หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ตั้งแต่ต้นปีนี้ มีบุคคลที่ทำคุณงามความดีหลายๆท่านได้จากโลกไป
และอีกท่านหนึ่งก็คือ  คุณหมอสงวน  นิตยารัมภ์พงศ์
ดังรายละเอียดที่ปรากฏในข่าวนี้ครับ

หมอสงวน  นิตยารัมภ์พงศ์

ไม่ได้รู้จักคุณหมอส่วนตัวเพราะท่านเป็นรุ่นพี่กว่ามากๆ
แต่เคยเห็นแว่บๆที่ตึกสันทฯ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เมื่อตอนกูรูยังทำกิจกรรมนักเรียนอยู่

คุณหมอเป็น นักศึกษาแพทย์รามาฯรุ่นแรกที่เปลี่ยนโฉมหน้าและสถานะ
 จาก "หมอรามาเพื่อนายทุน" มาเป็น "หมอรามาฯเพื่อประชาชน"
ลงมาลุยงานกิจกรรมเพื่อสังคมกับรุ่นน้องๆอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว

สมัยนั้นตึกสันท์ฯ เป็นแหล่งกิจกรรมหลากหลาย
นศ.มหิดลทุกคนจะต้องมีกิจกรรมสังกัดชมรมใดชมรมหนึ่ง
กลุ่มพวกพี่ๆหมอรามาฯเพื่อประชาชน
มักจะใช้เวลาว่างที่เจียดมาได้จากตารางเรียนแน่นเอียด
มาดูแลทุกข์สุขของน้องๆเสมอ
และคอยเตือนน้องๆที่หุนหันพลันแล่นให้ใจเย็นๆลง

หลับให้สบายนะครับ พี่หมอสงวน  
พี่เหนื่อยมามากแล้ว  
ทั้งชีวิต เพื่อพัฒนาสาธารณสุขไทย
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

มีใครรู้สึกเหมือนผมบ้างมั๊ย ว่าทำไมคนดีๆตายง่ายและตายบ่อยจัง  :cry:
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ไม่รู้จักคุณหมอสงวนเป็นการส่วนตัวเหมือนกันครับ

แต่รู้จักผ่านผลงานหลายๆอย่างที่คุณหมอเป็นผู้ริเริ่มและปฎิรูประบบสาธารณสุขของเมืองไทย

ผลงานที่ผ่านมาได้สร้างคุณูปการอย่างสูงต่อชนรุ่นหลัง

ท่านจากเราไปแล้วก็จริง

แต่คุณงามความดียังคงจารึกอยู่ในใจหลายๆคนอีกนานเท่านาน

:bow:  :bow:  :bow:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ไม่รู้จักหมอสงวน เป็นการส่วนตัวครับ แต่ในฐานะผู้ให้บริการ มีเรื่องที่ต้อง ปะ ฉะ ดะ กันกับหน่วยงานแก (และตัวแกเองในฐานะหัวเรือใหญ่) เรื่องค่าชดเชย ไม่น้อย

บรรดาอาจารย์มักจะเรียกแกตอนประชุม (ด้วยความเอ็นดู) ทั้งต่อหน้าและลับหลังว่า หงวน, พี่หงวน, อ้ายหงวน เป็นประจำ

ทราบว่าแกป่วยมานานเป็นปีแล้ว แต่นับถือแกที่สู้ไม่ถอย ทำงานหนัก แม้ว่าสังขารจะไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ เผอิญได้ทราบความเจ็บป่วยของพี่แกมานาน ก็เลยไม่ตกใจเท่าไหร่

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วยครับ
Radio
Verified User
โพสต์: 1296
ผู้ติดตาม: 1

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ได้ข่าวว่าเป็นมะเร็งปอดมาหลายปีแล้ว ท่านทำงานจนวาระ
สุดท้ายของชีวิตจริงๆ  ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอมอบเพลง "ฟ้าใหม่" ของวง "ฟ้าใหม่"
วงที่เล่นกีตาร์หนวกหูแถวตึกสันท์ วันดีคืนดีก็ได้ขึ้นเวทีแจมกับพวกรุ่นเดอะ
จำได้กระท่อนกระแท่นเต็มที ประมาณนี้
(ถ้าใครมีเนื้อร้องที่ถูกต้องกว่า แก้ได้เลยนะครับ)

"โน่น  ขอบฟ้าเรืองรอง ทาบทองอำไพ
ใสสดงามตา  คือฟ้าใหม่ใกล้มา นำมวลทาสเป็นไทย

อาบด้วยแสงเสรี ภราดรธรรม
ฟุ้งเฟื่องประจำ งามล้ำกว่าอื่นใด  ชีพสดใสเริงร่า

เร็วลุกขึ้นเถิด เร็วลุกขึ้นเถิด ทุกชั้นชนไทย
ชนผู้รักชาติ รักความเป็นไทย จงสามัคคี

เร็วลุกขึ้นเถิด เร็วลุกขึ้นเถิด ทุกชั้นชนไทย
พร้อมใจกันก้าวนำไปสู่ไทยเสรี "
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 7

โพสต์

อีกเพลงครับ  "ประกายดาว"

" คืนนี้ฟ้าสีหม่น ใช่มืดมนจนสิ้นแสง
โน่นดาวจรัสแรง ยังทอแสงรุ้งอำไพ
ท่ามกลางพายุจัด ดาวยิ่งชัดยิ่งสดใส
ส่องทางเห็นเด่นไกล รุ่งวันใหม่ของมวลชน

(ซ้ำ) ดวงดาวแห่งศรัทธา
ปลุกประชาทั่วทุกหน
ต่อสู้กู้สิทธิ์ตน
ที่ทุกข์ทนมาเนื่นนาน
ประกายดาวสายสัมพันธ์
ร่วมใจมั่นร่วมประสาน
พลังใดไม่อาจทาน
อุดมการณ์อันเกรียงไกร

คืนนี้แม้คืนแรม
ดาวยิ่งแจ่มฟากฟ้าไกล
ฟ้าทองจะอำไพ
ทางแห่งชัยของมวลชน "
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 8

โพสต์

และจบด้วยเพลง "ประกายไฟ" จาก "วงน้ำค้าง"
วงดนตรีเพื่อชีวิตของนศ.แพทย์รุ่นน้องที่จุฬาฯครับ

"ประกายไฟโหมลุกไหม้   สาดแสงร้อนแรงทั่วแดนฟ้า
สว่างไสวในพริบตา        ฟ้ามืดมนทั่วพสุธามลายไป
ด้วยประกายไฟเจิดจ้า

ประกายไฟของดวงใจ    หนุ่มสาวร้อนแรงพลังสร้างสรรค์
ก้าวไปด้วยแรงศรัทรา    ไปข้างหน้าท้าแสงตะวัน
ไม่หวั่นเกรงภยันอันตราย

ประกาย...ไฟ ลามไป    ลุกไหม้ มวลอธรรม
มืดมนอนธการใดๆ       มลายไปด้วยประกายธรรม
นำหลักชัยเสรีเรืองรอง

จุดประกาย   ของความดี ศักดิ์ศรีคนจนที่ถูกเหยียดหยาม
จรัสแสงส่องนำมวลชน ให้สู้ทนในสังคมทราม
ขับไล่ความชั่วช้ากาลีสิ้นไป

ก้าวเดินมาร่วมใจกัน สร้างสรรค์ สังคมอุดมธรรม
จิตใจรับใช้มวลชน เชิดชูปวงคนยากไร้ จุดประกายไฟลามในใจตน
จุดประกายไฟลามในใจตน จุดประกาย.........ไฟ"

หวังว่า ทั้งประกายไฟ และประกายดาว
จะยังคงอยู่ในมวลกายของพวกเราทุกคน
เหมือนกับที่พี่หมอหงวนได้จุดถางนำทางไว้
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เพื่อให้เพื่อนๆได้รู้จักและเพื่อสดุดีคนดีที่พวกเราต้องยกย่อง
มาดูกันว่า คุณหมอสงวนมีคุณูปการต่อระบบสาธารณสุขไทยอย่างไร
สกู๊ปพอสังเขปดังนี้คับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อำลาคุณหมอ 30 บาท สงวน นิตยารัมภ์พงศ์
[ไทยรัฐ 23 ม.ค. 51]

นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คนแรกและคนปัจจุบัน ถึงแก่กรรม ช่วงเย็นวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2551

เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข เกิดขึ้นจากแนวความคิดของคุณหมอสงวนที่อยากเห็นคนไทย ไม่ว่ายากดีมีจนมีสุขภาพดี ไม่ต้องล้มละลายกับค่าใช้จ่าย ในโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง

คงเคยได้ยินกันบ่อยๆ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย...คนที่มีฐานะยากจนต่างร้องห่มร้องไห้ จะหาเงินที่ไหนไปรักษา หรือเมื่อไปโรงพยาบาล ก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว

เฉกเช่นที่ผ่านมา...คนไข้รายหนึ่งที่เขียนถอดความในใจว่า ได้รับการผ่าตัดหัวใจ ที่โรงพยาบาลทรวงอกได้รับประโยชน์จากการใช้บัตรทอง หรือบัตร 30 บาทมาก

แม่เข้ารับการผ่าตัดหัวใจโดยไม่ต้องเสียเงินหลายแสนบาท ซึ่งหากต้องเสีย เราคงเป็นหนี้ ขายที่นาจำนองบ้าน ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโรคทรวงอก คุณหมอโครงการ 30 บาท ผ่าตัด ดูแลให้กำลังใจด้วยดี...ขอบคุณด้วยความจริงใจ

รูปภาพ

นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน เขียนบทความไว้ว่า

ในบรรดาข้าราชการทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบันจะหาใครที่มีผลงาน ที่ก่อคุณูปการแก่วงการสาธารณสุขของประเทศไทยมากมาย เท่ากับคุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ คงไม่มีอีกแล้ว

คงไม่มีใครเห็นแตกต่าง ถ้าจะกล่าวว่า...คุณหมอสงวนเป็นหนึ่งในผลผลิตของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งสามารถธำรงรักษา และหล่อเลี้ยงอุดมการณ์ 14 ตุลาฯ ไว้ได้อย่างหมดจดงดงาม และยิ่งใหญ่...ตราบจนวาระสุดท้าย

เริ่มจากสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ ในคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ท่ามกลางการต่อสู้อันแหลมคมระหว่างอุดมการณ์สองขั้ว ที่ต่อสู้กันอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ...หลายกรณีก็ถึงชีวิต

สงวน เป็นนักศึกษาแพทย์ที่ต่อสู้อย่างโดดเด่นอยู่แถวหน้าจนได้รับเลือกตั้ง เป็นนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหนึ่งในผู้นำนักศึกษา ที่เผชิญเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มาอย่างเจ็บปวด

หมอสงวนเป็นหนึ่งในหัวขบวนที่ตัดสินใจไม่เข้าป่า ไม่เคยแปรธาตุเปลี่ยนสี หรือละทิ้งอุดมการณ์ คือ ความใฝ่ฝันอันงดงามในวัยหนุ่มสาว

ตลอดชีวิตได้ทุ่มเทอุทิศให้แก่การสร้างสรรค์บ้านเกิดเมืองนอนโดยเฉพาะงาน สาธารณสุข เพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

เริ่มตั้งแต่ตัดสินใจไปเป็นแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ

รูปภาพ

หลายคนคงจำได้ ถึงข่าวการถูกคุกคามระหว่างใช้ชีวิตเป็นแพทย์ชนบท โดยเฉพาะที่ราษีไศล

เคราะห์ดีที่ทางการฝ่ายความมั่นคงขณะนั้น มีความฉลาด และอดทนเพียงพอ ทำให้คุณหมอสงวนรอดจากชะตากรรมอันเลวร้าย กลับเข้าสู่กรุงเทพฯ

สำหรับข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข นอกจากประสบการณ์ในฐานะแพทย์ชนบท เบ้าหลอมสำคัญที่จะทำให้เข้าใจงานสาธารณสุขในส่วนภูมิภาคได้อย่างลึกซึ้งและ ถ่องแท้คือ...ตำแหน่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด

คุณหมอสงวนเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสผ่านงานนี้ แต่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น เพื่อประเทศชาติ และประชาชน ก็เข้าใจงานได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้

สมัยที่เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน ต่อมาย้ายมาอยู่ที่สำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คุณหมอสงวนได้สร้างผลงานที่มีผลกระทบสำคัญต่อระบบบริการสาธารณสุข ที่สำคัญๆได้แก่

การสร้างระบบจูงใจใหม่ในการปฏิบัติงานนอกเวลา ของโรงพยาบาลและ สถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ ด้วยการจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงาน

เป็นที่ทราบกันดี...การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอกาลิโก จะเกิดขึ้นยามไหนเมื่อใดก็ได้ การจัดบริการของโรงพยาบาลตามระบบราชการ มุ่งเน้นให้บริการเต็มที่เฉพาะในเวลาราชการ จึงไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาที่ควรจัดบริการให้ตอบสนอง

งานนี้ชิ้นเดียว...ก่อคุณูปการให้แก่ประชาชนคนไข้มากมายมหาศาลทั่วประเทศ

มิใช่จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย ต้องใช้เวลาศึกษาเตรียมการกันอย่างยาวนาน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และเป็นระบบจูงใจให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

ปัญหาสมองไหล ปัญหาใหญ่ของวงการสาธารณสุขในประเทศไทย ทำให้โรงพยาบาลรัฐอ่อนแอเป็นโรงพยาบาลชั้นสอง...สาม...สี่ ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนจะเติบโตทิ้งห่าง

คุณหมอสงวนคนนี้ พัฒนาระบบแรงจูงใจบุคลากรให้คงอยู่ในระบบราชการ

ที่สำคัญคือ ระบบการจ่ายเงินค่าตอบแทนการไม่ทำเวชปฏิบัติส่วนตัว, จ่ายตอบแทนตาม ปริมาณงาน, เพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายแพทย์ชนบท, จ่ายค่าวิชาชีพแก่พยาบาล และจ่ายค่าตอบแทนแก่พยาบาลที่ปฏิบัติงานในเวรบ่าย เวรดึก...ควบคู่กับการพัฒนาระบบบริการอื่นๆ

ส่งผลให้โรงพยาบาลรัฐ ยังคงระดับมาตรฐานการบริการไว้ได้ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมในปัจจุบันจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าบริการในโรงพยาบาลเอกชน
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 10

โพสต์

รูปภาพ

นอกเหนือจากงานในกระทรวงสาธารณสุข คุณหมอสงวนยังขยายความสนใจ ออกไปนอกกระทรวงฯ ด้วยการเข้าไปวางรากฐานระบบบริการการแพทย์ของประกันสังคม

หลังจากรอนานกว่า 30 ปี...ระบบประกันสังคมก็ถือกำเนิดขึ้น สมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เริ่มให้บริการทางการแพทย์ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534

คุณหมอสงวนและทีมงานได้เข้าไปวางระบบบริการทางการแพทย์ในระบบประกันสังคม เริ่มจากเป็นผู้มีบทบาทในการฟอร์มคณะกรรมการการแพทย์ชุดแรก และเข้าไปเป็น กรรมการคนหนึ่ง มี 3 เรื่องสำคัญที่มีผลต่อความมั่นคงของกองทุนมาจนถึงทุกวันนี้

(1) การตัดสินใจใช้ระบบเหมาจ่ายแทนระบบการจ่ายตามที่โรงพยาบาลเรียกเก็บ ทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ไม่บานปลาย

(2) การเริ่มอัตราเหมาจ่ายที่ 700 บาท/คน/ปี โดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชนกดดันขอที่ 1,200 บาท ด้วยการประกาศไม่เข้าร่วมโครงการ ถ้าไม่ได้ตามที่เสนอ

แต่...คุณหมอสงวนและทีมงาน เสนอการคำนวณ จนคณะกรรมการแพทย์ตัดสินใจ เคาะที่ 700 บาท และยืนอัตรา 700 บาท มาได้ตลอด 4 ปีแรก

(3) การตัดสินใจใช้บริการของโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้ว ไม่สร้างโรงพยาบาลของตนเอง เพราะโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนที่มีอยู่ มีศักยภาพพอเพียงในการให้บริการผู้ป่วย ในระบบประกันสังคม ซึ่งระยะแรกมีราว 3 ล้านคน

ข้อสำคัญประกันสังคมควรเป็นผู้ซื้อบริการ ไม่ควรเป็นผู้จัดบริการเอง

การตัดสินใจในเรื่องสำคัญเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยข้อมูลจากการศึกษาวิจัย อย่างเป็นระบบ และการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์อย่างดี การวางคนเข้ามาเป็นกรรมการ การผลักดัน แก้ปัญหาจึงต้องมีจังหวะจะโคน

นอกจากคิดไตร่ตรองได้อย่างรอบคอบแล้ว คุณหมอสงวนยังเป็นนักเจรจาผลักดันที่เยี่ยมยอด รู้ว่าจะต้องไปพบใครหรือพูดกับใคร อย่างไร

ทุกครั้งที่คุณหมอสงวนโทรศัพท์ถึงใคร มักจะมีแต่เรื่องงานเป็นหลัก และจะมีการเจรจาทำความเข้าใจ ตลอดจนมีข้อเสนอและขอคำตอบจนแจ่มแจ้ง ชัดเจน เรียกว่าคุยจน ได้งาน เสมอ

งานสำคัญที่คุณหมอสงวนตั้งใจมุ่งมั่นเป็นงานชิ้นเอกในชีวิตนี้คือ การปฏิรูประบบบริการสุขภาพ (Health Care Reform)

บ่อยครั้งที่ประสบปัญหาหรือมีคนรู้สึกว่าคุณหมอสงวนจะไปแย่งตำแหน่งบริหารสูงสุด ในกระทรวงสาธารณสุข แต่คุณหมอจะพูดย้ำเสมอว่า ขอทำงานนี้งานเดียวแล้วพอแล้ว

รูปภาพ

จากประสบการณ์ในงานประกันสังคม หล่อหลอมจนเป็นระบบประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคจนถึงรักษาฟรี ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) น่ายินดีที่คุณหมอสงวนทำงานนี้จนสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจน ก่อนที่จะละสังขารไปจากโลก

ตลอดระยะเวลาที่ได้รับคัดเลือกและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คุณหมอสงวนได้ทุ่มเททำงานที่เป็นความฝันสุดท้ายในชีวิตได้อย่างดียิ่ง

แม้รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้อย่างกระเบียดกระเสียร แต่ก็บริหารได้อย่างโปร่งใส มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ เป็นตัวอย่างที่ดีของระบบการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี

สิ่งที่คุณหมอสงวนอยากจะทำต่ออีกอย่างหนึ่งคือโครงการเพื่อนช่วยเหลือ มิตรภาพบำบัด บรรดาคุณหมอหัวเรือใหญ่ได้มีแนวคิดจัดตั้ง กองทุนนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เพื่อมิตรภาพบำบัดเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อสนับสนุนกองทุนย่อย และกิจกรรม มิตรภาพบำบัดในโรงพยาบาลต่างๆ

ขณะเดียวกัน กองทุนนี้จะส่งเสริม เชิดชูเครือข่ายอาสาสมัครที่ทำงานมิตรภาพบำบัด ยกระดับความตื่นตัวของสังคมในเรื่องจิตอาสา เพื่อช่วยเหลือสังคมส่วนรวมสืบสานเจตนารมณ์สร้างจิตอาสาของคุณหมอสงวนสืบต่อไป...

ขอให้ดวงวิญญาณของคุณหมอสงวน จงไปสู่สุคติ...
ขอคาราวะจากใจ
RIP
:bow:  :bow:  :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 11

โพสต์

การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอกาลิโก
คมจริงๆครับคำนี้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ได้อารมณ์หวนนึกถึงวันเวลาในอดีตสมัยทำกิจกรรม
ขอมอบอีกสักเพลงให้พี่หมอหงวนนะครับ

"คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย"


ตามนี้เลย

แสงดาวแห่งศรัทธา
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 13

โพสต์

คนดีต้องช่วยกันประกาศเกียรติคุณไม่ว่าจะยังอยู่หรือจากไปแล้ว

เพื่อเป็นกำลังใจให้คับ

ขออีกนะคับ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาลัย นักปฏิรูประบบสุขภาพเพื่อคนจน "น.พ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์"
บทความ : ดวงกมล สจิรวัฒนากุล  
กรุงเทพธุรกิจ  วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

ในจำนวนนโยบายประชานิยมที่ถูกพรรคการเมืองหยิบยกขึ้นหาเสียง จนได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาลนั้น "โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" หรือที่ถูกเรียกจนเป็นที่คุ้นปากว่า "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ถือเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั่วประเทศในระยะเวลาอันสั้น เพราะช่วยให้ประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มที่ยากไร้ ได้เข้าถึงการรักษาไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคใด ยังคุณประโยชน์ช่วยให้หลายร้อยครอบครัวไม่ต้องล้มละลาย จากภาระค่ารักษาพยาบาลเช่นในอดีต

แนวคิดการสร้างโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่ได้เกิดจากนักการเมือง แต่เกิดจากกลุ่มคนที่เห็นปัญหาด้านรักษาพยาบาลของประเทศมาอย่างยาวนาน โดย "น.พ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์" ถือเป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการเริ่มต้น และผลักดันอย่างต่อเนื่อง เพื่อพลิกระบบหลักประกันสุขภาพของไทย โดยมีปณิธานที่มุ่งมั่นตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงออกค่ายเพื่อสัมผัสชีวิตคนชนบท

น.พ.สงวน เคยเล่าไว้ว่า "ผมมาจากชนชั้นกลาง เป็นลูกคนเมืองที่ไม่เคยรู้จักชนบท ไม่รู้จักชีวิตคนยากจนเท่าไร แต่การออกค่ายนักศึกษาตอนนั้น ทำให้ผมเห็นชีวิตความขาดแคลนของคนยากจนอย่างที่ไม่เคยคิดไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ต้องทำงานอย่างหนักแลกกับการกินอยู่แต่ละมื้อที่เรียบง่ายให้ผ่านไปวันๆ แถมเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องไปหาหมอไกลแสนไกล บางครั้งใช้เวลานานถึง 2 วัน และยังเดือดร้อนจากที่ไม่มีค่ารักษาอีก"

ประกอบกับในช่วงที่ทำงานเป็นแพทย์ในชนบท ยังได้พบกับเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้จดจำมาตลอด คือ ในช่วงระหว่างรถวิ่งเข้าโรงพยาบาล ได้พบกับผู้หญิงอุ้มลูกที่ป่วย ยืนตากฝนอยู่ข้างทางเพื่อรอรถโดยสาร จึงรับขึ้นรถมาด้วย เท่าที่เห็นเด็กคาดว่าน่าจะเป็นปอดบวม แต่เมื่อรถแล่นถึงโรงพยาบาลแล้ว แทนที่ผู้หญิงคนนั้นจะนำลูกมาให้หมอตรวจ แต่กลับจะอุ้มไปที่หมอเสนารักษ์เพื่อแค่ฉีดยา 1 เข็ม เพราะมีเงินเพียงแค่ 30 บาทเท่านั้น ที่พอจ่ายค่ายาฉีด 20 บาท ที่เหลือ 10 บาทไว้เป็นค่ารถกลับบ้าน ซึ่งต้องอธิบายอยู่นานว่าอาการป่วยที่เด็กเป็นไม่สามารถรักษาด้วยยาฉีดเข็มเดียวได้ อีกทั้งโรงพยาบาลไม่เก็บค่ารักษาสำหรับคนยากจน ทำให้แม่เด็กยอมนำลูกเข้ารับการรักษา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นสิ่งฝั่งใจ และเชื่อว่ายังมีคนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงการรักษาที่ถูกต้อง จึงได้พยายามผลักดัน "ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า"

หลังจากที่ได้ลาออกจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข น.พ.สงวนได้เข้ารับตำแหน่ง "เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ" เพื่อเป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนนโยบายหลักประกันสุขภาพที่ตั้งใจไว้ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนระบบการเงินการคลังด้วยวิธีการเหมาจ่ายรายหัว กระจายงบประมาณโดย "ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง" แม้ว่าในช่วง 2 ปีแรกจะได้ยินเสียงบ่นจากงบประมาณที่ขาดแคลน แต่มีเมื่อมีการปรับในส่วนที่เป็นปัญหา ทำให้เสียงบ่นเหล่านั้นลดลง รวมทั้งปฏิรูปงานบริการ เน้นสร้างระบบสาธารณสุขพื้นฐาน

ช่วงเริ่มต้นโครงการนั้น ประชาชนต่างไม่มั่นใจคุณภาพการรักษา ขณะที่ปริมาณงานจากจำนวนประชาชน ที่เข้ามารับบริการเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัญหาขั้นตอนการบริการที่ถูกกำหนดขึ้นใหม่ ส่งผลให้โครงการเป็นลบอย่างมาก แต่ด้วยความมุ่งมั่นประกอบกับผลการสำรวจที่ว่า ประชาชนจะพอใจกับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านี้ ทำให้ น.พ.สงวนเกิดกำลังใจเดินหน้าพัฒนางานบริการรักษาสุขภาพอย่างที่เห็น

พ.ญ.อพภิวันท์ นิตยารัมภ์พงศ์ ภรรยา น.พ.สงวน กล่าวว่า น.พ.สงวน เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับการทำงาน เป็นคนที่รักในงานที่ทำ และตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจแต่งงานนั้นก็มีหลายคนเตือนไว้ว่า "จะแต่งงานกับหมอสงวนแน่ใจนะ เพราะหมอเป็นคนรักงานและทำงานมาก" ซึ่งก็เป็นจริง เพราะแม้กระทั่งตอนที่ป่วยก็ยังจะไปทำงาน ต้องช่วยกันประคองขึ้นรถไปประชุม แต่เมื่อทำงานเสร็จก็เดินได้คล่องสบาย ตนและครอบครัวจึงคอยเป็นกำลังใจ และได้บอกกับน.พ.สงวนไปว่า

"ไม่ว่า พ่อจะทำอะไร ครอบครัวจะเป็นกำแพงที่คอยหนุนตลอด" ดังนั้น ไม่ว่าที่ผ่านมา น.พ.สงวนจะมีข้อกล่าวหาอะไร รวมถึงเรื่องคอร์รัปชันที่บ้านจะคอยอยู่ข้างหลังเป็นแรงใจให้เสมอ และแม้แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิต ลูกทุกคนก็ได้ทำหน้าที่ดูแลคุณพ่ออย่างดี

"หมอสงวนเป็นคนที่รักลูก รักครอบครัว แม้แต่ก่อนเสียชีวิตก็ยังได้บันทึกเทปเพื่อสอนลูก โดยให้ทำความดีเพื่อสังคม อย่าทำเพื่อตัวเอง เพราะการทำเพื่อส่วนรวม ใครๆ ก็จะเห็นคุณค่า ซึ่งครอบครัวเราจะเลือกเดินทางนี้ เพราะเรามีผู้นำครอบครัวที่เป็นแบบอย่างให้เห็นมาตลอด"

พ.ญ.อพภิวันท์ กล่าวว่า จากที่ครอบครัวผ่านพายุที่แรงทำให้ทราบว่า กำลังใจจากเพื่อน คนรอบข้าง ทำให้เยียวยาโรคภัยไข้เจ็บมากกว่ายารักษาโรคใดๆ โดยเฉพาะจากผู้ป่วยด้วยกัน ดังนั้น การจัดตั้งกองทุน "เพื่อนช่วยเพื่อน" จึงเป็นปณิธานของ น.พ.สงวน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของคนที่ป่วยให้เกิดกำลังใจ เพราะต่างเข้าใจความเจ็บป่วยเหมือนกัน เป็นจิตอาสา โดยในช่วงที่ น.พ.สงวนป่วยด้วยโรคมะเร็งนั้น ได้รับกำลังใจคนแรกจากพ่อค้าทอดมันที่ จ.นครปฐม และมีการโทรศัพท์พูดคุยกันตลอด จึงอยากจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้น

ด้านน้องพลอย เพ็ญทิชา บุตรสาว น.พ.สงวน กล่าวว่า คุณพ่อเป็นคนรักการทำงานและทุ่มเท ซึ่งตนและน้องเพื่อน อยู่เฝ้าคุณพ่อตลอดระยะเวลาที่ป่วย โดยในช่วงที่อยู่ระหว่างการผลักดัน ให้สิทธิประโยชน์การรักษาแก่ผู้ป่วยโรคไตนั้น ช่วงที่หลับมีครั้งหนึ่งถึงกับละเมอว่า กำลังประชุมเรื่องนี้ ใจทั้งหมดคุณพ่อให้กับผู้ป่วยหมด คุณพ่อเป็นคนร่าเริงไม่ว่าจะที่ทำงานหรืออยู่กับครอบครัว และจากที่ได้ติดตามคุณพ่อไปต่างจังหวัดหลายครั้ง เห็นว่าชาวบ้านจะมาต้อนรับคุณพ่ออย่างดี ทำให้รู้สึกภูมิใจในผลงานของพ่อมาก

น.พ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า น.พ.สงวนทำงานเพื่อชาวบ้านตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ และเมื่อจบแล้วได้อาสาทำงานในชนบทเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านมาโดยตลอด จนได้รับรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่น โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า บอกได้ว่าร้อยละ 90 เกิดจาก น.พ.สงวน เป็นผู้บุกเบิกและผลักดันจนออกมาเป็นกฎหมาย

"ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนเสียชีวิต ผมไปเยี่ยมคุณหมอสงวนที่โรงพยาบาล ไปถึงคุณหมอก็คุยแต่เรื่องงาน ไม่ได้คุยถึงอาการป่วยหรือเรื่องของตัวเองเลย จนผมต้องบอกให้คุณหมอพักบ้าง สิ่งต่างๆ ที่คุณหมอทำมาเพื่อประชาชน มาในวันนี้ ต้องบอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะเสียคนที่ทำงานดีๆ อย่างนี้ไป โรคร้ายมาเร็วเกินไป" น.พ.มงคลกล่าว

เป็นที่ทราบกันดีแม้ช่วงสุดท้ายของ น.พ.สงวนยังอุทิศให้กับงาน โดยขอให้มีการจัดตั้ง "กองทุนนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เพื่องานมิตรภาพบำบัด เพื่อนช่วยเพื่อน" ก่อนเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอดที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2551 ท่ามกลางความอาลัยของทุกคน ถึงวันนี้ไม่มี หัวเรือใหญ่อย่างน.พ.สงวนในการผลักดันงานหลักประกันสุขภาพ แต่งานประกันสุขภาพเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมคงต้องเดินหน้าต่อไป


--------------------------------------------------------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 14

โพสต์

บรรทัดรองสุดท้ายข้างบนลงเดือนผิด ที่ถูกคือ มกราคม คับ ขออภัยด้วย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์

โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์  
มติชนรายวัน  วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10911

"คุณพ่อเป็นวีรบุรุษ" ผมพูดกับลูกสาวของคุณหมอสงวนในเย็นวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว

คุณหมอสงวน หรือ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ คือ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คนแรกและคนปัจจุบัน

คนไทย 46 ล้านคน เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพก็เพราะงานของคุณหมอสงวนและทีม

ก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พวกเรามีสิ่งที่เรียกว่า "บัตรสงเคราะห์" และ "บัตรสุขภาพ" บัตรสงเคราะห์สำหรับชาวบ้านที่ยากจน บัตรสุขภาพขายในราคา 500 บาทสำหรับรักษาผู้ป่วยและครอบครัว ปัญหาคือผู้มีฐานะจำนวนหนึ่งได้ครอบครองบัตรสงเคราะห์ หรือบัตรสุขภาพ ได้รับการปฏิบัติหรือรักษาพยาบาลเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง

แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บไม่ควรเป็นเรื่องสงเคราะห์หรือไม่สงเคราะห์ แต่เป็นสิทธิที่คนไทยทุกคนควรมีตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเชิงตะกอน นั่นคือไม่ว่ายากดีมีจนเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ควรได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน ไม่สมควรถูกทิ้งขว้างเพียงเพราะไม่มีเงิน

ก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนจนจำนวนหนึ่งไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะกลัวเงินไม่พอ คนรวยจำนวนหนึ่งต้องจนเฉียบพลันทันทีเมื่อล้มป่วยโรคมะเร็งหรือโรคร้ายแรงใดๆ คุณหมดสงวน และทีมช่วยให้คนจนกล้าไปโรงพยาบาล และช่วยให้คนรวยซึ่งทำงานหนักมาทั้งชีวิตไม่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวไป กับค่ารักษาพยาบาล

จึงว่าคนไทย 46 ล้านคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพก็เพราะงานของคุณหมอสงวนและทีม

เมื่อครั้งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเริ่มต้นใหม่ๆ ในปี พ.ศ.2546 หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถูกโจมตีว่าเป็นหลักประกันชั้นสอง ได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพเป็นรองข้าราชการ และครอบครัวรวมทั้งลูกจ้างประกันสังคม

เมื่อถึงปัจจุบันคนไทยทุกคนไม่ว่าจะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือข้าราชการ หรือลูกจ้างประกันสังคมล้วนได้รับการรักษาด้วยคุณภาพและมาตรฐานค่อนข้างเท่าเทียมกัน

ทั้งนี้ก็ด้วยความเพียรพยายามของคุณหมอสงวนและทีมงาน ที่ได้ประสานประโยชน์ของผู้ป่วยในกองทุนทั้งสามให้ใกล้เคียงกัน

คุณหมอสงวนและทีมไม่ได้เริ่มต้นงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างเลื่อนลอย ท่านได้เดินทางไปศึกษาเรื่องนี้ในหลายประเทศ ทำวิจัยและทดลองทำระบบหลักประกันสุขภาพในพื้นที่นำร่อง บางจังหวัดของประเทศ ก่อนที่จะขับเคลื่อนเป็นนโยบายระดับชาติ ภายใต้แนวคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี

กล่าวคืองานยากๆ หรืองานใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนต้องเคลื่อนด้วยกันทั้งสามฝ่าย คือ ฝ่ายวิชาการ ภาคประชาชน และฝ่ายการเมือง จึงจะสัมฤทธิผล

คุณหมอสงวนและทีมเคลื่อนย้ายภูเขาได้สำเร็จในที่สุด

ผู้เขียนพบคุณหมอสงวนครั้งแรกที่ชายหาดหัวหินเมื่อปี พ.ศ.2548 ท่านเสร็จจากการวิ่งออกกำลังกายที่ชายหาดยามเช้า ผู้เขียนเสร็จจากการว่ายน้ำออกกำลังยามเช้าเช่นกัน ก่อนหน้าที่จะได้พบท่านครั้งแรกได้แต่ตามอ่านบทความ เกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของท่าน ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน และนึกนิยมอยู่ในใจว่าใครหนอ ที่คิดค้นวิธีช่วยเหลือผู้ป่วยครั้งใหญ่เช่นนี้ออกมาได้

เป็นโชคดีมหาศาลของคนไทยที่ในที่สุดก็มีคนเก่งและดีเช่นคุณหมอสงวนและทีม สามารถใช้คุณธรรม นำความรู้หาญกล้าปฏิรูประบบสุขภาพ เพื่อให้คนป่วยทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ด้วยความเท่าเทียม

คุณหมอสงวนเขียนหนังสือ "บนเส้นทางสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" ของสำนักพิมพ์มติชน ความตอนหนึ่งเล่าเรื่องที่ท่านรับแม่ลูกคู่หนึ่งขึ้นรถพยาบาลไปส่งที่โรงพยาบาล ท่านเขียนว่า

"เมื่อรถแล่นไปถึงโรงพยาบาลผมก็พบกับสิ่งที่คาดไม่ถึง คือแทนที่จะได้เห็นเธออุ้มลูกมาให้หมอตรวจ เธอกลับอุ้มลูกเดินออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ยอมเข้ามารับบริการ ผมจึงเดินตามไปถามว่า มาถึงโรงพยาบาลแล้วทำไมไม่พาลูกไปให้หมอตรวจ เธออ้ำอึ้งไม่ตอบอยู่พักใหญ่ สุดท้ายคนขับรถของผมซึ่งเป็นคนท้องถิ่นได้สอบถามแทน จึงได้ความว่าเธอมีเงินพกติดตัวมาเพียง 30 บาท ตั้งใจจะนำเด็กไปฉีดยากับหมอเสนารักษ์ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าใดนัก ซึ่งโดยปกติเขาจะคิดค่ารักษาเพียง 20 บาท อีก 10 บาทที่เหลือนั้นจะเก็บไว้เป็นค่าโดยสารกลับบ้าน"

คุณหมอสงวนและทีมทำงานที่ยากยิ่ง ท่านพูดเสมอว่าการจะทำงานยากๆ ให้สำเร็จนั้นต้อง "กัดไม่ปล่อยอย่างอุเบกขา" ท่านได้พิสูจน์ด้วยชีวิตตนเองว่าท่านมีอุเบกขามากเพียงใดกับการจัดการอุปสรรคของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

เสียดายเวลาที่ไม่มีบุญได้พบคุณหมอสงวนเร็วกว่านี้

คุณหมอสงวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2550

"อาจเป็นได้ที่ในยุคต่อไปจะไม่มีใครอยากเชื่อว่า บุคคลเช่นนี้ก็เคยมีชีวิตชีวาเดินเหินอยู่บนพื้นโลกนี้"

หน้า 7
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 15

โพสต์

'หมอหงวน'...นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ต้องเรียกร้องความสนใจ

23 มกราคม พ.ศ. 2551 00:00:00

ผมเคยพบปะพูดคุยกับคุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ (ผมเรียก "หมอหงวน" จนติดปาก) ไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้ง การสนทนาจะเป็นเรื่องของความถูกต้องชอบธรรม และ "ความเสมอภาคในโอกาส" ของคนที่ไม่มีโอกาสในสังคม

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :    ผมรู้ว่า "หมอหงวน" ต่อสู้และผลักดันเรื่อง "สุขภาพคือสิทธิพื้นฐานของคนไทยทุกคน" มาตั้งแต่ก่อนหน้าแนวทางการเมือง "ประชานิยม" จะกลายเป็นเครื่องมือหาเสียงของพรรคการเมือง

"หมอหงวน" ทำเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่น ไม่ว่ารัฐมนตรีสาธารณสุขจะเปลี่ยนไปกี่คน ไม่ว่าใครจะใช้ประเด็นนี้ไปหาเสียง หรือสร้างความนิยมให้กับตัวเอง เขาก็เดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง

วันหนึ่ง หมอหงวน แวะมาหาผมที่สำนักพิมพ์เพื่อบอกเล่าว่า กำลังเผชิญกับอุปสรรคในหน้าที่งานการอย่างไร

แต่หมอหงวนไม่เหมือนข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่ "บ่นไปทนไป" และโทษโชคชะตาหรือโยนความล้มเหลวทั้งหลายทั้งปวงไปให้กับ "ระบบ" หรือ "นักการเมือง" เท่านั้น

หมอหงวน บอกผมว่า เขาจะต้องพยายามอธิบายให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือตาสีตาสาให้เข้าใจถึงความสำคัญของการที่ประเทศไทยต้องมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพราะมันเป็น "สิทธิ" ของประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่นักการเมืองยื่นมาให้แล้วชาวบ้านต้องถือว่าเป็นหนี้บุญคุณอย่างล้นเหลือ

หมอหงวน เป็นคนถ่อมตน อดทน ยิ้มง่าย และจริงใจ...และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็คือว่าเขามองการบรรลุถึงเป้าหมายสำคัญเรื่องที่อาจจะทำให้วอกแวกระหว่างทาง

เขาจึงไม่สนใจว่านักการเมืองที่มาบริหารกระทรวงสาธารณสุขจะเรียกหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าว่า เป็น "รักษาพยาบาลฟรีเพื่อคนจน" หรือ "30 บาทรักษาทุกโรค" หรือ "ประกันสุขภาพถ้วนหน้า" เพราะเขารู้ดีว่ามันเป็นเพียงพาหนะที่นำไปสู่เป้าหมาย ที่จะต้องช่วยกันผลักดันไปให้ถึงเท่านั้น

หลังจากมีการเรียกขาน "30 บาทรักษาทุกโรค" ในแวดวงการเมืองแล้ว ผมก็ไม่ได้พบคุยกับ "หมอหงวน" เป็นการส่วนตัวอีก ได้แต่เป็นห่วงว่า "คนดีของบ้านเมือง" คนนี้จะทนต่อแรงเสียดทาน แรงกดดัน และความเหลวเละของการเมืองที่อาจจะทำให้เขาท้อใจหรือไม่

แต่ทุกครั้งที่อ่านข่าวเกี่ยวกับหมอหงวน และได้ยินเขาให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ (ผมเกือบจะไม่ค่อยได้เห็นเขาทางโทรทัศน์) เกี่ยวกับทิศทางของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (universal coverage) นั้น ผมจะดีใจอยู่เงียบๆ คนเดียวว่า "หมอหงวน" คนนี้ยังสู้ต่อไปอย่างไม่ย่นย่อ...และบอกตัวเองว่า ถ้าประเทศไทยมีข้าราชการอย่างเขาอีกสักร้อยละ 10 หรือ 20 บ้านเมืองของเราคงจะน่าอยู่กว่านี้เยอะ

วันก่อนอ่านพบข้อเขียนของ คุณหมอเกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทรุ่นที่ 22 ใน "มติชน" เกี่ยวกับหมอหงวนแล้ว จึงได้เห็นภาพเกี่ยวกับเขาชัดเจนยิ่งขึ้น

คุณหมอเกรียงศักดิ์ เรียก "หมอหงวน" ว่าเป็น "รัฐบุรุษแห่งวงการสาธารณสุขไทย" เพราะ

"หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วจากอดีตแพทย์ชนบท โรงพยาบาลราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ จากแพทย์ชนบทตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ชั่วเพียงไม่กี่ปี สามารถเปลี่ยนระบบสาธารณสุขของประเทศจากระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา เป็นระบบที่ประชาชนคนไทยทุกคนมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แบบพลิกฝ่ามือ ทำให้คนจนตาดำๆ ทั้งประเทศสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพ ที่เสมอภาคกัน มีมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ ภายใต้ระบบการเมืองการปกครองของประเทศที่ล้าหลังอย่างยิ่ง..."

ใช่ ภายใต้ระบบการเมืองที่ล้าหลังอย่างยิ่ง "หมอหงวน" สามารถทำให้ความฝันเล็กๆ กลายเป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เพื่อตาสีตาสาที่อยู่ห่างไกลปืนเที่ยง...เพื่อคนรุ่นต่อไปยังจะต้องต่อสู้ และดิ้นรนต่อไป เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่ "หมอหงวน" คนนี้ได้ปูทางเอาไว้แล้ว

เป็นอีกคนหนึ่งในสังคมไทยที่ผมกราบวิญญาณได้ด้วยความชื่นชมแทนคนไทยทั้งประเทศได้อย่างสุดจิตสุดใจ


bLACK cOFEE
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 16

โพสต์

นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ 'บิดา30บาท'


27 มกราคม 2551    กองบรรณาธิการ Thaipost

"คุณหมอสงวนเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในการแปลงความคิดให้เป็นรูปธรรม และแกจะทำในลักษณะที่มีเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ และมียุทธวิธี ทำให้แกสามารถทนกับอะไรต่างๆ ได้เยอะ
เพราะอะไรที่ไม่มาเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแกก็ไม่ค่อยไปสนใจ เพราะฉะนั้นแกจึงไม่ค่อยมีศัตรูรายทางเยอะ บุคลิกส่วนตัวแกเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นมากๆ คิดละเอียดว่าจะทำอย่างไร และอดทนมากในการเจรจา"


บุคคลของประชาชนได้สูญเสียไปอีกคนหนึ่ง นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้เป็นต้นคิดนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จนกระทั่งพรรคไทยรักไทยนำไปบรรจุเป็นนโยบาย "30 บาทรักษาทุกโรค" ซึ่งตอนแรกไม่มีใครคิดว่าจะทำได้  แต่กลับกลายเป็นนโยบายที่ได้รับความนิยมและยั่งยืนที่สุด ในบรรดานโยบายที่ถูกเรียกว่า "ประชานิยม" ทั้งหลาย กระทั่งอำนาจรัฐประหารยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ได้ เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นการรักษาฟรีตามข้อเสนอของแพทย์ชนบท

"หมอหงวน"  ก็เป็นผู้ที่เติบโตทางอุดมการณ์ในช่วง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 ไม่ต่างจากสุวิทย์  วัดหนู  หรือวนิดา  ตันติวิทยาพิทักษ์ แต่ในขณะที่ 2 คนแรกเข้าสู่การต่อสู้ภาคประชาชน หมอหงวนแยกไปต่อสู้ในระบบราชการ กระทั่งสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อประชาชนหลายสิบล้านคน

คงไม่เกินเลยถ้าจะบอกว่า  นพ.สงวนคือ  "บิดา  30  บาท"  ที่อาศัยครรภ์ของพรรคไทยรักไทยคลอดมาเป็นนโยบายสวัสดิการสังคมที่ทั่วถึงประชาชนทุกคน  อาศัยความเข้มแข็งของรัฐบาลไทยรักไทย  ความมุ่งมั่นทุ่มเทของ  นพ.สงวน และบุคลากรฝ่ายก้าวหน้าในกระทรวงสาธารณสุข เช่น นพ.มงคล  ณ  สงขลา (ปลัดกระทรวงในขณะนั้น) นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ตลอดจนชมรมแพทย์ชนบท ผลักดันจนนโยบายนี้เป็นจริงได้

จากตุลาสู่ชนบท

คุณหมอวิชัย   โชควิวัฒน์  เป็นผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งของหมอสงวน  ในฐานะคนเดือนตุลารุ่นพี่  แพทย์ชนบทรุ่นพี่ และเป็นผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขด้วยกัน

หมอวิชัยเป็นคนหนึ่งที่ไปกับหมอสงวน  รับคำเชิญจาก  พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร ไปเสนอนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า  ซึ่งใช้เวลาเพียง  45  นาที พ.ต.ท.ทักษิณก็ตัดสินใจว่า "เอา" แล้วมอบหมายให้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ไปดำเนินการต่อ

"เราห่างกัน  7 รุ่น สมัยเรียนไม่ได้เห็นกันหรอกครับ ผมจบไปแล้วเขาถึงเข้า แต่ได้ยินกิตติศัพท์กัน หมอสงวนเข้ามหาวิทยาลัยก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา ตอนนั้นผมจบแล้ว ผมจบตั้งแต่ปี 2513"

รุ่นหมอวิชัยเป็นรุ่นแรกๆ   ที่ขบวนการนักศึกษาเริ่มมีบทบาท  อยู่ในรุ่นใกล้เคียงกับโกมล คีมทอง,  กมล   กมลตระกูล, มนูญ ศิริวรรณ, อัมรินทร์ พัฒนศิริ, ประทีป นครชัย (ดาวไฮปาร์กจุฬาเมื่อครั้งไล่ 3 ศาสตราจารย์ทุจริตศูนย์การค้าสยาม)  เป็นต้น ขบวนการนักศึกษาก่อตัวตั้งแต่ปี 2508 เมื่อมีรัฐธรรมนูญในปี  2511  วันรุ่งขึ้นก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านการขึ้นค่ารถเมล์  มีการเลือกตั้งเมื่อปี 2512 นักศึกษาออกไปสังเกตการณ์เลือกตั้ง  กระทั่งจอมพลถนอมทำรัฐประหารตัวเองเมื่อ 17 พ.ย.2514 การเคลื่อนไหวต่อต้านก็ประดังขึ้นจนนำไปสู่ 14 ตุลา

"คุณหมอสงวนเข้ามาในบรรยากาศที่มีการตื่นตัวของขบวนการนักศึกษาถึงขีดหนึ่ง จึงได้รับการหล่อหลอม  จะสังเกตว่าหมอสงวนเป็นลูกคนจีนในเยาวราช โดยพื้นฐานก็มีความตื่นตัวทางการเมืองไม่สูงนัก และเรียนเตรียมอุดมศึกษาด้วย  โรงเรียนที่เรียบร้อย แต่พอจบมาเข้ามหาวิทยาลัยบรรยากาศก็แตกต่างออกไป ก็หล่อหลอมจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา นักศึกษามีบทบาทสูงมาก มันเป็นเหมือนกับการเปิดกรุเลย ทำให้การเคลื่อนไหวกว้างขวางมากเขาก็ร่วมในการต่อสู้เคลื่อนไหวต่างๆ"

"คุณหมอสงวนเป็นคนเรียนเก่ง  เขาสอบได้ทุนโคลัมโบมีสิทธิไปเรียนที่ออสเตรเลีย แต่เขาตัดสินใจไม่ไป   เขาเรียนแพทย์ที่รามา   รามาก็เป็นแหล่งที่หล่อหลอมสำคัญเพราะมีหอพัก  มีระบบการเรียนการสอนที่ค่อนข้างเป็นเสรีนิยม  คุณหมอสงวนเป็นนายกสโมสรนักศึกษามหิดลตอนเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นการหล่อหลอมที่เรียกว่าขั้นสูงสุด และก็เป็นความเจ็บปวด คล้ายๆ กับเป็นความพ่ายแพ้ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่  ในที่สุดแล้วคุณหมอสงวนก็มีทางแพร่งสำหรับนักศึกษาสมัยนั้นก็คืออยู่ในเมืองหรือเข้าป่า   บุคลิกของคุณหมอสงวนจะเป็นที่ไม่ชอบความรุนแรง การเข้าป่าคือการเข้าไปจับอาวุธ ในลักษณะของหมอสงวนไม่เป็นอย่างนั้น ก็ตัดสินใจอยู่ในเมืองต่อไป แต่ก็อยู่ด้วยความยากลำบากพอสมควร ในที่สุดก็ฝ่ามาได้"

"หลังจากจบแพทย์แล้วก็ไปอยู่วชิระ  1 ปี จากนั้นแพทย์ทุกคนต้องออกชนบท คุณหมอสงวนเป็นเด็กกรุงเทพฯ   แต่พอออกไปชนบทไปเจอของจริง เจอความทุกข์ยาก ความยากจน เจอความขาดแคลน ในขณะที่ไฟยังแรงมาก  เพราะฉะนั้นก็ทุ่มเทพลังทุกอย่างลงไป  แพทย์รุ่นนั้นจะไม่ทำงานแต่ในโรงพยาบาลเท่านั้น จะออกชุมชน ไปให้การศึกษา ออกหน่วยตรวจชาวบ้าน ทำเป็นประจำ"

"อย่างที่เคยมีคนบอกว่ามนุษย์เรามีโอกาสเกิด  2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งก็คือเกิดจากครรภ์มารดา ครั้งที่สองคือการเกิดทางพุทธิปัญญาว่าชีวิตนี้จะไม่เป็นชีวิตที่เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไปที่เกิดแล้วก็ดับไปไม่ได้ทำอะไรให้กับโลกนี้  แต่อุทิศชีวิตให้กับสังคม  คุณหมอสงวนเริ่มเกิดครั้งที่สองเมื่อเขาเข้ามาอยู่ในบรรยากาศของมหาวิทยาลัย  วัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่ต้องการแสวงหา และเขาก็พบ หลังจากนั้นเขาก็ออกไปหล่อหลอมในต่างจังหวัด  ความที่เขาได้เกิดทางพุทธิปัญญามันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ   แล้วเขาก็ได้เข้ามาอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข   เขาก็เริ่มสร้างผลงานต่างๆ  มากมาย  และบุคลิกความเป็นคนที่มองทางบวก  สามารถจะดึงศักยภาพของแต่ละคน ไม่มองแง่ลบ ดึงแง่บวกของคน ก็สามารถสร้างผลงานได้"

หมอสงวนออกไปเป็นแพทย์ประจำ  รพ.ราษีไศล  จ.ศรีสะเกษ  แล้วต่อมาก็เป็น ผอ.รพ.บัวใหญ่  นครราชสีมา  ช่วงที่อยู่ราษีไศลนี่เอง หมอสงวนเคยถูกคุกคาม ถูกเพ่งเล็งจากทางจังหวัดว่าเป็น "คอมมิวนิสต์" เพราะเคยเป็นนายกสโมสรนักศึกษา และเพื่อนพ้องน้องพี่ก็เข้าป่าอยู่ใกล้ๆ

"แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่เกิดเหตุอะไรรุนแรง  ทั้งๆ ที่ในยุคนั้นก็ยังมีการใช้วิธีการเข่นฆ่า แต่หมอสงวนก็รอดปากเหยี่ยวปากกามา"

ตอนนั้นหมอวิชัยก็โดนเหมือนกัน  หลัง 6 ตุลาถูกจับข้อหาภัยสังคม แล้วถูกย้ายจากพยัคฆภูมิพิสัยมาอยู่สามพรานเพื่อให้ใกล้หูใกล้ตาผู้ใหญ่ ไม่ให้เข้าพื้นที่อีสานอีก

แต่หลังจากสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ชมรมแพทย์ชนบทซึ่งก่อตั้งขึ้นด้วยอุดมการณ์หลัง 14 ตุลา ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น

หมอวิชัยเล่าว่าแพทย์ชนบทก่อตั้งขึ้นหลัง  14 ตุลาเพื่อรองรับการที่แพทย์ถูกบังคับให้ไปชดใช้ทุนในชนบท มีการรวมตัวกันเพื่อจะทำงานสร้างสรรค์

"คนก่อหวอดและชวนใครต่อใครมาจนเป็นชมรมได้คือคุณหมอมานิต  ประพันธ์ศิลป์  ตอนนั้นอยู่ประโคนชัย  บุรีรัมย์ และคุณหมอสันติภาพ ไชยวงศ์เกียรติ ทางร้อยเอ็ด เขาก็พยายามไปชักชวนรุ่นพี่ๆ  อาวุโส  ก็จะมี  นพ.ประสพ  ธารพ่าย  ตอนนั้นอยู่บางปะอิน  นพ.อุเทน จรัณศรี ที่บัวใหญ่ ซึ่งต่อมาคุณหมอสงวนไปอยู่ที่นี่  ก็ก่อตัวขึ้นมา  ทีแรกชื่อสหพันธ์แพทย์ชนบท  เรียกชื่อมันต้องขึงขัง พอตั้งสหพันธ์ได้ก็สามารถผลักดันให้กระทรวงจัดประชุมแพทย์ที่อยู่ชนบท  มาพบกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์  หาทางแก้ปัญหาให้ลุล่วง  และเราก็ออกหนังสือด้วยเพื่อนำเสนอความคิด  ข้อมูลต่างๆ แต่ประชุมได้หนเดียวก็เกิด 6 ตุลา ขบวนการแพทย์ชนบทก็สลายตัว"

"พอปี   2520  ก็เริ่มรวมตัวกันใหม่ เป็นชมรมแพทย์ชนบท เราเอาสหพันธ์มารื้อฟื้น แต่ทำให้มันไม่หวือหวา  และมุ่งทำงานเชิงบวก  โดยร่วมมือกับทางกระทรวง ปรากฏว่าประสบความสำเร็จดี เพราะปัญหาของสาธารณสุขชนบทที่แพทย์อยู่ไม่ได้มันเกิดจากทางฝ่ายโรงเรียนแพทย์ก็ถูกวิจารณ์ว่าผลิตออกมาเหมาะกับโรงพยาบาลใหญ่ๆ  ไม่เหมาะกับชนบท  แพทย์ที่ไปทำงานชนบทก็ถูกมองว่าพวกนี้ไม่เสียสละ  ฝ่ายกระทรวงก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่พยายามแก้ปัญหาให้ชนบท  ปล่อยให้ไปต่อสู้เอง  ทั้ง 3 ฝ่ายก็โจมตีซึ่งกันและกัน แต่เมื่อรวมตัวกันเป็นชมรมแพทย์ชนบท แพทย์ที่เจอปัญหาก็มาพบปะกัน เริ่มต้นก็ด่าก่อน ด่าจนเป็นที่พอใจแล้วก็คิดว่า  เอ๊ะ แล้วเราจะแก้อย่างไร  นำไปสู่ข้อเสนอในการแก้ปัญหาต่างๆ  มันก็จะมีพลัง ไปพูดกับกระทรวง  กระทรวงก็รับฟังมากขึ้น   ไปพูดกับโรงเรียนแพทย์เขาก็รับฟัง ก็เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน  และเกิดการทำงานร่วมกัน  ยกตัวอย่างเช่น  โรงพยาบาลขาดแคลน ในอดีตเริ่มต้นเป็นสถานีอนามัย  เอ๊ะถ้าเป็นโรงพยาบาลจะเป็นอย่างไร  กระทรวงก็ไม่คิดเอง  เอาแพทย์ชนบทมานั่งคิด โรงพยาบาลระดับอำเภอควรจะเป็นแบบไหน  ในที่สุดก็เป็นโรงพยาบาลที่พวกเราช่วยกันคิด  ก่อตัวขึ้นมา และมันก็เป็นรูปธรรมที่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน  ประมาณปี  2524-2525  รัฐบาลก็ประกาศว่าจะต้องสร้างโรงพยาบาลให้ครบทุกอำเภอ"


ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 17

โพสต์

นักวางระบบ

บทบาทของชมรมแพทย์ชนบททำให้หมอสงวนได้เข้ามาทำงานส่วนกลาง  โดยเข้ามาเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐาน  แล้วก็มาเป็นผู้อำนวยการกองแผนงานที่ต่อมายกระดับเป็นสำนักนโยบายและแผน สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข

"การที่เรารวมตัวกันเป็นชมรมแล้วมาทำงานร่วมกับกระทรวงก็ทำให้การแก้ปัญหาเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ  คุณหมอสงวนเคยเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท  ทุกคนที่เข้ามาร่วมงานก็จะได้แสดงฝีมือเต็มที่  ได้แสดงภาวะผู้นำ   ดังนั้นพอเข้ามาอยู่ในส่วนกลางก็เห็นปัญหาว่าอยู่ตรงไหน  จะแก้อย่างไร   มาอยู่ส่วนกลางก็เห็นช่องทางและสามารถแก้ได้   ช่วยกัน  มันไม่ใช่คนเดียว แต่ว่าคุณหมอสงวนถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในการผลักดันงานต่างๆ"

เหมือนกับเป็นนักคิดของชมรมหรือเปล่า

"ชมรมมีนักคิดเยอะ  และก็กระจายกันไป  คนอื่นก็ทำหลายเรื่องนะ  แต่ว่าคุณหมอสงวนเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในการแปลงความคิดให้เป็นรูปธรรม   และแกจะทำในลักษณะที่มีเป้าหมาย มียุทธศาตร์ และมียุทธวิธี  ทำให้แกสามารถทนกับอะไรต่างๆ ได้เยอะ เพราะอะไรที่ไม่มาเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแล้วก็ไม่ค่อยไปสนใจ  เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยมีศัตรูรายทางเยอะ  และบุคลิกส่วนตัวแกเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นมากๆ  คิดละเอียดว่าจะทำอย่างไร และอดทนมากในการเจรจา เวลาแกโทรศัพท์คุยกับใครแกพูดยาว  คิดไว้หมดแล้วว่าจะต้องพูดอะไรอย่างไร  เวลามีอะไรแกจะรู้เลยว่าต้องพูดกับใคร จะต้องไปเคลื่อนจุดไหน เพราะฉะนั้นงานที่ออกมาจึงประสบความสำเร็จสะสมเรื่อยๆ"

แนวคิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากล่าวได้ว่าเป็นความใฝ่ฝันร่วมกันของแพทย์ชนบท แต่หมอสงวนเป็นผู้ผลักดันจนเห็นผล

"แพทย์ชนบทเราไปอยู่ในจุดที่ขาดแคลนที่สุด  มีปัญหามากที่สุด  เราก็อยากให้คนเหล่านี้ได้รับบริการโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด  สรุปคือเราต้องการให้เรื่องหลักประกันสุขภาพมันเป็นสิทธิ คนธรรมดามีแรงทำมาหากิน  คนเจ็บป่วยทำมาหากินไม่ได้แล้วยังต้องมาจ่ายอีก มันซ้ำเติมเขา เพราะฉะนั้นทำอย่างไรเมื่อเขาเจ็บป่วยรัฐจะดูแล ซึ่งต้องดูภาพรวมทั้งประเทศ สิ่งที่พวกเราอยากเห็นตรงกันหมด ง่ายๆ คือว่าทำอย่างไรทุกคนจะได้รับบริการอย่างทั่วถึง  และมีคุณภาพ และจะให้บริการนี้ยั่งยืนต่อไปมันต้องมีประสิทธิภาพ แต่ว่าทำอย่างไรจะแปลงเป็นการปฏิบัติ"

"ความโดดเด่นของคุณหมอสงวนคือแกให้ความสนใจกับตรงนี้มากกว่าใครๆ ทุ่มเทศึกษาทำมากกว่าใครๆ  และแกคิดละเอียด  มีการศึกษาวิจัยรองรับและผลักดันอย่างเต็มที่"

"ความคิดในการอยากจะเห็นคนมีสิทธิ  สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุด ที่จริงมันมีภาพสังคมในฝันมานานแล้วตั้งแต่โทมัส  บอร์  เขียนเรื่องยูโทเปีย  แต่ว่าสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับกลุ่มแพทย์ชนบทมากกว่าใดอื่นก็คือปฏิทินแห่งความหวังจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนของ  อ.ป๋วย   จะเป็นรูปธรรมมาก  เมื่อเกิดมาพ่อแม่จะแต่งงานโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ได้ แต่ขอให้มีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขและเมื่อจะเกิดลูกเกิดมาท่ามกลางความรักของพ่อแม่  เติบโตขึ้นมามีการศึกษา  ได้รับบริการสุขภาพ  และไม่ตายก่อนถึงวัยอันสมควร อ.ป๋วยไปนำเสนอในการประชุมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และแปลมาเป็นภาษาไทย  อ.ป๋วยเป็นคนเขียนหนังสือเก่ง  ภาษาเพราะกินใจ  อ.ป๋วยเป็นนักเศรษฐศาสตร์ จะมีความคิดเชิงระบบ พอออกมาก็โดนใจ เราจะเอาอันนี้มาอ้างอิงเสมอ"

"เรามีการผลักดัน  ยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญ  2517 เราใส่ไปว่าให้มีการสงเคราะห์ประชาชนที่มีรายได้น้อย  ควรได้รับการสงเคราะห์ในการรักษาโดยไม่คิดมูลค่า  และไม่มีคำว่าตามที่กฎหมายกำหนดเหมือนรัฐธรรมนูญปี  2540  นะ และต่อมามีการเขียนแผนพัฒนาฯ 8 ใช้คนเป็นเป้าหมายการพัฒนา พัฒนาเพื่อให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี  อีกอันที่เป็นแนวคิดผลักดัน  เรียกว่า basic minimal needs ความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่บุคคลหรือชุมชนควรจะมี  เป็นแนวคิดขององค์การอนามัยโลกเวลาจะพัฒนามาตั้งต้นว่าอะไรเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน  ซึ่งต่อมาก็พัฒนาเป็น  จปฐ. โครงการนี้ก็โดดเด่นมากที่นครราชสีมา คือโครงการโคราชพัฒนา  ตอนนั้นคุณหมอสงวนก็อยู่บัวใหญ่  อีกคนที่เป็นรุ่นน้องที่ช่วยกันอยู่  คือหมอสำเริง แหยงกระโทก"

ก่อนจะมาสู่   30  บาท  หมอสงวนวางระบบไว้หลายเรื่องสมัยอยู่เป็นผู้อำนวยการกองแผนงาน เช่น การสร้างระบบจูงใจใหม่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาของ รพ.และสถานบริการสาธารณสุขต่างๆ

หมอวิชัยเล่าว่าสมัยนั้นมีปัญหามากในการให้บริการนอกเวลาราชการ แม้ว่าโรงพยาบาลต่างๆ จะจัดเวรแพทย์พยาบาลอยู่แล้ว โดยมีเงินค่าตอบแทนแบบเหมาจ่าย

"เช่นเมื่อก่อนคืนละ  100-200  ขยับมาเรื่อยๆ  แต่หมอสงวนเขามาคิดว่าคนไหนทำงานหนัก  อัตราหลักประกันขั้นต่ำให้ได้แค่นี้   แต่ถ้าทำมากกว่านั้นก็ให้ได้มาก คือทำให้มันจูงใจ สมมติผ่าตัด  1  รายได้เท่ากับเหมาจ่าย  แต่ถ้าทำ 2 รายได้ 2 เท่า 3 ราย 3 เท่า อันนี้มีรายละเอียดที่ต้องคิดเยอะเลย ต้องทำหลักเกณฑ์ต่างๆ  ให้มันดี  สำคัญที่สุดคือต้องคิดกรอบก่อนว่าจะทำอย่างไร  พอคิดออกก็ต้องมาคิดรายละเอียด  จากนั้นก็ต้องไปผลักดันให้กระทรวงเห็นชอบ  ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นมันก็ใช้เงินไม่มาก แต่ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย  win-win ทั้งแพทย์ พยาบาล คุ้มค่ากับแรงที่ลงไป ที่สำคัญที่สุดประชาชนได้ คุณหมอสงวนแกเป็นคนช่างคิด พอคิดแล้วก็มีวิธีการ มีขั้นตอนในการเตรียมข้อมูล"

"ก็ทำจนสำเร็จ  ยกตัวอย่างโรงพยาบาลหนองคาย  เป็นโรงพยาบาลเล็ก โรงพยาบาลอุดรเป็นโรงพยาบาลใหญ่  งานเยอะ แต่ก่อนแพทย์ที่อยู่เวรก็มักส่งต่อไปให้อุดรผ่าตัด อุดรก็บ่น  แค่นี้ทำไมต้องส่ง หนองคายก็บ่นว่าขาดแคลน  แต่พอเปลี่ยนระบบปุ๊บหนองคายไม่ส่งเลย  ผ่าเองหมด  เพราะผ่าแล้วพยาบาลก็ได้  แพทย์ก็ได้ คนไข้ก็ไม่ต้องถ่อสังขารมาโรงพยาบาลอุดร ถึงตอนนี้อุดรบอกหนองคายส่งมาบ้างก็ได้ อยากผ่า"

หมอวิชัยเล่าว่าสมัยเป็นผู้อำนวยการกองแผนงาน  หมอสงวนได้วางระบบหลายอย่างที่มีผลถึงปัจจุบัน  ได้แก่ การแก้ปัญหาสมองไหล โดยพัฒนาระบบแรงจูงใจให้บุคลากรคงอยู่ในระบบราชการ  เพิ่มการผลิตแพทย์อย่างก้าวกระโดดจากปีละ   850 คนเป็นปีละ 1,200 คน เริ่มจัดทำงบประมาณช่วยเหลือองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสาธารณสุขและการปฏิรูประบบเงินบำรุงให้ใช้ได้คล่องตัวขึ้น

งานเหล่านี้ไม่ง่ายเพราะต้องเจรจาทั้งเจ้ากระทรวงตัวเองและเจ้ากระทรวงต่างๆ แต่หมอสงวนทำงานกับทุกคนได้ดี แม้แต่บุญพันธ์ แขวัฒนะ ที่คนในกระทรวงเรียกกันว่า "น้าพันธ์"

"น้าพันธ์นี่ใครทำงานด้วยยากจะตายไป  แต่คุณหมอสงวนทำงานด้วยสบาย  เพิ่มแพทย์จาก   850 เป็น  1,200  คนก็สมัยน้าพันธ์ น้าพันธ์เรียนจบธรรมศาสตร์แต่ไปสิงอยู่หอศิริราช ฉะนั้นแกมีรุ่นน้องเป็นหมอเยอะ แล้วแกเป็นคนสนุกสนาน เป็นเศรษฐีตั้งแต่เรียนธรรมศาสตร์ มีเงินตั้ง 3 ล้าน และเป็นคนใจกว้าง  ในศิริราชหมอรุ่นอาวุโสรู้จักน้าพันธ์ดี  การขอความร่วมมือเรื่องเพิ่มการผลิตเกิดขึ้นสมัยน้าพันธ์ หมอหงวนเป็นคนคิดว่าแพทย์ขาดแคลน ผลิตปีละ 850 ไม่ทันกิน ต้องเพิ่มเป็น 1,200 มันจะต้องทำอะไรบ้าง  ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ โรงเรียนแพทย์แต่ละแห่งมีศักยภาพในการเพิ่มเท่าไหร่ พอชัดเจนแกก็เสนอทันที  ระหว่างตัดสินใจ กระทรวงก็ต้องคิดว่าทำอย่างไรโรงเรียนแพทย์จะร่วมมือ อันนี้ก็ต้องไปประชุมใหญ่ จนเขายินยอมพร้อมใจ  ถึงจะประกาศนโยบายนี้ออกมา  และต้องใช้เงินเพิ่ม น้าพันธ์ก็ต้องไป defend ใน ครม. มันมีเรื่องต้องทำเยอะ"

เรียกว่าทำงานได้กับรัฐมนตรีทุกคน

"ใครมาแกทำงานได้หมด  แต่ก็มียกเว้นสมัยทุจริตยา"  ตอนนั้นถูกเล่นงานทั้งหมอวิชัยหมอสงวน หมอสงวนถูกร้องเรียนถูกสอบสวน หมอวิชัยโดนฟ้องดำเนินคดี แต่หมอสงวนก็ไปให้การเป็นพยานปากสำคัญในศาลจนพ้นข้อกล่าวหา
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ประกันสังคม

จากความใฝ่ฝันที่จะให้บริการสุขภาพเท่าเทียม  มีคุณภาพ  และมีประสิทธิภาพ หมอวิชัยบอกว่าวิธีการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายเป็นเรื่องใหญ่  ปรากฏว่าในปี 2534 หมอสงวนก็ได้ไปทำงานสำคัญคือการวางรากฐานระบบบริการการแพทย์ของประกันสังคม

ประกันสังคมเริ่มให้บริการการแพทย์ในปี  2534 กรรมการการแพทย์ชุดแรกมี นพ.ไพโรจน์ นิงสานนท์ เป็นประธาน มีหมอวิชัย และมีหมอสงวนเป็นมันสมอง

"ต้องทำการบ้านไปเยอะเลย เรามีนักวิชาารช่วยคิด แล้วไปวางโครงสร้าง คุณหมอสงวนเหมือนเป็นสถาปนิกที่ไปวางระบบบริหารด้านการรักษาพยาบาลให้ประกันสังคม และกรรมการชุดนั้นก็ได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง"

"หนึ่งคือ  ใช้ระบบเหมาจ่ายให้โรงพยาบาล  ไม่ใช่จ่ายตามที่โรงพยาบาลเรียกเก็บแบบข้าราชการ  ซึ่งเวลานี้ค่าใช้จ่าย  8,000 บาทต่อคน แต่ประกันสังคมไม่ถึง 2,000 ต่างกัน 4 เท่าตัว ฉะนั้นประกันสังคมเหลือเงินเยอะ  สองคือให้แค่  700  บาท  ขณะนั้นสมาคมโรงพยาบาลเอกชนกดดันขอ 1,200  บอก  700 ขาดทุน มันก็ต้องสู้กันว่าเท่าไหร่ ต้องมีข้อมูล  มีตัวเลข  ต้องมีกรณีตัวอย่างมาเทียบเคียง  ในที่สุดเราก็ยืนยัน  700  อันที่สาม คือตอนนั้นคิดกันว่าประกันสังคมจะสร้างโรงพยาบาลของตัวเองไหม  แต่ดูแล้วลงทุนเยอะ และไม่มีทางกระจายไปทั่วถึง ทางที่ดีที่สุดคือใช้โรงพยาบาลที่มีอยู่แล้วให้เขาแข่งกันให้บริการ  ประกันสังคมทำหน้าที่ซื้อบริการแทนที่จะเปิดบริการด้วย  บางประเทศทำแล้วส่วนใหญ่เจ๊ง  แต่มันก็มีคนอยากทำเพราะถ้าสร้างโรงพยาบาลก็ได้  2  อย่าง หนึ่งได้ส่วนเกินตอนก่อสร้าง สองคือมีโรงพยาบาลในสังกัด สั่งได้"

กรรมการชุดนี้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่  4  ปีได้วางรากฐานไว้อย่างเข้มแข็ง "ทุกวันนี้ประกันสังคมยังจ่ายแค่พันกว่าบาท   เริ่มต้น  700  บาทยืนอยู่ 4 ปีนะ ถูกล็อบบี้สารพัดจะให้ขึ้น พวกเราก็ไม่ยอม 700 บาทยังกำไรเยอะ  เพราะจากประสบการณ์เรารู้ว่าพอเริ่มประกันสังคมคนไม่ค่อยได้ไปใช้หรอก จะมีข้อทำให้ไม่อยากไปใช้หลายเรื่อง  เจ็บไข้เล็กๆ  น้อยๆ ก็ไม่ไป แต่ว่าโรงพยาบาลได้ เหมาหัวไปแล้วจะมาใช้ไม่มาใช้ก็ได้เท่าเดิม"

"การตัดสินใจอันนี้ก่อคุณูปการอย่างมหาศาลให้กับประเทศไทย  อันที่หนึ่งคือทำให้ประหยัดงบประมาณ  เดิมทีตอนคิดคำนวณค่าใช้จ่ายที่หัก  1.5%  3  ฝ่ายเป็น  4.5%  เขาคิดตัวเลขแบบบริษัทประกัน  คิดว่ามันพอแค่คนไข้ที่ต้องรับไว้ในโรงพยาบาล  คนไข้  OPD ไม่ได้นะ แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้ได้หมด และที่สำคัญข้าราชการเจ็บไข้ได้ป่วยต้องเอาเงินไปจ่ายก่อน แล้วไปเบิกคืนทีหลัง แต่ประกันสังคมมีสิทธิ์ที่โรงพยาบาลไหนไปที่นั่น และไม่ต้องจ่าย"

งานวางระบบประกันสังคมนี่เองที่ทำให้สานต่อมาถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า  หมอวิชัยบอกว่าจริงๆ แล้วการผลักดันเรื่องนี้มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2517

"ความฝันอยากให้มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า    แต่เริ่มทันทีครอบคลุมหมดเลยทำไม่ได้  ต้องค่อยเป็นค่อยไป   เดิมทีมีข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจ  และก็พวกที่บริษัทมีสวัสดิการให้  มันก็นิดเดียว  อาจจะสัก  10% พอประกันสังคมก็ได้อีก 6-7% แต่คนที่ไม่มียังมีเยอะมาก ก็ไปผลักดันในระบบอื่น ต่อมาก็เอาคนแก่  เด็ก  คนพิการ  เรียกว่ากลุ่มคนที่สังคมควรช่วยเหลือเกื้อกูล  เริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2517  ก่อนนั้นเวลาคนไข้ไปโรงพยาบาลแล้วไม่มีเงินจ่ายจะเรียกว่าคนไข้อนาถา  พอปี  2517  ก็มีโครงการรักษาฟรีสำหรับคนมีรายได้น้อย  ต่อมาก็มีการขยายไปยังเด็กต่ำกว่า  14 ปี แล้วขยายไปยังผู้สูงอายุ  ก็ยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่เลยที่ไม่มีการครอบคลุม  ตรงนี้ก็เป็นขายบัตรสุขภาพครอบครัวละ  500 บาทตามความสมัครใจ แต่ก็ไม่ครอบคลุมหมด"

"โครงการผู้ที่สังคมควรช่วยเหลือเกื้อกูล   ตอนเริ่มต้นสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ปีแรกได้เงินมา  500 ล้าน  ถือว่าเยอะมากตอนนั้น  ใช้กันไม่หมดเลยนะ  เพราะที่เคยได้  โรงพยาบาลอำเภอทั้งปีได้แค่ 5,000  แต่พอมีโครงการนี้ได้เป็นแสน เงินก้อนนี้ให้ฟรี ให้โรงพยาบาลใช้ดุลยพินิจว่าใครจนก็ให้ฟรี อำนาจอยู่ที่โรงพยาบาล ต่อมารัฐบาลก็ทำบัตรสงเคราะห์ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ตอนทำบัตรคนจนจริงก็อยู่ไกล  ไม่เคยรู้ว่ามีการทำบัตร  พอจะทำก็ต้องมีหลักฐานเอกสาร  ก็มีคนจำนวนหนึ่ง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละพื้นที่ที่จนแต่ไม่มีบัตร  แต่บางคนรายได้เกินขีดกำหนดแต่ว่าเข้าถึงก็มาทำบัตร  มันก็มีปัญหา เพราะฉะนั้นถ้าให้ทุกคนได้ก็จบ  นี่คือที่มาของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า  หมอสงวนตอนจะทำเรื่องนี้แกมีประสบการณ์มาแล้ว  10  ปีจากประกันสังคม แกทำการศึกษาวิจัยโดยอียูให้งบมา 50-60 ล้าน วิจัยปฏิบัติการในพื้นที่ว่าจะทำอะไร  ยกตัวอย่างเช่นที่อยุธยา  ไปทำคลินิกชุมชนเพื่อจะเป็นตัวอย่างว่าถ้าเกิดคลินิกชุมชนกระจายทั่วแล้วโรงพยาบาลใหญ่ไม่ต้องเปิด  OPD  ฉะนั้นโรงพยาบาลก็จะไม่แน่น  นี่คือการเตรียมการ มันไม่ใช่ว่าพอนึกจะทำก็ทำ"

รวมทั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว

"โรงพยาบาลบ้านแพ้วเป็นเรื่องของการสร้างรูปแบบการบริหารโรงพยาบาลแบบใหม่  มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น   เป็นอิสระ  ด้วยความคิดว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นคุณพ่อลูกดก มีหน่วยบริการทั่วประเทศ   สถานีอนามัยหมื่นกว่าแห่ง  โรงพยาบาลอำเภอ  700 กว่าแห่ง โรงพยาบาลจังหวัดอีก จะดูแลทั่วถึงได้อย่างไร  ถ้ากระจายไปให้ชุมชนมีกรรมการเข้ามาดูแล  นี่คือแนวคิด  แต่ว่าในสมัยที่ผ่านมาเรื่องการกระจายอำนาจผู้มีอำนาจไม่อยากกระจาย ก็เลยไม่เกิด"

บ้านแพ้วเก็บค่าบริการ  40 บาททุกโรค โดยรัฐบาลจ่ายรายหัว เป็นงานศึกษาวิจัยที่พรรคไทยรักไทยเอาตัวเลขไปแปลงเป็น "30 บาทรักษาทุกโรค"


ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 19

โพสต์

งานแห่งชีวิต

"คุณหมอสงวนเป็น   master  mind เป็นต้นคิดและเป็นคนวางแผนการบริหารทั้งหมด เป็นคนอยู่เบื้องหลัง  โดยที่มีแรงผลักดัน  งานนี้เป็นงานในชีวิตของแก  เป็นงานชีวิตเลย ที่จะทำอย่างไรให้เกิดการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ  อันที่หนึ่งคือต้องครอบคลุม  100%  ก็คือเรื่องของความเท่าเทียม  อันที่สองต้องทำให้มีคุณภาพ  อันที่สามต้องทำให้มีประสิทธิภาพ  นี่คือปฏิรูประบบบริการ  และพอแกฝันแล้วแกก็คิดต่อ   คิดจนกระทั่งเป็นรูปแบบ และศึกษาหาความรู้ วิจัย  ทดลองทำ  และหาช่องทางในการผลักดันเป็นระยะๆ  จนมีจังหวะก็คือรัฐบาลชุดที่แล้ว แกเสนอแล้วเขาก็ปิ๊ง พอเขาเป็นรัฐบาลเขาทำจริง มันมีข้อมูล มันมีแนวทาง  มียุทธวิธีต่างๆ  แล้ว มันก็เคลื่อนได้ และเคลื่อนในเวลารวดเร็ว และแกก็มีโอกาสไปนั่งเป็นเลขาธิการ สปสช.ในการพัฒนาระบบ"

หมอวิชัยเล่าว่าตอนนั้นพรรคไทยรักไทยสนใจนโยบายหลักประกันสุขภาพ  โดย  พ.ต.ท.ทักษิณคงได้ฟังจาก  นพ.พรหมินทร์  เลิศสุริย์เดช  นพ.สุรพงษ์  สืบวงศ์ลี  ที่สนิทสนมกับหมอสงวนตั้งแต่ทำกิจกรรมในมหิดล แต่อยากฟังด้วยตัวเอง

"ก็ไปกัน   3  คน ผม หมอสงวน และคุณพนิต มโนการ เป็นผู้ช่วยฉายภาพสไลด์ power point เสนอสไลด์ไม่กี่สไลด์  ให้เห็นว่าเวลานี้เราทำมาแล้วครอบคลุมประชากรแค่ไหน ยังขาดอยู่เท่าไหร่ จะใช้เงินเท่าไหร่  จะทำอย่างไร  ไม่ถึง 10 สไลด์ คุณทักษิณก็ซัก 4-5 คำถาม แล้วก็เอา"

"คุณทักษิณเขาต้องการนโยบายที่ชัดเจน  และนโยบายก็มีคนไปเสนอหลายๆ  ข้อ แต่บางข้อเขาก็ไม่สนใจ  แต่ข้อนี้พอเสนอปุ๊บเขาตัดสินใจว่าอันนี้ใช่-เอาเลย  บังเอิญหมอสงวนเตรียมตัวไว้เยอะแล้ว เขาพร้อม สไลด์ชัดเจนว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้าง cover เท่าไหร่ ขาดอีกเท่าไหร่"

เรียกว่าต่างคนต่างพึ่งกัน ไทยรักไทยต้องการคะแนนเสียง แพทย์ชนบทต้องการนโยบายที่บรรลุถึงประชาชนทุกคน

"ถ้าเราดูจากประวัติศาสตร์    นโยบายที่ช่วยเหลือคนยากคนจนมักจะได้รับการสนับสนุน  เช่นรัฐบาลคึกฤทธิ์  เงินผัน  ประกันราคาพืชผล  คนยากคนจนรักษาฟรี ขึ้นรถเมลล์ฟรี และพอเริ่มสงเคราะห์คนยากคนจนด้วยงบประมาณแค่  500  ล้าน  หลังจากนั้นไม่เคยลดลงเลยนะ  มีแต่เพิ่มขึ้น  จนกระทั่งเวลานี้เฉพาะภายใต้ สปสช.เกือบแสนล้าน"

หมอวิชัยเห็นด้วยว่านี่น่าจะเป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จที่สุดของพรรคไทยรักไทย

"เพราะนโยบายอื่นเช่นเรื่องยาเสพติดก็ไม่ค่อยยั่งยืน  มีปัญหาหลายอย่าง  อย่างหนึ่งก็คือหน่วยงานรองรับไม่เข้มแข็งพอ   ไม่เหมือนโครงการนี้ที่มีคนอย่างหมอหงวน  ที่มีประสบการณ์  มีแผนงาน ทุกอย่างพรั่งพร้อมกว่ามากเมื่อเทียบกับหน่วยงานยาเสพติด"

แต่ช่วงแรก 30 บาทก็ถูกต่อต้านเยอะมาก

"มีการต่อต้านในหลายประเด็น  คนเชียร์เยอะนะแต่ไม่ค่อยออกมา  คนได้ประโยชน์เยอะมาก แต่มักไม่ค่อยส่งเสียงอะไร  คนที่ส่งเสียงมากที่สุดก็คือแพทยสภา  เพราะกลัวว่าจะกระทบผลประโยชน์โดยเฉพาะผลประโยชน์ของโรงพยาบาลเอกชน  ก็บอกว่าเดี๋ยวบริการจะเลวจะอะไรต่างๆ เพราะเป็นระบบเหมาจ่าย ประกันสังคมทำมา 10 ปีแล้วไม่พูด แต่พอจะทำครอบคลุมทั้งประเทศมาวิจารณ์ ก็ต้องต่อสู้กันมา  อีกอันคือกรณีที่เกิดความเสียหายกับผู้ป่วย  พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ มาตรา 41 ก็ทำให้เกิดการต่อต้านเยอะ เพราะกลัวว่าหมอจะถูกฟ้องมากขึ้น ซึ่งความจริงหลังจากทำไปแล้วหมอถูกฟ้องน้อยลง"

"อีกฝ่ายหนึ่งที่มีการคัดค้านอย่างรุนแรงที่สุดก็คือประกันสังคม  เพราะกฎหมายฉบับนี้ต้องการให้ระบบบริการเหมือนๆ  กัน ประกันสังคมเขามีเงินกองโต ก็ไม่อยากให้คนอื่นเอาไปบริหาร ก็ต่อสู้กันมาทุกวิถีทาง  จนกระทั่งต้องเอามาตรานี้ออกไป ราชการก็คัดค้านเพราะเกรงว่าตัวเองจะเสียประโยชน์ กลัวจะไปได้สิทธิเท่ากับประชาชนทั่วไป  เพราะฉะนั้นการคัดค้านมันมาจากทุกทิศทุกทางการผลักดันกระทั่งสำเร็จก็ต้องให้เครดิตรัฐบาลไทยรักไทย   ที่มีความมุ่งมั่นแน่วแน่จนกระทั่งงานนี้สำเร็จ  แต่ที่สำคัญก็คือมีฐานสนับสนุนที่ชัดเจน ก็คือคุณหมอสงวน"

การต่อสู้ในกระทรวงก็ร้อนแรง แต่หมอวิชัยบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสู้กันมาทุกเรื่อง

"แต่ปัจจัยที่มีผลกระทบก็คือการเลือกผู้บริหารควรจะเลือกคนที่เห็นด้วยกับโครงการที่ผ่านมาส่วนใหญ่เลือกคนที่คัดค้านนโยบาย    ที่สำคัญคือคัดค้านเพราะอยากจะเป็นผู้บริหารกองทุนเอง  หลักของคุณหมอสงวนคือแยกกองทุนออกมาจากกระทรวง  ให้กระทรวงเป็นผู้ซื้อบริการไม่ใช่เป็นผู้เอาเงินมาบริหาร  ตรงนี้ก็มีผู้ไม่เห็นด้วย   คนที่อยู่ในกระทรวงก็ไม่อยากให้เงินหลุดออกไป อยากจะดูแลเอง มันมีเรื่องของผลประโยชน์"

สิ่งที่ต้องฟันฝ่ามีมากมาย 30 บาทปีแรก นพ.สุรพงษ์เป็นรัฐมนตรีช่วยก็ยังผลักดันได้มาก

"หมอเลี้ยบมีส่วนสำคัญในการที่เริ่มต้น แต่พอทำไปสักพักก็ไม่ค่อยมีบทบาท เพราะรัฐมนตรีช่วยก็เป็นดาวนพเคราะห์ ไม่มีแสงในตัวเอง" แต่หมอวิชัยบอกว่าหมอสงวนถือหลักว่าต้องผลักดันให้ออกเป็น พ.ร.บ.  เรื่องอื่นเป็นเรื่องปลีกย่อย  ความขัดแย้งต่างๆ แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง  "เรื่องปลีกย่อยที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปลีกย่อย  เรื่องใหญ่ที่สุดคือต้องออกเป็นกฎหมาย เพราะถ้าออกเป็นกฎหมายแล้วจะมั่นคงยืนยาว เป็นข้อผูกมัด แต่ถ้าไม่มีกฎหมาย เป็นแค่นโยบายต่อไปก็จะอ้างไม่มีเงินบ้างอะไรบ้าง คุณหมอสงวนแกจะมองยุทธศาสตร์ใหญ่ๆ"

หมอสงวนจึงมุ่งไปที่การพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  โดยก้าวไปเป็นเลขาธิการ สปสช. ซึ่งแยกออกจากกระทรวงสาธารณสุขเหมือน "ดึงอ้อยออกจากปากช้าง"

ฉะนั้นจึงต้องจับตาว่าใครจะเป็นเลขาธิการ สปสช.คนต่อไป.
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 20

โพสต์

'เขาด่าพี่หงวนเป็นทรราช'

นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่าหมอสงวนเป็นคนที่เอาอุดมคติและประสบการณ์ที่ได้เห็นความทุกข์ยากมาผลักดันจนสำเร็จ

"พี่หงวนไปอยู่จังหวัดที่ยากจนที่สุดในตอนนั้น   คือศรีสะเกษ  ได้เห็นความทุกข์ยากจริงๆ  เห็นปัญหาจากการกระจายงบประมาณตามโครงสร้างของมหาดไทย   เช่น   อ.กันทรลักษ์   มีประชากร  2.3 แสนคน  ก่อนเริ่ม  30  บาทมีโรงพยาบาล  90  เตียง  หมอ 7 คน  จังหวัดสิงห์บุรีมีประชากร 2.2 แสนคน มีโรงพยาบาล 6-7 แห่ง 600 กว่าเตียง หมอ 70 คน ทรัพยากรมันเอียง"

"ผมออกไปเป็นหมอปี  30  อยู่  อ.นาแห้ว จ.เลย ได้งบดูแลคนยากจนทั้งปี 9 หมื่น  เงินค่าใช้สอย  3   หมื่นบาท  เบิกเงินสวัสดิการข้าราชการได้เดือนละอย่างเก่งก็ 1-2 พันบาท แตกต่างกันมากจากในเมือง"

"พี่หงวนไปเป็น  ผอ.กลุ่มงานประกันสุขภาพ  เห็นว่านี่คือระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา  แพทย์ที่ไปอยู่ชนบทหลายๆ   คนเห็นสภาพปัญหา  เห็นความทุกข์ยาก  แต่ไม่มีเงินไม่มีเครื่องมือ  ทำอะไรไม่ได้ ก็โบกมือลาหมด เพราะระบบมันแย่ ทุกคนก็บ่นๆ แล้วถอยหนีไป สภาพเป็นอย่างนี้"

"พี่หงวนเห็นปัญหา  พอมีโอกาสไปทำงานในกระทรวง ถ้าเป็นคนทั่วไปย้ายไปส่วนกลางก็ลืมชนบท  ลืมความทุกข์ยาก หลายคนเข้ามาเพื่อถีบตัวสู่ตำแหน่ง แต่พี่หงวนมาเพื่อรวบรวมแก้ปัญหาศึกษาดู"

"มันเป็นระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา  ปลัดหรือรองปลัดคนเดียวตัดสินใจให้เงิน  7-8  หมื่นล้าน  ไม่ใช่ว่าเงินไม่พอแต่เกลี่ยงบประมาณไม่เหมาะสม  พี่หงวนก็เริ่มแก้จากบัตร  ศปร. ให้ถัวเฉลี่ยรายหัว"

หมอเกรียงศักดิ์บอกว่าตอนนั้นยังเกลี่ยเฉพาะงบดำเนินการ    ไม่ได้เกลี่ยเงินเดือนด้วยเหมือน 30 บาท "แต่เมื่อก่อนทำได้แค่นี้ก็สุดยอดแล้ว"

"พี่หงวนมาทำปี  34-35  ผมย้ายมาอยู่ภูกระดึง งบ ศปร.จากเดิมปีละ 2-3 แสนเพิ่มเป็น 3-7 ล้าน  นาแห้ว 1.5-2 ล้าน มันเห็นชัดว่าของเดิมเป็นผลพวงจากการกระจายไม่ถูกต้อง แนวที่พี่หงวนทำคือจากปลัดหรือรองปลัดคนเดียว  เปลี่ยนใช้กลไกภาคประชาสังคม  มีคณะกรรมการอนุมัติ  มีทั้งข้าราชการและบุคคลภายนอก  มีตัวแทนผู้สูงอายุ  เช่นคุณหมอบรรลุ   ศิริพานิช  ก็ไม่ยอมให้ใช้ระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา  ต้องจัดสรรตามรายหัว 273 บาท"

"แต่แกก็แลกมาด้วยแรงเสียดทานสูงมาก  ผู้ใหญ่ในกระทรวงไม่พอใจ ระบบอำนาจมันทำลายคนดี แต่พี่หงวนยอมเปลืองตัว  แกค่อยๆ  บ่มเพาะข้อมูลทางวิชาการมาเรื่อยๆ จนโอกาสเปิดทางการเมืองก็เอานโยบายไปใส่  เกิดการปฏิรูป 3 ข้อคือ ความเสมอภาค ทั้งบริการและการเข้าถึงของประชาชน  ค่าใช้จ่าย, คุณภาพ ถ้าทำแต่ด้านเสมอภาคเขาบอกมาตรฐานต่ำ เพิ่มมาตรฐาน เพิ่มบริการ ข้อที่ 3 คือประสิทธิภาพ ต้องทำ 3 มิติพร้อมกัน"

"ระหว่างทำก็เกิดแรงเสียดทานเยอะ   เช่น   มุมมองที่ต่างกันของแพทยสภา  ซึ่งแทนที่จะเป็นคนกลางดูแลมาตรฐานคุ้มครองสวัสดิภาพประชาชน   แต่ตอนหลังมันบิดเบี้ยว  ภาคเอกชนเข้ามาเยอะ" บอกว่าไม่แปลกหรอกเพราะแพทย์ที่อยู่ในชนบทปัจจุบันมีแค่พันกว่าคน ที่เหลืออยู่ในเมืองหรืออยู่เอกชน ยุคแรกๆ  แพทย์ชนบทเช่นหมอสงวน หมอสุวิทย์ หมอวิชัย เคยได้รับเลือกเป็นกรรมการแพทยสภา แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา แพทย์ชนบทเลิกสมัครแข่งขันเพราะรู้ว่าไม่มีทางได้

แพทยสภาตอนนั้นยกมาตรา  41  มาค้าน  พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ว่าจะมีการฟ้องร้องแพทย์มากขึ้น "พี่หงวนให้ผมไปชี้แจงในรายการสุรยุทธ์ ผมยกข้อมูลแพทยสภาขึ้นมาเองว่าการฟ้องร้องมันสูงขึ้นอยู่แล้ว  เพราะปี 42 มีการประกาศสิทธิผู้ป่วย และมันเป็นยุคโลกาภิวัตน์คนมีความรับรู้มากขึ้น เรามองว่ามาตรา  41 จะช่วยให้มีการไกล่เกลี่ย ซึ่งเอาเข้าจริงหลังออกกฎหมายแล้วระหว่างปี 45-47 การฟ้องร้องลดลงด้วยซ้ำ จากเดิมที่แพทยสภาเคยต่อต้าน วันนี้ก็มีคนมาแอบกระซิบบอกว่าเห็นด้วย"

"นี่เป็นตัวอย่างแรงเสียดทานที่พี่หงวนโดน     ถ้าใครไปดูเว็บบอร์ดในวงการแพทย์ช่วงนั้นเขาจะตราหน้า หมอหงวน หมอวิชัย หมอสุวิทย์ เป็นทรราชในวงการแพทย์ ทำให้เขาเดือดร้อน แต่พี่หงวนก็ทนแรงเสียดทานมาตลอด เดินหน้าทำต่อเป็นคุณูปการที่สำคัญ"

หมอเกรียงศักดิ์บอกว่า  30  บาทไม่ใช่แค่การให้สวัสดิการกับประชาชน แต่ยังปฏิรูปกำลังคนปฏิรูประบบสุขภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ เริ่มจากปฏิรูประบบการเงิน จัดสรรงบประมาณรายหัว  โดยรวมเงินเดือนเข้ามาทำให้มีการกระจายบุคลากร ตลอดจนเปลี่ยนแปลงระเบียบเงื่อนไขต่างๆ ที่ติดขัด

"เมื่อปี  42-43  ผมเคยขอจ้างนักกายภาพบำบัด  แต่ยุ่งยากมาก ต้องไปขอสำนักงบประมาณทำเรื่องเป็นปี  ถึงมีเงินเขาก็ไม่ให้ พี่หงวนไปแก้ระเบียบให้หมด เดี๋ยวนี้ผมจ้างวันนี้พรุ่งนี้ได้เลย  สมมติผมจะจ้างศาสตราจารย์จากกรุงเทพฯ ไปผ่าตัดสมอง กรรมการ รพ.อนุมัติจ้างได้เลย  ตอนนี้ผมมีนักกายภาพบำบัด 4 คน มันเป็นการเปิดเสรีภาพให้กับผู้ให้บริการ เมื่อก่อนหงอยเหงามีแต่ความแร้นแค้น ทำอะไรก็ไม่ได้  ในขอนแก่น รพ.ชุมชน 20 แห่งไม่มีนักกายภาพสักคน เดี๋ยวนี้เหลือแห่งเดียวที่ไม่มี พี่หงวนเปลี่ยนแปลงทั้งระบบงบประมาณ บุคลากร ระเบียบ เปลี่ยนวิธีคิดในการให้บริการ"

"ในออสเตรเลียเคยออกกฎหมายแบบเดียวกันนี้   โดนหมอต่อต้าน เหมือนที่ใส่ปลอกแขนดำในบ้านเรา   ใช้เวลา  50  ปีกว่าจะสำเร็จ  ในอังกฤษก็คล้ายกัน พี่หงวนทำได้เร็วกว่าต่างประเทศ  เพราะแกสรุปบทเรียน แกตั้งบอร์ดให้ภาคประชาสังคมเข้ามาร่วม มีชมรมผู้พิการชมรมโรคไตโรคหัวใจ  เต็มไปหมด   องค์กรเข้มแข็งมาปกป้องสิทธิของเขาเอง  จากเมื่อก่อนที่อาจารย์หมอประเวศบอกว่าคนจนเป็นเหมือนขอทานบริการ ก็กลายมาเป็นสิทธิของประชาชน"

"สิ่งที่พี่หงวนทำเป็นเรื่องที่ใหญ่มากและยากมาก หลายคนเข้าสู่อำนาจแล้วเขาไม่ทำ เพราะถูกต่อต้านสารพัด"
[/b]
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ศรัทธาในการมีชีวิต ทพญ.อพภิวันท์ นิตยารัมภ์พงศ์

"ตอนรู้ว่าคุณหมอป่วยความรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนหุบเหว พี่ร้องไห้มาก วันแรกที่รู้ก็ช็อก แต่หลังจากนั้นครอบครัวก็ยืนยันที่จะเป็นเบื้องหลังที่เข้มแข็งให้เขา ไม่ว่าจะไปรักษาที่ไหนเราจะค้นหาทุกวิธีทาง ทั้งทางการแพทย์ตะวันตก  องค์รวม  แม้กระทั่งธรรมะ พี่ต้องคิดว่าเราสู้ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ในช่วงนั้นครอบครัวก็ช่วยกัน  พี่มีลูก  2 คน (18 และ 15 ปี) เราก็จะเขียนหัวใจ  และก็จะเขียนคำว่าหายติดไว้ทั่วบ้าน  ทุกครั้งที่พ่อเห็นก็จะรู้สึกว่าเป็นหัวใจของครอบครัว  ไม่ใช่ของคุณหมอคนเดียว และเราจะต้องหายจะต้องสู้  เราจะติดคำนี้ไปทั่วทั้งบ้าน  พอต่อมาเราก็จะเปลี่ยนคำเป็นจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว พอเราเริ่มรู้สึกว่าเป็นมากขึ้น  เราก็บอกว่าจิตเป็นนายนะ  กายนี่ต้องเอาทิ้งไปเสีย  เอาจิตขึ้นมาเป็นนายให้ได้  เราก็พยายามช่วย support คนไข้หัวใจ ไต พี่บอกว่าขอให้ช่วยสวดมนต์แล้วส่งใจมาให้คุณหมอ  เพราะเราเคยอ่านบทความว่าที่เมืองนอกเขาส่งกระแสจิตไปให้คนไข้ก่อนผ่าตัด  คนไข้นั้นจะหายได้เร็ว   พี่ก็ขอทุกเครือข่ายว่าวันนี้ช่วยกันสวดมนต์  แล้วก็จะบอกคุณหมอว่าปะป๊าตอนนี้คนไข้มะเร็งสวดมนต์ให้ปะป๊าอยู่  เขาขอบคุณที่ปะป๊าทำให้เขาได้รับการรักษา จากที่ปวดคุณหมอก็จะสงบลง"

"สิ่งหนึ่งเลยคือให้จิตอยู่ในกุศลเสมอ   เราจะ  support ให้คุณหมอรู้สึกว่าเขาได้ช่วยคนนั้นคนนี้  ก่อนนั้นเขาจะพูดเสมอว่าตอนที่อยู่ราษีไศลใหม่ๆ  เขาเคยช่วยเด็กคนหนึ่ง  2-3 ขวบ  กำลังจะตาย พอเขารักษาเสร็จวันรุ่งขึ้นเด็กวิ่งอยู่ใน  ward ได้ พี่ก็จะบอกว่าป๊าจำได้ไหมป๊าเคยช่วยเขาไง เขาเกือบตายแล้วเขามาวิ่งเล่นได้ ป๊ามีความสุขมากเลยใช่ไหม  เราจะเล่าให้คุณหมอฟังว่าหมอทำทีละเรื่องๆ มันช่วยเยียวยาให้รู้สึกเบิกบานในยามที่เราป่วย ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่เราช่วยกัน"

"4  ปี  6 เดือนคุณหมอเป็นคนไข้ที่เป็นนักสู้มาก เพราะต้องเปลี่ยนนิสัยรับประทานทั้งหมด ซึ่งไม่ง่าย  และก็เครียด  บางทีเรามาเห็นอาหารหน้าตาไม่น่าสนใจเลย  หมอต้องรักษาสุขภาพ   ต้องให้ยาบ่อยมาก  หลายรอบ   แต่ไม่เคยท้อที่จะสู้  พูดได้ว่าคุณหมออยากมีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังพูดอยู่ว่าผมจะไปแถลงข่าวอีกได้ไหม คือความศรัทธาในการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องสำคัญ"

เธอบอกว่างานล่าสุดของ  สปสช.ที่ขยายบริการล้างไตให้ผู้ป่วยเรื้อรัง  "เป็นผลงานที่คุณหมอมีความสุขมากที่สุดระดับเกือบจะสุดท้ายแล้ว   เพราะผลักดันเรื่องนี้มานานหลายปีหลายรัฐบาล  ในฐานะคนป่วยคนหนึ่ง  การดูแลหรือกำลังใจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  คุณหมอได้รับการรักษาอย่างดี  แต่ถ้าไม่ได่คนที่  support  จิตใจเราแทบจะยืนอยู่ไม่ได้ เพราะมีภาระที่หนักหนาสาหัสทางด้านจิตใจ ต้องต่อสู้กับปัญหารอบด้านเยอะมาก"

"พี่รู้สึกว่าชีวิตพี่ก็เปลี่ยนไป    จะไม่ใช่หมอฟันที่ถอนฟันไปวันๆ    สิ่งที่ได้รับจากการ support  ด้านจิตใจไม่ว่าจะด้วยมิตรภาพ  ด้วยธรรมะ  มันมีคุณค่ามากกว่าการนั่งอุดฟันทีละซี่ทีละวันไปเรื่อยๆ จนตาย เราสามารถจะช่วยเหลือเยียวยาคนอื่นได้  โดยที่ไม่ต้องเป็นหมอเลย  งานสุดท้ายของคุณหมอที่เป็นกองทุนมิตรภาพบำบัด  พี่อยากจะบอกว่ามันมาจากความทุกข์ของคนป่วยที่ชื่อสงวน  กับครอบครัวของเขา เราเห็นคุณค่าของตรงนี้ และคุณหมอก็อยากจะเอาตัวเองเป็นตัวอย่างไปช่วยเหลือคนอื่น"

"ย้อนไปตอนช่วงปีแรกพี่สติแตกมาก   เพราะทำเคมีบำบัดครั้งหนึ่งพออีก 2-3 เดือนหมอบอกว่าไม่ได้ผล  และต้องเริ่มเคมีบำบัดใหม่ เหมือนเรายืนบนหน้าผาแล้วรู้สึกว่ามีพายุผ่านมาเป็นระลอก พี่เคยครั้งหนึ่งต้องจอดรถที่มืดๆ แล้วร้องไห้คนเดียวอย่างหนัก เพราะไม่ต้องการให้ใครเห็น  คุณหมอเคยถามลูกว่าทำไมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้เลย    ลูกก็จะบอกว่าแม่แอบร้องไห้บ่อยๆ  แล้ววันสุดท้ายพี่ก็ไม่เห็นลูกสาวพี่ร้องไห้เหมือนกัน  พี่ก็ถามลูก  ลูกไม่ร้องไห้เลยเหรอ   เขาก็บอกว่าลูกไม่อยากให้พ่อเห็นว่าลูกร้องไห้ เขาแอบร้องไห้ไปแล้ว คือเราไม่พยายามแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น ทุกๆ วันจะบอกคุณหมอว่าไม่ต้องห่วงครอบครัว เพราะถ้าเขาไม่มีห่วงครอบครัวแล้วเขาจะมีภาระน้อยลงไปเยอะ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 22

โพสต์

นักรบไร้ปืน บันทึก"หมอสงวน"

วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6271 ข่าวสดรายวัน

"ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยาก ขวากหนามลำเค็ญ คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย แม้ผืนฟ้ามืดดับเดือนลับมลาย ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน"

เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ที่น.พ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร้องไว้เมื่อสิ้นปี 2550 ในการประชุมผู้บริหารวาระสัญจร ที่จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งถือเป็นการทำงานครั้งสุดท้าย ยังคงแว่วถึงหูชาวสาธารณสุขและเพื่อนร่วมงานของ "หมอหงวน"ทุกคน

"แสงดาวแห่งศรัทธา" เป็นเพลงที่คุณหมอสงวนชอบและฟังเกือบจนวาระสุดท้ายของชีวิต สื่อถึงความมุ่งมั่นของ "คน" ก่อนที่จะเหลือเพียงความทรงจำที่จารึกไว้ตลอดกาล เมื่อ "มะเร็ง" คร่าชีวิตหมอนักสู้ผู้บุกเบิกระบบหลักประกันสุขภาพไปอย่างไม่มีวันกลับ

การสิ้นไปของน.พ.สงวนเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และมีบทความไว้อาลัยตามออกมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึง "คุณค่า" ทั้งในชีวิตและงานของน.พ.สงวน
รูปภาพ

นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคอันโด่งดังของพรรคไทยรักไทยนั้น เป็นที่ทราบกันว่า น.พ.สงวนเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันในฐานะ "หมอ" โดยไม่ได้สนใจฝักใฝ่หรือทะเยอทะยานทาง "การเมือง"

ต้นทางของนโยบายนี้ มาจากอุดมคติและการปฏิบัติที่เป็นจริงของหมอหนุ่มที่ออกไปคลุกคลีปัญหา ก่อนจะตกผลึกมาเป็นโครงการที่ทำให้ประชาชนยากจน ได้รับการรักษาจากแพทย์ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย

หนังสือ "ปูมประวัติศาสตร์มหิดลเพื่อประชาธิปไตย ภาค 3 กล่าวถึงน.พ.สงวนในช่วงที่ไปอยู่ร.พ.ราษีไศล และทำให้แนวคิดใหม่ในด้านสาธารณสุขก่อตัวขึ้น ดังนี้

"โรงพยาบาลที่เป็นต้นแบบรูปธรรมของแนวคิด Health Team หรือทีมสาธารณสุขเพื่อมวลชน ซึ่งกล่าวขวัญกันมากในเวลานั้นคือโรงพยาบาลราษีไศล โรงพยาบาลอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งริเริ่มโดยบัณฑิตแพทย์รามาธิบดีคนหนึ่ง ชื่อ น.พ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้เป็นอดีตนายกสหพันธ์นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล คนสุดท้ายปี 2519 หลังจากนั้นองค์การบริหารนักศึกษาก็กลับไปสู่รูปแบบสโมสรเหมือนเดิม..."

น.พ.สงวนไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันนองเลือด แต่ก็มีบทบาทสำคัญ และอยู่ในบัญชีดำที่ทางการต้องการจับกุม

และได้หลบซ่อน พลางทบทวนว่าจะเข้าป่าจับปืนหรือเดินตามแนวทางสันติที่ตนเชื่อ หนังสือ "ปูมประวัติศาสตร์มหิดลฯ" ระบุถึงบันทึกของน.พ.สงวนว่า

"จำได้ว่า วันที่เดินออกจากมหิดลวันนั้น คิดเลยว่าสงสัยจะไม่ได้กลับมาอีก อารมณ์ความรู้สึกเหมือนหมดสิ้นแล้ว ไม่รู้จะไปสู้กับใคร พรรคพวกก็ไม่รู้เป็นอย่างไรต่อไปก็ต้องไปเผชิญอีกแบบ เหมือนคนที่ล้มละลายแล้ว แต่พวกเราก็เกาะกลุ่มกันไม่ได้กลับบ้าน ไปนอนบ้านเพื่อน มหาวิทยาลัยปิดหมด อาทิตย์แรกอยู่บ้านเพื่อน หลังจากนั้นก็ย้ายไปบ้านญาติ"



"นั่งคิดอยู่เหมือนคนไม่มีทางไป จำได้ว่า ตอนนั้นมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง "เขาถูกบังคับให้จับปืน" ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเองก็ประกาศมาตลอด "ผมไม่จับปืน" ผมไม่จับปืนมาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง เพราะผมไม่เห็นด้วย ผมไม่เชื่อว่า การทำลายล้างกันจะทำให้เกิดการสร้างสรรค์ที่ดีได้ แต่อารมณ์ตอนนั้น แม้ไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีทางเลือก ตอนนั้นรู้สึกใส่แว่นไม่เหมาะสม"

"สุดท้ายก็มานั่งคิดด้วยเหตุผล หนึ่ง การใช้ความรุนแรงไม่ใช่จิตวิญญาณของเราจริงๆ สอง ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ทะเลาะกับเพื่อนฝ่ายซ้ายอยู่แล้ว ถ้าเข้าไปข้างในก็คงทะเลาะกับเขาอีกแน่ๆ ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ผมกับศุภมิตร (น.พ.ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ อดีตนายกสโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ อุปนายกสหพันธ์นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2519) คุยกันจะไปชวน อ.เสน่ห์ จามริก, อ.ชลธิรา กลัดอยู่ จะตั้งพลังที่สาม คือ ผมเห็นด้วยกับนักศึกษาในการเสียสละต่างๆ แต่ไม่เห็นด้วยในวิธีการ ก็ใช้คำว่าพลังที่สามกันขึ้นมา ที่เห็นด้วยกับนักศึกษา ไม่คัดค้าน แต่ขอเป็นอีกแนวทางหนึ่ง"

หนังสือเล่าว่า น.พ.สงวนหาทางลี้ภัยไปนอร์เวย์ รออยู่นานเป็นเดือนไม่ได้รับอนุมัติ มาทราบทีหลังว่าถ้าติดต่อกับสถานทูตสวีเดนก็เรียบร้อยแล้ว

"เมื่อไม่มีทางไปก็ลองกลับมาเรียน ดูซิว่า เขาจะจับหรือเปล่า กลับมาเรียน อาจารย์ก็สนับสนุน อาจารย์เป็นห่วงมาก โดยเฉพาะอาจารย์พวงจันทร์ หัตถีรัตน์ ก่อนเข้ามาเรียน ผมไปปรึกษาอาจารย์ก่อน อาจารย์ก็บอกให้มาเรียนเถอะ แล้วจะช่วยกันดูแล กลับมาที่ห้องหนังสือหายหมดเกลี้ยง หนังสือการเมืองเขาเอาไปเผาหมด หนังสือเรียนเขาเอามาคืน ก็กลับมาเรียนจนจบ แปลกมากนะ แต่ผมไปมีรายชื่ออยู่ในหนังสือพิมพ์เป็นพวกหนีการจับกุม เป็นนักโทษหนีการจับกุม แต่มาเรียนหนังสือเขากลับไม่จับ ผมไปเยี่ยมเพื่อนที่คุกบางขวาง สุธรรม แสงประทุม บอกผมว่า เขาไม่จับเอ็งเพราะอธิการบดี (น.พ.กษาณ จาติกวณิช อธิการฯม.มหิดลในเวลานั้น) ปกป้องเอ็ง ยืนยันว่าเอ็งไม่มีอะไร"

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 23

โพสต์

รูปภาพ

เมื่อเรียนจบ ต้องไปเป็นแพทย์ฝึกหัด หรืออินเทิร์น แทนที่จะเลือกลงโรงพยาบาลเกรดเออย่างศิริราช รามาธิบดี หมอสงวนกลับคิดไปเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อจะได้สัมผัสบรรยากาศโรงพยาบาลแบบชนบท

"ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปอินเทิร์นที่อุบลฯ แต่เมื่อเกิดเรื่องพ่อแม่ไม่ให้ออกไปต่างจังหวัด ที่รามาฯ ศิริราช เราก็ไม่ชอบ เซ็ตติ้ง (setting) ที่คล้ายต่างจังหวัดคือ โรงพยาบาลวชิระ ซึ่งตอนนั้นยังไม่เจริญอะไรมากมาย เลยเลือกที่นั่น ตลอดปีที่ทำงานที่วชิระตอนนั้น แรงผลักดันตัวหนึ่งคืออยากให้คนอื่นรับรู้ว่าคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์มันเป็นหมอที่ดีอย่างนี้"

"จนกระทั่งช่วงรับปริญญาปี 2520 ใกล้เดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ทำให้ตื่นเต้นจำได้ว่า นายตำรวจคนหนึ่งชื่อ ธนู หอมหวล ก็มาติดต่อผ่านทางรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระ ให้ไปมอบตัว ถ้าจะเข้ารับปริญญาต้องมอบตัวเพราะมีชื่ออยู่ในลิสต์ (บัญชีดำ) เราก็ไม่ยอมมอบตัว ถ้าเขาเห็นว่าผิดก็ให้มาจับ ผมบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิดจะจับก็จับ ก็คิดว่าการรับปริญญาจะสร้างความภูมิใจให้พ่อแม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ไปรับ"

หมอสงวนได้เป็นไทแก่ตัว พร้อมกับเพื่อนที่อยู่ในบัญชีดำ 98 คน รวมทั้ง ธีรยุทธ บุญมี และเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เมื่อได้รับนิรโทษกรรมในวันที่ 16 กันยายน 2521 ในยุครัฐบาลเกรียงศักดิ์ ซึ่งได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลหอยตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2520

ชีวิตแพทย์ชนบทของหมอสงวนเริ่มต้นที่โรงพยาบาลเล็กๆ ขนาด 30 เตียงในอ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ในปี 2521 เขาไม่ได้ลงไปทำงานแบบวันแมนโชว์ แต่ลงไปเป็นทีมงานเพื่อสร้างวัตกรรมใหม่ในทางสาธารณสุข

มีแพทย์ 3 คน จากมหิดลและจุฬาฯ และพยาบาลรามาธิบดี อีก 4 คน ต่อมาจึงมีบัณฑิตนักกิจกรรมรุ่นน้องตามมาสมทบ

ชั่วระยะเวลาปีเดียวที่หมอสงวนออกไปทำงานที่โรงพยาบาลราษีไศล กิตติศัพท์เกี่ยวกับทีมงานสาธารณสุขของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เลื่องลือเป็นที่รับรู้ในระดับบนของกระทรวงสาธารณสุข และในหมู่นักศึกษามหิดลรุ่นน้อง

ในยามที่กิจกรรมทางการเมืองในมหาวิทยาลัยถูกปิดกั้น โรงพยาบาลราษีไศลเป็นเสมือนโอเอซิส ที่กลุ่มนักศึกษามหิดลและสถาบันต่างๆ ได้มาเยี่ยมเยียนดูงานอย่างคึกคัก

หลายคนเมื่อเรียนจบแล้ว ก็มาทำงานรวมทีมกับหมอสงวน หรือไม่ก็ออกไปบุกเบิกงานของตนเองตามแนวทางของโรงพยาบาลราษีไศล แต่จากการที่เป็นแหล่งชุมนุมของนักศึกษาปัญญาชนจากในเมือง โรงพยาบาลราษีไศลจึงไม่พันจากการใส่ร้ายป้ายสีของฝ่ายปกครองที่คอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา หมอสงวนเล่าว่า

การใส่ร้ายป้ายสีแรงๆ เป็นไปอย่างที่หมอสงวนเล่าไว้

กรณีแรก มีครอบครัวหมอจากเบลเยียมชื่อสตีฟานกับมาลีริสมาทำงานด้วย โดยติดต่อผ่านทางน.พ.อารี วัลยเสวี ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ

พอดีขณะนั้น พรรคสังคมนิยมชนะการเลือกตั้งในยุโรป จนมีคำว่ายูโรคอมมิวนิสต์ออกมา แต่ในเบลเยียมพรรคสังคมนิยมพ่ายแพ้ แต่กลับถูกมองว่ามีสายยูโรคอมมิวนิสต์มาปะปนอยู่ในโรงพยาบาล เดือดร้อนจนถึงขั้นที่หมอประเวศ วะสี ต้องออกโรงปกป้อง

กรณีที่สอง ชาวบ้านจะแข่งเรือ ขึ้นไปตัดไม้ที่เทือกเขาภูพาน ถูกพลพรรคจับปรับ 5,000 บาท เจอตำรวจจับอีก ถูกปรับไป 6,000 บาท

ตอนนั้นก็มีการเปิดโรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย ที่ติดอยู่กับราษีไศล ขณะน.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว รมช.สาธารณสุขเปิดงาน ฝ่ายความมั่นคงมารายงานนายอำเภอละล่ำละลักว่า คอมมิวนิสต์เแทรกซึมในหมู่บ้านที่โรงพยาบาลกำลังมีกิจกรรมอยู่ นายอำเภอก็ตกใจ เพราะรมช.ก็อยู่ในขณะนั้น

น.พ.เสมเรียกน.พ.สงวนไปถามว่าเรื่องเป็นอย่างไร น.พ.สงวนได้ตรวจสอบและเขียนจดหมายรายงานรมช.ว่าไม่เป็นความจริง โดยให้นายอำเภอลงนามในจดหมายด้วย

น.พ.เสมได้ตอบจดหมายกลับไปว่า ขอบคุณไปยังนายอำเภอที่ดูแลโรงพยาบาลเป็นอย่างดี เพราะว่าโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่เป็นแบบอย่างที่ดี

"ผมก็ทราบมาจากสาธารณสุขอำเภอในภายหลังว่า นายอำเภอก็ประชุมกับหัวหน้าส่วนอำเภอว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปโรงพยาบาลจะทำอะไรก็ให้การสนับสนุนอย่าไปยุ่งกับโรงพยาบาลเขามากนัก เพราะเขามี Back ในส่วนกลาง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการทำงานก็สะดวกขึ้น"

จากราษีไศล คุณหมอสงวนเรียนต่อทางด้านพัฒนาสาธารณสุขที่เบลเยียม กลับมาเป็นผู้อำนวยการ ร.พ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ได้บุกเบิกการสร้างสุขภาพชุมชน จนได้รับคัดเลือกเป็นแพทย์ดีเด่นประจำปี 2528

จากนั้นร่วมกับน.พ.รวินันท์ ศิริกนกวิไล ทำ "โครงการอยุธยา" เป็นโครงการ "70 บาทรักษาทุกโรค" ครั้งแรก

จากการปฏิบัติจริง ผสมผสานกับคำสอนของครูบาอาจารย์ในวงการแพทย์ เป็นรากฐานของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และกลายเป็นพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545

ระหว่างผลักดันเรื่องเหล่านี้ คุณหมอสงวน ซึ่งตำแหน่งหลังสุดคือเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งที่เยื่อหุ้มปอด ที่โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

แต่ก็ไม่หยุดทำงาน และได้กล่าวไว้ในหนังสือ "เปลี่ยนมะเร็งเป็นพลัง"ว่า "มะเร็งไม่ใช่ความตายทันที อาจทำให้เราตาย หรือไม่ตายก็ได้ ในทางกลับกันมันคือ เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงชีวิต สำหรับผม มะเร็งกลายเป็นพลัง ให้ผมเลือกทำสิ่งดีๆ ให้เร็วขึ้น มากขึ้น ทำกิจกรรมที่ทั้งชีวิตควรทำแต่ไม่เคยได้ทำ มันขึ้นอยู่กับจะเลือกด้านไหน ผมคิดว่าการแพ้ ชนะ ไม่ได้อยู่ที่การอยู่หรือจากไป แต่อยู่ที่ใช้ชีวิตขณะที่เรายังอยู่ให้ดีที่สุด"

น.พ.สงวน ถึงแก่กรรมเมื่ออายุเพียง 55 ปี 10 เดือน

ไม่ใช่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เฉพาะวงการสาธารณสุขเท่านั้น

แต่เป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของสังคมไทยอีกด้วย


หน้า 23
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 24

โพสต์

นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ คุณูปการอเนกอนันต์ สาธารณสุขไทย

โดย นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน

รูปภาพ

http://www.matichon.co.th/matichon/mati ... ionid=0131
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 25

โพสต์

8) เดี๋ยวนี้แยกแยะไม่ค่อยออกแล้ว
    ใครดีใครไม่ดี
    มันเทาๆไปหมด
    อ่านเรื่องคนดีๆก็ไม่ค่อยแน่ใจ ว่าดีจริงเรอะ
    สร้างภาพหรือเปล่า
    ยกเว้นเพื่อนมาบอกมาแนะนำ อย่างนี้ก็ต้องเชื่อไว้ก่อน
    ม่ายงั้นจะมีเพื่อนไว้ทำมาย
    แต่ทำดีจนตาย อ่านดูแล้วก็คงไม่ได้หวังอะไร
    เพียงแต่ทำชั่วไม่เป็น
    เห็นใครๆว่าตายไปแล้วแต่ชื่อยัง
    ถ้ามันก่อเป็นประกายสืบทอดคนดีต่อๆมาได้ก็คงดีไม่น้อย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 26

โพสต์

น่าเสียดายตรงที่คำยกย่องเชิดชูที่เป็นกำลังใจเหล่านี้
มาปรากฏค่อนข้างมากในช่วงที่คุณหมอเสียชีวิตไปแล้ว
ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 27

โพสต์

[quote="สามัญชน"]

น่ารักไหมล่ะ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

หมอสงวนลาลับโลกไปอีกท่าน

โพสต์ที่ 28

โพสต์

แวะมาอาลัย

เข้าไปดูที่ blog พี่กูรูแล้วละครับ แต่ post ไม่ได้ครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
โพสต์โพสต์