ชีวิตหลังความตาย
- Pn3um0n1a
- Verified User
- โพสต์: 1935
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 31
เอ่อ ขอเรียนถามแบบโง่ๆ (ยอมรับว่าตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน)
พี่ริว หรือใครก็ได้
เรื่อง ชาฎกๆ อะไร ที่ว่าเป็นเรื่องราวชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า
(ไม่แน่ใจว่าสะกดถูก และ ใช้ศัพท์ถูกรึเปล่า)
เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมรึเปล่าครับ หรือว่า เป็น นิยายเฉยๆ? :oops:
อันนี้ถามด้วยความไม่รู้นะคับ ไม่ได้ลบหลู่ หรือจะเถียงใคร
พี่ริว หรือใครก็ได้
เรื่อง ชาฎกๆ อะไร ที่ว่าเป็นเรื่องราวชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า
(ไม่แน่ใจว่าสะกดถูก และ ใช้ศัพท์ถูกรึเปล่า)
เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมรึเปล่าครับ หรือว่า เป็น นิยายเฉยๆ? :oops:
อันนี้ถามด้วยความไม่รู้นะคับ ไม่ได้ลบหลู่ หรือจะเถียงใคร
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 32
[quote="Pn3um0n1a"]เอ่อ ขอเรียนถามแบบโง่ๆ (ยอมรับว่าตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน)
พี่ริว หรือใครก็ได้
เรื่อง ชาฎกๆ อะไร ที่ว่าเป็นเรื่องราวชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า
(ไม่แน่ใจว่าสะกดถูก และ ใช้ศัพท์ถูกรึเปล่า)
เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมรึเปล่าครับ หรือว่า เป็น นิยายเฉยๆ?
พี่ริว หรือใครก็ได้
เรื่อง ชาฎกๆ อะไร ที่ว่าเป็นเรื่องราวชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า
(ไม่แน่ใจว่าสะกดถูก และ ใช้ศัพท์ถูกรึเปล่า)
เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมรึเปล่าครับ หรือว่า เป็น นิยายเฉยๆ?
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 33
เรื่องชาดกเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นภายหลัง นำมาพิสูจน์ไม่ได้ว่าตายแล้วเกิดใหม่จริง
ที่จริงทุกศาสนาก็มีชนรุ่นหลังๆหลายร้อยหลายพันปีแต่งเติมเสริมเนื้อหาของศาสนาเข้าไปเพื่อเพิ่มความน่าเลื่อมใสเพื่อที่จะดึงดูดให้มานับถือศาสนาของตนเอง เช่นเรื่องปาฏิหารย์ต่างๆนาๆเป็นต้น
การสืบทอดศาสนาเมื่อก่อนนั้น เป็นการสืบทอดด้วยปากเปล่า อาจจะมีจารึกตามศิลาบ้าง ตามใบลานบ้าง ตามกระดาษบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ปากเปล่าและเมื่อผ่านกาลเวลาเป็นพันปี ก็ทำให้ผิดเพี้ยนไปจากดั้งเดิมไปบ้าง
อย่างเรื่องชาดกนั้นก็เป็นการแต่งขึ้นตามค่านิยมในสมัยนั้นๆซึ่งสมัยนั้นเชื่อว่าดีและสามารถชักจูงให้คนเลื่อมใสได้อย่างดียิ่ง ทศชาติตามความเห็นผมๆก็ว่าดีจริงๆ ดีโดยส่วนใหญ่ มีชาตเดียวที่น่าสงสัยสำหรับคนรุ่นปัจจุบันก็คือชาติที่ 10 ซึ่งป็นเรื่องราวของพระเวสสันดรผู้ซึ่งมี ทานบารมี เป็นจุดเด่น สามารถบริจาคได้แม้กระทั่งลูกเมีย
สมัยนั้นผู้ชายถือว่าเป็นเพศที่เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเพียงทรัพย์สินของผู้ชายเท่านั้นเอง จะยกให้ใครก็ได้ ในยุโรปอเมริการวมทั้งเอเซียก็ล้วนแล้วแต่เคยผ่านสังคมที่มีทาสมาด้วยกันทั้งนั้น ระบบทาสเพิ่งจะถูกยกเลิกไม่ถึงสองร้อยปีมานี้เอง แม้ในปัจจุบันที่อินเดียก็ยังมีความเชื่อเหล่านี้หลงเหลือบ้าง ว่ากันว่า ถ้าสามีตายลง ภรรยาจะต้องกระโดดเข้ากองไฟเพื่อตายตามไปด้วย
แต่ในปัจจุบันเราถือว่าผู้หญิงก็เป็นมนุษย์ที่เป็นปัจเจกบุคคล มีสิทธิและเสรีภาพเทียบเท่าผู้ชายและไม่ใช่ทรัพย์สินของใคร เพราะค่านิยมเปลี่ยนไปแล้ว
เรื่องชาดกจึงเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นภายหลังเพื่อเสริมบารมีเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆในศาสนาอื่น ไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ว่าตายแล้วเกิดใหม่จริงดังที่กล่าว
ที่จริงทุกศาสนาก็มีชนรุ่นหลังๆหลายร้อยหลายพันปีแต่งเติมเสริมเนื้อหาของศาสนาเข้าไปเพื่อเพิ่มความน่าเลื่อมใสเพื่อที่จะดึงดูดให้มานับถือศาสนาของตนเอง เช่นเรื่องปาฏิหารย์ต่างๆนาๆเป็นต้น
การสืบทอดศาสนาเมื่อก่อนนั้น เป็นการสืบทอดด้วยปากเปล่า อาจจะมีจารึกตามศิลาบ้าง ตามใบลานบ้าง ตามกระดาษบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ปากเปล่าและเมื่อผ่านกาลเวลาเป็นพันปี ก็ทำให้ผิดเพี้ยนไปจากดั้งเดิมไปบ้าง
อย่างเรื่องชาดกนั้นก็เป็นการแต่งขึ้นตามค่านิยมในสมัยนั้นๆซึ่งสมัยนั้นเชื่อว่าดีและสามารถชักจูงให้คนเลื่อมใสได้อย่างดียิ่ง ทศชาติตามความเห็นผมๆก็ว่าดีจริงๆ ดีโดยส่วนใหญ่ มีชาตเดียวที่น่าสงสัยสำหรับคนรุ่นปัจจุบันก็คือชาติที่ 10 ซึ่งป็นเรื่องราวของพระเวสสันดรผู้ซึ่งมี ทานบารมี เป็นจุดเด่น สามารถบริจาคได้แม้กระทั่งลูกเมีย
สมัยนั้นผู้ชายถือว่าเป็นเพศที่เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเพียงทรัพย์สินของผู้ชายเท่านั้นเอง จะยกให้ใครก็ได้ ในยุโรปอเมริการวมทั้งเอเซียก็ล้วนแล้วแต่เคยผ่านสังคมที่มีทาสมาด้วยกันทั้งนั้น ระบบทาสเพิ่งจะถูกยกเลิกไม่ถึงสองร้อยปีมานี้เอง แม้ในปัจจุบันที่อินเดียก็ยังมีความเชื่อเหล่านี้หลงเหลือบ้าง ว่ากันว่า ถ้าสามีตายลง ภรรยาจะต้องกระโดดเข้ากองไฟเพื่อตายตามไปด้วย
แต่ในปัจจุบันเราถือว่าผู้หญิงก็เป็นมนุษย์ที่เป็นปัจเจกบุคคล มีสิทธิและเสรีภาพเทียบเท่าผู้ชายและไม่ใช่ทรัพย์สินของใคร เพราะค่านิยมเปลี่ยนไปแล้ว
เรื่องชาดกจึงเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นภายหลังเพื่อเสริมบารมีเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆในศาสนาอื่น ไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ว่าตายแล้วเกิดใหม่จริงดังที่กล่าว
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 35
8) ในเมื่อสงสัยเรื่องชาดก ก็ขอยกชาดกสักเรื่องมาให้ได้สดับตรับฟังละกันครับ
ชาดกนั้นก็อย่างที่พี่หวีบอกมาว่าเป็นส่วนของพระสูตรในขุททกนิกาย
ตามเดิมนั้นมาจากการที่มีเหตุอะไรสักอย่างบังเกิดขึ้น องค์พระตถาคตเจ้า
เล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์จึงตรัสขึ้นสอน ปกติก็จะเป็นคาถาประพันธ์
แบ่งตามความสั้นยาว
เรื่องนี้ชื่อชัมพุกชาดก ถือเป็นจตุกกนิบาตชาดก เพราะประกอบด้วย 4 พระคาถา
เนื้อความตามเดิมในพระไตรปิฎกเป็นดังนี้
ซึ่งก็มีอยู่สั้นๆ เพียงแค่นี้ ครั้นถอดความออกเป็นภาษาไทยก็จะได้ว่า
เนื้อหาตามความนับเป็นนิทานสุภาษิต ซึ่งก็มีทั้งหมดแค่นี้
ลำพังผู้สนใจใฝ่รู้ภายหลังมาอ่านดูก็จะไม่ทราบว่า
ชาดกเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เหตุไรพระพุทธองค์จึงทรงตรัสขึ้น
ในชั้นหลังพระเถราจารย์เจ้าจึงได้รจนาอรรถกถาและฎีกาขึ้นมาขยายความ
เพื่อให้เกิดความกระจ่าง
เนื้อความตามอรรถกถาของชาดกเรื่องนี้มีดังนี้
อรรถกถาและฎีกานับว่าแต่งขึ้นหรือรจนาขึ้นในภายหลัง มีวัตถุประสงค์ก็เพื่ออธิบายความในพระไตรปิฎกให้กระจ่างขึ้น
สิ่งที่ทราบจากชาดกเรื่องนี้ก็คือ พระตถาคตเจ้าตรัสขึ้นเพื่อสอนให้เห็นโทษแห่งการไม่ประมาณตน
คนทั่วไปผู้ไม่เคยปฏิบัติสมาธิ จิตใจย่อมมีปกติสัดส่ายไปมา จับนั่นยึดนี่เป็นอารมณ์ไม่เคยหยุด
ไม่เคยเลยแม้สักขณะหนึ่งที่จะสงบระงับ เพียงให้เป็นเอกัคตาจิต นิ่งอยู่ในอารมณ์เดียวก็ยังทำไม่ได้
จะเทียบได้อย่างไรกับจิตของพระอรหันต์อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ด้วยสิ้นเสียแล้วซึ่งอาสวะกิเลสทั้งปวง
ชาดกนั้นก็อย่างที่พี่หวีบอกมาว่าเป็นส่วนของพระสูตรในขุททกนิกาย
ตามเดิมนั้นมาจากการที่มีเหตุอะไรสักอย่างบังเกิดขึ้น องค์พระตถาคตเจ้า
เล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์จึงตรัสขึ้นสอน ปกติก็จะเป็นคาถาประพันธ์
แบ่งตามความสั้นยาว
เรื่องนี้ชื่อชัมพุกชาดก ถือเป็นจตุกกนิบาตชาดก เพราะประกอบด้วย 4 พระคาถา
เนื้อความตามเดิมในพระไตรปิฎกเป็นดังนี้
โค้ด: เลือกทั้งหมด
พฺรหา ปวฑฺฒกาโย โส ทีฆทาโฐว ชมฺพุก
น ตฺวํ ตมฺหิ กุเล ชาโต ยตฺถ คณฺหนฺติ กุญชรํ ฯ
อสีโห สีหมาเนน โย อตฺตานํ วิกุพฺพติ
กุตฺถุว คชมาสชฺช เสติ ภูมฺยา อนุตฺถุนํ ฯ
ยสสฺสิโน อุตฺตมปุคฺคลสฺส
สญชาตขนฺธสฺส มหพฺพลสฺส
อสเมกฺขิย กามพลูปปตฺตึ
ส เสติ นาเคน หโตยํ ชมฺพุโก ฯ
โย จีธ กมฺมํ กุรุเต ปมาย
ถามพลํ อตฺตนิ สํวิทิตฺวา
ชปฺเปน มนฺเตน สุภาสิเตน
ปริกฺขวา โส วิปุลํ ชินาตีติ ฯ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ดูกรสุนัขจิ้งจอก ช้างนั้น ตัวใหญ่ ร่างกายสูง งาก็ยาว ตัวท่านไม่ได้เกิด
ในตระกูลสัตว์ที่จะจับช้างได้
ผู้ใด มิใช่ราชสีห์ ยกตนเพราะสำคัญว่า เป็นราชสีห์ ผู้นั้น ย่อมเป็น
เหมือนสุนัขจิ้งจอกถูกช้างเหยียบ นอนหายใจแขม่วอยู่บนแผ่นดิน
ผู้ใด ไม่รู้จักกำลังกาย กำลังความคิด และชาติของผู้มียศ เป็นชนชั้นสูง
มีข้อลำล่ำสันกำลังมาก ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกถูกช้างเหยียบ
นอนตายอยู่นี้
ส่วนผู้ใด ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำการงาน รู้จักกำลังกาย และกำลัง
ความคิดของตน กำหนดด้วยคำพูดอันประกอบด้วยปัญญา เป็นวาจา
สุภาษิต ผู้นั้น ย่อมมีชัยอย่างไพบูลย์
ลำพังผู้สนใจใฝ่รู้ภายหลังมาอ่านดูก็จะไม่ทราบว่า
ชาดกเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เหตุไรพระพุทธองค์จึงทรงตรัสขึ้น
ในชั้นหลังพระเถราจารย์เจ้าจึงได้รจนาอรรถกถาและฎีกาขึ้นมาขยายความ
เพื่อให้เกิดความกระจ่าง
เนื้อความตามอรรถกถาของชาดกเรื่องนี้มีดังนี้
ชาดกนั้นเป็นพุทธวจนะ มีในพระไตรปิฎก มิใช่ว่าแต่งเอาเองในภายหลังพระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
เหตุที่พระเทวทัตทำท่าทางอย่างพระสุคตเจ้า จึงตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า พฺรหา ปวฑฺฒกาโย ดังนี้
เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วในขึ้นหลังแล ส่วนในชาดกนี้
มีความย่อดังต่อไปนี้
พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร พระเทวทัตเห็นพวกเธอแล้ว
กระทำอย่างไร พระเถระจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระเทวทัตนั้นเมื่อจะกระทำตามพระองค์ ให้พันในมือข้าพระองค์
แล้วนอน ที่นั้น พระโกกาลิกะจึงเอาเข่าประหารพระเทวทัตนั้นที่อก
พระเทวทัตนั้นกระทำตามพระองค์ ได้เสวยทุกข์เห็นปานนี้
พระศาสดาทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า สารีบุตร เทวทัตกระทำตาม
กิริยาท่าทางของเรา จึงเสวยความทุกข์ มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ใน
กาลก่อน ก็ได้เสวยมาแล้วเหมือนกัน อันพระเถระทูลอาราธนาแล้ว
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดราชสีห์ อยู่ในถ้ำ ณ หิมวันตประเทศ
วันหนึ่ง ฆ่ากระบือแล้วกินเนื้อ ดื่มน้ำ แล้วกลับมายังถ้ำ
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งพบราชสีห์นั้น เมื่อไม่อาจหลบหนี จึงนอนหมอบ
เมื่อราชสีห์กล่าวว่า อะไรกัน สุนัขจิ้งจอก มันจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าจักอุปัฏฐากท่าน. ราชสีห์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงมา แล้ว
นำสุนัขจิ้งจอกนั้นไปยังสถานที่อยู่ของตน แล้วนำเนื้อมาเลี้ยงดูมัน
ทุกวัน ๆ เมื่อสุนัขจิ้งจอกนั้นมีร่างกายอ้วนพีเพราะกินเดนของราชสีห์
วันหนึ่ง เกิดมานะขึ้นมาก มันจึงเข้าไปหาราชสีห์แล้วกล่าวว่า ข้าแต่
นาย ข้าพเจ้าเป็นกังวลสำหรับท่านมาตลอดกาลนาน ท่านนำเนื้อมา
เลี้ยงข้าพเจ้าเป็นนิจ วันนี้ ท่านจงอยู่ที่นี้แหละ ข้าพเจ้าจักฆ่าช้าง
เชือกหนึ่งกินเนื้อมันแล้วจักนำมาเผือท่านด้วย. ราชสีห์กล่าวว่า สุนัข
จิ้งจอกเจ้าอย่าพอใจเรื่องฆ่าช้างนี้เลย เพราะเจ้ามิได้เกิดในกำเนิด
สัตว์ที่ฆ่าช้างกินเนื้อ เราจักฆ่าช้างให้แก่เจ้า ธรรมดาช้างทั้งหลาย
ตัวใหญ่ร่างกายสูง เจ้าอย่าสวนหน้าจับ เจ้าจงทำตามคำของเรา
แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
ดูกรสุนัขจิ้งจอก ช้างนั้น ตัวใหญ่ ร่างกายสูง งาก็ยาวโค้ด: เลือกทั้งหมด
พฺรหา ปวฑฺฒกาโย โส ทีฆทาโฐว ชมฺพุก น ตฺวํ ตมฺหิ กุเล ชาโต ยตฺถ คณฺหนฺติ กุญชรํ ฯ
ตัวท่านไม่ได้เกิดในตระกูลสัตว์ที่จะจับช้างได้
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า พฺรหา แปลว่า ใหญ่
บทว่าปวฑฺฒกาโย ได้แก่ มีร่างกายสูงตระหง่าน
บทว่า ทีฆทาโฐ ความว่า ช้างนั้นมีงายาว มันจะเอางาประหารผู้เช่นเจ้าให้ถึงความสิ้นชีวิต
บทว่า ยตฺถ ความว่า เจ้ามิได้เกิดในตระกูลราชสีห์ที่จะจับช้างซับมันตัวประเสริฐ
อธิบายว่า ก็เจ้าเกิดในตระกูลสุนัขจิ้งจอก
สุนัขจิ้งจอก เมื่อราชสีห์ห้ามอยู่ ก็ขึ้นออกจากถ้ำ บันลืออย่าง
สุนับจิ้งจอก ๓ ครั้งว่า ฮก ๆ ๆ แล้วยืนบนยอดเขา แลดูที่เชิงเขาเห็น
ช้างดำเชือกหนึ่งกำลังเดินไปตามเชิงเขา จึงโดดไปหมายว่าจักตกลง
บนกระพองของช้างนั้น แต่พลาดตกไปที่ใกล้เท้า ช้างยกเท้าหน้า
เหยียบลงบนกระหม่อมของสุนัขจิ้งจอกนั้น ศีรษะแตกแหลกละเอียด
เป็นจุรณวิจุรณไป สุนัขจิ้งจอกนั้นนอนทอดถอนใจอยู่ ณ ที่นั้นเอง
ช้างส่งเสียงโกญจนาทแปร๋นแปร๋นหลีกไป พระโพธิสัตว์ไปยืนอยู่บน
ยอดเขา เห็นสุนัขจิ้งจอกนั้นถึงความพินาศ จึงกล่าวว่า สุนัขจิ้งจอกได้
รับความฉิบหาย เพราะอาศัยมานะของตน แล้วกล่าวคาถา ๓ คาถาว่า
โค้ด: เลือกทั้งหมด
อสีโห สีหมาเนน โย อตฺตานํ วิกุพฺพติ กุตฺถุว คชมาสชฺช เสติ ภูมฺยา อนุตฺถุนํ ฯ
ผู้ใด มิใช่ราชสีห์ ยกตนเพราะสำคัญว่า เป็นราชสีห์ ผู้นั้น ย่อมเป็น
เหมือนสุนัขจิ้งจอกถูกช้างเหยียบ นอนหายใจแขม่วอยู่บนแผ่นดิน
ผู้ใด ไม่รู้จักกำลังกาย กำลังความคิด และชาติของผู้มียศ เป็นชนชั้นสูงโค้ด: เลือกทั้งหมด
ยสสฺสิโน อุตฺตมปุคฺคลสฺส สญชาตขนฺธสฺส มหพฺพลสฺส อสเมกฺขิย กามพลูปปตฺตึ ส เสติ นาเคน หโตยํ ชมฺพุโก ฯ
มีข้อลำล่ำสันกำลังมาก ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกถูกช้างเหยียบ
นอนตายอยู่นี้
ส่วนผู้ใด ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำการงาน รู้จักกำลังกาย และกำลังโค้ด: เลือกทั้งหมด
โย จีธ กมฺมํ กุรุเต ปมาย ถามพลํ อตฺตนิ สํวิทิตฺวา ชปฺเปน มนฺเตน สุภาสิเตน ปริกฺขวา โส วิปุลํ ชินาตีติ ฯ
ความคิดของตน กำหนดด้วยคำพูดอันประกอบด้วยปัญญา เป็นวาจา
สุภาษิต ผู้นั้น ย่อมมีชัยอย่างไพบูลย์
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า วิกุพฺพติ ได้แก่ ย่อมยังตนให้แปรเปลี่ยนไป
บทว่า กุฏฺฐุว แปลว่า เหมือนสุนัขจิ้งจอก
บทว่า อนุตฺถุนํ แปลว่า ทอดถอนใจอยู่
ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า สุนัขจิ้งจอกนี้ได้รับทุกขเวทนาอย่างมหันต์
นอนถอนใจอยู่บนภาคพื้นฉันใด แม้คนอื่นที่ด้วยกำลังทำการทะเลาะ
กับผู้มีกำลังก็ฉันนั้น ย่อมเป็นผู้เห็นปานสุนัขจิ้งจอกนั้นทีเดียว
บทว่า ยสสฺสิโน ได้แก่ ผู้มีความเป็นใหญ่
บทว่า อุตฺตมปุคฺคลสฺส ได้แก่ บุคคลผู้สูงสุดด้วยกำลังกายและกำลังญาณ
บทว่า สญฺชาตกฺขนฺธสฺส ได้แก่ มีข้อลำใหญ่ตั้งอยู่เรียบร้อย
บทว่า มหพฺพลสฺส ได้แก่ ผู้มีเรี่ยวแรงมาก
บทว่า ถามพลูปปตฺตึ ความว่า ไม่รู้กำลัง คือเรี่ยวแรง และการ
อุปบัติคือชาติกำเนิดเป็นราชสีห์ ของราชสีห์เห็นปานนี้ ใจความดังนี้
ก็มีว่า สุนัขจิ้งจอกไม่รู้แรงกาย กำลังญาณและการอุปบัติเป็นราชสีห์
บทว่า ส เสติ ความว่า สุนัขจิ้งจอกนี้นั้นสำคัญแม้ตนว่าเป็นเช่น
ราชสีห์นั้น จึงถูกช้างฆ่านอนตายอยู่
บทว่า ปมาย ได้แก่ ใคร่ครวญคือ พิจารณา. บาลีว่า ปมาณา ดังนี้ก็มี
อธิบายว่า ผู้ใดถือประมาณของตนแล้วกระทำโดยประมาณของตน
บทว่า. ถามพลํ ได้แก่ กำลังคือเรี่ยวแรง. อธิบายว่า เรี่ยวแรงทางกาย
และกำลังญาณดังนี้บ้างก็ได้
บทว่า ชปฺเปน ได้แก่ ด้วยการเล่าเรียน คือการศึกษา
บทว่า มนฺเตน ได้แก่ ด้วยการปรึกษากับบัณฑิตทั้งหลายอื่นแล้วจึงกระทำ
บทว่า สุภาสิเตน ได้แก่ ด้วยคำพูดอันไม่มีโทษ ประกอบด้วยคุณมีสัจจะเป็นต้น
บทว่า ปริกขวา ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยการกำหนด
บทว่า โส วิปุลํ ชินาติ บุคคลใดย่อมเป็นผู้เห็นปานนั้น คือ เมื่อจะทำ
การงานอย่างใดอย่างหนึ่ง รู้เรี่ยวแรงกาย และกำลังความรู้ของตน
แล้วกำหนดด้วยอำนาจการศึกษาเล่าเรียนและการปรึกษาหารือ พูดแต่
คำเป็นสุภาษิตจึงกระทำ บุคคลนั้นย่อมชนะคือไม่เสื่อมประโยชน์อัน
ไพบูลย์และมากมาย
พระโพธิสัตว์กล่าวกรรมที่ควรกระทำในโลกนี้ด้วยคาถา ๓ คาถา
เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้เป็นเทวทัตในบัดนี้ ส่วน
ราชสีห์ในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
อรรถกถาและฎีกานับว่าแต่งขึ้นหรือรจนาขึ้นในภายหลัง มีวัตถุประสงค์ก็เพื่ออธิบายความในพระไตรปิฎกให้กระจ่างขึ้น
สิ่งที่ทราบจากชาดกเรื่องนี้ก็คือ พระตถาคตเจ้าตรัสขึ้นเพื่อสอนให้เห็นโทษแห่งการไม่ประมาณตน
คนทั่วไปผู้ไม่เคยปฏิบัติสมาธิ จิตใจย่อมมีปกติสัดส่ายไปมา จับนั่นยึดนี่เป็นอารมณ์ไม่เคยหยุด
ไม่เคยเลยแม้สักขณะหนึ่งที่จะสงบระงับ เพียงให้เป็นเอกัคตาจิต นิ่งอยู่ในอารมณ์เดียวก็ยังทำไม่ได้
จะเทียบได้อย่างไรกับจิตของพระอรหันต์อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ด้วยสิ้นเสียแล้วซึ่งอาสวะกิเลสทั้งปวง
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 36
ขอยกพระสูตรสักเรื่องมาเล่าให้ฟังนะครับสำหรับทุกๆ ท่านและผู้สนใจชีวิตหลังความตาย
สามัญญผลสูตร นี้เป็นที่รู้จักมาก อยู่ในตำรับตำราก็มาก เนื้อหาเต็มค่อนข้างยาวเพราะอยู่ในทีฆนิกาย
ผมขอเอามาเล่าอย่างย่อๆ นะครับ
ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นมคธแล้ว
ด้วยวันนั้นเป็นวันจันทร์เต็มดวง ยามกลางคืนพระจันทร์เพ็ญได้แจ่มกระจ่างสวยงาม เป็นที่
รื่นรมย์พระทัยของพระเจ้าอชาตศัตรูนัก พระองค์ก็ใคร่ปรารถนาจะฟังธรรมแต่ยังติดอยู่
ที่ว่าจะไปยังสำนักของสมณะพราหมณ์ท่านใด
ครั้นพระองค์ได้เปรยขึ้น เสนาอามาตย์ก็ได้ทูลกันไปต่างๆ ท่านหนึ่งบอกว่าน่าจะไป
ยังสำนักของท่านปูรณะกัสสป อีกท่านก็ว่าน่าจะไปยังสำนักของท่านมักขลิโคศาล นอกจาก
นั้นก็ยังมีสำนักของท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธะกัจจายนะ ท่านสญชัยเวลัฏฐบุตร ท่าน
นิครนถ์นาฏบุตร รวม 6 สำนัก ด้วยเหตุผลที่แต่ละท่านเสนอก็ด้วยว่า ท่านเจ้าสำนักเหล่านี้
ล้วนเป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ บวชมานาน มีคนยกย่องเลื่อมใสมาก ควรที่พระองค์
จะเสด็จไปหา
แม้เหล่าเสนาอามาตย์จะพยายามเสนอ(เชียร์) ให้พระเจ้าอชาตศัตรูไปเยือนยังสำนัก
ของศาสดาผู้มีชื่อทั้ง 6 แต่พระองค์ได้ฟังแล้วก็นิ่งไม่ว่าอะไร
ขณะนั้นเอง พระเจ้าอชาตศัตรูทอดพระเนตรเห็นท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์นั่งอยู่ไม่ไกล
จึงได้ตรัสถามขึ้นว่าทำไมท่านจึงนิ่งเสีย ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์นั้นตามเดิมท่านได้ถวายสวน
อัมพวันของตนแก่พระผู้มีพระภาคแล้ว และในช่วงนั้นพระผู้มีพระภาคก็ได้ประทับอยู่ ณ
สวนอัมพวันนั้นพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เมื่อได้โอกาสดี ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์จึงทูลเชิญ
พระเจ้าอชาตศัตรูไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระเจ้าอชาตศัตรูได้ฟังก็รับจะไป แต่ขณะที่มาถึงยังสวนอัมพวัน พระองค์ก็ต้องหวั่น
หวาดประหลาดพระทัย ด้วยเห็นที่สวนอัมพวันนั้นมีภิกษุหมู่ใหญ่นับพัน แต่กลับไม่มีเสียงพูดคุย
จุกจิก พึมพำ เสียงไอ เสียงจามสักนิดก็ไม่มี จึงให้ระแวงพระทัยว่าชะรอยพระองค์จะโดนหลอก
มาทำอันตรายหรือไม่ ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์จึงทูลว่ามิใช่เช่นนั้น พร้อมกับบอกกล่าวพระองค์ว่า
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ท่ามกลางที่นั้นเอง
ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรู จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงอภิวาทแล้วได้ตรัส
พระดำรัสว่า
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะ
ประทานพระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน
พ. เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง พลม้า พลรถ
พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร
พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงาน
เครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ
พวกนับคะแนน (นักการบัญชี) หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้
คนเหล่านั้นย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลป
ศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ
บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์
ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็น
ประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้บ้างหรือไม่
พ. มหาบพิตร ทรงจำได้หรือไม่ว่า ปัญหาข้อนี้ มหาบพิตรได้ตรัสถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จำได้อยู่ ปัญหาข้อนี้ หม่อมฉันได้ถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว
พ. ดูกรมหาบพิตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นพยากรณ์อย่างไร ถ้ามหาบพิตรไม่หนักพระทัย ก็ตรัสเถิด
อ. ณ ที่ที่พระผู้มีพระภาคหรือท่านผู้เปรียบดังพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่ หม่อมฉันไม่หนักใจ พระเจ้าข้า
พ. ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรตรัสเถิด
วาทะของศาสดาปูรณะกัสสป
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูปูรณะ
กัสสป ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับปูรณะ กัสสป ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วหม่อมฉันได้กล่าวคำนี้กะปูรณะ กัสสปว่า ท่านกัสสป
ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง พลม้า พลรบ พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงาน
จัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวม
เกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่าง
ดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ พวกนับคะแนน (นักการบัญชี)
หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่ง
ศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน
มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผล
อย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย
ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่
เมื่อหม่อมฉัน กล่าวอย่างนี้ ครูปูรณะ กัสสป ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป
กลับตอบถึง การที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป
กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ
หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา
จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้าน
ภาษิตของครูปูรณะ กัสสป ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ
ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป
วาทะของศาสดาอชิตะเกสกัมพล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูอชิตะ
เกสกัมพล ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านอชิต ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง ...
คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์ เลี้ยงชีพในปัจจุบันด้วยผลแห่งศิลป
ศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ
บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์
ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่าง
นั้นได้หรือไม่
เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูอชิตะ เกสกัมพล ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูอชิตะ เกสกัมพล
กลับตอบถึงความขาดสูญ ฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูอชิตะ เกสกัมพล
กลับตอบถึงความขาดสูญ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึง
ขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกราน
สมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูอชิตะ
เกสกัมพล ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดง ความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น
ลุกจากที่นั่งหลีกไป
วาทะของศาสดาสญชัยเวลัฏฐบุตร
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูสญชัย
เวลัฏฐบุตร ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านสญชัย ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง ...
คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลป
ศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ
บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์
ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันเหมือน
อย่างนั้นได้หรือไม่
เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย
เวลัฏฐบุตร กลับตอบส่ายไป ฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร
กลับตอบส่ายไปเปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ
ตอบมะม่วง ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร
นี้โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะเมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ อย่างไร
จึงกลับตอบส่ายไป หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์
ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ไม่พอใจ
แต่ก็มิได้เปล่งวาจา แสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป.
- - - - - - - - - - - - - -
สามัญญผลสูตร นี้เป็นที่รู้จักมาก อยู่ในตำรับตำราก็มาก เนื้อหาเต็มค่อนข้างยาวเพราะอยู่ในทีฆนิกาย
ผมขอเอามาเล่าอย่างย่อๆ นะครับ
ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นมคธแล้ว
ด้วยวันนั้นเป็นวันจันทร์เต็มดวง ยามกลางคืนพระจันทร์เพ็ญได้แจ่มกระจ่างสวยงาม เป็นที่
รื่นรมย์พระทัยของพระเจ้าอชาตศัตรูนัก พระองค์ก็ใคร่ปรารถนาจะฟังธรรมแต่ยังติดอยู่
ที่ว่าจะไปยังสำนักของสมณะพราหมณ์ท่านใด
ครั้นพระองค์ได้เปรยขึ้น เสนาอามาตย์ก็ได้ทูลกันไปต่างๆ ท่านหนึ่งบอกว่าน่าจะไป
ยังสำนักของท่านปูรณะกัสสป อีกท่านก็ว่าน่าจะไปยังสำนักของท่านมักขลิโคศาล นอกจาก
นั้นก็ยังมีสำนักของท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธะกัจจายนะ ท่านสญชัยเวลัฏฐบุตร ท่าน
นิครนถ์นาฏบุตร รวม 6 สำนัก ด้วยเหตุผลที่แต่ละท่านเสนอก็ด้วยว่า ท่านเจ้าสำนักเหล่านี้
ล้วนเป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ บวชมานาน มีคนยกย่องเลื่อมใสมาก ควรที่พระองค์
จะเสด็จไปหา
แม้เหล่าเสนาอามาตย์จะพยายามเสนอ(เชียร์) ให้พระเจ้าอชาตศัตรูไปเยือนยังสำนัก
ของศาสดาผู้มีชื่อทั้ง 6 แต่พระองค์ได้ฟังแล้วก็นิ่งไม่ว่าอะไร
ขณะนั้นเอง พระเจ้าอชาตศัตรูทอดพระเนตรเห็นท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์นั่งอยู่ไม่ไกล
จึงได้ตรัสถามขึ้นว่าทำไมท่านจึงนิ่งเสีย ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์นั้นตามเดิมท่านได้ถวายสวน
อัมพวันของตนแก่พระผู้มีพระภาคแล้ว และในช่วงนั้นพระผู้มีพระภาคก็ได้ประทับอยู่ ณ
สวนอัมพวันนั้นพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เมื่อได้โอกาสดี ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์จึงทูลเชิญ
พระเจ้าอชาตศัตรูไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระเจ้าอชาตศัตรูได้ฟังก็รับจะไป แต่ขณะที่มาถึงยังสวนอัมพวัน พระองค์ก็ต้องหวั่น
หวาดประหลาดพระทัย ด้วยเห็นที่สวนอัมพวันนั้นมีภิกษุหมู่ใหญ่นับพัน แต่กลับไม่มีเสียงพูดคุย
จุกจิก พึมพำ เสียงไอ เสียงจามสักนิดก็ไม่มี จึงให้ระแวงพระทัยว่าชะรอยพระองค์จะโดนหลอก
มาทำอันตรายหรือไม่ ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์จึงทูลว่ามิใช่เช่นนั้น พร้อมกับบอกกล่าวพระองค์ว่า
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ท่ามกลางที่นั้นเอง
ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรู จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงอภิวาทแล้วได้ตรัส
พระดำรัสว่า
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะ
ประทานพระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน
พ. เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง พลม้า พลรถ
พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร
พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงาน
เครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ
พวกนับคะแนน (นักการบัญชี) หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้
คนเหล่านั้นย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลป
ศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ
บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์
ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็น
ประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้บ้างหรือไม่
พ. มหาบพิตร ทรงจำได้หรือไม่ว่า ปัญหาข้อนี้ มหาบพิตรได้ตรัสถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จำได้อยู่ ปัญหาข้อนี้ หม่อมฉันได้ถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว
พ. ดูกรมหาบพิตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นพยากรณ์อย่างไร ถ้ามหาบพิตรไม่หนักพระทัย ก็ตรัสเถิด
อ. ณ ที่ที่พระผู้มีพระภาคหรือท่านผู้เปรียบดังพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่ หม่อมฉันไม่หนักใจ พระเจ้าข้า
พ. ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรตรัสเถิด
วาทะของศาสดาปูรณะกัสสป
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูปูรณะ
กัสสป ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับปูรณะ กัสสป ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วหม่อมฉันได้กล่าวคำนี้กะปูรณะ กัสสปว่า ท่านกัสสป
ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง พลม้า พลรบ พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงาน
จัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวม
เกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่าง
ดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ พวกนับคะแนน (นักการบัญชี)
หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่ง
ศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน
มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผล
อย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย
ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่
เมื่อหม่อมฉัน กล่าวอย่างนี้ ครูปูรณะ กัสสป ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ดูกรมหาบพิตร เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง
ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน ทำเขาให้เศร้าโศกเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้เศร้าโศก ทำเขาให้ลำบากเอง
ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ทำเขาให้ ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ตัดที่ต่อ
ปล้นไม่ให้เหลือ ทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ที่ทางเปลี่ยว ทำชู้ภริยาเขา
พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป แม้หาผู้ใดจะใช้จักรซึ่งมีคมโดยรอบเหมือนมีดโกน
สังหารเหล่าสัตว์ในปัฐพีนี้ ให้เป็นลาน เป็นกองมังสะอันเดียวกัน บาปที่มี
การทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา
แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวาแห่งแม่น้ำคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้
ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน บาปที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา
ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำคงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้
บูชาเอง ใช้ให้ผู้อื่นบูชา บุญที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา
ด้วยการให้ทาน การทรมาน อินทรีย์ การสำรวมศีล การกล่าวคำสัตย์ บุญที่มีการทำ
เช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ดังนี้
กลับตอบถึง การที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป
กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ
หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา
จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้าน
ภาษิตของครูปูรณะ กัสสป ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ
ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป
วาทะของศาสดาอชิตะเกสกัมพล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูอชิตะ
เกสกัมพล ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านอชิต ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง ...
คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์ เลี้ยงชีพในปัจจุบันด้วยผลแห่งศิลป
ศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ
บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์
ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่าง
นั้นได้หรือไม่
เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูอชิตะ เกสกัมพล ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ดูกรมหาบพิตร ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดี
ทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาบิดาไม่มี สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์
ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งกระทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่น
ให้รู้แจ้ง ไม่มีในโลก
คนเรานี้ เป็นแต่ประชุมมหาภูตทั้งสี่ เมื่อทำกาลกิริยา ธาตุดินไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำไปตาม
ธาตุน้ำ ธาตุไฟไปตามธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมเลื่อนลอยไปในอากาศ
คนทั้งหลายมีเตียงเป็นที่ ๕ จะหามเขาไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า กลายเป็นกระดูกมีสีดุจสี
นกพิลาบ การเซ่นสรวงมีเถ้าเป็นที่สุด ทานนี้ คนเขลาบัญญัติไว้
คำของคนบางพวกพูดว่า มีผลๆ ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เพราะกายสลาย
ทั้งพาลทั้งบัณฑิตย่อมขาดสูญพินาศสิ้น เบื้องหน้าแต่ตายย่อมไม่เกิด ดังนี้
กลับตอบถึงความขาดสูญ ฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูอชิตะ เกสกัมพล
กลับตอบถึงความขาดสูญ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึง
ขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกราน
สมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูอชิตะ
เกสกัมพล ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดง ความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น
ลุกจากที่นั่งหลีกไป
วาทะของศาสดาสญชัยเวลัฏฐบุตร
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูสญชัย
เวลัฏฐบุตร ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านสญชัย ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง ...
คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลป
ศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ
บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์
ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันเหมือน
อย่างนั้นได้หรือไม่
เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกหน้ามีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกหน้าไม่มีหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า โลกหน้ามีด้วยไม่มีด้วยหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า มีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า โลกหน้ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นมีหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่าสัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มีหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิด ผุดขึ้นมีด้วยไม่มีด้วยหรือ ... ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นมีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มีหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีด้วยไม่มีด้วย หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดอีกหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดอีก ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดอีก ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไม่เกิดหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่เกิด ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่เกิด ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดด้วยไม่เกิดด้วยหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดด้วยไม่เกิดด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดด้วยไม่เกิดด้วย ...
ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่ ... อาตมภาพมีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้น ก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดังนี้
เวลัฏฐบุตร กลับตอบส่ายไป ฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร
กลับตอบส่ายไปเปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ
ตอบมะม่วง ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร
นี้โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะเมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ อย่างไร
จึงกลับตอบส่ายไป หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์
ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ไม่พอใจ
แต่ก็มิได้เปล่งวาจา แสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป.
- - - - - - - - - - - - - -
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 37
. นี่เป็นความในพระไตรปิฎกที่ผมยกมาให้อ่าน เห็นว่าเข้าเรื่องดี เพราะความคิดที่ว่า
บุญบาปไม่มี เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วก็สูญไปจบกันไป อันคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
คิดติดยึดถือเอานั้น มิใช่ของใหม่ มิใช่เรื่องเก๋ไก๋ เขาอาจจะว่าเรื่องบุญเรื่องกรรมเป็นเรื่อง
โบราณ ศาสนาพุทธนั้นคร่ำครึและเชย ที่จริง หากศาสนาพุทธเชย ความคิดของเขาก็เชย
ไม่แพ้กันเพราะความคิดแบบที่เขากำลังคิดอยู่นั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับศาสดา เจ้าลัทธิโบราณ
เหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นมีมาหลายพันปี
ปัจจุบันนี้เกาหลีพยายามมากที่จะส่งออกวัฒนธรรมตัวเองไปตลาดโลก การเปลี่ยนแปลง
ของเกาหลีนั้นน่าสนใจในส่วนที่เขาเปลี่ยนจากประเทศพุทธเป็นคริสต์ และยิ่งคนรุ่นใหม่มากขึ้น
เทรนด์ใหม่นั้นก็แรงขึ้นนั่นคือเทรนด์การไม่มีศาสนา บ้านเราก็คงจะโดนเทรนด์นี้บ้างเหมือนกัน
ตามสภาพ
เมื่อเชื่อว่าบุญบาปไม่มี จิตก็คือสมอง เมื่อร่างกายแตกดับไปตายไปทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ
แม้นว่าจะฆ่าแม่ฆ่าพ่อของตนทิ้งบาปแห่งการกระทำเช่นนั้นก็ไม่มี พ่อแม่แก่เฒ่าแล้ว ทอดทิ้ง
ไม่ดูแลท่านก็ไม่เป็นบาป สิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติอาจเรียกว่าเป็นเพียงหน้าที่พลเมือง มีกฎหมาย
เป็นกรอบ ธรรมเนียมสังคมเป็นเนื้อหา
ความคิดเช่นว่านั้นกล่าวตามตรงว่าเชยมาก จากเรื่องสามัญผลสูตรนี้ พระเจ้าอชาตศัตรู
ได้ทูลถามศาสดาทั้งหลายว่า คนธรรมดาสามัญเล่าเรียนวิชาความรู้มีศิลปวิทยาการต่างๆ ความรู้
ของเขาก็ได้ใช้ในการประกอบสัมมาชีพ ได้เงินได้ทองมาเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงแม่ เลี้ยงพ่อ เลี้ยงลูกเมีย
ของตนได้ วิชาความรู้เหล่านี้มีสามัญผลเห็นชัดเจนประจักษ์ในปัจจุบัน แล้วท่านผู้เป็นศาสดา
รู้แจ้งธรรมตามที่ท่านประกาศแล้วนั้น มีสามัญผลอะไรให้เห็นประจักษ์ในปัจจุบันบ้างรึไม่
ครั้นเมื่อพระองค์ถามไปแล้ว ท่านใดท่านนั้นก็ล้วนแต่ตอบไม่ได้ ไม่อาจหาญที่จะประกาศ
สามัญผลอันเห็นประจักษ์ในสิ่งที่ตนรู้เห็นนั้นเลย ดังที่พระเจ้าอชาตศัตรูอุปมาดุจว่าพระองค์ถาม
ขนุนก็ตอบมะม่วง ถามมะม่วงก็ตอบขนุน ไพล่ไปไพล่มา ตอบไม่ตรงคำถามสักคน
หากเราลอกเอาคำถามของพระเจ้าอชาตศัตรูนี้ไปถามกับบรรดาคนรุ่นใหม่ทั้งหลายที่
ประกาศตนว่าเขาไม่มีศาสนานั้น เชื่อได้ว่าเราก็จะได้คำตอบแบบมะม่วงแบบขนุนเหมือนกัน
ไม่มีแก่นสารสาระ ไม่มีความอาจหาญใดๆ ที่จะประกาศสามัญผลอันเห็นประจักษ์ในปัจจุบัน
ออกมาได้
ลำดับต่อมาหลังจากที่พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสตอบพระผู้มีพระภาคครบแล้ว พระผู้มีพระภาค
จึงได้ยกสามัญผลอันเห็นประจักษ์ในปัจจุบันในศาสนาที่พระองค์ประกาศแล้วขึ้นกล่าวบ้าง เนื้อความ
ยืดยาวมากทีเดียว ทั้งนี้ ผมยกคำของศาสดามาเพียง 3 ท่าน ยังคงเหลือท่านมักขลิโคศาล ท่านปกุธะ
กัจจายนะ และท่านนิครนถ์นาฏบุตร ถ้าสนใจคำของศาสดาที่เหลืออีก 3 ท่าน รวมถึงเนื้อหาโดยละเอียด
ทั้งหมดว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศสามัญผลในบวรพุทธศาสนานี้อย่างไร ก็หาอ่าน
ต่อได้ในพระไตรปิฎกครับ
บุญบาปไม่มี เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วก็สูญไปจบกันไป อันคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
คิดติดยึดถือเอานั้น มิใช่ของใหม่ มิใช่เรื่องเก๋ไก๋ เขาอาจจะว่าเรื่องบุญเรื่องกรรมเป็นเรื่อง
โบราณ ศาสนาพุทธนั้นคร่ำครึและเชย ที่จริง หากศาสนาพุทธเชย ความคิดของเขาก็เชย
ไม่แพ้กันเพราะความคิดแบบที่เขากำลังคิดอยู่นั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับศาสดา เจ้าลัทธิโบราณ
เหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นมีมาหลายพันปี
ปัจจุบันนี้เกาหลีพยายามมากที่จะส่งออกวัฒนธรรมตัวเองไปตลาดโลก การเปลี่ยนแปลง
ของเกาหลีนั้นน่าสนใจในส่วนที่เขาเปลี่ยนจากประเทศพุทธเป็นคริสต์ และยิ่งคนรุ่นใหม่มากขึ้น
เทรนด์ใหม่นั้นก็แรงขึ้นนั่นคือเทรนด์การไม่มีศาสนา บ้านเราก็คงจะโดนเทรนด์นี้บ้างเหมือนกัน
ตามสภาพ
เมื่อเชื่อว่าบุญบาปไม่มี จิตก็คือสมอง เมื่อร่างกายแตกดับไปตายไปทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ
แม้นว่าจะฆ่าแม่ฆ่าพ่อของตนทิ้งบาปแห่งการกระทำเช่นนั้นก็ไม่มี พ่อแม่แก่เฒ่าแล้ว ทอดทิ้ง
ไม่ดูแลท่านก็ไม่เป็นบาป สิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติอาจเรียกว่าเป็นเพียงหน้าที่พลเมือง มีกฎหมาย
เป็นกรอบ ธรรมเนียมสังคมเป็นเนื้อหา
ความคิดเช่นว่านั้นกล่าวตามตรงว่าเชยมาก จากเรื่องสามัญผลสูตรนี้ พระเจ้าอชาตศัตรู
ได้ทูลถามศาสดาทั้งหลายว่า คนธรรมดาสามัญเล่าเรียนวิชาความรู้มีศิลปวิทยาการต่างๆ ความรู้
ของเขาก็ได้ใช้ในการประกอบสัมมาชีพ ได้เงินได้ทองมาเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงแม่ เลี้ยงพ่อ เลี้ยงลูกเมีย
ของตนได้ วิชาความรู้เหล่านี้มีสามัญผลเห็นชัดเจนประจักษ์ในปัจจุบัน แล้วท่านผู้เป็นศาสดา
รู้แจ้งธรรมตามที่ท่านประกาศแล้วนั้น มีสามัญผลอะไรให้เห็นประจักษ์ในปัจจุบันบ้างรึไม่
ครั้นเมื่อพระองค์ถามไปแล้ว ท่านใดท่านนั้นก็ล้วนแต่ตอบไม่ได้ ไม่อาจหาญที่จะประกาศ
สามัญผลอันเห็นประจักษ์ในสิ่งที่ตนรู้เห็นนั้นเลย ดังที่พระเจ้าอชาตศัตรูอุปมาดุจว่าพระองค์ถาม
ขนุนก็ตอบมะม่วง ถามมะม่วงก็ตอบขนุน ไพล่ไปไพล่มา ตอบไม่ตรงคำถามสักคน
หากเราลอกเอาคำถามของพระเจ้าอชาตศัตรูนี้ไปถามกับบรรดาคนรุ่นใหม่ทั้งหลายที่
ประกาศตนว่าเขาไม่มีศาสนานั้น เชื่อได้ว่าเราก็จะได้คำตอบแบบมะม่วงแบบขนุนเหมือนกัน
ไม่มีแก่นสารสาระ ไม่มีความอาจหาญใดๆ ที่จะประกาศสามัญผลอันเห็นประจักษ์ในปัจจุบัน
ออกมาได้
ลำดับต่อมาหลังจากที่พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสตอบพระผู้มีพระภาคครบแล้ว พระผู้มีพระภาค
จึงได้ยกสามัญผลอันเห็นประจักษ์ในปัจจุบันในศาสนาที่พระองค์ประกาศแล้วขึ้นกล่าวบ้าง เนื้อความ
ยืดยาวมากทีเดียว ทั้งนี้ ผมยกคำของศาสดามาเพียง 3 ท่าน ยังคงเหลือท่านมักขลิโคศาล ท่านปกุธะ
กัจจายนะ และท่านนิครนถ์นาฏบุตร ถ้าสนใจคำของศาสดาที่เหลืออีก 3 ท่าน รวมถึงเนื้อหาโดยละเอียด
ทั้งหมดว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศสามัญผลในบวรพุทธศาสนานี้อย่างไร ก็หาอ่าน
ต่อได้ในพระไตรปิฎกครับ
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- farmer
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 39
อยากให้ได้อ่าน วิสัชนาธรรม ฉบับรวมเล่ม นี้กันจัง
http://www.se-ed.com/eShop/Book/BookDet ... odMCode=ศน
http://www.se-ed.com/eShop/Book/BookDet ... odMCode=ศน
ไม่มีป่า ไม่มีน้ำ
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 41
เค้าว่า การหลับก็เหมือนเราตาย คือจิตเราไม่รับรู้
เราตื่น ก็คือชีวิตหลังความตาย เพราะจิตเรากลับมารับรู้อีกครั้ง หลังจากการหลับ
หรือการที่เราตาย จากสภาวะที่ไม่มีการรับรู้
เราตื่น ก็คือชีวิตหลังความตาย เพราะจิตเรากลับมารับรู้อีกครั้ง หลังจากการหลับ
หรือการที่เราตาย จากสภาวะที่ไม่มีการรับรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 42
ประสบการณ์จริง ชีวิตหลังความตาย ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=Hx7H4FU8 ... re=related