tom Yam Kung Crisis)

เมอร์ริล ลินช์ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลกสำรวจความคิดเห็นผู้จัดการกองทุน 195 รายทั่วโลกประจำเดือนมกราคมที่ผ่านมา 70% มองว่าเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะ อ่อนแอ ลงใน 12 เดือนข้างหน้า

ส่วนเจพี มอร์แกน สถาบันการเงินชั้นนำของโลกอีกแห่ง คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะย่ำแย่ที่สุดในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 0% หรือไม่เติบโตเลย

จัดพอร์ตด้วย หุ้น กองทุนรวม และทองคำ

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บล.ภัทร กล่าวว่าหากนักลงทุนยังคงชื่นชอบการลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องการบริโภคภายในประเทศ คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงานเนื่องเพราะดอกเบี้ยยังถูก และเชื่อว่าดอกเบี้ยไทยยังไม่ขยับขณะที่หุ้นเกี่ยวข้องกับการส่งออกจะแผ่วลงไป

ถ้าหากจัดพอร์ตแบบ สายกลาง โดยภาพรวมแล้ว จิรวัฒน์แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 50% ลงทุนในตราสารหนี้ 50% โดยตราสารหนี้แบ่งออกได้เป็นลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีสภาพคล่องสูง ได้แก่ กองทุน Money market Fund และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หากสนใจการลงทุนระยะยาวให้มองกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

การลงทุนในหุ้น ครึ่งหนึ่งลงทุนในหุ้นไทย หุ้นบลูชิปสัก 5 ตัว หรือจะซื้อผ่านกองทุนหุ้นก็ได้ โดยลงทุนในกองทุนรวมประเภท Defensive และ Growth อย่างละครึ่ง อีกครึ่งให้มองหุ้นต่างประเทศผ่าน FIF โดยให้มองตลาดยุโรปตะวันออก หรือซื้อกองทุนรวม BRIC และกองทุนพลังงานทางเลือก ที่สำคัญอย่าลืมซื้อทองติดพอร์ตไว้สัก 5% ของเม็ดเงินการลงทุน จิรวัฒน์ กล่าว

จิรวัฒน์กล่าวว่านักลงทุนต้องเข้าใจว่าด้วยสภาพแบบนี้ต้องให้ความสำคัญต่อการลงทุนอย่างไรให้มีความปลอดภัย นักลงทุนอย่าพึ่งพาตลาดการลงทุนตลาดเดียว ต้องกระจายความเสี่ยง และอย่านั่งรอตลาดหุ้นตลาดเดียว ที่สำคัญตลาดการลงทุนมีความสลับซับซ้อนจึงไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้อีกต่อไป ต้องหาผู้ช่วยและที่ปรึกษาการลงทุนเป็นคำตอบที่น่าสนใจ

ปีแห่งความผันผวน

พวกเราประเมินว่าตลาดหุ้นครึ่งปีแรกจะค่อนข้างผันผวน ทางเทคนิคพบว่าช่วงเดือน กุมภาพันธ์นี้ตลาดจะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยจะแกว่งตัวอยู่ระหว่างแนวตั้งที่ 830850 จุด ส่วนแนวรับน่าจะอยู่ที่ 780785 จุด วิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายลูกค้าบุคคล หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค (รักษาการ) บล.ทิสโก้ บอก

ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในสภาวะคลุมเครือและมีบรรยากาศที่ไม่น่าลงทุนมากนัก จึงมองว่าทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากการถือเงินสดไว้ก็อาจจะเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ซึ่งน่าจะให้ดอกเบี้ยในอัตราที่ระดับน่าพอใจ

ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นปีนี้ไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวได้เลย อย่างมากก็เดือนต่อเดือน สำหรับนักลงทุนที่จะลงทุนระยะยาวแนะนำว่าให้รอลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่า ส่วนระยะสั้นที่เล่นเป็นรอบๆ ต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด

สำหรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุน วิวัฒน์แนะนำว่าความเหมาะสมยังให้น้ำหนักกับกลุ่มพลังงาน 30% กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 20% นอกจากนั้นให้กระจายไป เพราะเชื่อว่าในภาวะตลาดหมีเช่นนี้สิ่งที่จะได้เห็น ก็คือ การกลับมาของหุ้นเก็งกำไร

แนะนำว่าหากนักลงทุนที่นิยมหุ้นเก็งกำไรต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก วิวัฒน์ บอก

วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ช่วยคุณได้ในการบริหารพอร์ตการลงทุน

อดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน กลุ่มลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีความยืดหยุ่นสูง เพราะสามารถปรับตัวเองได้ดีโดยใช้ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเป็นวิธีการมองเข้าไปถึงผลลัพธ์ของสาเหตุ ดังนั้นสามารถประหยัดเวลาในการกำหนดกลยุทธ์ได้ รวมถึงสามารถช่วยดูความเคลื่อนไหวราคาได้อย่างรวดเร็ว และเห็นภาพตลาดโดยรวมได้กว้าง และที่สำคัญ เป็นการบอกถึงจังหวะการเข้าหรือออกจากตลาด เพราะสัญญาณทางเทคนิคจะบอกว่าช่วงไหนควรซื้อหรือขาย หรือไม่มีความจำเป็นในการเร่งรีบตัดสินใจ

ถ้าดูทฤษฎีคลื่นของอีเลียต เวฟช่วงนี้จะอยู่ในขา C หมายความว่า การจบรอบกำลังจะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้ สังเกตจากตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่ (New Low) ดังนั้นสัญญาณทางเทคนิคถัดไปจะเป็นสัญญาณขาขึ้น และเป็นช่วงรอจังหวะซื้อ แต่จะบอกว่าเมื่อไรจะถึงจังหวะซื้อไม่สามารถบอกได้ บอกได้แต่เพียงว่าใกล้เป็นจังหวะซื้อครั้งสำคัญเป็นอย่างมาก อดิพงษ์กล่าวถึง ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเมื่อพิจารณาจากปัจจัยด้านเทคนิคเป็นหลัก

ทว่า ข้อเสียของการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ ทุกอย่างสะท้อนอยู่ในราคาหุ้น ดังนั้นหากใครเป็นนักลงทุนประเภทเก็งกำไร ที่มีเงินลงทุนมากและต้องการสร้างภาพลวงตา ก็สามารถที่จะใช้จุดนี้ไปสร้างราคาหุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แบบที่ไม่เป็นธรรมชาติรวมทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น จึงอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการลงทุนของนักลงทุน ทั้งๆที่พื้นฐานของเศรษฐกิจ หรือบริษัทอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำไป

อยากให้นักลงทุนเปิดใจกับการเรียนรู้การวิเคราะห์หุ้นหลายๆ ประเภทในการวางกลยุทธ์การซื้อขายและอย่าสับสนในการวิเคราะห์ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยาก และอาจมีไม่กี่คนที่จะสามารถแยกแยะความรู้สึกและเหตุผลได้และประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่ก็ถือว่าควรศึกษา อดิพงษ์ แนะนำ

กองทุนหุ้นกองทุนผสม ยังต้องมี

แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกจะย่ำแย่แค่ไหนกองทุนรวมประเภทกองทุนหุ้นและกองทุนผสมที่มีหุ้นในพอร์ต ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพราะข้อมูลในอดีตพิสูจน์แล้วว่าการลงทุนในระยะยาว หุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหลักทรัพย์อย่างอื่น แต่ในปีนี้อาจลดน้ำหนักการลงทุนส่วนนี้ลงสำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจในตลาด และต้องทำการบ้านเพื่อคัดเลือกกองทุนที่เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น

กองทุนดัชนี สำหรับคนชอบหุ้นแต่ไม่ชัวร์ผู้จัดการกองทุน

เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ชอบการลงทุนในหุ้นแต่ไม่อยากเสี่ยงกับผู้จัดการกองทุน เพราะกองทุนดัชนีลงทุนโดยหวังผลตอบแทนที่ขึ้นลงตาม SET Index และ SET50 Index การบริหารกองทุนจะใช้โปรแกรมที่ทำให้ NAV ขึ้นลงในสัดส่วนเดียวกับดัชนีอ้างอิง แต่ยังได้ประโยชน์ของเงินปันผลจากหุ้นที่ถืออยู่ ปัจจุบันกองทุนดัชนีของไทยเกือบทั้งหมดจะเป็นกองทุน SET50 มี SET Index เพียงของ บลจ.ไทยพาณิชย์ และมีกองทุนกลุ่ม Jumbo เป็นกองทุนที่อ้างอิงกับดัชนีพิเศษที่จัดทำขึ้นของ บลจ.ทหารไทย ให้เลือกตามความชอบของแต่ละคน

TDEX กองทุนสำหรับคนชอบเทรด

กองทุนไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ หรือ TDEX เป็นกองทุนดัชนีอิงกับ SET50 ที่เปิดให้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นนวัตกรรมใหม่ของไทยที่เกิดขึ้นสำหรับคนชอบเทรดกองทุน สามารถซื้อขายได้ระหว่างวัน รู้ราคาแน่นอน โดยไม่มีปัญหาสภาพคล่องเพราะมีการแต่งตั้งโบรกเกอร์เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องให้ราคาอยู่ในระดับเดียวกับ NAV ของกองทุนทุกวันด้วย

กองทุนตราสารหนี้ Rating ดี Yield สูง ยังมี

หลังจาก พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ประกาศใช้ เชื่อว่ากองทุนตราสารหนี้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากมายแน่นอน เพราะกองทุนตราสารหนี้ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความปลอดภัยที่สูงกว่ากองทุนหุ้นมาก ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนต่างๆ ก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น เพราะสามารถเลือกลงทุนตราสารหนี้คุณภาพสูงของต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ปีที่แล้วตราสารการเงินของสถาบันการเงินในยุโรป อย่าง Euro commercial Paper (ECP) เป็นที่นิยมมากเพราะให้ผลตอบแทนหลังปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้วก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรในประเทศไทย ระยะเวลาการลงทุนก็ไม่นานมาก และยังมีให้ลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ด้วย รวมถึงพันธบัตรของประเทศใหม่ๆ ที่นักลงทุนไทยยังไม่คุ้นเคยแต่มีอันดับเรทติ้งดีมาก เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ก็เริ่มมีให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมแล้ว

สิ่งที่ต้องระมัดระวังสำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่ไปซื้อตราสารต่างประเทศ คือเรื่องระยะเวลาลงทุน และความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนจำเป็นต้องดูให้ดีว่าปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ ถ้าไม่ปิด ทำไมจึงไม่ปิด และตราสารต่างประเทศที่ไปลงทุนมีระยะเวลานานแค่ไหน เพราะพันธบัตรรัฐบาลของต่างประเทศหลายแห่งที่กองทุนรวมไปซื้อมีอายุยาวมากกว่า 1 ปี

กองทุนรวมตลาดเงิน ทางเลือกที่มาแทนเงินฝากออมทรัพย์

กลายเป็นกองทุนสามัญประจำบ้านที่ทุกบริษัทจัดการต้องมีเพราะคุณสมบัติที่ดี ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากออมทรัพย์ ความปลอดภัยสูง และสภาพคล่องสูง ขายเพียง 1 วันก็ได้เงิน กองทุนรวมตลาดเงินหรือ Money Market Fund จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการใช้แทนบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังก็คือ กองทุนที่ซื้อนั้น บริษัทจัดการมีเงื่อนไขการโอนเงินคืนอย่างไร สามารถโอนเงินคืนเข้าบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารใดบ้าง ไม่เช่นนั้นหากต้องจ่ายคืนเป็นเช็ค ข้อดีเรื่องสภาพคล่องจะกลายเป็นปัญหาในทันที

กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กำลังกลับมา

มาตรการกันสำรอง 30% ที่ประกาศโดย ธปท. เมื่อปลายปี2549 เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของกองทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างช่วยไม่ได้ เพราะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ๆ จำเป็นต้องมีนักลงทุนสถาบันจากต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุน ที่ผ่านมากองทุนอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนได้ตามที่ประกาศไว้ แต่ยังมีปัญหาสภาพคล่องการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เงินที่จะซื้อจึงต้องมั่นใจว่าเป็นเงินเย็น ที่นำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็บกินผลตอบแทนแบบสม่ำเสมอได้ ซึ่งเงินปันผลที่ได้รับย่อมดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอย่างแน่นอน

ในปีนี้จะมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นอีกหลายกองทุน และจะเพิ่มมากขึ้นอีกหากรัฐบาลใหม่และ ธปท. ยกเลิกมาตรการ 30% สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย

อสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนจะซื้อมาลงทุนก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น เดิมจะเป็นอาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า โรงงาน ที่อยู่อาศัย แต่หลังจากนี้เราจะเห็นรีสอร์ท โรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจเฉพาะด้านมากขึ้น ดังนั้นก่อนผู้ลงทุนจะเข้าไปซื้อจึงควรให้น้ำหนักเรื่องพื้นฐานธุรกิจมากขึ้นด้วย

กองทุนต่างประเทศ ยังดีอยู่หรือ

กองทุน FIF มีความหลากหลาย เพราะมีทั้งกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสมแบบ Asset Allocation กองทุนที่ลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์หรือทองคำ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศจึงต้องพึงระลึกเสมอว่าความเสี่ยงในคุณสมบัติของตราสารแต่ละชนิดยังคงอยู่ ไม่ได้หายไป แต่โอกาสการคัดเลือกสินค้าเพื่อลงทุนมีมากขึ้น ในปีที่ผันผวนเช่นนี้ การมีตราสารการลงทุนให้เลือกเพิ่มขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทยก็เป็นสิ่งที่ดีมิใช่ฤา

การคัดเลือกกองทุนต่างประเทศเพื่อลงทุนจึงจำเป็นต้องศึกษาถึงตราสารที่ลงทุนให้ดีว่าเป็นอะไร ภูมิภาคไหน เป็นหุ้น ตราสารหนี้แบบไหน หรือเป็นกองทุนผสม มีอะไรบ้างผสมอยู่ในนั้น และการบริหารของผู้จัดการกองทุนใช้วิธีใด เป็นกองทุนเชิงรุกแบบ Active หรือเป็นกองทุนดัชนี เพราะแต่ละแบบก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

กองทุนต่างประเทศกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นทางเลือกเพื่อกระจายทรัพย์สินลงทุนได้ดี นั่นคือ กองทุนที่ไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้งกองทุนที่ลงทุนในทองคำอย่างเดียว และกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลาย เพราะเป็นประเภทหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ถูกจับตามากในปีนี้ว่าจะให้ผลตอบแทนงามด้วย

กองทุนนวัตกรรมใหม่

กองทุนรวมประเภทสุดท้ายที่สามารถใช้เป็นทางเลือกการลงทุนได้คือกองทุนที่ใช้โมเดลทางการเงินในการออกแบบกองทุน เช่น การใช้ Structure Note โดยส่วนใหญ่กองทุนกลุ่มนี้จะออกแบบให้คุ้มครองเงินต้นของผู้ลงทุน แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยการอิงกับดัชนีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือขึ้นกับกระบวนการที่กองทุนได้ทำสัญญาไว้ กองทุนประเภทนี้จะซับซ้อนมากกว่ากองทุนทั่วๆ ไป เข้าใจได้ยากในส่วนของโมเดลที่ออกแบบ จำเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนต้องศึกษาถึงวิธีการได้กำไรขาดทุนของกองทุน แต่ไม่ถึงขนาดต้องไปแกะโมเดลสัญญาของกองทุนที่ยุ่งยากเกินกว่าที่นักลงทุนทั่วไปพึงรับรู้

ตลาดตราสารหนี้ คาดเดาได้ยาก

ดร.สันติ กีระนันท์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ (BEX) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สนใจลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ในปีนี้ยังมีทางเลือกในการลงทุนอยู่ 23 ทางให้เลือกตามความเหมาะสม โดยการลงทุนในตลาดแรกนั้นอาจเลือกการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งปกติทางกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินต่างๆ ทยอยออกทุกๆ เดือนอยู่แล้ว หรือสำหรับผู้ที่สนใจหุ้นกู้ภาคเอกชนอดใจรอ เพราะอีกไม่นานเกินรอภาคเอกชนหลายรายมีความสนใจออกหุ้นกู้และเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป (PO) ในปีนี้

ความจริงแล้วการลงทุนในตราสารหนี้อาจจะมีขั้นตอนมากและดูเหมือนจะยากในช่วงแรก แต่หากเกิดความเข้าใจแล้วจะสามารถคาดการณ์ได้ง่ายกว่าหุ้นมาก เพราะปัจจัยที่จะเข้ามากำหนดราคาตราสารหนี้นั้นก็มีเพียง Yield หรืออัตราดอกเบี้ย ขณะที่หุ้นนั้นต้องเผชิญกับปัจจัยนับไม่ถ้วน ดังนั้นหากได้ทดลองลงทุนตราสารหนี้ช่วงแรกๆ อาจจะต้องลงแรงหาข้อมูล และเรียนรู้ หลังจากนั้นก็จะเกิดความชำนาญ ดร.สันติ กล่าว

ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนยังไม่เข้าใจอยู่มาก ก็คือ คำว่า Yield กับ อัตราดอกเบี้ย ก็ต้องอธิบายว่า Yield คือผลตอบแทน ส่วนดอกเบี้ย คือ เงินที่จ่ายในแต่ละงวดซึ่งโดยปกติหุ้นกู้หรือพันธบัตรที่จ่ายอัตราคงที่นั้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน Yield คือ ผลตอบแทนที่ปรับเปลี่ยนไปได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ อาจจะมากหรือน้อยกว่าดอกเบี้ยก็ได้ ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้มีการเคลื่อนไหว นี่คือสิ่งที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจเป็นพื้นฐาน

หากนักลงทุนมีความเข้าใจ สามารถดู Yield ในตลาดเป็นก็จะสามารถเทรดทำกำไรได้เพิ่มขึ้น เช่นอาจจะขายในช่วงที่ Yield ลงและซื้อตอนที่ Yield ขึ้นซึ่งจะได้อัตราผลตอบแทนโดยรวมตลอดอายุตราสารหนี้มากกว่าการรอรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ดร.สันติ ทิ้งท้าย

เป็นปีที่จับทิศทางราคาทองคำได้ยากมาก

ผมอยู่ในวงการทองคำมา 50 ปี ยังไม่ค่อยกล้าวิจารณ์สถานการณ์ในตอนนี้ เพราะถือเป็นรอบที่ดูไม่ออกจริงๆ ทุกอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก จึงค่อนข้างเป็นห่วงมาก

จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่าในอดีตสามารถพิจารณาได้จากการปรับตัวขึ้นลงของราคาน้ำมันเนื่องจากราคาทองคำจะปรับตัวในทิศทางเดียวกัน แต่ปัจจุบันแม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ราคาทองคำยังคงขึ้นต่อเนื่อง ทว่าราคาทองคำที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และจากประสบการณ์และเก็บสถิติต่างๆ การปรับราคาขึ้นในช่วงนี้ถือว่ารวดเร็วเกินไป โดยราคาปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,000 บาทภายในเวลาไม่ถึง 10 วันและยังปรับเพิ่มต่อเนื่อง ลักษณะดังกล่าวอาจส่งผลต่อความเสถียรภาพของราคาทองคำ และในอนาคตยังมีความเสี่ยงที่ราคาจะปรับลดอย่างรวดเร็วอีกด้วย

อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในปีนี้ แต่ต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง สำหรับนักลงทุนระยะยาวจริงๆ ต้องถือว่าจังหวะ ซื้อ ได้ผ่านไปแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่หากสนใจลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงแนะนำให้ใช้เงินสัดส่วนประมาณ 20 30% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนผู้ที่หวังจะเข้ามาเก็งกำไรไม่แนะนำเพราะค่อนข้างอันตราย

ถือว่าประเทศไทยได้เงินบาทที่แข็งค่ามาช่วยทำให้ราคาทองคำยังขึ้นไม่แรงไปกว่านี้ แต่ถ้านำราคาทองคำปัจจุบันไปเทียบกับดอลลาร์เมื่อปีก่อน ราคาจะไปอยู่แถวๆ 16,000 บาท ซึ่งหากมองในมุมนักลงทุนก็ถือว่าโชคดี จิตติทิ้งท้าย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 686

โพสต์

AYS+FES+KGI+KEST+SCIBS เชื่อสัปดาห์นี้หุ้นผันผวน แต่ควรทยอยสะสมหุ้น BANK+PROP

Posted on Monday, February 11, 2008

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย (SCIBS) กับ บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) และฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (KGI) กับ บล.กิมเอ็ง (KEST) ได้แนะนำกลุยทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ สรุปสาระสำคัญได้ว่า มีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยนอกเหนือจากความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งจะเกิดตลอดสัปดาห์แล้ว ยังจะมีผลการหรือระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในประเด็น การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เพิ่มเติมเข้ามาด้วย

ทั้งนี้ ทุกสำนัก ระบุว่า สัปดาห์นี้ตลาดน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบ 830 จุด และ Outperform ตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีปัจจัยบวกทางด้านจิตวิทยาสนับสนุน จากนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ การยกเลิกกันสำรอง 30% ซึ่งอาจส่งผลจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ กลับเข้าลงทุนเพื่อเก็งกำไรเงินบาท

โดย SCIBS บอกว่า ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ ประกอบไปด้วย หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยหุ้นที่โดดเด่น ได้แก่ CPN MAJOR BAY และ LH

ด้าน KGI แนะกลยุทธ์ลงทุนระยะสั้น ๆ ให้เก็งกำไรในกรอบ 797 - 810 จุด แต่สำหรับนักลงทุนที่ยมลงทุนระยะยาว ควรจะสะสมหุ้น Domestic plays ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ ต่อ โดยกลุ่มหลังนี้ เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่น่าจะอ่อนลง

ส่วน KEST บอกว่า ขอให้นักลงทุนระมัดระวังความเสี่ยงจากตลาดหุ้นสหรัฐต่อไป โดยหากเป็นไปได้ ควรจะทยอยขายหุ้น หากดัชนีปรับขึ้นแตะ 815 - 820 จุด โดยส่วนหนึ่งมีผลจากความเสี่ยงเรื่องการแก้ไขมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งจะมีผลหลายด้าน เช่น ค่าเงินบาทอาจแข็งขึ้นไปอีก

สำหรับหุ้นที่จะอยู่ในขาขึ้น ประกอบไปด้วย PTTAR, TTA, BBL, BAY และ TOP ส่วนหุ้น PTT, SCB, KBANK และ PTTEP จะกลับมาเป็นหุ้นตามดัชนี ซึ่งก็จะปรับขึ้น-ลงตามตลาด

ในส่วนหุ้นที่แนะนำให้ขาย ยังคงเป็นกลุ่มรับเหมาขนาดใหญ่ คือ ITD และ STEC เพราะราคาสูงเกินไปแล้ว แม้จะมีข่าวดีเกี่ยวกับการริเริ่มโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของรัฐ สนับสนุนทางจิตวิทยาก็ตาม

สำหรับ AYS มองคล้าย ๆ FES โดยบอกว่า หากตั้งสมมติฐานว่า ธปท.จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.25% ลงไปที่ 3.00% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ปลายเดือนนี้ เพื่อรักษาส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ และ Fed Fund ที่ลดลง (Fed fund rate ต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว) ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อย่างโครงการลงทุนรถไฟฟ้า เพิ่มงบประมาณขาดดุล ลดภาษี ทำให้หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงอีก จะเป็นกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวมในช่วง 1 ? 3 เดือนข้างหน้านี้

โดยหุ้นที่มีความโดดเด่น จะกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, SCB) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ITD) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (TSTH, SSI, GSTEEL) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (LH, QH, AP, LPN) รวมไปถึงกลุ่มพาณิชย์ (MAKRO)

อย่างไรก็ตาม AYS แนะด้วยว่า นักลงทุนควรจะถือหุ้นในสัดส่วน 50% ของพอร์ตไปก่อน  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 687

โพสต์

สคร.หนุนตั้งวายุภักษ์ 2 หาเงินลุยเมกะโปรเจ็กต์

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือสคร. เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับแนวคิดของรัฐบาลเรื่องการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 เพื่อระดมทุนมาใช้ในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เพราะจะช่วยเพิ่มช่องทางการกู้เงิน แทนการออกพันธบัตรและการใช้งบระมาณ ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะในอนาคต รวมถึงช่วยให้สามารถหาแหล่งเงินมาใช้ในการจ่ายดอกเบี้ยของพันธบัตรคืนได้ง่ายขึ้น โดยไม่กระทบต่อฐานะการคลัง ทั้งนี้ ยืนยันว่าการจัดตั้งสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการเงินทุนของรัฐบาลด้วย ดังนั้นจึงต้องรอนโยบายที่ชัดเจนอีกครั้ง

ทั้งนี้ ปัจจุบันพอร์ตหุ้นที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ในปัจจุบัน มีมูลค่ารวมกว่า 7 แสนล้านบาท ประกอบด้วย หุ้นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 6.5 แสนล้านบาท เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น และหุ้นในบริษัทที่คลังถือต่ำกว่า 50% อีกกว่า 4 หมื่นล้านบาท

การลงทุนรถไฟฟ้าและสาธารณูปโภคต่างๆ ต้องใช้เงินจำนวนมาก หากจะพึ่งพางบประมาณหรือเงินกู้ในประเทศอย่างเดียวอาจไม่พอ ซึ่งการลงทุนช่วงแรก หากเน้นไปที่ระบบรางอาจต้องใช้เงินกู้จากแหล่งเงินต้นทุนต่ำไปก่อน เช่น ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) หรือออกพันธบัตรในประเทศ จากนั้นต้องหาเงินมาใช้ในระบบการเดินรถ และชำระดอกเบี้ยให้เงินกู้เดิม จึงต้องมีแนวทางการระดมทุนอื่นรองรับไว้

แหล่งข่าวจากกองทุนวายุภักษ์ 1 กล่าวว่า ถ้าจะจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 คงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดตั้งใหม่เพื่อดึงดูความสนใจของผู้ลงทุน เนื่องจากหุ้นในพอร์ตที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในปัจจุบันมีความน่าสนใจน้อยกว่ากองทุนวายุภักษ์ 1 ทั้งนี้ อาจจะใช้วิธีระดมทุนเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง เช่น บีทีเอส บีเอ็มซีแอล เป็นต้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้เริ่มมีรายได้จากการเดินรถแล้ว สามารถนำเงินมาตอบแทนผู้ถือหน่วยลงทุนได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 688

โพสต์

ประเดิมสัปดาห์ใหม่ ต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิ 859 ล้านบาท ส่งผลยอดซื้อรอบเดือน กพ ทะยาน 1.8 หมื่นล้านบาท

Posted on Monday, February 11, 2008

นักลงทุนรายย่อย และสถาบันในประเทศ ขายปรับพอร์ตต่อเนื่อง ปล่อยให้ต่างชาติเหมาซื้อสุทธิบ้าง แต่ไม่มาก แค่ 859 ล้านบาท ส่งผลยอดซื้อสุทธิ ตลอด 11 วันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ รายย่อย และสถาบันในประเทศ ขายใกล้เคียงกัน ปล่อยให้ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.8 หมื่นล้านบาท ลดยอดขายสุทธิ ในรอบปีนี้ ให้หดตัวลงมาแถว ๆ 1.6 หมื่นล้านบาท

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551
(หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 8,091.32 ขาย 8,780.83 รวม ซื้อสุทธิ 689.51
สถาบันในประเทศ ซื้อ 2,413.05 ขาย 2,583.12 รวม ซื้อสุทธิ 170.07
ต่างประเทศ ซื้อ 5,528.47 ขาย 4,668.89 รวม ซื้อสุทธิ 859.58

ยอดสะสม ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 75,683.90 ขาย 85,492.42 รวม ขายสุทธิ 9,808.52
สถาบันในประเทศ ซื้อ 17,710.13 ขาย 26,375.60 รวม ขายสุทธิ 8,665.47
ต่างประเทศ ซื้อ 58,607.72 ขาย 40,133.73 รวม ซื้อสุทธิ 18,473.99

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 307,735.84 ขาย 292,163.46 รวม ซื้อสุทธิ 15,572.38
สถาบันในประเทศ ซื้อ 94,355.66 ขาย 93,238.16 รวม ซื้อสุทธิ 1,117.50
ต่างประเทศ ซื้อ 166,522.74 ขาย 183,212.62 รวม ขายสุทธิ 16,689.88
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 689

โพสต์

รัฐบาลเตรียมทุ่มเงิน 1.1 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า พร้อมกับจัดระเบียบผลผลิตอ้อย

Posted on Monday, February 11, 2008

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย เปิดเผยว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้สูงมาก โดยจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ชนบท ให้ถึงมือระดับรากหญ้า ผ่านโครงการกองทุนหมู่บ้านเพิ่มเติม 80,000 ล้านบาท และโครงการเอสเอ็มแอล จากวงเงินโครงการอยู่ดีมีสุขของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา อีกประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อมั่นว่า เม็ดเงินกว่า 1.1 แสนล้านบาทนี้ จะเข้าสู่เศรษฐกิจระดับรากหญ้าภายในปีนี้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชนบทและเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ผ่านธนาคารรัฐ 2 แห่ง คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และธนาคารออมสิน เหมือนเดิม

นอกจากนั้น รัฐบาลจะให้ความสำคัญในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพ และปริมณฑล รถไฟรางคู่ การพัฒนาการบริหารจัดการน้ำ โดยได้หารือร่วมกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อสร้างระบบรางเข้าถึงพื้นที่กระจายสินค้า และนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งจะขอเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในหลายจังหวัดที่มีศักยภาพมาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจะต้องมีระบบรางเข้าถึง เพื่อลดต้นทุนการผลิต ในอีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับกระทรวงอุตสาหกรรมเอง เตรียมปรับแนวทางในการบริหารจัดการผลิตผลจากอ้อย จากเดิมที่ใช้เพื่อการส่งออกบางส่วน เปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทนใช้ภายในประเทศแทน เพราะปัจจุบันจำเป็นต้องใช้พืชพลังงานจำนวนมาก
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/02/08

โพสต์ที่ 690

โพสต์

หุ้นจุกโดนหางเลข30%

โพสต์ทูเดย์ ภัทรียา ระบุเลิก 30% ส่งผลดีทางจิตวิทยาลงทุน แนะตามติดมาตรการใหม่ ผู้บริหาร บล.เตือนระวังเงินหุ้นโดนหางเลข


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลัก ทรัพย์ กล่าวว่า แม้มาตรการสำรองเงินทุนจากต่างประเทศ 30% ไม่มีผลต่อเงินลงทุนผ่านตลาดหุ้น แต่หากยกเลิกก็จะส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อการลงทุนในภาพรวม โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้และกองทุนอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามอย่างรอบคอบว่าทางการจะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลค่าเงินบาทและการไหลเข้าออกของเงินต่างประเทศอย่างไร เพื่อจะไม่กระทบรุนแรงกับการลงทุน

ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เตือนว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นอย่าเพิ่งดีใจ และจะต้องระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการที่จะออกมาใหม่ หลังยกเลิก 30% เพราะมาตรการใหม่อาจจะครอบคลุมเงินลงทุนในตลาดหุ้นด้วย เช่น การเก็บภาษีขาออกจากเงินลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาไม่ถึง 1 ปี ในอัตรา 5-10% ของกำไรสุทธิ

ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.พัฒนสิน ระบุว่า หากยกเลิก 30% โดยไม่มีมาตรการใหม่มารองรับ จะทำให้หุ้นขึ้นได้เพราะเงินต่างประเทศไหลเข้ามา และดอกเบี้ยในประเทศจะลดลง แต่จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างติดต่อขอพบ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เพื่อนำเสนอสมุดปกขาว ซึ่งเป็นการจัดทำร่วมกันโดยตลาดหลักทรัพย์และสภาธุรกิจตลาดทุน เพื่อชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาและบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ต่อระบบเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220329