ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/01/08
โพสต์ที่ 631
กรมส่งเสริมการส่งออก เตรียมนัดสำนักงานส่งเสริมการค้าทั่วโลก ปรับยุทธศาสตร์ส่งออกให้ได้เป้า 10-12.5%
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทางกรมส่งเสริมการส่งออก จะเรียกประชุมหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 53 แห่งทั่วโลก เพื่อประเมินสถานการณ์การค้าในต่างประเทศทั้งหมด และทบทวนแผนผลักดันการส่งเสริมการส่งออกในแต่ละประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว อันเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว จนเกิดการคาดหมายกันว่า จะชะลอรุนแรงจนติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส หรือเรียกในศัพท์ทางเศรษฐสาสตร์ว่า ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession)
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการส่งออก มีแผนให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั้งหมด ทำการศึกษาภาวะตลาดใหม่ และผลักดันขยายการค้าสินค้าและบริการให้มากขึ้น เพราะตั้งเป้าการส่งออกปีนี้ ให้ขยายตัวจากปีก่อน 10.0 - 12.5% ซึ่งจะพยายามทำให้ได้ หลังจากถูกสถาบันวิจัยการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอส่งสัญญาณเตือนว่า การส่งออกในปีนี้ น่าจะขยายตัวได้เพียง 7 - 8%
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทางกรมส่งเสริมการส่งออก จะเรียกประชุมหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 53 แห่งทั่วโลก เพื่อประเมินสถานการณ์การค้าในต่างประเทศทั้งหมด และทบทวนแผนผลักดันการส่งเสริมการส่งออกในแต่ละประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว อันเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว จนเกิดการคาดหมายกันว่า จะชะลอรุนแรงจนติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส หรือเรียกในศัพท์ทางเศรษฐสาสตร์ว่า ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession)
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการส่งออก มีแผนให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั้งหมด ทำการศึกษาภาวะตลาดใหม่ และผลักดันขยายการค้าสินค้าและบริการให้มากขึ้น เพราะตั้งเป้าการส่งออกปีนี้ ให้ขยายตัวจากปีก่อน 10.0 - 12.5% ซึ่งจะพยายามทำให้ได้ หลังจากถูกสถาบันวิจัยการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอส่งสัญญาณเตือนว่า การส่งออกในปีนี้ น่าจะขยายตัวได้เพียง 7 - 8%
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/01/08
โพสต์ที่ 632
ธปท.ปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ+ดุลบัญชีเดินสะพัดปีหน้าเพิ่มขึ้น แตจ่คงอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ 4.5-6%
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในปีที่ผ่านมา สรุปสาระสำคัญได้ว่า เมื่อประเมินตัวเลขสำคัญ ๆ ในเบื้องต้น พบว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4.8% ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ช่วงเดือนตุลาคมก่อนหน้า ว่า เศรษฐกิจน่าจะขยายตัวในกรอบระหว่าง 4.3 - 4.8%
แต่กระนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดในปีที่ผ่านมา กลับเกินดุลมากกว่าประมาณการเดิม ที่คาดเอาไว้ 8.5 - 9.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1.45 - 1.50 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการส่งออก ขยายตัวดีเกินคาด จากประมาณการเดิม 13 - 15% เพิ่มเป็น 17 - 19% ขณะที่การนำเข้าขยายตัวในกรอบเดิม 8.5 - 10.5%
สำหรับตัวเลขประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้านั้น ยังคงยึดประมาณการเดิมที่คาดเอาไว้ ในเดือนตุลาคมปีก่อนเช่นกัน ระหว่าง 4.5 - 6.0% แต่มีการปรับเพิ่มตัวเลขเงินเฟ้อทั้งปีใหม่ เพิ่มจาก 1.5 - 2.8% เป็น 2.8 - 4.0%
สำหรับฐานะการค้า มีการปรับเพิ่มฐานะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปี ว่าจะเกินดุลเพิ่มจาก 1.5 - 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4.5 - 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประเมินว่า การส่งออกจะโตเพิ่มจากประมาณการเดิม ในเดือนตุลาคมปีก่อน ในกรอบระหว่าง 6.5 - 9.5% เพิ่มเป็น 9.0 - 12.0% ส่วนการนำเข้า ปรับเพิ่มจากประมาณการเดิมที่ 11.0 - 14.0% เป็น 15.5 - 18.5%
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในปีที่ผ่านมา สรุปสาระสำคัญได้ว่า เมื่อประเมินตัวเลขสำคัญ ๆ ในเบื้องต้น พบว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4.8% ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ช่วงเดือนตุลาคมก่อนหน้า ว่า เศรษฐกิจน่าจะขยายตัวในกรอบระหว่าง 4.3 - 4.8%
แต่กระนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดในปีที่ผ่านมา กลับเกินดุลมากกว่าประมาณการเดิม ที่คาดเอาไว้ 8.5 - 9.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1.45 - 1.50 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการส่งออก ขยายตัวดีเกินคาด จากประมาณการเดิม 13 - 15% เพิ่มเป็น 17 - 19% ขณะที่การนำเข้าขยายตัวในกรอบเดิม 8.5 - 10.5%
สำหรับตัวเลขประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้านั้น ยังคงยึดประมาณการเดิมที่คาดเอาไว้ ในเดือนตุลาคมปีก่อนเช่นกัน ระหว่าง 4.5 - 6.0% แต่มีการปรับเพิ่มตัวเลขเงินเฟ้อทั้งปีใหม่ เพิ่มจาก 1.5 - 2.8% เป็น 2.8 - 4.0%
สำหรับฐานะการค้า มีการปรับเพิ่มฐานะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปี ว่าจะเกินดุลเพิ่มจาก 1.5 - 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4.5 - 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประเมินว่า การส่งออกจะโตเพิ่มจากประมาณการเดิม ในเดือนตุลาคมปีก่อน ในกรอบระหว่าง 6.5 - 9.5% เพิ่มเป็น 9.0 - 12.0% ส่วนการนำเข้า ปรับเพิ่มจากประมาณการเดิมที่ 11.0 - 14.0% เป็น 15.5 - 18.5%
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/01/08
โพสต์ที่ 633
ประเดิมวันแรกสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม ต่างชาติขายต่อ คาดจบเดือน ยอดขายสุทธิทะลุ 4 หมื่นล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 28, 2008
หลังจากส่งท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเริ่มหวนกลับมาซื้อหุ้นสุทธิ 313 ล้านบาท แต่ประเดิมวันแรกสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม สถานการณ์พลิกผัน เมื่อต่างชาติขายสุทธิอีกครั้ง แต่จิ๊บจ๊อย 628 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอดขายต่างชาติขายสุทธิตลอด 28 วันของเดือนมกราคม ทะยานเป็น 3.9 หมื่นล้านบาท คาด 3 วันที่เหลือของสัปดาห์ ยอดขายน่าจะทะลุ 4.0 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2551
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 7,639.84 ขาย 6,473.91 รวม ซื้อสุทธิ 1,165.93
สถาบันในประเทศ ซื้อ 1,931.15 ขาย 2,468.51 รวม ขายสุทธิ 537.36
ต่างประเทศ ซื้อ 4,315.50 ขาย 4,944.07 รวม ขายสุทธิ 628.57
ยอดสะสม ตลอดเดือนมกราคม 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 200,745.90 ขาย 171,039.42 รวม ซื้อสุทธิ 29,706.48
สถาบันในประเทศ ซื้อ 67,108.30 ขาย 57,403.50 รวม ซื้อสุทธิ 9,704.80
ต่างประเทศ ซื้อ 81,765.76 ขาย 121,177.04 รวม ขายสุทธิ 39,411.28
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 200,745.90 ขาย 171,039.42 รวม ซื้อสุทธิ 29,706.48
สถาบันในประเทศ ซื้อ 67,108.30 ขาย 57,403.50 รวม ซื้อสุทธิ 9,704.80
ต่างประเทศ ซื้อ 81,765.76 ขาย 121,177.04 รวม ขายสุทธิ 39,411.28
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 28, 2008
หลังจากส่งท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเริ่มหวนกลับมาซื้อหุ้นสุทธิ 313 ล้านบาท แต่ประเดิมวันแรกสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม สถานการณ์พลิกผัน เมื่อต่างชาติขายสุทธิอีกครั้ง แต่จิ๊บจ๊อย 628 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอดขายต่างชาติขายสุทธิตลอด 28 วันของเดือนมกราคม ทะยานเป็น 3.9 หมื่นล้านบาท คาด 3 วันที่เหลือของสัปดาห์ ยอดขายน่าจะทะลุ 4.0 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2551
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 7,639.84 ขาย 6,473.91 รวม ซื้อสุทธิ 1,165.93
สถาบันในประเทศ ซื้อ 1,931.15 ขาย 2,468.51 รวม ขายสุทธิ 537.36
ต่างประเทศ ซื้อ 4,315.50 ขาย 4,944.07 รวม ขายสุทธิ 628.57
ยอดสะสม ตลอดเดือนมกราคม 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 200,745.90 ขาย 171,039.42 รวม ซื้อสุทธิ 29,706.48
สถาบันในประเทศ ซื้อ 67,108.30 ขาย 57,403.50 รวม ซื้อสุทธิ 9,704.80
ต่างประเทศ ซื้อ 81,765.76 ขาย 121,177.04 รวม ขายสุทธิ 39,411.28
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 200,745.90 ขาย 171,039.42 รวม ซื้อสุทธิ 29,706.48
สถาบันในประเทศ ซื้อ 67,108.30 ขาย 57,403.50 รวม ซื้อสุทธิ 9,704.80
ต่างประเทศ ซื้อ 81,765.76 ขาย 121,177.04 รวม ขายสุทธิ 39,411.28
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/01/08
โพสต์ที่ 634
ส.อ.ท. เตรียมเสนอ 13 มาตรการฟื้นเศรษฐกิจให้รัฐบาลใหม่
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการระดมสมองสมาชิก ส.อ.ท.ทั่วประเทศ เพื่อจัดทำข้อเสนอในเชิงยุทธศาสตร์เร่งด่วนมอบให้แก่รัฐบาลใหม่ เตรียมพร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกที่กำลังถดถอย จนอาจกระทบเศรษฐกิจไทยว่า ส.อ.ท.จะเสนอเป็นแผนระยะสั้น 13 ข้อ เช่น ขอให้รัฐบาลลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้อัตราอ้างอิงการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงอีก 5% ขยายเวลานำผลขาดทุนสะสมมาหักภาษีเงินได้เป็น 8 ปี ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงเพิ่มค่าหักลดหย่อนในอัตราก้าวหน้าสำหรับผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง
นอกจากนี้ ยังขอให้รัฐบาลคงภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จนกว่าเศรษฐกิจประเทศจะฟื้นตัว เร่งรัดการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ และก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสแข่งขัน และมีต้นทุนอุตสาหกรรมสูง ขอให้รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยขอให้เอกชนนำผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2-3 เท่า ซึ่งจะช่วยลดการเก็งกำไรค่าเงินของผู้ส่งออกได้ ขอให้จัดสรรงบ ประมาณ 2% สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง เสนอให้จัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ส่วนเรื่องดูแลผลกระทบที่มีต่อค่าเงินบาท ขอให้คงมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยไว้ สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการใช้วัตถุในประเทศมากกว่า 75% ให้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงอีก 10% และให้ความช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
อีกทั้งยังจะขอให้รัฐบาลจัดโรดโชว์ไปประเทศคู่ค้า และประเทศเป้าหมาย เร่งขยายฐานภาษี โดยมีมาตรการจูงใจให้ผู้เสียภาษีเข้าระบบมากขึ้น ขอให้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อบริหารการใช้พืชพลังงานทดแทน เช่น จัดตั้งคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เพื่อดูแลการผลิตและใช้น้ำมันปาล์ม และขอให้ สนับสนุนความร่วมมือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระหว่างรัฐและเอกชนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ ส.อ.ท.จะจัดทำแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมทั้งในระยะกลาง และยาว เพื่อนำเสนอรัฐบาลใหม่ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการระดมสมองสมาชิก ส.อ.ท.ทั่วประเทศ เพื่อจัดทำข้อเสนอในเชิงยุทธศาสตร์เร่งด่วนมอบให้แก่รัฐบาลใหม่ เตรียมพร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกที่กำลังถดถอย จนอาจกระทบเศรษฐกิจไทยว่า ส.อ.ท.จะเสนอเป็นแผนระยะสั้น 13 ข้อ เช่น ขอให้รัฐบาลลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้อัตราอ้างอิงการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงอีก 5% ขยายเวลานำผลขาดทุนสะสมมาหักภาษีเงินได้เป็น 8 ปี ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงเพิ่มค่าหักลดหย่อนในอัตราก้าวหน้าสำหรับผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง
นอกจากนี้ ยังขอให้รัฐบาลคงภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จนกว่าเศรษฐกิจประเทศจะฟื้นตัว เร่งรัดการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ และก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสแข่งขัน และมีต้นทุนอุตสาหกรรมสูง ขอให้รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยขอให้เอกชนนำผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2-3 เท่า ซึ่งจะช่วยลดการเก็งกำไรค่าเงินของผู้ส่งออกได้ ขอให้จัดสรรงบ ประมาณ 2% สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง เสนอให้จัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ส่วนเรื่องดูแลผลกระทบที่มีต่อค่าเงินบาท ขอให้คงมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยไว้ สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการใช้วัตถุในประเทศมากกว่า 75% ให้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงอีก 10% และให้ความช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
อีกทั้งยังจะขอให้รัฐบาลจัดโรดโชว์ไปประเทศคู่ค้า และประเทศเป้าหมาย เร่งขยายฐานภาษี โดยมีมาตรการจูงใจให้ผู้เสียภาษีเข้าระบบมากขึ้น ขอให้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อบริหารการใช้พืชพลังงานทดแทน เช่น จัดตั้งคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เพื่อดูแลการผลิตและใช้น้ำมันปาล์ม และขอให้ สนับสนุนความร่วมมือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระหว่างรัฐและเอกชนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ ส.อ.ท.จะจัดทำแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมทั้งในระยะกลาง และยาว เพื่อนำเสนอรัฐบาลใหม่ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/01/08
โพสต์ที่ 635
ธปท.ไม่หวั่นศก.สหรัฐฯถดถอย- มั่นใจจีดีพีไทยโตได้4.5-6% โดย กระแสหุ้น
แบงก์ชาติประเมินจีดีพีปี 50 โต 4.8% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 4.3.4.8% ส่วนปีนี้ยังมองเป้าเดิมที่ 4.5-6% ระบุไม่กล้าปรับเพิ่มเป้าหมาย แม้การเมืองชัดเจน การลงทุนเริ่มฟื้นตั้งแต่ไตรมาส3 ปีที่แล้ว เหตุปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว น้ำมันแพง ค่าบาทแข็งยังกดดัน แต่เชื่อแม้เศรษฐกิจสหรัฐฯแย่สุด จีดีพีก็ยังอยู่ในกรอบที่คาดไว้
นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 50 จะอยู่ที่ประมาณ 4.8% จากเดิมซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 4.3-4.8% เนื่องจากเป็นการประเมินภาพได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงแล้ว โดยการดูข้อมูลเศรษฐกิจในไตรมาส3 ซึ่งขยายตัวสูงถึง 4.9% และคาดว่าไตรมาส 4 น่าจะขยายตัวได้ 5% กว่า
ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 4.5-6% คงเดิมจากการประมาณการครั้งก่อนเนื่องจากธปท.มองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่อาจจะกระทบต่อการขยายตัวของจีดีพี ทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อาจปรับสูงขึ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่อาจปรับลดลงอีกหากเสถียรภาพการเมืองลดลงเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่อาจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดจากปัญหาซับไพร์มและค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าที่คาด
ธปท.คาดว่าน้ำมันดิบดูไบปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 85.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากเดิม 65 เหรียญฯต่อบาร์เรล ส่วนกรณีเลวร้ายสุดอยู่ที่ 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล ส่วนปี 52 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 4.5-6%โดยโอกาสที่จะขยายตัวในระดับดังกล่าวมีประมาณ 80.8% นางสาวดวงมณี กล่าว
นางสาวดวงมณี กล่าวต่อว่า สำหรับการส่งออกในปี 50 จะขยายตัว 17-19% จากเดิมซึ่งประเมินไว้ 13-15% ส่วนนำเข้าขยายตัว 8.5-10.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการเดิม โดยสาเหตุที่มองว่าส่งออกปี 50 จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากไทยยังส่งออกได้ดีประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในปี 50 คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 5% จากการประเมินครั้งก่อนที่4.6% ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยด้วย
ส่วนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 9-12% จากเดิม 6.5-9.5% โดยมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเกิดจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มขึ้นหลังมีนัยสำคัญ ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว 15.5-18.5% จากเดิม 11.0-14.0% ปี 52 คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 9-12%
สำหรับการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว 12.5-15.5% จากการส่งออกที่ยังสูงกว่าการนำเข้าจึงคาดว่า ดุลการค้าปี 50 จะเกินดุล 11.5-12.5 พันล้านเหรียญฯ และปีนี้จะเกินดุล 2.5-4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนซึ่งเกินดุลอยู่ที่ 1-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้คาดว่าในปี 52 ไทยจะขาดดุลการค้า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึงเกินดุล 0.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และได้ปรับเพิ่มเป้าดุลบัญชีฯ ปีนี้ เกินดุล 4.5-7.5พันล้านเหรียญ ขณะที่ปี 2552 การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลน้อยกว่าปีนี้โดยคาดว่าอาจจะขาดดุล 0.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึงเกินดุล 2.5พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ธปท.จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน(ไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน)ในปี50 จะอยู่ที่ 1.1% จากเดิมที่ประเมินไว้ 0.8-1.3% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 2.3% จากเดิมที่ประเมินไว้ 1.8-2.3% และได้ปรับเพิ่มเป้าหมายเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้ เป็น 1.3-2.3% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มเป็น 2.8-4
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
แบงก์ชาติประเมินจีดีพีปี 50 โต 4.8% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 4.3.4.8% ส่วนปีนี้ยังมองเป้าเดิมที่ 4.5-6% ระบุไม่กล้าปรับเพิ่มเป้าหมาย แม้การเมืองชัดเจน การลงทุนเริ่มฟื้นตั้งแต่ไตรมาส3 ปีที่แล้ว เหตุปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว น้ำมันแพง ค่าบาทแข็งยังกดดัน แต่เชื่อแม้เศรษฐกิจสหรัฐฯแย่สุด จีดีพีก็ยังอยู่ในกรอบที่คาดไว้
นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 50 จะอยู่ที่ประมาณ 4.8% จากเดิมซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 4.3-4.8% เนื่องจากเป็นการประเมินภาพได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงแล้ว โดยการดูข้อมูลเศรษฐกิจในไตรมาส3 ซึ่งขยายตัวสูงถึง 4.9% และคาดว่าไตรมาส 4 น่าจะขยายตัวได้ 5% กว่า
ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 4.5-6% คงเดิมจากการประมาณการครั้งก่อนเนื่องจากธปท.มองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่อาจจะกระทบต่อการขยายตัวของจีดีพี ทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อาจปรับสูงขึ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่อาจปรับลดลงอีกหากเสถียรภาพการเมืองลดลงเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่อาจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดจากปัญหาซับไพร์มและค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าที่คาด
ธปท.คาดว่าน้ำมันดิบดูไบปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 85.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากเดิม 65 เหรียญฯต่อบาร์เรล ส่วนกรณีเลวร้ายสุดอยู่ที่ 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล ส่วนปี 52 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 4.5-6%โดยโอกาสที่จะขยายตัวในระดับดังกล่าวมีประมาณ 80.8% นางสาวดวงมณี กล่าว
นางสาวดวงมณี กล่าวต่อว่า สำหรับการส่งออกในปี 50 จะขยายตัว 17-19% จากเดิมซึ่งประเมินไว้ 13-15% ส่วนนำเข้าขยายตัว 8.5-10.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการเดิม โดยสาเหตุที่มองว่าส่งออกปี 50 จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากไทยยังส่งออกได้ดีประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในปี 50 คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 5% จากการประเมินครั้งก่อนที่4.6% ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยด้วย
ส่วนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 9-12% จากเดิม 6.5-9.5% โดยมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเกิดจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มขึ้นหลังมีนัยสำคัญ ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว 15.5-18.5% จากเดิม 11.0-14.0% ปี 52 คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 9-12%
สำหรับการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว 12.5-15.5% จากการส่งออกที่ยังสูงกว่าการนำเข้าจึงคาดว่า ดุลการค้าปี 50 จะเกินดุล 11.5-12.5 พันล้านเหรียญฯ และปีนี้จะเกินดุล 2.5-4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนซึ่งเกินดุลอยู่ที่ 1-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้คาดว่าในปี 52 ไทยจะขาดดุลการค้า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึงเกินดุล 0.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และได้ปรับเพิ่มเป้าดุลบัญชีฯ ปีนี้ เกินดุล 4.5-7.5พันล้านเหรียญ ขณะที่ปี 2552 การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลน้อยกว่าปีนี้โดยคาดว่าอาจจะขาดดุล 0.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึงเกินดุล 2.5พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ธปท.จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน(ไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน)ในปี50 จะอยู่ที่ 1.1% จากเดิมที่ประเมินไว้ 0.8-1.3% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 2.3% จากเดิมที่ประเมินไว้ 1.8-2.3% และได้ปรับเพิ่มเป้าหมายเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้ เป็น 1.3-2.3% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มเป็น 2.8-4
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/01/08
โพสต์ที่ 636
คลังโยนรัฐบาลใหม่ยกเลิกกันสำรอง30% ยันไม่พบเงินไหลเข้าผิดปกติ
28 มกราคม พ.ศ. 2551 18:15:00
คลังโยนรัฐบาลใหม่ตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ยันยังไม่มีมาตรการสกัดเงินบาทแข็งค่าเพิ่มเติม ชี้ยังไม่พบเงินไหลเข้าผิดปกติหลังเฟดหั่นดอกเบี้ย 0.75%
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าการที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่มีการเกิดดุลบัญชีเดินสะพัด มากกว่ากรณีที่มีเงินทุนไหลเข้าประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรการกันสำรอง 30% ยังมีผลดูแลการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นต้องหามาตรการใดใดเพิ่มเติม
สำหรับจะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% หรือไม่ รมว.คลัง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 0.75% ไม่ได้ส่งผลให้เงินไหลเข้ามาในประเทศ จนเงินบาทแข็งค่าอย่างที่นักลงทุนวิตกกังวล ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงตามเฟดหรือไม่ คงต้องรอการประชุมครั้งหน้าในเดือนกุมภาพันธ์
สำหรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐ ที่เปิดตลาดดัชนีก็ปรับตัวลดลง ซึ่งตรงกับภาคบ่ายของประเทศไทย ทำให้นักลงทุนเทขาย
ส่วนจะมีมาตรการอะไรออกมาเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่นั้น รมว.คลังกล่าวว่า บรรยากาศในตลาดหุ้นเป็นอย่างนี้มาเป็นปีแล้ว ยังไม่ชินอีกหรือ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวันนี้ อยู่ที่ 33.05-33.06 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/2 ... sid=224578
28 มกราคม พ.ศ. 2551 18:15:00
คลังโยนรัฐบาลใหม่ตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ยันยังไม่มีมาตรการสกัดเงินบาทแข็งค่าเพิ่มเติม ชี้ยังไม่พบเงินไหลเข้าผิดปกติหลังเฟดหั่นดอกเบี้ย 0.75%
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าการที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่มีการเกิดดุลบัญชีเดินสะพัด มากกว่ากรณีที่มีเงินทุนไหลเข้าประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรการกันสำรอง 30% ยังมีผลดูแลการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นต้องหามาตรการใดใดเพิ่มเติม
สำหรับจะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% หรือไม่ รมว.คลัง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 0.75% ไม่ได้ส่งผลให้เงินไหลเข้ามาในประเทศ จนเงินบาทแข็งค่าอย่างที่นักลงทุนวิตกกังวล ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงตามเฟดหรือไม่ คงต้องรอการประชุมครั้งหน้าในเดือนกุมภาพันธ์
สำหรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐ ที่เปิดตลาดดัชนีก็ปรับตัวลดลง ซึ่งตรงกับภาคบ่ายของประเทศไทย ทำให้นักลงทุนเทขาย
ส่วนจะมีมาตรการอะไรออกมาเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่นั้น รมว.คลังกล่าวว่า บรรยากาศในตลาดหุ้นเป็นอย่างนี้มาเป็นปีแล้ว ยังไม่ชินอีกหรือ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวันนี้ อยู่ที่ 33.05-33.06 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/2 ... sid=224578
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/01/08
โพสต์ที่ 637
มองเศรษฐกิจปี 2551 ผ่านหัวเรือใหญ่ ปธ.เครือสหพัฒน์ 'บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา'
เศรษฐกิจที่ใครๆ มองว่าจะไม่ดี จากกำลังซื้อที่ดูยังไม่กระเตื้องขึ้น หนึ่งในผู้ที่จะสะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยได้ดีที่สุดผู้หนึ่งต้องยกให้กับ "บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้คลุกคลีอยู่กับกำลังรากหญ้าจนถึงระดับไฮเอนด์
เมื่อถามถึงมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ แม่ทัพใหญ่สหพัฒน์ชี้ว่าขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินเศรษฐกิจโดยภาพรวมได้ เพราะยังไม่เห็นนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงขณะนี้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องซับไพรมของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามสำหรับเครือสหพัฒน์ก็ได้มีการปรับตัวในเรื่องดังกล่าว โดยหันมาไปมุ่งส่งออกที่ตลาดอื่นๆ ทดแทน อาทิ เอเชียและยุโรป
ส่วนภาวะในประเทศ ประธานสหพัฒน์ประเมินว่าเท่าที่ดูกำลังซื้อของผู้บริโภควันต่อวันยังคงทรงๆ ส่วนอนาคตยังไม่สามารประเมินได้ว่าสถานการณ์กำลังซื้อจะเป็นอย่างไร ส่วนแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในปีนี้เขาย้ำว่า คงต้องเห็นความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจก่อน จึงจะรู้ว่าต้องปรับตัวอย่างไร
"ยังมองไม่ออก เพราะไม่รู้ทิศทางรัฐว่าจะไปซ้ายหรือขวา สำหรับสหพัฒน์ ถ้าเศรษฐกิจดีก็วิ่งเร็ว แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็วิ่งช้า ปีที่แล้วเรามองว่าเศรษฐกิจจะดีแต่ก็ไม่ดี ส่วนปีนี้มองว่าจะไม่ดีแต่อาจจะดีก็ได้ อย่างไรก็ตามคนเป็นพ่อค้าก็ต้องปรับตัวตามนโยบายของรัฐ จะฝืนไม่ได้"
ทั้งนี้ "บุณยสิทธิ์" ก็เห็นด้วยกับตัวเลขจีดีพีที่สภาพัฒน์ประเมินว่าตลอดปีนี้จะมีการเติบโตอยู่ที่ 4.5% "เดิมตัวเลขของผมกับของรัฐบาลไม่ค่อยตรงกันเท่าไร แต่ปีนี้ถือว่าน่าจะใกล้เคียงกัน"
ส่วนนโยบายราคาสินค้าของเครือสหพัฒน์ "บุณยสิทธิ์" ให้ความกระจ่างว่า ที่ผ่านมาเครือสหพัฒน์ยังไม่ได้มีการปรับราคาสินค้าตัวใด นอกจากมาม่า ซึ่งปัจจัยหลักที่จะนำมาสู่การขึ้นราคานั้น จะขึ้นอยู่กับราคาของวัตถุดิบเป็นหลัก โดยขณะนี้เรียกได้ว่าวัตถุดิบทุกตัวมีราคาสูงขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มกับแป้งสาลี "กรณีของน้ำมันปาล์มและแป้งสาลีไม่อยู่ที่ราคาขึ้นหรือไม่ขึ้น แต่อยู่ที่หาซื้อวัตถุดิบได้หรือเปล่า เพราะเกิดการขาดแคลนทั่วโลก"
พร้อมกันนี้เขายอมรับว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องขึ้นราคา หากราคาวัตถุดิบจะเป็นทิศทางนี้ต่อไป "เราต้องยอมรับว่าวันนี้เราหาซื้อน้ำมันในราคาเดิมไม่ได้อีกแล้ว เช่นเดียวกันหากราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาสินค้า แต่เราจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่พรวดพราดขึ้น และอยู่ในระดับที่เหมาะสม เชื่อว่าปัจจุบันประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็นของผู้ประกอบการที่ต้องปรับราคา"
ทั้งนี้เขาไม่เห็นด้วยกับการกดราคาไว้ แต่รัฐควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขณะที่ทางแก้ไขที่แท้จริงเขามองว่ารัฐควรจะมองแนวทางการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนด้วยวิธีต่างๆ มากกว่า รวมถึงทำอย่างไรให้เกิดพฤติกรรมประหยัด ทำให้ประชาชนสามารถอยู่รอดได้ เขาทิ้งท้ายสั้นๆ ว่า ตอนนี้ขอรอดูหน้าตารัฐบาลใหม่ก่อน
...ส่วนจะปลื้มหรือไม่ปลื้มอย่างไรนั้น ขอไม่ตอบ...
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 40&catid=2
เศรษฐกิจที่ใครๆ มองว่าจะไม่ดี จากกำลังซื้อที่ดูยังไม่กระเตื้องขึ้น หนึ่งในผู้ที่จะสะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยได้ดีที่สุดผู้หนึ่งต้องยกให้กับ "บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้คลุกคลีอยู่กับกำลังรากหญ้าจนถึงระดับไฮเอนด์
เมื่อถามถึงมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ แม่ทัพใหญ่สหพัฒน์ชี้ว่าขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินเศรษฐกิจโดยภาพรวมได้ เพราะยังไม่เห็นนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงขณะนี้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องซับไพรมของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามสำหรับเครือสหพัฒน์ก็ได้มีการปรับตัวในเรื่องดังกล่าว โดยหันมาไปมุ่งส่งออกที่ตลาดอื่นๆ ทดแทน อาทิ เอเชียและยุโรป
ส่วนภาวะในประเทศ ประธานสหพัฒน์ประเมินว่าเท่าที่ดูกำลังซื้อของผู้บริโภควันต่อวันยังคงทรงๆ ส่วนอนาคตยังไม่สามารประเมินได้ว่าสถานการณ์กำลังซื้อจะเป็นอย่างไร ส่วนแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในปีนี้เขาย้ำว่า คงต้องเห็นความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจก่อน จึงจะรู้ว่าต้องปรับตัวอย่างไร
"ยังมองไม่ออก เพราะไม่รู้ทิศทางรัฐว่าจะไปซ้ายหรือขวา สำหรับสหพัฒน์ ถ้าเศรษฐกิจดีก็วิ่งเร็ว แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็วิ่งช้า ปีที่แล้วเรามองว่าเศรษฐกิจจะดีแต่ก็ไม่ดี ส่วนปีนี้มองว่าจะไม่ดีแต่อาจจะดีก็ได้ อย่างไรก็ตามคนเป็นพ่อค้าก็ต้องปรับตัวตามนโยบายของรัฐ จะฝืนไม่ได้"
ทั้งนี้ "บุณยสิทธิ์" ก็เห็นด้วยกับตัวเลขจีดีพีที่สภาพัฒน์ประเมินว่าตลอดปีนี้จะมีการเติบโตอยู่ที่ 4.5% "เดิมตัวเลขของผมกับของรัฐบาลไม่ค่อยตรงกันเท่าไร แต่ปีนี้ถือว่าน่าจะใกล้เคียงกัน"
ส่วนนโยบายราคาสินค้าของเครือสหพัฒน์ "บุณยสิทธิ์" ให้ความกระจ่างว่า ที่ผ่านมาเครือสหพัฒน์ยังไม่ได้มีการปรับราคาสินค้าตัวใด นอกจากมาม่า ซึ่งปัจจัยหลักที่จะนำมาสู่การขึ้นราคานั้น จะขึ้นอยู่กับราคาของวัตถุดิบเป็นหลัก โดยขณะนี้เรียกได้ว่าวัตถุดิบทุกตัวมีราคาสูงขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มกับแป้งสาลี "กรณีของน้ำมันปาล์มและแป้งสาลีไม่อยู่ที่ราคาขึ้นหรือไม่ขึ้น แต่อยู่ที่หาซื้อวัตถุดิบได้หรือเปล่า เพราะเกิดการขาดแคลนทั่วโลก"
พร้อมกันนี้เขายอมรับว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องขึ้นราคา หากราคาวัตถุดิบจะเป็นทิศทางนี้ต่อไป "เราต้องยอมรับว่าวันนี้เราหาซื้อน้ำมันในราคาเดิมไม่ได้อีกแล้ว เช่นเดียวกันหากราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาสินค้า แต่เราจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่พรวดพราดขึ้น และอยู่ในระดับที่เหมาะสม เชื่อว่าปัจจุบันประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็นของผู้ประกอบการที่ต้องปรับราคา"
ทั้งนี้เขาไม่เห็นด้วยกับการกดราคาไว้ แต่รัฐควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขณะที่ทางแก้ไขที่แท้จริงเขามองว่ารัฐควรจะมองแนวทางการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนด้วยวิธีต่างๆ มากกว่า รวมถึงทำอย่างไรให้เกิดพฤติกรรมประหยัด ทำให้ประชาชนสามารถอยู่รอดได้ เขาทิ้งท้ายสั้นๆ ว่า ตอนนี้ขอรอดูหน้าตารัฐบาลใหม่ก่อน
...ส่วนจะปลื้มหรือไม่ปลื้มอย่างไรนั้น ขอไม่ตอบ...
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 40&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/01/08
โพสต์ที่ 638
ธปท.ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจสูงกว่าเงินเฟ้อ พร้อมตั้งรับใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย
ผู้ว่าแบงก์ชาติตั้งรับเศรษฐกิจการเงินโลกผันผวน ประกาศจุดยืนนโยบายการเงิน พร้อมดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่ความเสี่ยงด้านการเติบโตเศรษฐกิจมีมากกว่าที่คาด ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อลดลง ส่วนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนยังจำเป็นต้องดูแลภาคการส่งออกจนกว่าอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัวชัดเจน
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้แถลงนโยบายประจำปี 2551 ว่า ในภาวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ธปท.จะยังคงยึดแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตราบเท่าที่ยังไม่เกิดแรงกดด้านราคาจนเงินเฟ้ออาจจะสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด โดยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมยืดหยุ่นอย่างเพียงพอในการรับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ
โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐซึ่งเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญของไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะมีผลต่อการส่งออกและบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนอีกทางหนึ่ง ทำให้การใช้จ่ายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวจึงยังคงเปาะบาง และความเสี่ยงของระบบการเงินโลกและเศรษฐกิจโลกที่เห็นอยู่จะมีนัยต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
"ตอนนี้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ ปัญหาซับไพร์ม และผลกระทบที่จะเกิดตามมายังไม่นิ่งและยังไม่ชัดเจน ทั้งหมดนี้จะเชื่อมโยงส่งผลกับเงินเฟ้อด้วย กล่าวคือถ้าเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยมากจริงๆ ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะลดลงไม่มากอย่างที่คาดไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นประเมินสถานการณ์ตอนนี้ความเสี่ยงทางด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเราน่าจะมีมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์ และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีน้อยกว่าที่คาดการณ์เช่นกัน"
นางธาริษาย้ำว่า ถ้าประเมินความเสี่ยงด้านการเจริญเติบโตมีมากขึ้น ธปท.ก็สามารถใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อดูแลการเติบโตได้อยู่แล้วหากไม่เป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ แต่ถ้าเศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวไปได้ และปัญหาเงินเฟ้อยังมีแรงกดดันมาก ในกรณีนี้นโยบายการเงินจะมีความสามารถในการดูแลเศรษฐกิจน้อยลง ก็ต้องมีมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการการคลัง โดยการขาดดุลงบประมาณ และเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย และเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เพื่อดึงภาคเอกชนให้ลงทุนตาม
อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินและการคลังต้องประสานกัน หากนโยบายการคลังผ่อนคลาย นโยบายการเงินก็ผ่อนคลายมากไม่ได้ โดยในปีนี้นโยบายการคลังมีความจำเป็นต้องขาดดุลงบประมาณ และในปีหน้าก็มีโอกาสขาดดุลได้ต่อเนื่อง ถ้าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงจะถดถอยมากขึ้น แต่ถ้านโยบายการคลังมีข้อจำกัดในการดำเนินการ ธปท.ก็พร้อมใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน นางธาริษากล่าวว่า ธปท.ไม่ได้ตั้งเป้าว่าค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐควรจะอยู่ที่ระดับใด แต่ ธปท.จะพิจารณาค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญของไทย ซึ่งดูได้จากดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งในปี 2550 ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 6.3% จากสิ้นปี 2549 ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาทเพิ่มขึ้นเพียง 1.4% นอกจากนี้ ธปท.จะดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนมากเกินไป โดยเฉพาะถ้าความผันผวนมาจากเงินทุนไหลเข้าออกระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร เพื่อให้ภาคการค้าต่างประเทศและภาคการผลิตในประเทศมีเวลาปรับตัวและมีขีดความสามารถแข่งขันได้
"การดำเนินโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของแบงก์ชาติจะดูภาพรวมเป็นสำคัญ โดยขณะนี้อุปสงค์ในประเทศยังเปาะบางและมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจข้างนอกเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อดูแลภาคการส่งออก ดังนั้นแบงก์ชาติจะปล่อยให้เงินบาทแข็งมากไม่ได้ จะกระทบขีดความสามารถแข่งขันของผู้ส่งออก แต่จะดูแลให้เงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับประเทศคู่แข่งทางการค้า"ผู้ว่าการธปท.กล่าวยืนยัน
http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=1330
ผู้ว่าแบงก์ชาติตั้งรับเศรษฐกิจการเงินโลกผันผวน ประกาศจุดยืนนโยบายการเงิน พร้อมดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่ความเสี่ยงด้านการเติบโตเศรษฐกิจมีมากกว่าที่คาด ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อลดลง ส่วนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนยังจำเป็นต้องดูแลภาคการส่งออกจนกว่าอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัวชัดเจน
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้แถลงนโยบายประจำปี 2551 ว่า ในภาวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ธปท.จะยังคงยึดแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตราบเท่าที่ยังไม่เกิดแรงกดด้านราคาจนเงินเฟ้ออาจจะสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด โดยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมยืดหยุ่นอย่างเพียงพอในการรับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ
โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐซึ่งเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญของไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะมีผลต่อการส่งออกและบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนอีกทางหนึ่ง ทำให้การใช้จ่ายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวจึงยังคงเปาะบาง และความเสี่ยงของระบบการเงินโลกและเศรษฐกิจโลกที่เห็นอยู่จะมีนัยต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
"ตอนนี้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ ปัญหาซับไพร์ม และผลกระทบที่จะเกิดตามมายังไม่นิ่งและยังไม่ชัดเจน ทั้งหมดนี้จะเชื่อมโยงส่งผลกับเงินเฟ้อด้วย กล่าวคือถ้าเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยมากจริงๆ ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะลดลงไม่มากอย่างที่คาดไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นประเมินสถานการณ์ตอนนี้ความเสี่ยงทางด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเราน่าจะมีมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์ และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีน้อยกว่าที่คาดการณ์เช่นกัน"
นางธาริษาย้ำว่า ถ้าประเมินความเสี่ยงด้านการเจริญเติบโตมีมากขึ้น ธปท.ก็สามารถใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อดูแลการเติบโตได้อยู่แล้วหากไม่เป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ แต่ถ้าเศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวไปได้ และปัญหาเงินเฟ้อยังมีแรงกดดันมาก ในกรณีนี้นโยบายการเงินจะมีความสามารถในการดูแลเศรษฐกิจน้อยลง ก็ต้องมีมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการการคลัง โดยการขาดดุลงบประมาณ และเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย และเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เพื่อดึงภาคเอกชนให้ลงทุนตาม
อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินและการคลังต้องประสานกัน หากนโยบายการคลังผ่อนคลาย นโยบายการเงินก็ผ่อนคลายมากไม่ได้ โดยในปีนี้นโยบายการคลังมีความจำเป็นต้องขาดดุลงบประมาณ และในปีหน้าก็มีโอกาสขาดดุลได้ต่อเนื่อง ถ้าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงจะถดถอยมากขึ้น แต่ถ้านโยบายการคลังมีข้อจำกัดในการดำเนินการ ธปท.ก็พร้อมใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน นางธาริษากล่าวว่า ธปท.ไม่ได้ตั้งเป้าว่าค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐควรจะอยู่ที่ระดับใด แต่ ธปท.จะพิจารณาค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญของไทย ซึ่งดูได้จากดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งในปี 2550 ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 6.3% จากสิ้นปี 2549 ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาทเพิ่มขึ้นเพียง 1.4% นอกจากนี้ ธปท.จะดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนมากเกินไป โดยเฉพาะถ้าความผันผวนมาจากเงินทุนไหลเข้าออกระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร เพื่อให้ภาคการค้าต่างประเทศและภาคการผลิตในประเทศมีเวลาปรับตัวและมีขีดความสามารถแข่งขันได้
"การดำเนินโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของแบงก์ชาติจะดูภาพรวมเป็นสำคัญ โดยขณะนี้อุปสงค์ในประเทศยังเปาะบางและมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจข้างนอกเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อดูแลภาคการส่งออก ดังนั้นแบงก์ชาติจะปล่อยให้เงินบาทแข็งมากไม่ได้ จะกระทบขีดความสามารถแข่งขันของผู้ส่งออก แต่จะดูแลให้เงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับประเทศคู่แข่งทางการค้า"ผู้ว่าการธปท.กล่าวยืนยัน
http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=1330
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/01/08
โพสต์ที่ 639
ขาใหญ่ล้างพอร์ตหนีซับไพรม์ + ยอมตัดขาดทุนหุ้นก่อนเสียหายยับ! 'หมอบุญ' เผ่นโยกลงทุนในตราสารหนี้
กรณีตลาดหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทยยังมีแนวโน้มผันผวนแรงจากความกังวลเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาชะลอตัวที่เป็นผลมาจากวิกฤติตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยลูกหนี้ด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์) นั้น "ฐานเศรษฐกิจ"ได้สำรวจกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นพร้อมคำแนะนำในการลงทุน พบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นหลายรายได้ลดการลงทุนในหุ้นลงจนเหลือศูนย์
นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือ เสี่ยแตงโมและเสี่ยแมนชั่น กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงอันตราย และเท่าที่เล่นหุ้นมา 18 ปี ยังไม่เคยเห็นถึงความรุนแรงของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรถือเงินสดไว้ดีที่สุด และจะต้องรู้จักเอาตัวรอดให้ได้ โดยแนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มเป็นขาขึ้น ส่วนหุ้นตัวเล็กและหุ้นเก็งกำไรก็เช่นกันนักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้เป็นรายนาทีเพราะการลงทุนในหุ้นเก็งกำไรมีโอกาสขาดทุนสูง สำหรับนักลงทุนที่ยังสนใจหุ้นเก็งกำไรก็ควรมีเป้าหมายทำกำไรชัดเจน เช่น 10 % ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับนโยบายการลงทุนส่วนตัว ได้ปรับพอร์ตเป็นศูนย์ตั้งแต่ต้นปี 2551 และยอมรับว่าปี 2550 นั้นได้ตัดสินใจผิดพลาดที่เข้าลงทุนในหุ้นประมาณ 50 % ของพอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เนื่องจากคาดว่าหลังเลือกตั้งหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตลาดปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีมานี้ จึงได้ตัดสินใจขายตัดขาดทุนประมาณ 7-8 % เนื่องจากมองว่าหากยังถือหุ้นอยู่ต่อไปอาจทำให้ขาดทุนเพิ่มถึง 20 %
นายธนกฤต เลิศผาติ หรือ ไฮ้ส้มตำ แนะนำว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนแรงนี้ นักลงทุนไม่ควรรีบร้อน โดยควรเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น และสไตล์การลงทุนส่วนตัวนั้นจะลงทุนเมื่อเห็นโอกาสแบบนี้มาเท่านั้น โดยดูจังหวะเข้าลงทุนในช่วงที่ดีที่สุดก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้หลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตามนายธนกฤต กล่าวว่า สำหรับพอร์ตส่วนตัวนั้นในปีที่ผ่านมา ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเลย เนื่องจากเห็นสัญญาณที่ไม่ดีตั้งแต่เกิดเหตุปฏิวัติแล้ว (ก.ย.2549)ทำให้ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จึงได้ลดพอร์ตการลงทุนส่วนตัวลงเหลือศูนย์เช่นกัน แต่ก็มีบ้างที่เข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีประมาณ 10-20 % ของพอร์ต และถือประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือนเท่านั้น และเริ่มหันไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แทน คือ ซื้อขายคอนโดมีเนียม เพราะมองว่าอย่างน้อยๆหากให้ปล่อยเช่าก็ยังได้ค่าเช่า
นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลปิยะเวท และนักลงทุน กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวนั้น ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงและเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้เป็นมากกว่า 50 % ของพอร์ต จากเดิมที่ลงทุนในตราสารนี้เพียง 20 % ของพอร์ตเท่านั้น
สาเหตุที่ลดการลงทุนในหุ้น เนื่องจากมองว่า ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงผันผวนจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 30 % หุ้นในประเทศ 30 % และที่เหลือ 40 % ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยหากปรับตัวลงที่ระดับ 700 จุด หรืออัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี เรโช )ต่ำกว่า 10 เท่า จึงจะน่าสนใจแต่ก็ควรทยอยลงทุน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนในตลาดหุ้น ที่มีนโยบายลงทุนระยะยาว แนะนำว่า นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติลงทุน อีกทั้งมองว่าการเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ช่วงนี้ถือว่าเร็วเกินไปสำหรับนักลงทุนในประเทศ เนื่องจากมองว่าราคายังมีโอกาสลงต่อ โดยควรเข้าลงทุนที่ดัชนี 700 จุด
สำหรับหุ้นแนะนำคือ ในช่วง 1-2 เดือนนี้ ให้ทยอยซื้อหุ้นขนาดกลางและเล็กที่พึ่งพิงการอุปโภคและบริโภคภายในประเทศ เช่น กลุ่มอาหารรวมถึงหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4 % ต่อปีขึ้นไป ส่วนการลงทุนในหุ้นเก็งกำไรช่วงนี้ก็ยังไม่ใช่จังหวะเช่นกัน เพราะหุ้นกลุ่มนี้ควรเข้าลงทุนในช่วงที่หุ้นเริ่มเป็นขาขึ้น
ดร.นิเวศน์ แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนว่า สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนในตราสารหนี้ 60 % และหุ้น 40 % ของพอร์ต ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูงแนะนำให้ลงทุนในหุ้น 60 % และตราสารหนี้ 40 %
ดร.ศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ (22ม.ค.-8 ก.พ.) เป็นช่วงที่ประเทศต่าง ๆทั้งภาครัฐและเอกชนจะมีการประกาศตัวเลขสำคัญ ทั้งผลประกอบการและดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราการว่างงาน เป็นต้น ดังนั้นในระยะนี้ ตลาดหุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกจะยังผันผวน แต่เชื่อว่าหลังจากที่ตัวเลขต่างๆทยอยประกาศออกมาแล้ว และประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้ คาดว่าช่วงไตรมาส 2 นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะตอบรับในทางที่ดีได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนระยะยาว(เงินเย็น) หรือผู้ที่ถือเงินสดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สามารถทยอยเก็บหุ้นราคาถูกได้แต่ก็ยังไม่แนะนำให้ลงมากนักจากปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนในปัจจุบัน โดยแนะนำนักลงทุนให้แบ่งเงินบางส่วนลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ผลกระทบที่ตลาดหุ้นได้รับจากซับไพรม์คือ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นในย่านเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนจนถึงกลางปี 2552 ดังนั้น นักลงทุนจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน
อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลใหม่บริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว คาดว่านักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นไทยออกไปจะกลับเข้ามาลงทุนอีก เพราะขณะนี้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี 2551 ลดลงถึง 13-14% เป็นราคาที่ต่ำพอสมควร ขณะที่พื้นฐานของหุ้นยังดีอยู่
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2291
กรณีตลาดหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทยยังมีแนวโน้มผันผวนแรงจากความกังวลเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาชะลอตัวที่เป็นผลมาจากวิกฤติตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยลูกหนี้ด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์) นั้น "ฐานเศรษฐกิจ"ได้สำรวจกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นพร้อมคำแนะนำในการลงทุน พบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นหลายรายได้ลดการลงทุนในหุ้นลงจนเหลือศูนย์
นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือ เสี่ยแตงโมและเสี่ยแมนชั่น กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงอันตราย และเท่าที่เล่นหุ้นมา 18 ปี ยังไม่เคยเห็นถึงความรุนแรงของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรถือเงินสดไว้ดีที่สุด และจะต้องรู้จักเอาตัวรอดให้ได้ โดยแนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มเป็นขาขึ้น ส่วนหุ้นตัวเล็กและหุ้นเก็งกำไรก็เช่นกันนักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้เป็นรายนาทีเพราะการลงทุนในหุ้นเก็งกำไรมีโอกาสขาดทุนสูง สำหรับนักลงทุนที่ยังสนใจหุ้นเก็งกำไรก็ควรมีเป้าหมายทำกำไรชัดเจน เช่น 10 % ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับนโยบายการลงทุนส่วนตัว ได้ปรับพอร์ตเป็นศูนย์ตั้งแต่ต้นปี 2551 และยอมรับว่าปี 2550 นั้นได้ตัดสินใจผิดพลาดที่เข้าลงทุนในหุ้นประมาณ 50 % ของพอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เนื่องจากคาดว่าหลังเลือกตั้งหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตลาดปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีมานี้ จึงได้ตัดสินใจขายตัดขาดทุนประมาณ 7-8 % เนื่องจากมองว่าหากยังถือหุ้นอยู่ต่อไปอาจทำให้ขาดทุนเพิ่มถึง 20 %
นายธนกฤต เลิศผาติ หรือ ไฮ้ส้มตำ แนะนำว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนแรงนี้ นักลงทุนไม่ควรรีบร้อน โดยควรเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น และสไตล์การลงทุนส่วนตัวนั้นจะลงทุนเมื่อเห็นโอกาสแบบนี้มาเท่านั้น โดยดูจังหวะเข้าลงทุนในช่วงที่ดีที่สุดก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้หลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตามนายธนกฤต กล่าวว่า สำหรับพอร์ตส่วนตัวนั้นในปีที่ผ่านมา ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเลย เนื่องจากเห็นสัญญาณที่ไม่ดีตั้งแต่เกิดเหตุปฏิวัติแล้ว (ก.ย.2549)ทำให้ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จึงได้ลดพอร์ตการลงทุนส่วนตัวลงเหลือศูนย์เช่นกัน แต่ก็มีบ้างที่เข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีประมาณ 10-20 % ของพอร์ต และถือประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือนเท่านั้น และเริ่มหันไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แทน คือ ซื้อขายคอนโดมีเนียม เพราะมองว่าอย่างน้อยๆหากให้ปล่อยเช่าก็ยังได้ค่าเช่า
นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลปิยะเวท และนักลงทุน กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวนั้น ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงและเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้เป็นมากกว่า 50 % ของพอร์ต จากเดิมที่ลงทุนในตราสารนี้เพียง 20 % ของพอร์ตเท่านั้น
สาเหตุที่ลดการลงทุนในหุ้น เนื่องจากมองว่า ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงผันผวนจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 30 % หุ้นในประเทศ 30 % และที่เหลือ 40 % ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยหากปรับตัวลงที่ระดับ 700 จุด หรืออัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี เรโช )ต่ำกว่า 10 เท่า จึงจะน่าสนใจแต่ก็ควรทยอยลงทุน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนในตลาดหุ้น ที่มีนโยบายลงทุนระยะยาว แนะนำว่า นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติลงทุน อีกทั้งมองว่าการเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ช่วงนี้ถือว่าเร็วเกินไปสำหรับนักลงทุนในประเทศ เนื่องจากมองว่าราคายังมีโอกาสลงต่อ โดยควรเข้าลงทุนที่ดัชนี 700 จุด
สำหรับหุ้นแนะนำคือ ในช่วง 1-2 เดือนนี้ ให้ทยอยซื้อหุ้นขนาดกลางและเล็กที่พึ่งพิงการอุปโภคและบริโภคภายในประเทศ เช่น กลุ่มอาหารรวมถึงหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4 % ต่อปีขึ้นไป ส่วนการลงทุนในหุ้นเก็งกำไรช่วงนี้ก็ยังไม่ใช่จังหวะเช่นกัน เพราะหุ้นกลุ่มนี้ควรเข้าลงทุนในช่วงที่หุ้นเริ่มเป็นขาขึ้น
ดร.นิเวศน์ แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนว่า สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนในตราสารหนี้ 60 % และหุ้น 40 % ของพอร์ต ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูงแนะนำให้ลงทุนในหุ้น 60 % และตราสารหนี้ 40 %
ดร.ศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ (22ม.ค.-8 ก.พ.) เป็นช่วงที่ประเทศต่าง ๆทั้งภาครัฐและเอกชนจะมีการประกาศตัวเลขสำคัญ ทั้งผลประกอบการและดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราการว่างงาน เป็นต้น ดังนั้นในระยะนี้ ตลาดหุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกจะยังผันผวน แต่เชื่อว่าหลังจากที่ตัวเลขต่างๆทยอยประกาศออกมาแล้ว และประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้ คาดว่าช่วงไตรมาส 2 นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะตอบรับในทางที่ดีได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนระยะยาว(เงินเย็น) หรือผู้ที่ถือเงินสดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สามารถทยอยเก็บหุ้นราคาถูกได้แต่ก็ยังไม่แนะนำให้ลงมากนักจากปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนในปัจจุบัน โดยแนะนำนักลงทุนให้แบ่งเงินบางส่วนลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ผลกระทบที่ตลาดหุ้นได้รับจากซับไพรม์คือ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นในย่านเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนจนถึงกลางปี 2552 ดังนั้น นักลงทุนจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน
อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลใหม่บริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว คาดว่านักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นไทยออกไปจะกลับเข้ามาลงทุนอีก เพราะขณะนี้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี 2551 ลดลงถึง 13-14% เป็นราคาที่ต่ำพอสมควร ขณะที่พื้นฐานของหุ้นยังดีอยู่
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2291
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/01/08
โพสต์ที่ 640
หุ้นโรงพยาบาล-ท่องเที่ยวยังน่าสนใจ ส่วนหุ้นกลุ่มบันเทิงยังมีหลายปัจจัยเสี่ยง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, January 29, 2008
คาดกลุ่มท่องเที่ยวมีปัจจัยบวกรอหนุน
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล 15 บล. ธนชาต กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อประชาชน เพราะมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ประชากรในวัยทำงานของไทยที่มีจำนวน 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น ขณะที่ระบบคมนาคมสะดวกขึ้นกว่าในอดีต และมีต้นทุนการเดินทางลดลง ทำให้ประชากรเหล่านี้วางแผนการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งจะมีผลให้การท่องเที่ยวมีทิศทางที่สดใสได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมในไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีทั้งหมด 3 ราย คือ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERAWAN) และ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) โดยบริษัทเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำในตลาดหุ้น และยังลงทุนสร้างโรงแรมใหม่เพิ่ม ขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น สึนามิ รัฐประหาร โรคซาร์ส การก่อการร้าย ที่กดดันให้อุตสาหกรรมชะลอตัวลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าหากรัฐบาลมีเสถียรภาพ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้ เพราะยังมีปัจจัยบวกที่รอสนับสนุนอีกมาก เช่น สนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งสร้างเสร็จที่จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และงประชากรในประเทศเพื่อนบ้านที่ไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจขยายตัว เป็นต้น และแม้ว่าดัชนีหุ้นจะตกต่ำ แต่ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ทั้ง ERAWAN และ CENTEL ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และยังได้ลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จ (Key Driver) ของบริษัทให้โดดเด่นได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธุรกิจโรงแรมจะต้องใช้เงินลงทุนขยายกิจการสูงมาก ทำให้มีอัตราหนี้สินต่อทุนไม่ต่ำกว่า 2 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ ขณะที่ ERAWAN ก็ออกวอแรนท์ , CENTEL ได้ขายหุ้นเพิ่มทุน (Public Offering) และ MINT ใช้ธุรกิจอาหารเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้ในธุรกิจโรงแรม ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการกระแสเงินสดที่ดี และจะลดภาระหนี้ลงได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหุ้นกลุ่มโรงแรมมีสภาพคล่องไม่มากนัก และยังจ่ายปันผลไม่สูง จึงควรลงทุนโดยมองที่ปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้บริษัทเติบโตในอนาคตหรือลงทุนระยะยาว
คาดโรงพยาบาลมีแนวโน้มดีในระยะยาว
นายพิชัยกล่าวว่า กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว เพราะประชาชนที่เข้าโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคม เป็นกลุ่มคนจำนวนมากของประเทศ ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลยังสามารถเติบโตได้ตามการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลรายหัว นอกจากนี้ จากโครงสร้างประชากรของไทยที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาก และภาครัฐได้ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย ก็จะทำให้จำนวนคนไข้ในระบบเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มนี้อาจไม่โดดเด่นมากนักเพราะได้มีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสร้างอาคารใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็จะเป็นฐานรายได้ที่สนับสนุนการเติบโตได้ในอนาคต นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลยังมีความเสี่ยงในธุรกิจน้อยมาก เพราะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งอีกด้วย
ด้านนางภรณีกล่าวว่า ความต้องการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง และโรคภัยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้คนไข้ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่คนไข้ต่างชาติก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของไทยมีราคาถูก และมีคุณภาพการรักษาที่ดี โดยจะสามารถแบ่งกลุ่มโรงพยาบาลได้ ดังนี้
- โรงพยาบาลระดับบน มีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก ได้แก่ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ที่เติบโตจากการซื้อโรงพยาบาลอื่นมาเป็นบริษัทในเครือ และ บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่เติบโตจากการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แต่การที่โรงพยาบาลกลุ่มนี้เน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก จึงอาจได้รับผลกระทบบ้างหากสถานการณ์ระหว่างประเทศไม่สงบ นอกจากนี้ หุ้น BGH และ BH ยังซื้อขายกันที่ระดับ P/E สูงถึง 20-30 เท่า เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% ตลาดจึงยอมรับราคาหุ้นที่สูงได้
- โรงพยาบาลระดับกลาง เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคม จึงสามารถสามารถขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะใช้พื้นที่ได้ค่อนข้างเต็มแล้ว และมีฐานลูกค้าที่จำกัด
- โรงพยาบาลระดับล่าง รับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคมจึงมีประสิทธิภาพทำกำไรที่ไม่ดีนัก เพราะต้องรับค่ารักษาพยาบาลรายหัว ดังนั้น หากมีคนไข้ที่เข้าโครงการมารักษาเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้กำไรลดลงได้
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีผลประกอบการตามวัฏจักรธุรกิจเช่นกัน โดยจะเข้าสู่ช่วงสูดสุดของธุรกิจในไตรมาส 2-3 ของทุกปี แต่เนื่องจากจ่ายปันผลได้ไม่สูงมากนัก ทำให้ราคาหุ้นไม่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จึงควรซื้อเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสม เช่น กำไรมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นเกินคาดในไตรมาสนั้น ๆ
คาด AOT เป็นเสือนอนกิน - THAI เจอพิษน้ำมันแพง
สำหรับบมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) นั้น นางภรณีมองว่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ที่แน่นอนจากการค่าเช่าพื้นที่ในสนามบิน และหากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ก็จะมีโอกาสได้รับรายได้ในส่วนค่าธรรมเนียมสนามบินเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนปัญหากรณีของบริษัทคิงเพาเวอร์นั้น แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน แต่เชื่อว่าหลังจัดตั้งรัฐบาลก็จะมีความชัดเจนมากขึ้นได้
ส่วนบมจ. การบินไทย (THAI) นั้น ได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีต้นทุนน้ำมันสูงถึง 30% ของต้นทุนรวม และราคาน้ำมันก็ยังไม่มีแนวโน้มลดลงอีกด้วย เพราะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ยกเว้นว่า THAI จะหาพลังงานทางเลือกอื่นมาใช้แทนน้ำมัน ก็จะส่งผลดีต่อ THAI ได้
MCOT สดใสกว่าใครเพื่อน
น.ส. ธริศา ชัยสุนทร โยธิน รองผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ (TV Broadcaster) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน ได้แก่ บมจ. บีอีซี เวิลด์ (BEC) และ บมจ. อสมท. (MCOT)
ที่ผ่านมาราคาหุ้น MCOT ลดลงมากหลังจากที่พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ได้ พาดพิงถึงเม็ดเงินสัญญาสัมปทานที่ MCOT ได้รับจาก BEC และ ทรู วิชั่นส์ ที่จะต้องเสียให้กับกระทรวงการคลังแทน แต่หลังจากที่ผลการตัดสินพลิกโผ ทำให้ BEC และทรูวิชั่นส์จะต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ MCOT ตามเดิม จึงมีผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น ส่วนการที่มีสถานีโทรทัศน์ TPBS ขึ้นมาแทนที่ช่องทีไอทีวี และไม่สามารถโฆษณาได้นั้น ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อ MCOT เพราะมีระดับค่าโฆษณาใกล้เคียงกัน และการที่ราคาหุ้นในขณะนี้ยังไม่สูงมากนัก และมีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้
ธุรกิจ Content Provider มีแนวโน้มแข่งดุ
สำหรับกลุ่มผู้จัดทำรายการโทรทัศน์ (Content Provider) นั้น น.ส. ธริศากล่าวว่า มีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นมากในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีปิดตัวไป จะทำให้ผู้จัดทำรายการโทรทัศน์ต้องไปหาช่องอื่นเพื่อมารองรับรายการของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้ บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะมีผังรายการที่จำกัด ส่วนกันตนาที่ย้ายไป MCOT นั้น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
นอกจากนี้ น.ส. ธริศายังเชื่อว่า พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานีโทรทัศน์เพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่อาจต้องรอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เสียก่อน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ และบล. กสิกรไทยยังเชื่อว่า จะเห็นการควบรวมกิจการ (M&A) ระหว่างผู้จัดทำรายการโทรทัศน์เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
คาด GRAMMY โดดเด่นเหนือคู่แข่ง
สำหรับบมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) นั้น น.ส. ธริศามองว่า ยังมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นจากบริษัทย่อย คือ บมจ. จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (GMMM) และอื่น ๆ ที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ GRAMMY ยังสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดธุรกิจได้โดยไม่มีต้นทุนเพิ่ม จึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีมาก และ GRAMMY ยังมีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ประกอบการโทรทัศน์ได้ ขณะที่ยังเป็นผู้นำในธุรกิจเพลงอีกด้วย ส่งผลให้บมจ. อาร์เอส (RS) ไม่ใช่คู่แข่งที่สำคัญของ GRAMMY อีกต่อไป เพราะ RS ได้เริ่มจับธุรกิจถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลด้วยการซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศ แทนที่จะเน้นธุรกิจเพลงแบบเดิม แต่รายได้ก็ยังผันผวนได้อีก เพราะไม่ได้เป็นการซื้อลิขสิทธิ์ระยะยาว จึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของ RS ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, January 29, 2008
คาดกลุ่มท่องเที่ยวมีปัจจัยบวกรอหนุน
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล 15 บล. ธนชาต กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อประชาชน เพราะมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ประชากรในวัยทำงานของไทยที่มีจำนวน 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น ขณะที่ระบบคมนาคมสะดวกขึ้นกว่าในอดีต และมีต้นทุนการเดินทางลดลง ทำให้ประชากรเหล่านี้วางแผนการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งจะมีผลให้การท่องเที่ยวมีทิศทางที่สดใสได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมในไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีทั้งหมด 3 ราย คือ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERAWAN) และ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) โดยบริษัทเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำในตลาดหุ้น และยังลงทุนสร้างโรงแรมใหม่เพิ่ม ขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น สึนามิ รัฐประหาร โรคซาร์ส การก่อการร้าย ที่กดดันให้อุตสาหกรรมชะลอตัวลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าหากรัฐบาลมีเสถียรภาพ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้ เพราะยังมีปัจจัยบวกที่รอสนับสนุนอีกมาก เช่น สนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งสร้างเสร็จที่จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และงประชากรในประเทศเพื่อนบ้านที่ไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจขยายตัว เป็นต้น และแม้ว่าดัชนีหุ้นจะตกต่ำ แต่ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ทั้ง ERAWAN และ CENTEL ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และยังได้ลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จ (Key Driver) ของบริษัทให้โดดเด่นได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธุรกิจโรงแรมจะต้องใช้เงินลงทุนขยายกิจการสูงมาก ทำให้มีอัตราหนี้สินต่อทุนไม่ต่ำกว่า 2 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ ขณะที่ ERAWAN ก็ออกวอแรนท์ , CENTEL ได้ขายหุ้นเพิ่มทุน (Public Offering) และ MINT ใช้ธุรกิจอาหารเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้ในธุรกิจโรงแรม ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการกระแสเงินสดที่ดี และจะลดภาระหนี้ลงได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหุ้นกลุ่มโรงแรมมีสภาพคล่องไม่มากนัก และยังจ่ายปันผลไม่สูง จึงควรลงทุนโดยมองที่ปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้บริษัทเติบโตในอนาคตหรือลงทุนระยะยาว
คาดโรงพยาบาลมีแนวโน้มดีในระยะยาว
นายพิชัยกล่าวว่า กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว เพราะประชาชนที่เข้าโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคม เป็นกลุ่มคนจำนวนมากของประเทศ ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลยังสามารถเติบโตได้ตามการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลรายหัว นอกจากนี้ จากโครงสร้างประชากรของไทยที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาก และภาครัฐได้ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย ก็จะทำให้จำนวนคนไข้ในระบบเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มนี้อาจไม่โดดเด่นมากนักเพราะได้มีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสร้างอาคารใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็จะเป็นฐานรายได้ที่สนับสนุนการเติบโตได้ในอนาคต นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลยังมีความเสี่ยงในธุรกิจน้อยมาก เพราะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งอีกด้วย
ด้านนางภรณีกล่าวว่า ความต้องการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง และโรคภัยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้คนไข้ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่คนไข้ต่างชาติก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของไทยมีราคาถูก และมีคุณภาพการรักษาที่ดี โดยจะสามารถแบ่งกลุ่มโรงพยาบาลได้ ดังนี้
- โรงพยาบาลระดับบน มีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก ได้แก่ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ที่เติบโตจากการซื้อโรงพยาบาลอื่นมาเป็นบริษัทในเครือ และ บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่เติบโตจากการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แต่การที่โรงพยาบาลกลุ่มนี้เน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก จึงอาจได้รับผลกระทบบ้างหากสถานการณ์ระหว่างประเทศไม่สงบ นอกจากนี้ หุ้น BGH และ BH ยังซื้อขายกันที่ระดับ P/E สูงถึง 20-30 เท่า เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% ตลาดจึงยอมรับราคาหุ้นที่สูงได้
- โรงพยาบาลระดับกลาง เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคม จึงสามารถสามารถขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะใช้พื้นที่ได้ค่อนข้างเต็มแล้ว และมีฐานลูกค้าที่จำกัด
- โรงพยาบาลระดับล่าง รับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคมจึงมีประสิทธิภาพทำกำไรที่ไม่ดีนัก เพราะต้องรับค่ารักษาพยาบาลรายหัว ดังนั้น หากมีคนไข้ที่เข้าโครงการมารักษาเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้กำไรลดลงได้
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีผลประกอบการตามวัฏจักรธุรกิจเช่นกัน โดยจะเข้าสู่ช่วงสูดสุดของธุรกิจในไตรมาส 2-3 ของทุกปี แต่เนื่องจากจ่ายปันผลได้ไม่สูงมากนัก ทำให้ราคาหุ้นไม่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จึงควรซื้อเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสม เช่น กำไรมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นเกินคาดในไตรมาสนั้น ๆ
คาด AOT เป็นเสือนอนกิน - THAI เจอพิษน้ำมันแพง
สำหรับบมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) นั้น นางภรณีมองว่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ที่แน่นอนจากการค่าเช่าพื้นที่ในสนามบิน และหากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ก็จะมีโอกาสได้รับรายได้ในส่วนค่าธรรมเนียมสนามบินเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนปัญหากรณีของบริษัทคิงเพาเวอร์นั้น แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน แต่เชื่อว่าหลังจัดตั้งรัฐบาลก็จะมีความชัดเจนมากขึ้นได้
ส่วนบมจ. การบินไทย (THAI) นั้น ได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีต้นทุนน้ำมันสูงถึง 30% ของต้นทุนรวม และราคาน้ำมันก็ยังไม่มีแนวโน้มลดลงอีกด้วย เพราะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ยกเว้นว่า THAI จะหาพลังงานทางเลือกอื่นมาใช้แทนน้ำมัน ก็จะส่งผลดีต่อ THAI ได้
MCOT สดใสกว่าใครเพื่อน
น.ส. ธริศา ชัยสุนทร โยธิน รองผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ (TV Broadcaster) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน ได้แก่ บมจ. บีอีซี เวิลด์ (BEC) และ บมจ. อสมท. (MCOT)
ที่ผ่านมาราคาหุ้น MCOT ลดลงมากหลังจากที่พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ได้ พาดพิงถึงเม็ดเงินสัญญาสัมปทานที่ MCOT ได้รับจาก BEC และ ทรู วิชั่นส์ ที่จะต้องเสียให้กับกระทรวงการคลังแทน แต่หลังจากที่ผลการตัดสินพลิกโผ ทำให้ BEC และทรูวิชั่นส์จะต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ MCOT ตามเดิม จึงมีผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น ส่วนการที่มีสถานีโทรทัศน์ TPBS ขึ้นมาแทนที่ช่องทีไอทีวี และไม่สามารถโฆษณาได้นั้น ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อ MCOT เพราะมีระดับค่าโฆษณาใกล้เคียงกัน และการที่ราคาหุ้นในขณะนี้ยังไม่สูงมากนัก และมีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้
ธุรกิจ Content Provider มีแนวโน้มแข่งดุ
สำหรับกลุ่มผู้จัดทำรายการโทรทัศน์ (Content Provider) นั้น น.ส. ธริศากล่าวว่า มีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นมากในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีปิดตัวไป จะทำให้ผู้จัดทำรายการโทรทัศน์ต้องไปหาช่องอื่นเพื่อมารองรับรายการของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้ บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะมีผังรายการที่จำกัด ส่วนกันตนาที่ย้ายไป MCOT นั้น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
นอกจากนี้ น.ส. ธริศายังเชื่อว่า พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานีโทรทัศน์เพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่อาจต้องรอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เสียก่อน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ และบล. กสิกรไทยยังเชื่อว่า จะเห็นการควบรวมกิจการ (M&A) ระหว่างผู้จัดทำรายการโทรทัศน์เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
คาด GRAMMY โดดเด่นเหนือคู่แข่ง
สำหรับบมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) นั้น น.ส. ธริศามองว่า ยังมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นจากบริษัทย่อย คือ บมจ. จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (GMMM) และอื่น ๆ ที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ GRAMMY ยังสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดธุรกิจได้โดยไม่มีต้นทุนเพิ่ม จึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีมาก และ GRAMMY ยังมีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ประกอบการโทรทัศน์ได้ ขณะที่ยังเป็นผู้นำในธุรกิจเพลงอีกด้วย ส่งผลให้บมจ. อาร์เอส (RS) ไม่ใช่คู่แข่งที่สำคัญของ GRAMMY อีกต่อไป เพราะ RS ได้เริ่มจับธุรกิจถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลด้วยการซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศ แทนที่จะเน้นธุรกิจเพลงแบบเดิม แต่รายได้ก็ยังผันผวนได้อีก เพราะไม่ได้เป็นการซื้อลิขสิทธิ์ระยะยาว จึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของ RS ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/01/08
โพสต์ที่ 641
ส่งออก-ท่องเที่ยวดึงศก.พ้นเหว
โพสต์ทูเดย์ เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีเกินคาด ปี 2550 พุ่ง 4.7% เหตุส่งออก-นักท่องเที่ยวทะลัก คาดปีนี้ 5%
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2550 นั้นถึงตอนนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.7% ดีกว่าเดิมที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.5% สาเหตุสำคัญมาจากภาคการส่งออก และภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้มาก
นางพรรณี กล่าวว่า จากเศรษฐกิจปี 2550 ที่ดีเกินคาดนั้นทำให้กระทรวงการคลังมั่นใจว่าเศรษฐกิจปี 2551 จะขยายตัวได้ 5% ตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยไม่จำเป็นต้องมีมาตรการออกมากระตุ้นเพิ่มเติม เพราะขณะนี้การฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนดีขึ้น เพราะการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น และหากไม่มีอะไรเข้ามากระทบการขยายตัวจะเป็นไปตามเป้า
ผอ.สศค.ชี้แจงว่า การที่เศรษฐกิจเติบโตเป็นเพราะมูลค่าการส่งออกล่าสุดเดือน ธ.ค. 2550 สูงถึง 1.33 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัว 19.0% และหากรวมทั้งไตรมาส 4 มูลค่าการส่งออกเป็น 4.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัว 23.4% ในจำนวนนี้เป็นการขยายตัวหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ การเกษตรและอุตสาห กรรมการเกษตร
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกที่ ขยายตัวได้ดีนั้น สาเหตุหลักมา จากการขยายตลาดใหม่ไปประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย เวียดนาม และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง
ด้านภาคบริการนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือน ธ.ค. 2550 สูงเป็นประวัติการณ์ 1.46 ล้าน คน ขยายตัว 9.8% ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไตรมาส 4 มีจำนวน 4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.6% โดยนักท่องเที่ยว ต่างประเทศที่ มากเพราะมั่นใจสถานการณ์การเมืองมากขึ้น
สำหรับดัชนีเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาคเอกชนก็ปรับตัวดี ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากซื้อสินค้าและบริการขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ก็เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ที่ขยายตัวติดลบน้อยลง และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณขยายตัวได้สูง
อย่างไรก็ตาม ด้านเสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อทั่วไป โดยเดือน ธ.ค. 2550 เงินเฟ้อทั่วไปสูง 3.2% ทำให้เงินเฟ้อทั่วไปไตรมาส 4 สูง 2.9% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น
นางพรรณี กล่าวเพิ่มเติมว่า สศค.คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ดีที่เฉลี่ย 5% เนื่องจากประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ที่น่าจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งมีการเพิ่มงบรายจ่ายกลางปี 2551 และใช้นโยบายจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2552
ถ้าภาวะเศรษฐกิจเป็นแบบปี 2550 ก็อาจไม่เอื้อต่อการรักษาจีดีพีไว้ที่ 5% แต่ถ้าการลงทุน และการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องก็มีโอกาสที่จีดีพีจะโต 5% นางพรรณี กล่าว
สำหรับการใช้นโยบายงบ ประมาณแบบขาดดุลจะทำติดต่อกันนานเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าคงนานไม่ถึง 5 ปี ขณะที่ กรอบการขาดดุลงบประมาณปี 2552 จะต้องหารือกับรัฐบาลใหม่ก่อนว่า รมว.คลัง คนใหม่มองภาพเศรษฐกิจไปในทิศทางใด จึงจะประเมินว่าจะมีการตั้งงบประมาณขาดดุลมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217764
โพสต์ทูเดย์ เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีเกินคาด ปี 2550 พุ่ง 4.7% เหตุส่งออก-นักท่องเที่ยวทะลัก คาดปีนี้ 5%
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2550 นั้นถึงตอนนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.7% ดีกว่าเดิมที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.5% สาเหตุสำคัญมาจากภาคการส่งออก และภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้มาก
นางพรรณี กล่าวว่า จากเศรษฐกิจปี 2550 ที่ดีเกินคาดนั้นทำให้กระทรวงการคลังมั่นใจว่าเศรษฐกิจปี 2551 จะขยายตัวได้ 5% ตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยไม่จำเป็นต้องมีมาตรการออกมากระตุ้นเพิ่มเติม เพราะขณะนี้การฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนดีขึ้น เพราะการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น และหากไม่มีอะไรเข้ามากระทบการขยายตัวจะเป็นไปตามเป้า
ผอ.สศค.ชี้แจงว่า การที่เศรษฐกิจเติบโตเป็นเพราะมูลค่าการส่งออกล่าสุดเดือน ธ.ค. 2550 สูงถึง 1.33 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัว 19.0% และหากรวมทั้งไตรมาส 4 มูลค่าการส่งออกเป็น 4.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัว 23.4% ในจำนวนนี้เป็นการขยายตัวหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ การเกษตรและอุตสาห กรรมการเกษตร
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกที่ ขยายตัวได้ดีนั้น สาเหตุหลักมา จากการขยายตลาดใหม่ไปประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย เวียดนาม และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง
ด้านภาคบริการนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือน ธ.ค. 2550 สูงเป็นประวัติการณ์ 1.46 ล้าน คน ขยายตัว 9.8% ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไตรมาส 4 มีจำนวน 4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.6% โดยนักท่องเที่ยว ต่างประเทศที่ มากเพราะมั่นใจสถานการณ์การเมืองมากขึ้น
สำหรับดัชนีเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาคเอกชนก็ปรับตัวดี ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากซื้อสินค้าและบริการขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ก็เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ที่ขยายตัวติดลบน้อยลง และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณขยายตัวได้สูง
อย่างไรก็ตาม ด้านเสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อทั่วไป โดยเดือน ธ.ค. 2550 เงินเฟ้อทั่วไปสูง 3.2% ทำให้เงินเฟ้อทั่วไปไตรมาส 4 สูง 2.9% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น
นางพรรณี กล่าวเพิ่มเติมว่า สศค.คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ดีที่เฉลี่ย 5% เนื่องจากประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ที่น่าจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งมีการเพิ่มงบรายจ่ายกลางปี 2551 และใช้นโยบายจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2552
ถ้าภาวะเศรษฐกิจเป็นแบบปี 2550 ก็อาจไม่เอื้อต่อการรักษาจีดีพีไว้ที่ 5% แต่ถ้าการลงทุน และการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องก็มีโอกาสที่จีดีพีจะโต 5% นางพรรณี กล่าว
สำหรับการใช้นโยบายงบ ประมาณแบบขาดดุลจะทำติดต่อกันนานเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าคงนานไม่ถึง 5 ปี ขณะที่ กรอบการขาดดุลงบประมาณปี 2552 จะต้องหารือกับรัฐบาลใหม่ก่อนว่า รมว.คลัง คนใหม่มองภาพเศรษฐกิจไปในทิศทางใด จึงจะประเมินว่าจะมีการตั้งงบประมาณขาดดุลมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217764
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/01/08
โพสต์ที่ 642
แนะธปท.ขึงบาทไว้31
โพสต์ทูเดย์ ประธานเอ็กซิมแบงก์ ชี้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์กดดันบาทแข็งค่า แนะ ธปท.ตีกรอบ ค่าเงินบาทห้ามแข็งค่าเกิน 5-7% ป้องกันทุนนอกทะลักเข้าประเทศ
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กล่าวว่า อยากจะแนะนำให้รัฐบาลใหม่เร่งดูแลเรื่องค่าเงินบาท เนื่องจากเชื่อว่าผลกระทบ จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่มาจาก ซับไพร์มจะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐประมาณ 2-4 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง และกดดันให้ ค่าเงินบาทในปีนี้แข็งค่าขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงอีก 0.5% ซึ่งจะยิ่งมีผลทำให้เงินไหลเข้าประเทศ จนกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
ผมอยากเสนอแนะว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าจะดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าที่ระดับ 5-7% หรือให้เคลื่อนไหวไม่เกินที่ระดับ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพื่อไม่ให้กระทบกับขีดความสามารถในการแข่งขัน นายณรงค์ชัย กล่าว
นายณรงค์ชัย ยกตัวอย่างว่า ประเทศจีนปีที่ผ่านมาดูแลค่าเงิน ได้ดี ปีนี้คนก็คาดว่าเงินหยวนจะแข็งค่าอีกไม่เกิน 5-7% ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาเก็งกำไร ประเทศไทยก็ควรมีการกำหนดนโยบายเรื่องนี้ออกมาบ้างเพื่อลดการเก็งกำไร ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายให้เงินบาทแข็งค่าได้ไม่เกิน 5-7% ถือว่าเป็นระดับ ที่เหมาะสม และช่วยป้องกันเงินทะลักเข้ามาเก็งกำไรได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องการดูแล ค่าเงินบาทไม่ใช่เรื่องของ ธปท.เพียงคนเดียว แต่ควรเป็นความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้ง ครม. นายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และ ธปท.
นอกจากนี้ นายณรงค์ชัย ยังแนะนำให้ ธปท.เร่งนำเงินทุนสำรองที่มีอยู่เป็นจำนวนมากถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ควรแยกเป็น ทุนสำรองในปัจจุบัน 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นำออกมาใช้ในการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
ทั้งนี้ หาก ธปท.สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องที่มีอยู่ล้นให้มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดแรงกดดันเรื่องค่าเงินบาทได้ โดยเสนอให้ ธปท.แบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ใช้หนุนการพิมพ์ธนบัตรจำนวน 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และส่วนที่เหลืออีก 5-7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ธปท.ควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินบาทให้ แข็งค่าอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ ไม่เกิน 5-7%
นายณรงค์ชัย ยังได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญอีกว่า มีเรื่อง 2 ได้แก่ การ รื้อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ และประชาชนให้กล้าลงทุนและกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และควรให้ความสำคัญกับเรื่องอัตราเงินเฟ้อ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217763
โพสต์ทูเดย์ ประธานเอ็กซิมแบงก์ ชี้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์กดดันบาทแข็งค่า แนะ ธปท.ตีกรอบ ค่าเงินบาทห้ามแข็งค่าเกิน 5-7% ป้องกันทุนนอกทะลักเข้าประเทศ
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กล่าวว่า อยากจะแนะนำให้รัฐบาลใหม่เร่งดูแลเรื่องค่าเงินบาท เนื่องจากเชื่อว่าผลกระทบ จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่มาจาก ซับไพร์มจะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐประมาณ 2-4 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง และกดดันให้ ค่าเงินบาทในปีนี้แข็งค่าขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงอีก 0.5% ซึ่งจะยิ่งมีผลทำให้เงินไหลเข้าประเทศ จนกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
ผมอยากเสนอแนะว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าจะดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าที่ระดับ 5-7% หรือให้เคลื่อนไหวไม่เกินที่ระดับ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพื่อไม่ให้กระทบกับขีดความสามารถในการแข่งขัน นายณรงค์ชัย กล่าว
นายณรงค์ชัย ยกตัวอย่างว่า ประเทศจีนปีที่ผ่านมาดูแลค่าเงิน ได้ดี ปีนี้คนก็คาดว่าเงินหยวนจะแข็งค่าอีกไม่เกิน 5-7% ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาเก็งกำไร ประเทศไทยก็ควรมีการกำหนดนโยบายเรื่องนี้ออกมาบ้างเพื่อลดการเก็งกำไร ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายให้เงินบาทแข็งค่าได้ไม่เกิน 5-7% ถือว่าเป็นระดับ ที่เหมาะสม และช่วยป้องกันเงินทะลักเข้ามาเก็งกำไรได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องการดูแล ค่าเงินบาทไม่ใช่เรื่องของ ธปท.เพียงคนเดียว แต่ควรเป็นความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้ง ครม. นายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และ ธปท.
นอกจากนี้ นายณรงค์ชัย ยังแนะนำให้ ธปท.เร่งนำเงินทุนสำรองที่มีอยู่เป็นจำนวนมากถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ควรแยกเป็น ทุนสำรองในปัจจุบัน 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นำออกมาใช้ในการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
ทั้งนี้ หาก ธปท.สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องที่มีอยู่ล้นให้มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดแรงกดดันเรื่องค่าเงินบาทได้ โดยเสนอให้ ธปท.แบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ใช้หนุนการพิมพ์ธนบัตรจำนวน 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และส่วนที่เหลืออีก 5-7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ธปท.ควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินบาทให้ แข็งค่าอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ ไม่เกิน 5-7%
นายณรงค์ชัย ยังได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญอีกว่า มีเรื่อง 2 ได้แก่ การ รื้อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ และประชาชนให้กล้าลงทุนและกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และควรให้ความสำคัญกับเรื่องอัตราเงินเฟ้อ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217763
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/01/08
โพสต์ที่ 643
5อุตฯกระอักรับซับไพรม์สหรัฐ
โพสต์ทูเดย์ ปัญหาซับไพรม์สหรัฐ ฉุดส่งออก สิ่งทอ อัญมณี กระดาษ สิ่งพิมพ์ อาหาร กระเทือน ระบุปลายไตรมาสแรกออกอาการ
นางอรรชกา บริมเบิล สีบุญเรือง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอุตสาหกรรมเป็นรายสาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งพิมพ์ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ อาหาร เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้พึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นตลาดส่งออกหลัก คาดว่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนในช่วงปลายไตรมาสแรกปีนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปหลังจากนี้คือ ปัญหาดังกล่าวจะกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทยด้วยหรือไม่ เช่น จีน ในฐานะนำเข้าวัตถุดิบจากไทยไปผลิตสินค้า ส่งไปยังตลาดสหรัฐ หากการส่งออกของจีนชะงัก ทางไทยก็จะชะงักตามไปด้วย ซึ่งปลายไตรมาสแรกก็พอจะทราบทิศทางแล้วว่าจะเป็นอย่างไร
นางอรรชกา กล่าวต่อว่า ในภาพรวมเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากกระทบเฉพาะรายสาขา ในภาพรวมถือว่ายังคงรับมือได้ เพราะส่วนหนึ่งความเชื่อมั่นต่อสหรัฐยังอยู่ในเกณฑ์ดี
ทั้งนี้ หากแยกพิจารณารายอุตสาห กรรมพบว่า อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวลดลงในปี 2551 ได้แก่ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ที่คาดว่าปีนี้มูลค่าการส่งออกจะขยายตัว 10-12% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 46.72% เนื่องจากราคาทองคำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น และปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐทำให้การผลิตขยายตัวเพียง 1-2%
ด้านอุตสาหกรรมกระดาษและสิ่งพิมพ์ปีนี้คาดว่ามูลค่าส่งออกจะขยายตัว 19% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัวถึง 715% เนื่องจากปีที่ผ่านมามีการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศมูลค่าสูง ขณะที่การผลิตคาดว่าขยายตัว 20% จากการที่ไทยเตรียมความพร้อมจะเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ในอาเซียน ภาครัฐจึงเข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่
การส่งออกไก่แช่แข็งและไก่แปรรูป คาดว่าจะขยายตัว 5-10% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 25.27%
สาเหตุการส่งออกลดลง เนื่องจากปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้แข่งขันด้านราคากับประเทศอื่นๆ ได้ลำบาก ตลอดจนผู้นำเข้าหลายๆ ประเทศมีรูปแบบกีดกันทางการค้าใหม่ๆ และมีการระบาดของไข้หวัดนกเข้ามาฉุดการบริโภค
นอกจากนี้ การส่งออกอาหารในภาพรวมคาดว่าจะขยายตัว 7.9% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 13.3% ส่วนการผลิตจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มคาดว่าการส่งออกจะขยายตัว 10% ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แม้ผู้ประกอบการจะเผชิญกับปัญหาซับไพรม์ แต่ได้มีการเตรียมหาตลาดใหม่รองรับไว้แล้ว ทั้งตลาดอาเซียนและตลาดสหภาพยุโรป (อียู) เพราะก่อนหน้านี้ก็ประสบปัญหาถูกจีนแย่งตลาดไปค่อนข้างมาก เนื่องจากจีนได้เปรียบเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ
สำหรับการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะขยายตัวใกล้เคียงกับปีที่แล้วคือ 12% เนื่องจากตลาดรองรับมีค่อนข้างหลากหลายกว่าสินค้าอื่น และฝีมือในการผลิตของไทยค่อนข้างดี สินค้าที่ผลิตได้มีคุณภาพตรงตามเกณฑ์ที่ผู้ซื้อกำหนด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217797
โพสต์ทูเดย์ ปัญหาซับไพรม์สหรัฐ ฉุดส่งออก สิ่งทอ อัญมณี กระดาษ สิ่งพิมพ์ อาหาร กระเทือน ระบุปลายไตรมาสแรกออกอาการ
นางอรรชกา บริมเบิล สีบุญเรือง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอุตสาหกรรมเป็นรายสาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งพิมพ์ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ อาหาร เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้พึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นตลาดส่งออกหลัก คาดว่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนในช่วงปลายไตรมาสแรกปีนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปหลังจากนี้คือ ปัญหาดังกล่าวจะกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทยด้วยหรือไม่ เช่น จีน ในฐานะนำเข้าวัตถุดิบจากไทยไปผลิตสินค้า ส่งไปยังตลาดสหรัฐ หากการส่งออกของจีนชะงัก ทางไทยก็จะชะงักตามไปด้วย ซึ่งปลายไตรมาสแรกก็พอจะทราบทิศทางแล้วว่าจะเป็นอย่างไร
นางอรรชกา กล่าวต่อว่า ในภาพรวมเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากกระทบเฉพาะรายสาขา ในภาพรวมถือว่ายังคงรับมือได้ เพราะส่วนหนึ่งความเชื่อมั่นต่อสหรัฐยังอยู่ในเกณฑ์ดี
ทั้งนี้ หากแยกพิจารณารายอุตสาห กรรมพบว่า อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวลดลงในปี 2551 ได้แก่ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ที่คาดว่าปีนี้มูลค่าการส่งออกจะขยายตัว 10-12% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 46.72% เนื่องจากราคาทองคำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น และปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐทำให้การผลิตขยายตัวเพียง 1-2%
ด้านอุตสาหกรรมกระดาษและสิ่งพิมพ์ปีนี้คาดว่ามูลค่าส่งออกจะขยายตัว 19% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัวถึง 715% เนื่องจากปีที่ผ่านมามีการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศมูลค่าสูง ขณะที่การผลิตคาดว่าขยายตัว 20% จากการที่ไทยเตรียมความพร้อมจะเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ในอาเซียน ภาครัฐจึงเข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่
การส่งออกไก่แช่แข็งและไก่แปรรูป คาดว่าจะขยายตัว 5-10% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 25.27%
สาเหตุการส่งออกลดลง เนื่องจากปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้แข่งขันด้านราคากับประเทศอื่นๆ ได้ลำบาก ตลอดจนผู้นำเข้าหลายๆ ประเทศมีรูปแบบกีดกันทางการค้าใหม่ๆ และมีการระบาดของไข้หวัดนกเข้ามาฉุดการบริโภค
นอกจากนี้ การส่งออกอาหารในภาพรวมคาดว่าจะขยายตัว 7.9% ลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 13.3% ส่วนการผลิตจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มคาดว่าการส่งออกจะขยายตัว 10% ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แม้ผู้ประกอบการจะเผชิญกับปัญหาซับไพรม์ แต่ได้มีการเตรียมหาตลาดใหม่รองรับไว้แล้ว ทั้งตลาดอาเซียนและตลาดสหภาพยุโรป (อียู) เพราะก่อนหน้านี้ก็ประสบปัญหาถูกจีนแย่งตลาดไปค่อนข้างมาก เนื่องจากจีนได้เปรียบเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ
สำหรับการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะขยายตัวใกล้เคียงกับปีที่แล้วคือ 12% เนื่องจากตลาดรองรับมีค่อนข้างหลากหลายกว่าสินค้าอื่น และฝีมือในการผลิตของไทยค่อนข้างดี สินค้าที่ผลิตได้มีคุณภาพตรงตามเกณฑ์ที่ผู้ซื้อกำหนด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217797
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/01/08
โพสต์ที่ 644
กำลังผลิตเริ่มกระเตื้อง ปีนี้ธุรกิจมีลุ้นเติบโตต่อ
โพสต์ทูเดย์ ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. ขยับรับกำลังผลิตเพิ่ม คาดปีนี้ดัชนี ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
นางอรรชกา บริมเบิล สีบุญเรือง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาห กรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. 2550 อยู่ที่ระดับ 186.50 เพิ่มขึ้น 1.49% จากเดือน พ.ย. อยู่ที่ระดับ 183.76 หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ดัชนีอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 14.21% เป็นผลจากที่ช่วงปลายปีมีการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อต่อเนื่อง ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยของปี 2550 อยู่ที่ 172.27 เพิ่มขึ้น 8.13% จากปี 2549
อุตสาหกรรมสำคัญที่การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฮาร์ดดิสไดร์ฟ น้ำตาล ปิโตรเลียม เบียร์ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป และน้ำตาล
สำหรับดัชนีผลผลิต (มูลค่าผลผลิต) เดือน ธ.ค. อยู่ที่ระดับ 185.32 เพิ่มขึ้น 12.43% ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 185.50 เพิ่มขึ้น 10.41%
ดัชนีอัตราส่วนสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง อยู่ที่ระดับ 176.77 เพิ่มขึ้น 26.78% ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 116.68 เพิ่มขึ้น 3.50% และดัชนีผลิตภาพแรงงานอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 145.50 เพิ่มขึ้น 5.11% และดัชนีสินค้าสำเร็จรูป คงคลัง 166.58 ลดลง 2.68%
นางอรรชกา กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2550 ขยายตัว 8.1% ส่วนปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 8-8.5% จีดีพีอุตสาหกรรมปีที่แล้วขยายตัว 5.3% ปี 2551 คาดว่าจะขยายตัว 5.1-5.5% เนื่องจากการลงทุนและการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากปีที่แล้ว อีกทั้งปัจจัยดังกล่าวยังสามารถชดเชยการส่งออกที่ชะลอตัวได้ในระดับ หนึ่งด้วย
หลังจากที่ รมว.อุตสาหกรรมคนใหม่เข้ามาบริหารงาน สศอ.จะเสนอแผนการทำงานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในภาพรวม ทั้งการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ นางอรรชกา กล่าว
เบื้องต้นได้มีการทำจุดยุทธศาสตร์รายสาขาแล้ว อาทิ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เครื่องหนัง พลังงานทดแทน เป็นต้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217802
โพสต์ทูเดย์ ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. ขยับรับกำลังผลิตเพิ่ม คาดปีนี้ดัชนี ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
นางอรรชกา บริมเบิล สีบุญเรือง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาห กรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. 2550 อยู่ที่ระดับ 186.50 เพิ่มขึ้น 1.49% จากเดือน พ.ย. อยู่ที่ระดับ 183.76 หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ดัชนีอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 14.21% เป็นผลจากที่ช่วงปลายปีมีการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อต่อเนื่อง ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยของปี 2550 อยู่ที่ 172.27 เพิ่มขึ้น 8.13% จากปี 2549
อุตสาหกรรมสำคัญที่การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฮาร์ดดิสไดร์ฟ น้ำตาล ปิโตรเลียม เบียร์ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป และน้ำตาล
สำหรับดัชนีผลผลิต (มูลค่าผลผลิต) เดือน ธ.ค. อยู่ที่ระดับ 185.32 เพิ่มขึ้น 12.43% ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 185.50 เพิ่มขึ้น 10.41%
ดัชนีอัตราส่วนสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง อยู่ที่ระดับ 176.77 เพิ่มขึ้น 26.78% ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 116.68 เพิ่มขึ้น 3.50% และดัชนีผลิตภาพแรงงานอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 145.50 เพิ่มขึ้น 5.11% และดัชนีสินค้าสำเร็จรูป คงคลัง 166.58 ลดลง 2.68%
นางอรรชกา กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2550 ขยายตัว 8.1% ส่วนปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 8-8.5% จีดีพีอุตสาหกรรมปีที่แล้วขยายตัว 5.3% ปี 2551 คาดว่าจะขยายตัว 5.1-5.5% เนื่องจากการลงทุนและการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากปีที่แล้ว อีกทั้งปัจจัยดังกล่าวยังสามารถชดเชยการส่งออกที่ชะลอตัวได้ในระดับ หนึ่งด้วย
หลังจากที่ รมว.อุตสาหกรรมคนใหม่เข้ามาบริหารงาน สศอ.จะเสนอแผนการทำงานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในภาพรวม ทั้งการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ นางอรรชกา กล่าว
เบื้องต้นได้มีการทำจุดยุทธศาสตร์รายสาขาแล้ว อาทิ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เครื่องหนัง พลังงานทดแทน เป็นต้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217802
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/01/08
โพสต์ที่ 645
ไอเอ็นจี ตามรอยเครดิต สวิส ยาหอมหุ้นไทยมีความน่าสนใจสูง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 30, 2008
หลังจากเมื่อวานนี้ ฝ่ายวิจัยของเครดิต สวิส ได้ออกมาให้ความเห็นถึงความน่าสนใจในการลงทุนตลาดหุ้นเอเชีย โดยบอกว่า ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย มีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ในโลก โดยตลาดหุ้นไทย มีความน่าสนใจในระดับเดียวกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ และตลาดหุ้นฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบความน่าสนใจของตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งนี้ จะพบว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นอีก 2 ประเทศข้างต้น โดยนายไจลส์ คีทติง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของเครดิต สวิส ด้านธุรกิจธนบดีและบริหารสินทรัพย์ ให้เหตุผลว่า เกิดจาก 2 สาเหตุ ประการแรก การจะได้ประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุน หลังธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวรุนแรงจนถึงขั้นถดถอย (Recession)
และประการสุดท้าย ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความวุ่นวายทางการเมือง ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 2 ปีก่อนเริ่มคลี่คลาย ทำให้เชื่อได้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทย จะกลับมาปรับตัวดีขึ้น และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบราคาหุ้นในตลาดเหล่านี้ หุ้นไทยจะมีราคาถูกที่สุด เพราะมีการซื้อขายที่ P/E 11 เท่า ถูกกว่าตลาดอื่น ๆ ที่ซื้อขายกันปัจจุบันในระดับ P/E 13 เท่า
ล่าสุด ไอเอ็นจี กรุ๊ป ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักลงทุน 1,311 ราย อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป และมีสินทรัพย์สภาพคล่อง ไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ยกเว้นประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งใช้ตัวเลขในบัญชีเงินฝาก และฟิลิปปินส์ ใช้รายได้ต่อเดือน เป็นเกณฑ์ จาก 13 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน เพื่อประเมินทัศนคติ และพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุน เป็นประจำทุกไตรมาส และได้รับคำตอบว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจสูงเช่นเดียวกัน
โดยนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี ประเทศไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ มีความเชื่อมั่นต่อบรรยากาศการลงทุนในไตรมาสแรกปีนี้ และตลอดปี 2551 มากถึง 69% มีเพียง 15-17% เท่านั้น ที่มองว่า จะแย่ลงลงไป ส่วนที่เหลือ 14-16% มองว่าน่าจะทรง ๆ
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะนักลงทุนเหล่านี้ ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายปีก่อน และไตรมาสแรกปีนี้ จะเพิ่มขึ้น มากถึง 67% มีแค่ 11% เท่านั้น ที่มองว่า ผลตอบแทนจะลดลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ กลับพบว่า นักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นไทย พร้อมปรับลกยุทธ์การลงทุนเป็นระยะสั้น ๆ มากขึ้น และลดการลงทุนระยะยาวลง โดยผลสำรวจ ชี้ว่า มีผู้ตอบว่า จะลงทุนสั้น ๆ เพิ่มขึ้นจาก 26% เป็น 33% ส่วนการลงทุนระยะยาวลดจาก 38% เหลือ 32%
สำหรับผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนไทย ที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยเอง ก็ได้ข้อสรุปว่า นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ 55% มองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรก จะสดใสขึ้น มีเพียง 19% เท่านั้น ที่บอกว่าแย่ลง ที่เหลือ 26% ตอบว่า ทรงตัว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบการคาดหมายเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสก่อนหน้า จะพบว่า มีนักลงทุนถึง 63% ที่มองว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาย่ำแย่
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 30, 2008
หลังจากเมื่อวานนี้ ฝ่ายวิจัยของเครดิต สวิส ได้ออกมาให้ความเห็นถึงความน่าสนใจในการลงทุนตลาดหุ้นเอเชีย โดยบอกว่า ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย มีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ในโลก โดยตลาดหุ้นไทย มีความน่าสนใจในระดับเดียวกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ และตลาดหุ้นฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบความน่าสนใจของตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งนี้ จะพบว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นอีก 2 ประเทศข้างต้น โดยนายไจลส์ คีทติง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของเครดิต สวิส ด้านธุรกิจธนบดีและบริหารสินทรัพย์ ให้เหตุผลว่า เกิดจาก 2 สาเหตุ ประการแรก การจะได้ประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุน หลังธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวรุนแรงจนถึงขั้นถดถอย (Recession)
และประการสุดท้าย ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความวุ่นวายทางการเมือง ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 2 ปีก่อนเริ่มคลี่คลาย ทำให้เชื่อได้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทย จะกลับมาปรับตัวดีขึ้น และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบราคาหุ้นในตลาดเหล่านี้ หุ้นไทยจะมีราคาถูกที่สุด เพราะมีการซื้อขายที่ P/E 11 เท่า ถูกกว่าตลาดอื่น ๆ ที่ซื้อขายกันปัจจุบันในระดับ P/E 13 เท่า
ล่าสุด ไอเอ็นจี กรุ๊ป ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักลงทุน 1,311 ราย อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป และมีสินทรัพย์สภาพคล่อง ไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ยกเว้นประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งใช้ตัวเลขในบัญชีเงินฝาก และฟิลิปปินส์ ใช้รายได้ต่อเดือน เป็นเกณฑ์ จาก 13 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน เพื่อประเมินทัศนคติ และพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุน เป็นประจำทุกไตรมาส และได้รับคำตอบว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจสูงเช่นเดียวกัน
โดยนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี ประเทศไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ มีความเชื่อมั่นต่อบรรยากาศการลงทุนในไตรมาสแรกปีนี้ และตลอดปี 2551 มากถึง 69% มีเพียง 15-17% เท่านั้น ที่มองว่า จะแย่ลงลงไป ส่วนที่เหลือ 14-16% มองว่าน่าจะทรง ๆ
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะนักลงทุนเหล่านี้ ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายปีก่อน และไตรมาสแรกปีนี้ จะเพิ่มขึ้น มากถึง 67% มีแค่ 11% เท่านั้น ที่มองว่า ผลตอบแทนจะลดลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ กลับพบว่า นักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นไทย พร้อมปรับลกยุทธ์การลงทุนเป็นระยะสั้น ๆ มากขึ้น และลดการลงทุนระยะยาวลง โดยผลสำรวจ ชี้ว่า มีผู้ตอบว่า จะลงทุนสั้น ๆ เพิ่มขึ้นจาก 26% เป็น 33% ส่วนการลงทุนระยะยาวลดจาก 38% เหลือ 32%
สำหรับผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนไทย ที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยเอง ก็ได้ข้อสรุปว่า นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ 55% มองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรก จะสดใสขึ้น มีเพียง 19% เท่านั้น ที่บอกว่าแย่ลง ที่เหลือ 26% ตอบว่า ทรงตัว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบการคาดหมายเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสก่อนหน้า จะพบว่า มีนักลงทุนถึง 63% ที่มองว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาย่ำแย่
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/01/08
โพสต์ที่ 646
4 กูรูการเงิน แนะรัฐบาลใหม่ นำร่องการลงทุน+ปล่อยเงินบาทแข็ง ลดแรงกดดัน FED ลดดอกเบี้ย+ทำงานเป็นทีม --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 30, 2008
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ ประเดิมด้วยการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจ ที่ทำงานอย่างจริงจัง มีทีมเวิรค์ จนสามารถผลักดันให้แนวนโยบายต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ แนวนโยบายหลัก ๆ ที่รัฐบาลใหม่ควรจะเร่งดำเนินการ จะเป็นการผลักดันโครงการก่อสร้างทางสาธารณูปโภค การหามาตรการช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันภาคธุรกิจเอกชน ไม่จำกัดเฉพาะผู้ส่งออก หรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เท่านั้น ซึ่งจะมีเอื้อต่อการอุปโภคบริโภคในภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชนลงทุน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา
สำหรับเหตุผลที่ทำให้ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอแนะเช่นนั้น เกิดจากในปีนี้ เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับแรงกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ (Hamburger Crisis) กดดันภาคส่งออก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และความผันผวนของกระแสเงินทุน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องถึงการใช้นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ตามมา
โดยในระยะสั้น ผลกระทบที่จะเกิดกับแนวนโยบายการเงิน จะมาจากการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในสหรัฐ จนทำให้คาดการณ์ว่า ในกลางปีนี้ ทุกฝ่ายน่าจะได้เห็นดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed FundS Rate) อ่อนตัวจาก 4.25% ลงมาเหลือประมาณ 2.0 - 2.5% และกดดันให้ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามไป เพื่อรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศให้อยู่ในกรอบที่แคบ หวังชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นไป จนมีผลต่อเนื่องให้การตัดสินใจผ่อนคลาย หรือยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า ในอัตรา 30% ต้องชะลอเวลาออกไป และกระทบการลงทุนโดยตรง และการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตามมา ในทางอ้อม
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ หรืออาจารย์เปี๋ยม กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ ภัทร (PHATRA) บอกว่า โดยส่วนตัวไม่ให้ความสำคัญกับตัวทีมเศรษฐกิจมากนัก แต่จะให้ความสำคัญกับแนวนโยบายทางเศรษฐกิจมากกว่า เพราะในปีนี้ วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ (Hamburger Crisis) จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้บทบาทของเศรษฐกิจสหรัฐในเวทีโลกลดลง และถูกแทนที่โดยประเทศในเอเชียแทน
" เมอร์ลิน ลินช์ได้ทำวิจัยปัญหาดังกล่าว พบว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐในปีนี้จะลดลงอีก 15% หลังจากที่ราคาลดลงมาแล้ว 7% และในปีหน้าราคาบ้านในสหรัฐจะลดลงอีก 10% ซึ่งเป็นปัญหาหนักที่ทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งต้องประกาศเพิ่มทุนเพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยจะต้องจับตาว่า กองทุนจากสิงคโปร์ หรือ ตะวันออกกลาง จะเข้ามาเป็นผู้เพิ่มทุน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเป็นผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงินต่าง ๆ " อาจารย์เปี๋ยม อธิบาย
อย่างไรก็ตาม พื้นฐานเศรษฐกิจเอเชียที่เข้มแข็ง น่าจะช่วยให้เอเชียสามารถผ่านพ้นปัญหาเศรษฐกิจไปได้ แต่ต้องปรับตัวเอง โดยเฉพาะการลดการผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และปล่อยให้เงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น และหันมาใช้นโยบายการคลังขาดดุลเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม ทดแทนการส่งออก
นอกจากนั้น เขายังฝากให้รัฐบาลใหม่ เร่งกระตุ้นการลงทุน เพราะการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชน ยังถือว่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะในปีที่ผ่านมา การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียง 3 - 4% จากที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ต่ำกว่า 10% โดยภาครัฐ เป็นผู้กู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อนำร่องให้ภาคเอกชนลงทุนตามไป เพราะฐานะการคลังของไทยยังอยู่ในระดับที่ดี โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ สามารถกู้เงินได้ถึง 600 - 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน์ ประกอบกับปัจจุบันฐานะดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินทุนสำรองของประเทศ อยู่ในสัดส่วนที่สูง ทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด สามารถทำได้ติดต่อกัน 3 ปี แต่ไม่ควรเกินกว่า 2.5% ของผลิตภัณฑ์ประชาชาติ ( จีดีพี )
นอกจากนั้น รัฐบาลควรปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า ตามกลไกตลาด เพื่อชะลอการปรับตัวเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ พร้อมกับเร่งปรับโครงสร้างภาคการผลิต และภาคส่งออก ให้สอดรับไปกับการแข็งค่าของเงินบาทตามไปด้วย เพราะจากการคำนวณผลกระทบระหว่างค่าเงิน และอัตราเงินเฟ้อ PHATRA พบว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% จะช่วยคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับไม่เกิน 4% ได้ และมีส่วนช่วยให้ ธปท.สามารถปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐได้ ผ่านทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ขยายตัวดีขึ้น
อาจารย์เปี๋ยม ยังบอกด้วยว่า ธปท. ควรยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า ในอัตรา 30% เพื่อให้เงินทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะเงินที่จะเข้ามาลงทุนโดยตรงสามารถเข้ามาลงทุนได้ เพราะเงินทุนดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และประเทศไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาเงินทุนต่างชาติ โดยเห็นว่า ธปท.ควรยกเลิกมาตรการทันทีที่เงินบาทแข็งค่าตามกลไกตลาด และเข้าสู่จุดสมดุล ไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียว จนเกิดการเข้ามาเก็งกำไร เนื่องจากเศรษฐกิจเอเชีย กำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ
ขณะที่นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการ และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ออกมาย้ำอีกครั้งว่า อยากให้รัฐบาลใหม่ติดตาม และระมัดระวังกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ อันเนื่องจากจาก FED ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา เพราะอาจเกิดปัญหาการเก็งกำไรระยะสั้น และความไม่สมดุลระหว่างตลาดเงินและตลาดทุนเกิดขึ้น จนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งปัจจุบันมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง ประกอบกับมีความชัดเจนจากปัจจัยการเมืองมากขึ้นเป็นลำดับ จนเชื่อมั่นได้ว่า เศรษฐกิจปีนี้ จะขยายตัวได้ในระดับ 4.5 - 5.0% ซึ่งเอื้อให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ สามารถกำหนดแนวนโยบายที่เสริมสร้างความเชื่อมั่นได้ง่ายขึ้น
และหากเป็นไปได้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อยากให้รัฐบาลใหม่ ร่วมเดินทางไปโรดโชว์ในตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับแนวนโยบายของรัฐบาลให้กับนักลงทุนต่างประเทศได้รับทราบ ตามแผนงานที่กำหนดเอาไว้ปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์สากล เจ้าของนามปากกา ยูเรสโตร ในคอลัมน์ " ถอดรหัสลับดวงดาว " อย่าง ดร.เจษฎา โลหอุ่นจิตร ยังเสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ ทำงานแบบมีทีมเวิร์ค และจริงจัง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมด้วย เพราะหากพิจารณาจากทิศทางของดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ เขาพบว่า หากรัฐบาลไม่ทำงานอย่างโปร่งใส อาจทำให้รัฐบาลผสม 6 พรรค ต้องขาดเสถียรภาพ จนมีอายุการทำงานสั้นเพียงครึ่งปีเท่านั้น และทำให้ปัญหาการเมือง กลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจได้ในทางอ้อม
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Wednesday, January 30, 2008
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ ประเดิมด้วยการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจ ที่ทำงานอย่างจริงจัง มีทีมเวิรค์ จนสามารถผลักดันให้แนวนโยบายต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ แนวนโยบายหลัก ๆ ที่รัฐบาลใหม่ควรจะเร่งดำเนินการ จะเป็นการผลักดันโครงการก่อสร้างทางสาธารณูปโภค การหามาตรการช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันภาคธุรกิจเอกชน ไม่จำกัดเฉพาะผู้ส่งออก หรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เท่านั้น ซึ่งจะมีเอื้อต่อการอุปโภคบริโภคในภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชนลงทุน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา
สำหรับเหตุผลที่ทำให้ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอแนะเช่นนั้น เกิดจากในปีนี้ เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับแรงกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ (Hamburger Crisis) กดดันภาคส่งออก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และความผันผวนของกระแสเงินทุน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องถึงการใช้นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ตามมา
โดยในระยะสั้น ผลกระทบที่จะเกิดกับแนวนโยบายการเงิน จะมาจากการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในสหรัฐ จนทำให้คาดการณ์ว่า ในกลางปีนี้ ทุกฝ่ายน่าจะได้เห็นดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed FundS Rate) อ่อนตัวจาก 4.25% ลงมาเหลือประมาณ 2.0 - 2.5% และกดดันให้ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามไป เพื่อรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศให้อยู่ในกรอบที่แคบ หวังชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นไป จนมีผลต่อเนื่องให้การตัดสินใจผ่อนคลาย หรือยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า ในอัตรา 30% ต้องชะลอเวลาออกไป และกระทบการลงทุนโดยตรง และการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตามมา ในทางอ้อม
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ หรืออาจารย์เปี๋ยม กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ ภัทร (PHATRA) บอกว่า โดยส่วนตัวไม่ให้ความสำคัญกับตัวทีมเศรษฐกิจมากนัก แต่จะให้ความสำคัญกับแนวนโยบายทางเศรษฐกิจมากกว่า เพราะในปีนี้ วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ (Hamburger Crisis) จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้บทบาทของเศรษฐกิจสหรัฐในเวทีโลกลดลง และถูกแทนที่โดยประเทศในเอเชียแทน
" เมอร์ลิน ลินช์ได้ทำวิจัยปัญหาดังกล่าว พบว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐในปีนี้จะลดลงอีก 15% หลังจากที่ราคาลดลงมาแล้ว 7% และในปีหน้าราคาบ้านในสหรัฐจะลดลงอีก 10% ซึ่งเป็นปัญหาหนักที่ทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งต้องประกาศเพิ่มทุนเพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยจะต้องจับตาว่า กองทุนจากสิงคโปร์ หรือ ตะวันออกกลาง จะเข้ามาเป็นผู้เพิ่มทุน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเป็นผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงินต่าง ๆ " อาจารย์เปี๋ยม อธิบาย
อย่างไรก็ตาม พื้นฐานเศรษฐกิจเอเชียที่เข้มแข็ง น่าจะช่วยให้เอเชียสามารถผ่านพ้นปัญหาเศรษฐกิจไปได้ แต่ต้องปรับตัวเอง โดยเฉพาะการลดการผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และปล่อยให้เงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น และหันมาใช้นโยบายการคลังขาดดุลเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม ทดแทนการส่งออก
นอกจากนั้น เขายังฝากให้รัฐบาลใหม่ เร่งกระตุ้นการลงทุน เพราะการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชน ยังถือว่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะในปีที่ผ่านมา การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียง 3 - 4% จากที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ต่ำกว่า 10% โดยภาครัฐ เป็นผู้กู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อนำร่องให้ภาคเอกชนลงทุนตามไป เพราะฐานะการคลังของไทยยังอยู่ในระดับที่ดี โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ สามารถกู้เงินได้ถึง 600 - 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน์ ประกอบกับปัจจุบันฐานะดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินทุนสำรองของประเทศ อยู่ในสัดส่วนที่สูง ทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด สามารถทำได้ติดต่อกัน 3 ปี แต่ไม่ควรเกินกว่า 2.5% ของผลิตภัณฑ์ประชาชาติ ( จีดีพี )
นอกจากนั้น รัฐบาลควรปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า ตามกลไกตลาด เพื่อชะลอการปรับตัวเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ พร้อมกับเร่งปรับโครงสร้างภาคการผลิต และภาคส่งออก ให้สอดรับไปกับการแข็งค่าของเงินบาทตามไปด้วย เพราะจากการคำนวณผลกระทบระหว่างค่าเงิน และอัตราเงินเฟ้อ PHATRA พบว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% จะช่วยคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับไม่เกิน 4% ได้ และมีส่วนช่วยให้ ธปท.สามารถปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐได้ ผ่านทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ขยายตัวดีขึ้น
อาจารย์เปี๋ยม ยังบอกด้วยว่า ธปท. ควรยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า ในอัตรา 30% เพื่อให้เงินทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะเงินที่จะเข้ามาลงทุนโดยตรงสามารถเข้ามาลงทุนได้ เพราะเงินทุนดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และประเทศไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาเงินทุนต่างชาติ โดยเห็นว่า ธปท.ควรยกเลิกมาตรการทันทีที่เงินบาทแข็งค่าตามกลไกตลาด และเข้าสู่จุดสมดุล ไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียว จนเกิดการเข้ามาเก็งกำไร เนื่องจากเศรษฐกิจเอเชีย กำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ
ขณะที่นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการ และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ออกมาย้ำอีกครั้งว่า อยากให้รัฐบาลใหม่ติดตาม และระมัดระวังกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ อันเนื่องจากจาก FED ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา เพราะอาจเกิดปัญหาการเก็งกำไรระยะสั้น และความไม่สมดุลระหว่างตลาดเงินและตลาดทุนเกิดขึ้น จนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งปัจจุบันมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง ประกอบกับมีความชัดเจนจากปัจจัยการเมืองมากขึ้นเป็นลำดับ จนเชื่อมั่นได้ว่า เศรษฐกิจปีนี้ จะขยายตัวได้ในระดับ 4.5 - 5.0% ซึ่งเอื้อให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ สามารถกำหนดแนวนโยบายที่เสริมสร้างความเชื่อมั่นได้ง่ายขึ้น
และหากเป็นไปได้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อยากให้รัฐบาลใหม่ ร่วมเดินทางไปโรดโชว์ในตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับแนวนโยบายของรัฐบาลให้กับนักลงทุนต่างประเทศได้รับทราบ ตามแผนงานที่กำหนดเอาไว้ปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์สากล เจ้าของนามปากกา ยูเรสโตร ในคอลัมน์ " ถอดรหัสลับดวงดาว " อย่าง ดร.เจษฎา โลหอุ่นจิตร ยังเสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ ทำงานแบบมีทีมเวิร์ค และจริงจัง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมด้วย เพราะหากพิจารณาจากทิศทางของดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ เขาพบว่า หากรัฐบาลไม่ทำงานอย่างโปร่งใส อาจทำให้รัฐบาลผสม 6 พรรค ต้องขาดเสถียรภาพ จนมีอายุการทำงานสั้นเพียงครึ่งปีเท่านั้น และทำให้ปัญหาการเมือง กลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจได้ในทางอ้อม
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/01/08
โพสต์ที่ 647
เทงบกู้ศก. ขาดดุลยับ
โพสต์ทูเดย์ ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2551 ดุลการคลังขาดดุลสูง 8.74 แสนล้าน เชื่อดันเศษฐกิจโต 5% ฉลองภพ เตือนข้าราชการควรแจงผลเสียทักษิโณหมัก
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงฐานะการคลังในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.-ธ.ค. 2550) ว่า รัฐบาลขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 8.74 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1.82 หมื่นล้านบาท
นายสมชัย กล่าวว่า การขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นมาก เป็นผลจากการขยายตัวของรายจ่ายรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 38.4% ซึ่งเป็นไปตามเป้าของรัฐบาลในการใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เจริญเติบโต 5.0% ในปี 2551
สำหรับรายได้รวมสุทธิประมาณ 3.28 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.8% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ขณะที่รายจ่ายมีจำนวน 3.91 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08 แสนล้านบาท ขยายตัว 38.4%
ผลจากรายจ่ายที่สูงกว่ารายได้ ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในไตรมาสแรกขาดดุล 6.36 หมื่นล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกินดุลแค่ 2.12 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับดุลบัญชีนอกงบประมาณขาดดุล 2.37 หมื่นล้านบาทเศษ เพราะเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กองทุนหลักประกันสุขภาพ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ส่งผลให้ขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 8.74 หมื่นล้านบาท
เชื่อว่าการเร่งเบิกจ่ายจนทำให้ขาดดุลจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจขยายตัว 5% เพราะมีเม็ดเงินลงไปในระบบ นายสมชัย กล่าว
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ข้าราชการกระทรวงการคลัง จะต้องให้คำปรึกษากับ รมว.คลัง คนใหม่อย่างตรงไปตรงมา และวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียของมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจอย่างถูกต้อง โดยต้องให้ความสำคัญกับการดูแลโครงการในระยะยาว ซึ่งอาจจะไม่ใช่โครงการประชานิยม
การบริหารงานด้านการคลัง การวางรากฐาน หรือสร้างระบบไว้เป็นเรื่องสำคัญ ขณะที่การบริหารงานของนักการเมืองมักเน้นระยะสั้น ดังนั้นข้าราชการต้องเสนอประเด็นเกี่ยวกับการสร้างระบบระยะยาวขึ้นมาถ่วงดุล เพราะถ้าคำนึงประโยชน์เพียงระยะสั้นอย่างเดียว ระบบจะอ่อนแอ และเสี่ยงเกิดปัญหาได้ นายฉลองภพ กล่าว
นายฉลองภพ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรขับเคลื่อนต่อไปคือ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ภาครัฐได้เริ่มการประมูลไปบ้างแล้ว ควรเร่งให้ขับเคลื่อนไปโดยเร็ว และติดตามผลกระทบภาคการส่งออก
ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสร้างอุปสงค์ภายในประเทศ เพื่อรองรับการชะลอตัวของภาคการส่งออกไว้ระดับหนึ่ง ด้วยการกระตุ้นการเบิกจ่ายงบประมาณ ทำให้ไตรมาส แรกมีเงินลงไปในระบบช่วยพยุงเศรษฐกิจ รมว.คลัง กล่าว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร กล่าวว่า ไทยสามารถลดผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ด้วยการกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ จากปัจจุบัน 3-4% ให้ได้ 10% เพื่อทดแทนการส่งออก โดยต้องดำเนินนโยบายแบบขาดดุล และธนาคารแห่งประเทศไทยควรลดอัตราดอกเบี้ยในทิศทางเดียวกับสหรัฐ เพื่อกระตุ้นให้เอกชนระดมทุนเพื่อการลงทุน ปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าตามกลไกตลาด เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อไม่ให้เร่งตัวสูงเกินไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217968
โพสต์ทูเดย์ ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2551 ดุลการคลังขาดดุลสูง 8.74 แสนล้าน เชื่อดันเศษฐกิจโต 5% ฉลองภพ เตือนข้าราชการควรแจงผลเสียทักษิโณหมัก
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงฐานะการคลังในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.-ธ.ค. 2550) ว่า รัฐบาลขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 8.74 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1.82 หมื่นล้านบาท
นายสมชัย กล่าวว่า การขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นมาก เป็นผลจากการขยายตัวของรายจ่ายรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 38.4% ซึ่งเป็นไปตามเป้าของรัฐบาลในการใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เจริญเติบโต 5.0% ในปี 2551
สำหรับรายได้รวมสุทธิประมาณ 3.28 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.8% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ขณะที่รายจ่ายมีจำนวน 3.91 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08 แสนล้านบาท ขยายตัว 38.4%
ผลจากรายจ่ายที่สูงกว่ารายได้ ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในไตรมาสแรกขาดดุล 6.36 หมื่นล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกินดุลแค่ 2.12 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับดุลบัญชีนอกงบประมาณขาดดุล 2.37 หมื่นล้านบาทเศษ เพราะเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กองทุนหลักประกันสุขภาพ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ส่งผลให้ขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 8.74 หมื่นล้านบาท
เชื่อว่าการเร่งเบิกจ่ายจนทำให้ขาดดุลจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจขยายตัว 5% เพราะมีเม็ดเงินลงไปในระบบ นายสมชัย กล่าว
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ข้าราชการกระทรวงการคลัง จะต้องให้คำปรึกษากับ รมว.คลัง คนใหม่อย่างตรงไปตรงมา และวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียของมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจอย่างถูกต้อง โดยต้องให้ความสำคัญกับการดูแลโครงการในระยะยาว ซึ่งอาจจะไม่ใช่โครงการประชานิยม
การบริหารงานด้านการคลัง การวางรากฐาน หรือสร้างระบบไว้เป็นเรื่องสำคัญ ขณะที่การบริหารงานของนักการเมืองมักเน้นระยะสั้น ดังนั้นข้าราชการต้องเสนอประเด็นเกี่ยวกับการสร้างระบบระยะยาวขึ้นมาถ่วงดุล เพราะถ้าคำนึงประโยชน์เพียงระยะสั้นอย่างเดียว ระบบจะอ่อนแอ และเสี่ยงเกิดปัญหาได้ นายฉลองภพ กล่าว
นายฉลองภพ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรขับเคลื่อนต่อไปคือ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ภาครัฐได้เริ่มการประมูลไปบ้างแล้ว ควรเร่งให้ขับเคลื่อนไปโดยเร็ว และติดตามผลกระทบภาคการส่งออก
ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสร้างอุปสงค์ภายในประเทศ เพื่อรองรับการชะลอตัวของภาคการส่งออกไว้ระดับหนึ่ง ด้วยการกระตุ้นการเบิกจ่ายงบประมาณ ทำให้ไตรมาส แรกมีเงินลงไปในระบบช่วยพยุงเศรษฐกิจ รมว.คลัง กล่าว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร กล่าวว่า ไทยสามารถลดผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ด้วยการกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ จากปัจจุบัน 3-4% ให้ได้ 10% เพื่อทดแทนการส่งออก โดยต้องดำเนินนโยบายแบบขาดดุล และธนาคารแห่งประเทศไทยควรลดอัตราดอกเบี้ยในทิศทางเดียวกับสหรัฐ เพื่อกระตุ้นให้เอกชนระดมทุนเพื่อการลงทุน ปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าตามกลไกตลาด เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อไม่ให้เร่งตัวสูงเกินไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217968
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/01/08
โพสต์ที่ 648
คาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 958 จุด
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, January 31, 2008
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมฯได้สำรวจความคิดเห็นบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกทั้ง 21 แห่ง ถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงปลายเดือนมกราคม ธันวาคม 2551 พบว่า การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2551 จะอยู่ที่ 958 จุด ลดลงจากที่สำรวจไว้เดิมเมื่อเดือนพ.ย. 50 ที่คาดการณ์กันไว้ที่ 1,030 จุด โดยมีจุดต่ำสุดของดัชนีปีนี้ที่ 669 จุด
ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแบ่งออกเป็น
1. ปัจจัยบวก ได้แก่ การเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุน ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่และเร่งรัดการใช้จ่าย รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงและอยู่ในระดับต่ำ จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการขยายตัว
2. ปัจจัยลบ คือ ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวและมีแนวโน้มถดถอย ราคาน้ำมันและถ่านหินที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาซับไพร์มที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก การเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองของไทย
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าปัญหา Subprime มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระดับปานกลางเท่านั้น เพราะปัญหา Subprime ไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับไทย แต่มีผลให้เงินทุนไหลออกจากแรงเทขายหุ้นของต่างชาติ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวบางส่วนน่าจะสะท้อนและรับรู้ในตลาดหุ้นแล้ว และเชื่อว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา อีกทั้งการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ลดลง จึงคาดว่าผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงไม่น่าจะมากนัก แต่อาจทำให้การส่งออกเติบโตช้าลงได้ในช่วงต้น
ทั้งนี้ ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจในปี 2551 ที่สำรวจได้ในครั้งนี้คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth พบว่า ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 4.8% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 4.9% ที่สำรวจครั้งที่แล้ว ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 32.2 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.1%
ค่าเฉลี่ย
สำรวจ ณ 28 พย. 50 สำรวจ ณ 29 มค. 51
SET Index
- ณ สิ้นปี 51
1,030 จุด
958 จุด
- จุดต่ำสุดของปี 51
-
669 จุด
รวมทั้งปี 2551
GDP Growth
4.9 %
4.8 %
EPS Growth
18.4 %
18.9 %
ณ สิ้นปี 2551
FOREX Bth:US$ 32.90 บาท 32.20 บาท
ดอกเบี้ย RP 1 วัน 3.4 % 3.1 %
ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 18.9% สูงกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 18.4% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังคงมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ 17% เพราะในปี 2550 ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ตั้งสำรองเอาไว้ล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก และเริ่มเห็นผลชัดเจนในปีนี้ ส่วนกลุ่มเดินเรือที่ลดลงจาก 8.1% มาอยู่ที่ 3.6% ก็เพราะค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ติดลบเพิ่มขึ้นเพราะมองว่า แม้จะเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะผลักดันให้เกิดโครงการเมกะโปรเจ็กต์ขึ้นได้ แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่จะมีการลงมือก่อสร้างจริง
กลุ่มธุรกิจ ค่าเฉลี่ย (%)
สำรวจ ณ 28 พย.50 สำรวจ ณ 29 มค. 51
ธนาคาร 126.4 171.0
อสังหาริมทรัพย์ 16.6 15.1
ปิโตรเคมี 13.8 13.7
พลังงาน 11.2 11.2
เดินเรือ 8.1 3.6
วัสดุก่อสร้าง -3.4 -3.5
กลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนในปีนี้ในสายตานักวิเคราะห์ คือ ธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ เชื่อว่า กลุ่มธนาคารจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ช่วยให้ผลประกอบการเติบโตสูงขึ้น และจากการตั้งสำรองที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนกลุ่มพลังงาน จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ช่วยให้ผลประกอบการแข็งแกร่ง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ
สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ บมจ. บ้านปู (BANPU), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), บมจ. ปตท. (PTT) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) นอกจากนี้ ยังเตือนให้ระมัดระวังในการลงทุนเนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยสำหรับการลงทุนระยะยาว ให้ทยอยสะสมหุ้นเมื่ออ่อนตัวลง เน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี มีเงินปันผลสูง และมีปัจจัยพื้นฐานดี นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก อาจลงทุนระยะสั้นได้ แต่ไม่ควรมากกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูง
มาตรการสำคัญที่นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมประกอบด้วย
1. การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และขนส่งมวลชน
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและนักลงทุน เช่น ผลักดันมาตรการทางด้านลดภาษีบริษัทจดทะเบียนและส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น
3. มาตรการด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยนักวิเคราะห์แนะให้ดำเนินมาตรการสร้างเสถียรภาพให้ค่าเงินบาท และลดการแทรกแซงค่าเงิน
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังเสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง โดยควรมีมาตรการจูงใจให้บริษัท ขนาดใหญ่ พื้นฐานดี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี เป็นต้น รวมถึงเสนอแนะให้มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และรัฐบาลควรส่งเสริมและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อขยายฐานนักลงทุนให้ครอบคลุมถึงกลุ่มใหม่ เช่น ผู้มีเงินออม บริษัทประกัน เป็นต้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, January 31, 2008
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมฯได้สำรวจความคิดเห็นบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกทั้ง 21 แห่ง ถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงปลายเดือนมกราคม ธันวาคม 2551 พบว่า การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2551 จะอยู่ที่ 958 จุด ลดลงจากที่สำรวจไว้เดิมเมื่อเดือนพ.ย. 50 ที่คาดการณ์กันไว้ที่ 1,030 จุด โดยมีจุดต่ำสุดของดัชนีปีนี้ที่ 669 จุด
ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแบ่งออกเป็น
1. ปัจจัยบวก ได้แก่ การเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุน ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่และเร่งรัดการใช้จ่าย รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงและอยู่ในระดับต่ำ จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการขยายตัว
2. ปัจจัยลบ คือ ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวและมีแนวโน้มถดถอย ราคาน้ำมันและถ่านหินที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาซับไพร์มที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก การเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองของไทย
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าปัญหา Subprime มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระดับปานกลางเท่านั้น เพราะปัญหา Subprime ไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับไทย แต่มีผลให้เงินทุนไหลออกจากแรงเทขายหุ้นของต่างชาติ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวบางส่วนน่าจะสะท้อนและรับรู้ในตลาดหุ้นแล้ว และเชื่อว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา อีกทั้งการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ลดลง จึงคาดว่าผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงไม่น่าจะมากนัก แต่อาจทำให้การส่งออกเติบโตช้าลงได้ในช่วงต้น
ทั้งนี้ ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจในปี 2551 ที่สำรวจได้ในครั้งนี้คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth พบว่า ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 4.8% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 4.9% ที่สำรวจครั้งที่แล้ว ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 32.2 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.1%
ค่าเฉลี่ย
สำรวจ ณ 28 พย. 50 สำรวจ ณ 29 มค. 51
SET Index
- ณ สิ้นปี 51
1,030 จุด
958 จุด
- จุดต่ำสุดของปี 51
-
669 จุด
รวมทั้งปี 2551
GDP Growth
4.9 %
4.8 %
EPS Growth
18.4 %
18.9 %
ณ สิ้นปี 2551
FOREX Bth:US$ 32.90 บาท 32.20 บาท
ดอกเบี้ย RP 1 วัน 3.4 % 3.1 %
ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 18.9% สูงกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 18.4% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังคงมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ 17% เพราะในปี 2550 ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ตั้งสำรองเอาไว้ล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก และเริ่มเห็นผลชัดเจนในปีนี้ ส่วนกลุ่มเดินเรือที่ลดลงจาก 8.1% มาอยู่ที่ 3.6% ก็เพราะค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ติดลบเพิ่มขึ้นเพราะมองว่า แม้จะเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะผลักดันให้เกิดโครงการเมกะโปรเจ็กต์ขึ้นได้ แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่จะมีการลงมือก่อสร้างจริง
กลุ่มธุรกิจ ค่าเฉลี่ย (%)
สำรวจ ณ 28 พย.50 สำรวจ ณ 29 มค. 51
ธนาคาร 126.4 171.0
อสังหาริมทรัพย์ 16.6 15.1
ปิโตรเคมี 13.8 13.7
พลังงาน 11.2 11.2
เดินเรือ 8.1 3.6
วัสดุก่อสร้าง -3.4 -3.5
กลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนในปีนี้ในสายตานักวิเคราะห์ คือ ธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ เชื่อว่า กลุ่มธนาคารจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ช่วยให้ผลประกอบการเติบโตสูงขึ้น และจากการตั้งสำรองที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนกลุ่มพลังงาน จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ช่วยให้ผลประกอบการแข็งแกร่ง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ
สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ บมจ. บ้านปู (BANPU), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), บมจ. ปตท. (PTT) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) นอกจากนี้ ยังเตือนให้ระมัดระวังในการลงทุนเนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยสำหรับการลงทุนระยะยาว ให้ทยอยสะสมหุ้นเมื่ออ่อนตัวลง เน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี มีเงินปันผลสูง และมีปัจจัยพื้นฐานดี นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก อาจลงทุนระยะสั้นได้ แต่ไม่ควรมากกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูง
มาตรการสำคัญที่นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมประกอบด้วย
1. การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และขนส่งมวลชน
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและนักลงทุน เช่น ผลักดันมาตรการทางด้านลดภาษีบริษัทจดทะเบียนและส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น
3. มาตรการด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยนักวิเคราะห์แนะให้ดำเนินมาตรการสร้างเสถียรภาพให้ค่าเงินบาท และลดการแทรกแซงค่าเงิน
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังเสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง โดยควรมีมาตรการจูงใจให้บริษัท ขนาดใหญ่ พื้นฐานดี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี เป็นต้น รวมถึงเสนอแนะให้มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และรัฐบาลควรส่งเสริมและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อขยายฐานนักลงทุนให้ครอบคลุมถึงกลุ่มใหม่ เช่น ผู้มีเงินออม บริษัทประกัน เป็นต้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/01/08
โพสต์ที่ 649
เงินฝรั่งจ่อซื้อหุ้น-ลุ้นเฟดลดดอก โดย กระแสหุ้น
"ภัทรียา" ลุ้นเฟดหั่นดอกเบี้ยอีกระลอก หนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย หาผลตอบแทนที่สูงกว่า มั่นใจซับไพร์มกระทบเศรษฐกิจไม่มาก ด้าน "ก้องเกียรติ" ชี้แนวโน้มตลาดปรับตัวดีขึ้น หลังการเมืองเริ่มนิ่ง ฝรั่งรอประเมินสถานการณ์ช่วง Q1 ก่อนเข้าลงทุน ส่วน "ศุภวุฒิ" เผยหุ้นทั่วโลกดิ่งแล้ว 15% แนะลงทุนรอบคอบ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยกำลังรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ซึ่งทราบจะผลวันนี้ (31 ม.ค. ) ว่า จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงเท่าใด เพื่อแก้ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) และเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว หลังจากเฟดลดดอกเบี้ยลง 0.75% ในการประชุมฉุกเฉินครั้งที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงและทำให้เกิดส่วนต่างกับดอกเบี้ยไทยอาจจะมีผลทำให้เงินทุนจากต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ประกอบกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศพร้อมใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ธปท.อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (กนง.) ปลายเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งจะทำให้เงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ก็จะต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมอื่นๆประกอบด้วย
"ตลาดหลักทรัพย์ได้ติดตามการไหลเข้า-ออกของเงินทุนอย่างใกล้ชิด เพราะต้องการให้เกิดความสมดุลในกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามา โดยยอมรับว่ากระแสเงินต่างชาติมีผลทำให้ตลาดเงินตลาดหุ้นและดอกเบี้ยมีความผันผวน ส่วนปัญหาซับไพร์ม คงจะมีผลกระทบต่อไทยไม่มาก เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งและมีการกระจายการส่งออกไปประเทศอื่นนอกจากสหรัฐฯ เช่น อินเดีย และจีน ซึ่งเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศยังเติบโตได้" นางภัทรียา กล่าว
สำหรับปัจจัยในประเทศยังไม่น่ากังวล เพราะแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ในระดับ 4.5-5% แต่ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายด้านเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการได้มากน้อยเพียงใด
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย(สธท.)และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้มีโอกาสที่จะดีขึ้น หลังจากที่ปัจจัยทางการเมืองเริ่มนิ่ง ซึ่งส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงไหน เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ภายในประเทศ ในไตรมาส 1/51 ว่าจะออกมาในทิศทางใด
โดยการพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรที่จะต้องหาเวลาและช่วงจังหวะที่เหมาะสม นอกจากนี้ในปัจจุบันมาตรการกันสำรอง 30% ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยไปแล้ว
ส่วนในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯในรอบนี้ คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ส่วนกลางปี คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงอยู่ที่ระดับ 2-2.50% ขณะเดียวกันแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกยังมีโอกาสลดลงด้วย
นอกจากนี้ หากดูตัวเลขสถิติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวสูงที่สุดเกิน 100% เป็นเวลา 8 ปี และแกว่งตัวอยู่ในช่วง 50-100% เป็นระยะเวลา 6 ปี และต่ำกว่า 50% อีก 6 ปี ยกเว้นปี 2003 ที่ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวเกิน 100%
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปัญหาซับไพร์มได้ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง 15% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย เนื่องจากนักลงทุนเกิดการตื่นตระหนกจึงมีการลดความเสี่ยงโดยรวมจากการลงทุนด้วยการโยกเงินจากตลาดหุ้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
ดังนั้นนักลงทุนควรจะมีการจัดสรรพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง ว่าจะลงทุนในหุ้นกองทุนรวมหรืออื่นๆอย่างไรบ้าง เพราะสิ่งหนึ่งที่จะต้องยอมรับ คือ อัตราผลตอบแทนที่เคยได้ในระดับสูงอาจจะปรับลดลงมาเหลือเพียง 50% ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้เกิดจากความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสืบเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์ม ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน รวมถึงผลกระทบจากนโยบายทางการเงินของไทยเอง
ทั้งนี้ มองว่าในระยะยาวแบงก์ชาติควรยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้า 30% เพื่อเปิดทางให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะเงินลงทุนโดยตรง (FDI) ที่จะไหลเข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีและการบริหารจัดการที่ดีกว่ามาตรฐานของไทย ทั้งนี้ตามที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาและลงทุนไม่ถึง 1 ปีไม่ได้หมายความว่าเป็นเงินลงทุนระยะสั้นเสมอไป แต่บางครั้งนักลงทุนอาจต้องการความยืดหยุ่น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องคงเงินลงทุนไว้ในไทยถึง 1 ปีตามเกณฑ์ 30%
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะยกเลิกมาตรการดังกล่าวได้ ธปท.จะต้องปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด ซึ่งแนวโน้มในขณะนี้เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยการปล่อยให้เคลื่อนไหวเสรีนั้น นักลงทุนจะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเงินบาทจะอ่อนหรือแข็งค่าทำให้เก็งทิศทางค่าเงินได้ยาก ซึ่งจะช่วยลดการเก็งกำไรลงได้
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
"ภัทรียา" ลุ้นเฟดหั่นดอกเบี้ยอีกระลอก หนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย หาผลตอบแทนที่สูงกว่า มั่นใจซับไพร์มกระทบเศรษฐกิจไม่มาก ด้าน "ก้องเกียรติ" ชี้แนวโน้มตลาดปรับตัวดีขึ้น หลังการเมืองเริ่มนิ่ง ฝรั่งรอประเมินสถานการณ์ช่วง Q1 ก่อนเข้าลงทุน ส่วน "ศุภวุฒิ" เผยหุ้นทั่วโลกดิ่งแล้ว 15% แนะลงทุนรอบคอบ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยกำลังรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ซึ่งทราบจะผลวันนี้ (31 ม.ค. ) ว่า จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงเท่าใด เพื่อแก้ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) และเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว หลังจากเฟดลดดอกเบี้ยลง 0.75% ในการประชุมฉุกเฉินครั้งที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงและทำให้เกิดส่วนต่างกับดอกเบี้ยไทยอาจจะมีผลทำให้เงินทุนจากต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ประกอบกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศพร้อมใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ธปท.อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (กนง.) ปลายเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งจะทำให้เงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ก็จะต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมอื่นๆประกอบด้วย
"ตลาดหลักทรัพย์ได้ติดตามการไหลเข้า-ออกของเงินทุนอย่างใกล้ชิด เพราะต้องการให้เกิดความสมดุลในกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามา โดยยอมรับว่ากระแสเงินต่างชาติมีผลทำให้ตลาดเงินตลาดหุ้นและดอกเบี้ยมีความผันผวน ส่วนปัญหาซับไพร์ม คงจะมีผลกระทบต่อไทยไม่มาก เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งและมีการกระจายการส่งออกไปประเทศอื่นนอกจากสหรัฐฯ เช่น อินเดีย และจีน ซึ่งเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศยังเติบโตได้" นางภัทรียา กล่าว
สำหรับปัจจัยในประเทศยังไม่น่ากังวล เพราะแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ในระดับ 4.5-5% แต่ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายด้านเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการได้มากน้อยเพียงใด
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย(สธท.)และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้มีโอกาสที่จะดีขึ้น หลังจากที่ปัจจัยทางการเมืองเริ่มนิ่ง ซึ่งส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงไหน เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ภายในประเทศ ในไตรมาส 1/51 ว่าจะออกมาในทิศทางใด
โดยการพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรที่จะต้องหาเวลาและช่วงจังหวะที่เหมาะสม นอกจากนี้ในปัจจุบันมาตรการกันสำรอง 30% ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยไปแล้ว
ส่วนในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯในรอบนี้ คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ส่วนกลางปี คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงอยู่ที่ระดับ 2-2.50% ขณะเดียวกันแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกยังมีโอกาสลดลงด้วย
นอกจากนี้ หากดูตัวเลขสถิติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวสูงที่สุดเกิน 100% เป็นเวลา 8 ปี และแกว่งตัวอยู่ในช่วง 50-100% เป็นระยะเวลา 6 ปี และต่ำกว่า 50% อีก 6 ปี ยกเว้นปี 2003 ที่ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวเกิน 100%
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปัญหาซับไพร์มได้ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง 15% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย เนื่องจากนักลงทุนเกิดการตื่นตระหนกจึงมีการลดความเสี่ยงโดยรวมจากการลงทุนด้วยการโยกเงินจากตลาดหุ้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
ดังนั้นนักลงทุนควรจะมีการจัดสรรพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง ว่าจะลงทุนในหุ้นกองทุนรวมหรืออื่นๆอย่างไรบ้าง เพราะสิ่งหนึ่งที่จะต้องยอมรับ คือ อัตราผลตอบแทนที่เคยได้ในระดับสูงอาจจะปรับลดลงมาเหลือเพียง 50% ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้เกิดจากความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสืบเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์ม ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน รวมถึงผลกระทบจากนโยบายทางการเงินของไทยเอง
ทั้งนี้ มองว่าในระยะยาวแบงก์ชาติควรยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้า 30% เพื่อเปิดทางให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะเงินลงทุนโดยตรง (FDI) ที่จะไหลเข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีและการบริหารจัดการที่ดีกว่ามาตรฐานของไทย ทั้งนี้ตามที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาและลงทุนไม่ถึง 1 ปีไม่ได้หมายความว่าเป็นเงินลงทุนระยะสั้นเสมอไป แต่บางครั้งนักลงทุนอาจต้องการความยืดหยุ่น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องคงเงินลงทุนไว้ในไทยถึง 1 ปีตามเกณฑ์ 30%
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะยกเลิกมาตรการดังกล่าวได้ ธปท.จะต้องปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด ซึ่งแนวโน้มในขณะนี้เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยการปล่อยให้เคลื่อนไหวเสรีนั้น นักลงทุนจะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเงินบาทจะอ่อนหรือแข็งค่าทำให้เก็งทิศทางค่าเงินได้ยาก ซึ่งจะช่วยลดการเก็งกำไรลงได้
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/02/08
โพสต์ที่ 650
กระทรวงพาณิชย์ยอมรับราคาสินค้าอาจขึ้นอีก หากต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ตรวจสอบราคาก๊าซหุงต้ม น้ำมันปาล์ม และน้ำมันถั่วเหลือง เหล็ก ผลิตภัณฑ์นม แป้งสาลี ซึ่งในส่วนของเหล็ก นม แป้งสาลี มีความจำเป็นที่ผู้ผลิตสินค้าต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตมากกว่า 90% ขณะที่ราคาตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น จึงยอมรับว่ากลุ่มสินค้าเหล่านี้ อาจจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นอีกตามภาวะต้นทุนที่แท้จริง แต่ต้องรอให้ รมว.พาณิชย์คนใหม่พิจารณา
ส่วนกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ต้องอนุมัติให้กลุ่มน้ำมันพืชขยับขึ้นราคา เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนและภาวะตลาดโลกที่หันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ดังนั้น มีโอกาสที่น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มจะปรับราคาเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจากปริมาณผลผลิตปาล์มที่จะออกสู่ตลาดในเดือน มี.ค.นี้ น่าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และเมื่อราคาตลาดโลกไม่เปลี่ยนแปลงมาก ต้นทุนน้ำมันพืชลด ราคาขายปลีกมีโอกาสลงได้ โดยในช่วงนี้ประชาชน อาจไปใช้น้ำมันอื่นแทนก่อน
สำหรับอาหารสำเร็จรูปไม่น่าห่วง เพราะห้างสรรพสินค้าต่างๆรับปากว่า อาหารในฟู้ดคอร์ตจะขายไม่เกินจานละ 30 บาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ตรวจสอบราคาก๊าซหุงต้ม น้ำมันปาล์ม และน้ำมันถั่วเหลือง เหล็ก ผลิตภัณฑ์นม แป้งสาลี ซึ่งในส่วนของเหล็ก นม แป้งสาลี มีความจำเป็นที่ผู้ผลิตสินค้าต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตมากกว่า 90% ขณะที่ราคาตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น จึงยอมรับว่ากลุ่มสินค้าเหล่านี้ อาจจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นอีกตามภาวะต้นทุนที่แท้จริง แต่ต้องรอให้ รมว.พาณิชย์คนใหม่พิจารณา
ส่วนกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ต้องอนุมัติให้กลุ่มน้ำมันพืชขยับขึ้นราคา เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนและภาวะตลาดโลกที่หันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ดังนั้น มีโอกาสที่น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มจะปรับราคาเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจากปริมาณผลผลิตปาล์มที่จะออกสู่ตลาดในเดือน มี.ค.นี้ น่าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และเมื่อราคาตลาดโลกไม่เปลี่ยนแปลงมาก ต้นทุนน้ำมันพืชลด ราคาขายปลีกมีโอกาสลงได้ โดยในช่วงนี้ประชาชน อาจไปใช้น้ำมันอื่นแทนก่อน
สำหรับอาหารสำเร็จรูปไม่น่าห่วง เพราะห้างสรรพสินค้าต่างๆรับปากว่า อาหารในฟู้ดคอร์ตจะขายไม่เกินจานละ 30 บาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/02/08
โพสต์ที่ 651
SCBS เปิดโผหุ้นเด็ดประจำเดือน กพ. STEC+AP+LPN+TTA+PTTAR+KBANK+BANPU
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, February 01, 2008
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ได้ออกงานวิจัยล่าสุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นในเดือนกุมภาพันธ์ โดยระบุว่า เนื่องจากดัชนีตลาดปรับตัวลดลงมาแล้วถึง 11% ตั้งแต่ต้นปีถึงส้นเดือนมกราคม ทำให้ในตอนนี้ตลาดหุ้นไทยดูน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น โดยเทรดที่ PER เพียง 10.8 เท่า ลดลงจากระดับ 11.9 เท่า ในวันที่ 28 ธันวาคมปีที่แล้ว แต่เมื่อประเมินจากพัฒนาการภายในประเทศที่เป็นบวก ทั้งการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และการประกาศนโยบายเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยสำคัญภายในประเทศที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นมาก
ทั้งนี้ SCBS คาดว่าอุปสงค์ภายในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาจากฐานข้อมูลในอดีต ทั้งดัชนีการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ในระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% และ 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวของค่าจ้าง ในไตรมาส 3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.3% ในช่วงครึ่งปีแรกขึ้นมาเป็น 4.4% ประกอบกับเครื่องชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากการเลือกตั้งและแนวโน้มภาพรวมทางนโยบายที่ชัดเจนขึ้น พรรคพลังประชาชน (พปช.) รวมกับพรรคร่วมรัฐบาลอีก 5 พรรคจะมีจำนวนที่นั่ง ส.ส. ในสภาประมาณ 316 คนจาก ส.ส.ทั้งหมด 480 คน กุม ส.ส.ข้างมากในสภา ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าแม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่อีกมาก และมีเสียงรบกวนทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลร่วมชุดนี้อาจจะสามารถยืดหยัดอยู่ได้นานกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้
อย่างไรก็ตาม กับปัจจัยภายนอก โดยเพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนจะต้องให้ความสนใจ และระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้สหรัฐประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะ Fed Funds Rate ลงมา 125 basis ponts ใน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน พร้อมกับปรับลดภาษีให้อเมริกันชน และเบิกจ่ายงบประมาณ ในวงเงิน 1.5 แสนล้านดอลลลาร์สหรัฐ ออกมาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสหรัฐ SCBS ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐไม่อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession) ได้ โดยตลาด น่าจะรับทราบข่าวร้ายออกมาเรื่อย ๆ และมีการลดมูลค่าสินทรัพย์สืบเนื่องจากปัญหาสินเชื่อในสหรัฐเกิดขึ้นให้เห็นอีก ทำให้ตลาดเกิดความผันผวน
แต่เมื่อคาดหมายแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศ SCBS ค่อนข้างมั่นใจว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ จะไม่มีการปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบาย ที่คงเอาไว้ 3.25%
ดังนั้น เมื่อนำเอาสมมติฐานข้างต้นมาใช้ประเมินทิศทางตลาดหลักทรัพย์ ประจำเดือนกุมภาพันธ์นี้ SCBS เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวขึ้นไปยืนได้เหนือ 800 จุด โดยในกรณีที่ไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดัน อาจได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ทะยานได้ถึง 860 จุด แต่ในทางกลับกัน หากมีปัจจัยลบโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดัชนีก็คงปรับฐานลง แต่ไม่น่าหลุด 730 จุด
สำหรับหุ้น Top picks แนะนำซื้อ 5 กลุ่มดังต่อไปนี้
กลุ่มแรก เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากโบรกเกอร์ระดับแนวหน้าหลายแห่ง และทาง SCBS นำเอามาถ่วงน้ำหนักไว้ในตะกร้าหุ้นของบริษัท ให้น้ำหนักกับหุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ STEC AP และ LPN
กลุ่มที่สอง หุ้นวัฏจักร แนะนำ TTA เพราะดัชนีค่าระวางเรือ ปรับตัวลดลง 48% จากจุดสูงสุด จนาราคาหุ้นทรุดตัวลงมาครึ่งหนึ่งจากยอดสูง ทำให้คาดว่า ราคาหุ้นจะดีดตัวขึ้นแรงมาก
กลุ่มที่สาม หุ้นมูลค่าตลาดสูง ( Big caps) แนะนำ PTTAR เพราะ PER ต่ำ เนื่องจากถูกทเขายมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น่าจะผ่านพ้นจุดเลวร้ายที่สุดได้แล้ว
กลุ่มที่สี่ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ แนะนำ KBANK ว่า เป็นตัวเลือกดีที่สุด ที่น่าจะได้รับประโยชน์ในสภาวะที่ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ Valuation น่าดึงดูด
และกลุ่มสุดท้าย หุ้นพลังงานทางเลือก ทั่วโลกเชื่อว่าราคาถ่านหินจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าราคาน้ำมัน ซึ่ง SCBS ก็คิดเช่นนั้นด้วย ดังนั้น BANPU จึงน่าจะปรับตัว Outperform ได้ดีกว่า PTTEP ในระยะสั้น
ในทางกลับกัน SCBS ก็แนะนำให้ขายหุ้นขนาดใหญ่ ที่สร้างความผิดหวังต่อตลาดและมีแนวโน้มปรับตัว Underperform 2 ตัวด้วยกัน คือ SCC และ ADVANC โดย SCC สร้างความผิดหวังเรื่องเงินปันผล เนื่องจากบริษัทประกาศลดการจ่ายเงินปันผลลง 20% ตั้งแต่ปีนี้เป็นไป ทำให้ SCC หมดความน่าดึงดูดในฐานะที่เป็นหุ้นตัวเลือกสำหรับการลงทุนในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
สำหรับ ADVANC เป็นหุ้นที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวช้ากว่าหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มที่มีศักยภาพ แต่ยังขาดความสนใจ (laggard stocks) เพราะราคาหุ้นแกว่งในกรอบแคบ ๆ ระหว่าง 95 - 100 บาท ดังนั้น จึงควรเข้าไปลงทุนหุ้นอื่น ๆ มากกว่า
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, February 01, 2008
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ได้ออกงานวิจัยล่าสุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นในเดือนกุมภาพันธ์ โดยระบุว่า เนื่องจากดัชนีตลาดปรับตัวลดลงมาแล้วถึง 11% ตั้งแต่ต้นปีถึงส้นเดือนมกราคม ทำให้ในตอนนี้ตลาดหุ้นไทยดูน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น โดยเทรดที่ PER เพียง 10.8 เท่า ลดลงจากระดับ 11.9 เท่า ในวันที่ 28 ธันวาคมปีที่แล้ว แต่เมื่อประเมินจากพัฒนาการภายในประเทศที่เป็นบวก ทั้งการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และการประกาศนโยบายเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยสำคัญภายในประเทศที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นมาก
ทั้งนี้ SCBS คาดว่าอุปสงค์ภายในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาจากฐานข้อมูลในอดีต ทั้งดัชนีการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ในระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% และ 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวของค่าจ้าง ในไตรมาส 3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.3% ในช่วงครึ่งปีแรกขึ้นมาเป็น 4.4% ประกอบกับเครื่องชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากการเลือกตั้งและแนวโน้มภาพรวมทางนโยบายที่ชัดเจนขึ้น พรรคพลังประชาชน (พปช.) รวมกับพรรคร่วมรัฐบาลอีก 5 พรรคจะมีจำนวนที่นั่ง ส.ส. ในสภาประมาณ 316 คนจาก ส.ส.ทั้งหมด 480 คน กุม ส.ส.ข้างมากในสภา ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าแม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่อีกมาก และมีเสียงรบกวนทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลร่วมชุดนี้อาจจะสามารถยืดหยัดอยู่ได้นานกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้
อย่างไรก็ตาม กับปัจจัยภายนอก โดยเพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนจะต้องให้ความสนใจ และระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้สหรัฐประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะ Fed Funds Rate ลงมา 125 basis ponts ใน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน พร้อมกับปรับลดภาษีให้อเมริกันชน และเบิกจ่ายงบประมาณ ในวงเงิน 1.5 แสนล้านดอลลลาร์สหรัฐ ออกมาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสหรัฐ SCBS ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐไม่อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession) ได้ โดยตลาด น่าจะรับทราบข่าวร้ายออกมาเรื่อย ๆ และมีการลดมูลค่าสินทรัพย์สืบเนื่องจากปัญหาสินเชื่อในสหรัฐเกิดขึ้นให้เห็นอีก ทำให้ตลาดเกิดความผันผวน
แต่เมื่อคาดหมายแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศ SCBS ค่อนข้างมั่นใจว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ จะไม่มีการปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบาย ที่คงเอาไว้ 3.25%
ดังนั้น เมื่อนำเอาสมมติฐานข้างต้นมาใช้ประเมินทิศทางตลาดหลักทรัพย์ ประจำเดือนกุมภาพันธ์นี้ SCBS เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวขึ้นไปยืนได้เหนือ 800 จุด โดยในกรณีที่ไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดัน อาจได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ทะยานได้ถึง 860 จุด แต่ในทางกลับกัน หากมีปัจจัยลบโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดัชนีก็คงปรับฐานลง แต่ไม่น่าหลุด 730 จุด
สำหรับหุ้น Top picks แนะนำซื้อ 5 กลุ่มดังต่อไปนี้
กลุ่มแรก เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากโบรกเกอร์ระดับแนวหน้าหลายแห่ง และทาง SCBS นำเอามาถ่วงน้ำหนักไว้ในตะกร้าหุ้นของบริษัท ให้น้ำหนักกับหุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ STEC AP และ LPN
กลุ่มที่สอง หุ้นวัฏจักร แนะนำ TTA เพราะดัชนีค่าระวางเรือ ปรับตัวลดลง 48% จากจุดสูงสุด จนาราคาหุ้นทรุดตัวลงมาครึ่งหนึ่งจากยอดสูง ทำให้คาดว่า ราคาหุ้นจะดีดตัวขึ้นแรงมาก
กลุ่มที่สาม หุ้นมูลค่าตลาดสูง ( Big caps) แนะนำ PTTAR เพราะ PER ต่ำ เนื่องจากถูกทเขายมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น่าจะผ่านพ้นจุดเลวร้ายที่สุดได้แล้ว
กลุ่มที่สี่ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ แนะนำ KBANK ว่า เป็นตัวเลือกดีที่สุด ที่น่าจะได้รับประโยชน์ในสภาวะที่ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ Valuation น่าดึงดูด
และกลุ่มสุดท้าย หุ้นพลังงานทางเลือก ทั่วโลกเชื่อว่าราคาถ่านหินจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าราคาน้ำมัน ซึ่ง SCBS ก็คิดเช่นนั้นด้วย ดังนั้น BANPU จึงน่าจะปรับตัว Outperform ได้ดีกว่า PTTEP ในระยะสั้น
ในทางกลับกัน SCBS ก็แนะนำให้ขายหุ้นขนาดใหญ่ ที่สร้างความผิดหวังต่อตลาดและมีแนวโน้มปรับตัว Underperform 2 ตัวด้วยกัน คือ SCC และ ADVANC โดย SCC สร้างความผิดหวังเรื่องเงินปันผล เนื่องจากบริษัทประกาศลดการจ่ายเงินปันผลลง 20% ตั้งแต่ปีนี้เป็นไป ทำให้ SCC หมดความน่าดึงดูดในฐานะที่เป็นหุ้นตัวเลือกสำหรับการลงทุนในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
สำหรับ ADVANC เป็นหุ้นที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวช้ากว่าหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มที่มีศักยภาพ แต่ยังขาดความสนใจ (laggard stocks) เพราะราคาหุ้นแกว่งในกรอบแคบ ๆ ระหว่าง 95 - 100 บาท ดังนั้น จึงควรเข้าไปลงทุนหุ้นอื่น ๆ มากกว่า
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/02/08
โพสต์ที่ 652
เงินเฟ้อมกราคม พุ่ง 4.3% ตามการปรับขึ้นราคาสินค้า+ราคาน้ำมัน แต่พาณิชย์ เชื่อทั้งปีไม่หลุดเป้า 3.5%
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, February 01, 2008
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ หรือดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (Inflation) ประจำเดือนมกราคม ว่า อยู่ที่ 119.9 จุด ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนธันวาคมก่อนหน้า 0.8% แต่ทะยานตัวขึ้นมาจากช่วงเดียวกันปีก่อน 4.3% ซึ่งก็มีผลจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม
โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ปรับตัวสูงขึ้น 4.8% เนื่องจากการปรับตัวของราคาอาหารเกือบทุกชนิด นำโดยผักและผลไม้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ผักเสียหาย ทำให้ราคาขายพุ่งขึ้นถึง 9.6% รองลงไปเป็นราคาเนื้อเป็ด ไก่ อีก 11.2% และอาหารประเภทแปรรูปต่าง ๆ นับรวมอาหารสำเร็จรูป เช่น ผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลทราย เนยสด กาแฟ ด้วย เพราะมีการปรับราคาขึ้น 8.4%
สำหรับหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 3.9% จากการสูงขึ้นของดัชนีน้ำมันเชื้อเพลิง 28.0% ส่งผลให้ค่าโดยสารสาธารณะสูงขึ้น 2.3% นอกจากนี้ อัตราค่าบริการในหมวดการบันเทิงการอ่านและการศึกษา กับหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ก็ปรับสูงขึ้นเช่นกัน ในอัตรา 1.4% และ 3.0% ตามลำดับ
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ (Core Inflation - CPI) ซึ่งคำนวณจากรายการสินค้าและบริการ 266 รายการ คือ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศที่หักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสด และกลุ่มพลังงานจำนวน 107 รายการ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวเลขล่าสุดในเดือนมกราคม อยู่ที่ 106.4 จุด สูงขึ้นจากเดือนธันวาคมก่อนหน้า 0.1% แต่ทะยานตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน ถึง 1.2% โดยมีสาเหตุจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าเครื่องประกอบอาหาร ค่าโดยสารเรือ อุปกรณ์รถยนต์ และค่าบริการบำรุงรักษารถยนต์
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ยังเชื่อมั่นว่า แม้เงินเฟ้อในเดือนมกราคมจะปรับตัวขึ้นสูง แต่ทั้งปี จะสามารถดูแลให้เงินเฟ้อขยายตัวในกรอบระหว่าง 3.0 - 3.5% ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, February 01, 2008
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ หรือดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (Inflation) ประจำเดือนมกราคม ว่า อยู่ที่ 119.9 จุด ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนธันวาคมก่อนหน้า 0.8% แต่ทะยานตัวขึ้นมาจากช่วงเดียวกันปีก่อน 4.3% ซึ่งก็มีผลจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม
โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ปรับตัวสูงขึ้น 4.8% เนื่องจากการปรับตัวของราคาอาหารเกือบทุกชนิด นำโดยผักและผลไม้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ผักเสียหาย ทำให้ราคาขายพุ่งขึ้นถึง 9.6% รองลงไปเป็นราคาเนื้อเป็ด ไก่ อีก 11.2% และอาหารประเภทแปรรูปต่าง ๆ นับรวมอาหารสำเร็จรูป เช่น ผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลทราย เนยสด กาแฟ ด้วย เพราะมีการปรับราคาขึ้น 8.4%
สำหรับหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 3.9% จากการสูงขึ้นของดัชนีน้ำมันเชื้อเพลิง 28.0% ส่งผลให้ค่าโดยสารสาธารณะสูงขึ้น 2.3% นอกจากนี้ อัตราค่าบริการในหมวดการบันเทิงการอ่านและการศึกษา กับหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ก็ปรับสูงขึ้นเช่นกัน ในอัตรา 1.4% และ 3.0% ตามลำดับ
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ (Core Inflation - CPI) ซึ่งคำนวณจากรายการสินค้าและบริการ 266 รายการ คือ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศที่หักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสด และกลุ่มพลังงานจำนวน 107 รายการ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวเลขล่าสุดในเดือนมกราคม อยู่ที่ 106.4 จุด สูงขึ้นจากเดือนธันวาคมก่อนหน้า 0.1% แต่ทะยานตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน ถึง 1.2% โดยมีสาเหตุจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าเครื่องประกอบอาหาร ค่าโดยสารเรือ อุปกรณ์รถยนต์ และค่าบริการบำรุงรักษารถยนต์
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ยังเชื่อมั่นว่า แม้เงินเฟ้อในเดือนมกราคมจะปรับตัวขึ้นสูง แต่ทั้งปี จะสามารถดูแลให้เงินเฟ้อขยายตัวในกรอบระหว่าง 3.0 - 3.5% ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/02/08
โพสต์ที่ 653
PHATRA มั่นใจ ถึงเวลาหุ้นไทยขาขึ้นสั้น ๆ แนะเก็บ ADVANC+BBL+CPN+ KTB+LH+MINT+PTT+QH+TOP
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, February 01, 2008
Phatra Securities new research yesterday explained that rSET to rally 100-150 points within the next three months after the past two years, as foreign investors have determined the direction and the level of the SET Index.
Since July, they have sold Bt112 bn (US$3.3 bn) of Thai equities. This is equivalent in value to everything they had accumulated over the previous two years.
Since July the SET Index has fallen by 16%. Following August 2004 (the previous period of foreign selling) equities rose by 19%. A repeat would take us back to the range of 850-900 on the SET Index
Bears may argue that foreign investors still own approximately US$5 bn more of Thai equities than they did five years ago; couldn?t they keep selling? We think it is unlikely for two reasons
1) Merrill Lynch?s strong view that we remain in a secular bull market for EMs; and 2) our own view that Thailand is poised to enter a new multi-year investment cycle. And we argued it is the investment component of growth which determines the relative equity performance between countries.
In this report, we feature analysis into the characteristics of outperforming stocksunder different market conditions. In a rising market, they can be summarized as follows: high beta, liquid, high foreign ownership, prima facie expensive on both PER and PBV ratios and low yield. In a falling market, it is conspicuous that there is negligible difference in performance based on growth or value matrices.
Rather, outperformance was simply a function of beta, liquidity and dividend yield.
Using this analysis, we constructed a model to explain equity performance during the rising market of Jan-July 2007. We believe we show this model generates significant outperformance. We tested our 10 preferred companies against our model. Five scored four stars or above: MINT, ADVANC, BBL, CPN and LH.
The remaining companies scored three stars. Average expected total return for our preferred list is 53% and we recommend it to clients again. The full list of companies is ADVANC, BBL, CPN, KTB, LH, MINT, PTT, QH, ROJANA and TOP.
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, February 01, 2008
Phatra Securities new research yesterday explained that rSET to rally 100-150 points within the next three months after the past two years, as foreign investors have determined the direction and the level of the SET Index.
Since July, they have sold Bt112 bn (US$3.3 bn) of Thai equities. This is equivalent in value to everything they had accumulated over the previous two years.
Since July the SET Index has fallen by 16%. Following August 2004 (the previous period of foreign selling) equities rose by 19%. A repeat would take us back to the range of 850-900 on the SET Index
Bears may argue that foreign investors still own approximately US$5 bn more of Thai equities than they did five years ago; couldn?t they keep selling? We think it is unlikely for two reasons
1) Merrill Lynch?s strong view that we remain in a secular bull market for EMs; and 2) our own view that Thailand is poised to enter a new multi-year investment cycle. And we argued it is the investment component of growth which determines the relative equity performance between countries.
In this report, we feature analysis into the characteristics of outperforming stocksunder different market conditions. In a rising market, they can be summarized as follows: high beta, liquid, high foreign ownership, prima facie expensive on both PER and PBV ratios and low yield. In a falling market, it is conspicuous that there is negligible difference in performance based on growth or value matrices.
Rather, outperformance was simply a function of beta, liquidity and dividend yield.
Using this analysis, we constructed a model to explain equity performance during the rising market of Jan-July 2007. We believe we show this model generates significant outperformance. We tested our 10 preferred companies against our model. Five scored four stars or above: MINT, ADVANC, BBL, CPN and LH.
The remaining companies scored three stars. Average expected total return for our preferred list is 53% and we recommend it to clients again. The full list of companies is ADVANC, BBL, CPN, KTB, LH, MINT, PTT, QH, ROJANA and TOP.
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 654
โบรกจัดพอร์ตหุ้นรับตรุษจีน UEC -TRC ,UMS-DEMCOเข้าวิน
ทันหุ้น-โบรกรวมตัวในงานเสวนาจัดพอร์ตหุ้นต้อนรับตรุษจีน ครั้งที่2
ทันหุ้น-โบรกรวมตัวในงานเสวนาจัดพอร์ตหุ้นต้อนรับตรุษจีน ครั้งที่2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 655
4เซียนแจก หุ้นในดวงใจ ลงทุนปี51
โพสต์ทูเดย์ 4 นักวิเคราะห์ ให้สุดยอดหุ้นเด็ดต้องลงทุนปี 2551 ยก PTTEP, UEC, MINT และ BEC
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวในงาน ฟันธงหุ้นเด่นปี51 ว่า มองบริษัท บีอีซี เวิลด์ (BEC) เป็นหุ้นเด่น เพราะจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว ความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืน และกรณีไอทีวีน่าจะส่งผลดีให้โฆษณาช่อง 3 เพิ่มขึ้น เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติชื่นชอบ ขณะนี้สัดส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) สูงถึง 18-19 เท่า แต่ยังมีโอกาสขึ้นได้อีก
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ปี 2551 กำไรสุทธิของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) จะสูงเป็นประวัติการณ์ ราคาหุ้นน่าจะสะท้อนปัจจัยนี้ ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวและอาหารสามารถผลักภาระต้นทุนให้กับผู้บริโภคได้ และได้ประโยชน์จากการกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวของรัฐบาลชุดนี้
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวว่า เหตุที่สนใจบริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง (UEC) เพราะธุรกิจเข้าใจง่าย มองการเติบโต 3-4 ปีข้างหน้าได้ชัด มีบริษัท ปตท.(PTT) และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เป็นลูกค้า
นายพงศ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ชอบบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เพราะเหมาะสำหรับการลงทุน และเล่นเก็งกำไรในตัวเดียวกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218711
โพสต์ทูเดย์ 4 นักวิเคราะห์ ให้สุดยอดหุ้นเด็ดต้องลงทุนปี 2551 ยก PTTEP, UEC, MINT และ BEC
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวในงาน ฟันธงหุ้นเด่นปี51 ว่า มองบริษัท บีอีซี เวิลด์ (BEC) เป็นหุ้นเด่น เพราะจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว ความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืน และกรณีไอทีวีน่าจะส่งผลดีให้โฆษณาช่อง 3 เพิ่มขึ้น เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติชื่นชอบ ขณะนี้สัดส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) สูงถึง 18-19 เท่า แต่ยังมีโอกาสขึ้นได้อีก
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ปี 2551 กำไรสุทธิของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) จะสูงเป็นประวัติการณ์ ราคาหุ้นน่าจะสะท้อนปัจจัยนี้ ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวและอาหารสามารถผลักภาระต้นทุนให้กับผู้บริโภคได้ และได้ประโยชน์จากการกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวของรัฐบาลชุดนี้
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวว่า เหตุที่สนใจบริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง (UEC) เพราะธุรกิจเข้าใจง่าย มองการเติบโต 3-4 ปีข้างหน้าได้ชัด มีบริษัท ปตท.(PTT) และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เป็นลูกค้า
นายพงศ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ชอบบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เพราะเหมาะสำหรับการลงทุน และเล่นเก็งกำไรในตัวเดียวกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218711
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 656
กกร.แนะลดภาษี-อัดเงินเข้าระบบ 8 หมื่นล.อุดรูรั่ว ศก.ยอมรับภาคส่งออกโคม่า
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 กุมภาพันธ์ 2551 17:17 น.
กกร.เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ เสนอทางแกปัญหา ศก.ชะลอตัว และปัญหาค่าเงินบาท แนะลดภาษีเงินได้-พร้อมอัดงบ 8 หมื่นล้าน กระตุ้นกำลังซื้อ ชดเชยภาคการส่งออก ที่คาดว่า จะทรุดหนัก
วันนี้ (4 ก.พ.) นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผลักดันให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่ พร้อมเร่งฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศ เพื่อทดแทนการส่งออกที่คาดว่าจะชะลอตัวในปีนี้ และดูแลค่าเงินบาทให้เกิดเสถียรภาพ โดยสนับสนุนให้มีการใช้งบประมาณขาดดุลเพิ่มอีก 8 หมื่นล้านบาท ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายประมนต์ ระบุว่า ที่ประชุม กกร.มีความเห็นร่วมกันว่า เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลที่ออกมาในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากนโยบายที่ออกมาเป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้น้อย ไม่สร้างภาระเพิ่ม และไม่เสียวินัยทางการเงินก็นับว่าเป็นนโยบายที่ดี
โดยในส่วนของสภาหอการค้า เตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป กระตุ้นการลงทุนทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ รวมถึงเร่งสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพื่อให้ฟื้นตัวโดยเร็ว ทดแทนการส่งออกที่คาดว่าในปีนี้จะชะลอตัวจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และปัญหาซับไพรม์ที่มีความยืดเยื้อ
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเพิ่มบประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมูลค่าดังกล่าวจะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5-1.0% โดยเพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อย ด้วยการปรับลดภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท และอีก 4 หมื่นล้านบาท อัดฉีดกำลังซื้อตอบสนองกลุ่มรากหญ้า ที่กำลังหิวโหยทั่วประเทศ
ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% นั้น นายประมนต์ กล่าวว่า เอกชนต้องการให้เงินบาทมีเสถียรภาพ หากแข็งค่าก็ควรอยู่ในระดับเดียวกับภูมิภาค หากมีความจำเป็นต้องยกเลิกก็ควรจะต้องเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรเป็นช่วงครึ่งปีหลัง และน่าจะมีมาตรการอื่นเข้ามารองรับเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวน ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร.กล่าวว่า ได้มอบหมายให้แต่ละภาคส่วนกลับไปรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลใหม่
ส.อ.ท.เตรียมเสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เนื่องจากเป็นห่วงผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยต้องการให้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านและคู่แข่งเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้
นอกจากนี้ยังต้องการให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ยังคงมีอยู่ต่อไปทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อจะได้มีการเจรจาหารือกันเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย บอกว่า ต้องการให้รัฐบาลช่วยลดขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจการเงิน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000014348
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 กุมภาพันธ์ 2551 17:17 น.
กกร.เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ เสนอทางแกปัญหา ศก.ชะลอตัว และปัญหาค่าเงินบาท แนะลดภาษีเงินได้-พร้อมอัดงบ 8 หมื่นล้าน กระตุ้นกำลังซื้อ ชดเชยภาคการส่งออก ที่คาดว่า จะทรุดหนัก
วันนี้ (4 ก.พ.) นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผลักดันให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่ พร้อมเร่งฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศ เพื่อทดแทนการส่งออกที่คาดว่าจะชะลอตัวในปีนี้ และดูแลค่าเงินบาทให้เกิดเสถียรภาพ โดยสนับสนุนให้มีการใช้งบประมาณขาดดุลเพิ่มอีก 8 หมื่นล้านบาท ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายประมนต์ ระบุว่า ที่ประชุม กกร.มีความเห็นร่วมกันว่า เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลที่ออกมาในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากนโยบายที่ออกมาเป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้น้อย ไม่สร้างภาระเพิ่ม และไม่เสียวินัยทางการเงินก็นับว่าเป็นนโยบายที่ดี
โดยในส่วนของสภาหอการค้า เตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป กระตุ้นการลงทุนทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ รวมถึงเร่งสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพื่อให้ฟื้นตัวโดยเร็ว ทดแทนการส่งออกที่คาดว่าในปีนี้จะชะลอตัวจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และปัญหาซับไพรม์ที่มีความยืดเยื้อ
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเพิ่มบประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมูลค่าดังกล่าวจะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5-1.0% โดยเพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อย ด้วยการปรับลดภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท และอีก 4 หมื่นล้านบาท อัดฉีดกำลังซื้อตอบสนองกลุ่มรากหญ้า ที่กำลังหิวโหยทั่วประเทศ
ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% นั้น นายประมนต์ กล่าวว่า เอกชนต้องการให้เงินบาทมีเสถียรภาพ หากแข็งค่าก็ควรอยู่ในระดับเดียวกับภูมิภาค หากมีความจำเป็นต้องยกเลิกก็ควรจะต้องเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรเป็นช่วงครึ่งปีหลัง และน่าจะมีมาตรการอื่นเข้ามารองรับเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวน ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร.กล่าวว่า ได้มอบหมายให้แต่ละภาคส่วนกลับไปรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลใหม่
ส.อ.ท.เตรียมเสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เนื่องจากเป็นห่วงผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยต้องการให้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านและคู่แข่งเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้
นอกจากนี้ยังต้องการให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ยังคงมีอยู่ต่อไปทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อจะได้มีการเจรจาหารือกันเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย บอกว่า ต้องการให้รัฐบาลช่วยลดขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจการเงิน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000014348
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 657
สศค.แนะธปท.ลดดบ.ลงอีก 0.25%
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เชื่อว่า ธปท.จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อย 0.25% เพื่อป้องกันไม่ให้เงินทุนไหลเข้ามากินส่วนต่างของดอกเบี้ยในไทยมากเกินไป นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของ ธปท.ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ ธปท.ไม่สามารถมีช่องทางการบริหารจัดการเงินได้คล่องตัวมากขึ้น โดยคาดกันว่า กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการประมาณกลางปี 2551 จึงทำให้ ธปท.มีข้อจำกัดในการบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น
นายโชติชัยกล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกพันธบัตร ธปท.จำนวนกว่า 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อนำไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป จึงทำให้ ธปท.มีเครื่องมือที่ค่อนข้างจำกัดในการบริหารค่าเงินบาท และ ธปท.ยังเหลือวงเงินอีกประมาณ 100,000 ล้านบาทที่จะสามารถออกพันธบัตร เพื่อดูแลค่าเงินบาทจากที่ได้ขอวงเงินจากกระทรวงการคลังไว้จำนวน 2 ล้านล้านบาท
ที่ผ่านมา ธปท.ออกพันธบัตรจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นการกู้เงินจากตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) จำนวน 445,000 ล้านบาท และอีก 1.45 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกและธุรกิจ ซึ่ง ธปท.อาจต้องเลือกใช้การบริหารค่าเงินบาทด้วยการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (สวอป) แทน เพื่อดูแลไม่ให้ค่าเงินแข็งค่ามากเกินไป โดยล่าสุด ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศมีสูงถึง 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.98 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจำนวน 90,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มีภาระสวอปอีกประมาณ 23,600 ล้านดอลลาร์
จากปัจจัยแวดล้อมดังกล่าว ธปท.คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ต้องตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25 % ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ แม้ว่าจะเป็นทิศทางที่ตลาดรับรู้อยู่แล้วก็ตาม ซึ่งถือว่าน่าห่วง เพราะเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างล่าช้าและอาจส่งผลทางจิตวิทยาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แม้ว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังอยู่ในเป้าหมาย แต่เงินเฟ้อทั่วไปได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐถึง 1.25% ในช่วง 8 วัน ย่อมมีผลให้เงินทุนไหลเข้าไทยแน่นอน และมีแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่จะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหนต้องขึ้นกับปริมาณเงินทุนไหลเข้าว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ซึ่ง สศค.มองว่าสภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ การบริโภคและการลงทุนยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ ธปท. จะปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีกจากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.25 % เพราะไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ควรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 3 % ซึ่งหาก ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยก็ควรทำทันที
เอกชนแนะตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่ ว่า ในภาพรวมรัฐมนตรีเศรษฐกิจบางคนไม่เป็นที่คุ้นเคยของภาคเอกชน คงต้องให้ทำงานก่อนที่จะให้ความเห็น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้มีโอกาสทำงานได้มาก เพราะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทั้ง 2 คน คือ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ต้องดูแลการทำงานของทีมเศรษฐกิจให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้งานเดินหน้าไปได้เร็ว
โดยเชื่อว่านายแพทย์สุรพงษ์ ในฐานะที่ดูแลเศรษฐกิจมหภาค คงจะมีทีมที่ปรึกษาที่มีความรู้ความชำนาญ เกี่ยวกับนโยบายการเงินการคลังเพื่อมาวิเคราะห์แนวทางการทำงานในเชิงลึก ซึ่งถือว่ามีความจำเป็น เพราะถ้าประกาศชื่อทีมที่ปรึกษา ที่มีความน่าเชื่อถือแล้ว จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจไทยและต่างประเทศ และกระทรวงการคลังถือเป็นกระทรวงสำคัญ จึงจำเป็นต้องหาที่ปรึกษาที่ชำนาญ
นายสันติกล่าวว่า สำหรับการทำงานของนายมิ่งขวัญ ที่คาดว่าจะรับผิดชอบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะข้าราชการประจำกระทรวงพาณิชย์ สามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว โดยดูจากปี 2549 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภาต้นปีและมีรัฐประหารปลายปี แต่กระทรวงพาณิชย์ก็สามารถผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ เพียงแต่ตัวรัฐมนตรีอาจจะต้องมาทำหน้าที่ เป็นผู้นำคณะการเจรจาการค้าระหว่างประเทศซึ่งฝ่ายการเมืองต้องเข้ามาทำ
หอการค้าเตือนครม.ใหม่อย่ากิน "เกาเหลา"
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่ารายชื่อครม.เศรษฐกิจที่เปิดเผยออกมา พิจารณาแล้วไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จึงตอบได้ยากว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนได้มากหรือน้อย นายแพทย์สุรพงษ์จะเข้ามาทำหน้าที่ เหมือนเป็นซีอีโอของบริษัท ซึ่งต้องมีความตั้งใจในการทำงานและอาจจะไม่ต้องรู้เรื่องเทคนิคทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องรู้ว่าดำเนินการใดไปแล้ว จะเกิดผลอย่างไรตามมา รวมทั้งต้องดูแลทีมเศรษฐกิจ ไม่ให้เกิดปัญหาเกาเหลากันเอง เพราะมาจากหลายพรรค นอกจากนี้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะต้องดึงคนที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาค มาเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้รัฐบาลทำงานด้วยความมั่นใจมากขึ้น
ทั้งนี้ คงต้องรอดูนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงกับรัฐสภาก่อนจึงจะรู้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนหรือไม่ โดยก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาควรมีการหารือกับภาคเอกชนเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยอาจจะหารือกับภาคเอกชนในนามของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยหอการค้าไทย ส.อ.ท. และสมาคมธนาคารไทย เพื่อฟังความคิดเห็นนโยบายเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาและทางออกของเศรษฐกิจ
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่าหลังเดือนเม.ย. รัฐบาลควรมีผลงานที่ฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งนโยบายที่เพิ่มรายได้ให้ประชาชนให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพจากปัญหาสินค้าราคาแพง
โบรกฯยังให้เวลารมว.คลังคนใหม่
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโฉมหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่า ยังไม่อยากให้มองข้ามความสามารถของ นายแพทย์สุรพงษ์ ซึ่งรวมไปถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย เพราะรัฐบาลก่อนหน้านี้ก็มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่หลายท่านที่มารับตำแหน่งทั้งที่ไม่มีชื่อเสียงในวงการมาก่อน แต่ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ได้ลองทำงานดูก่อน
แนะดึงคนตลาดทุนร่วมทีมปรึกษา
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวก็อยากให้ นายแพทย์สุรพงษ์ มีทีมที่ปรึกษามากๆ และต้องเป็นทีมที่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อย่างครบถ้วน
นอกจากนี้อยากแนะนำให้ทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ดึงผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากแวดวงตลาดทุนเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาด้วย เพราะประโยชน์แท้จริงของระบบตลาดทุนต่อภาพรวมเศรษฐกิจถือว่ามีความสัมพันธ์กันมาก โดยตลาดทุนถือเป็นแหล่งที่ใช้ระดมทุนของภาคธุรกิจในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้
เสนอลดดอกเบี้ยกระตุ้นดีมานด์
นายประสงค์ เอาฬาร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และประธานคณะกรรมการ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าไม่อยากแสดงความเห็นเรื่องตัวรัฐมนตรีใหม่ แต่หวังว่าผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งจะมีความเข้าใจปัญหาของประเทศที่กำลังเผชิญอยู่
สำหรับปัจจัยลบที่อาจจะมีผลต่อตลาดอสังหาฯนั้น เชื่อว่า ความรุนแรงจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อน่าจะลดลง เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจหรือปัญหาการผลิตน้อยกว่าความต้องการ (ดีมานด์) จนส่งผลให้ราคาสินค้ามีการปรับตัวสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับขึ้น เกิดจากต้นทุนราคาน้ำมัน และคาดว่าในปี 2551 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
เร่งอัดฉีดงบกระตุ้นท่องเที่ยว
นายชนินทธ์ โทณวณิก นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า ถึงแม้ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้ง ไม่มีประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวโดยตรงก็อาจไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากรมต.อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษางานประมาณ 3-6 เดือน แต่ในภาวะเร่งด่วน การเรียนรู้งานอาจต้องปรับตัวให้เร็วขึ้น เช่นต้องดำเนินการให้ได้ภายใน 1-2 เดือน
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเป็นองค์กรด้านการตลาดท่องเที่ยว อาจจะขาดงบประมาณเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้ปรับตัวไม่ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปมากในปัจจุบัน ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่จึงจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ ทั้งเพื่อการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว และเพื่อปัดฝุ่นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น พื้นที่จัดแสดงพืชสวนโลก และสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี เพื่อให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เชื่อว่า ธปท.จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อย 0.25% เพื่อป้องกันไม่ให้เงินทุนไหลเข้ามากินส่วนต่างของดอกเบี้ยในไทยมากเกินไป นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของ ธปท.ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ ธปท.ไม่สามารถมีช่องทางการบริหารจัดการเงินได้คล่องตัวมากขึ้น โดยคาดกันว่า กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการประมาณกลางปี 2551 จึงทำให้ ธปท.มีข้อจำกัดในการบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น
นายโชติชัยกล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกพันธบัตร ธปท.จำนวนกว่า 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อนำไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป จึงทำให้ ธปท.มีเครื่องมือที่ค่อนข้างจำกัดในการบริหารค่าเงินบาท และ ธปท.ยังเหลือวงเงินอีกประมาณ 100,000 ล้านบาทที่จะสามารถออกพันธบัตร เพื่อดูแลค่าเงินบาทจากที่ได้ขอวงเงินจากกระทรวงการคลังไว้จำนวน 2 ล้านล้านบาท
ที่ผ่านมา ธปท.ออกพันธบัตรจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นการกู้เงินจากตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) จำนวน 445,000 ล้านบาท และอีก 1.45 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกและธุรกิจ ซึ่ง ธปท.อาจต้องเลือกใช้การบริหารค่าเงินบาทด้วยการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (สวอป) แทน เพื่อดูแลไม่ให้ค่าเงินแข็งค่ามากเกินไป โดยล่าสุด ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศมีสูงถึง 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.98 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจำนวน 90,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มีภาระสวอปอีกประมาณ 23,600 ล้านดอลลาร์
จากปัจจัยแวดล้อมดังกล่าว ธปท.คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ต้องตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25 % ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ แม้ว่าจะเป็นทิศทางที่ตลาดรับรู้อยู่แล้วก็ตาม ซึ่งถือว่าน่าห่วง เพราะเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างล่าช้าและอาจส่งผลทางจิตวิทยาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แม้ว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังอยู่ในเป้าหมาย แต่เงินเฟ้อทั่วไปได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐถึง 1.25% ในช่วง 8 วัน ย่อมมีผลให้เงินทุนไหลเข้าไทยแน่นอน และมีแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่จะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหนต้องขึ้นกับปริมาณเงินทุนไหลเข้าว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ซึ่ง สศค.มองว่าสภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ การบริโภคและการลงทุนยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ ธปท. จะปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีกจากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.25 % เพราะไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ควรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 3 % ซึ่งหาก ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยก็ควรทำทันที
เอกชนแนะตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่ ว่า ในภาพรวมรัฐมนตรีเศรษฐกิจบางคนไม่เป็นที่คุ้นเคยของภาคเอกชน คงต้องให้ทำงานก่อนที่จะให้ความเห็น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้มีโอกาสทำงานได้มาก เพราะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทั้ง 2 คน คือ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ต้องดูแลการทำงานของทีมเศรษฐกิจให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้งานเดินหน้าไปได้เร็ว
โดยเชื่อว่านายแพทย์สุรพงษ์ ในฐานะที่ดูแลเศรษฐกิจมหภาค คงจะมีทีมที่ปรึกษาที่มีความรู้ความชำนาญ เกี่ยวกับนโยบายการเงินการคลังเพื่อมาวิเคราะห์แนวทางการทำงานในเชิงลึก ซึ่งถือว่ามีความจำเป็น เพราะถ้าประกาศชื่อทีมที่ปรึกษา ที่มีความน่าเชื่อถือแล้ว จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจไทยและต่างประเทศ และกระทรวงการคลังถือเป็นกระทรวงสำคัญ จึงจำเป็นต้องหาที่ปรึกษาที่ชำนาญ
นายสันติกล่าวว่า สำหรับการทำงานของนายมิ่งขวัญ ที่คาดว่าจะรับผิดชอบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะข้าราชการประจำกระทรวงพาณิชย์ สามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว โดยดูจากปี 2549 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภาต้นปีและมีรัฐประหารปลายปี แต่กระทรวงพาณิชย์ก็สามารถผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ เพียงแต่ตัวรัฐมนตรีอาจจะต้องมาทำหน้าที่ เป็นผู้นำคณะการเจรจาการค้าระหว่างประเทศซึ่งฝ่ายการเมืองต้องเข้ามาทำ
หอการค้าเตือนครม.ใหม่อย่ากิน "เกาเหลา"
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่ารายชื่อครม.เศรษฐกิจที่เปิดเผยออกมา พิจารณาแล้วไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จึงตอบได้ยากว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนได้มากหรือน้อย นายแพทย์สุรพงษ์จะเข้ามาทำหน้าที่ เหมือนเป็นซีอีโอของบริษัท ซึ่งต้องมีความตั้งใจในการทำงานและอาจจะไม่ต้องรู้เรื่องเทคนิคทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องรู้ว่าดำเนินการใดไปแล้ว จะเกิดผลอย่างไรตามมา รวมทั้งต้องดูแลทีมเศรษฐกิจ ไม่ให้เกิดปัญหาเกาเหลากันเอง เพราะมาจากหลายพรรค นอกจากนี้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะต้องดึงคนที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาค มาเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้รัฐบาลทำงานด้วยความมั่นใจมากขึ้น
ทั้งนี้ คงต้องรอดูนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงกับรัฐสภาก่อนจึงจะรู้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนหรือไม่ โดยก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาควรมีการหารือกับภาคเอกชนเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยอาจจะหารือกับภาคเอกชนในนามของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยหอการค้าไทย ส.อ.ท. และสมาคมธนาคารไทย เพื่อฟังความคิดเห็นนโยบายเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาและทางออกของเศรษฐกิจ
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่าหลังเดือนเม.ย. รัฐบาลควรมีผลงานที่ฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งนโยบายที่เพิ่มรายได้ให้ประชาชนให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพจากปัญหาสินค้าราคาแพง
โบรกฯยังให้เวลารมว.คลังคนใหม่
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโฉมหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่า ยังไม่อยากให้มองข้ามความสามารถของ นายแพทย์สุรพงษ์ ซึ่งรวมไปถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย เพราะรัฐบาลก่อนหน้านี้ก็มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่หลายท่านที่มารับตำแหน่งทั้งที่ไม่มีชื่อเสียงในวงการมาก่อน แต่ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ได้ลองทำงานดูก่อน
แนะดึงคนตลาดทุนร่วมทีมปรึกษา
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวก็อยากให้ นายแพทย์สุรพงษ์ มีทีมที่ปรึกษามากๆ และต้องเป็นทีมที่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อย่างครบถ้วน
นอกจากนี้อยากแนะนำให้ทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ดึงผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากแวดวงตลาดทุนเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาด้วย เพราะประโยชน์แท้จริงของระบบตลาดทุนต่อภาพรวมเศรษฐกิจถือว่ามีความสัมพันธ์กันมาก โดยตลาดทุนถือเป็นแหล่งที่ใช้ระดมทุนของภาคธุรกิจในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้
เสนอลดดอกเบี้ยกระตุ้นดีมานด์
นายประสงค์ เอาฬาร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และประธานคณะกรรมการ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าไม่อยากแสดงความเห็นเรื่องตัวรัฐมนตรีใหม่ แต่หวังว่าผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งจะมีความเข้าใจปัญหาของประเทศที่กำลังเผชิญอยู่
สำหรับปัจจัยลบที่อาจจะมีผลต่อตลาดอสังหาฯนั้น เชื่อว่า ความรุนแรงจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อน่าจะลดลง เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจหรือปัญหาการผลิตน้อยกว่าความต้องการ (ดีมานด์) จนส่งผลให้ราคาสินค้ามีการปรับตัวสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับขึ้น เกิดจากต้นทุนราคาน้ำมัน และคาดว่าในปี 2551 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
เร่งอัดฉีดงบกระตุ้นท่องเที่ยว
นายชนินทธ์ โทณวณิก นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า ถึงแม้ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้ง ไม่มีประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวโดยตรงก็อาจไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากรมต.อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษางานประมาณ 3-6 เดือน แต่ในภาวะเร่งด่วน การเรียนรู้งานอาจต้องปรับตัวให้เร็วขึ้น เช่นต้องดำเนินการให้ได้ภายใน 1-2 เดือน
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเป็นองค์กรด้านการตลาดท่องเที่ยว อาจจะขาดงบประมาณเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้ปรับตัวไม่ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปมากในปัจจุบัน ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่จึงจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ ทั้งเพื่อการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว และเพื่อปัดฝุ่นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น พื้นที่จัดแสดงพืชสวนโลก และสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี เพื่อให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 658
ต่างชาติซื้อหุ้นต่อ 6.7 พันล้านบาท ส่งผลยอดซื้อ 2 วันแรกเดือน กพ. ใกล้ทะลุ 1.5 หมื่นล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, February 04, 2008
นักลงทุนต่างชาติ ไล่ซื้อหุ้นไทยต่อเป็นวันที่สาม หลังจากซื้อสุทธิ 2 วันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ก่อน เกือบ 1.2 หมื่นล้านบาท ส่งผล 3 วันทำการล่าสุด ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท และเพิ่มยอดซื้อสุทธิเดือนกุมภาพันธ์ของต่างชาติ ใกล้ 1.5 หมื่นล้านบาทแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากคิดเฉพาะยอดซื้อวันนี้ เทียบกับวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ กลับปรับลดลง 1.5 พันล้านบาท เหลือแค่ 6.7 พันล้านบาท ส่วนยอดสุทธิตั้งแต่ต้นปี ต่างชาติยังคงขายสุทธิ 2.0 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 16,348.84 ขาย 20,149.95 รวม ขายสุทธิ 3,801.11
สถาบันในประเทศ ซื้อ 3,639.41 ขาย 6,633.58 รวม ขายสุทธิ 2,994.17
ต่างประเทศ ซื้อ 16,322.97 ขาย 9,527.69 รวม ซื้อสุทธิ 6,795.28
ยอดสะสม ตลอดเดือนมกราคม 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 34,036.29 ขาย 44,554.45 รวม ขายสุทธิ 10,518.16
สถาบันในประเทศ ซื้อ 8,378.30 ขาย 12,858.38 รวม ขายสุทธิ 4,480.08
ต่างประเทศ ซื้อ 36,124.63 ขาย 21,126.39 รวม ซื้อสุทธิ 14,998.24
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 266,088.23 ขาย 251,225.48 รวม ซื้อสุทธิ 14,862.75
สถาบันในประเทศ ซื้อ 85,023.82 ขาย 79,720.93 รวม ซื้อสุทธิ 5,302.89
ต่างประเทศ ซื้อ 144,039.64 ขาย 164,205.28 รวม ขายสุทธิ 20,165.64
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, February 04, 2008
นักลงทุนต่างชาติ ไล่ซื้อหุ้นไทยต่อเป็นวันที่สาม หลังจากซื้อสุทธิ 2 วันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ก่อน เกือบ 1.2 หมื่นล้านบาท ส่งผล 3 วันทำการล่าสุด ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท และเพิ่มยอดซื้อสุทธิเดือนกุมภาพันธ์ของต่างชาติ ใกล้ 1.5 หมื่นล้านบาทแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากคิดเฉพาะยอดซื้อวันนี้ เทียบกับวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ กลับปรับลดลง 1.5 พันล้านบาท เหลือแค่ 6.7 พันล้านบาท ส่วนยอดสุทธิตั้งแต่ต้นปี ต่างชาติยังคงขายสุทธิ 2.0 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 16,348.84 ขาย 20,149.95 รวม ขายสุทธิ 3,801.11
สถาบันในประเทศ ซื้อ 3,639.41 ขาย 6,633.58 รวม ขายสุทธิ 2,994.17
ต่างประเทศ ซื้อ 16,322.97 ขาย 9,527.69 รวม ซื้อสุทธิ 6,795.28
ยอดสะสม ตลอดเดือนมกราคม 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 34,036.29 ขาย 44,554.45 รวม ขายสุทธิ 10,518.16
สถาบันในประเทศ ซื้อ 8,378.30 ขาย 12,858.38 รวม ขายสุทธิ 4,480.08
ต่างประเทศ ซื้อ 36,124.63 ขาย 21,126.39 รวม ซื้อสุทธิ 14,998.24
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 266,088.23 ขาย 251,225.48 รวม ซื้อสุทธิ 14,862.75
สถาบันในประเทศ ซื้อ 85,023.82 ขาย 79,720.93 รวม ซื้อสุทธิ 5,302.89
ต่างประเทศ ซื้อ 144,039.64 ขาย 164,205.28 รวม ขายสุทธิ 20,165.64
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 659
รัฐบาลใหม่เร่งใช้จ่าย-ลงทุน ฟื้นประชานิยมฝัน ศก.โต 8%
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) เปิดเผยภายหลังการหารือจัดทำร่างนโยบายกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรค ว่า รัฐบาลจะยังคงเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเหมือนที่เคยทำมา เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท, โครงการพัฒนาหมู่บ้าน SML, โครงการพัฒนาอุตสาหกรรม SMEs, และโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์
"หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ครม.จะมีการเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ แล้วจึงมีการประชุม ครม.ครั้งแรก เพื่อออกมติแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำนโยบายรัฐบาล จากนั้นส่งให้ประธานรัฐสภานัดประชุมเพื่อแถลงต่อสภา คาดว่าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์" น.พ.สุรพงษ์กล่าว
รายงานข่าวจากที่ประชุมแจ้งว่า ทั้ง 6 พรรคเห็นด้วยกับพรรค พปช.ที่เสนอว่าต้องมีการ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งในระดับรากหญ้าและ ธุรกิจขนาดใหญ่ให้มากที่สุด ผ่านโครงการลงทุนของรัฐ โครงการลงทุนภาคเอกชน และเร่ง สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชน โดยจะต้องเร่งสร้างรายได้ด้วย การรณรงค์เรื่องการท่องเที่ยว และการผ่อนคลายกฎระเบียบในการลงทุนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯและสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
"ที่มีบางฝ่ายกังวลว่า การเร่งการใช้จ่ายภาครัฐจะทำให้ขาดวินัยการเงินการคลังของประเทศนั้น พปช.ก็เห็นด้วยว่าจะต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นเช่นนั้น แต่ต้องการกู้เศรษฐกิจในปี 2551 ให้รอดพ้นไปก่อน" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้นโยบายของพรรค พปช.เสนอว่า จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มทุนหมุนเวียนด้วยการเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาท โดยมีเป้าหมายสร้างอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ประมาณร้อยละ 8 ต่อปี โดยการวางสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ มีโครงการวงเงิน 100,000 ล้าน เพื่อเร่งสร้างรายได้จากการ ท่องเที่ยวเข้าประเทศ 800,000 ล้านบาท
จะดำเนินโครงการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรตามแนวพระราชดำริ 200,000 ล้านบาท และโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคงอีก 100,000 ยูนิต บ้านรัฐสวัสดิการ 50,000 ยูนิต บ้านมนุษย์เงินเดือน 100,000 ยูนิต บ้านบัณฑิต 10,000 ยูนิต และโครงการปรับโครงสร้างระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าอีก 500,000 ล้านบาท เพิ่มสินเชื่อให้เอสเอ็มอี 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้พรรคชาติไทยได้เสนอเพิ่มเติมว่า ต้องยกเลิกงบประมาณในโครงการอยู่ดีมีสุขซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในปี 2551 วงเงิน 15,000 ล้านบาท แต่เปลี่ยนเป็นจัดงบฯตามยุทธศาสตร์จังหวัดแทน และให้เร่งสร้างถนนในท้องถิ่นที่ได้คุณภาพด้วยการเปลี่ยนถนนแดงเป็นถนนดำ ขยายเขตบริการชลประทานและการตั้งสภาเกษตรกร
พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาเสนอว่า ต้องมี นโยบายฟื้นฟูความน่าเชื่อถือด้วยการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จัดตั้งกรรมการบริหารเศรษฐกิจมหภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกำหนดภาพรวมเศรษฐกิจ
และหากไม่มีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจะทำให้มีอัตราการขยาย ตัวของจีดีพีเหลือเพียง 3-4% โดยจะต้องเร่งให้เกิดการลงทุนภาค real sector ให้ขยายตัว 10% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า ให้การขาดดุลการคลังไม่เกิน 2-2.5% และเข้าสู่ภาวะสมดุลในอีก 3 ปี
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) เปิดเผยภายหลังการหารือจัดทำร่างนโยบายกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรค ว่า รัฐบาลจะยังคงเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเหมือนที่เคยทำมา เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท, โครงการพัฒนาหมู่บ้าน SML, โครงการพัฒนาอุตสาหกรรม SMEs, และโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์
"หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ครม.จะมีการเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ แล้วจึงมีการประชุม ครม.ครั้งแรก เพื่อออกมติแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำนโยบายรัฐบาล จากนั้นส่งให้ประธานรัฐสภานัดประชุมเพื่อแถลงต่อสภา คาดว่าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์" น.พ.สุรพงษ์กล่าว
รายงานข่าวจากที่ประชุมแจ้งว่า ทั้ง 6 พรรคเห็นด้วยกับพรรค พปช.ที่เสนอว่าต้องมีการ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งในระดับรากหญ้าและ ธุรกิจขนาดใหญ่ให้มากที่สุด ผ่านโครงการลงทุนของรัฐ โครงการลงทุนภาคเอกชน และเร่ง สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชน โดยจะต้องเร่งสร้างรายได้ด้วย การรณรงค์เรื่องการท่องเที่ยว และการผ่อนคลายกฎระเบียบในการลงทุนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯและสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
"ที่มีบางฝ่ายกังวลว่า การเร่งการใช้จ่ายภาครัฐจะทำให้ขาดวินัยการเงินการคลังของประเทศนั้น พปช.ก็เห็นด้วยว่าจะต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นเช่นนั้น แต่ต้องการกู้เศรษฐกิจในปี 2551 ให้รอดพ้นไปก่อน" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้นโยบายของพรรค พปช.เสนอว่า จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มทุนหมุนเวียนด้วยการเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาท โดยมีเป้าหมายสร้างอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ประมาณร้อยละ 8 ต่อปี โดยการวางสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ มีโครงการวงเงิน 100,000 ล้าน เพื่อเร่งสร้างรายได้จากการ ท่องเที่ยวเข้าประเทศ 800,000 ล้านบาท
จะดำเนินโครงการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรตามแนวพระราชดำริ 200,000 ล้านบาท และโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคงอีก 100,000 ยูนิต บ้านรัฐสวัสดิการ 50,000 ยูนิต บ้านมนุษย์เงินเดือน 100,000 ยูนิต บ้านบัณฑิต 10,000 ยูนิต และโครงการปรับโครงสร้างระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าอีก 500,000 ล้านบาท เพิ่มสินเชื่อให้เอสเอ็มอี 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้พรรคชาติไทยได้เสนอเพิ่มเติมว่า ต้องยกเลิกงบประมาณในโครงการอยู่ดีมีสุขซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในปี 2551 วงเงิน 15,000 ล้านบาท แต่เปลี่ยนเป็นจัดงบฯตามยุทธศาสตร์จังหวัดแทน และให้เร่งสร้างถนนในท้องถิ่นที่ได้คุณภาพด้วยการเปลี่ยนถนนแดงเป็นถนนดำ ขยายเขตบริการชลประทานและการตั้งสภาเกษตรกร
พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาเสนอว่า ต้องมี นโยบายฟื้นฟูความน่าเชื่อถือด้วยการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จัดตั้งกรรมการบริหารเศรษฐกิจมหภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกำหนดภาพรวมเศรษฐกิจ
และหากไม่มีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจะทำให้มีอัตราการขยาย ตัวของจีดีพีเหลือเพียง 3-4% โดยจะต้องเร่งให้เกิดการลงทุนภาค real sector ให้ขยายตัว 10% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า ให้การขาดดุลการคลังไม่เกิน 2-2.5% และเข้าสู่ภาวะสมดุลในอีก 3 ปี
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/02/08
โพสต์ที่ 660
ประธานสมาคมแบงก์หนุนรัฐบาล กดดอกเบี้ยต่ำ-เลิกผวาเงินเฟ้อพุ่ง
โพสต์ทูเดย์ ประธานสมาคมธนาคารไทย ฟันธงลดดอกเบี้ยส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง จนเหลือ 3% ทำให้นโยบายดอกเบี้ยของไทยเริ่มเข้าสู่ทาง 2 แพร่ง หากลดดอกเบี้ยก็จะทำ ให้การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อยากลำบากมากขึ้น แต่หากไม่ลด ความมั่นใจในการลงทุนใหม่จะลดลง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กังวลใจเรื่องเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เพราะมีการผลักดันให้ขึ้นราคาสินค้าพร้อมกันหลายรายการในเดือน ม.ค. ดังนั้นหากลดดอกเบี้ยจะยิ่งไปกระตุ้นให้คนไทยใช้จ่าย ตัวเลขเงินเฟ้อจะสูงจนอาจควบคุมไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หากไม่ลดดอกเบี้ย ความต้องการสินเชื่อ ไม่เพิ่ม การลงทุนใหม่ก็จะไม่เกิด เงินก็จะไม่หมุน และเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อไป
สำหรับประเทศไทย ผมเห็นว่าลดดอกเบี้ยดีกว่าไม่ลด ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะกดดันให้ลดดอกเบี้ยแน่นอน นายอภิศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยรอบนี้จะไม่ส่งผลอะไรต่อค่าเงินบาท เพราะดอกเบี้ยไม่ผูกกับค่าเงินมานานแล้ว เพราะขณะที่ดอกเบี้ยของไทยต่ำ แต่ดอกเบี้ยต่างประเทศสูง ก็ยังมีเงินทุนไหลเข้ามาทุกวัน แต่จะส่งผลดีต่อตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะปรับตัวดีขึ้น
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยขณะนี้ จะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์หลายแห่งประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น สะท้อนว่าดอกเบี้ยจะไม่ลดลงง่ายๆ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ธปท.ออกพันธบัตรมาดูดเงินในระบบออกไปมาก สภาพคล่องไม่ได้ล้นอย่างที่คนเข้าใจ แม้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะไม่ขยายตัวมาก นาย อภิศักดิ์ กล่าว
ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เสร็จแล้ว หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และผู้บริหาร ธปท.ควรมีการหารือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องของทิศทางดอกเบี้ย เพื่อให้เกิดความชัดเจน
ด้านนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า แนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์คงปรับลดลงได้ยาก แม้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง แต่ปัจจัยในประเทศที่มีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว และกำลังจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้เงิน โอกาสที่ดอกเบี้ยเงินฝากจะปรับลดก็น้อย และความจำเป็นในการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ก็น้อยลง
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สภาพคล่องส่วนหนึ่งถูกนำไปสนับสนุนนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้งในเวียดนาม และจีน ส่วนลูกค้าของธนาคารไปลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่สหรัฐ ทำให้ธนาคารขยายสินเชื่อได้ดีในช่วงปลายปีก่อน จนต้องไปกู้ยืมเงินจากตลาดกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารเพื่อนำมาปล่อยกู้
ล่าสุด ธนาคารได้ออกโครงการเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟต์ 2 โดยฝากขั้นต่ำ 5 พันบาท จะได้รับดอกเบี้ย 1% พร้อมกับลุ้นรางวัลทองคำทุกเดือน เดือนละ 100 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 9.6 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายระดมเงินฝาก 6 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 3 หมื่นล้านบาท
นายรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารเปิดให้บริการเงินฝากประจำ 4 เดือน จ่ายอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี รับฝากขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 5-19 ก.พ. 2551
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218905
โพสต์ทูเดย์ ประธานสมาคมธนาคารไทย ฟันธงลดดอกเบี้ยส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง จนเหลือ 3% ทำให้นโยบายดอกเบี้ยของไทยเริ่มเข้าสู่ทาง 2 แพร่ง หากลดดอกเบี้ยก็จะทำ ให้การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อยากลำบากมากขึ้น แต่หากไม่ลด ความมั่นใจในการลงทุนใหม่จะลดลง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กังวลใจเรื่องเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เพราะมีการผลักดันให้ขึ้นราคาสินค้าพร้อมกันหลายรายการในเดือน ม.ค. ดังนั้นหากลดดอกเบี้ยจะยิ่งไปกระตุ้นให้คนไทยใช้จ่าย ตัวเลขเงินเฟ้อจะสูงจนอาจควบคุมไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หากไม่ลดดอกเบี้ย ความต้องการสินเชื่อ ไม่เพิ่ม การลงทุนใหม่ก็จะไม่เกิด เงินก็จะไม่หมุน และเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อไป
สำหรับประเทศไทย ผมเห็นว่าลดดอกเบี้ยดีกว่าไม่ลด ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะกดดันให้ลดดอกเบี้ยแน่นอน นายอภิศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยรอบนี้จะไม่ส่งผลอะไรต่อค่าเงินบาท เพราะดอกเบี้ยไม่ผูกกับค่าเงินมานานแล้ว เพราะขณะที่ดอกเบี้ยของไทยต่ำ แต่ดอกเบี้ยต่างประเทศสูง ก็ยังมีเงินทุนไหลเข้ามาทุกวัน แต่จะส่งผลดีต่อตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะปรับตัวดีขึ้น
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยขณะนี้ จะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์หลายแห่งประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น สะท้อนว่าดอกเบี้ยจะไม่ลดลงง่ายๆ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ธปท.ออกพันธบัตรมาดูดเงินในระบบออกไปมาก สภาพคล่องไม่ได้ล้นอย่างที่คนเข้าใจ แม้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะไม่ขยายตัวมาก นาย อภิศักดิ์ กล่าว
ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เสร็จแล้ว หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และผู้บริหาร ธปท.ควรมีการหารือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องของทิศทางดอกเบี้ย เพื่อให้เกิดความชัดเจน
ด้านนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า แนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์คงปรับลดลงได้ยาก แม้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง แต่ปัจจัยในประเทศที่มีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว และกำลังจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้เงิน โอกาสที่ดอกเบี้ยเงินฝากจะปรับลดก็น้อย และความจำเป็นในการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ก็น้อยลง
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สภาพคล่องส่วนหนึ่งถูกนำไปสนับสนุนนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้งในเวียดนาม และจีน ส่วนลูกค้าของธนาคารไปลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่สหรัฐ ทำให้ธนาคารขยายสินเชื่อได้ดีในช่วงปลายปีก่อน จนต้องไปกู้ยืมเงินจากตลาดกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารเพื่อนำมาปล่อยกู้
ล่าสุด ธนาคารได้ออกโครงการเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟต์ 2 โดยฝากขั้นต่ำ 5 พันบาท จะได้รับดอกเบี้ย 1% พร้อมกับลุ้นรางวัลทองคำทุกเดือน เดือนละ 100 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 9.6 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายระดมเงินฝาก 6 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 3 หมื่นล้านบาท
นายรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารเปิดให้บริการเงินฝากประจำ 4 เดือน จ่ายอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี รับฝากขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 5-19 ก.พ. 2551
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218905