กลุ่มบริการทางการแพทย์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/12/07

โพสต์ที่ 61

โพสต์

วัตสัน ผนึกพันธมิตรสุขภาพและความงาม [ ฉบับที่ 854 ประจำวันที่ 15-12-2007 ถึง 18-12-2007]  
> จัดประกวด You Awards ตอกย้ำภาพผู้นำ

วัตสัน ผนึก 6 พันธมิตร จัดโครงการประกวด You Awards ตอกย้ำผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงาม ขณะที่ พีแอนด์จี เดินหน้าใช้กลยุทธ์โค-มาร์เก็ตติ้ง รองรับการแข่งขันที่รุนแรง


นายโทบี้ แอนเดอร์สัน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านเพื่อสุขภาพและความงาม วัตสัน เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ฉลองครบรอบ 11 ปีของการทำธุรกิจของร้านวัตสันในไทยที่ผ่านมา บริษัทจึงได้เปิดตัวโครง การประกวด You Awards ขึ้น ซึ่งถือเป็น การจัดประกวดครั้งแรกในไทย และเอเชีย เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้แสดงออก ถึงความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โดยการประกวดจะเป็นลักษณะแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ

สำหรับการประกวด You Awards จะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ รางวัลดวงตาประทับใจ รางวัลผมสวยสุขภาพดี รางวัลใบหน้าเป็นมิตร ซึ่งจะมี 2 รางวัลสำหรับลูกค้าชายและหญิง รางวัลริมฝีปากทรงเสน่ห์ และรางวัลรูปร่างดีสมส่วน โดยได้รับการสนับสนุนจาก 6 พันธมิตรของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ ผลิตภัณฑ์นีเวีย ฟอร์เมนของบริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย จำกัด, ผลิต ภัณฑ์เมเบลลีนของบริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด, ผลิตภัณฑ์ซีเอของบริษัท สหเอเชีย แปซิฟิค จำกัด, ผลิตภัณฑ์โอเลย์ของบริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด, ผลิตภัณฑ์โดฟของบริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด และผลิตภัณฑ์เอลองซิลของบริษัท แปซิฟิค เฮลธ์แคร์ (ไทยแลนด์) จำกัด

โครงการดังกล่าวจะดำเนินการทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าของวัตสันได้เข้าร่วมประกวดในโครงการดังกล่าว ในประเภทใดก็ได้จากทั้งหมด 6 ประเภท เพื่อแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ การรับสมัคร การโหวตเพื่อหาผู้ชนะ และการประกาศผลผู้ชนะประจำโครงการ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2550 ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2551 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 1,000 คน

ทั้งนี้ บริษัทจะจัดกิจกรรมโรดโชว์ไปตามสถานที่เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย สถานออกกำลังกาย และอาคารสำนักงาน เป็นต้น การที่บริษัทได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งบริษัทต้องการ ตอกย้ำถึงตำแหน่งของแบรนด์ที่มีความโดดเด่นของวัตสัน และเพื่อสร้างความแตกต่างกับคู่แข่ง แม้ว่าในปัจจุบันวัตสันจะเป็นผู้นำของร้านเพื่อสุขภาพและความงามก็ตาม เนื่องจากบริษัทต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Wellness หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

พันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการประกวดในครั้งนี้ จะเป็นแบรนด์ที่มียอดขายดีที่สุดในแต่ละกลุ่มของร้านวัตสัน ซึ่งแต่ละแบรนด์จะมีความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์แต่ละตัว โดยพันธมิตรที่เข้าร่วมในโครงการต่างก็มีเป้าหมายจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคได้เข้ามาทดลองใช้สินค้าของตนเอง และดูแลตนเองมากขึ้น ทั้งสุขภาพ รูปร่าง และผิวพรรณ โดยผู้ที่ชนะการประกวดนอกจากจะได้รับรางวัลเงินสด และรับฟรีสินค้าในกลุ่มของพันธมิตรที่สนับสนุนเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ยังจะได้เป็นแบรนด์แอมบาส เดอร์ของวัตสันในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เป็นเวลา 1 ปีิ

ขณะที่นายศรัณย์ รัตนรุ่งเรืองชัย ผู้จัดการแผนกพัฒนาธุรกิจลูกค้า บริษัท พรอค เตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือพีแอนด์จี กล่าวว่า ในส่วนของพีแอนด์จีเองที่ได้เข้ามาสนับสนุนในโครงการดังกล่าว นอกจากการเป็น พันธมิตรกับวัตสันมานานแล้ว ยังต้องการสร้าง ความแตกต่างกับกลยุทธ์การทำตลาดแบบเดิมๆ ที่จะเน้นการทำโปรโมชั่นแบบลด แลก แจก แถม มาเป็นการ Co-Marketing กับพันธมิตร หรือคู่ค้า เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ ลอยัลตี้กับลูกค้า เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า การแข่งขันในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรง ขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น การทำตลาดในลักษณะดังกล่าวจะส่งผลดี ทั้งกับพีแอนด์จี และวัตสัน ทั้งนี้ การที่บริษัทเลือกผลิตภัณฑ์โอเลย์เข้าร่วมในโครงการ You Awards เนื่องจากผลิตภัณฑ์โอเลย์มีส่วนแบ่งกว่า 40% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวหน้าในร้านวัตสัน และมีอัตราการเติบ โตไม่ต่ำกว่า 20% ทำให้การทำตลาดของพีแอนด์จีจะเป็นลักษณะของการโคมาร์เก็ตติ้งกับพันธมิตรมากขึ้น

นอกจากนี้ จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมาพบว่า จะมีความถี่ในการซื้อสินค้ามากขึ้น เพราะยอดซื้อสินค้าในแต่ละครั้งจะลดลง จากเดิมจะซื้อ 2 ชิ้นก็จะเป็น 1 ชิ้น เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ดังนั้น ในแต่ละครั้งลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าจากความคุ้มค่าของราคา หรือ Value for Money ซึ่งเชื่อมโยงไปกับการทำตลาดผลิต ภัณฑ์แพนทีนที่ได้มีการลดราคาสินค้าลง 30% โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งกำลังดูผลตอบรับก่อน หากผลตอบรับออกมาดี ก็จะดำเนินการต่อ เนื่องจากต้องการขยายฐานลูกค้าให้เข้ามาใช้ผลิตภัณฑ์ของแพนทีน และเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแพนทีนมีส่วนแบ่งประมาณ 12-13% จากตลาดรวมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผม และบำรุงเส้นผม ที่มีมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9799
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/12/07

โพสต์ที่ 62

โพสต์

คนเครียดเพิ่ม รพ.มนารมย์ ขยายพื้นที่รับ

โพสต์ทูเดย์ รพ.มนารมย์ ทุ่ม 50 ล้าน ขยายพื้นที่ เปิดคลินิกเด็กและผู้สูงอายุ รองรับคนไทยเครียด ผู้ป่วยจิตเวชเพิ่ม


นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ ศูนย์ให้บริการรักษาด้านจิตเวช กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทจะลงทุนเพิ่ม 50 ล้านบาท โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 ล้านบาท เป็น 150 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่การบริการคลินิกเด็ก ครอบครัว และผู้ป่วยสูงอายุ รองรับจำนวนของผู้เข้ารับการรักษาที่เพิ่มมากขึ้นเกือบเท่าตัวในปีนี้ หรือกว่า 2 หมื่นคน จากเดิมที่ในปี 2549 มีเพียง 1 หมื่นคน

คลินิกดังกล่าว จะเป็นคลินิกพิเศษ เพื่อให้บริการเกี่ยวกับด้านบุคลิกภาพ และเด็กที่พัฒนาการบกพร่อง ส่วนในผู้สูงอายุจะ เน้นด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ ในส่วนของการพัฒนาด้านความทรงจำ คาดว่าหลังจากเปิดให้บริการจะส่งผลให้จำนวน ผู้เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้น 5% และโรงพยาบาลคาดว่ายอดของผู้เข้ารับการรักษาจะเพิ่มเป็น 3 หมื่นคน ในปีหน้า

สำหรับภาพรวมของศูนย์ ที่ให้การรักษาทางด้านจิตเวช โรงพยาบาลมนารมย์ ถือว่า เป็นศูนย์ทางจิตเวชของเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย จากเดิมที่เป็นของรัฐบาลทั้งหมด และ มักรองรับเฉพาะผู้ป่วยในที่มีอาการหนัก ทำให้ไม่เพียงพอ ต่อปริมาณของผู้ป่วยทางจิต ที่เพิ่มมากขึ้นจากภาวะความเครียดในปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็ก และผู้สูงอายุ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210016
Linsu_th
Verified User
โพสต์: 497
ผู้ติดตาม: 0

กลุ่มบริการทางการแพทย์

โพสต์ที่ 63

โพสต์

รพ.เอกชนกำไรพุงปลิ้นยอดผู้ป่วยพุ่ง 48 ล้านคน
รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนประจำปี 50 ว่า ในปี 49 โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนมีรายรับ 80,654.7 ล้านบาท สูงกว่าปี 43 ที่มีรายรับเพียง 48,117.5 ล้านบาท โดยมีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยาบาล 48 ล้านคนเพิ่มขึ้น 47.3% เนื่องจากมีการขยายขอบข่ายการบังคับใช้กองทุนประกันสังคมกับสถานประกอบการที่มีคนทำงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ทำให้มีผู้ประกันตนมาใช้บริการเพิ่มขึ้น
สำหรับปริมาณโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนมีจำนวน 249 แห่ง เพิ่มจากปี 43 ถึง 1.2% แบ่งเป็นขนาดเล็กที่มีเตียงต่ำกว่า 31 เตียง มี 163 แห่ง หรือ 38% ขนาด 31-100 เตียง มี 170 แห่ง หรือ 39.6% และขนาดใหญ่มีมากกว่า 100 เตียง มี 96 แห่ง คิดเป็น 22.4%  ส่วนผู้ป่วย 48 ล้านคนแบ่งเป็นผู้ป่วยภายนอก 45.3 ล้านคนเพิ่มขึ้น 48.2% และผู้ป่วยภายใน 2.6 ล้านคนเพิ่ม 33%  ก่อนหน้านี้มีการสำรวจจำนวนประชากรที่ป่วย 11.4 ล้านคนพบว่ามีการหาซื้อยากินเอง 26.7% รองลงมาไปคลินิกเอกชน 21.7%,      ไปสถานีอนามัย ศูนย์บริการสาธารณสุข และศูนย์สุขภาพชุมชน 16.2%, โรงพยาบาลชุมชน 16%, โรงพยาบาลทั่วไป 7.8%, โรงพยาบาลเอกชน 4.8% เป็นต้น โดยทั้งหมดมีการจ่ายค่ารักษาเฉลี่ยคนละ 162.1 บาท
http://www.dailynews.co.th/web/html/pop ... Template=1
 :roll:
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/01/08

โพสต์ที่ 64

โพสต์

สธ.ดันแก้กม.ประกันพรบ.

โพสต์ทูเดย์ กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าแก้กฎหมายประกัน พ.ร.บ.ต่อ เสนอให้กรมการขนส่งทางบกเก็บเบี้ยประกัน


นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) อดีตประธานคณะอนุกรรมาธิการสาธารณสุข ยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ... ฉบับใหม่ กล่าวว่า การผลักดันแก้ไขกฎหมายประกันภัย พ.ร.บ.ยังดำเนินต่อไป แม้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะหมดวาระ แต่กระทรวงสาธารณสุขจะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป

ทั้งนี้ จะเสนอเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการการคุ้มครองให้ระบบมีเอกภาพโดยให้ภาครัฐดำเนินการ โดยให้กรมการขนส่งทางบกจัดเก็บเบี้ยประกันภัย ให้กรมบัญชีกลางดูแลการจัดจ่ายชดเชยความเสียหายอย่างมีมาตรฐาน

สำหรับผลดีของร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้คือ สามารถลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานจาก 38% เหลือ 6% ของเบี้ยประกันภัย ผู้ประสบภัยทุกรายไม่ต้องทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล และมีการวางแนวทางการตรวจสอบเอกสารและจ่ายเงินให้เป็นแบบเดียวกันทั่วประเทศ สถานพยาบาลและผู้ประสบภัยสามารถยื่นคำร้องขอรับเงินค่าเสียหายได้สะดวกมากขึ้น ลดปัญหาที่เกิดจากการรอผลพิสูจน์ความผิดทางกฎหมาย และลดภาระกองทุนประกันสุขภาพระบบอื่นๆ ที่พึ่งภาษีและค่าประกันตนได้

ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงค์ไพศาล คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ในช่วงปี 2542-2549 พบว่ามียอดเงินเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นจาก 6.5 พันล้านบาท เป็น 1.07 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อดูข้อมูลสถิติจากการเฝ้าระวังการบาดเจ็บของกระทรวงสาธารณสุขระหว่างปี พ.ศ. 2542-2548 พบว่ามีผู้ประสบภัยจากรถไม่ถึง 1 ใน 5 ที่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ 63% ยังคงต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลไปก่อน ส่วนที่เหลือเลือกที่จะใช้สิทธิอื่นๆ

นพ.เทียม อังสาชน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี กล่าวว่า บริษัทประกันภัยมีขั้นตอนการดำเนินงานซับซ้อน หรือกรณีผู้ป่วยที่ไม่ใช่ เจ้าของรถมีความยุ่งยากที่ต้องใช้เอกสาร บริษัทประกันภัยบางแห่งมีการบันทึกข้อมูลผ่านระบบ IT ทำให้เกิดข้อจำกัดกับผู้ป่วย บางบริษัทขอเอกสารเพิ่มเติมมากกว่าที่กฎหมายกำหนด เช่น ผลคดี เอกสารส่วนตัวของเจ้าของรถ หรือการทำประกันภัยซ้ำซ้อนกันหลายบริษัททำให้เกิดปัญหาการขอรับค่าเสียหายหรือค่าชดเชยตามเงื่อนไข
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213244
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/01/08

โพสต์ที่ 65

โพสต์

คาดโรงพยาบาลมีแนวโน้มดีในระยะยาว

นายพิชัยกล่าวว่า กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว เพราะประชาชนที่เข้าโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคม เป็นกลุ่มคนจำนวนมากของประเทศ ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลยังสามารถเติบโตได้ตามการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลรายหัว นอกจากนี้ จากโครงสร้างประชากรของไทยที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาก และภาครัฐได้ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย ก็จะทำให้จำนวนคนไข้ในระบบเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มนี้อาจไม่โดดเด่นมากนักเพราะได้มีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสร้างอาคารใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็จะเป็นฐานรายได้ที่สนับสนุนการเติบโตได้ในอนาคต นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลยังมีความเสี่ยงในธุรกิจน้อยมาก เพราะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งอีกด้วย

ด้านนางภรณีกล่าวว่า ความต้องการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง และโรคภัยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้คนไข้ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่คนไข้ต่างชาติก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของไทยมีราคาถูก และมีคุณภาพการรักษาที่ดี โดยจะสามารถแบ่งกลุ่มโรงพยาบาลได้ ดังนี้

- โรงพยาบาลระดับบน มีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก ได้แก่ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ที่เติบโตจากการซื้อโรงพยาบาลอื่นมาเป็นบริษัทในเครือ และ บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่เติบโตจากการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แต่การที่โรงพยาบาลกลุ่มนี้เน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก จึงอาจได้รับผลกระทบบ้างหากสถานการณ์ระหว่างประเทศไม่สงบ นอกจากนี้ หุ้น BGH และ BH ยังซื้อขายกันที่ระดับ P/E สูงถึง 20-30 เท่า เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% ตลาดจึงยอมรับราคาหุ้นที่สูงได้
- โรงพยาบาลระดับกลาง เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคม จึงสามารถสามารถขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะใช้พื้นที่ได้ค่อนข้างเต็มแล้ว และมีฐานลูกค้าที่จำกัด
- โรงพยาบาลระดับล่าง รับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคมจึงมีประสิทธิภาพทำกำไรที่ไม่ดีนัก เพราะต้องรับค่ารักษาพยาบาลรายหัว ดังนั้น หากมีคนไข้ที่เข้าโครงการมารักษาเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้กำไรลดลงได้

นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีผลประกอบการตามวัฏจักรธุรกิจเช่นกัน โดยจะเข้าสู่ช่วงสูดสุดของธุรกิจในไตรมาส 2-3 ของทุกปี แต่เนื่องจากจ่ายปันผลได้ไม่สูงมากนัก ทำให้ราคาหุ้นไม่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จึงควรซื้อเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสม เช่น กำไรมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นเกินคาดในไตรมาสนั้น ๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/02/08

โพสต์ที่ 66

โพสต์

กลุ่มโรงพยาบาล
         ประเด็นข่าว : ประเด็นบวกจากการตัดสินของศาลในยุโรปและการสนันสนุนต่อเนื่องในโครงการ เมดิคัลฮับ จะทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลยังขยายตัว ทำให้คาดจำนวนต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านบาทคนในปี 2558 (กรุงเทพธุรกิจ)

         ความเห็นและคำแนะนำ :  ความสำเร็จของนโยบายศูนย์กลางทางสุขภาพและการแพทย์เอเชีย ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น 6.3 แสนคนในปี 2547 เป็น 1.5 ล้านคนในปี 2550 และสร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท สำหรับประเด็นที่ศาลในประเทศยุโรปตัดสินให้ระบบประกันสุขภาพในประเทศ จะต้องส่งผู้ป่วยไปรักษาในประเทศอื่น เนื่องจากปัญหาการรอคิวการรักษา คาดจะทำให้จำนวนผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยมากขึ้นเป็น 7.5 ล้านคนในปี 2558 เพราะประเทศไทยมีคุณภาพในการรักษาเทียบเท่าประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่มีต้นทุนในการรักษาที่ต่ำกว่าคู่แข่งอื่น ทำให้ SCIBS ประเมินคาด BH และ BGH ที่มีมาตรฐาน JCI ที่ได้รับการยอมรับจากต่างชาติจะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ช่วยหนุนให้ผลประกอบการในอนาคตยังเติบโตต่อเนื่อง
http://www.thunhoon.com/home/
Linsu_th
Verified User
โพสต์: 497
ผู้ติดตาม: 0

กลุ่มบริการทางการแพทย์

โพสต์ที่ 67

โพสต์

สมิติเวชประกาศตรึงค่าบริการ รับสวนกระแสค่าใช่จ่ายที่สูงขึ้น  
โรงพยาบาลสมิตเวช ยึดนโยบายพอเพียง ไม่ปรับราคาขึ้น ค่าบริการทางการแพทย์ ชี้ต้นทุนอุปโภค บริโภค ที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมเอาใจใส่ดูแลผู้เข้ามาใช้บริการเหมือนเดิม ชี้โรงพยาบาลในเครือ 3 แห่ง ให้บริการที่หลากหลายด้านการแพทย์ต่อเนื่องนายเรมอนด์ ฌอง กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมิตเวช จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงพยาบาล สมิติเวช กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลสมิตเวช ไม่ขึ้นราคา อัตราค่าบริการสำหรับผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการ เนื่องจากต้องการตอบสนองแนวทางพระราชดำริ "เศรษฐกิจพอเพียง" ทั้งนี้ในปัจจุบันค่าครองชีพของประชาชนได้เพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้บริษัทฯ ยังคงให้บริการในอัตราค่าบริการการต่างๆ เท่าเดิม ไม่เพิ่มราคาแต่อย่างใด ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลสมิติเวช มองว่า การรักษาพยาบาลคือเรื่องจำเป็นที่ผู้บริโภคไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงมีผลกระทบกับค่าครองชีพ ดังนั้น จึงเป็นเป็นการแบ่งเบาของลูกค้าอีกทางหนึ่งทั้งนี้ทางโรงพยาบาล ได้รับผลกระทบกับกระแสเศรษฐกิจในประเทศ ที่ยังไม่เติบโตมากนัก แต่ทางโรงพยาบาล ก็ยังเล็งเห็นความสำคัญกับตัวพนักงานของบริษัทฯ ที่เป็นส่วนหนึ่งในองค์กร ที่ช่วยให้บริษัทฯ เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเพิ่มขึ้น ทำให้มีการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับพนักงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้พนักงาน มีความสมดุลกับสภาพค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โรงพยาบาล มีต้นทุนค่าใช้จ่าย ในการบริการแก่ผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย"ท่ามกลางสภาวะความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทางโรงพยาบาลสมิติเวช จึงตรึงราคาค่าบริการทางการแพทย์ไว้ และขอให้ผู้มาใช้บริการมั่นใจว่า จะได้รับการดูแล และการบริการด้านสุขภาพที่ดีเช่นเดิม แม้ว่าองค์ธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญหน้ากับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น จากสินค้าอุปโภค บริโภค และค่าน้ำมัน ที่ปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้โรงพยาบาลสมิติเวช เข้าใจผู้บริโภคทุกกลุ่ม" นายเรมอนด์ กล่าวและว่าปัจจุบัน โรงพยาบาลสมิติเวช มีทั้งหมด 3 โรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท, ศรีนครินทร์ และศรีราชา ถือว่า เน้นการบริการที่ครอบคลุม และความหลากหลายด้านการแพทย์ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการผู้ป่วยในต่างจังหวัด ซึ่งในต่างจังหวัด โรงพยาบาลต่างๆ เริ่มเข้าไปเปิดตลาดมากขึ้น ทำให้บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญจุดนี้ จึงได้เพิ่มห้องผู้ป่วยวิกฤติที่มีเครื่องมือกู้ชีพครบถ้วนสมบูรณ์ 15 ห้อง และห้องผ่าตัดอีก 6 ห้อง พร้อมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่ใส่ใจทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ได้รับความไว้วางใจจากชุมชนมาช้านาน โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชามองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเสมอมา และได้ก่อตั้งบริการที่หลากหลาย อาทิเช่น คลินิกเด็ก, บริการทันตกรรม, และศูนย์สุขภาพ เพื่อดูแลสวัสดิภาพให้แก่ชุมชนใกล้เคียงและกลุ่มนักท่องเที่ยวนานาชาตินอกจากนี้ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายกลุ่มสมิติเวช ยังมีโอกาสแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและทักษะความเชี่ยวชาญกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกแขนงในโรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท และศรีนครินทร์อีกด้วย การทำงานเป็นเครือข่ายช่วยให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ศรีราชามีความสอดคล้องและต่อเนื่องยิ่งขึ้น  
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2294
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/02/08

โพสต์ที่ 68

โพสต์

ชี้ช่องทบทวนซีแอลยา เลี่ยงสหรัฐจ้องเล่นงาน

โพสต์ทูเดย์ ชี้ทางออก เลี่ยงสหรัฐขึ้นบัญชีไทยละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารุนแรง หากสาธารณสุขยอมทบทวนซีแอลยามะเร็ง 4 รายการ


นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า หาก รมว.สาธารณสุข มีนโยบายทบทวนการประกาศใช้สิทธิภายใต้ยาที่มีสิทธิบัตร (ซีแอล) กับยามะเร็ง 4 รายการที่ประกาศใช้ซีแอลไปก่อนหน้านี้จริง จะส่งผลให้สหรัฐอเมริกาไม่มีข้ออ้างในการเลื่อนสถานะการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทยขึ้นมาอยู่ในบัญชีประเทศที่มีการละเมิดขั้นสูงสุด (พีเอฟซี) ในการทบทวนสถานะการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารอบใหม่ ปี 2551 ที่จะประกาศผลปลายเดือน เม.ย.นี้

ปีนี้สหรัฐควรจะลดสถานะการละเมิดของไทยมาอยู่ในบัญชีประเทศที่ถูกจับตามอง (พีดับเบิลยู) จากปัจจุบันที่อยู่ในบัญชีประเทศถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับเบิลยูแอล) เพราะการปราบปรามที่ผ่านมาได้ผล หากไม่ติดเรื่องการบังคับใช้ซีแอล ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐกังวล ดังนั้น สหรัฐก็ไม่ควรจะมีข้ออ้างที่จะคงสถานะไทยไว้ในบัญชีพีดับเบิลยูแอล นางพวงรัตน์ กล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มีการประเมินกันว่า โอกาสที่ไทยจะยังคงอยู่กลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษในรอบปี 2551 เป็นไปได้สูง เนื่องจากแผนปฏิบัติในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญายังไม่โดดเด่น สหรัฐกำลังจ้องเรื่องละเมิดตำราเรียนและวิชาการมากขึ้น

สำหรับปี 2550 ที่ผ่านมา มีเพียงไทยและชิลีเท่านั้นที่ถูกสหรัฐปรับสถานะให้รุนแรงขึ้นจากประเทศที่ต้องจับตามอง มาอยู่ในบัญชีประเทศ ถูกจับตามองเป็นพิเศษ โดยอ้างว่าไทยไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอย่างเพียงพอ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219828
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/02/08

โพสต์ที่ 69

โพสต์

มามี่โพโครุกช่องทางโรงพยาบาล

โดย ผู้จัดการออนไลน์
8 กุมภาพันธ์ 2551 08:13 น.

      มามี่ โพโค ชี้ ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูป 6 พันล.โตพรวด 15% รุกช่องทางโรงพยาบาลเต็มสูบ จับมือร่วมกับนิตยสารเบบี้&คิดส์ จัดกิจกรรมเดอะ พาวเวอร์ ออฟ ไฟว์บี ฟอร์ แฮปปี้ เบบี้ เจาะคุณแม่ตั้งครรภ์ จ่อคิว 1-2 ปี ขนนวัตกรรมกางเกงสำหรับเด็กหัดขับถ่าย ผ้าอ้อมป้องกันปัสสาวะรดที่นอนทำตลาด สิ้นปีตั้งเป้าโกยแชร์เพิ่มจาก 67% เป็น 70%
     
      นายฮิโรยูกิ ยางิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ส่วนการตลาดสินค้าเด็ก  บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูปมามี่โพโค เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปมูลค่า 6,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่ามีอัตราการเติบโต 15% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยผ้าอ้อมสำเร็จรูประดับพรีเมียมสัดส่วน 75% หรือคิดเป็นมูลค่า 4,500 ล้านบาท เติบโต 15 % และผ้าอ้อมสำเร็จรูประดับอีโคโนสัดส่วน 25% หรือ 1,500 ล้านบาท เติบโต 15%
     
      ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง และปีนี้วางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งจาก 67% เป็น 70% ทิ้งห่างคู่แข่ง คือ ดรายเพอร์ส มีส่วนแบ่ง 13% เบบี้ เลิฟ 10.2% ทุ่มงบ 3 ล้านบาท จับมือร่วมกับบริษัท แฟมิลี่ ไดเรค จำกัด นิตยสารเบบี้แอนด์คิดส์ จัดงาน The Power of 5B for happy baby การเลี้ยงลูก 5 ด้าน ได้แก่ การนอน การกิน การมีระเบียบวินัย สุขภาพดี และพัฒนาการทางสมอง ภายในงานยังแจกสินค้าตัวอย่าง สำหรับเด็กแรกเกิดและขนาดเล็ก 80% ที่เหลืออีก 20% เป็นขนาดอื่นๆ
     
      สำหรับกิจกรรม The Power of 5B for happy baby จัดขึ้นที่โรงพยาบาล 5 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลวิชัยยุทธ พญาไท 2 และ 3 สมิติเวชศรีนครินทร์ และมงกุฎวัฒนะ เนื่องจากโรงพยาบาลถือว่าเป็นช่องทางแรกในการแนะนำคุณแม่ให้ตัดสินใจซื้อสินค้า โดยคาดว่ากลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์จะมาร่วมงาน 1,500 คน สำหรับกิจกรรมดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายนนี้
     
      ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เราเน้นแจกสินค้าตัวอย่างตามโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ในการแจกสินค้าตัวอย่างในช่องทางนี้ เพราะถือว่าเป็นช่องทางที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย โดยในช่วงที่ผ่านมาตามมีจำนวนเด็กเกิดถึง 8 แสนคนต่อปี  ที่เหลือ 20% เป็นช่องทางอื่นๆ ทำให้ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่เป็นพันธมิตร 200 แห่ง  
     
      นายยางิ กล่าวว่า หลังจากที่เปิดตัว เบบี้ ไวพส์ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมามี่ โพโค เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 45.4% จอห์นสัน 24.3% และ พีเจ้นท์ 15.9% จากมูลค่า 175 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าเติบโต 20-25% อย่างไรก็ตามในประเทศญี่ปุ่นยังมีโปรดักส์ไลน์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนวัตกรรมใหม่ ซึ่งบริษัทยังไม่ได้นำเข้ามาทำตลาด ได้แก่ กางเกงสำหรับเด็กกำลังหัดขับถ่าย ผ้าอ้อมกันปัสสาวะรดที่นอน และกางเกงสำหรับใส่เล่นน้ำทะเล เป็นต้น ใน 1-2 ปี ถึงจะพิจารณานำเข้ามาทำตลาด
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000015973
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/02/08

โพสต์ที่ 70

โพสต์

สู้ค่าหมอไม่ไหวคนแห่พึ่งประกันสุขภาพ

โพสต์ทูเดย์ ฟันธงตลาดประกันสุขภาพรุ่ง ลูกค้าหาซื้อรับมือค่าหมอแพง


นายสุรชัย ศิริวัลลภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ หรือไทยรี กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่าตลาดประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือพีเอ และประกันภัยทางทะเลจะมีอัตราเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดประกันสุขภาพที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้สูง และคาดว่าภายในเวลาไม่เกิน 10 ปี จะมีขนาดใหญ่เท่ากับเบี้ยประกันภัยรถยนต์

สาเหตุที่ตลาดกลุ่มนี้เติบโต เพราะปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลยังคงมีแนวโน้มที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องหันมาซื้อประกันสุขภาพไว้เป็นตัวเสริมในการดูแลตัวเองยามเจ็บป่วย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของส่วนแบ่งตลาดบริษัทประกันวินาศภัยในตลาดประกันสุขภาพนั้น ยังมีสัดส่วนที่น้อยอยู่ มีส่วนแบ่งแค่ 15-16% จากเบี้ยประกันสุขภาพปีละ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นของประกันชีวิตที่ต้องซื้อแบบประกันชีวิตหลักก่อน จึงซื้อประกันสุขภาพพ่วงได้

นายวาสิต ล่ำซำ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภัทรประกันภัย กล่าวว่า ในเดือน มี.ค. นี้ บริษัทจะออกกรมธรรม์ประกันสุขภาพทั้งประเภทกลุ่มและรายบุคคลเพื่อขยายช่องทางตลาดเพิ่มขึ้น ตามกลยุทธ์หลักที่ต้องการหาแบบประกันใหม่มาจับกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังมีแผนออกประกันแบบใหม่ที่จะจับกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ไม่ใช่รายบุคคลอีกด้วย

รูปแบบประกันสุขภาพนั้น บริษัทคงทำเองทั้งหมด แต่จะจ้างให้บริษัทลูกของบริษัทไทยรีเข้ามาช่วยดูแลด้วย นายวาสิต กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220142
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/02/08

โพสต์ที่ 71

โพสต์

Growth Stock Top Pick หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กระแสใส่ใจสุขภาพยังมาแรงหนุนภาพรวมธุรกิจรพ.สดใส

Posted on Wednesday, February 20, 2008
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล. ธนชาต กล่าวผ่านรายการ Stock in Focus ว่าธุรกิจโรงพยาบาลในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

- โรงพยาบาลที่เน้นผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งจากการที่ในปัจจุบันผู้ป่วยกลุ่มต่างชาติเพิ่มขึ้นมาก หลังภาครัฐได้สนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ประกอบกับคุณภาพการรักษาพยาบาลของไทยที่ดี จึงถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้โรงพยาบาลไทยสามารถแข่งขันกับที่อื่นได้แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม
- โรงพยาบาลที่เน้นเจาะกลุ่มคนไข้ในประเทศ เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์หลังภาครัฐสนับสนุนงบประมาณค่ารักษาพยาบาลรายหัวเพิ่มขึ้น เพราะเป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจต่อสุขภาพของตนเอง ประกอบกับโครงสร้างประชากรวัยสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้โรงพยาบาลกลุ่มนี้สามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและไม่หวือหวาตามสภาวะเศรษฐกิจ

นายพิชัยกล่าวว่า บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) มีจุดเด่น คือ การเน้นรับผู้ป่วยต่างชาติ จนในขณะนี้มีสัดส่วนคนไข้ต่างชาติเป็น 53% ของคนไข้ทั้งหมด ประกอบกับการที่ BH โรงพยาบาลที่ชำนาญในโรคเฉพาะทาง ทำให้มีค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยต่อครั้งค่อนข้างสูงกว่าโรงพยาบาลอื่น นอกจากนี้ BH ยังมีสาขาในต่างประเทศ เช่น ตะวันออกกลาง และยังได้ขยายการลงทุนสร้างอาคารรองรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จึงได้สะท้อนผลดีไปยังราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว

บล. ธนชาตคาดการณ์ว่า BH จะมี P/E ของปี 2551 ที่ 23 เท่า และจะลดลงเหลือ 20 เท่าในปี 2552 เพราะจะมีฐานกำไรที่เติบโตได้ดีขึ้น แต่เนื่องจากเครื่องมือทางการแพทย์ เตียง และอาคารจะสามารถรองรับการขยายตัวของผู้ป่วยได้อีกเพียง 3 ปี BH จึงอาจต้องลงทุนเพิ่มขึ้นอีกในปี 2553 ทำให้ BH อาจจ่ายปันผลได้ไม่สูงมากนัก โดยบล. ธนชาตคาดการณ์ว่า BH จะสามารถจ่ายปันผลได้ที่ 2.2%

ทั้งนี้ บล.ธนชาตมองว่า บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) มีความโดดเด่นกว่า BH แม้ว่าจะมีต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นหลังจากลงทุนก่อสร้างอาคารใหม่ ซื้อกิจการของโรงพยาบาลอื่น และเพิ่มบุคลากร แต่ที่ผ่านมา BGH ได้ปรับกลยุทธ์ไปบ้างแล้ว ก็จะทำให้สามารถรองรับจำนวนคนไข้ที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตได้ นอกจากนี้ การที่ BGH เน้นรับคนไข้ต่างชาติเช่นเดียวกับ BH แต่มีจำนวนสาขาที่มากกว่า และยังมีราคาหุ้นที่ถูกกว่าด้วย ส่งผลให้บล. ธนชาตมองว่า BGH จะขยายตัวได้เร็วกว่า BH ได้ในระยะยาว

สำหรับบมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล (KH) นั้น บล. ธนชาตมองว่า เป็นผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยในประเทศ ซึ่งเนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ของไทยยังพึ่งพาบริการของโครงการประกันสุขภาพและประกันสังคมเป็นหลัก ประกอบกับภาครัฐก็สนับสนุนงบประมาณค่ารักษาพยาบาลรายหัวมากขึ้น ดังนั้น คนไข้กลุ่มนี้ก็มีโอกาสเป็นฐานผู้ป่วยที่สนับสนุนให้ KH เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน KH มีลูกค้าเงินสด 60% และอีก 40% เป็นลูกค้าประกันสังคมและโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้โครงสร้างรายได้อาจขยายตัวได้ไม่หวือหวามากนัก แต่หลังจากที่ภาครัฐได้เพิ่มค่ารักษาพยาบาลรายหัวขึ้นอีก ทำให้ KH เติบโตมากได้ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ในปี 2550 ที่ภาครัฐเปลี่ยนวิธีจ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยจ่ายตรงไปยังผู้ป่วยที่ใช้สิทธิลาคลอดและทำฟันแทนจ่ายให้กับโรงพยาบาลเช่นเดิม ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ของ KH ไปบ้าง อย่างไรก็ตาม KH ได้วางแผนเพิ่มลูกค้าเงินสดมากขึ้น และยังได้ลงทุนสร้างโรงพยาบาลในพัทยา ทำให้บล.ธนชาตมองว่า จะเป็นฐานสำคัญที่จะหนุนให้ลูกค้าเงินสดเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ จากการที่จำนวนคนไข้ในกลุ่มประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ KH ก็มีความสามารถในการทำกำไรที่ไม่แตกต่างจากผู้นำในตลาดมากนัก อีกทั้งภาครัฐก็เตรียมปรับงบประมาณสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลรายหัวขึ้นอีกในปีนี้ และ KH ก็จะรับรู้รายได้จากการลงทุนในสาขาที่บางแค และรัตนาธิเบศร์เต็มที่ ก็เชื่อว่า จะส่งผลดีต่อ KH ในปี 2551 ด้วย แต่ยังควรติดตามว่าจำนวนผู้ป่วยประกันสุขภาพจะมีทิศทางเป็นอย่างไรในอนาคตด้วย เพราะจะมีผลโดยตรงต่อผลประกอบการของ KH

นอกจากนี้ บล. ธนชาตยังมองว่า KH มีจุดเด่นที่ปันผล เพราะมีสภาพคล่องสูง และยังไม่ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีกในระยะนี้ จึงเชื่อว่า KH จะสามารถจ่ายเงินปันผลคิดเป็นอัตราผลตอบแทนได้ที่ 4%

ความเห็นของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ :

บริษัทสมาชิกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์คาดการณ์ว่า BH จะมีกำไรสุทธิในปีนี้เฉลี่ยที่ 1.344 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยที่ 1.78 บาท มีมูลค่าที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานเฉลี่ยที่ 45 บาท และคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลเฉลี่ยที่ 2.3%

บริษัทสมาชิกสมาคมฯมองว่า BH จะมีกำไรจากบริษัทที่ร่วมลงทุนในต่างประเทศ ทำให้มีรายได้จากธุรกิจซอฟท์แวร์มากระจายความเสี่ยงของธุรกิจด้วย นอกจากนี้ BH ยังได้รับผลดีจากการปรับเพิ่มราคายาและค่าบริการรักษาพยาบาล ทำให้รายได้และกำไรของปีนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อาจส่งผลกระทบต่อ BH บ้าง เพราะมีลูกค้า 50% เป็นชาวต่างชาติ และแม้ว่า BH จะซื้ออาคารใหม่อีก 2 อาคาร ที่จะต้องใช้เงินลงทุนมาก แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นฐานรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยได้ในอนาคต

สำหรับ KH นั้น บริษัทสมาชิกสมาคมฯคาดการณ์ว่า จะมีกำไรสุทธิในปีนี้เฉลี่ยที่ 497 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยที่ 0.52 บาท มีมูลค่าที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานเฉลี่ยที่ 10.02 บาท และคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลเฉลี่ยที่ 3.95%

บริษัทสมาชิกสมาคมฯคาดการณ์ว่า KH จะมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 4/50 จากการปรับค่ารักษารายหัวเพิ่มขึ้นในโครงการประกันสุขภาพ นอกจากนี้ KH ยังสามารถบันทึกค่าเสื่อมราคาและจากภาษีคืนกลับมาได้ ประกอบกับการขยายฐานผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จะทำให้กำไรสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง

ติดตามรายการ Stock in Focus ได้ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
ช่องทางการรับชม Money Channel: True Visions ช่อง 80, จานดาวเทียม Samart DTH ช่อง 08 และเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่อง 30
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Cli ... fault.aspx