subprime crisis monitor

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/12/07

โพสต์ที่ 151

โพสต์

ธนาคารใหญ่สวิสอ่วม ล้างหนี้ซับไพรม์กว่า 1หมื่นล้านด.
 
ธนาคารใหญ่สวิสประกาศแผนล้างหนี้มูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์จากวิกฤตซับไพร์ม และส่งผลให้ผู้ลงทุนต้องยอมรับสภาพการขาดทุนตลอดทั้งปีของธนาคารด้วย

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ว่า ธนาคารยูบีเอส เอจี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศแผนล้างหนี้มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ โดยภายใต้แผนนี้ ธนาคารจะต้องกู้ยืมเงินจำนวน 11,150 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนภายนอก รวมทั้งต้องขายหุ้นพันธบัตร และเปลี่ยนการจ่ายเงินปันผลจากเงินสดเป็นหุ้นของธนาคารให้แก่ผู้ถือหุ้น เพื่อเพิ่มระดับเงินทุนของธนาคาร ซึ่งประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 17,180 ล้านดอลลาร์

รายงานระบุว่า การประกาศนี้ของยูบีเอส ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นต้องยอมรับสภาพการขาดทุนสุทธิตลอดทั้งปีของธนาคาร โดยธนาคารยูบีเอสระบุว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่สี่อาจเป็นการขาดทุนสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของธนาคาร
http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=697
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/12/07

โพสต์ที่ 152

โพสต์

ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดหนักกว่า 300 จุด ตกต่ำในรอบ 1 เดือน เหตุนักลงทุนฉุน เฟดลดดอกเบี้ยน้อยเกินไป

Posted on Wednesday, December 12, 2007
เฟด ลดดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25 % ลงเหลือเพียง 4.25%
นายเบน เบอร์นันกี้ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ประกาศปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลงมาแตะที่ระดับ 4.25% ส่งท้ายการประชุมของเฟดครั้งสุดท้ายของปีนี้ สำหรับถ้อยแถลงหลังการประชุมนั้น เฟดระบุว่า พัฒนาการล่าสุด ซึ่งหมายถึง ภาวะตกต่ำของตลาดทุน และตลาดเงินของสหรัฐ ได้เพิ่มความไม่แน่นอนสูงมากขึ้น ต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และแนวโน้มของเงินเฟ้อ ดังนั้น มติของเฟดในการตัดสินใจครั้งนี้ จะช่วยหนุนส่งแนวโน้มการขยายตัวระยะยาวต่อไป

เฟดชี้ เศรษฐกิจสหรัฐชะลอหากจำเป็น พร้อมใช้มาตรการต่อเนื่อง
เฟดระบุเพิ่มเติมว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามาล่าสุด เห็นได้ชัดว่า เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึง ภาวะการปรับตัวภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกัน และภาคเอกชนที่ยังคงเบาบาง ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน จะยังคงเฝ้าระวัง และประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคการเงิน รวมถึงพัฒนาการในด้านอื่นๆของเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวม หากมีความจำเป็นเกิดขึ้น เฟด จะดำเนินมาตรการเพื่อตอบสนองให้เกิดภาวะเสถียรภาพด้านภาวะเงินเฟ้อ ที่สำคัญ ทำให้เกิดการขยายตัวยั่งยืน

นักลงทุนผิดหวังเฟดลดดอกเบี้ยระยะสั้น น้อยเกินไป
สาเหตุหลักสำคัญ ที่กดดันให้นักลงทุนต้องเทขายหุ้นทันที จนกระทั่งปิดตลาด มาจาก ความผิดหวัง และความไม่พอใจของนักลงทุน หลังรับทราบว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงเพียง 0.25% ซึ่งในการคาดการณ์ของนักลงทุนมองว่า เฟด ควรจะปรับลดลงมากถึง 0.5% นอกจากนี้ ถ้อยแถลงบางส่วนของเหตุผลในการตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด ระบุชัดเจนว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐนั้น อยู่ในภาวะที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นแรงฉุดหุ้นกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านทรุดตัวอย่างหนัก

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ทรุดกว่า 300 จุด ต่ำสุดรอบ 1 เดือน
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ปั่นป่วนอย่างหนักครั้งใหม่ นักลงทุนถล่มเทขายหุ้นอย่างหนักหลังเฟดลดดอกเบี้ย ฉุดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทรุด 294 จุด เอสแอนด์พี 500 ร่วง 38 จุด และนาสแด็ค ดิ่ง 66 จุด ส่งผลให้ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่งทำสถิติตกต่ำมากที่สุดในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และดาวโจนส์ ทำสถิติปิดร่วงลงมากที่สุดในรอบ 1 วันทำการครั้งใหม่ นับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.สะท้อนชัดเจนว่า ทุกๆหุ้นจำนวน 14 บริษัท ที่ลดลง จะมีหุ้นจำนวน 1 บริษัทที่ปรับเพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อคืนที่ผ่านมา

หุ้นกลุ่มก่อสร้าง ธนาคาร ร่วงหนัก หลังเฟดลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มธนาคาพาณิชย์ และสถาบันการเงิน ล้วนถูกกระหน่ำเทขายไม่แตกต่างจากหุ้นที่เกี่ยวข้องในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน หลังมีข่างร้ายที่เกี่ยวกับผลประกอบการของ บริษัท เฟรดดี้ แม็ค ยักษ์สินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐอันดับ 2 ที่ได้รับ การคาดว่า จะมีผลขาดทุนสูงมากกว่าที่ประเมินไว้ ตามด้วยควันหลงของบริษัท วอชิงตัน มิวชวล อินคอร์ปอเรชั่น ที่ต้องปลดพนักงาน ลดการจ่ายเงินปันผล และตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย กระทบหุ้นของธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เช่น ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ร่วงหนัก

ราคาพันธบัตรพุ่งสูง กดผลตอบแทนต่ำสุดรอบกว่า 3 ปี
ตลาดพันธบัตรสหรัฐปั่นป่วนครั้งใหม่ หลังมติของเฟดปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นเพียง 0.25% ส่งผลให้ราคาของพันธบัตรรัฐบาลทะยานเพิ่มสูงขึ้นทันทีในรอบมากกว่า 3 ปี ในขณะเดียวกัน ผลตอบแทน หรือ ยีลด์ของตราสารการเงินระยะสั้น และพันธบัตรระยะสั้นตกต่ำลงอย่างหนัก เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินอายุ 2 ปี มีผลตอบแทนร่วงลงเหลือ 2.93% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ส.ค.ในปี 2547 ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดพันธบัตร มองว่า การลดดอกเบี้ยระยะสั้นเพียง 0.25% ไม่เพียงพอ ที่จะหลีกเลี่ยงโอกาสถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ

ธนาคารซิตี้กรุ๊ปได้ซีอีโอคนใหม่ จากมอร์แกน สแตนเล่ย์
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ประกาศแต่งตั้งนาย วิกคราม แพนดิท วัย 50 ปี ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหาร มอร์แกน สแตนเล่ย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ อย่างเป็นทางการในคืนที่ผ่านมา หลังคณะกรรมการของธนาคารมีมติปลด นาย ชาร์ล โอ ปริ๊นซ์ ลงจากตำแหน่งดังกล่าวในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา หลังผลประกอบการของธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ต้องขาดทุนอย่างหนัก จากสินเชื่อด้อยคุณภาพ

2 ซีอีโอ ยักษ์ใหญ่วงการสินเชื่อบ้านสหรัฐ ชี้ ตลาดฟื้นตัวอีกกว่า 2 ปี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ทั้ง 2 สถาบันการเงินสินเชื่อยักษ์ใหญ่ ด้านอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ได้แก่ ซีอีโอจากแฟนนี่ เมย์ และเฟรดดี้ แม็ค มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การพลิกฟื้นภาวะอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป ท่ามกลางอุตสาหกรรมสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ ยังคงต้องประสบกับปัญหาการขนาดทุนอย่างมากมายต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ซีอีโอ จากแฟนนี่ เมย์ นาย แดเนียล มัดด์ มองว่า การฟื้นตัวของตลาดสินเชื่อบ้านในสหรัฐ อาจจะได้เห็นในปี 2010 หรือ 2553

โกลบอลล์ อินไซด์ ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐ เข้าขั้นอันตราย
สถาบันวิจัย และบริการที่ปรึกษาชั้นนำในสหรัฐ ที่มีชื่อว่า โกลบอลล์ อินไซด์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐ อยู่ในช่วงอันตราย และหากเกิดภาวะช๊อค จากปัจจัยลบในอนาคต อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยประเมินว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และไตรมาสแรกของปีหน้า จะชะลอตัวลงอย่างมาก ทั้งนี้ โกลบอลล์ อินไซด์ เปิดข้อทำนาย 10 ข้อทางเศรษฐกิจทั่วไป เช่น เศรษฐกิจสหรัฐปีหน้า จะขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2002 ราคาน้ำมันดิบจะผ่อนคลาย แต่อยู่ในระดับสูง เฟดตัดลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง

เมอร์ลิน ลินช์ ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐ จะหดตัวใน 3 เดือนสุดท้ายปีนี้
นาย เดวิด โรเซ็นเบิร์ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัท หลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหรัฐ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะเกิดการหดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2001 หรือในปี 2544 ที่ผ่านมา โดยจะเกิดการหดตัวของจีดีพีราว 0.1% ท่ามกลางการขยายตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ทะยานขึ้นไปเกือบ 5% ทั้งนี้ นาย เดวิด โรเซ็นเบิร์ก กล่าวเตือนอย่างมั่นใจว่า การคาดการณ์ดังกล่าว มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/12/07

โพสต์ที่ 153

โพสต์

อลัน กรีนสแปน ชี้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะ Stagflation มองโอกาสถดถอยใกล้ 50 %

Posted on Monday, December 17, 2007
อลัน กรีนสแปน หนุนรัฐบาลสหรัฐ ใช้เงินสดแก้สินเชื่อ Subprime
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด วัย 81 ปี กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้ว เห็นด้วย และต้องการให้รัฐบาลสหรัฐ ใช้เงินงบประมาณที่เป็นเงินสด เข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ชาวอเมริกัน ที่ได้รับความยากลำบากจากวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime เนื่องจาก บรรดาลูกหนี้ดังกล่าว ไม่สามารถจ่ายคืนทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยที่กำลังจะเข้าสู่การปรับเพิ่มสูงขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราการผิดนัดชำระหนี้ ที่ทะยานเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

อลัน กรีนสแปน ชี้ โอกาสเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ใกล้ 50%
อลัน กรีนสแปน กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้เงินสดของรัฐบาล เพื่อเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้จำนวนมากนั้น แน่นอน ย่อมทำให้ภาวะการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐ อาจต้องเพิ่มสูงมากขึ้น แต่หากพิจารณาจากประโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม อดีตประธานเฟด กล่าวเสริมว่า แนวคิดของวิธีดังกล่าว แตกต่างจากมาตรการรัฐบาลสหรัฐ ที่เสนอโดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ นายเฮนรี่ พอลสัน ทั้งนี้ อลัน กรีนสแปน กล่าวว่า โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย เข้าใกล้เกือบ 50%

อลัน กรีนสแปน เผย เศรษฐกิจสหรัฐ เข้าช่วงแรกของ Stagflation
อดีตประธานเฟด ที่ครองตำแหน่งยาวนานเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของเฟด กล่าวต่อไปว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ กำลังเข้าสู่ช่วงแรกของภาวะ Stagflation ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ขยายตัว ในเวลาเดียวกันต้องประสบกับปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงมากขึ้น อลัน กรีนสแปน กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้ว เงินเฟ้อจะต้องควบคุมได้ แต่ในขณะนี้ รวมถึงระยะกลางในอนาคต เฟด อาจจะกำลังประสบความท้าทาย ที่จะต้องควบคุมเงินเฟ้อให้ได้ตามเป้าหมาย ท่ามกลางภาวะการเมืองที่กำลังจะมีการเลือกตั้งผู้นำสูงสุดคนใหม่ ซึ่งเน้นการขยายตัวเป็นหลัก

แบงก์ชาติสหรัฐ เตรียมประชุมแก้ไข กฏเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อ
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยว่า คณะกรรมการเฟด จะเปิดการประชุมในวันอังคารที่ 18 ธ.ค.ตามเวลาในสหรัฐ เพื่อประชุมวาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ การเสนอข้อแก้ไขกฎเกณฑ์ ในการปล่อยกู้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อแก้ไขหลักการ และหลักปฏิบัติการปล่อยกู้ที่ไม่เป็นธรรม ที่สำคัญ การเข้าข่ายหลอกลวงลูกหนี้จากข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ทั้งนี้ หลายฝ่ายประเมินว่า ผลของการประชุมในครั้งนี้ อาจนำไปสู่การวางแนวทางปล่อยกู้สำหรับสินเชื่อใหม่ในอนาคต มากกว่า การแก้ไขวิกฤตสินเชื่อในปัจจุบันที่กำลังเป็นปัญหา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/12/07

โพสต์ที่ 154

โพสต์

แบงก์ชาติยุโรป อัดสภาพคล่องกว่า 5 แสนล้านเหรียญ เหนือความคาดหมายเป็นประวัติการณ์

Posted on Wednesday, December 19, 2007
แบงก์ชาติสหรัฐฯแก้ไขกฎเกณฑ์สินเชื่อ Subprime ใหม่
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยว่า คณะกรรมการเฟด ได้ข้อยุติในการเสนอกฎเกณฑ์ใหม่ ในการควบคุมวิธีการพิจารณาสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อ Subprime ของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆในสหรัฐ กฎเกณฑ์ใหม่ดังกล่าว รวมถึงการสั่งห้ามไม่ให้มีการพิจารณาสินเชื่อ Subprime ที่มีเอกสารยื่นขอสินเชื่อดังกล่าวไม่ครบตามกฎเกณฑ์ หรือมีจำนวนเอกสารน้อยเกินไป นอกจากนี้ เฟด ยังกำหนดขอบเขตของบทลงโทษกับลูกหนี้สินเชื่อ Subprime ที่เตรียมการชำระหนี้ตามระยะเวลาเป็นการล่วงหน้า

เฟดชี้เจ้าหนี้ต้องรับผิดชอบประเมินความสามารถลูกหนี้
กฎเกณฑ์ใหม่ดังกล่าว นับเป็นการแก้ไขครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ประธานเฟด เบน เบอร์นันกี้ ขึ้นดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยคณะกรรมการเฟด เปิดเผยต่อไปว่า หัวใจของข้อเสนอแก้ไขในครั้งนี้ เน้นไปที่วิธีปฏิบัติในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ ที่นำไปสู่อัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่ทะยานพุ่งสูงขึ้นในขณะนี้ ไม่เพียงเท่านั้น กรรมการทุกท่านในเฟด ลงมติเป็นเอกฉัณฑ์ในประเด็น ให้เจ้าหนี้ ซึ่งหมายถึงสถาบันการเงิน ต้องรับผิดชอบในการกำหนดว่า ลูกหนี้ที่ขอสินเชื่อ Subprime มีความสามารถในการแบกรับต้นทุนของสินเชื่อหรือไม่

เฟด สาขา ดัลลัส ส่งสัญญาณไม่ต้องการลดดอกเบี้ยระยะสั้น
นายริชชาร์ด ฟิชเชอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขาดัลลัส กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ไม่ควรที่จะส่งสัญญาณ หรือตอบสนองต่อวิกฤตระบบการเงิน และสภาพคล่องมากจนเกินไป ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในอนาคต ในขณะเดียวกัน เฟดต้องใส่ใจกับความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อที่มีสัญญาณทะยานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขาดัลลัส จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น 1 ในคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดในปีหน้าเป็นต้นไป

4 ธนาคารยักษ์แกนนำกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ชี้ เริ่มซื้อคืนสินเชื่อแล้ว
4 ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในสหรัฐ ซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ได้แก่ ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ธนาคารเจพีมอร์แกน แอนด์ โค ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา และธนาคารแบล็คร๊อค อินคอร์ปอเรชั่น ร่วมกันแถลงว่า กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ หรือกองทุนซุปเปอร์เอสไอวีฟันด์ ที่มีเงินร่วมลงทุนในเบื้องต้น 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.72 ล้านล้านบาท เตรียมที่จะเริ่มเข้าไปซื้อสินทรัพย์ในตลาดตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภท Subprime ที่ได้รับความเสียหายจากวิกฤตสินเชื่อ Subprime ในช่วงที่ผ่านมา

เมอร์ลิน ลินช์ อาจต้องตัดหนี้สูญครั้งที่ 2 ในสัปดาห์หน้า
บริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ในสหรัฐ เมอร์ลิน ลินช์ เปิดเผยว่า เตรียมที่จะประกาศการตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสินเชื่อ Subprime อีกครั้งภายในสับปดาห์หน้า คาดว่า มูลค่าการตัดหนี้สูญในครั้งนี้ จะอยู่ระหว่าง 3,000 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.02 1.36 แสนล้านบาท เพิ่มเติมจากการตัดหนี้สูญในครั้งแรก ที่ประกาศในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีมูลค่า 8,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.85 แสนล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าหนี้สูญสุทธิอาจมีมากกว่า 4.7 แสนล้านบาท

แบงก์ชาติยุโรป อัดสภาพคล่องมากถึง 17 ล้านล้านบาท วานนี้
ธนาคารกลางกลุ่มสหภาพยุโรป 13 ประเทศสมาชิกเหรียญยูโร (ECB) กล่าวว่า ECB อัดฉีดเงินเข้าสู่สภาพคล่องในระบบการเงินยุโรป รวมมูลค่ามากถึง 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 17 ล้านล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ เพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพคล่องการเงินในยุโรป ที่ยังคงไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ในยุโรป หรืออินเตอร์แบงก์เรต ลดลงทันที 0.5% มาเคลื่อนไหวที่ระดับ 4.45% ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมีส่วนต่างมากถึง 0.83% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

แบงก์ชาติอังกฤษ เพิ่มสภาพคล่องกว่า 6 แสนล้านบาท
ในส่วนของธนาคารกลางอังกฤษ ได้เริ่มต้นอัดฉีดสภาพคล่องเมื่อวานนี้ ซึ่งนับเป็นปฏิบัติการครั้งที่ 1 ในจำนวน 2 ครั้งที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ด้วยการเสนอสินเชื่ออายุ 3 เดือนในรูปสกุลเงินปอนด์สเตอริง มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.8 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ปฏิบัติการเพิ่มสภาพคล่องดังกล่าวของธนาคารกลางอังกฤษ ต้องการที่จะดึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ระหว่างดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยระยะสั้นของแบงก์ชาติอังกฤษ ที่พุ่งขึ้นไปมากถึง 0.77% เคลื่อนไหวที่ระดับ 6.51% ที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/12/07

โพสต์ที่ 155

โพสต์

เฟด เผย เพิ่มสภาพคล่องครั้งแรก เป็นที่ต้องการมาก
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยว่า การเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเมื่อวานนี้ มากถึง 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.8 แสนล้านบาท ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยผ่านวิธีการประมูลให้กับบรรดาธนาคารพาณิชย์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 4.65% ทั้งนี้ มีธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ ยื่นขอประมูลสินเชื่อของเฟดมากถึง 93 แห่ง รวมมูลค่าความต้องการเงินสินเชื่อมากถึง 6.16 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.1 ล้านล้านบาท สำหรับการประมูลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เป็น 1 ใน 4 ครั้งทั้งหมด

เฟด สาขาริชมอนด์ ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าชะลอตัวมาก
นายเจฟเฟอรี่ แล็คเกอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาริชมอนด์ กล่าวว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐ จะชะลอตัวลงอย่างมากในปีหน้าที่กำลังจะมาถึง จากสาเหตุหลักของการทรุดตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐอย่างไม่สิ้นสุดที่เกิดขึ้นในรอบ 16 ปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ผู้ว่าการเฟด สาขา ริชมอนด์ กล่าวยอมรับว่า การดำเนินนโยบายการเงินของเฟดในช่วงที่ผ่านมา มีความคล่องตัวในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะมีช่วงการขยายตัวในปีหน้าระหว่าง 2 - 2.25%

เฟดสาขาบอสตั้น เผย 5 แบงก์พาณิชย์ตั้งกองทุนช่วยลูกหนี้
นายอีริค โรเซ็นเกร็น ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรืดเฟด สาขาบอสตัน กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ระดับภูมิภาคจำนวน 5 แห่ง ได้จัดตั้งกองทุนร่วมกันด้วยเงินกองทุนเบื้องต้น 125 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4,250 ล้านบาท เพื่อเข้าไปช่วยเหลือบรรดาลูกหนี้สินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือสับไพร์ม ที่ประสบปัญหาในขณะนี้ ทั้งนี้ ผู้ว่าการเฟด สาขา บอสตั้น กล่าวชื่นชมในความพยายามของ 5 ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ที่ต้องการเข้าไปแก้ไขวิกฤตสินเชื่อ Subprime

ชาวอเมริกันกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยมากขึ้น
สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้ร่วมกันจัดทำผลสำรวจที่มีชื่อว่า รอยเตอร์ ซอกบี้ สรุปได้ว่า ชาวอเมริกันมีความเป็นกังวล และเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยจำนวนชาวอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามมากมีเพิ่มขึ้นเป็น 43.4% เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่มีเพียง 40% ไม่เพียงเท่านั้น ความกังวลที่เพิ่มสูงมากขึ้นจากผลสำรวจดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า เกิดขึ้นกับคนอเมริกันทุกเพศ ทุกวัย และทุกผิวสี ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าว จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 12 14 ธันวาคมที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1 พันคน

มอร์แกน สแตนเล่ย์ ตัดหนี้สูญเพิ่มมากกว่าที่คาด
นายจอห์น แม็ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท มอร์แกน สแตนเล่ย์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ในสหรัฐ เปิดเผยว่า ต้องตัดหนี้สูญรวมมูลค่ามากถึง 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.19 แสนล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าหนี้สูญที่พุ่งสูงเหนือการประเมินของทุกฝ่าย ในขณะเดียวกัน ก็ได้รับเม็ดเงินลงทุนจากสถาบันลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีชื่อว่า ไชน่า อินเวสเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น มีมูลค่ามากถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.7 แสนล้านบาท

ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ไล่พนักงานฝ่ายสินเชื่อค้ำประกันออก
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก ประกาศไล่ออกพนักงานธนาคารจำนวน 30 คน ที่อยู่ในส่วนงานธุรกิจสินเชื่อค้ำประกัน หรือเอสไอวี ซึ่งได้รับผลกระทบมากจากวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือสับไพร์ม ส่งผลให้การลดจำนวนพนักงานในฝ่ายดังกล่าว คิดเป็นเกือบ 3 ใน 4 ของจำนวนทั้งหมด นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุด หลังธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ นายวิกคราม พันดิท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/12/07

โพสต์ที่ 156

โพสต์

จอร์จ บุชลั่นพร้อมงัดทุกทางเลือก แก้ไขวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ เชื่อพื้นฐานยังแน่น
Posted on Friday, December 21, 2007
จอร์จ บุช พร้อมใช้ทุกทางเลือก แก้อสังหาริมทรัพย์
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐ ให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า ในฐานะผู้นำสูงสุดของสหรัฐ พร้อมที่จะพิจารณาทุกทางเลือก ในการช่วยเหลือเศรษฐกิจสหรัฐ ให้สามารถปรับตัว เพื่อรองรับสภาพความตกต่ำอย่างหนัก และต่อเนื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ประธานาธิบดีบุช แสดงความเข้าใจประชาชนชาวอเมริกันว่า ทุกวันนี้มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยลบของสินเชื่อบ้าน อย่างไรก็ตาม ผู้นำสูงสุดสหรัฐ กล่าวย้ำอย่างมั่นใจว่า พื้นฐานทางเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงมีความแข็งแกร่งเสมอ

ธุรกิจรับก่อสร้างบ้านสหรัฐ ชี้ธุรกิจทรุดหนักในรอบหลายปี
สมาคมธุรกิจก่อสร้างบ้านแห่งชาติสหรัฐ หรือเอ็นเอเอชบี ยอมรับว่า ภาพรวมของธุรกิจก่อสร้างบ้านในสหรัฐ ตกต่ำอย่างหนักเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีมุมมองในทางบวกว่า ในระยะยาวธุรกิจรับสร้างบ้านน่าจะดีขึ้น ด้านหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ สมาคมดังกล่าว นายเดวิด ไซเดอร์ เปิดเผยว่า ในขณะนี้ ธุรกิจรับสร้างบ้านอยู่ในภาวะอันตราย และเตรียมพร้อมที่เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาวงการธุรกิจรับสร้างบ้าน กับธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ความตกต่ำของธุรกิจดังกล่าวกระทบจีดีพี 0.1%

ธนาคารแบร์สเติร์นขาดทุนจาก Subprime ในรอบ 84 ปี
ธนาคารแบร์สเติร์นยอมรับผลขาดทุนที่เกิดขึ้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้จากวิกฤต Subprime มูลค่า 854 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 29,000 ล้านบาท นับว่าเป็นผลขาดทุนรายไตรมาสเป็นครั้งแรก และเป็นประวัติศาสตร์ของธนาคาร ที่มีอายุมาอย่างยาวนานถึง 84 ปี ทั้งนี้ หากพิจารณาเปรียบเทียบกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีกำไรพุ่งสูงมากถึง 563 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.9 หมื่นล้านบาทและตัดสินใจตัดหนี้สูญด้วยมูลค่าสูงมากถึง 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.44 หมื่นล้านบาท

กองทุนรวมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปลดพนักงาน 200 คน
ฟิเดลลิตี้ อินเวสเม้นท์ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีขนาดใหญ่ที่ในสหรัฐ และใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า เตรียมปลดพนักงานในบริษัทกองทุนรวมดังกล่าว โดยเฉพาะพนักงานในแผนกบริการหลังการเกษียณ และแผนกสารสนเทศ เป็นที่คาดว่า จะมีจำนวนพนักงานถูกปลดออกมากถึง 200 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมดทั่วโลกที่มีมากถึง 4.6 หมื่นคน ทั้งนี้ สาเหตุอาจมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจาวิกฤติสภาพคล่องในระบบการเงิน และการลงทุนในสหรัฐ

3 บริษัทจัดเรตติ้งชั้นนำ เตรียมทบทวน เรตติ้งตราสารซีดีโอ
บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสเซส บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี และบริษัท ฟิทช์ เรตติ้ง ทั้ง 3 แห่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนชั้นนำระดับโลก ร่วมกันเปิดเผยว่า เตรียมจะต้องทบทวน อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ซีดีโอทุกอันดับ ทุกบริษัท รวมถึงตราสารดังกล่าวที่ได้รับการจัดอันดับน่าเชื่อถือสูงสุดด้วย ทั้งนี้ มีมูลค่ารวมกันของตราสารหนี้ซีดีโอรวมกันทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.4 ล้านล้านบาท หลังพบว่า ตราสารดังกล่าวยังคงมีความเสี่ยงจากวิกฤติตราสารหนี้

ธนาคารยูบีเอสเตือนอาจขาดทุนหนักใน 3 เดือนสุดท้ายนี้
ธนาคารยูบีเอส ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในยุโรป ประกาศเตือนล่วงหน้าว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทสินทรัพย์คงที่นั้น ยังคงมีความเสี่ยงต่อผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 กับการเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ซีดีโอในสหรัฐ รวมถึงภาวะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ นอกจากนี้ ยังคงมีปัจจัยเสี่ยง กับโอกาสที่จะได้รับการตัดลดอันดับความน่าเชื่อถือในตราสารหนี้ของธนาคารลงอีก ทั้งนี้ ยูบีเอส เตรียมเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะขาดทุนสูงถึง 2.4 หมื่นล้านบาท

วอร์เรน บัฟเฟท ส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอาจถดถอย
วอร์เรน บัฟเฟท มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ เปิดเผยว่า โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย อาจมีเกิดขึ้น และเป็นสัญญาณสำคัญของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม เพียงไม่แต่สามารถจะกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อไหร่ รุนแรงแค่ไหน และจะยาวนานหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นจริง ผลของการถดถอย อาจจะไม่แตกต่างจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากนักลงทุนในตลาดทุน หรือในวงการอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐที่ประสบกันอยู่

แบงก์ออฟอเมริกา ปิดธุรกิจสินเชื่อผ่านนายหน้า
ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของสหรัฐ ตัดสินใจประกาศ ปิดสายงานธุรกิจเสนอบริการสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยผ่านตัวแทน หรือนายหน้า ภายในสิ้นปีนี้ ส่งผลให้ ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ต้องปลดพนักงานในสายงานดังกล่าวเป็นจำนวนมากถึง 700 คน หลังจากนั้น จะเน้นการปล่อยสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยโดยตรงไปยังลูกค้าที่มีความต้องการ ทั้งนี้ การปลดพนักงาน 700 คน เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดจำนวนพนักงานในภาพรวม 3 พันคน หลังเกิดการขาดทุนในไตรมาส 3 มากถึง 32%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/12/07

โพสต์ที่ 157

โพสต์

"ซับไพรม" ทุบอสังหาฯ"50 จับอาการ ปี"51 ซึมยาว

ชาว "เซนโทร พร้อพเพอร์ตี้ส์" กลุ่ม ผู้บริหารห้างสรรพสินค้า ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลีย กลายเป็นเหยื่อรายล่าสุดของวิกฤตสินเชื่อ ซับไพรม จนไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ 1.1 พันล้านดอลลาร์ และถูกบีบให้ต้องเจรจาเพื่อทำแผนปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) สั่นสะเทือนตลาดการเงินออสซี่ ทุบมูลค่าตลาดหายวับไปในพริบตาเดียว 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์

เฉพาะหุ้นเซนโทร พร้อพเพอร์ตี้ส์ กรุ๊ป ตกฮวบ 76% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า ผลกำไรในปี 2551 อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการ กู้ยืมที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากวิกฤตสินเชื่อซับไพรม ถือเป็นเหยื่อรายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย แซงหน้าอาร์เอเอ็มเอส โฮม โลนส์

กลุ่มเซนโทร พร้อพเพอร์ตี้ เป็นเจ้าของ "เซนโทร ทูมบุล" ในบริสเบน และศูนย์การค้าอื่นๆ อีก 26 แห่ง ในควีนส์แลนด์ ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่มสินทรัพย์ในการบริหารของกลุ่มที่มีอสังหาริมทรัพย์อยู่ทั้งสิ้น 682 แห่ง

กรณีของเซนโทร พร้อพเพอร์ตี้ส์ กำลังจุด คำถามใหม่ๆ ขึ้นตามมา โดยเฉพาะหลังจาก กรณีนี้แล้ว ใครจะเป็นรายต่อไป และผลกระทบของวิกฤตซับไพรมในสหรัฐกำลังขยายใหญ่ไปไกลเท่าใด ในโอกาสนี้ ประชาชาติธุรกิจได้รวบรวมบทวิเคราะห์เกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำคัญๆ ของโลก เพื่อนำมาประมวลให้เห็น ภาพที่เด่นชัด และทิศทางที่ควรจะเป็นไปของ อุตสาหกรรมนี้ในปีหน้า

มะกันซึมยาวถึงปี"51

ตัวเลขสร้างบ้านใหม่ในเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐ และการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ลดลง สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งนักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่พบสัญญาณที่สะท้อนว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศเริ่มนิ่ง และมีเสถียรภาพ มากขึ้น เมื่อรวมเข้ากับจำนวนที่อยู่อาศัยเดิมที่มีตัวเลขสูงมากจนเกือบทำสถิติสูงสุด และราคา ที่จะยังปรับลงอย่างต่อเนื่อง ชี้ชัดว่าทิศทางของ อสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะอยู่ในภาวะซบเซา ต่อเนื่องไปถึงปี 2551 การลดลงของจำนวนโครงการสร้างบ้านใหม่ ภาวะตกต่ำของภาคอสังหาริมทรัพย์จะมากกว่า 1% ดังที่เกิดขึ้นในไตรมาสก่อน แม้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีก็ตาม

อีกตัวแปรหนึ่งที่สะท้อนชัดว่า สถานการณ์ จะเลวร้ายลงในอนาคตอันใกล้ คือ ยอดการยื่น ขออนุญาตสร้างอาคารที่ตกลงติดต่อกันเป็น เดือนที่ 6 ลดลง 1.5% มาอยู่ที่อัตรารายปีที่ ปรับตามฤดูกาลแล้ว 1.15 ล้านหลัง ถือเป็นตัวเลขยื่นขออนุญาตที่น้อยที่สุด นับจากปี 2536

คาร์ล ริคคาดอนนา นักเศรษฐศาสตร์ ของดอยช์แบงก์ ซิเคียวริตีส์ ให้ความเห็นว่า แม้ตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเคลื่อนผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่แนวโน้มยังไม่สดใสเอามากๆ และคงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้รอดพ้นภาวะถดถอยในปีหน้าอย่างหวุดหวิด

ขณะที่ โจชัว ชาปิโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำมาเรีย ฟิออรินี รามิเรซ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ให้ทรรศนะผ่านบทวิจัยฉบับหนึ่งว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐได้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างมากแล้ว นับจากวิกฤตสินเชื่อได้ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนสิงหาคม ดังนั้นเมื่อการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังจำกัดและตีบตันเช่นนี้ต่อไป ขณะที่จำนวนสต๊อกของบ้านที่ขายไม่ออกก็ สูงมากเกินไป แนวโน้มในระยะสั้นและระยะกลางของตัวเลขสร้างบ้านใหม่จึงพลอยแย่ไปด้วย

อังกฤษใกล้ชะงัก

ปัญหาในอเมริกาไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศ อาการย่ำแย่ของนอร์เธิร์น ร็อก สถาบันสินเชื่ออันดับ 5 ของอังกฤษ สะท้อนชัดว่า แม้แต่แดนผู้ดีซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก กำลังเผชิญปัญหาคล้ายๆ กัน ยิ่งแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยิ่งส่งสัญญาณอันตราย

รายงานล่าสุดของไรต์มูฟพบว่า ราคาบ้าน ในลอนดอนได้ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี ในเดือนธันวาคม โดยเฉลี่ยราคาบ้านในมหานครแห่งนี้ได้ลดลง 6.8% เหลือ 384,632 ปอนด์ จากเดือนพฤศจิกายน ถือเป็นการลดลงมากที่สุดของราคาบ้านนับจากปี 2545 ขณะที่ภาพรวมราคาบ้านทั่วประเทศลดลง 3.2% ถือเป็นการ ลดลงที่มากเป็นสถิติเช่นกัน

ไมลส์ ชิปไซด์ ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ของไรต์มูฟ เปิดเผยว่า ตลาดกำลังอยู่ในสภาพที่ลำบาก ซึ่งคาดว่าแนวโน้มจะค่อนข้างทรงในปีหน้า โดยราคาบ้านจะไม่มีการปรับขึ้น ในช่วงที่หลายฝ่ายกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผ่านวิกฤตสภาพคล่องครั้งนี้ให้ได้

ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษได้ตัดสินใจปรับ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ในเดือนธันวาคม โดยให้เหตุผลว่าเพื่อรับมือกับความเสี่ยงของภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ความเชื่อมั่นในหมู่นายหน้าซื้อขายที่ดินตกฮวบลง จากผลพวงของสินเชื่อที่อยู่อาศัยแพงขึ้นมาก บวกกับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์มีราคาที่แย่ที่สุดนับจากปี 2538 ก็ไม่จูงใจให้คนซื้อบ้าน ในช่วงเวลาเช่นนี้

ด้านแอสเสตซ์ บริษัทวิจัยตลาดอสังหา ริมทรัพย์ในอังกฤษ คาดการณ์ว่า การปล่อย สินเชื่อประเภทด้อยคุณภาพ หรือซับไพรม จะยังคงมีปัญหาอย่างรุนแรงในปี 2551 โดยที่ ผู้ยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีประวัติการเงิน ไม่ค่อยดีจะต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ข้อเสนอสินเชื่อประเภทอื่นๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

อสังหาฯพาณิชย์ออสซี่ยังแกร่ง

ย้อนกลับมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ออสเตรเลีย แม้จะเกิดกรณีของเซนโทร พร้อพเพอร์ตี้ขึ้นมา แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคาดการณ์ว่า โดยปัจจัยพื้นฐานแล้ว อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในประเทศจะยังมีกำไรที่แข็งแกร่งอยู่

จอห์น เวลช์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน บริษัทจัดการกองทุน อาร์มีเทจ พร้อพเพอร์ตี ฟันด์ส แมเนจเมนต์ ตั้งข้อสังเกตว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเต็มไปด้วยเงินลงทุนที่พร้อม จะปล่อยกู้ออกมา ทำให้ตลาดนี้ไม่อยู่ในจุดที่เสี่ยง เมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐที่สภาพคล่องเหือดแห้งอย่างมาก

ขณะที่ เครก เจมส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์คอมม์เซค เตือนว่า มุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงนี้เลวร้ายมากเกินไป คล้ายๆ ว่ากำลังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อข่าวที่เกินความเป็นจริงไป แต่ถึงอย่างไรตลาดอสังหาริมทรัพย์ของออสเตรเลียก็อยู่ในภาวะที่แข็งแกร่ง

หากพิจารณาจากอัตราการจับจองพื้นที่ ที่สูงมาก โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์รายย่อย ทุกอย่างยังอยู่ในจุดที่ดีอยู่ในช่วงเวลานี้ แม้แต่ระดับหนี้ภาคธุรกิจก็ไม่มีอะไรที่น่าวิตกกังวล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมา พวกเขามี ผลกำไรที่ดีมากๆ

เอเชียโตสวนทาง จีนร้อนระอุ

ในเอเชีย โดยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่จีน เกาหลีใต้ จรดอินเดีย และสิงคโปร์ กลับอยู่ในจุดที่แตกต่างกับสหรัฐโดยสิ้นเชิง ราคาที่อยู่อาศัยมีแต่ขยับขึ้น ตามแรงฉุดของ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจีน ถือเป็นตลาดที่ร้อนแรงที่สุดในภูมิภาค จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยจำนวนมากเริ่มมีความเสี่ยง และอาจส่งผลให้ประเทศเผชิญวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ภายในในอนาคต

ปัญหาของจีนคือ ขาดระบบฐานข้อมูลสินเชื่อที่ครอบคลุมทั้งระบบ ผู้กู้มักจะให้ข้อมูลผิดๆ เพื่อให้ได้คุณสมบัติต้องตามเกณฑ์บังคับ

ยี่ เซียนหรง นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของไชน่า อะคาเดมี ออฟ โซเชียล ไซน์ สถาบันวิจัยของรัฐบาล เชื่อว่า คุณภาพโดยภาพของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในจีน อาจเลวร้ายลงมากสินเชื่อ ที่อยู่อาศัยเสี่ยงสูง ที่กำลังสร้างปัญหาให้กับ สหรัฐอย่างมากในเวลานี้ โดยเฉพาะหาก ประเมินจากจำนวนผู้ถือสัญญาเงินกู้ซื้อบ้าน ในปัจจุบัน คาดว่า มีจำนวนมากที่มีคุณสมบัติ ไม่เป็นไปตามเกณฑ์บังคับ และอาจต่ำกว่าเกรดซับไพรมด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถประเมิน ความเสี่ยงได้ชัดเจน หากตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนเกิดล่มสลาย เพราะขาดข้อมูลที่ชัดเจน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0205
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/12/07

โพสต์ที่ 158

โพสต์

ราคาบ้านในสหรัฐ ดิ่งเหวในรอบ 20 ปี ฉุดจำนวนคนซื้อบ้านหลังแรกในชีวิต ตกต่ำในรอบ 27 ปี

ราคาบ้านในสหรัฐ มีแนวโน้ม ตกต่ำต่อเนื่องอีก 5 - 10 ปี
นาย โรเบิร์ต ชิลเลอร์ อาจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์ชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยเยลล์ในสหรัฐ และยังเป็นผู้จัดทำค่าดัชนีราคาบ้านที่มีชื่อว่า เอสแอนด์พี เคส ชิลเลอร์ กล่าวว่า ภาวะตกต่ำอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จะยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดอย่างที่หลายคนตั้งความหวัง ในทางกลับกัน ภาวะดังกล่าวอาจเลวร้ายต่อเนื่องในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้าจากนี้ไป นอกจากนี้ ราคาบ้านในสหรัฐที่ตกต่ำในขณะนี้ อาจสร้างความเสียหายมากขึ้นกว่าเดิมอีก 2 เท่า และในปีหน้า ราคาบ้านในสหรัฐจะตกต่ำมากกว่าในปีนี้ โดยมีโอกาสสูงที่ราคาบ้านจะทรุดลงถึง 10%

ราคาบ้านในสหรัฐ เดือน ต.ค. ทรุดหนักในรอบ 20 ปี
ดัชนีเอสแอนด์พี เคส ชิลเลอร์ ซึ่งเป็นดัชนีราค้านในสหรัฐ ที่ได้รับการยอมรับ และอ้างอิงทั่วประเทศ ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ราคาบ้านตกต่ำลงมากถึง 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กลายเป็นสถิติราคาบ้านในสหรัฐ ที่ทรุดต่ำลงมากที่สุดในรอบ 20 ปี หรือนับตั้งแต่ในปี 1987 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มมีการจัดทำค่าดัชนีดังกล่าวเกิดขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นค่าดัชนีที่ตกต่ำต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน และยังให้ผลตอบแทนที่ตกต่ำติดต่อกันถึง 23 เดือน ทั้งนี้ สาเหตุมาจาก จิตวิทยาของชาวอเมริกันยังคงตกต่ำ

จำนวนผู้ซื้อบ้านครั้งแรกในอังกฤษ ทรุดหนักในรอบ 27 ปี
ฮาลิแฟ๊กซ์ สำนักวิจัยชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ซื้อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยครั้งแรกในชีวิตที่ประเทศอังกษ มีจำนวนลดลงในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีเพียง 3 แสนราย และกลายเป็นสถิติจำนวนผู้ซื้อบ้านครั้งแรกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 27 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ราคาเฉลี่ยบ้านหลังแรก สำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรกในชีวิต กลับเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยที่หลังละ 175,093 ปอนด์สเตอริง หรือเฉลี่ยหลังละ 11.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 15%

แนวโน้มจ้างงานในสหรัฐ ยังเพิ่มขึ้นในปีหน้า
สำนักวิจัยแคเรียร์ ดอท คอม ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านทรัพยากรบุคคลชั้นนำในสหรัฐ เปิดเผยผลสำรวจผู้บริหารระดับสูงฝ่ายทรัพยากรบุคคลทั่วสหรัฐ จำนวน 3,016 คน ล่าสุด พบว่า ในปีหน้า บรรดาบริษัทชั้นนำยังคงมีการว่าจ้างพนักงานเพิ่มเติม ท่ามกลางการควบคุมต้นทุนด้านการจ้างงานอย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยมีจำนวนมากถึง 32% ที่พร้อมจะเพิ่มการจ้างงานพนักงานประจำ ซึ่งเป็นสัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่ลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งเคยอยู่ที่ 40% อย่างไรก็ตาม มีจำนวน 8% ของผลสำรวจฝ่ายทรัพยากร ที่จะลดการจ้างงานลง

ธนาคารแคปปิตัล แบงก์ ตัดหนี้สูญ เกือบ 1 แสนล้านบาท
นาย มาร์ค เรมอนด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงสินเชื่อ ธนาคารแคปปิตัล แบงก์ เปิดเผยว่า ธนาคารมีความจำเป็นต้องตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้นเป็นมูลค่าระหว่าง 2.6 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือระหว่าง 8.84 9.52 หมื่นล้านเหรียญ จากสาเหตุตลาดสินเชื่อที่ยังคงซบเซา ส่งผลกระทบต่อกำลังการช้ำระหนี้ของลูกค้าธนาคาร ถึงแม้ว่าธนาคารแคปปิตัล แบงก์ จะไม่มีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภท Subprime แต่อย่างใด

ธนาคารดอยช์แบงก์ ชี้ แบงก์ทั่วโลกขาดทุน Subprime กว่า 13 ล้านล้านบาท
นาย ไมค์ เมโย นักวิเคราะห์จากธนาคารดอยช์แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำจากเยอรมนี เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกจะขาดทุนจากวิกฤติสินเชื่อ และตราสารหนี้ Subprime สูงมากถึง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 13.6 ล้านล้านบาท เนื่องจากทุก ๆ 4 รายการของสินเชื่อดังกล่าวของธนาคาร จะมี 1 รายการที่ต้องการลายเป็นหนี้สูญ ทั้งนี้ จากมูลค่าดังกล่าว จะพบว่า ความเสียหายเฉพาะในส่วนสินเชื่อ Subprime จะอยู่ระหว่าง 1.5 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.1 - 8.5 ล้านล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/12/07

โพสต์ที่ 159

โพสต์

"7 สัญญาณอันตราย" จับตาเศรษฐกิจมะกันบนทาง 2 แพร่ง

ใครๆ ก็รู้กันว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลัง เดินอยู่บนปากเหวแห่ง "ภาวะถดถอย" ที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า เพียงแต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดการเงินที่กำลังเผชิญวิกฤตในขณะนี้จะส่งผลรุนแรงจนฉุดให้เศรษฐกิจตกต่ำได้มากขนาดไหน หรือการใช้จ่ายที่แข็งแกร่งของผู้บริโภคและการส่งออกจะเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ให้ดีขึ้น

"นาริมาน เบห์ราเวช" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก "โกลบอล อินไซต์" ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้อยู่ในโซนอันตรายอย่างยิ่ง หากเกิดเหตุการณ์ช็อกขึ้นมา แม้จะเล็กน้อยก็ตาม ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

ไม่เพียงแต่เบห์ราเวชที่มองเช่นนี้ แต่บรรดา นักเศรษฐศาสตร์ที่วิเคราะห์หุ้นในกลุ่มบลูชิพ ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน โดยนักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 51 รายมองว่า มีโอกาสถึง 40% ที่จะเกิด ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปี 2551 โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจน่าจะอยู่ที่ระดับ 2.1% ตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงต้นปี 2552

"มาร์เก็ตวอตช์" ได้จัดทำบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ โดยจับสัญญาณอันตราย 7 ประการ ที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจในปีหน้า

ตลาดสินเชื่อ

สัญญาณอันตรายอันดับแรก คือ ตลาด สินเชื่อ ซึ่งต้องจับตาดู "ลอนดอน อินเตอร์แบงก์ โอเวอร์ไนต์ เรต" (Libor) หรืออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารที่ปล่อยกู้แก่กองทุนที่มีความเสี่ยงในอังกฤษ และพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้อยู่ที่ 0.75% ขณะที่ปกติอยู่ที่ประมาณ 0.10% ดังนั้นหากระยะห่างของผลตอบแทนกลับมาอยู่ในระดับปกติ อันตรายที่เกิดจากภาวะสินเชื่อตึงตัวก็จะยุติลง และเศรษฐกิจ ก็จะสามารถหลีกจากภาวะอันตรายได้

แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ไม่รู้ว่ายังมีเงื่อนไขอะไร ที่ซ่อนอยู่ในตลาดสินเชื่อระยะสั้น ซึ่งธุรกิจ ขนาดใหญ่จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนในการขยายกิจการ โดยตลาดสินเชื่อบางแห่งก็ยังทำงานได้ดี ขณะที่บางตลาดก็ติดขัด ส่วนบางบริษัท โดยเฉพาะในธุรกิจสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ ไม่สามารถขาย commercial paper ออกไปได้ และอีกหลายบริษัทไม่สามารถขอกู้จากธนาคารได้ เนื่องจากแบงก์ต้องสำรองเงินเอาไว้

ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญอยู่ที่ "ความกลัว" หลังจากที่เคยยอมรับสินเชื่อที่มีการค้ำประกันมาเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันผู้ให้กู้เริ่มระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นผู้ให้กู้เหล่านี้จึงมักหลีกเลี่ยงอะไรก็ตาม ที่อาจก่อปัญหาซับไพรมขึ้น

และเนื่องจากปัญหาซับไพรมมีแนวโน้มจะขยายวงมากขึ้น รวมทั้งยังซ่อนอยู่ในกองทุน เฉพาะกิจที่เรียกว่า SIVs (special investment vehicles) และตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (collateralized debt obligations-CDO) จึงยังไม่มีใครรู้ถึงความเสียหายที่แท้จริงจากพิษซับไพรมว่าจะมีมูลค่าเท่าใด และจะเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง

ดังนั้น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางอื่นๆ จึงต้องพยายามอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบ และ Libor ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่จะช่วยเติมสภาพคล่องในตลาดสินเชื่อให้มากขึ้น

การนำเงินทุนไปใช้

สัญญาณอันตรายต่อมา คือ การที่บริษัท ต้องควักเงินของตัวเองมาลงทุนในส่วนที่จำเป็น ในกรณีที่ไม่สามารถขอกู้ยืมจากที่อื่นได้ ซึ่งจะกระทบต่อผลกำไรของบริษัท โดยอาจมีบาง บริษัทที่ยังทำรายได้ได้ดี และรักษาศักยภาพในการลงทุนไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็อาจมีอีกหลายบริษัทที่ผลกำไรในปีหน้าเติบโตลดลง

และแม้บริษัทต่างๆ จะมีรายได้เพียงพอที่จะ นำไปลงทุนเพิ่ม แต่บริษัทเหล่านั้นต้องการจะ ทำเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่ เพราะยังมีคำถามอยู่ว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่บริษัทจะลุกขึ้นมา เพิ่มศักยภาพของตัวเองจริงๆ หรือในเมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐและเศรษฐกิจโลกต่างกำลังชะลอตัวลง แม้ว่าอาจมีบางบริษัทที่ต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับยุคบูมที่อาจมาถึงหลังจากนี้ แต่เป็นไปได้มากกว่าที่บรรดาผู้บริหารบริษัทจะเลือกลดรายจ่ายในระยะสั้น และระงับแผนใหม่ๆ ไว้ก่อนในระยะนี้

ราคาน้ำมัน

สัญญาณอันตรายประการที่ 3 คือ ราคา น้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อ พื้นฐาน (core inflation rates) เพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่า "ภาวะเศรษฐกิจถดถอย" (recession) ที่หลายฝ่ายกำลังกังวล กันอยู่ คือ "ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน" หรือ stagflation ซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาราคาสินค้า พุ่งสูงขึ้น ควบคู่ไปกับภาวะการชะลอตัวของ ระบบเศรษฐกิจ และราคา "น้ำมัน" ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำนายถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกว่าจะเป็นเช่นไร

ข่าวดีก็คือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะยังอยู่ ในระดับปานกลาง แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่เฟดและภาคเอกชนวิตกกันก็คือ ผลกระทบทางจิตวิทยา ต่อปัญหาเงินเฟ้อที่อาจส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

มองในแง่ดี เศรษฐกิจโลกอาจสามารถปรับตัวให้รับมือกับราคาน้ำมันในระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้

แต่ที่ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ คือ เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้มากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางภาวะราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นมากเป็น 2 เท่า ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง และยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจีนจะพลอยสะดุดไปด้วยหรือไม่

การส่งออก

สัญญาณอันตรายที่ 4 ที่ต้องจับตา คือ การส่งออก ค่าเงินดอลลาร์ และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งข้อดีประการหนึ่งของเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลง คือ การส่งออกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ผู้ผลิตจากสหรัฐกลับมามีส่วนแบ่งใน ตลาดโลกมากขึ้น

เศรษฐกิจสหรัฐจะค่อยๆ เปลี่ยนจากการเน้นสร้างบ้านมาเป็นการผลิตสินค้าประเภทต่างๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะกินเวลานานพอสมควร และอาจจะช่วยลดภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐที่มีอยู่มหาศาล และนี่อาจจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวด้านการส่งออกของสหรัฐยังต้องขึ้นอยู่กับ 2 ตัวแปร ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าของสหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์

ตลาดอสังหาริมทรัพย์

สัญญาณอันตรายที่ 5 ต้องจับตาไปที่จำนวนบ้านที่ขายในตลาด รวมถึงการสร้างบ้านใหม่
เนื่องจากตลาดอสังหาฯได้ถ่วงให้เศรษฐกิจของสหรัฐย่ำแย่มา 2-3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะเป็น เช่นนี้ต่อไปในปีหน้า

"อีธาน แฮร์ริส" นักเศรษฐศาสตร์จาก เลห์แมน บราเธอร์ส ระบุว่า ภาวะช็อกในตลาดอสังหาฯเพิ่งจะเดินมาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตัวเลขการยึดบ้านและที่อยู่อาศัยจะเพิ่มขึ้นราว 4 เท่า อยู่ที่ 1 ล้านหน่วยในปี 2551 และปี 2552 ทำให้ซัพพลายของบ้านยังสูง และกดดันให้ราคาบ้านลดลง

แม้ผู้สร้างจะพยายามลดจำนวนบ้านที่ขายไม่ได้ในสต๊อกลง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจ เพราะยอดขายบ้านลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับจำนวนการสร้างบ้านใหม่ นอกเหนือจากนี้ยังมีตัวเลขการยกเลิกการซื้อที่ไม่ได้ถูกนับรวมอีกจำนวนมาก

การใช้จ่ายของผู้บริโภค

สัญญาณอันตรายอันดับ 6 คือ การใช้จ่าย ของผู้บริโภค
รวมถึงภาวะการจ้างงาน การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเดือน และฐานะของครัวเรือน โดยปัจจัยที่ผลักดันการใช้จ่ายของผู้บริโภค คือ ภาวะการจ้างงานที่จะช่วยทำให้อัตราเงินเดือนยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาภาวะ การจ้างงานชะลอตัวมากที่สุด และคาดกันว่าน่าจะยังชะลอตัวลงต่อเนื่องอีกในปีหน้า

ซึ่งนั่นอาจทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภค ชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 17 ปี

นอกจากนี้ ราคาที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยราคาบ้านอาจจะลดลงราว 20% และยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในเร็ววัน

"โจช ไฟน์แมน" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของดอยช์ แอสเส็ต แมเนจเมนต์ ระบุว่า ราคาบ้านกำลังลดลง และน่าจะส่งผลต่อการใช้จ่ายของ ผู้บริโภคสมควร

"ตัวช่วย" จากวอชิงตัน

สัญญาณเตือนสุดท้าย คือ อัตราดอกเบี้ย ชั่วข้ามคืน (fed funds rate)
กฎหมายเรื่องภาษีและการใช้จ่าย ซึ่งมาตรการของภาครัฐที่ เหมาะสมอาจจะช่วยบรรเทาความยากลำบาก ของสภาวะเศรษฐกิจลงได้

ทั้งนี้ เฟดคำนึงถึงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายครั้งหลายครา ซึ่งนักสังเกตการณ์บางรายมองว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะการลดดอกเบี้ยยิ่งทำให้ผู้บริโภคยิ่งกู้หนี้ยืมสินมากขึ้น

ซึ่งการแก้ปัญหาให้ได้ผลควรจะใช้นโยบาย ด้านการคลังเพื่อชะลอวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่เพราะ เป็นฤดูกาลใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้น ในปีหน้า ทั้ง 2 พรรคการเมืองจึงไม่อยากจะ ใช้แนวทางนี้ แต่เลือกที่จะใช้มาตรการทั่วๆ ไป อาทิ มาตรการลดภาษี และเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐมากขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0205
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/12/07

โพสต์ที่ 160

โพสต์

ยักษ์ใหญ่สถาบันการเงินสหรัฐ ตัดหนี้สูญเพิ่มอีกกว่า 1 ล้านล้านบาท ปลดพนักงานอีกกว่า 1 พันคน

3 ยักษ์สถาบันการเงินสหรัฐ ตัดหนี้สูญเพิ่มอีก 1.15 ล้านล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ โกลด์แมน แซ็ค ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเมอร์ลิน ลินช์ แอนด์ โค ทั้ง 3 แห่งมีแนวโน้มสูง ที่จะต้องตัดหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกรวมกันทั้งสิ้น 3.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.15 ล้านล้านบาทจากวิกฤตสินเชื่อ และตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสับไพร์ม ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารซิตี้กรุ๊ป ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จำเป็นต้องตัดหนี้สูญในครั้งนี้อีก 1.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6.35 แสนล้านบาท และลดเงินปันผลลง 40%

ธนาคารเจพีมอร์แกน ตัดหนี้สูญอีกกว่า 1 แสนล้านบาท
ด้านธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในสหรัฐ จำเป็นต้องตัดหนี้สูญราว 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าหนี้สูญที่ต้องตัดทิ้งเพิ่มสูงขึ้นถึง 2 เท่าจากที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ แอนด์ โค จำเป็นต้องตัดหนี้สูญราว 1.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.91 แสนล้านบาท ทั้งนี้ หากเป็นไปตามที่ประเมินไว้ จะทำให้มูลค่าหนี้สูญที่เกิดขึ้นจากทั้ง 3 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก รวมกันสุทธิในปีนี้ พุ่งขึ้นมากถึง 3.29 ล้านล้านบาท

เมอร์ลิน ลินช์ แอนด์ โค ตัดหนี้สูญ และปลดพนักงานออกเพิ่ม
บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ แอนด์ โค แถลงเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากความจำเป็นที่จะต้องตัดหนี้สูญเพิ่มเติมอีกราว 1.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.91 แสนล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้ ยังมีความจำเป็นที่จะต้องปลดพนักงานของบริษัทออกอีกครั้ง เป็นจำนวน 1,600 คน หรือคิดเป็นกว่า 2% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด 6.4 หมื่นคน คาดว่า จะเป็นพนักงานในส่วนของฝ่ายซื้อขาย หรือเทรดดิ้ง อย่างไรก็ตาม การปลดพนักงานในครั้งนี้ ไม่รวมในส่วนวานิชธนกิจ

อัตราการขอสินเชื่อบ้านในสหรัฐ ทรุดต่ำทรุดรอบ 1 ปี
สมาคมผู้บริหารธนาคารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ สหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนการยื่นขอสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า มีจำนวนธุรกรรมการขอสินเชื่อดังกล่าวทั่วสหรัฐ ลดลงต่ำสุดในรอบปี โดยมีค่าดัชนีทรุดลง 7.6% เหลือเพียง 603 รายการ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ที่ปรับลดลงในระดับต่ำ หลังได้รับมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจาก ความไม่มั่นใจ และการชะลอการซื้อหาบ้านของชาวอเมริกันที่เกิดขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/01/08

โพสต์ที่ 161

โพสต์

โกลด์แมน แซ็ค ชี้ ผลประกอบการบริษัทปีนี้ น่าห่วง
นางแอ็บบี้ โจเซฟ โคเฮน หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลด์แมน แซ็ค ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก เปิดเผยมุมมองเศรษฐกิจ และตลาดทุนสหรัฐในปีนี้ว่า ในส่วนของตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐนั้น ปีนี้จะยังคงเป็นปีที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงมากมาย ซึ่งจะฉุดผลประกอบการของบริษัทชั้นนำในสหรัฐให้ทรุดตัวลงต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ จะชะลอตัวลงจากปีที่แล้ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นนิวยอร์ก จะเกิดภาวะผันผวนมากที่สุดในครึ่งแรกของปีนี้ จากนั้น เริ่มฟื้นตัวในครึ่งหลังปีนี้
โกลด์แมน แซ็ค มอง ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปีนี้ เพิ่ม 10%
หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลด์แมน แซ็ค กล่าวต่อไปว่า สิ้นปีนี้ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ จะปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดเพียง 10% โดยดัชนีดังกล่าวจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 14,750 จุด ด้านดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 อาจปรับเพิ่มขึ้นระหว่าง 7 - 14% โดยดัชนีดังกล่าวจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,675 จุด ในช่วงสิ้นปีนี้ นางแอ็บบี้ โจเซฟ โคเฮน ยังมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างที่ชาวอเมริกันกำลังเป็นกังวล เนื่องจาก เชื่อมั่นว่า แบงก์ชาติสหรัฐ จะต้องรักษาดอกเบี้ยระยะสั้นต่ำต่อเนื่อง ตลอดทั้งปีนี้เช่นกัน

บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ มองเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวต่ำกว่า 2% สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ส่วนใหญ่ล้วนมีมุมมองที่สอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจสหรัฐปี 2551 จะขยายตัวต่ำกว่า 2% อย่างแน่นอน เริ่มต้นที่ เลห์แมน บราเธอร์ มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 1.8% เมอร์ลิน ลินช์ คาดว่าจะมี จีดีพี เพียง 1.4% อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวข้อมูลเศรษฐกิจชั้นนำของโลก อย่าง ทอมสัน ไฟแนนเชียล กลับมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ จะขยายตัวระหว่าง 2% - 2.5%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news04/01/08

โพสต์ที่ 162

โพสต์

จอร์จ บุช ประชุมคลัง และแบงก์ชาติสหรัฐ วันพรุ่งนี้
ล่าสุด ประธานาธิบดี จอร์จดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐ เตรียมประชุมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ นายเฮนรี่ พอลสัน และผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด นายเบน เบอร์นันกี้ ในวันพรุ่งนี้ตามเวลาในสหรัฐ โดยเน้นประเด็นการพิจารณาเพิ่มเติม เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ท่ามกลางภาวะการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในปัจจุบันจนถึงสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ หลังการประชุมในช่วงครึ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ ผู้นำสูงสุดสหรัฐ จะเปิดแถลงเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวในเวลา 13.00 น. ตรง ตามเวลาในสหรัฐ

ชาวอเมริกัน ล้มละลายพุ่งเกือบ 40% ในปี 2550
นาย ซามัวร์ เจ เจอร์ดาโน่ ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันล้มละลายอเมริกัน แห่งสหรัฐ หรือเอบีไอ เปิดเผยว่า ในปี 2550 ที่ผ่านมา มีจำนวนชาวอเมริกัน ต้องมีสภาพล้มละลาย เข้ายื่นขอมากเกือบ 40% เมื่อเทียบกับในปี 2549 นั่นหมายถึง มีจำนวนชาวอเมริกันทั่วประเทศเป็นจำนวน 801,840 คน ในขณะที่ปี 2549 มีชาวอเมริกันล้มละลายทั่วประเทศ 573,203 คน ทั้งนี้ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันดังกล่าว มองว่า ในปีนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่จะต้องล้มละลาย อาจเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมามากขึ้น

ยอดขายรถยนต์ธันวาคมในสหรัฐ ทรุดหนัก มากสุดรอบ 10 ปี
ยอดขายรถยนต์ชั้นนำทั้ง 3 ยี่ห้อดัง ประจำเดือนธันวาคมในสหรัฐ ตกต่ำส่งท้ายปี 2550 เช่น เจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม มียอดขายทรุดลงถึง 4.4% ฟอร์ด มอเตอร์ ร่วงลง 9.2% และโตโยต้า มอเตอร์ ลดลงเพียง 1.7% ทั้งหมดเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปี 2549 ส่งผลให้กลายเป็นสถิติยอดขายที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญในตลาดรถยนต์สหรัฐ ยังมองว่า ตลาดรถยนต์ปีนี้ของสหรัฐ จะไม่มีความแตกต่างจากในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยอดขายทั้งปี 2550 ของโตโยต้า กลับขึ้นเป็นอันดับ 2 แทน ฟอร์ด มอเตอร์
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/01/08

โพสต์ที่ 163

โพสต์

โอกาสเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยมากกว่า 50% เฟดต้องเพิ่มวงเงินสภาพคล่อง 1 ล้านล้านบาทเดือนนี้
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 07, 2008
ทำเนียบขาว สหรัฐ ชี้ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ทรุดต่ำสุดกลางปีนี้
นายเอ็ดวาร์ด เลเซียร์ ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งทำเนียบขาว สหรัฐ กล่าวว่า ภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ สหรัฐ ที่เกิดขึ้นในช่วงกว่าปีครึ่งที่ผ่านมา ทำให้ฉุดภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนั้น มีแนวโน้มชัดเจนว่า ภาวะดังกล่าวจะตกต่ำจนถึงขีดต่ำสุดในช่วงกลางปีนี้ หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะฟื้นกลับคืนสู่สภาพปกติ นอกจากนี้ นายเอ็ดวาร์ด เลเซียร์ กล่าวเริมว่า ตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบมากกว่า 4 ปี ไม่ได้ถือว่าเป็นข่าวร้าย หรือปัจจัยลบทางเศรษฐกิจของสหรัฐ

นักวิชาการ ม.ฮาวาร์ด สหรัฐเผย โอกาสถดถอยมากกว่า 50%
ศาสตราจารย์ มาติน เฟลด์สไตน์ วัย 68 ปี อาจารย์ประจำด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แห่งสหรัฐ กล่าวว่า โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในปีนี้ มีมากขึ้นถึงกว่า 50% ในปัจจุบัน หลังตัวเลขการจ้างงานเดือนธันวาคมปี 2549 ซึ่งประกาศในวันศุกร์ที่ผ่านไป พบว่า มีการจ้างงานลดต่ำลงมากกว่าที่คาด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบมากกว่า 4 ปี และภาวะการว่างงานพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 5% โดยชาวอเมริกันเริ่มมีความกังวลมากขึ้นกับอนาคตของตนเองลดการใช้จ่ายลง ซึ่งจะฉุดเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง

เฟด ประกาศเพิ่มวงเงินสภาพ คล่อง 2 ครั้งในเดือนนี้
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ตัดสินใจเพิ่มวงเงินสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินสหรัฐมากถึง 1 เท่าซึ่งเหลืออีกจำนวน 2 ครั้งในเดือน มกราคม วึ่งได้ถูกกำหนดไว้ในวันที่ 14 และ 28 มกราคมนี้ โดยวิธีการประมูลในตลาดสินเชื่อ ทั้งนี้ มูลค่าวงเงินดังกล่าวเพิ่มจาก 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นมาเป็น 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือจาก 6.8 แสนล้านบาท ขึ้นมาเป็น 1 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ เฟด ยังให้ค่ำมั่นสัญญาว่า จะดำเนินการเพิ่มวงเงินเข้าสู่สภาพคล่องโดยวิธีการดังกล่าวต่อไปเท่าที่จำเป็นในอนาคต

ธนาคารเครดิต สวิส ต้องตัดหนี้สูญเพิ่มอีกกว่า 6 หมื่นล้าน
ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของสวิสเซอรแลนด์ ที่มีชื่อว่า ธนาคารเครดิต สวิส อาจมีความจำเป็นที่จะต้องตัดลดหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขหนี้สูญประจำไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ประมาณ 2,500 ล้านฟรังค์สวิส หรือราว 7.5 หมื่นล้านบาท ก่อนหน้านี้ ธนาคารดังกล่าว ได้ตัดหนี้สูญไปเป็นจำนวนมากถึง 2,200 ล้านเหรียญฟรังค์สวิส หรือราว 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ที่ผ่านไป ส่งผลให้กำไรสุทธิของธนาคารเครดิต สวิส ในไตรมาสที่ 3 ทรุดลงมากถึง 31%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/01/08

โพสต์ที่ 164

โพสต์

โพลล์รอยเตอร์คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.50% ม.ค.นี้

รอยเตอร์ เผยผลสำรวจ ระบุ ธนาคารกลาง (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกบี้ยลงอย่างน้อย 0.25 % ในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.นี้


สำนักข่าวรอยเตอร์ เปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ธนาคารกลาง (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.นี้ และมีบริษัทในย่านวอลล์สตรีทจำนวนมากยิ่งขึ้นที่มองว่า มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่านั้นหลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่น่าผิดหวังในวันศุกร์ (4 ม.ค.) ที่ผ่านมา

นักเศรษฐศาสตร์เชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยสถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ โกลด์แมน แซคส์, เมอร์ริล ลินช์ และเจพีมอร์แกน เชส หันมาคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐฯรายงานในวันศุกร์ว่าการจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อยมากในเดือนธันวาคม ขณะที่การจ้างงานพุ่งขึ้น 0.3% สู่ 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี

บริษัทดีลเลอร์ทั้ง 18 แห่งในโพลล์รอยเตอร์ระบุว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมกำหนดการนโยบายในวันที่ 29-30 ม.ค. โดยดีลเลอร์ 13 รายในจำนวนนี้คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ส่วนดีลเลอร์อีก 5 ราย คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% โดยตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากบริษัทเพียง 1 ราย ซึ่งคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.50% ในโพลล์ครั้งก่อน(11 ธ.ค.)

นายแกรี่ บิกก์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารแบงก์ออฟ อเมริกากล่าวว่า ตัวเลขการจ้างงานในวันศุกร์ช่วยเพิ่มโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อย่างไรก็ดี ก็ยังคงมีเวลาเหลืออีกมากระหว่างช่วงนี้จนถึงการประชุมเฟด ดังนั้น เราจึงยังคงตรึงตัวเลขคาดการณ์ของเราไว้ที่การปรับลดดอกเบี้ย 0.25%

ทั้งนี้ ผลการสำรวจคาดว่า เฟดไม่มีแนวโน้มที่จะยุติการปรับลดดอกเบี้ยไว้เพียงแค่ในเดือนนี้ โดยผู้ตอบโพลล์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 18 มีนาคม และค่ากลางในโพลล์ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะไปแตะจุดต่ำสุดที่ 3.5% ซึ่งคาดว่าสต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนที่คาดว่าระดับต่ำสุดอยู่ที่ 3.75%

โดยเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงรวมกัน 1% ในการประชุมกัน 3 ครั้ง นับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนเป็นต้นมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยขณะนี้อยู่ที่ 4.25% ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี

ด้านมอร์แกน สแตนเลย์ เคยคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 0.50% ภายในเดือนมีนาคม แต่ไม่ได้ระบุว่าจะปรับลดในวันใด ส่วนบีเอ็นพี พาริบาส์ เคยคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งละ 0.25% ในการประชุมเดือนมกราคมและมีนาคม

ผลสำรวจครั้งล่าสุด ระบุว่า ดีลเลอร์ 12 รายคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในเดือนมีนาคม โดยเพิ่มขึ้นจากดีลเลอร์ 8 รายในการสำรวจครั้งก่อน

ในวันศุกร์ที่ผ่านา สัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นได้ปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ในเดือนมกราคม และปรับตัวรับโอกาสราว 70% ที่เฟดจะลดดดอกเบี้ย 0.50%
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/01/08

โพสต์ที่ 165

โพสต์

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยหรือชะลอ ?
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 09, 2008
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก โดยในช่วงต้นปี 2551 มีโอกาสสูงมากที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย สังเกตได้จากการประกาศตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการว่างงาน ราคาบ้าน และดัชนีภาคการผลิต ที่ออกมาแย่กว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ปัญหา Subprime ในสหรัฐฯ ก็ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นปัจจัยที่มากระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่นกัน

ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง จะขึ้นอยู่กับทางการสหรัฐฯ ว่าจะดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วมากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่านายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้แสดงความมั่นใจว่า สหรัฐฯ จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นสูง แต่ ดร.กอบศักดิ์มองว่า ปัญหาของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง โดยในอดีตปัญหาเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดี แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประสบปัญหาทั้งในภาคการเงิน และภาคเศรษฐกิจจริง

ดร.กอบศักดิ์เชื่อว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ เฟดจะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจมากกว่าการดูแลอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน เห็นได้จากการที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 4.25% และข้อมูลในรายงานการประชุมที่แสดงให้เห็นว่า เฟดกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้มาก นอกจากนี้การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ก็น่าจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันได้

สำหรับผลการประชุมเฟดในครั้งนี้ ก็มีความเป็นไปได้ 2 แนวทาง คือ เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% และระบุในรายงานการประชุมว่า สามารถลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก หรือเฟดลดดอกเบี้ย 0.5% เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่วนตลอดปี 2551 ก็มีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 1.25 1.5% ทั้งนี้ การที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย ก็มีผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงด้วย แต่ในอนาคตเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้สหรัฐฯ ลดการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งจะมีผลให้ Current Account ของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นด้วย

ส่วนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ เนื่องจากในช่วง 2 3 เดือนที่ผ่านมา การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มขยายตัวมากขึ้น ขณะที่การส่งออกก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยมากนัก เนื่องจากไทยได้กระจายการส่งออกไปยังตลาดอื่นด้วย และถ้าปัญหาการเมืองคลี่คลาย ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย ส่วนปัญหาค่าเงินบาทก็ขึ้นอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพ และมีทิศทางเดียวกับประเทศคู่แข่ง ก็เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหาต่อผู้ส่งออก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/01/08

โพสต์ที่ 166

โพสต์

ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งหนัก ทรุดลง 238 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ได้รับแรงถล่มเทขายอย่างหนักตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกของการซื้อขายในสัปดาห์ที่ 2 ของปีนี้ กดดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งในตลาดทรุดตัวลงอย่างหนัก ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วง 238 จุด หรือราว 1.8% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทรุดหนักเกือบ 26 จุด หรือราว 1.8% และดัชนีหุ้นนาสแด็ค ร่วง 58 จุด หรือ 2.36% หากนับรวมถึงคืนที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กทรุดหนักถึง 5 วันในจำนวนทั้งหมด 6 วันของปีนี้ กลายเป็นสถิติเริ่มต้นซื้อขายที่เลวร้ายมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1983 หรือในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา

ผลตอบแทนตลาดหุ้นนิวยอร์ก ติดลบ 6 8% จากต้นปีนี้
ภาวะกระหน่ำเทขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ตั้งแต่วันที่ 2 ถึงวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ผลตอบแทนของดัชนีหุ้นดาวโจนส์ติดลบ 5.3% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทรุด 5.5% และดัชนีหุ้นนาสแด็คติดลบ 8% อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับดัชนีสูงสุดในเดือน พ.ย.ปี 50 ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่งร่วงลงถึง 10% สาเหตุที่กดดันนักลงทุนให้เทขายหุ้นอย่างหนัก เกิดจาก ตัวเลขหนี้สินบัตรเครดิตในสหรัฐ ที่พุ่งทะยานขึ้นไปมากที่สุดในรอบ 6 เดือน และคำเตือนเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำในปีนี้ ที่อาจจะย่ำแย่มากกว่าที่คิดไว้

ราคาหุ้น คันทรี่ ไวด์ ทรุดต่ำสุดตั้งแต่เหตุจันทร์ทมิฬ
ราคาหุ้นบริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นสถาบันการเงินสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ตอบรับกับกระแสข่าวอาจต้องล้มละลาย และมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน ที่ต้องการเงินสดเข้าดำเนินธุรกิจสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ต่อไป ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทดังกล่าวทรุดลงต่ำสุดในรอบ 21 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์จันทร์ทมิฬ หรือแบล็คมันเดย์ ในเดือน ต.ค. ปี 1987 หรือเมื่อปี 2530 ทั้งนี้ ราคาหุ้นของยักษฺสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยอันดับ 1 แห่งนี้ ร่วงลงมากถึง 79% ในปีที่ผ่านมา

จอร์จ บุช ชี้ จับตามองเศรษฐกิจสหรัฐตลอดเวลา
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ให้สัมภาษณ์คืนที่ผ่านมาว่า เฝ้าจับตามองภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา หากภาวะดังกล่าวเกิดสะดุด หรือยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง อาจมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันมาตรการสำคัญ และเร่งด่วนในระยะสั้นทันที เพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวม ผู้นำสูงสุดสหรัฐ กล่าวต่อไปว่า มีการพิจารณา และรับฟังความคิดเห็นจากทุกๆฝ่าย ขอย้ำว่าไม่ได้พิจารณาเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น คาดว่าจะมีการแถลงมาตรการสำคัญดังกล่าวในวันที่ 28 ม.ค.นี้ ในการแถลงวาระแห่งชาติสหรัฐ หรือ State of the Union

เฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย เตือนภาวะ Stagflation ในปีนี้
นายชาร์ล พรอสเซอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวยอมรับว่า เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนตัวลงมาก แต่คำถามสำคัญอยู่ที่ ภาวะดังกล่าวจะชะลอตัวลงไปอีกยาวนานแค่ไหน นอกจากนี้ ผู้ว่าการเฟดสาขาดังกล่าว ชี้ต่อไปว่า ในขณะนี้เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้นเกี่ยวกับการเกิดภาวะ Stagflation ที่จะกลายเป็นปัจจัยที่คุกคามอย่างหนักกับเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ นอกจากนี้ โดยส่วนตัว คิดเห็นว่า โอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มเติมนั้นเป็นไปได้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการเฟด

เฟด สาขา บอสตั้น ชี้ โอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่ม มีมากขึ้น
ส่วนผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขา บอสตั้น นาย อีริค โรเซ็นเกร็น กล่าวเมื่อคืนที่ผ่านมาเช่นกัน ที่รัฐคอนเนคติกั๊ต ว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ยังคงมีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ หรือในรอบ 50 ปี ที่สำคัญ ยังคงมีแนวโน้ม ที่การลงทุนในธุรกิจที่อยู่อาศัยในสหรัฐ จะตกต่ำต่อไป ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมสูงมากขึ้น ผู้ว่าการเฟดดังกล่าว ยังคิดเห็นว่า การดำเนินนโยบายการเงินในปีนี้ ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นที่สุดครั้งหนึ่งในหลายทศวรรษ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/01/08

โพสต์ที่ 167

โพสต์

เฟดรับศก.สหรัฐเผชิญความเสี่ยง ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่

11 มกราคม พ.ศ. 2551 10:41:00

ประธานเฟดรับเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้น นักวิเคราะห์คาดเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมปลายเดือนนี้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยอมรับเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น และส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรุนแรงเพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.50 % ในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.

ทั้งนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "ตลาดการเงิน, แนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน" ต่อที่ประชุมสมาคมที่อยู่อาศัยและการเงิน/การคลังนั้น นายเบอร์นันเก้ระบุว่า ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อระดับการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในปีนี้รวมถึง ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น, ราคาหุ้นที่ร่วงลง และมูลค่าบ้านที่ลดต่ำลง

"หลังจากแนวโน้มการเติบโตและความเสี่ยงที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปในระยะนี้ การผ่อนคลายนโยบายลงไปอีกก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็น" นายเบอร์นันเก้กล่าว

"เราพร้อมที่จะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมตามความจำเป็นเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพื่อให้การรับประกันที่เพียงพอในการป้องกันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ช่วงขาลง" นายเบอร์นันเก้กล่าว

นักวิเคราะห์แสดงความพึงพอใจต่อการที่นายเบอร์นันเก้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องอันตรายที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญอยู่ ในขณะที่บางคนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วในขณะนี้

"ผมคิดว่าคุณเบอร์นันเก้ได้ยอมรับความจริงที่ว่า ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออาจจะสร้างความกังวลในอนาคต เขาก็ต้องจัดการกับปัญหาเร่งด่วนในขณะนี้ ซึ่งก็คือความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย" นายแองเจล มาตา กรรมการผู้จัดการ

แผนกการค้าหุ้นจดทะเบียนของบริษัทสไตเฟล นิโคเลาส์ แคปิตัล มาร์เก็ตส์กล่าว

นายเบอร์นันเก้กล่าวเตือนว่า สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว และสิ่งนี้หมายความว่าเฟด "ต้องมีความพร้อมเป็นอย่างมากและต้องมีความยืดหยุ่น โดยเฟดต้องพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเฉียบขาดและทันท่วงที

โดยเฉพาะในการจัดการกับความเคลื่อนไหวในทางลบที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจหรือการเงิน"

ตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นในช่วงแรกหลังจากนายเบอร์นันเก้แสดงความเห็นดังกล่าว แต่ได้อ่อนตัวลงในช่วงต่อมา ก่อนที่จะดีดตัวกลับขึ้นมาปิดตลาดในแดนบวกโดยได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการบริษัทคันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ป ซึ่งเป็นสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวานนี้บวกขึ้น 117.78 จุด สู่ 12,853.09 ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดตลาดขยับขึ้น 13.97 จุด สู่ 2,488.52

ราคาพันธบัตรส่วนใหญ่ปิดร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนถอนเงินลงทุนออกจากพันธบัตรเพื่อไปซื้อหุ้น โดยราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าโดยได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.50 % สู่ 3.75 %

ในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.นี้

สัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวรับความเป็นไปได้ที่สูงมากที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50 % โดยเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแล้ว 1 % นับตั้งแต่กลางเดือนก.ย.เป็นต้นมา

นายเบอร์นันเก้ระบุว่า ขณะนี้ผู้กำหนดนโยบายทางการเงินมีความกังวลกับการรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ มากกว่ากังวลกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเขากล่าวว่าการคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้อ "อยู่ภายใต้การควบคุมเป็นอย่างดี" และให้สัญญาว่าจะจับตาดูการคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด

นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า "ข้อมูลที่ออกมาในช่วงนี้บ่งชี้ว่า กิจกรรมที่แท้จริงมีแนวโน้มย่ำแย่ลงในปีนี้ และความเสี่ยงที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเข้าสู่ช่วงขาลงได้ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดยิ่งขึ้น" นอกจากนี้ นายเบอร์นันเก้ยังระบุว่า

"มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า ภาคธนาคารใช้ความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการปล่อยกู้" แก่ผู้บริโภคและธุรกิจ

อย่างไรก็ดี นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้สำเร็จ โดยเขากล่าวว่า "เฟดไม่ได้คาดการณ์ว่าสหรัฐจะประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เฟดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างเชื่องช้า"

นายเบอร์นันเก้ยังกล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีนี้จะไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกรรมการเฟดเกี่ยวกับวิธีที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไป

"การจัดทำนโยบายที่ดีเป็นเรื่องที่ยากพออยู่แล้วท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงินที่ซับซ้อน" นายเบอร์นันเก้กล่าว

"ปัจจัยทางการเมืองจะไม่มีบทบาทแต่อย่างใด และผมขอรับรองกับคุณเท่าที่ผมทำได้ว่า เราจะใช้ความเป็นกลาง และจะพินิจพิเคราะห์ และเราจะทำในสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเศรษฐกิจ" ประธานเฟดกล่าว

นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า รายงานในวันศุกร์ที่แล้วที่ระบุว่า การจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 18,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค.ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่บ่งชี้ว่าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น และเขากล่าวว่า "ถ้าหากตลาดแรงงานตกต่ำลง ระดับการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคก็จะเผชิญกับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น"

นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า ตลาดการเงินที่ยังคงปั่นป่วนถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าธนาคารและกิจการอื่นๆสูญเสียเงินมากเพียงใดในขณะที่การผิดนัดชำระหนี้จำนองพุ่งสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า ภาคธนาคารเผชิญกับสถานการณ์ที่ปั่นป่วนในปัจจุบัน ในขณะที่อยู่ในสถานะที่ดีและน่าจะผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้

นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า "ถึงแม้สถาบันการเงินขนาดใหญ่บางแห่งปรับลดมูลค่าในบัญชีลงหลายพันล้านดอลลาร์และราคาหุ้นร่วงลง แต่ระบบธนาคารก็ยังคงแข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็ดี ตลาดก็ยังคงเผชิญกับความตึงเครียดเป็นอย่างมากและสิ่งนี้ยังคงเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง"

นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า อัตราการยึดบ้านติดจำนองที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้เจ้าหนี้ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ ถึงแม้ลูกหนี้รายนั้นไม่จัดอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) และภาวะนี้ก็ส่งผลให้ปัญหาในตลาดที่อยู่อาศัยลุกลามออกไปในวงกว้างทั่วทั้งภาคเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ นายเบอร์นันเก้ยังกล่าวว่า มาตรการของเฟดในการเปิดประมูลสินเชื่อพิเศษเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องให้กับระบบการธนาคารกำลังประสบผลสำเร็จในขณะนี้ โดยมาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ภาคธนาคารปล่อยกู้ต่อไป และนายเบอร์นันเก้กล่าวว่ามาตรการเปิดประมูลเงินกู้นี้อาจจะกลายเป็นมาตรการถาวร
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/1 ... sid=219273
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/01/08

โพสต์ที่ 168

โพสต์

เบน เบอร์นันกี้ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยระยะสั้นมากขึ้นในอนาคต พร้อมโต้ไม่เคยประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 11, 2008
ประธานเฟดพร้อมใช้มาตรการเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นาย เบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่า เฟด เตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน เป็นการสร้างหลักประกัน ในการป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆในเศรษฐกิจที่มีมากขึ้นในอนาคต จากการแถลงดังกล่าวของประธานเฟด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เกี่ยวกับมุมมองของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ ส่งผลให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ และนักลงทุน ล้วนมองว่า เฟด เตรียมที่จะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นมากขึ้นจากอัตราในปัจจุบัน คาดว่าอาจลดมากถึง 0.5%

ประธานเฟดโต้ไม่เคยประเมินเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย
นอกจากนี้ ประธานเฟดชี้ว่า หลายปัจจัยที่ฉุดกำลังซื้อของชาวอเมริกันในขณะนี้ เช่น ราคาน้ำมันที่แพงเป็นประวัติการณ์ ราคาหลักทรัพย์ในตลาดที่ตกต่ำ และราคาที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ ที่ทรุดต่ำลงในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม นาย เบน เบอร์นันกี้ พยายามที่จะยืนยันว่า เฟด ไม่เคยประเมิน หรือทำนายว่าเศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ย้ำเสมอในแต่ละครั้งว่า เฟด ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง ทั้งนี้ นาย ลอว์เรนซ์ ลินด์ซี่ อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู บุช มองว่า ดอกเบี้ยดังกล่าวอาจลดลงมากถึง 0.5%

ตลาดทุนคาดเฟดอาจลดดอกเบี้ยระยะสั้นมากถึง 0.5%
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐ ได้รับการปรับลดลงรวมกันทั้งสิ้นถึง 1% ในช่วงที่ผ่านมา จนถึงการปรับลดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือนกันยายนเมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 4.25% ในขณะนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤตสินเชื่อ และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ที่ทรุดลงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี ด้านบริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ โกลด์แมน แซ็ค มองว่า เฟด อาจต้องตัดลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงเหลือเพียง 2.5% ภายในสิ้นปีนี้ และยังมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/01/08

โพสต์ที่ 169

โพสต์

มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสชี้ เรตติ้งประเทศสหรัฐอาจลดลง
มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกจากสหรัฐ กล่าวว่า อันดับความน่าเชื่อของตราสารหนี้ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่อยู่ในระดับสูงสุดของการจัดอันดับที่ AAA อาจได้รับการปรับลดความน่าเชื่อลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หากรัฐบาลสหรัฐ ไม่รีบดำเนินการปรับลดรายจ่ายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม และสาธารณสุขของทั้งประเทศลงมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทั้งนี้ ตราสารหนี้ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ได้รับการเข้าจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ในปี 1970 หรือเมื่อ 90 ปีที่ผ่านมา

รายย่อยชาวอเมริกัน หวั่นหุ้นทรุดต่อเนื่องใน 6 เดือนหน้า
สมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน ในสหรัฐ เปิดเผยผลสำรวจล่าสุด พบว่า มีจำนวนนักลงทุนชาวอเมริกันรายย่อย รู้สึกภาวะหมีเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นนิวยอร์ก มีจำนวนมากกว่านักลงทุนชาวอเมริกันรายย่อย ที่รู้สึกว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กอยู่ในภาวะกระทิง ทั้งนี้ นักลงทุนที่รู้สึกกับภาวะซบเซาในตลาดหุ้น และคาดว่าหุ้นจะยังคงตกต่ำต่อไปในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 59% จากผลสำรวจทั้งหมด ซึ่งกลายเป็นจำนวนที่เพิ่มสูงมากที่สุดในรอบ 17 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน ต.ค.ปี 1990 และยังเพิ่มสูงถึง 2 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยราว 32% ใน 5 ปีผ่านมา

แบงก์ออฟอเมริกา เจรจาซื้อกิจการ คันทรี่ไวด์ ไฟแนเชียล
ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา กำลังอยู่ในขั้นตอนการเข้าเจรจาเพื่อซื้อกิจการ บริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นสถาบันการเงินอันดับ 1 ด้านสินเชื่อบ้านในสหรัฐ ที่ประสบกับวิกฤตสภาพคล่อง และผลประกอบการที่ย่ำแย่ตลอด กระทั่งมีข่าวลือเกิดขึ้นหนาหูว่า บริษัทดังกล่าวอาจต้องล้มละลาย อย่างไรก็ตาม โฆษกของสถาบันการเงินทั้ง 2แห่ง ได้ปฏิเสธที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกระแสข่าวดังกล่าว ในขณะที่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา เคยกล่าวว่า เตรียมลดความเสี่ยงทุกด้าน

อีซีบี และแบงก์ชาติอังกฤษ พร้อมในตรึงดอกเบี้ยต่อ
ธนาคารกลางกลุ่มสหภาพยุโรป หรืออีซีบี และธนาคารกลางอังกฤษ ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของแค่ละแห่งต่อไป ที่ 4% และ 5.5% ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนในปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยเหตุผลว่า ภาวะสภาพคล่องในระบบ ยังคงได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม นาย ฌอง คล๊อด ทริเช่ต์ ประธานอีซีบี กลับส่งสัญญาณเกี่ยวกับดอกเบี้ยระยะสั้นกลุ่มอียู ว่า อาจต้องปรับขึ้น เพื่อป้องกันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงของราคาน้ำมัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/01/08

โพสต์ที่ 170

โพสต์

ดาวโจนส์ดิ่ง246จุดรับข้อมูลผู้บริโภคชะลอใช้เงิน

นิวยอร์ค-ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (11ม.ค.)ปรับตัวแดนลบต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 หลังจากอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (เอเม็กซ์) บริษัทให้บริการด้านบัตรเครดิตรายใหญ่ของสหรัฐ ออกคำเตือนเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิต ที่มีมากขึ้นและการชะลอตัวด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดร่วงลง 246.79 จุด หรือ 1.92 % สู่ 12,606.30, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดร่วงลง 19.31 จุดหรือ 1.36 % สู่ 1,401.02 และดัชนีแนสแดก ปิดรูดลง 48.58 จุดหรือ 1.95 % สู่ 2,439.94 ขณะที่ความวิตกต่อการลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค ฉุดหุ้นหลายตัวลงแดนลบ รวมถึงแมคโดนัลด์ คอร์ปที่ร่วงลง 6.6 % และหุ้นทิฟฟานี แอนด์ โค ที่ดิ่งลง 11.2 % ขณะที่ ราคาหุ้นของเอเม็กซ์ ทรุดลงกว่า 44 %
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/01/08

โพสต์ที่ 171

โพสต์

ค่ายเพลงยักษ์ยุโรปถึงห้างสรรพสินค้าดังลุงแซม ปลดพนักงานกว่า 2,000 คน เหตุเศรษฐกิจทรุด
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 14, 2008
ประธานเฟดเตรียมหารือรัฐสภาสหรัฐพรุ่งนี้
ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด นาย เบน เบอร์นันกี้ กล่าวว่า เฟด เปิดเผยว่า ในวันจันทร์นี้ตามเวลาในสหรัฐ จะมีการประชุมกับโฆษกรัฐสภาสหรัฐ นาง แนนซี่ เพโลซี่ เพื่อหารือในประเด็น จะร่วมกันทำงานอย่างไร ที่จะกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากได้รับผลกระทบจากราคาบ้านตกต่ำอย่างหนัก ราคาน้ำมันพุ่งเป็นประวัติการณ์ และราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่เริ่มต้นปีนี้อย่างย่ำแย่ นอกจากนี้ ในการประชุมดังกล่าว โฆษกรัฐสภาสหรัฐ จะขอความคิดเห็นจากประธานเฟด เกี่ยวกับมาตรการแก้ไขเศรษฐกิจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ห้างสรรพสินค้าในสหรัฐ ปลดพนักงาน หลังเศรษฐกิจทรุด
ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในสหรัฐ เมซี่ ประกาศปลดพนักงานออกมากถึง 271 คน ใน 3 พื้นที่สำคัญขนาดใหญ่ ได้แก่ ชิคาโก้ ดีทรอยท์ และมินนาโพลิส นอจากนี้ ห้างเมซี่ ยังตัดสินใจปิดส่วนบริการเครื่องดื่มไวน์ รวมถึงแผนกบริการจัดเตรียมอาหารสดภายในห้างอีกด้วย ซึ่งมาตรการทั้งหมดจะเริ่มมีผลตั้แงต่วันที่ 1 มี.ค.นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลประกอบการของห้างเมซี่ตกต่ำอย่างมากในรอบอย่างน้อย 1 ปีที่ผานมา และยังผิดความคาดหมาย โดยมียอดขายในเดือนธ.ค.ปีที่ผ่านไป ทรุดลงมากถึง 7.9%

อีเอ็มไอ ค่ายเพลงยุโรป ลดต้นทุน ปลดพนักงาน 2,000 คน
บริษัท อีเอ็มไอ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกจากฝั่งยุโรป ซึ่งมีศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น รอบบี้ วิลเลี่ยม ประกาศแผนปรับโครงสร้างลดต้นทุนของบริษัทครั้งใหญ่ โดยเตรียมปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมากถึง 2 พันคน ไม่เพียงเท่านั้น ยังเตรียมตัดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดลงมากถึง 12% จากงบประมาณในภาพรวมที่ตั้งไว้ถึง 20% อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารอีเอ็มไอ กลับเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนการดูแล และรักษาผลประโยชน์ของศิลปิน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการสรรหาศิลปินใหม่ในเครืออีกด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/01/08

โพสต์ที่ 172

โพสต์

ปธ.เฟดรับศก.สหรัฐฯเสี่ยง ส่งสัญญาณลดดบ.ครั้งใหญ่

ประธานเฟด ยอมรับเศรษฐกิจสหรัฐฯเผชิญความเสี่ยง ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่นักวิเคราะห์คาดลดอีกร้อยละ 0.5 ปลายเดือนมกราคม


นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยอมรับว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเผชิญความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น และส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรุนแรงเพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.50 % ในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.

ทั้งนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "ตลาดการเงิน, แนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน" ต่อที่ประชุมสมาคมที่อยู่อาศัยและการเงินการคลังนั้น นายเบอร์นันเก้ ระบุว่า ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อระดับการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในปีนี้รวมถึง ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น, ราคาหุ้นที่ร่วงลง และมูลค่าบ้านที่ลดต่ำลงทั้งนี้ หลังจากแนวโน้มการเติบโตและความเสี่ยงที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปในระยะนี้ การผ่อนคลายนโยบายลงไปอีกก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยพร้อมที่จะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมตามความจำเป็นเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพื่อให้การรับประกันที่เพียงพอในการป้องกันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ช่วงขาลง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/01/08

โพสต์ที่ 173

โพสต์

ตลาดหุ้นนิวยอร์กกู่ไม่กลับ ร่วงต่ำสุดในรอบ 9 เดือน เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มถดถอยแล้ว
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 16, 2008
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ต่ำสุดรอบ 9 เดือน เอสแอนด์พีทรุดฮวบ 11 เดือน
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ได้รับแรงถล่มเทขายอย่างหนักตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่สองของการซื้อขายในสัปดาห์ที่ 2 ของปีนี้ กดดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งในตลาดทรุดตัวลงอย่างหนัก ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วง 277 จุด หรือราว 2.17% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทรุดหนักเกือบ 35 จุด หรือราว 2.49% และดัชนีหุ้นนาสแด็ค ร่วง 60 จุด หรือ 2.45% การทรุดตัวลงของดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่ง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 คืนที่ผ่านมา กลายเป็นสถิติการเริ่มต้นของดัชนีในช่วง 10 วันทำการแรกของปี ที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 30 ปี

มูลค่าตลาดหุ้นนิวยอร์กหาย กว่า 26 ล้านล้านบาทใน 14 วัน
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดคืนที่ผ่านมา กลายเป็นสถิติที่ทรุดต่ำลงเป็นครั้งที่ 5 ของการซื้อขายที่กดดันดัชนีดังกล่าวร่วงลงมากกว่า 220 จุดในปีนี้ ทำให้มีจำนวนหุ้นบริษัทชั้นนำทุกๆ 7 แห่ง ที่ปิดตัวลงในแดนลบ ท่ามกลางทุกๆ 1 หุ้นที่ปรับขึ้นในแดนบวกของคืนที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น หากนับรวมดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปิดคืนที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กให้ผลตอบแทนขาดทุนต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ส่งผลให้มูลค่าตลาดหุ้นทั้งตลาดหายไปมากถึง 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 26.4 ล้านล้านบาท เหตุจากแบงก์ซิตี้กรุ๊ป

ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ลดจ่ายเงินปัน ผล กดราคาหุ้นต่ำสุดรอบ 5 ปี
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และในโลก ประกาศตัดลดการจ่ายเงินปันผลลงมากถึง 41% และต้องตัดหนี้สูญมากถึง 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.94 แสนล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านไปซึ่งประกาศต่อตลาดหุ้นนิวยอร์กอย่างเป็นทางการในคืนที่ผ่านมา ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือสับไพร์ม ทำให้นักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ปอย่างหนัก กดราคาหุ้นลงต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา

แบงก์ออฟอเมริกา ใหญ่อันดับ 2 สั่งลดพนักงานอีก 650 คน
ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ ประกาศปลดพนักงานออกเป็นจำนวน 650 คน ในส่วนสายงานลูกค้าระดับองค์กร และสายงานวาณิชธนกิจ ไม่เพียงเท่านั้น ยังตัดสินใจขายทิ้งสายงานนายหน้าหลักทรัพย์ของธนาคารอีกด้วย ทั้งนี้ ผลจากการปลดพนักงานจำนวนดังกล่าว กระทบต่อวงการวาณิชธนกิจในภาพรวมของสหรัฐราว 12% สำหรับการปรับลดพนักงานในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนเพิ่มเติม ที่เคยปลดพนักงานไปในปีที่แล้วเป็นจำนวน 500 คน โดยทั้งหมดต้องปลดถึง 3 พันคน

อลัน กรีนสแปน ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐอาจถดถอยในปีนี้แล้ว
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ วัย 81 ปี เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้แล้ว หรือกำลังเริ่มเข้าสู่จังหวะแรกของภาวะถดถอย นอกจากนี้ อดีตประธานเฟดที่ยังทรงอิทธิพลทางความคิด ยังได้เข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ ให้กับกองทุนประกันความเสี่ยงชั้นนำที่มีชื่อว่า พอลสัน แอนด์ โค ในมหานครนิวยอร์ก ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางปีที่ผ่านไป อลัน กรีนสแปน ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าเป็นที่ปรึกษา กองทุนพันธบัตร หรือตราสารหนี้ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีชื่อว่า กองทุนพิมโก้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/01/08

โพสต์ที่ 174

โพสต์

โครงการศูนย์คาสิโนรายใหญ่ของสหรัฐเบี้ยวหนี้ เหตุจากวิกฤตสภาพคล่อง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 18, 2008
วิกฤติสภาพคล่องพ่นพิษ เจ้าของคาสิโนใหญ่เบี้ยวหนี้
วิกฤตสภาพคล่องในระบบการเงินสหรัฐ ส่งผลกระทบถึงนักพัฒนาที่ดิน โดยนาย เอียน บรูส ไอช์เนอร์ เจ้าของโครงการศูนย์คาสิโน และโรงแรมระดับหรูหราเกือบ 3 พันห้องในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาด้า ต้องผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารดอยช์แบงก์ ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ด้วยมูลค่า 760 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ทั้งธนาคารดอยช์แบงก์ และวาณิจธนกิจชื่อดัง เมอร์ลิน ลินช์ ต้องเร่งเจรจาร่วมกับนักลงทุนที่สนใจรายอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ลูกหนี้นักพัฒนาศูนย์คาสิโนแห่งนี้

คันทรีไวด์เตือน ตลาดบ้านสหรัฐฯ ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
นายแองจิโล่ โมซิโล่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท คันทรี่ไวลด์ ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ร่วมกับ ซีอีโอ บริษัท เคบีโฮม ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทให้บริการรับสร้างบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ กล่าวเตือนว่า วิกฤติ และความยากลำบากอื่นๆ ในระบบอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐยังคงมีอยู่ข้างหน้า โดยผู้บริหารทั้งสองยอมรับว่า ราคาของบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐที่ตกต่ำ ยังคงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ตลาดไม่มีการฟื้นตัวทั้งทางจิตวิทยา และพื้นฐาน

เครดิตสวิสกัดฟันตัดหนี้สูญเพิ่มกว่า 2,500 ล้านฟรังซ์
เครดิต สวิส ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของสวิสเซอร์แลนด์ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องตัดลดหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขหนี้สูญประจำไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ประมาณ 2,500 ล้าน ฟรังค์สวิส หรือราว 7.5 หมื่นล้านบาท ก่อนหน้านี้ ธนาคารดังกล่าว ได้ตัดหนี้สูญไปเป็นจำนวนมากถึง 2,200 ล้านเหรียญฟรังค์สวิส หรือราว 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ที่ผ่านไป ส่งผลให้กำไรสุทธิของธนาคารเครดิต สวิส ในไตรมาสที่ 3 ทรุดลงมากถึง 31%

เลห์แมนตั้งกองทุนใหม่เพื่อซื้อหนี้เสียจากระบบสภาพคล่อง
บริษัทหลักทรัพย์ เลห์แมน บราเดอร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 4 ในสหรัฐ และใหญ่เป็นอันดับ 7 ในธุรกิจปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อขายควบรวมกิจการบริษัทชั้นนำในสหรัฐ และยังมีชื่อเสียงทั่วโลก ตัดสินใจจัดตั้งกองทุนทีมีชื่อว่า เลห์แมน บราเดอร์ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.5 แสนล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหนี้เสียในระบบสภาพคล่อง และยังใช้กองทุนดังกล่าวเข้าไปลงทุนในสินเชื่อปล่อยกู้เพื่อควบรวมกิจการที่กำลังมีปัญหา โดยรับซื้อสินเชื่อดังกล่าวจากธนาคารในอัตราส่วนลดอีกด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/01/08

โพสต์ที่ 175

โพสต์

โตโยต้าสุดคึกปรับเพิ่มยอดขายปีหน้า 5 %
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายรถยนต์โตโยต้าทั่วโลกในปีหน้า ขึ้นมาอยู่ที่ 9.85 ล้านคัน หรือคิดเป็น 5% ของเป้าหมายในปีนี้ที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่จำนวน 9.36 ล้านคัน ทั้งนี้ เป้าหมายของยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอีกทั่วโลกราว 5% นั้น มาจากยอดขายที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก กำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกัน และชาวญี่ปุ่น จะลดลง จากผลกระทบที่เกิดขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ชะลอตัวลงในปี 2551 ซึ่งมีสาเหตุจากวิกฤตสินเชื่อ Subprime

เมอร์ริลลินช์ขาดทุนอ่วมกว่าที่ประเมินไว้กว่า 2 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ริลลินช์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของสหรัฐฯ ประกาศผลขาดทุนในไตรมาสที่ 4 มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ถึง 2 เท่า โดยตัวเลขขาดทุน 9,830 ล้าน หรือ ขาดทุน 12.01 เหรียญ ต่อหุ้น สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะขาดทุนแค่เพียง 4.82 เหรียญต่อหุ้นเท่านั้น โดยผลประกอบการที่ประกาศออกมานั้น เป็นปีแรกที่ขาดทุนตลอดทั้งปี นับตั้งแต่ปี 1989 หรือ ประมาณ 18 ปีที่ผ่านมา

เบอร์นันกี้ชี้แจงต่อสภาคองเกรส จำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่ม
นายเบน เบอร์นันกี้ เข้าชี้แจงต่อสภาคองเกรส ว่า การใช้แพ็คเกจทางการเงินเพื่อเข้าช่วยเหลือเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นมีความจำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งเม็ดเงินที่จะเพิ่มเข้าไปในระบบ อาจจะอยู่ในช่วงประมาณ 50,000 150,000 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ โดยประธานเฟดบอกว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลมากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/01/08

โพสต์ที่ 176

โพสต์

บุชประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ คืนภาษีสร้างแรงจูงใจ --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 21, 2008
บุชประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนใหญ่

ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐได้แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเลี่ยงภาวะถดถอยมูลค่า 145,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อวันศุกร์ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 % ของ GDP โดยรวมถึงมาตรการคืนภาษีรายได้บุคคลให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นการคืนแบบครั้งเดียว และแรงจูงใจทางภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนในภาคธุรกิจ รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กด้วย แต่ผู้นำสหรัฐไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดจำนวนเงินภาษีที่ชาวอเมริกันจะได้รับคืน รวมถึงที่มาของเงินมาตรการก้อนนี้

นักวิเคราะห์เสียงแตกแผนอุ้มเศรษฐกิจลุงแซม

นักวิเคราะห์บางคนมองว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ อาจพอที่จะช่วยฉุดเศรษฐกิจสหรัฐ ให้พ้นจากภาวะถดถอย นายนาริมาน เบห์ระเวช หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทวิจัย โกลบอล อินไซต์ กล่าวว่าแผนกอบกู้จะมีผลต่อเศรษฐกิจ ซึ่งประเมินว่าจะส่งผลในไตรมาส 2 หรือ 3 แต่นายเอเวอรี เชนเฟลด์ แห่งซีไอบีซี เวิร์ล มาร์เกตส์ กล่าวว่าแผนการดังกล่าวดูเหมือนมีเป้าหมายทางการเมืองมากกว่า เพราะดูเหมือนทำเนียบขาวทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นจนถึงวันเลือกตั้ง

สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.5% เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของอังกฤษ ด๊อกเตอร์ เจอราด ลีอองส์ มองว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนนี้ เชื่อว่าจะมีการตัดลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงอีก 0.50% โดยสาเหตุที่ทำให้เฟดต้องตัดลดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงก็เพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากภาวะการถดถอย นอกจากนี้ ดอกเตอร์เจอราดมองอีกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ และปีหน้า จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับสหรัฐฯ และประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคการส่งออก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/01/08

โพสต์ที่ 177

โพสต์

สมาคมธนาคารสหรัฐฯชี้โอกาสเศรษฐกิจถดถอยมีเกือบ 50% ด้านเศรษฐกิจอังกฤษเริ่มซบเซา
Posted on Tuesday, January 22, 2008
สมาคมธนาคารสหรัฐเตือนโอกาสเกิดภาวะถดถอยอยู่ใกล้ 50% เล็งเฟดลดดอกเบี้ย
แม้คณะกรรมการที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสมาคมธนาคารแห่งสหรัฐจะไม่ได้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็ให้มุมมองว่าโอกาสที่จะเกิดภาวะถดถอยอยู่ใกล้ระดับ 50% ส่วนภาคที่อยู่อาศัยนั้นถือได้ว่าอยู่ในภาวะตกต่ำแล้ว โดยตัวเลขมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตเพียง 1.25 % ในช่วงครึ่งปีแรก และไต่ขึ้นสู่ 2.25% ในครึ่งปีหลัง และเฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5 % ในการประชุม FOMC เดือนนี้ และ อีก 0.25% ในเดือนมีนาคมและเมษายน

เดโมแครตและรีพับริกันเห็นต่างกันต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานธิบดีบุช
สำหรับความคืบหน้าของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 140,000 ล้านดอลล่าสหรัฐ ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชนั้นตอนนี้มีมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างพรรครีพับริกัน และเดโมแครต ที่ในสังเวียนการเมืองกำลังห้ำหั่นกันอยู่ โดยแดโมแครตต้องการให้เงินจำนวนนี้กระจายไปยังกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในประเทศก่อน ในขณะที่รีพับริกันต้องการให้เงินจำนวนนี้ไปสู่มือผู้ที่มีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นผู้ที่จนที่สุดหรือไม่ ตรงนี้ดูเหมือนว่านักเศรษฐศาสตร์จะเข้าข่างรีพับริกันมากกว่าครับ โดยให้ความเห็นว่า ชนชั้นกลางและกลุ่มผู้มีรายได้จากการทำงานเป็นผู้ที่น่าจะออกมาใช้จ่ายมากสุด และน่าจะทำให้แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ควรจะเป็นแบบการให้ครั้งเดียว (One-time Stimulate) ต้องสร้างงานเพิ่มด้วย

กลุ่มทุนตะวันออกกลาง และจีนทยอยซื้อสินทรัพย์ถูกในสหรัฐ
ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ตลาดหุ้นตกอยู่ในขณะนี้ ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่มองหาของถูกครับ นักลงทุนต่างชาติตอนนี้ ได้ขายและ.ซื้อ สินค้าราคาถูกในอเมริกาปีที่แล้วไหลเข้าถึง 4.14 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเข้าซื้อธุรกิจบริษัทในโรงงานในอเมริกา เป็นที่เพิ่มขี้นกว่า 90 % เมื่อเทียบกับปี 2549 ตอนนี้มีเงินเข้ามามากถึง 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเงินเหล่านี้มาจากกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางและจีน โดยตอนนี้ต้องจับตาดูตัวเลขออกขายบ้านมือสองให้สหรัฐฯ เพราะเป็นดัชนีอีกตัวที่จะบ่งบอกว่าผลกระทบจากปัญหา Subprime ยังคงมีต่อหรือไม่

นักเศรษฐศาตร์มองตลาดบ้านสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเป็นลบ
นายเอลเลน เซ็นท์เนอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโตเกียวมิตซูมิชิในนิวยอร์ค ยังคงให้มุมมองที่เป็นลบต่อจากอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาโดยนอกเหนือจากตัวเลขยอดขายบ้านมือสองแล้ว ยังมีตัวเลขก่อสร้างบ้าน และตัวเลขการว่างงาน ซื่งที่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา อเมริกามีตัวเลขการสร้างงานถึง 5 % ซึ๋งเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนเศรษฐอเมริกาตอนนี้ดูไม่ยาก ดูเรื่องอสังหาริมทรัพย์ การว่างงานและการใช้กับผู้บริโภคไม่กี่ตัวเท่านั้น

ผลประกอบภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญต่อวอลล์สตรีทสัปดาห์นี้
บรรยากาศที่อึมครึมในระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ณ ตอนนี้ อาจจะทำให้ภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดวอลล์สตรีทไม่สดใสนักในสัปดาห์นี้ ถ้าบริษัทชั้นนำไม่เปิดเผยผลประกอบการที่ดีออกมาเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของสหรัฐฯ ในขณะที่สัปดาห์นี้มีตัวเลขเศรษฐกิจประกาศออกมาน้อยมาทำให้นักลงทุนเบนความสนใจมาที่ผลประกอบการของเอกชน ซึ่งสัปดาห์นี้จะมีการประกาศออกมาหลายบริษัทด้วยกันไม่ว่าจะเป็น แบงค์ออฟอเมริกา, ไมโครซอฟท์, เอทีแอนด์ที นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผลประกอบการดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ตลาดให้ความสนใจท่ามกลางปัจจัยลบต่าง ๆ ถ้าผลประกอบการออกมาดี ก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีขึ้นได้ เพราะไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจให้จับตามองมากนัก

นักวิเคราะห์มั่นในตลาดให้น้ำหนักต่อผลประกอบการและตัวเลขเศรษฐกิจ
นักวิเคราห์ยังบอกต่ออีกว่า นักลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจต่อแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของบุช มากเท่ากับผลประกอบการที่ย่ำแย่ของซิตี้กรุ๊ป และเมอร์ริลลินช์ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึง ณขณะนี้ตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงหนัก โดยเฉพาะ ดัชนี S&P 500 ที่ร่วงลงไปถึง 9.7% และลดลงถึง 20% จากจุดสูงสุดที่ทำไว้เมื่อเดือนตุลาคม ถือว่าการซื้อขายในช่วงต้นปีเป็นการเริ่มต้นปีที่แย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์

ราคาบ้านอังกฤษตกต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี
ไรท์มูฟ เว็ปไซต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังเปิดเผยผลสำรวจว่า ราคาบ้านในอังกฤษและเวลส์มีอัตราการเติบโตต่อปีดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2005 เป็นต้นมา และตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์อังกฤษตกต่ำลงอย่างรุนแรง โดยราคาเสนอขายบ้านโดยเฉลี่ยร่วงลง 0.8 % ในเดือนมกราคม และส่งผลให้อัตราการเติบโตต่อปี ดิ่งลงสู่ระดับ 3.4 เปอเซ็นในเดือนมกราคม จาก 4.8 เปอเซ็นในเดือนธันวาคม

อังกฤษเผยยอดปล่อยกู้เพื่อการจำนองเดือนธ.ค.ร่วง 25% บ่งชี้ตลาดอสังหาฯซบ
สมาคมผู้ปล่อยกู้เพื่อการจำนองของอังกฤษได้เปิดเผยยอดการปล่อยกู้เพื่อการจำนองของอังกฤษในเดือนธ.ค. 2550 ว่า ลดระดับลงถึง 25% จากเดือน พ.ย. ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง และยังเป็นการยืนยันได้ดีถึงภาวะชะลอตัวในตลาดที่อยู่อาศัยของอังกฤษ ยอดการปล่อยกู้เพื่อการจำนองในเดือน ธ.ค.ร่วงลงแตะ 2.26 หมื่นล้านปอนด์ จากระดับเดือนพ.ย.ที่ 2.99 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขรายเดือนที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2548ไมเคิล คูแกน ผู้อำนวยการของสมาคมฯ กล่าวว่า ภาวะวิกฤตสินเชื่อได้ขยายวงมาสู่ไตรมาส 4 โดยคาดว่าปริมาณการปล่อยกู้คาดว่าจะยังคงอ่อนตัวในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้

ตัวเลขยอดค้าปลีกอังกฤษลด นักวิเคราะห์ชี้ดอกเบี้ยมีสิทธิถูกหั่น
ตัวเลขยอดค้าปลีกของอังกฤษเดือนธันวาคมออกมาแล้วครับ ตัวเลขไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเผยตัวเลขการยอดค้าปลีกออกมาลดลง0.4 % สูงกว่าที่คาดการไว้ว่าจะลดลง 0.2 %นับเป็นอัตราที่อ่อนแอที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม50เป็นต้นมา สำนักงานออกมาให้ความเห็นว่าตัวเลขนี้บ่งบอกถึงการชะลอตัวของธุรกิจค้าปลีก และทำให้นักวิเคราห์มันใจมากขึ้นว่าธนาคารกลางอังกฤษอาจหั่นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ และอาจจะลดอีก2-3ครั้งในปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/01/08

โพสต์ที่ 178

โพสต์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มั่นใจ FED ลดดอกเบี้ยแบบฉุกเฉิน ตอกย้ำความกังวลครึ่งปีแรก ครึ่งปีหลังดีขึ้น --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008

ภายหลังการประชุมฉุกเฉินที่จัดขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนหน้าการประชุมตามกำหนดการปกติที่จะมีขึ้นในวันที่ 29-30 มกราคม 2551 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปนะเภทดอกเบี้ยระยะสั้น( Fed Funds Rate) ลงร้อยละ 0.75 จากร้อยละ 4.25 มาที่ร้อยละ 3.50 พร้อมกับปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประเภทดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount rate) ลงร้อยละ 0.75 เช่นกัน จากร้อยละ 4.75 มาที่ร้อยละ 4.00 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐให้รอดพ้นจากความเสี่ยงในช่วงขาลงของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเพิ่มสูงขึ้น

ในเรื่องนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความคิดเห็นต่อการดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงอย่างเร่งด่วนและรุนแรง ครั้งนี้ ว่า FED ได้ตอกย้ำมุมมองของตลาดที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ว่า กำลังเผชิญกับภาวะถดถอย หรือก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งนำมาซึ่งการคาดการณ์ว่า FED จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกด้วยขนาดที่ค่อนข้างมากในช่วงครึ่งแรกปีนี้

โดยนักการเงินจากสถาบันชั้นนำส่วนใหญ่ คาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ลงไปที่ร้อยละ 2.50 ภายในกลางปีนี้

แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กลับมีความเห็นว่า ถึงเวลาที่สหรัฐจะต้องดำเนินนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ในลักษณะผ่อนคลายมากขึ้นอีกในระยะต่อไป ถือได้ว่า เป็นข่าวดีต่อตลาด เพราะน่าจะช่วยเพิ่มโอกาสสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง หากการดำเนินการนโยบายทั้งหลายนั้นมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเรียกฟื้นความเชื่อมั่นโดยรวมให้คืนกลับมาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และปัญหาสินเชื่อมิได้ลุกลามไปในวงกว้างมากกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐที่เกิดขึ้นในรอบนี้ มาจากปัญหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) ซึ่งอาจจะลุกลามและส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคสหรัฐในวงกว้างซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ

และที่สำคะญวิกฤตครั้งนี้ แตกต่างกับวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อนๆ หน้าที่จำกัดขอบเขตอยู่ที่เพียงบางภาคธุรกิจของสหรัฐฯเท่านั้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคสหรัฐก็มีการใช้จ่ายที่เกินตัวและมีการออมในระดับต่ำอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ดังนั้น ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจประสบกับภาวะตกต่ำเรื้อรังและยาวนานจนผลักดันให้ FED จำต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมามากกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ ก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งทำให้คงจะต้องติดตามและประเมินความคืบหน้าของสถานการณ์ความเชื่อมั่นและสัญญาณการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ เป็นระยะ ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/01/08

โพสต์ที่ 179

โพสต์

ธนาคารกลางทั่วโลก เตรียมปรับกลยุทธ์บริหารนโยบายดอกเบี้ย หลัง FED ลดดอกเบี้ยนโยบายแรงสุดในรอบ 23 ปี
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
หลังจากเมื่อคืน ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Funds Rate) และ ดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) ลงมาสู่ระดับ 3.50% และ 4.00% เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นว่า สหรัฐพร้อมดูแลไม่ให้ปัญหาวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ขยายวงไปในภาคการเงิน (วิกฤตซับไพร์ม)กระทบภาคเศรษฐกิจจริง จนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวรุนแรงจนเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) และยับยั้งปัญหาตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัว จนคนในวงการการเงินสหรัฐเปรียบเปรยเป็นเหตุการณ์ แบลคมันเดย์ภาคใหม่

พร้อมกันนี้ FED ยังส่งสัญญาณด้วยว่า พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะ Fed Funds Rate ลงอีกในการประชุมตามปกติ วันอังคารและวันพุธที่ 29 - 30 มกราคมที่จะถึงนี้ เพื่อจัดการกับความเสี่ยงในช่วงขาลงที่เห็นได้ชัดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ จนทำให้ตลาดการเงิน เริ่มมีการคาดหมายแล้วว่า มีโอกาสที่FED จะปรับลด Fed Funds Rate ลงอีก 50 Basis Points เหลือ 3.00% ก่อนทยอยปรับลดอย่างต่อเนื่อง จน Fed Funds Rate ในกลางปีแตะระดับ 2.25%

หลังจาก FED ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวานนี้ ธนาคารกลางแคนาดา ก็ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประเภทข้ามคืนลง 25 Basis Points เหลือ 4.00% ตามไปด้วย พร้อมกับเปิดเผบด้วยว่า มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางแคนาดาจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก

ขณะที่นายฮาร์ทาดี ซาร์โวโน รองผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) กล่าวว่า การตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ FED อย่างกระทันหัน เมื่อคืน น่าจะมีผลต่อการตัดสินใจกำหนดนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางอินโดนีเซียด้วย

อย่างไรก็ตาม นายซาร์โวโน ยอมรับว่า การคาดการณ์เงินเฟ้อ จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายของอินโดนีเซีย

ล่าสุด นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งต่อไป วันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ธปท. พร้อมนำเอาปัจจัยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) แบบฉุกเฉิน และในการประชุมปกติในวันที่ 29 - 30 มกราคมนี้ เพื่อวิเคราะห์และประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และแนวโน้มการส่งออก ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจไทยด้วย เพื่อมาประกบอการพิจารณาเพื่อดำเนินนโยบายดอกเบี้ยในประเทศ ที่อ้าองิงจากดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร หรือตลาด R/P ระยะเวลา 1 วัน ด้วย

ทั้งนี้ ดอกเบี้ยนโยบายของไทย ประคองตัว ที่ระดับ 3.25% มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/01/08

โพสต์ที่ 180

โพสต์

ตลาดการเงินชื่นมื่น หลังFED ลดดอกเบี้ยนโยบายฟื้นความเชื่อมั่น คาดสัปดาห์มีลดต่ออีกระลอก
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008

หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉิน แบ่งเป็นดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Funds Rate) จากระดับ 4.25% ลงเป็น 3.50 % พร้อมกับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) จาก 4.50% ลงมาเหลือ 4.00%
เมื่อคืนนี้ โดยให้เหตุผลว่า ต้องการป้องกันปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession) ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้น จนกดดันให้กองทุนทั่วโลกปรับพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น โภคภัณฑ์ หรืออสังหาริมทรัพย์ จนราคาสินทรัพย์เหล่านี้ทรุดตัวลงเกินเหตุ

การลดดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉินของ FED รอบนี้ ก็มีผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ปรับอ่อนค่าลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเงินทุกสกุล โดยเงินบาท ปรับแข็งค่าขึ้นมายืนแกว่งตัวบริเวณ 33.13 - 33.17 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แถมนักค้าเงินในตลาดสหรัฐ ยังประเมินด้วยว่า FED จะประกาศลดลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะ Fed Funds Rate ลงมาอีกระลอก ในการประชุมวันที่ 29 - 30 มกราคมนี้ โดยสัญญาซื้อขายดอกเบี้ยล่วงหน้า Fed Funds Futures บ่งชี้ว่า มีโอกาสถึง 80% ที่ FED จะลดดอกเบี้ยอีก 50 Basis points เหลือ 3.00%

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐเอง เมื่อคืนเริ่มมีการพลิกฟื้น โดยดาวน์โจนส์รีบาว์ดตัวขึ้นมาปิดอ่อนตัวเพียง 128.11 จุด หรือ 1.06% หลังจากเปิดตลาด ดัชนีทรุดลงไปถึง 464.48 จุด แต่กระนั้น ดัชนีกลับหลุด 12,000 เป็นครั้งแรกนับจาก 3 พฤศจิกายน 2549 เป็นต้นมา ส่วนดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 14.69 จุด หรือ 1.11 % ยืนที่ 1,310.50 จุด

สำหรับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ที่เปิดทำการวันนี้ ฟื้นตัวขึ้นมาถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงแค่ตลาดหุ้นไต้หวันเท่านั้น เพราะดัชนีเวทเตด ทรุด 173.56 จุด หรือ 6.51% มายืนที่ 7,408.40 จุด รับการอ่อนตัวลงของดัชนีนาสแดก ซึ่งเมื่อคืนปิดลบ 2.04%

โดยตลาดหุ้นออสเตรเลีย ดัชนีออล ออดินารีส์ ปิดตลาด กระชากตัวขึ้น 4.28% มายืนที่ 5,445.60 จุด เหมือนกับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งปิดบวกเช่นกัน โดยดัชนีนิคเคอิ ปิดพุ่งขึ้น 256.01 จุด หรือ 2.46% มายืนที่ 12,829.06 จุด ส่วนโซล คอมโพสิต ปิดบวก 19.40 จุด หรือ 1.20% มายืนที่ 1,628.42 จุด

สำหรับตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง เริ่มตีตื้นขึ้นมา โดยล่าสุด ทะยานตัวขึ้นกว่า 1,620 จุด หรือ 7.4% มาเคลื่อนไหวบริเวณ 23,377 จุด หลังจากสองวันที่ผ่านมา ดัชนีทรุดตัวลงไปราว 3,000 จุด

ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดภาคเช้า อ่อนตัวลง 0.87 จุด หรือ 0.12% มายืนที่ระดับดัชนี 740.67 จุด โดยในช่วงเปิดตลาดใหม่ ๆ ดัชนีทะยานตัวขึ้นไปถึง 759.82 จุด ก่อนจะเจอแรงขายทำกำไรในหุ้นมูลค่าตลาดสูง นำโดย PTT PTTEP PTTAR TOP BANPU KBANK SCB และ BBL กดดัชนีให้ปรับฐานลงมาจนกระทั่งยืนแดนลบ

ด้านนายมาซูด อาห์เหม็ด โฆษกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า การที่ FED ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นลงมา 75 Basis points เมื่อคืน ถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดลงในรอบกว่า 23 ปี ถือว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อตลาดการเงินรวม เพราะหากไม่มีการลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจดิ่งลงหนักหน่วง ขณะที่ความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวจนเกิด Recession และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลงไปจะยังรุนแรงด้วย

" การอ่อนตัวลงอย่างมากของตลาดหุ้นหลายประเทศในรอบไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ตอกย้ำถึงภาระที่ความปั่นป่วนวุ่นวายของตลาดการเงินในขณะนี้ได้สะท้อนออกมาถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ดังนั้น เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างมากในปีนี้จึงดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจขาลง ยังคงมีอิทธิพลอย่างเด่นชัด " นายอาห์เหม็ดกล่าว

เขายังเสนอแนะด้วยว่า FED ควรใช้มาตรการทางการคลัง ที่มีการกำหนดเป้าหมายในเวลาที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐเพิ่มเติม เพราะปัจจัยราคาในตลาดการเงินปัจจุบัน จะสอดคล้องไปกับการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

แม้แต่นายนายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ยังให้การสนับสนุนการตัดสินใจของ FED รอบนี้ด้วยว่า น่าจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน และแสดงให้อเมริกันชน และส่วนอื่น ๆ ของโลกเห็นว่า ธนาคารกลางของเรามีความคล่องตัวและสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วในการตอบรับต่อสถานการณ์ในตลาด

แต่กระนั้น มุมมองจากนักการเงินในย่านวอลล์สตรีท กลับต่างออกไปจากรัฐมนตรีคลังสหรัฐ เพราะ FED ดำเนินการช้าเกินไป

โดยนายเบอร์นาร์ด เบาโมห์ล ผู้อำนวยการกลุ่มอิโคโนมิค เอาท์ลุค กล่าวว่า แม้หลายคนจะมองโลกในแง่ดีว่า ทำช้าก็ยังดีกว่าไม่ทำ แต่ปัญหาก็คือว่า การดำเนินการอย่างเชื่องช้าของ FED ในครั้งนี้ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหา

" FED และธนาคารกลางสำคัญอื่น ๆ จะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว และเฉียบขาดมากขึ้น หากต้องการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำ อย่างยืดเยื้อและรุนแรง " นายเบาโมห์ลกล่าว

อย่างไรก็ดี เริ่มมีการประเมินแล้วว่า กลางปีนี้ FED จะทยอยปรับลด Fed Funds Rate ลงมาเหลือ 2.25% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx