ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 541
ธปท.ผ่อนเกณฑ์ถือดอลล์ ชี้เลิก30%ตลาดเงินสมดุล
โพสต์ทูเดย์ ธปท.หวั่นค่าเงินบาทแข็งพรวดพราด ดอดทำหนังสือถึงคลังผ่อนผันการถือครองเงินตราต่างประเทศ
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือถึงนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เพื่อขออนุมัติผ่อนผันการถือครองเงินตราต่างประเทศของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลเพิ่มเติม จากที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา
สำหรับเงื่อนไขใหม่ของ ธปท. ที่ขออนุมัตินั้น ถ้าเป็นนิติบุคคลนั้นสามารถถือครองเงินเหรียญสหรัฐได้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับบุคคลธรรมดานั้นได้ขอให้สามารถถือครองเงินตราต่างประเทศได้รายละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันแค่ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
รายงานข่าวแจ้งว่า ธปท.ยังจะผ่อนคลายการเปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศให้ผ่อนคลายเพิ่มด้วย เพราะต้องการผ่อนแรงกดดันค่าเงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้น และเป็นการเปิดทางให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการ 30% ด้วย
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า นโยบายของพรรคการเมืองที่จะยกเลิกมาตร การสำรอง 30% ของ ธปท. ถือว่าเป็นนโยบายที่เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์กับตลาดตราสารหนี้ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกดดันให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการ 30% ควรปล่อยให้ ธปท.ที่จะตัดสินใจดำเนินการ
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการ 30% จะทำให้เกิดความสมดุลในตลาดการเงิน เพราะปัจจุบัน ธปท.ต้องใช้เงินเข้าไปแทรกแซงจำนวนมาก ทำให้สภาพคล่องล้นตลาดต้องออกพันธบัตรจำนวนมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209385
โพสต์ทูเดย์ ธปท.หวั่นค่าเงินบาทแข็งพรวดพราด ดอดทำหนังสือถึงคลังผ่อนผันการถือครองเงินตราต่างประเทศ
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือถึงนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เพื่อขออนุมัติผ่อนผันการถือครองเงินตราต่างประเทศของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลเพิ่มเติม จากที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา
สำหรับเงื่อนไขใหม่ของ ธปท. ที่ขออนุมัตินั้น ถ้าเป็นนิติบุคคลนั้นสามารถถือครองเงินเหรียญสหรัฐได้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับบุคคลธรรมดานั้นได้ขอให้สามารถถือครองเงินตราต่างประเทศได้รายละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันแค่ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
รายงานข่าวแจ้งว่า ธปท.ยังจะผ่อนคลายการเปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศให้ผ่อนคลายเพิ่มด้วย เพราะต้องการผ่อนแรงกดดันค่าเงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้น และเป็นการเปิดทางให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการ 30% ด้วย
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า นโยบายของพรรคการเมืองที่จะยกเลิกมาตร การสำรอง 30% ของ ธปท. ถือว่าเป็นนโยบายที่เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์กับตลาดตราสารหนี้ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกดดันให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการ 30% ควรปล่อยให้ ธปท.ที่จะตัดสินใจดำเนินการ
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการ 30% จะทำให้เกิดความสมดุลในตลาดการเงิน เพราะปัจจุบัน ธปท.ต้องใช้เงินเข้าไปแทรกแซงจำนวนมาก ทำให้สภาพคล่องล้นตลาดต้องออกพันธบัตรจำนวนมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209385
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/12/07
โพสต์ที่ 542
โฆสิตแจงผลงาน แก้ปัญหาอุตฯฉลุย
โพสต์ทูเดย์ แจงผลงานกระทรวงอุตสาหกรรมรอบ 1 ปี ช่วยเอกชนเดินหน้าหลายโครงการ ที่เหลือรอรัฐบาลใหม่สานต่อ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาห กรรม กล่าวในงานแถลงผลงาน ของกระทรวงอุตสาหกรรมในรอบ 1 ปี ว่า ได้พยายามปรับเปลี่ยนการทำงาน โดยให้เอกชนเป็นฝ่ายเสนอโครงการเข้ามา โดยมีรัฐบาลช่วยประสานงานสู่เป้าหมายการปฏิบัติ ซึ่งได้ผ่านงบช่วยเหลือไปแล้ว 1.3 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ แก้ปัญหา ลดมลพิษในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จ.ระยอง มีการจัดทำ แผนปฏิบัติการลดมลพิษจนทำให้โครง การปิโตรเคมีเฟส 3 สามารถเดินหน้าต่อไปได้แล้ว 6 โครงการ จาก 12 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 6 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันยังได้ปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของคณะกรรมการส่ง เสริมการลงทุน (บีโอไอ) วางกรอบการลงทุนในโครงการเซาเทิร์น ซีบอร์ดที่ใช้อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำนำร่อง โดยผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและการอยู่ร่วมกับชุมชน
ทั้งหมดนี้ หากรัฐบาลชุดใหม่เห็นว่าโครงการไหนมีประโยชน์ก็ควรสานต่อ แต่ไม่ขอฝากโครงการใดเป็นพิเศษ
นายโฆสิต กล่าวต่อว่า เชื่อมั่นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งจะเดินหน้า ไปได้ด้วยดี โดยพึ่งพาการลงทุน ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำและไฟฟ้า และพลังงานทางเลือก
ยอมรับว่าในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีปัญหามากมายเกิดขึ้น เช่น ปัญหาซับไพรม์ เงินบาทแข็งค่า ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และการปิดโรงงานจนต้องปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐบาลชุดนี้รับแก้ปัญหาไปเต็มๆ รัฐบาลใหม่เข้ามาคงจะไม่เกิดปัญหาที่ยากไปกว่านี้แล้ว นายโฆสิต กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209617
โพสต์ทูเดย์ แจงผลงานกระทรวงอุตสาหกรรมรอบ 1 ปี ช่วยเอกชนเดินหน้าหลายโครงการ ที่เหลือรอรัฐบาลใหม่สานต่อ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาห กรรม กล่าวในงานแถลงผลงาน ของกระทรวงอุตสาหกรรมในรอบ 1 ปี ว่า ได้พยายามปรับเปลี่ยนการทำงาน โดยให้เอกชนเป็นฝ่ายเสนอโครงการเข้ามา โดยมีรัฐบาลช่วยประสานงานสู่เป้าหมายการปฏิบัติ ซึ่งได้ผ่านงบช่วยเหลือไปแล้ว 1.3 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ แก้ปัญหา ลดมลพิษในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จ.ระยอง มีการจัดทำ แผนปฏิบัติการลดมลพิษจนทำให้โครง การปิโตรเคมีเฟส 3 สามารถเดินหน้าต่อไปได้แล้ว 6 โครงการ จาก 12 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 6 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันยังได้ปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของคณะกรรมการส่ง เสริมการลงทุน (บีโอไอ) วางกรอบการลงทุนในโครงการเซาเทิร์น ซีบอร์ดที่ใช้อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำนำร่อง โดยผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและการอยู่ร่วมกับชุมชน
ทั้งหมดนี้ หากรัฐบาลชุดใหม่เห็นว่าโครงการไหนมีประโยชน์ก็ควรสานต่อ แต่ไม่ขอฝากโครงการใดเป็นพิเศษ
นายโฆสิต กล่าวต่อว่า เชื่อมั่นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งจะเดินหน้า ไปได้ด้วยดี โดยพึ่งพาการลงทุน ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำและไฟฟ้า และพลังงานทางเลือก
ยอมรับว่าในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีปัญหามากมายเกิดขึ้น เช่น ปัญหาซับไพรม์ เงินบาทแข็งค่า ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และการปิดโรงงานจนต้องปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐบาลชุดนี้รับแก้ปัญหาไปเต็มๆ รัฐบาลใหม่เข้ามาคงจะไม่เกิดปัญหาที่ยากไปกว่านี้แล้ว นายโฆสิต กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209617
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 543
ลดภาษีผู้อุ้มชูสังคม
โพสต์ทูเดย์ ครม. ทิ้งทวนมาตรการภาษีเพื่อสังคม ให้หักลดหย่อนภาษีเลี้ยงดูคนพิการได้ 3 หมื่นบาทต่อการดูแลคนพิการ 1 คน
นายสาธิต รังคสิริ รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ โดยผู้มีเงินได้ที่อุปการะเลี้ยงดูคนพิการที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ และไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้ 3 หมื่นบาทต่อการดูแลคนพิการ 1 คน
สำหรับการบริจาคเงิน หรือมอบทรัพย์สินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้มีเงินได้จะได้รับการ ลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 10%
กรณีผู้บริจาคเป็นนิติบุคคล จะได้รับการลดหย่อนภาษีไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ
นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ ซึ่งรับคนพิการเข้าทำงาน หรือส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมถึงเจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือ ผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ซึ่งได้จัดอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยเฉพาะแก่คนพิการ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เป็นจำนวน 2 เท่า ของจำนวนที่จ่ายจริง
นอกจากนี้ ครม.ยังได้อนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยจะยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยไม่มีค่า ตอบแทน ให้แก่องค์การเอกชนที่ได้รับการประกาศเป็นองค์การสาธารณกุศล แต่จะให้สิทธิเฉพาะการโอนที่ดินไม่เกิน 50 ไร่
ผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ คาดว่าจะมีผลต่อการ จัดเก็บภาษีไม่มากนัก ขณะที่มาตรการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยลดภาระงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต กล่าวว่า หลังจากนี้กรมสรรพากรจะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแล และตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กร สถานสาธารณกุศล และมูลนิธิต่างๆ ตามประกาศของกระทรวงการคลัง
หน่วยงานใหม่จะทำหน้าที่รวบรวม และจัดทำข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการกุศลสาธารณะ เพื่อให้สะดวกในการนำมาใช้ตรวจสอบรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะสำหรับมูลนิธิ และสมาคม รวมถึงการรวบรวมองค์กร และมูลนิธิที่ต้องการยื่นขอจดทะเบียนเป็นองค์การสถานสาธารณกุศล และตรวจสอบรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้
การจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อคอยกำกับดูแลในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ จะทำให้สังคมได้รับประโยชน์ในเรื่องการบริจาคอย่างแท้จริง และไม่เป็นช่องทางในการหลบเลี่ยงภาษี รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าว
ทั้งนี้ มาตรการทางภาษีดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นให้คนไทยมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบดูแลสังคมให้ดี ขึ้น และช่วยปลุกจิตสำนึกให้คน ในสังคมมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209816
โพสต์ทูเดย์ ครม. ทิ้งทวนมาตรการภาษีเพื่อสังคม ให้หักลดหย่อนภาษีเลี้ยงดูคนพิการได้ 3 หมื่นบาทต่อการดูแลคนพิการ 1 คน
นายสาธิต รังคสิริ รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ โดยผู้มีเงินได้ที่อุปการะเลี้ยงดูคนพิการที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ และไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้ 3 หมื่นบาทต่อการดูแลคนพิการ 1 คน
สำหรับการบริจาคเงิน หรือมอบทรัพย์สินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้มีเงินได้จะได้รับการ ลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 10%
กรณีผู้บริจาคเป็นนิติบุคคล จะได้รับการลดหย่อนภาษีไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ
นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ ซึ่งรับคนพิการเข้าทำงาน หรือส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมถึงเจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือ ผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ซึ่งได้จัดอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยเฉพาะแก่คนพิการ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เป็นจำนวน 2 เท่า ของจำนวนที่จ่ายจริง
นอกจากนี้ ครม.ยังได้อนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยจะยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยไม่มีค่า ตอบแทน ให้แก่องค์การเอกชนที่ได้รับการประกาศเป็นองค์การสาธารณกุศล แต่จะให้สิทธิเฉพาะการโอนที่ดินไม่เกิน 50 ไร่
ผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ คาดว่าจะมีผลต่อการ จัดเก็บภาษีไม่มากนัก ขณะที่มาตรการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยลดภาระงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต กล่าวว่า หลังจากนี้กรมสรรพากรจะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแล และตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กร สถานสาธารณกุศล และมูลนิธิต่างๆ ตามประกาศของกระทรวงการคลัง
หน่วยงานใหม่จะทำหน้าที่รวบรวม และจัดทำข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการกุศลสาธารณะ เพื่อให้สะดวกในการนำมาใช้ตรวจสอบรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะสำหรับมูลนิธิ และสมาคม รวมถึงการรวบรวมองค์กร และมูลนิธิที่ต้องการยื่นขอจดทะเบียนเป็นองค์การสถานสาธารณกุศล และตรวจสอบรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้
การจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อคอยกำกับดูแลในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ จะทำให้สังคมได้รับประโยชน์ในเรื่องการบริจาคอย่างแท้จริง และไม่เป็นช่องทางในการหลบเลี่ยงภาษี รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าว
ทั้งนี้ มาตรการทางภาษีดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นให้คนไทยมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบดูแลสังคมให้ดี ขึ้น และช่วยปลุกจิตสำนึกให้คน ในสังคมมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209816
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 544
เจพีมอร์แกนชี้จีดีพีโต5.1% ฟันธงรัฐบาลใหม่อยู่ไม่นาน โดย กระแสหุ้น
เจพีมอร์แกนฟันธงปีหน้าจีดีพีไทยโต 5.1% เหตุการลงทุนภาครัฐและรัฐวิสาหกิจฟื้นตัว รัฐบาลใหม่เร่งอัดเงินกระตุ้น แต่หากเศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวมากกว่าที่คาดหรือการเมืองไทยวุ่นวายหลังเลือกตั้งจะกดดันจีดีพีให้ขยายตัวไม่เกิน 4.4% ชี้รัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลผสม เชื่ออีกไม่นานได้เลือกตั้งกันอีกรอบ
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เจพีมอร์แกน(ประเทศไทย)จำกัด ออกบทวิเคราะห์การลงทุนโดยระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย(จีดีพี)ในปีหน้าจะขยายตัว 5.1% ส่วนเงินเฟ้อพุ่ง 4.8% เหตุรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งต้องเร่งอัดฉีดงบ หวังสร้างคะแนนเสียง เนื่องจากมีแววอยู่ได้ไม่นาน ส่วนปัจจัยภายนอกต้องจับตาเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะชะลอตัวอีกหรือไม่
ทั้งนี้ เศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวด้วยแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ส่วนรัฐบาลใหม่ของไทยที่จะได้หลังจากการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้จะเป็นรัฐบาลผสม และสิ่งแรกที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาทำคือการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อสร้างคะแนนนิยมอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากว่า เสถียรภาพของรัฐบาลอาจไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร และน่าจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปเร็วกว่าคาด
นอกจากนี้ เจพีมอร์แกนคาดว่า การชะลอตัวของความต้องการในตลาดโลก ซึ่งจะกระทบต่อภาคส่งออกของไทย และจะกระทบการบริโภคภายในประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องจากรายได้ภาคส่งออกที่ลดลง จะได้รับการชดเชยจากนโยบายการคลังของรัฐบาล
อย่างไรก็ดีหากปัจจัยภายนอกเลวร้ายกว่าที่คาด หรือ เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือ ความวุ่นวายทางการเมืองหลังเลือกตั้งส่งผลให้การอัดฉีดงบรายจ่ายภาครัฐล่าช้า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยย่อมได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่าจีดีพีของไทยในปีหน้าอาจขยายตัวเพียง 4.4% จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวในระดับ 5%
สำหรับในส่วนของค่าเงินบาท เจพีมอร์แกนคาดว่า ค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศจะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์ ในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และกระแสเงินทุนไหลเข้า
ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติกำลังจับตามองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในไตรมาสแรกปีหน้าหรือไม่ หลังจากได้รัฐบาลใหม่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศผ่อนผันมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ลง โดยในส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์นักลงทุนที่นำเงินเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนไม่ต้องกันสำรอง ขณะที่บริษัทจดทะเบียน(บจ.)สามารถนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ไม่จำกัด ขณะเดียวกันอนุญาตให้บริษัทในประเทศไทยกู้ยืมเงินในต่างประเทศได้ไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยไม่ต้องกันเงินสำรอง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
เจพีมอร์แกนฟันธงปีหน้าจีดีพีไทยโต 5.1% เหตุการลงทุนภาครัฐและรัฐวิสาหกิจฟื้นตัว รัฐบาลใหม่เร่งอัดเงินกระตุ้น แต่หากเศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวมากกว่าที่คาดหรือการเมืองไทยวุ่นวายหลังเลือกตั้งจะกดดันจีดีพีให้ขยายตัวไม่เกิน 4.4% ชี้รัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลผสม เชื่ออีกไม่นานได้เลือกตั้งกันอีกรอบ
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เจพีมอร์แกน(ประเทศไทย)จำกัด ออกบทวิเคราะห์การลงทุนโดยระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย(จีดีพี)ในปีหน้าจะขยายตัว 5.1% ส่วนเงินเฟ้อพุ่ง 4.8% เหตุรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งต้องเร่งอัดฉีดงบ หวังสร้างคะแนนเสียง เนื่องจากมีแววอยู่ได้ไม่นาน ส่วนปัจจัยภายนอกต้องจับตาเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะชะลอตัวอีกหรือไม่
ทั้งนี้ เศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวด้วยแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ส่วนรัฐบาลใหม่ของไทยที่จะได้หลังจากการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้จะเป็นรัฐบาลผสม และสิ่งแรกที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาทำคือการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อสร้างคะแนนนิยมอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากว่า เสถียรภาพของรัฐบาลอาจไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร และน่าจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปเร็วกว่าคาด
นอกจากนี้ เจพีมอร์แกนคาดว่า การชะลอตัวของความต้องการในตลาดโลก ซึ่งจะกระทบต่อภาคส่งออกของไทย และจะกระทบการบริโภคภายในประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องจากรายได้ภาคส่งออกที่ลดลง จะได้รับการชดเชยจากนโยบายการคลังของรัฐบาล
อย่างไรก็ดีหากปัจจัยภายนอกเลวร้ายกว่าที่คาด หรือ เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือ ความวุ่นวายทางการเมืองหลังเลือกตั้งส่งผลให้การอัดฉีดงบรายจ่ายภาครัฐล่าช้า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยย่อมได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่าจีดีพีของไทยในปีหน้าอาจขยายตัวเพียง 4.4% จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวในระดับ 5%
สำหรับในส่วนของค่าเงินบาท เจพีมอร์แกนคาดว่า ค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศจะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์ ในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และกระแสเงินทุนไหลเข้า
ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติกำลังจับตามองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในไตรมาสแรกปีหน้าหรือไม่ หลังจากได้รัฐบาลใหม่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศผ่อนผันมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ลง โดยในส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์นักลงทุนที่นำเงินเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนไม่ต้องกันสำรอง ขณะที่บริษัทจดทะเบียน(บจ.)สามารถนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ไม่จำกัด ขณะเดียวกันอนุญาตให้บริษัทในประเทศไทยกู้ยืมเงินในต่างประเทศได้ไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยไม่ต้องกันเงินสำรอง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 545
รัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตฯ ปีนี้ปรับตัวสูงสุดในรอบ 6 เดือน โดย กระแสหุ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย.ปรับตัวดีขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือน ผู้ประกอบการเชื่อความชัดเจนทางการเมืองคือปัจจัยสำคัญที่จะฟื้นระดับความเชื่อมั่นได้เร็วและมากที่สุด แนะรัฐปรับลดราคาน้ำมัน ดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือน พ.ย. 2550 จาก 529 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มอุตสาหกรรม ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 82.3 จาก 81.9 ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับอานิสงส์จากความหวังในการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ทำให้คาดว่ายอดคำสั่งซื้อและยอดขายในประเทศจะดีขึ้น
ขณะเดียวกัน ภาวะตลาดส่งออกที่สำคัญยังขยายตัวดีโดยเฉพาะตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง จีน ออสเตรเลีย อินเดีย เวียดนาม ทำให้คาดว่ายอดคำสั่งซื้อและยอดขายในต่างประเทศยังจะไปได้ดี ส่งผลให้ปริมาณการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการก็ไม่ได้ปรับเพิ่มสูงขึ้น แม้ยอดคำสั่งซื้อและยอดขายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงปริมาณการผลิตปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากถูกกระทบจากราคาน้ำมันและราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนการประกอบการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกดดันให้ผู้ประกอบการ เริ่มมีการขยับขึ้นราคาขายบางส่วนแล้ว
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ เท่ากับ 93.5 มีค่าต่ำกว่า 100 เช่นกัน แสดงถึงความเชื่อมั่นคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนของผู้ประกอบการต่อภาพรวมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มดีขึ้นจากเดือน พ.ย. 2550 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่แข็งแกร่งนัก สาเหตุหลักมาจากภาพการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายต่างๆที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แม้การกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ได้สร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองให้ดีขึ้นในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการยังถูกกระทบจากปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงในการชะลอตัวจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ของสหรัฐฯ แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศลดดอกเบี้ยและผ่อนคลายนโยบายสินเชื่อแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับดัชนีฯ คาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนในเดือน ต.ค. 2550 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 96.1 พบว่าความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ฯอ่อนตัวลงมา ซึ่งถูกกระทบจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับยอดขายในประเทศใน 3 เดือนข้างหน้าที่คาดว่าจะฟื้นตัวไม่แข็งแกร่งนัก เนื่องจากยังไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ส่งผลต่อเนื่องถึงความเชื่อมั่นในการผลิต อีกทั้งผลประกอบการยังอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการประกอบการที่อาจปรับตัวสูงขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ผันผวนในทิศทางที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับสภาพแวดล้อมภายนอกกิจการ ผู้ประกอบการต่างเชื่อมั่นต่อปัจจัยต่างๆ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ได้แก่ ราคาน้ำมัน เป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลมากที่สุด เศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาทจะกระทบน้อยลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศจะยังไม่ส่งผลกระทบในช่วง 3 เดือนนี้ และการเมืองจะคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผู้ประกอบการก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ปัจจัยที่จะฟื้นระดับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้เร็วและมากที่สุด คือ ความชัดเจนเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง
โดยข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการต่อภาครัฐ พบว่าส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ปรับลดราคาน้ำมัน สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายพลังงานในระยะยาว ดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมและโปร่งใส กระตุ้นเศรษฐกิจให้มีความคล่องตัวมากขึ้น เร่งสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนเพื่อที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาลงทุนที่ไทย ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาค่าขนส่ง เร่งพัฒนาผลิตบุคลากรตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมนโยบายการใช้แรงงานต่างด้าว ลดอัตราดอกเบี้ยลง เร่งแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ และช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อย่างจริงจัง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย.ปรับตัวดีขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือน ผู้ประกอบการเชื่อความชัดเจนทางการเมืองคือปัจจัยสำคัญที่จะฟื้นระดับความเชื่อมั่นได้เร็วและมากที่สุด แนะรัฐปรับลดราคาน้ำมัน ดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือน พ.ย. 2550 จาก 529 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มอุตสาหกรรม ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 82.3 จาก 81.9 ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับอานิสงส์จากความหวังในการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ทำให้คาดว่ายอดคำสั่งซื้อและยอดขายในประเทศจะดีขึ้น
ขณะเดียวกัน ภาวะตลาดส่งออกที่สำคัญยังขยายตัวดีโดยเฉพาะตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง จีน ออสเตรเลีย อินเดีย เวียดนาม ทำให้คาดว่ายอดคำสั่งซื้อและยอดขายในต่างประเทศยังจะไปได้ดี ส่งผลให้ปริมาณการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการก็ไม่ได้ปรับเพิ่มสูงขึ้น แม้ยอดคำสั่งซื้อและยอดขายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงปริมาณการผลิตปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากถูกกระทบจากราคาน้ำมันและราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนการประกอบการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกดดันให้ผู้ประกอบการ เริ่มมีการขยับขึ้นราคาขายบางส่วนแล้ว
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ เท่ากับ 93.5 มีค่าต่ำกว่า 100 เช่นกัน แสดงถึงความเชื่อมั่นคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนของผู้ประกอบการต่อภาพรวมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มดีขึ้นจากเดือน พ.ย. 2550 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่แข็งแกร่งนัก สาเหตุหลักมาจากภาพการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายต่างๆที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แม้การกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ได้สร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองให้ดีขึ้นในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการยังถูกกระทบจากปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงในการชะลอตัวจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ของสหรัฐฯ แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศลดดอกเบี้ยและผ่อนคลายนโยบายสินเชื่อแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับดัชนีฯ คาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนในเดือน ต.ค. 2550 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 96.1 พบว่าความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ฯอ่อนตัวลงมา ซึ่งถูกกระทบจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับยอดขายในประเทศใน 3 เดือนข้างหน้าที่คาดว่าจะฟื้นตัวไม่แข็งแกร่งนัก เนื่องจากยังไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ส่งผลต่อเนื่องถึงความเชื่อมั่นในการผลิต อีกทั้งผลประกอบการยังอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการประกอบการที่อาจปรับตัวสูงขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ผันผวนในทิศทางที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับสภาพแวดล้อมภายนอกกิจการ ผู้ประกอบการต่างเชื่อมั่นต่อปัจจัยต่างๆ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ได้แก่ ราคาน้ำมัน เป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลมากที่สุด เศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาทจะกระทบน้อยลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศจะยังไม่ส่งผลกระทบในช่วง 3 เดือนนี้ และการเมืองจะคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผู้ประกอบการก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ปัจจัยที่จะฟื้นระดับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้เร็วและมากที่สุด คือ ความชัดเจนเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง
โดยข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการต่อภาครัฐ พบว่าส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ปรับลดราคาน้ำมัน สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายพลังงานในระยะยาว ดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมและโปร่งใส กระตุ้นเศรษฐกิจให้มีความคล่องตัวมากขึ้น เร่งสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนเพื่อที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาลงทุนที่ไทย ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาค่าขนส่ง เร่งพัฒนาผลิตบุคลากรตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมนโยบายการใช้แรงงานต่างด้าว ลดอัตราดอกเบี้ยลง เร่งแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ และช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อย่างจริงจัง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 546
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะแบงก์ชาติ พิจารณา 3 ปัจจัยยกเลิกกันสำรอง โดย กระแสหุ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะ ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาให้รอบคอบก่อนยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม การส่งสัญญาณที่ชัดเจนในด้านนโยบาย มาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การผ่อนปรนมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา สะท้อนถึงท่าทีของการถอยออกจากมาตรการดังกล่าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาเป็นสำคัญ และแม้ว่าช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาของการประกาศใช้มาตรการกันสำรอง ธปท.ได้ทบทวนและผ่อนปรนมาตรการมาเป็นระยะ ๆ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการครั้งล่าสุด แต่เป็นที่คาดการณ์ว่ากระแสการเรียกร้องให้ ธปท.ประกาศยกเลิกการใช้มาตรการนี้น่าจะยังคงมีอยู่ และอาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นในอนาคต หาก ธปท.ยังดำเนินมาตรการดังกล่าวต่อไป ซึ่งไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว ธปท.จะตัดสินใจดำเนินการอย่างไร ย่อมมีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้เห็นว่าการจะยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นั้น ธปท.ควรจะต้องพิจารณาปัจจัย 3 ประการ คือ
จังหวะเวลาที่เหมาะสม การส่งสัญญาณที่ชัดเจนในด้านนโยบาย รวมทั้งมีมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ เพราะหากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการไม่ลงตัว การยกเลิกมาตรการกันสำรองก็อาจนำมาสู่ความผันผวนของค่าเงินบาทและส่งผลต่อเศรษฐกิจได้โดยเฉพาะภาคการส่งออก เพราะสัดส่วนการส่งออกของไทยขณะนี้ยังมีระดับสูงเกินกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
อย่างไรก็ตามหากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการครบถ้วนแล้ว ธปท.น่าที่จะสามารถพิจารณายกเลิกมาตรการนี้ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยยังจำเป็น ต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืนในอนาคต และ ธปท. น่าที่จะเป็นผู้ที่มีบทบาทในการพิจารณายกเลิกมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้าใจกลไกและติดตามการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
สำหรับข้อดีในการยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 คือ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาดโดยเสรีมากขึ้น เอื้อต่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนในระยะยาว ส่วนข้อเสีย ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินและการเคลื่อนย้ายของกระแสเงินทุนโลก
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะ ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาให้รอบคอบก่อนยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม การส่งสัญญาณที่ชัดเจนในด้านนโยบาย มาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การผ่อนปรนมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา สะท้อนถึงท่าทีของการถอยออกจากมาตรการดังกล่าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาเป็นสำคัญ และแม้ว่าช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาของการประกาศใช้มาตรการกันสำรอง ธปท.ได้ทบทวนและผ่อนปรนมาตรการมาเป็นระยะ ๆ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการครั้งล่าสุด แต่เป็นที่คาดการณ์ว่ากระแสการเรียกร้องให้ ธปท.ประกาศยกเลิกการใช้มาตรการนี้น่าจะยังคงมีอยู่ และอาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นในอนาคต หาก ธปท.ยังดำเนินมาตรการดังกล่าวต่อไป ซึ่งไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว ธปท.จะตัดสินใจดำเนินการอย่างไร ย่อมมีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้เห็นว่าการจะยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นั้น ธปท.ควรจะต้องพิจารณาปัจจัย 3 ประการ คือ
จังหวะเวลาที่เหมาะสม การส่งสัญญาณที่ชัดเจนในด้านนโยบาย รวมทั้งมีมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ เพราะหากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการไม่ลงตัว การยกเลิกมาตรการกันสำรองก็อาจนำมาสู่ความผันผวนของค่าเงินบาทและส่งผลต่อเศรษฐกิจได้โดยเฉพาะภาคการส่งออก เพราะสัดส่วนการส่งออกของไทยขณะนี้ยังมีระดับสูงเกินกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
อย่างไรก็ตามหากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการครบถ้วนแล้ว ธปท.น่าที่จะสามารถพิจารณายกเลิกมาตรการนี้ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยยังจำเป็น ต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืนในอนาคต และ ธปท. น่าที่จะเป็นผู้ที่มีบทบาทในการพิจารณายกเลิกมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้าใจกลไกและติดตามการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
สำหรับข้อดีในการยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 คือ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาดโดยเสรีมากขึ้น เอื้อต่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนในระยะยาว ส่วนข้อเสีย ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินและการเคลื่อนย้ายของกระแสเงินทุนโลก
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 547
แรงเทขายปตท.ฉุดหุ้นไทยร่วง1.1% จ่อหลุด800จุดพรุ่งนี้
19 ธันวาคม พ.ศ. 2550 17:22:00
แรงเทขายหุ้นปตท.ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงกว่า 1.1% คาดต่างชาติเทขายต่อเนื่อง คาดพรุ่งนี้มีสิทธิ์หลุด 800 จุด นักวิเคราะห์ชี้สัญญาณทางเทคนิคหุ้นปตท.ยังลงได้อีก
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปิดลบ 8.92 จุด มาที่ 804.98 หลังดัชนีสูงสุดที่ 819.32 และดัชนีต่ำสุดที่ 802.59 ด้วยมูลค่าซื้อขาย 12,766.34 ล้านบาท
ขณะที่พอร์ตนักลงทุนต่างชาติวันนี้ ขายสุทธิออกมาอีก 969.69 ล้านบาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า หุ้นที่ลงช่วงบ่าย เป็นผลมาจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ถูกเทขายออกมาหนัก โดยเฉพาะหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จากราคา 352-354 บาท ในช่วงเช้าลงมาอยู่ที่ราว 340 บาท ถือว่ามีผลต่อดัชนีของตลาดประมาณ 6 จุด
"หุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งถือว่ามีมาร์เก็ตแคปใหญ่นั้น คาดว่าถูกนักลงทุนต่างชาติเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาซับไพร์ม และสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐ ยังทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีความผันผวน ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่กดดันต่อตลาดหุ้นของไทยด้วย รวมถึงขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นตลาด"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ คาดว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลงต่อได้อีก เพราะจากสัญญาณทางเทคนิคของหุ้น PTT ชี้ว่ายังมีโอกาสปรับลงได้อีก โดยดัชนีมีแนวรับที่สำคัญที่ 800 หากหลุดแนวนี้ แนวรับต่อมาจะอยู่ที่ 780 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 813 จุด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=213075
19 ธันวาคม พ.ศ. 2550 17:22:00
แรงเทขายหุ้นปตท.ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงกว่า 1.1% คาดต่างชาติเทขายต่อเนื่อง คาดพรุ่งนี้มีสิทธิ์หลุด 800 จุด นักวิเคราะห์ชี้สัญญาณทางเทคนิคหุ้นปตท.ยังลงได้อีก
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปิดลบ 8.92 จุด มาที่ 804.98 หลังดัชนีสูงสุดที่ 819.32 และดัชนีต่ำสุดที่ 802.59 ด้วยมูลค่าซื้อขาย 12,766.34 ล้านบาท
ขณะที่พอร์ตนักลงทุนต่างชาติวันนี้ ขายสุทธิออกมาอีก 969.69 ล้านบาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า หุ้นที่ลงช่วงบ่าย เป็นผลมาจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ถูกเทขายออกมาหนัก โดยเฉพาะหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จากราคา 352-354 บาท ในช่วงเช้าลงมาอยู่ที่ราว 340 บาท ถือว่ามีผลต่อดัชนีของตลาดประมาณ 6 จุด
"หุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งถือว่ามีมาร์เก็ตแคปใหญ่นั้น คาดว่าถูกนักลงทุนต่างชาติเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาซับไพร์ม และสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐ ยังทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีความผันผวน ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่กดดันต่อตลาดหุ้นของไทยด้วย รวมถึงขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นตลาด"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ คาดว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลงต่อได้อีก เพราะจากสัญญาณทางเทคนิคของหุ้น PTT ชี้ว่ายังมีโอกาสปรับลงได้อีก โดยดัชนีมีแนวรับที่สำคัญที่ 800 หากหลุดแนวนี้ แนวรับต่อมาจะอยู่ที่ 780 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 813 จุด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=213075
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 548
คาดเศรษฐกิจปีหน้าโตกว่า 4.5% - หุ้นทะลุ 1,000 จุด ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, December 19, 2007
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในปีหน้าคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีนี้มากนัก เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ใกล้เคียงกับปีนี้ เช่น ราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลง และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ภัทร บอกว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวใกล้เคียงกับปีนี้หรือที่ประมาณ 4.6-4.7% โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้นทั้งการบริโภคและการลงทุน และเน้นการลงทุนในประเทศมากกว่าการส่งออกในปีหน้า จะทำให้เศรษฐกิจมีความสมดุล
ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปีหน้า คือ สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นรัฐบาลผสมอาจมีนโยบายไม่ชัดเจน และปัจจัยทางด้านราคาน้ำมันที่ผันผวน รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ดร.ศุภวุฒิยังฝากถึงรัฐบาลชุดหน้าด้วยว่า ควรเร่งกระตุ้นการลงทุนมากกว่าการบริโภค รวมไปถึงการพิจารณาผลกระทบจากมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายส่งเสริมการลงทุน และทำให้ตลาดทุนบิดเบือน พร้อมคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,000 จุด ในกลางปีหน้า แต่ส่วนดัชนีจะขึ้นหรือลงหลังจากนั้นอยู่ที่การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่
ด้านดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า การเมืองจะเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง หากการเมืองนิ่ง มีเสถียรภาพ จะทำปีหน้าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4.5 -5% โดยในครึ่งปีแรกจะขยายตัว 4.5% เนื่องจากประชาชนติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่หากมีการยุบสภาจะทำเศรษฐกิจไทยขยายตัว เพียง 4-4.5%แต่ถ้าในกรณีเลวร้ายมีการปฏิวัติ ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.5-4% ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, December 19, 2007
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในปีหน้าคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีนี้มากนัก เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ใกล้เคียงกับปีนี้ เช่น ราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลง และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ภัทร บอกว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวใกล้เคียงกับปีนี้หรือที่ประมาณ 4.6-4.7% โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้นทั้งการบริโภคและการลงทุน และเน้นการลงทุนในประเทศมากกว่าการส่งออกในปีหน้า จะทำให้เศรษฐกิจมีความสมดุล
ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปีหน้า คือ สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นรัฐบาลผสมอาจมีนโยบายไม่ชัดเจน และปัจจัยทางด้านราคาน้ำมันที่ผันผวน รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ดร.ศุภวุฒิยังฝากถึงรัฐบาลชุดหน้าด้วยว่า ควรเร่งกระตุ้นการลงทุนมากกว่าการบริโภค รวมไปถึงการพิจารณาผลกระทบจากมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายส่งเสริมการลงทุน และทำให้ตลาดทุนบิดเบือน พร้อมคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,000 จุด ในกลางปีหน้า แต่ส่วนดัชนีจะขึ้นหรือลงหลังจากนั้นอยู่ที่การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่
ด้านดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า การเมืองจะเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง หากการเมืองนิ่ง มีเสถียรภาพ จะทำปีหน้าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4.5 -5% โดยในครึ่งปีแรกจะขยายตัว 4.5% เนื่องจากประชาชนติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่หากมีการยุบสภาจะทำเศรษฐกิจไทยขยายตัว เพียง 4-4.5%แต่ถ้าในกรณีเลวร้ายมีการปฏิวัติ ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.5-4% ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/12/07
โพสต์ที่ 549
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2551
ในช่วงส่งท้ายปีเช่นนี้ ตามหน้าเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เรามักพบข่าวการพยากรณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้าของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หรือโดยกูรูทางเศรษฐกิจท่านต่างๆ จนเสมือนเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการตกกระแส วันนี้ผมจะพูดถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณ โดยก่อนที่จะพูดถึงแนวโน้มในปี 2551 ผมขอเริ่มจากการทบทวนเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ที่กำลังจะผ่านไปก่อนครับ
เศรษฐกิจไทยในปี 2550 เป็นปีซึ่งเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะปัจจัยที่ไม่สามารถอธิบายด้วยตัวแบบเศรษฐกิจ ทั้งจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาล เช่น มาตรการควบคุมเงินทุนระหว่างประเทศของ ธปท. หรือร่างกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2550 ชะลอตัวจากปีก่อน
จากตัวเลขล่าสุดของสภาพัฒน์ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2550 อยู่ที่ระดับ 4.5% ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 5.1% ในปี 2549 โดยมาจากการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในประเทศต่างๆ เช่น ปัญหาความไม่แน่นอนจากนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของภาคเอกชน
ในขณะที่ปัจจัยที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐบาล และการส่งออกที่สามารถขยายตัวได้ดีแม้จะประสบปัญหาจากค่าเงินบาทที่แข็งตัว โดยการส่งออกได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งเพิ่มบทบาทต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่น ยางพารา ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกของไทย
ผมคาดการณ์ว่าตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยตลอดปี 2550 จะอยู่ที่ระดับ 4.4% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขที่ผมเคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีเมื่อเดือน มี.ค.ที่ระดับ 4.5% และเดือน มิ.ย.ที่ระดับ 4.3%
สำหรับในปี 2551 นี้ผมมองเศรษฐกิจไทยว่าน่าจะมีการขยายตัวที่สูงขึ้นจากปี 2550 โดยผลการพยากรณ์เบื้องต้นจากตัวแบบเศรษฐกิจมหภาคของนิด้า (NIDAs Quarterly Macroeconometric Model) พบว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2551 จะอยู่ที่ระดับ 4.9% ในขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ระดับ 2.3% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 2.1% ใน 11 เดือนแรกของปี 2550 ส่วน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ระดับ 2.4% ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ ณ ระดับประมาณ 33.434.1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยปัจจัยสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งน่าจะปรับตัวเข้าสู่ระดับดุลยภาพที่ควรจะเป็นในระยะยาว หลังจากที่ปรับตัวลดลงจากดุลยภาพด้วยปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมา ข้างต้น
โดยการส่งออกเมื่อคิดตามราคาคงที่น่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าการเกินดุลการค้าน่าจะลดลงเนื่องจากการขยายตัวของการนำเข้าตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และราคาน้ำมันที่น่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากช่วงปลายปีนี้
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในปีหน้า ผมให้น้ำหนักที่ปัจจัยภายในประเทศมากกว่าปัจจัยภายนอกประเทศ
เนื่องจากผมมองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่น่าจะปรับตัวสูงกว่าระดับปัจจุบัน และเศรษฐกิจอเมริกาถึงแม้ว่าจะชะลอตัวลงเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่ไม่น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาอยู่ในสภาวะถดถอย (Recession) ดังที่หลายฝ่ายเป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่น่าติดตามประการหนึ่งซึ่งอาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าได้แก่ การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตามการเพิ่มขึ้นของความต้องการพลังงานทดแทนที่ผลิตจากพืช เช่น ข้าวโพด อ้อย
แต่ในปัจจุบันผมคิดว่ายังเร็วไปที่จะประเมินผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในประเทศ และต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งในประเด็นนี้จะทำการวิเคราะห์และนำเสนอในโอกาสต่อไป โดยอาจส่งผลให้การประมาณการแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะการฟื้นตัวของการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนเข้าสู่ระดับดุลยภาพจะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบายเศรษฐกิจน่าจะคลี่คลายลงในปีหน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210058
ในช่วงส่งท้ายปีเช่นนี้ ตามหน้าเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เรามักพบข่าวการพยากรณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้าของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หรือโดยกูรูทางเศรษฐกิจท่านต่างๆ จนเสมือนเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการตกกระแส วันนี้ผมจะพูดถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณ โดยก่อนที่จะพูดถึงแนวโน้มในปี 2551 ผมขอเริ่มจากการทบทวนเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ที่กำลังจะผ่านไปก่อนครับ
เศรษฐกิจไทยในปี 2550 เป็นปีซึ่งเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะปัจจัยที่ไม่สามารถอธิบายด้วยตัวแบบเศรษฐกิจ ทั้งจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาล เช่น มาตรการควบคุมเงินทุนระหว่างประเทศของ ธปท. หรือร่างกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2550 ชะลอตัวจากปีก่อน
จากตัวเลขล่าสุดของสภาพัฒน์ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2550 อยู่ที่ระดับ 4.5% ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 5.1% ในปี 2549 โดยมาจากการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในประเทศต่างๆ เช่น ปัญหาความไม่แน่นอนจากนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของภาคเอกชน
ในขณะที่ปัจจัยที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐบาล และการส่งออกที่สามารถขยายตัวได้ดีแม้จะประสบปัญหาจากค่าเงินบาทที่แข็งตัว โดยการส่งออกได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งเพิ่มบทบาทต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่น ยางพารา ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกของไทย
ผมคาดการณ์ว่าตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยตลอดปี 2550 จะอยู่ที่ระดับ 4.4% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขที่ผมเคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีเมื่อเดือน มี.ค.ที่ระดับ 4.5% และเดือน มิ.ย.ที่ระดับ 4.3%
สำหรับในปี 2551 นี้ผมมองเศรษฐกิจไทยว่าน่าจะมีการขยายตัวที่สูงขึ้นจากปี 2550 โดยผลการพยากรณ์เบื้องต้นจากตัวแบบเศรษฐกิจมหภาคของนิด้า (NIDAs Quarterly Macroeconometric Model) พบว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2551 จะอยู่ที่ระดับ 4.9% ในขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ระดับ 2.3% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 2.1% ใน 11 เดือนแรกของปี 2550 ส่วน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ระดับ 2.4% ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ ณ ระดับประมาณ 33.434.1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยปัจจัยสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งน่าจะปรับตัวเข้าสู่ระดับดุลยภาพที่ควรจะเป็นในระยะยาว หลังจากที่ปรับตัวลดลงจากดุลยภาพด้วยปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมา ข้างต้น
โดยการส่งออกเมื่อคิดตามราคาคงที่น่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าการเกินดุลการค้าน่าจะลดลงเนื่องจากการขยายตัวของการนำเข้าตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และราคาน้ำมันที่น่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากช่วงปลายปีนี้
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในปีหน้า ผมให้น้ำหนักที่ปัจจัยภายในประเทศมากกว่าปัจจัยภายนอกประเทศ
เนื่องจากผมมองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่น่าจะปรับตัวสูงกว่าระดับปัจจุบัน และเศรษฐกิจอเมริกาถึงแม้ว่าจะชะลอตัวลงเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่ไม่น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาอยู่ในสภาวะถดถอย (Recession) ดังที่หลายฝ่ายเป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่น่าติดตามประการหนึ่งซึ่งอาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าได้แก่ การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตามการเพิ่มขึ้นของความต้องการพลังงานทดแทนที่ผลิตจากพืช เช่น ข้าวโพด อ้อย
แต่ในปัจจุบันผมคิดว่ายังเร็วไปที่จะประเมินผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในประเทศ และต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งในประเด็นนี้จะทำการวิเคราะห์และนำเสนอในโอกาสต่อไป โดยอาจส่งผลให้การประมาณการแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะการฟื้นตัวของการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนเข้าสู่ระดับดุลยภาพจะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบายเศรษฐกิจน่าจะคลี่คลายลงในปีหน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210058
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/12/07
โพสต์ที่ 550
เลิกสู้บาทตลาดสวอป
โพสต์ทูเดย์ ธปท. ปรับยุทธวิธีแทรกแซงเงินบาท จากซื้อสวอป มาเป็นกำเงินบาทซื้อในตลาดทันทีแล้วออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องแทน เหตุต้นทุนสูง ขาดทุนเพียบ
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไปจะลดการดูแลค่าเงินบาท ด้วยวิธีการทำสัญญา ซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) ลงจากนั้นจะหันไปซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดส่งมอบทันที (Spot) ให้มากขึ้น ควบคู่กับการออกพันธบัตรมาดูดซับสภาพคล่องให้มากขึ้น
สาเหตุที่ต้องปรับเปลี่ยน เพราะต้องการลดต้นทุนของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในตลาดสวอป (Swap) ที่มีต้นทุนการดำเนินการที่ค่อนข้างสูงกว่าต้นทุนการซื้อขายในตลาดสปอต จึงคาดว่าจะทำให้ผลการขาดทุนจากค่าเงินบาทลดลง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เมื่อลดการเข้าแทรกแซงค่าเงินในตลาดสวอป ก็ต้องเลิกใช้วิธีไม่ต่ออายุสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Rollover) ที่มีอยู่แล้ว ปรับเปลี่ยน มาเป็นการออกพันธบัตรแทน เพราะตอนนี้ ธปท.ได้วงเงินในการออกพันธบัตร และธปท.เพิ่มเติมงวดล่าสุดแล้ว จากที่กระทรวงการคลังอนุมัติเพิ่มเติมไว้ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวจะต้องพิจารณาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มลดสัญญาการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า แต่ในปีนี้จะยังไม่มีการเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตร เพื่อไม่ต้องการ ให้เกิดผลกระทบกับตลาดพันธบัตรโดยรวม และไม่กระทบกับนโยบายดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ฐานะสุทธิของสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (Forword) ล่าสุด ณ วันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.81 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มีภาระ 1.88 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ด้านกระทรวงการคลังประเมินว่า ปี 2549 ธปท.ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.7 แสนล้านบาท และหากนับถึงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 4 แสนล้านบาท
แหล่งข่าวจากผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า การปรับวิธีการแทรกแซงค่าเงินของ ธปท.ในครั้งนี้ หมายความว่า ธปท.เลิกใช้วิธีการ ทำสัญญาซื้อขายแบบสวอป ซึ่งไม่ต้องใช้เงินมาซื้อ แต่ใช้วิธีการต่อ อายุไปเรื่อยๆ เพื่อพยุงค่าเงิน และเมื่อเงินทะลักเข้ามามากก็ออกพันธบัตรไปดูดเงินไม่ให้ปริมาณเงินมาก เพื่อดูแลเงินเฟ้อตามนโยบาย Inflation Targeting ผลที่ตามมา คือ ขาดทุน 2 เด้ง คือ มีทั้งภาระดอกเบี้ยพันธบัตร และขาดทุนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
สำหรับการตัดสินใจมาซื้อขายในตลาดสปอต หมายถึง การนำเงินบาทไปซื้อเงินเหรียญสหรัฐทันที หากไม่ต้องการให้แข็งค่าเกิน จากนั้นก็จะถือครองเงินเหรียญสหรัฐ และสามารถนำเงินดังกล่าวไปฝากเพื่อกินดอกเบี้ยได้ แม้ว่าจะมีภาระจ่ายดอกเบี้ยจากการดูดซับสภาพคล่องเพื่อดูแลปริมาณเงินก็ตาม แต่ก็มีรายได้มาชดเชยบางส่วน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210030
โพสต์ทูเดย์ ธปท. ปรับยุทธวิธีแทรกแซงเงินบาท จากซื้อสวอป มาเป็นกำเงินบาทซื้อในตลาดทันทีแล้วออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องแทน เหตุต้นทุนสูง ขาดทุนเพียบ
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไปจะลดการดูแลค่าเงินบาท ด้วยวิธีการทำสัญญา ซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) ลงจากนั้นจะหันไปซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดส่งมอบทันที (Spot) ให้มากขึ้น ควบคู่กับการออกพันธบัตรมาดูดซับสภาพคล่องให้มากขึ้น
สาเหตุที่ต้องปรับเปลี่ยน เพราะต้องการลดต้นทุนของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในตลาดสวอป (Swap) ที่มีต้นทุนการดำเนินการที่ค่อนข้างสูงกว่าต้นทุนการซื้อขายในตลาดสปอต จึงคาดว่าจะทำให้ผลการขาดทุนจากค่าเงินบาทลดลง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เมื่อลดการเข้าแทรกแซงค่าเงินในตลาดสวอป ก็ต้องเลิกใช้วิธีไม่ต่ออายุสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Rollover) ที่มีอยู่แล้ว ปรับเปลี่ยน มาเป็นการออกพันธบัตรแทน เพราะตอนนี้ ธปท.ได้วงเงินในการออกพันธบัตร และธปท.เพิ่มเติมงวดล่าสุดแล้ว จากที่กระทรวงการคลังอนุมัติเพิ่มเติมไว้ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวจะต้องพิจารณาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มลดสัญญาการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า แต่ในปีนี้จะยังไม่มีการเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตร เพื่อไม่ต้องการ ให้เกิดผลกระทบกับตลาดพันธบัตรโดยรวม และไม่กระทบกับนโยบายดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ฐานะสุทธิของสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (Forword) ล่าสุด ณ วันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.81 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มีภาระ 1.88 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ด้านกระทรวงการคลังประเมินว่า ปี 2549 ธปท.ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.7 แสนล้านบาท และหากนับถึงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 4 แสนล้านบาท
แหล่งข่าวจากผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า การปรับวิธีการแทรกแซงค่าเงินของ ธปท.ในครั้งนี้ หมายความว่า ธปท.เลิกใช้วิธีการ ทำสัญญาซื้อขายแบบสวอป ซึ่งไม่ต้องใช้เงินมาซื้อ แต่ใช้วิธีการต่อ อายุไปเรื่อยๆ เพื่อพยุงค่าเงิน และเมื่อเงินทะลักเข้ามามากก็ออกพันธบัตรไปดูดเงินไม่ให้ปริมาณเงินมาก เพื่อดูแลเงินเฟ้อตามนโยบาย Inflation Targeting ผลที่ตามมา คือ ขาดทุน 2 เด้ง คือ มีทั้งภาระดอกเบี้ยพันธบัตร และขาดทุนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
สำหรับการตัดสินใจมาซื้อขายในตลาดสปอต หมายถึง การนำเงินบาทไปซื้อเงินเหรียญสหรัฐทันที หากไม่ต้องการให้แข็งค่าเกิน จากนั้นก็จะถือครองเงินเหรียญสหรัฐ และสามารถนำเงินดังกล่าวไปฝากเพื่อกินดอกเบี้ยได้ แม้ว่าจะมีภาระจ่ายดอกเบี้ยจากการดูดซับสภาพคล่องเพื่อดูแลปริมาณเงินก็ตาม แต่ก็มีรายได้มาชดเชยบางส่วน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210030
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/12/07
โพสต์ที่ 551
เอดีบีชูไทยน่าลงทุนกว่าเวียดนาม- จีน
นายฌอง-ปิแอร์ เวอร์บีสท์ ผู้อำนวยการ สำนักงานผู้แทน ประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) บอกว่าจากการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยน่าจะมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในอัตรา 5% ขณะที่แนวโน้มในปีหน้า เอดีบีคาดว่าอัตราการขยายตัวของภาคการส่งออกจะลดลงน้อยกว่าปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐ อเมริกาและจีนอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน การบริโภคของครัวเรือนในประเทศที่ยังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร
ส่วนเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรค การเมืองใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจก็ไม่แตกต่างกัน เพราะ ทุกพรรคคงเข้ามาสานต่อนโยบายโครงการลงทุนขนาดใหญ่ รวมถึงอัดฉีดเงินสู่ภาคชนบท จะแตกต่างกันเพียงวิธีการดำเนินนโยบายเท่านั้น นายเวอร์บีสท์บอกว่า รัฐบาลชุดหน้าควรเร่งจัดทำนโยบายให้ชัดเจน และรีบผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการขนส่งมวลชน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนตาม โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง เพื่อให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
ทั้งนี้เอดีบี ยังมองว่าไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศมากกว่าประเทศเวียดนามหรือจีน แม้จะมีเรื่องการประกาศมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้มีการผ่อนผันไปพอสมควรแล้ว และไม่น่าส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเงินลงทุน โดยสิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นเรื่องของจิตวิทยาเท่านั้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายฌอง-ปิแอร์ เวอร์บีสท์ ผู้อำนวยการ สำนักงานผู้แทน ประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) บอกว่าจากการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยน่าจะมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในอัตรา 5% ขณะที่แนวโน้มในปีหน้า เอดีบีคาดว่าอัตราการขยายตัวของภาคการส่งออกจะลดลงน้อยกว่าปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐ อเมริกาและจีนอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน การบริโภคของครัวเรือนในประเทศที่ยังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร
ส่วนเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรค การเมืองใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจก็ไม่แตกต่างกัน เพราะ ทุกพรรคคงเข้ามาสานต่อนโยบายโครงการลงทุนขนาดใหญ่ รวมถึงอัดฉีดเงินสู่ภาคชนบท จะแตกต่างกันเพียงวิธีการดำเนินนโยบายเท่านั้น นายเวอร์บีสท์บอกว่า รัฐบาลชุดหน้าควรเร่งจัดทำนโยบายให้ชัดเจน และรีบผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการขนส่งมวลชน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนตาม โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง เพื่อให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
ทั้งนี้เอดีบี ยังมองว่าไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศมากกว่าประเทศเวียดนามหรือจีน แม้จะมีเรื่องการประกาศมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้มีการผ่อนผันไปพอสมควรแล้ว และไม่น่าส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเงินลงทุน โดยสิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นเรื่องของจิตวิทยาเท่านั้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/12/07
โพสต์ที่ 552
ส่งออกเดือนพฤศจิกายน พุ่ง 24% รับยอดส่งออกตลาดสหรัฐโต จีนพุ่งต่อ หนุนส่งออก 11 เดือนโต 17.4%
Posted on Thursday, December 20, 2007
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีมูลค่า 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 24.4%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวขึ้น 107%
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบในแง่มูลค่าสกุลเงินบาท จะพบว่า การส่งออกทำได้ 0.499 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดดียวกันปีก่อน 13.8% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 0.439 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.6% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 60,434.9 ล้านบาท ขยายตัว 95.2%
สำหรับสาเหตุที่ทำให้การส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เกิดจาก 2 สาเหตุ คือ การส่งออกไปตลาดสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.7% หลังจากช่วง 3 - 4 เดือนก่อนหน้านั้น ยอดส่งออกหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง และอีกสาเหตุเกิดจากยอดส่งออกในตลาดจีน ขยายตัวเพิ่มอีก 18%
ส่วนภาวะการส่งออก ช่วง11เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าทั้งสิ้น 1.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการนำเข้ามีมูลค่า 1.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ดุลการค้า 11 เดือนแรกปีนี้ เกินุล 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบในแง่มูลค่าสกุลเงินบาท การส่งออก 11 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่า 4.81 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.1% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 4.46 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วง 11 เดือนแรกปีก่อน 1.6% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 0.34 ล้านล้านบาท พลิกผันจากการขาดดุลการค้าในช่วงเดียวกันปีก่อน 5,216 ล้านบาท แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 20, 2007
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีมูลค่า 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 24.4%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวขึ้น 107%
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบในแง่มูลค่าสกุลเงินบาท จะพบว่า การส่งออกทำได้ 0.499 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดดียวกันปีก่อน 13.8% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 0.439 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.6% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 60,434.9 ล้านบาท ขยายตัว 95.2%
สำหรับสาเหตุที่ทำให้การส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เกิดจาก 2 สาเหตุ คือ การส่งออกไปตลาดสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.7% หลังจากช่วง 3 - 4 เดือนก่อนหน้านั้น ยอดส่งออกหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง และอีกสาเหตุเกิดจากยอดส่งออกในตลาดจีน ขยายตัวเพิ่มอีก 18%
ส่วนภาวะการส่งออก ช่วง11เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าทั้งสิ้น 1.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการนำเข้ามีมูลค่า 1.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ดุลการค้า 11 เดือนแรกปีนี้ เกินุล 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบในแง่มูลค่าสกุลเงินบาท การส่งออก 11 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่า 4.81 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.1% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 4.46 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วง 11 เดือนแรกปีก่อน 1.6% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 0.34 ล้านล้านบาท พลิกผันจากการขาดดุลการค้าในช่วงเดียวกันปีก่อน 5,216 ล้านบาท แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/12/07
โพสต์ที่ 553
ต่างชาติปรับพอร์ตอีก 2.5 พันล้านบาท ลดลงจากเมื่อวานครึ่ง เพิ่มยอดขายทั้งเดือนพุ่ง 1.6 หมื่นล้านบาท
Posted on Thursday, December 20, 2007
ต่างชาติขายหุ้น PTT อย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มน้อยลง เฉพาะวันนี้ 2.512 ล้านบาท หดตัวลงจากเมื่อวานครึ่งหนึ่ง แสดงว่า แรงขายใกล้ปิดฉากลงไปแล้ว ส่งผลให้ยอดขายสุทธิทั้งเดือน ทะล 1.65 หมื่นล้านบาท และถึงสิ้นปีไม่เกิด 1.85 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดซื้อสุทธิทั้งปีที่เคยทะลุ 1 แสนล้านบาท วูบลงมาเหลือ 5.4 หมื่นล้านบาท คาดทั้งปีไม่หลุด 5.0 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 7,492.51 ขาย 5,578.71 รวม ซื้อสุทธิ 1,913.80
สถาบันในประเทศ ซื้อ 2,412.13 ขาย 1,813.03 รวม ซื้อสุทธิ 599.10
ต่างประเทศ ซื้อ 3,455.93 ขาย 5,968.83 รวม ขายสุทธิ 2,512.90
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 102,135.58 ขาย 88,606.30 รวม ซื้อสุทธิ 13,529.28
สถาบันในประเทศ ซื้อ 30,797.84 ขาย 27,783.25 รวม ซื้อสุทธิ 3,014.59
ต่างประเทศ ซื้อ 58,291.40 ขาย 74,835.28 รวม ขายสุทธิ 16,543.87
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,125,142.66 ขาย 2,174,008.15 รวม ขายสุทธิ 48,865.49
สถาบันในประเทศ ซื้อ 592,174.44 ขาย 597,492.97 รวม ขายสุทธิ 5,318.53
ต่างประเทศ ซื้อ 1,394,375.64 ขาย 1,340,191.62 รวม ซื้อสุทธิ 54,184.02
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 20, 2007
ต่างชาติขายหุ้น PTT อย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มน้อยลง เฉพาะวันนี้ 2.512 ล้านบาท หดตัวลงจากเมื่อวานครึ่งหนึ่ง แสดงว่า แรงขายใกล้ปิดฉากลงไปแล้ว ส่งผลให้ยอดขายสุทธิทั้งเดือน ทะล 1.65 หมื่นล้านบาท และถึงสิ้นปีไม่เกิด 1.85 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดซื้อสุทธิทั้งปีที่เคยทะลุ 1 แสนล้านบาท วูบลงมาเหลือ 5.4 หมื่นล้านบาท คาดทั้งปีไม่หลุด 5.0 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 7,492.51 ขาย 5,578.71 รวม ซื้อสุทธิ 1,913.80
สถาบันในประเทศ ซื้อ 2,412.13 ขาย 1,813.03 รวม ซื้อสุทธิ 599.10
ต่างประเทศ ซื้อ 3,455.93 ขาย 5,968.83 รวม ขายสุทธิ 2,512.90
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 102,135.58 ขาย 88,606.30 รวม ซื้อสุทธิ 13,529.28
สถาบันในประเทศ ซื้อ 30,797.84 ขาย 27,783.25 รวม ซื้อสุทธิ 3,014.59
ต่างประเทศ ซื้อ 58,291.40 ขาย 74,835.28 รวม ขายสุทธิ 16,543.87
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,125,142.66 ขาย 2,174,008.15 รวม ขายสุทธิ 48,865.49
สถาบันในประเทศ ซื้อ 592,174.44 ขาย 597,492.97 รวม ขายสุทธิ 5,318.53
ต่างประเทศ ซื้อ 1,394,375.64 ขาย 1,340,191.62 รวม ซื้อสุทธิ 54,184.02
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/12/07
โพสต์ที่ 554
"โอฬาร" เสนอปรับสูตรตะกร้าเงินลดขาดทุนแทรกแซง"บาท"
นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวในการสัมมนา" เศรษฐกิจปีใหม่กับรัฐบาลใหม่ "จัดโดยกระทรวงการคลัง วานนี้ ว่า รัฐบาลใหม่ควรที่จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน มาเป็นแบบตะกร้าเงินที่อิงกับเงินสามสกุลหลัก คือ ดอลลาร์ ยูโร และเยน
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง พบว่า ธปท.ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมาสู่ระบบใหม่ดังกล่าวเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นวิธีที่ถูกต้อง และมีผลดีที่ทำให้ค่าบาทมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ ว่าจะเดินแนวทางนี้ต่อไปอีกหรือไม่
เขากล่าวว่า เมื่อพิจารณาทิศทางค่าเงินบาทเทียบกับ 3 สกุล คาดว่าสิ้นปีนี้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์ 1.7% นับจากวันที่ 31 ส.ค.2550 ขณะที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร 0.8% และอ่อนค่าลง 4% เทียบกับเยน และเมื่อกำหนดเป้าค่าเงินบาทเทียบกับ 3 สกุล และหาก ธปท. เปลี่ยนสัดส่วนการถือครองทุนสำรอง โดยหันไปถือครองเงินสกุลอื่น ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินบาท เช่น ค่าเงินยูโรแข็งค่าเทียบกับเงินบาท 5% และเยนแข็งค่าเทียบกับบาท 1% หรือสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าอัตราดอกเบี้ยของไทย โดยอัตราดอกเบี้ยเงินยูโรอยู่ที่ 4% และญี่ปุ่น 0.5% จะทำให้ ธปท. ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 9% จากเงินยูโร และได้กำไร 0.5% จากเงินเยน ซึ่งจะทำให้การขาดทุนจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเหลือเพียง 8,985 ล้านบาท จากที่เคยขาดทุนถึง 120,616 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ส.ค. 2550
นอกจากนี้การดูแลเงินบาทให้แข็งค่าโดยเหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้อีกเครื่องมือหนึ่ง เพราะช่วงที่ผ่านมาการใช้นโยบายเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจไม่ใช่แนวทางลดอัตราเงินเฟ้อได้ เพราะจากเดิมเข้าใจว่าอัตราเงินเฟ้อสูง เพราะมีการลงทุนของภาคเอกชนสูงเกินไป แต่เมื่อสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป แม้จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแต่ภาคเอกชนก็ยังลงทุนอยู่ เพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกลับได้รับผลมาจากราคาน้ำมันแพง ดังนั้นแนวทางการควบคุมเงินเฟ้อควรใช้เครื่องมืออื่นดูแลด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวในการสัมมนา" เศรษฐกิจปีใหม่กับรัฐบาลใหม่ "จัดโดยกระทรวงการคลัง วานนี้ ว่า รัฐบาลใหม่ควรที่จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน มาเป็นแบบตะกร้าเงินที่อิงกับเงินสามสกุลหลัก คือ ดอลลาร์ ยูโร และเยน
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง พบว่า ธปท.ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมาสู่ระบบใหม่ดังกล่าวเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นวิธีที่ถูกต้อง และมีผลดีที่ทำให้ค่าบาทมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ ว่าจะเดินแนวทางนี้ต่อไปอีกหรือไม่
เขากล่าวว่า เมื่อพิจารณาทิศทางค่าเงินบาทเทียบกับ 3 สกุล คาดว่าสิ้นปีนี้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์ 1.7% นับจากวันที่ 31 ส.ค.2550 ขณะที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร 0.8% และอ่อนค่าลง 4% เทียบกับเยน และเมื่อกำหนดเป้าค่าเงินบาทเทียบกับ 3 สกุล และหาก ธปท. เปลี่ยนสัดส่วนการถือครองทุนสำรอง โดยหันไปถือครองเงินสกุลอื่น ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินบาท เช่น ค่าเงินยูโรแข็งค่าเทียบกับเงินบาท 5% และเยนแข็งค่าเทียบกับบาท 1% หรือสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าอัตราดอกเบี้ยของไทย โดยอัตราดอกเบี้ยเงินยูโรอยู่ที่ 4% และญี่ปุ่น 0.5% จะทำให้ ธปท. ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 9% จากเงินยูโร และได้กำไร 0.5% จากเงินเยน ซึ่งจะทำให้การขาดทุนจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเหลือเพียง 8,985 ล้านบาท จากที่เคยขาดทุนถึง 120,616 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ส.ค. 2550
นอกจากนี้การดูแลเงินบาทให้แข็งค่าโดยเหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้อีกเครื่องมือหนึ่ง เพราะช่วงที่ผ่านมาการใช้นโยบายเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจไม่ใช่แนวทางลดอัตราเงินเฟ้อได้ เพราะจากเดิมเข้าใจว่าอัตราเงินเฟ้อสูง เพราะมีการลงทุนของภาคเอกชนสูงเกินไป แต่เมื่อสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป แม้จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแต่ภาคเอกชนก็ยังลงทุนอยู่ เพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกลับได้รับผลมาจากราคาน้ำมันแพง ดังนั้นแนวทางการควบคุมเงินเฟ้อควรใช้เครื่องมืออื่นดูแลด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/12/07
โพสต์ที่ 555
กลยุทธ์ พิชิตหุ้น : เลือกหุ้นพื้นฐานดี [ ฉบับที่ 856 ประจำวันที่ 22-12-2007 ถึง 25-12-2007]
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทย เมื่อวันก่อนปรับตัวลดลง และเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยนักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองว่าภายหลังการเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคมนี้สถานการณ์การเมืองจะมีทิศทางเป็นเช่นใด มีความวุ่นวายหรือไม่ และพรรคการเมืองใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล
ขณะเดียวกันแรงเทขายหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ บมจ.ปตท. (PTT) ที่แม้ล่าสุดศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาให้ PTT เป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป แต่จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กรมธนารักษ์เป็นผู้คำนวณราคาค่าเช่าท่อก๊าซ โดยใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ก็เป็นอีกปัจจัยลบที่นักลงทุนกังวล ต้องจับตาดูว่าเม็ดเงินดังกล่าวที่ PTT ต้องจ่ายให้ภาครัฐเป็นจำนวนเท่าใด
บรรยากาศลงทุนช่วงนี้ไม่คึกคัก มีหลายปัจจัยกดดัน ทั้งความเสี่ยงจากการเมือง และกองทุนต่างประเทศที่เริ่มปรับพอร์ตลงทุนในช่วงปลายปี ก็ส่งผลให้ตลาดฯ ไม่ไปไหนนัก นายถนอมศักดิ์ กล่าว สำหรับทิศทางดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทย มีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่องจากวันนี้ หลังจากไม่มีปัจจัย ข่าวดีกระตุ้นการลงทุน โดยดัชนีฯมีโอกาสปรับลดลงมาทดสอบแนวรับเดิมที่ 800-796 จุด ขณะที่แนวต้านประเมินไว้ที่ 815-820 จุด
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุน ให้เลือกเล่นรายตัวในหุ้นพื้นฐานดี มีอัตราการเติบโต โดยเฉพาะ MINT, KBANK, CPALL, SAT, TOP และ IRP
ขณะที่นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) เปิดเผยว่าดัชนีฯ ในปีหน้าจะเคลื่อนไหวผันผวน แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วน่าจะดีกว่าปีนี้ โดยคาดว่าดัชนีฯ เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 700-1,050 จุด
ทั้งนี้มองว่าปัจจัยภายนอกประเทศจะมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดฯ คือ แนวโน้มอัตรา ดอกเบี้ยของสหรัฐฯซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมกราคม 2551 และปรับ ลดอีก 0.25% ในเดือนมีนาคม 2551 จากแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตามทั้งนายโกสินทร์ และนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ให้ความเห็นตรงกันว่าหุ้นที่มีความน่าสนใจในปีหน้าคือ PTTEP TOP และ KBANK เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีซึ่งคาดว่าในปีหน้า PTTEP จะมีกำไรสุทธิเติบโตถึง 28% จากปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้นและราคาขายทรงตัวใกล้เคียงกับปีนี้
ส่วน TOP จะมีการกำไรสุทธิเติบโต 28% จากปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้นและค่าการกลั่นอ่อนตัวเล็กน้อย ขณะที่ KBANK ยังเป็นธนาคารที่มีอัตราส่วน Gross NPL ต่อสินเชื่อต่ำสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งนี้เศรษฐกิจในปีหน้าน่าจะเติบโตขึ้น ธุรกิจที่น่าจะได้รับประโยชน์ คือ กลุ่มธนาคาร
นอกจากนี้ UOBKH ยังแนะนำหุ้นขนาดเล็กในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการประมูล IPP และการก่อสร้างรถไฟฟ้า อาทิ CK ITD STEC ทั้งนี้ยังแนะนำกลุ่มมีเดีย เช่น BEC และ MCOT เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการปรับผังขึ้นค่าโฆษณา
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9968
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทย เมื่อวันก่อนปรับตัวลดลง และเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยนักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองว่าภายหลังการเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคมนี้สถานการณ์การเมืองจะมีทิศทางเป็นเช่นใด มีความวุ่นวายหรือไม่ และพรรคการเมืองใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล
ขณะเดียวกันแรงเทขายหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ บมจ.ปตท. (PTT) ที่แม้ล่าสุดศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาให้ PTT เป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป แต่จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กรมธนารักษ์เป็นผู้คำนวณราคาค่าเช่าท่อก๊าซ โดยใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ก็เป็นอีกปัจจัยลบที่นักลงทุนกังวล ต้องจับตาดูว่าเม็ดเงินดังกล่าวที่ PTT ต้องจ่ายให้ภาครัฐเป็นจำนวนเท่าใด
บรรยากาศลงทุนช่วงนี้ไม่คึกคัก มีหลายปัจจัยกดดัน ทั้งความเสี่ยงจากการเมือง และกองทุนต่างประเทศที่เริ่มปรับพอร์ตลงทุนในช่วงปลายปี ก็ส่งผลให้ตลาดฯ ไม่ไปไหนนัก นายถนอมศักดิ์ กล่าว สำหรับทิศทางดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทย มีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่องจากวันนี้ หลังจากไม่มีปัจจัย ข่าวดีกระตุ้นการลงทุน โดยดัชนีฯมีโอกาสปรับลดลงมาทดสอบแนวรับเดิมที่ 800-796 จุด ขณะที่แนวต้านประเมินไว้ที่ 815-820 จุด
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุน ให้เลือกเล่นรายตัวในหุ้นพื้นฐานดี มีอัตราการเติบโต โดยเฉพาะ MINT, KBANK, CPALL, SAT, TOP และ IRP
ขณะที่นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) เปิดเผยว่าดัชนีฯ ในปีหน้าจะเคลื่อนไหวผันผวน แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วน่าจะดีกว่าปีนี้ โดยคาดว่าดัชนีฯ เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 700-1,050 จุด
ทั้งนี้มองว่าปัจจัยภายนอกประเทศจะมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดฯ คือ แนวโน้มอัตรา ดอกเบี้ยของสหรัฐฯซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมกราคม 2551 และปรับ ลดอีก 0.25% ในเดือนมีนาคม 2551 จากแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตามทั้งนายโกสินทร์ และนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ให้ความเห็นตรงกันว่าหุ้นที่มีความน่าสนใจในปีหน้าคือ PTTEP TOP และ KBANK เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีซึ่งคาดว่าในปีหน้า PTTEP จะมีกำไรสุทธิเติบโตถึง 28% จากปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้นและราคาขายทรงตัวใกล้เคียงกับปีนี้
ส่วน TOP จะมีการกำไรสุทธิเติบโต 28% จากปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้นและค่าการกลั่นอ่อนตัวเล็กน้อย ขณะที่ KBANK ยังเป็นธนาคารที่มีอัตราส่วน Gross NPL ต่อสินเชื่อต่ำสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งนี้เศรษฐกิจในปีหน้าน่าจะเติบโตขึ้น ธุรกิจที่น่าจะได้รับประโยชน์ คือ กลุ่มธนาคาร
นอกจากนี้ UOBKH ยังแนะนำหุ้นขนาดเล็กในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการประมูล IPP และการก่อสร้างรถไฟฟ้า อาทิ CK ITD STEC ทั้งนี้ยังแนะนำกลุ่มมีเดีย เช่น BEC และ MCOT เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการปรับผังขึ้นค่าโฆษณา
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9968
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/12/07
โพสต์ที่ 556
กสิกรไทยคาดสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นฟื้น ได้แรงหนุนเลือกตั้ง23ธ.ค.
22 ธันวาคม พ.ศ. 2550 14:47:00
กสิกรไทยคาดแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์หน้าฟื้นตัวต่อเนื่อง ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกทางการเมือง หลังเลือกตั้งคาดว่าสถานการณ์เมืองจะมีความชัดเจนขึ้น คาดนแวรับที่ 787 และ 777 แนวต้านที่ 830 และ 846 จุด
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 813.60 จุด ขยับลงร้อยละ 2.7 จากระดับปิดที่ 836.40 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.24 จาก 63,470.42 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 70,608.29 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้นจาก 12,694.08 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ 14,121.66 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ปิดที่ 262.59 จุด ขยับลงร้อยละ 1.6 จาก 266.97 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.8 จากสิ้นปีก่อน
โดยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 10,746.95 และ 1,658.21 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 12,405.19 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลง 4 วันติดต่อกันก่อนฟื้นตัวขึ้นได้ในวันศุกร์ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น ดัชนีปิดตลาดลดลงถึงร้อยละ 2.25 หรือ 18.78 จุด ไปอยู่ที่ 817.62 จุด โดยเป็นการปรับตัวลดลงตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับการผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อ บมจ.ปตท. หลังจากศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้มีการโอนสินทรัพย์บางส่วนคืนกระทรวงการคลัง
ขณะที่หุ้นของรัฐวิสาหกิจตัวอื่นร่วงลงจากความกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันขึ้นอีก ขณะที่ในวันอังคารนั้น นักลงทุนรอผลการประชุมของคณะรัฐมนตรีในรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินของ บมจ.ปตท. ก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังจากที่มีมติให้ บมจ.ปตท.คืนทรัพย์สินในมูลค่าที่น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ แรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันดัชนีอย่างต่อเนื่องในวันพุธและวันพฤหัสบดี ขณะที่นักลงทุนเริ่มมีความระมัดระวังในการเข้าซื้อมากขึ้นก่อนถึงวันเลือกตั้งในสุดสัปดาห์นี้ ส่งผลให้ดัชนีร่วงลงไปปิดที่ 791.71 จุด อันเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นถึง ร้อยละ 2.76 หรือ 21.89 จุดในวันศุกร์ โดยปรับตัวในแดนบวกตลอดวันจากแรงซื้อหุ้นในเกือบทุกกลุ่ม นำโดยหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานที่ร่วงลงไปมากในช่วงที่ผ่านมา โดยนักลงทุนสถาบันเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิ
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า (25-28 ธันวาคม 2550) ตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการในวันจันทร์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีคงจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้ต่อในช่วงต้นสัปดาห์ จากการที่คาดว่าน่าจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนสถาบันเข้าซื้อหุ้น
ขณะที่การซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติคาดว่าจะชะลอลงในช่วงวันหยุดของตลาดหุ้นต่างประเทศ ประกอบกับการคาดการณ์เชิงบวกเกี่ยวกับปัจจัยทางการเมืองที่น่าจะมีความชัดเจนขึ้นหลังทราบผลการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม
อย่างไรก็ตาม ดัชนีอาจจะเผชิญกับแรงขายทำกำไรช่วงกลางสัปดาห์ สำหรับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า ได้แก่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยในวันศุกร์ ทั้งนี้ ทางบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 787-777 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 830 และ 846 จุด ตามลำดับ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=214159
22 ธันวาคม พ.ศ. 2550 14:47:00
กสิกรไทยคาดแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์หน้าฟื้นตัวต่อเนื่อง ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกทางการเมือง หลังเลือกตั้งคาดว่าสถานการณ์เมืองจะมีความชัดเจนขึ้น คาดนแวรับที่ 787 และ 777 แนวต้านที่ 830 และ 846 จุด
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 813.60 จุด ขยับลงร้อยละ 2.7 จากระดับปิดที่ 836.40 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.24 จาก 63,470.42 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 70,608.29 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้นจาก 12,694.08 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ 14,121.66 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ปิดที่ 262.59 จุด ขยับลงร้อยละ 1.6 จาก 266.97 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.8 จากสิ้นปีก่อน
โดยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 10,746.95 และ 1,658.21 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 12,405.19 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลง 4 วันติดต่อกันก่อนฟื้นตัวขึ้นได้ในวันศุกร์ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น ดัชนีปิดตลาดลดลงถึงร้อยละ 2.25 หรือ 18.78 จุด ไปอยู่ที่ 817.62 จุด โดยเป็นการปรับตัวลดลงตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับการผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อ บมจ.ปตท. หลังจากศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้มีการโอนสินทรัพย์บางส่วนคืนกระทรวงการคลัง
ขณะที่หุ้นของรัฐวิสาหกิจตัวอื่นร่วงลงจากความกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันขึ้นอีก ขณะที่ในวันอังคารนั้น นักลงทุนรอผลการประชุมของคณะรัฐมนตรีในรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินของ บมจ.ปตท. ก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังจากที่มีมติให้ บมจ.ปตท.คืนทรัพย์สินในมูลค่าที่น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ แรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันดัชนีอย่างต่อเนื่องในวันพุธและวันพฤหัสบดี ขณะที่นักลงทุนเริ่มมีความระมัดระวังในการเข้าซื้อมากขึ้นก่อนถึงวันเลือกตั้งในสุดสัปดาห์นี้ ส่งผลให้ดัชนีร่วงลงไปปิดที่ 791.71 จุด อันเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นถึง ร้อยละ 2.76 หรือ 21.89 จุดในวันศุกร์ โดยปรับตัวในแดนบวกตลอดวันจากแรงซื้อหุ้นในเกือบทุกกลุ่ม นำโดยหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานที่ร่วงลงไปมากในช่วงที่ผ่านมา โดยนักลงทุนสถาบันเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิ
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า (25-28 ธันวาคม 2550) ตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการในวันจันทร์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีคงจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้ต่อในช่วงต้นสัปดาห์ จากการที่คาดว่าน่าจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนสถาบันเข้าซื้อหุ้น
ขณะที่การซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติคาดว่าจะชะลอลงในช่วงวันหยุดของตลาดหุ้นต่างประเทศ ประกอบกับการคาดการณ์เชิงบวกเกี่ยวกับปัจจัยทางการเมืองที่น่าจะมีความชัดเจนขึ้นหลังทราบผลการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม
อย่างไรก็ตาม ดัชนีอาจจะเผชิญกับแรงขายทำกำไรช่วงกลางสัปดาห์ สำหรับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า ได้แก่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยในวันศุกร์ ทั้งนี้ ทางบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 787-777 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 830 และ 846 จุด ตามลำดับ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=214159
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/12/07
โพสต์ที่ 557
ธุรกิจไทย - ฮ่องกง ปี 2551
24 ธันวาคม พ.ศ. 2550 07:23:00
ส่องกล้องเศรษฐกิจ:ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : จับตาการลงทุนและการท่องเที่ยว
ที่ผ่านมาฮ่องกงถือเป็นเมืองท่าทางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2550 จีดีพีของฮ่องกงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.1 เฉพาะในไตรมาส 2 จีดีพีของฮ่องกงขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.6 อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 3 ปี 2550 จีดีพีของฮ่องกงขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 6.2 เนื่องจากการลงทุนมีการขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 2.0 จากเดิมที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.0 ในไตรมาสก่อนหน้า คาดว่าในปี 2550 จีดีพีของฮ่องกงจะสามารถรักษาระดับอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 6.1
ปัจจุบันเศรษฐกิจของฮ่องกงยังต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศอยู่ค่อนข้างมาก ด้วยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศสูงถึงร้อยละ 340 ของจีดีพี สินค้านำเข้าและส่งออกของฮ่องกงไม่น้อยกว่าร้อย 30 เป็นสินค้าที่ค้าระหว่างจีนและประเทศที่สาม โดยอาศัยฮ่องกงเป็นช่องทางผ่านด่านสินค้า ดังนั้นเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องในปี 2551 จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเกื้อหนุนการส่งออกจากไทยไปฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 คาดว่าเศรษฐกิจฮ่องกงจะยังเผชิญกับความเสี่ยงนานัปการจากปัจจัยภายนอก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าฮ่องกง ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพของสหรัฐ ปัญหาความผันผวนของตลาดหุ้น และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึงการที่รัฐบาลจีนมีการดำเนินนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศลดการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจของฮ่องกง ทำให้คาดว่าจีดีพีของฮ่องกงในปี 2551 อาจขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 5.0 จาก 6.1 ในปี 2550 นี้
ปัจจัยด้านลบเหล่านี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยไปฮ่องกงในปี 2551 และการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงอีกด้วย
แม้ว่าในปี 2550 เงินบาทของไทยจะมีการแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฮ่องกง แต่การส่งออกของไทยไปฮ่องกงยังคงสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงซึ่งนำโดยการบริโภคภายในประเทศ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี สินค้าที่ไทยสามารถส่งออกไปฮ่องกงคิดเป็นมูลค่ารวม 7,038.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.6 สินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมโดยคิดเป็นร้อยละ 90.8 ในขณะที่สินค้าเกษตรกรรมคิดเป็นร้อยละ 5.2 เท่านั้น
ด้านการนำเข้า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2550 ไทยนำเข้าจากฮ่องกงคิดเป็นมูลค่ารวม 1,209.1 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.7 กลุ่มสินค้าที่ไทยนำเข้าจากฮ่องกงมากที่สุดได้แก่ สินค้ากึ่งวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ด้วยมูลค่าการนำเข้า 682.8 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 21.2
แนวโน้มการนำเข้าและส่งออกในปี 2551 ระหว่างไทย- ฮ่องกง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกของไทยไปฮ่องกงอาจชะลอตัวลง จากการคาดการณ์ว่าจีดีพีของฮ่องกงจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ส่วนการนำเข้าจากฮ่องกงอาจขยายตัวได้เล็กน้อย เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของไทยจะกระเตื้องขึ้นในปี 2551 หลังมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2550
ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการจากฮ่องกงได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยค่อนข้างมาก ในปี 2549 โครงการที่มีแหล่งเงินทุนจากฮ่องกงที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI มีมูลค่าโครงการรวม 10,031 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 5 รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และไต้หวัน นอกจากนี้ในช่วงเดือน ม.ค. - ต.ค. 2550 ไทยก็ยังสามารถดึงดูดนักลงทุนจากฮ่องกงให้มาลงทุนในไทยได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเงินบาทจะมีการแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฮ่องกงก็ตาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าการลงทุนจากฮ่องกงในปี 2551 จะยังคงขยายตัวได้ตามภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจฮ่องกงและจีน โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอ อุตสาหกรรมภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การท่องเที่ยวก็เป็นอีกหนึ่งภาคธุรกิจที่ไทยจะได้รับประโยชน์เช่นกันจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงที่ผ่านมาไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ชาวฮ่องกงนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว เฉพาะในปี 2548 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยสูงถึง 438,519 คน จากประชากรทั้งหมด 6.9 ล้านคน และทำให้มีรายได้เข้าประเทศสูงถึง 9.1 พันล้านบาท และในปี 2549 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่เดินทางมาไทยในปี 2549 เพิ่มเป็น 463,339 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.66
อย่างไรก็ตามจากตัวเลขเบื้องต้นคาดว่าในปี 2550 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่เดินทางมาประเทศไทยอาจจะลดลงจากปีก่อน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาวะการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ในขณะเดียวกันปัญหาทางการเมืองภายในประเทศก็ทำให้ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยลดน้อยลง
แม้ว่าในปี 2550 เงินบาทของไทยจะมีการแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฮ่องกง แต่การส่งออกของไทยไปฮ่องกงยังคงสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงซึ่งนำโดยการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยกสิกรคาดว่าในปี 2551 การส่งออกของไทยไปฮ่องกงอาจชะลอตัวลง จากการคาดการณ์ว่าจีดีพีของฮ่องกงอาจขยายตัวลดลงจากร้อยละ 6.1 ในปี 2550 เหลือเพียงร้อยละ 5.0 ในปี 2551 นี้ อย่างไรก็ตามธุรกิจการค้าระหว่างไทย-ฮ่องกงยังมีโอกาสขยายตัวได้ในด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว
ทั้งนี้รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับโอกาสทางธุรกิจระหว่างไทย-ฮ่องกงอย่างเร่งด่วน และการวางแผนกระตุ้นการลงทุนและการท่องเที่ยวจากฮ่องกง ควรจะเปิดโอกาสให้ทุกหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และควรตระหนักถึงความสำคัญในการวางแผนดังกล่าวสำหรับระยะยาว เพื่อเกื้อหนุนให้การค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างไทย-ฮ่องกง สามารถขยายตัวอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=214425
24 ธันวาคม พ.ศ. 2550 07:23:00
ส่องกล้องเศรษฐกิจ:ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : จับตาการลงทุนและการท่องเที่ยว
ที่ผ่านมาฮ่องกงถือเป็นเมืองท่าทางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2550 จีดีพีของฮ่องกงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.1 เฉพาะในไตรมาส 2 จีดีพีของฮ่องกงขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.6 อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 3 ปี 2550 จีดีพีของฮ่องกงขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 6.2 เนื่องจากการลงทุนมีการขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 2.0 จากเดิมที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.0 ในไตรมาสก่อนหน้า คาดว่าในปี 2550 จีดีพีของฮ่องกงจะสามารถรักษาระดับอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 6.1
ปัจจุบันเศรษฐกิจของฮ่องกงยังต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศอยู่ค่อนข้างมาก ด้วยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศสูงถึงร้อยละ 340 ของจีดีพี สินค้านำเข้าและส่งออกของฮ่องกงไม่น้อยกว่าร้อย 30 เป็นสินค้าที่ค้าระหว่างจีนและประเทศที่สาม โดยอาศัยฮ่องกงเป็นช่องทางผ่านด่านสินค้า ดังนั้นเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องในปี 2551 จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเกื้อหนุนการส่งออกจากไทยไปฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 คาดว่าเศรษฐกิจฮ่องกงจะยังเผชิญกับความเสี่ยงนานัปการจากปัจจัยภายนอก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าฮ่องกง ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพของสหรัฐ ปัญหาความผันผวนของตลาดหุ้น และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึงการที่รัฐบาลจีนมีการดำเนินนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศลดการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจของฮ่องกง ทำให้คาดว่าจีดีพีของฮ่องกงในปี 2551 อาจขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 5.0 จาก 6.1 ในปี 2550 นี้
ปัจจัยด้านลบเหล่านี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยไปฮ่องกงในปี 2551 และการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงอีกด้วย
แม้ว่าในปี 2550 เงินบาทของไทยจะมีการแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฮ่องกง แต่การส่งออกของไทยไปฮ่องกงยังคงสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงซึ่งนำโดยการบริโภคภายในประเทศ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี สินค้าที่ไทยสามารถส่งออกไปฮ่องกงคิดเป็นมูลค่ารวม 7,038.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.6 สินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมโดยคิดเป็นร้อยละ 90.8 ในขณะที่สินค้าเกษตรกรรมคิดเป็นร้อยละ 5.2 เท่านั้น
ด้านการนำเข้า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2550 ไทยนำเข้าจากฮ่องกงคิดเป็นมูลค่ารวม 1,209.1 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.7 กลุ่มสินค้าที่ไทยนำเข้าจากฮ่องกงมากที่สุดได้แก่ สินค้ากึ่งวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ด้วยมูลค่าการนำเข้า 682.8 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 21.2
แนวโน้มการนำเข้าและส่งออกในปี 2551 ระหว่างไทย- ฮ่องกง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกของไทยไปฮ่องกงอาจชะลอตัวลง จากการคาดการณ์ว่าจีดีพีของฮ่องกงจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ส่วนการนำเข้าจากฮ่องกงอาจขยายตัวได้เล็กน้อย เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของไทยจะกระเตื้องขึ้นในปี 2551 หลังมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2550
ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการจากฮ่องกงได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยค่อนข้างมาก ในปี 2549 โครงการที่มีแหล่งเงินทุนจากฮ่องกงที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI มีมูลค่าโครงการรวม 10,031 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 5 รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และไต้หวัน นอกจากนี้ในช่วงเดือน ม.ค. - ต.ค. 2550 ไทยก็ยังสามารถดึงดูดนักลงทุนจากฮ่องกงให้มาลงทุนในไทยได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเงินบาทจะมีการแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฮ่องกงก็ตาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าการลงทุนจากฮ่องกงในปี 2551 จะยังคงขยายตัวได้ตามภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจฮ่องกงและจีน โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอ อุตสาหกรรมภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การท่องเที่ยวก็เป็นอีกหนึ่งภาคธุรกิจที่ไทยจะได้รับประโยชน์เช่นกันจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงที่ผ่านมาไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ชาวฮ่องกงนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว เฉพาะในปี 2548 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยสูงถึง 438,519 คน จากประชากรทั้งหมด 6.9 ล้านคน และทำให้มีรายได้เข้าประเทศสูงถึง 9.1 พันล้านบาท และในปี 2549 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่เดินทางมาไทยในปี 2549 เพิ่มเป็น 463,339 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.66
อย่างไรก็ตามจากตัวเลขเบื้องต้นคาดว่าในปี 2550 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่เดินทางมาประเทศไทยอาจจะลดลงจากปีก่อน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาวะการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ในขณะเดียวกันปัญหาทางการเมืองภายในประเทศก็ทำให้ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยลดน้อยลง
แม้ว่าในปี 2550 เงินบาทของไทยจะมีการแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฮ่องกง แต่การส่งออกของไทยไปฮ่องกงยังคงสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงซึ่งนำโดยการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยกสิกรคาดว่าในปี 2551 การส่งออกของไทยไปฮ่องกงอาจชะลอตัวลง จากการคาดการณ์ว่าจีดีพีของฮ่องกงอาจขยายตัวลดลงจากร้อยละ 6.1 ในปี 2550 เหลือเพียงร้อยละ 5.0 ในปี 2551 นี้ อย่างไรก็ตามธุรกิจการค้าระหว่างไทย-ฮ่องกงยังมีโอกาสขยายตัวได้ในด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว
ทั้งนี้รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับโอกาสทางธุรกิจระหว่างไทย-ฮ่องกงอย่างเร่งด่วน และการวางแผนกระตุ้นการลงทุนและการท่องเที่ยวจากฮ่องกง ควรจะเปิดโอกาสให้ทุกหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และควรตระหนักถึงความสำคัญในการวางแผนดังกล่าวสำหรับระยะยาว เพื่อเกื้อหนุนให้การค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างไทย-ฮ่องกง สามารถขยายตัวอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=214425
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/12/07
โพสต์ที่ 558
คลังห่วงเงินเฟ้อ ปี 51 พุ่ง 4 %
โดย Post Digital 25 ธันวาคม 2550 14:11 น.
คลัง ห่วงอัตราเงินเฟ้อในปี 2551 อาจสูงถึงร้อยละ 4 ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและราคาสินค้า เผยเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน ยังขยายตัวได้ดี โดยการส่งออกมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2550 สามารถขยายตัวได้ดี โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวร้อยละ 24.4 ต่อปี ขณะที่การนำเข้าปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีมูลค่า 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวร้อยละ 17.4 ทำให้ดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่อง 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนเร่งตัวขึ้น โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวร้อยละ 11.3 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ปรับขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 13 เดือน มาอยู่ที่ 69.3 ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังมีความสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยรายจ่ายงบประมาณในเดือนพฤศจิกายน เบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 127,000 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 14 ขณะที่การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังไม่ฟื้นเต็มที่ โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนหดตัวลงที่ร้อยละ 11.7 ซึ่งหากหักมูลค่าการนำเข้าเครื่องบินที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 7.4 ขณะที่การจำหน่ายรถยนต์ขยายตัวร้อยละ 5.5
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 3 เพิ่มจากร้อยละ 2.5 ในเดือนตุลาคม ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ร้อยละ 1.1 จากร้อยละ 1 ซึ่งหากราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูง คาดว่าปี 2551 ราคาน้ำมันจะอยู่ประมาณ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐ และราคาสินค้าปรับขึ้นหลังปีใหม่อัตราเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อมากที่สุดคือ ราคาน้ำมัน ซึ่งยังไม่น่าไว้วางใจ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทรงตัวระดับสูงที่ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล บวกกับแรงกดดันจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน และเงินเดือนข้าราชการ ทำให้เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นถึงร้อยละ 4 นางพรรณี กล่าว
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=210998
โดย Post Digital 25 ธันวาคม 2550 14:11 น.
คลัง ห่วงอัตราเงินเฟ้อในปี 2551 อาจสูงถึงร้อยละ 4 ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและราคาสินค้า เผยเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน ยังขยายตัวได้ดี โดยการส่งออกมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2550 สามารถขยายตัวได้ดี โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวร้อยละ 24.4 ต่อปี ขณะที่การนำเข้าปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีมูลค่า 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวร้อยละ 17.4 ทำให้ดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่อง 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนเร่งตัวขึ้น โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวร้อยละ 11.3 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ปรับขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 13 เดือน มาอยู่ที่ 69.3 ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังมีความสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยรายจ่ายงบประมาณในเดือนพฤศจิกายน เบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 127,000 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 14 ขณะที่การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังไม่ฟื้นเต็มที่ โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนหดตัวลงที่ร้อยละ 11.7 ซึ่งหากหักมูลค่าการนำเข้าเครื่องบินที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 7.4 ขณะที่การจำหน่ายรถยนต์ขยายตัวร้อยละ 5.5
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 3 เพิ่มจากร้อยละ 2.5 ในเดือนตุลาคม ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ร้อยละ 1.1 จากร้อยละ 1 ซึ่งหากราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูง คาดว่าปี 2551 ราคาน้ำมันจะอยู่ประมาณ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐ และราคาสินค้าปรับขึ้นหลังปีใหม่อัตราเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อมากที่สุดคือ ราคาน้ำมัน ซึ่งยังไม่น่าไว้วางใจ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทรงตัวระดับสูงที่ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล บวกกับแรงกดดันจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน และเงินเดือนข้าราชการ ทำให้เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นถึงร้อยละ 4 นางพรรณี กล่าว
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=210998
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/12/07
โพสต์ที่ 559
หุ้นไทยจ่อทะยานต่อ รอปชป.ตั้งรัฐบาล โดย กระแสหุ้น
ดัชนีหุ้นไทยทะยานต่อ ถ้า"ประชาธิปัตย์" ได้ตั้งรัฐบาล ส่งผลการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจฟื้น ต่างชาติกลับมาลงทุน เกิดแจนยัวรี่เอ็ฟเฟ็ก หวั่นพลังประชาชนได้เป็นแกนจัดตั้ง ประชาชนต่อต้านกดดันบรรยากาศลงทุน แต่วงการคาดไม่มีทางเกิดขึ้น แม้ชนะเลือกตั้ง เพราะจะถูกโดดเดี่ยวจากพรรคอื่น ระวัง!กองทุนทำวินโดว์เดรสซิ่งส่งท้ายปี หลังซื้อสุทธิต่อเนื่องเกือบ 5 พันล้านบาท
ภาวะการลงทุนหลังการเลือกตั้งดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ โดยหลายฝ่ายมองว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นมากกว่า เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะราบรื่นและไม่ก่อให้เกิดความวุนวาย แต่ถ้าพรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลายฝ่ายเกรงว่าอาจจะมีประชาชนออกมาต่อต้าน ซึ่งจะทำให้ปัญหาการเมืองยืดเยื้อและส่งผลลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าพรรคพลังประชาชนไม่น่าจะได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะแม้จะชนะการเลือกตั้ง แต่ในที่สุดก็จะถูกโดดเดี่ยวจากพรรคการเมืองอื่นจนไม่มีเสียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ และจะกลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่จะได้ขึ้นมาเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลแทน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในช่วงปลายปี คือการทำตัวเลขเพื่อปิดงบของกองทุน(วินโดว์เดรสซิ่ง) ซึ่งจากตัวเลขการลงทุนของนักลงทุนสถาบันตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาพบว่ามียอดซื้อสุทธิต่อเนื่องรวม 4,219.92 ล้านบาท ขณะที่สัปดาห์ก่อนมียอดซื้อสุทธิรวม 3,188.85 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กองทุนจะเริ่มขายหุ้นออกมา
นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟิลลิป(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ภาวะการลงทุนหลังการเลือกตั้งดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ โดยเฉพาะถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลและสามารถจัดตั้งได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าพรรคพลังประชาชนได้จัดตั้งรัฐบาลหลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะมีคนออกมาต่อต้าน ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในประเทศและจะไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตามมองว่าไม่ว่าพรรคใดได้จัดตั้งรัฐบาล หากบ้านเมืองสงบ ไม่มีการต่อต้านก็จะส่งผลดีต่อการลงทุนทั้งสิ้น หลังจากนั้นก็ต้องมาดูว่ารัฐบาลใหม่ที่จัดตั้งขึ้นจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างไร โดยมองว่าดัชนีสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 840 จุด ส่วนปีหน้ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 1,010 จุด โดยในเดือนมกราคมปีหน้าอาจจะมีปรากฎการณ์หุ้นขึ้นร้อนแรง(แจนยัวรี่เอ็ฟเฟ็ก)ได้
นักวิเคราะห์บล.ยูไนเต็ด จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้งไปจนถึงต้นปี 51 ยังมีความผันผวนต่อเนื่อง แม้ว่าผลเลือกตั้งจะสรุปออกมาแล้วก็ตาม โดยมองว่าหุ้นไทยยังมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอยู่ โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลจะเรียบร้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ หากรัฐบาลนำทีมโดยพรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นไปได้ที่ภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีตอบสนอง และดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แต่หากเป็นผลออกมาและอีกพรรคได้รับตำแหน่งอาจจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้ เนื่องจาก นักลงทุนขาดความมั่นใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพรรคการเมืองดังกล่าวมีประเด็นที่ทำให้สถานการณ์ไม่ราบรื่นได้ ทั้งในเรื่องของการยุบ คตส. การเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีของนักการเมืองทั้ง 111 คน รวมไปถึงการยกเลิกคมช. ซึ่งประเด็นเหล่านี้อาจส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองไม่นิ่ง ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ ก็เป็นไปได้ว่าดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ที่ระดับ 900-1,000 จุดได้และยาวต่อเนื่อง สำหรับหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน มองว่ามี 3 กลุ่มด้วยกัน คือ หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหลังการเลือกตั้งและช่วงปี 51 เศรษฐกิจน่าจะขยับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าวทั้งทางตรงและอ้อมโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่นอกจากได้รับผลดีจากเศรษฐกิจขยายตัวแล้ว ปีหน้าไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองIAS 39 อีก ซึ่งจะพลิกกลับมามีกำไรสูงขึ้น
นักวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยหลังเลือกยังคงแกว่งตัวอยู่ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติพักการลงทุนในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ในช่วงต้นปี 51 ดังนั้น จึงไม่สามารถคาดสถานการณ์ได้แน่ชัดว่าดัชนีการซื้อขายหลักทรัพย์จะผันผวนมากน้อยขนาดไหน แม้สถานการณ์การเลือกตั้งเป็นบวกก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดัชนีหุ้นทยานขึ้นมาก
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจมองว่ายังเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะจากที่ประเมินสถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนทั้งของต่างชาติและไทยส่วนใหญ่สนใจหุ้นกลุ่มดังกล่าวอยู่แล้ว ที่สำคัญหุ้นกลุ่มนี้ราคาหุ้นนับว่าถูกอยู่มาก ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอุปโภคและบริโภคก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาจะสานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อแน่นอน ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ มีโอกาสที่กองทุนต่างๆจะทำวินโดว์เดสซิ่งในช่วงสัปดาห์นี้ (25-28 ธ.ค.2550 ) ถ้าสถานการณ์หลังการเลือกตั้งเป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยราบเรียบนัก ซึ่งผลดังกล่าวอาจทำให้ภาวะตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดี และเป็นโอกาสที่กองทุนจะหันมาทำวินโดว์เดสซิ่ง เพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย(NAV)อยู่ในระดับดี
โดยมองว่าถ้ากองทุนทำวินโดว์เดสซิ่งน่าจะเป็นการเข้าไปทยอยซื้อหลักทรัพย์ต่างๆเป็นหลัก และจะเน้นในหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ตกองทุน รวมไปถึงหลักทรัพย์อื่นที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป และมีพื้นฐานดีด้วย
นักวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่กองทุนจะทำวินโดว์เดสซิ่งสัปดาห์นี้ (25-28 ธ.ค.50) ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นทุกไตรมาสและทุกปี ทั้งนี้ การทำวินโดว์เดสซิ่งนี้คาดว่าจะเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ตของแต่ละกองทุน และมองว่าน่าจะเป็นหลักทรัพย์ตัวเล็กมากกว่าตัวใหญ่
นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 50 มองว่าไม่น่าจะปรับตัวได้ถึง 1,000 จุด แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการรวมไปถึงได้รัฐบาลชุดใหม่เรียบร้อยแล้วก็ตาม เนื่องจากยังมีปัจจัยลบภายนอกประเทศเข้ามาต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำหรับดัชนีหุ้นไทยช่วงต้นปี 51 น่าจะอยู่ในระดับ 850-870 จุด โดยกรอบดัชนีนี้จะยาวไปจนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 51 ส่วนสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยช่วงปี 51 ไม่ถึง 1,000 จุด เนื่องจากปัญหาซับไพร์มในประเทศสหรัฐอเมริกายังผันผวนอยู่ ซึ่งยังไม่สามารถหาข้อสรุปจากปัญหานี้ได้ชัดเจนนัก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศไทยนับว่ายังดีต่อเนื่อง แม้ว่าดัชนีจะไม่ถึง 1,000 จุดก็ตาม เพราะอย่างน้อยช่วงปีหน้าตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาสานงานต่อ
สำหรับปัจจัยลบช่วงปีหน้ายังคงเป็นเรื่องของสถานการทางการเมืองไทยหลังการมีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวนต่อเนื่อง และอีกปัจจัยคือภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัญหาซับไพร์ม
นายณสุ กล่าวว่า สำหรับหุ้นที่น่าสนใจยังคงมองหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นตัวหลักอยู่ นอกจากนี้ก็จะหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หุ้นกลุ่มรถยนต์ และหุ้นที่มีปันผลดี เนื่องจากเชื่อว่าการมีรัฐบาลชุดใหม่จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้น และจะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 10-15% ที่สำคัญประเทศไทยถือเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากของแถบเอเชีย เพราะจากที่ประเมินดูเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยจำนวนมากและต่อเนื่อง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
ดัชนีหุ้นไทยทะยานต่อ ถ้า"ประชาธิปัตย์" ได้ตั้งรัฐบาล ส่งผลการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจฟื้น ต่างชาติกลับมาลงทุน เกิดแจนยัวรี่เอ็ฟเฟ็ก หวั่นพลังประชาชนได้เป็นแกนจัดตั้ง ประชาชนต่อต้านกดดันบรรยากาศลงทุน แต่วงการคาดไม่มีทางเกิดขึ้น แม้ชนะเลือกตั้ง เพราะจะถูกโดดเดี่ยวจากพรรคอื่น ระวัง!กองทุนทำวินโดว์เดรสซิ่งส่งท้ายปี หลังซื้อสุทธิต่อเนื่องเกือบ 5 พันล้านบาท
ภาวะการลงทุนหลังการเลือกตั้งดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ โดยหลายฝ่ายมองว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นมากกว่า เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะราบรื่นและไม่ก่อให้เกิดความวุนวาย แต่ถ้าพรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลายฝ่ายเกรงว่าอาจจะมีประชาชนออกมาต่อต้าน ซึ่งจะทำให้ปัญหาการเมืองยืดเยื้อและส่งผลลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าพรรคพลังประชาชนไม่น่าจะได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะแม้จะชนะการเลือกตั้ง แต่ในที่สุดก็จะถูกโดดเดี่ยวจากพรรคการเมืองอื่นจนไม่มีเสียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ และจะกลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่จะได้ขึ้นมาเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลแทน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในช่วงปลายปี คือการทำตัวเลขเพื่อปิดงบของกองทุน(วินโดว์เดรสซิ่ง) ซึ่งจากตัวเลขการลงทุนของนักลงทุนสถาบันตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาพบว่ามียอดซื้อสุทธิต่อเนื่องรวม 4,219.92 ล้านบาท ขณะที่สัปดาห์ก่อนมียอดซื้อสุทธิรวม 3,188.85 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กองทุนจะเริ่มขายหุ้นออกมา
นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟิลลิป(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ภาวะการลงทุนหลังการเลือกตั้งดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ โดยเฉพาะถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลและสามารถจัดตั้งได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าพรรคพลังประชาชนได้จัดตั้งรัฐบาลหลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะมีคนออกมาต่อต้าน ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในประเทศและจะไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตามมองว่าไม่ว่าพรรคใดได้จัดตั้งรัฐบาล หากบ้านเมืองสงบ ไม่มีการต่อต้านก็จะส่งผลดีต่อการลงทุนทั้งสิ้น หลังจากนั้นก็ต้องมาดูว่ารัฐบาลใหม่ที่จัดตั้งขึ้นจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างไร โดยมองว่าดัชนีสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 840 จุด ส่วนปีหน้ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 1,010 จุด โดยในเดือนมกราคมปีหน้าอาจจะมีปรากฎการณ์หุ้นขึ้นร้อนแรง(แจนยัวรี่เอ็ฟเฟ็ก)ได้
นักวิเคราะห์บล.ยูไนเต็ด จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้งไปจนถึงต้นปี 51 ยังมีความผันผวนต่อเนื่อง แม้ว่าผลเลือกตั้งจะสรุปออกมาแล้วก็ตาม โดยมองว่าหุ้นไทยยังมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอยู่ โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลจะเรียบร้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ หากรัฐบาลนำทีมโดยพรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นไปได้ที่ภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีตอบสนอง และดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แต่หากเป็นผลออกมาและอีกพรรคได้รับตำแหน่งอาจจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้ เนื่องจาก นักลงทุนขาดความมั่นใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพรรคการเมืองดังกล่าวมีประเด็นที่ทำให้สถานการณ์ไม่ราบรื่นได้ ทั้งในเรื่องของการยุบ คตส. การเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีของนักการเมืองทั้ง 111 คน รวมไปถึงการยกเลิกคมช. ซึ่งประเด็นเหล่านี้อาจส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองไม่นิ่ง ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ ก็เป็นไปได้ว่าดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ที่ระดับ 900-1,000 จุดได้และยาวต่อเนื่อง สำหรับหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน มองว่ามี 3 กลุ่มด้วยกัน คือ หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหลังการเลือกตั้งและช่วงปี 51 เศรษฐกิจน่าจะขยับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าวทั้งทางตรงและอ้อมโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่นอกจากได้รับผลดีจากเศรษฐกิจขยายตัวแล้ว ปีหน้าไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองIAS 39 อีก ซึ่งจะพลิกกลับมามีกำไรสูงขึ้น
นักวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยหลังเลือกยังคงแกว่งตัวอยู่ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติพักการลงทุนในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ในช่วงต้นปี 51 ดังนั้น จึงไม่สามารถคาดสถานการณ์ได้แน่ชัดว่าดัชนีการซื้อขายหลักทรัพย์จะผันผวนมากน้อยขนาดไหน แม้สถานการณ์การเลือกตั้งเป็นบวกก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดัชนีหุ้นทยานขึ้นมาก
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจมองว่ายังเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะจากที่ประเมินสถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนทั้งของต่างชาติและไทยส่วนใหญ่สนใจหุ้นกลุ่มดังกล่าวอยู่แล้ว ที่สำคัญหุ้นกลุ่มนี้ราคาหุ้นนับว่าถูกอยู่มาก ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอุปโภคและบริโภคก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาจะสานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อแน่นอน ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ มีโอกาสที่กองทุนต่างๆจะทำวินโดว์เดสซิ่งในช่วงสัปดาห์นี้ (25-28 ธ.ค.2550 ) ถ้าสถานการณ์หลังการเลือกตั้งเป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยราบเรียบนัก ซึ่งผลดังกล่าวอาจทำให้ภาวะตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดี และเป็นโอกาสที่กองทุนจะหันมาทำวินโดว์เดสซิ่ง เพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย(NAV)อยู่ในระดับดี
โดยมองว่าถ้ากองทุนทำวินโดว์เดสซิ่งน่าจะเป็นการเข้าไปทยอยซื้อหลักทรัพย์ต่างๆเป็นหลัก และจะเน้นในหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ตกองทุน รวมไปถึงหลักทรัพย์อื่นที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป และมีพื้นฐานดีด้วย
นักวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่กองทุนจะทำวินโดว์เดสซิ่งสัปดาห์นี้ (25-28 ธ.ค.50) ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นทุกไตรมาสและทุกปี ทั้งนี้ การทำวินโดว์เดสซิ่งนี้คาดว่าจะเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ตของแต่ละกองทุน และมองว่าน่าจะเป็นหลักทรัพย์ตัวเล็กมากกว่าตัวใหญ่
นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 50 มองว่าไม่น่าจะปรับตัวได้ถึง 1,000 จุด แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการรวมไปถึงได้รัฐบาลชุดใหม่เรียบร้อยแล้วก็ตาม เนื่องจากยังมีปัจจัยลบภายนอกประเทศเข้ามาต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำหรับดัชนีหุ้นไทยช่วงต้นปี 51 น่าจะอยู่ในระดับ 850-870 จุด โดยกรอบดัชนีนี้จะยาวไปจนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 51 ส่วนสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยช่วงปี 51 ไม่ถึง 1,000 จุด เนื่องจากปัญหาซับไพร์มในประเทศสหรัฐอเมริกายังผันผวนอยู่ ซึ่งยังไม่สามารถหาข้อสรุปจากปัญหานี้ได้ชัดเจนนัก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศไทยนับว่ายังดีต่อเนื่อง แม้ว่าดัชนีจะไม่ถึง 1,000 จุดก็ตาม เพราะอย่างน้อยช่วงปีหน้าตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาสานงานต่อ
สำหรับปัจจัยลบช่วงปีหน้ายังคงเป็นเรื่องของสถานการทางการเมืองไทยหลังการมีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวนต่อเนื่อง และอีกปัจจัยคือภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัญหาซับไพร์ม
นายณสุ กล่าวว่า สำหรับหุ้นที่น่าสนใจยังคงมองหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นตัวหลักอยู่ นอกจากนี้ก็จะหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หุ้นกลุ่มรถยนต์ และหุ้นที่มีปันผลดี เนื่องจากเชื่อว่าการมีรัฐบาลชุดใหม่จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้น และจะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 10-15% ที่สำคัญประเทศไทยถือเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากของแถบเอเชีย เพราะจากที่ประเมินดูเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยจำนวนมากและต่อเนื่อง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 560
สัญญาณเตือน
ดุลเงินสด ถือเป็นเครื่องชี้ฐานะทางการคลังอย่างหนึ่งของรัฐบาล หาก ติดตัวแดง หมายถึงรายได้ในกระเป๋าของรัฐบาลมีน้อยกว่ารายจ่ายที่ออกไป
รายได้ ก็จะประกอบด้วย ภาษีอากรที่เข้าคลัง เงินกู้ ตั๋วเงินคลัง และ พันธบัตรที่รัฐบาลออกเพื่อระดมทุน
ขณะที่ รายจ่าย จะครอบคลุมทั้งรายจ่ายใน พ.ร.บ.งบประมาณ และ นอกงบประมาณ
ที่ผ่านมา ดุลเงินสดของประเทศไทยเกินดุลมาหลายปี กระทั่งในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการใช้เงินแบบมือเติบเพื่อหวังผลการเมืองและเศรษฐกิจ
มีการอัดฉีดเงินผ่านโครงการ ประชานิยม จำนวนมาก แต่สุดท้ายต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่คาดคิด เช่น กรณีอุทกภัย หรือ แผ่นดินถล่ม ส่งผลให้รัฐบาลอยู่ในสภาพขาดดุลเงินสดในบางช่วงเวลา เรื่อยมาจนถึงในช่วงปี 2549 ที่เศรษฐกิจเริ่มได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง
จนมาถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณมาก เนื่องจาก ภาคเอกชน ไม่กล้าลงทุน เพราะไม่มั่นใจกับอนาคตทางการเมือง
การเร่งเบิกจ่ายจนไม่สมดุลกับรายได้ในบางเดือน ทำให้ดุลเงินสดติดตัวแดง และ ต้องนำเงินคงคลังหรือ กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้ที่ยังไม่เข้ามา
จริงๆ แล้วระบบที่กระทรวงการคลัง ใช้อยู่นี้ค่อนข้างดี เป็นระบบ ที่ สร้างสัญญาณเตือน ว่ากระแสเงินสดในกระเป๋ารัฐบาลช่วงเวลานั้นๆ เป็นอย่างไร แต่นักการเมืองไม่ค่อย จะฟัง!!!
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 351&ch=222
ดุลเงินสด ถือเป็นเครื่องชี้ฐานะทางการคลังอย่างหนึ่งของรัฐบาล หาก ติดตัวแดง หมายถึงรายได้ในกระเป๋าของรัฐบาลมีน้อยกว่ารายจ่ายที่ออกไป
รายได้ ก็จะประกอบด้วย ภาษีอากรที่เข้าคลัง เงินกู้ ตั๋วเงินคลัง และ พันธบัตรที่รัฐบาลออกเพื่อระดมทุน
ขณะที่ รายจ่าย จะครอบคลุมทั้งรายจ่ายใน พ.ร.บ.งบประมาณ และ นอกงบประมาณ
ที่ผ่านมา ดุลเงินสดของประเทศไทยเกินดุลมาหลายปี กระทั่งในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการใช้เงินแบบมือเติบเพื่อหวังผลการเมืองและเศรษฐกิจ
มีการอัดฉีดเงินผ่านโครงการ ประชานิยม จำนวนมาก แต่สุดท้ายต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่คาดคิด เช่น กรณีอุทกภัย หรือ แผ่นดินถล่ม ส่งผลให้รัฐบาลอยู่ในสภาพขาดดุลเงินสดในบางช่วงเวลา เรื่อยมาจนถึงในช่วงปี 2549 ที่เศรษฐกิจเริ่มได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง
จนมาถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณมาก เนื่องจาก ภาคเอกชน ไม่กล้าลงทุน เพราะไม่มั่นใจกับอนาคตทางการเมือง
การเร่งเบิกจ่ายจนไม่สมดุลกับรายได้ในบางเดือน ทำให้ดุลเงินสดติดตัวแดง และ ต้องนำเงินคงคลังหรือ กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้ที่ยังไม่เข้ามา
จริงๆ แล้วระบบที่กระทรวงการคลัง ใช้อยู่นี้ค่อนข้างดี เป็นระบบ ที่ สร้างสัญญาณเตือน ว่ากระแสเงินสดในกระเป๋ารัฐบาลช่วงเวลานั้นๆ เป็นอย่างไร แต่นักการเมืองไม่ค่อย จะฟัง!!!
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 351&ch=222
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 561
คลังเล็งออกบอนด์5หมื่นล.ชดเชยขาดดุล-รีไฟแนนซ์หนี้
กระทรวงการคลังเตรียมออกบอนด์ต้นปีหน้า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล 1.6 หมื่นล้านบาท และปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรจำนวน 3.4 พันล้านบาท เชื่อเศรษฐกิจปีหน้ามีโอกาสโตถึง 6% เหตุการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัว แถมได้รัฐบาลใหม่กระตุ้น
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2551 จะออกพันธบัตรอีกจำนวน 5.095 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ในไตรมาสที่ 1 ได้ออกไปแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้การออกพันธบัตรดังกล่าวจะใช้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรที่จะมีอายุครบกำหนดในวันที่ 12 ก.พ.51 อีกจำนวน 3.4950 หมื่นล้านบาท โดยพันธบัตรดังกล่าวจะมีอายุ 5 ปีอัตราดอกเบี้ย 4.25% อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.125% อายุ 15 ปีอัตราดอกเบี้ย 5.50% และอายุ 20 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.67%
นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังจะดำเนินการออกพันธบัตรออมทรัพย์อายุ 3 ปี เดือนละ 1 รุ่น รุ่นละ 500 ล้านบาท จำนวน 3 รุ่น วงเงินรวม 1.5 พันล้านบาท
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงินสำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า มีโอกาสที่จีดีพีในปี 51 จะสูงถึง 6% ได้ หากปัจจัยที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งหมด อาทิ การบริโภค การลงทุนของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้มากการเบิกจ่ายและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการส่งออกไม่ชะลอตัวลงจากปีนี้อย่างรุนแรง
นอกจากนี้การที่ทั้งปี 50 รัฐบาลมีการทยอยปรับขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ค่าแรงขั้นต่ำ และล่าสุดมีการอนุมัติงบประมาณกว่า 6,800 ล้านบาท อีกทั้งจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศในช่วงต้นปี 51 จึงทำให้มั่นใจว่าจะกระตุ้นการบริโภคในปี 51 ให้ฟื้นตัวขึ้นได้อย่างมากอย่างแน่นอน เพราะเป็นผลทางด้านจิตวิทยาให้กับประชาชนได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นเพราะเงินเดือนปรับขึ้น
อยากให้ความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 51 จะต้องดีกว่าปี 50 แน่นอนแม้จะมีรัฐบาลผสมเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม เพราะที่ผ่านมาข้าราชการประจำก็ทำงานอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วจึงมีความพร้อมในการทำงานร่วมกับฝ่ายการเมืองแม้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ด้วยพื้นฐานที่ดีของเศรษฐกิจไทยหากเราเบรกอุปสรรคที่เกิดขึ้นในปีนี้ได้ก็อาจทำให้จีดีพีสูงเกินคาด นายโชติชัย กล่าว
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
กระทรวงการคลังเตรียมออกบอนด์ต้นปีหน้า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล 1.6 หมื่นล้านบาท และปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรจำนวน 3.4 พันล้านบาท เชื่อเศรษฐกิจปีหน้ามีโอกาสโตถึง 6% เหตุการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัว แถมได้รัฐบาลใหม่กระตุ้น
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2551 จะออกพันธบัตรอีกจำนวน 5.095 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ในไตรมาสที่ 1 ได้ออกไปแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้การออกพันธบัตรดังกล่าวจะใช้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรที่จะมีอายุครบกำหนดในวันที่ 12 ก.พ.51 อีกจำนวน 3.4950 หมื่นล้านบาท โดยพันธบัตรดังกล่าวจะมีอายุ 5 ปีอัตราดอกเบี้ย 4.25% อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.125% อายุ 15 ปีอัตราดอกเบี้ย 5.50% และอายุ 20 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.67%
นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังจะดำเนินการออกพันธบัตรออมทรัพย์อายุ 3 ปี เดือนละ 1 รุ่น รุ่นละ 500 ล้านบาท จำนวน 3 รุ่น วงเงินรวม 1.5 พันล้านบาท
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงินสำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า มีโอกาสที่จีดีพีในปี 51 จะสูงถึง 6% ได้ หากปัจจัยที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งหมด อาทิ การบริโภค การลงทุนของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้มากการเบิกจ่ายและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการส่งออกไม่ชะลอตัวลงจากปีนี้อย่างรุนแรง
นอกจากนี้การที่ทั้งปี 50 รัฐบาลมีการทยอยปรับขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ค่าแรงขั้นต่ำ และล่าสุดมีการอนุมัติงบประมาณกว่า 6,800 ล้านบาท อีกทั้งจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศในช่วงต้นปี 51 จึงทำให้มั่นใจว่าจะกระตุ้นการบริโภคในปี 51 ให้ฟื้นตัวขึ้นได้อย่างมากอย่างแน่นอน เพราะเป็นผลทางด้านจิตวิทยาให้กับประชาชนได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นเพราะเงินเดือนปรับขึ้น
อยากให้ความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 51 จะต้องดีกว่าปี 50 แน่นอนแม้จะมีรัฐบาลผสมเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม เพราะที่ผ่านมาข้าราชการประจำก็ทำงานอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วจึงมีความพร้อมในการทำงานร่วมกับฝ่ายการเมืองแม้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ด้วยพื้นฐานที่ดีของเศรษฐกิจไทยหากเราเบรกอุปสรรคที่เกิดขึ้นในปีนี้ได้ก็อาจทำให้จีดีพีสูงเกินคาด นายโชติชัย กล่าว
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 562
ธปท.หวั่นเงินเฟ้อปีหน้าพุ่ง- ราคาน้ำมัน-สินค้าเกษตรทะยาน ศก.ผันผวน โดย กระแสหุ้น
ธาริษา ยอมรับเป็นห่วงเงินเฟ้อปีหน้า เหตุราคาน้ำมันยังทรงตัวสูง ราคาสินค้าเกษตร-โภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่มั่นใจจะถึง 4% หรือไม่ ขอประเมินราคาน้ำมันก่อน ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจปี 51 ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่ พร้อมสั่งสำรองเงินสดช่วงปีใหม่ 3 แสนล้านบาท
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ยอมรับมีความเป็นห่วงเรื่องอัตราเงินเฟ้อในปี 51 ที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เพราะความเสี่ยงที่จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อนั้นยังมีอยู่ ทั้งในเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตร และโภคภัณฑ์
จะถึง 4% อย่างที่กระทรวงการคลังประเมินหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ เพราะต้องดูก่อน เนื่องจากความผันผวนยังมีอยู่มาก และก็ต้องดูด้วยว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงแค่ไหน นางธาริษา กล่าว
สำหรับเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ เพราะจะต้องรอให้มีความชัดเจนเกิดขึ้นก่อน ส่วนรัฐบาลที่จะเข้ามานั้น เป็นรัฐบาลผสมแล้วจะทำให้เศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลส่วนใหญ่ก็มาจากรัฐบาลผสมทั้งนั้น ดังนั้นเศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะสามารถทำให้การเมืองมีเสถียรภาพได้มากน้อยเพียงใด
ไม่เกี่ยวว่ารัฐบาลจะเป็นรัฐบาลผสมหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลผสมก็สามารถทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ นางธาริษา กล่าว
ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ได้สำรองธนบัตรชนิดต่างๆ มูลค่ารวม 300,400 ล้านบาท เพื่อรองรับการเบิกจ่ายของประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีความต้องการใช้เงินสดมากกว่าปกติ โดยคาดว่าปีนี้ธนาคารพาณิชย์จะมีการเบิกจ่ายธนบัตร รวมทั้งเดือนประมาณ 190,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว 8 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 187,000 ล้านบาท
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ 8 แห่ง ได้เตรียมสำรองเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม และสาขาที่ให้บริการตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม - 1 มกราคม รวมกว่า 115,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และคาดว่าจะเพียงพอ เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังระมัดระวังการใช้จ่าย ซึ่งธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง จะสำรองเงินสดไว้ 8,000 - 15,000 ล้านบาท โดยธนาคารไทยพาณิชย์สำรองเงินสดไว้มากที่สุดถึง 38,000 ล้านบาท
ส่วนธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ได้สำรองเงินสำหรับบรรจุตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศจำนวน 3,781 เครื่อง เป็นเงิน 15,000 ล้านบาท และได้สำรองเงินไว้ที่สาขาสำหรับเติบโตในเครื่องเอทีเอ็มในกรณีที่เงินหมดในช่วงวันหยุดอีก 3,600 ล้านบาท
ด้านธนาคารกรุงเทพ(BBL) ได้สำรองเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็ม เพื่อรองรับการใช้จ่ายสำหรับประชาชนในการจับจ่ายซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ประมาณ 12,000 ล้านบาททั่วประเทศ ซึ่งเป็นการสำรองเงินในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท
สำหรับธนาคารกรุงไทย(KTB)ได้สำรองเงินไว้ในช่วงเทศกาลปีใหม่จำนวน 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่สำรองไว้ 15,000 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)ได้ตั้งปริมาณเงินสดสำรองไว้บริการลูกค้าผ่านทางสาขาและเครื่องเอทีเอ็มทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2,800 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้จ่ายของลูกค้า และธนาคารทหารไทยสำรองเงินสดจำนวน 7,000-8,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
ธาริษา ยอมรับเป็นห่วงเงินเฟ้อปีหน้า เหตุราคาน้ำมันยังทรงตัวสูง ราคาสินค้าเกษตร-โภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่มั่นใจจะถึง 4% หรือไม่ ขอประเมินราคาน้ำมันก่อน ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจปี 51 ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่ พร้อมสั่งสำรองเงินสดช่วงปีใหม่ 3 แสนล้านบาท
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ยอมรับมีความเป็นห่วงเรื่องอัตราเงินเฟ้อในปี 51 ที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เพราะความเสี่ยงที่จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อนั้นยังมีอยู่ ทั้งในเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตร และโภคภัณฑ์
จะถึง 4% อย่างที่กระทรวงการคลังประเมินหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ เพราะต้องดูก่อน เนื่องจากความผันผวนยังมีอยู่มาก และก็ต้องดูด้วยว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงแค่ไหน นางธาริษา กล่าว
สำหรับเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ เพราะจะต้องรอให้มีความชัดเจนเกิดขึ้นก่อน ส่วนรัฐบาลที่จะเข้ามานั้น เป็นรัฐบาลผสมแล้วจะทำให้เศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลส่วนใหญ่ก็มาจากรัฐบาลผสมทั้งนั้น ดังนั้นเศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะสามารถทำให้การเมืองมีเสถียรภาพได้มากน้อยเพียงใด
ไม่เกี่ยวว่ารัฐบาลจะเป็นรัฐบาลผสมหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลผสมก็สามารถทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ นางธาริษา กล่าว
ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ได้สำรองธนบัตรชนิดต่างๆ มูลค่ารวม 300,400 ล้านบาท เพื่อรองรับการเบิกจ่ายของประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีความต้องการใช้เงินสดมากกว่าปกติ โดยคาดว่าปีนี้ธนาคารพาณิชย์จะมีการเบิกจ่ายธนบัตร รวมทั้งเดือนประมาณ 190,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว 8 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 187,000 ล้านบาท
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ 8 แห่ง ได้เตรียมสำรองเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม และสาขาที่ให้บริการตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม - 1 มกราคม รวมกว่า 115,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และคาดว่าจะเพียงพอ เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังระมัดระวังการใช้จ่าย ซึ่งธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง จะสำรองเงินสดไว้ 8,000 - 15,000 ล้านบาท โดยธนาคารไทยพาณิชย์สำรองเงินสดไว้มากที่สุดถึง 38,000 ล้านบาท
ส่วนธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ได้สำรองเงินสำหรับบรรจุตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศจำนวน 3,781 เครื่อง เป็นเงิน 15,000 ล้านบาท และได้สำรองเงินไว้ที่สาขาสำหรับเติบโตในเครื่องเอทีเอ็มในกรณีที่เงินหมดในช่วงวันหยุดอีก 3,600 ล้านบาท
ด้านธนาคารกรุงเทพ(BBL) ได้สำรองเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็ม เพื่อรองรับการใช้จ่ายสำหรับประชาชนในการจับจ่ายซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ประมาณ 12,000 ล้านบาททั่วประเทศ ซึ่งเป็นการสำรองเงินในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท
สำหรับธนาคารกรุงไทย(KTB)ได้สำรองเงินไว้ในช่วงเทศกาลปีใหม่จำนวน 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่สำรองไว้ 15,000 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)ได้ตั้งปริมาณเงินสดสำรองไว้บริการลูกค้าผ่านทางสาขาและเครื่องเอทีเอ็มทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2,800 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้จ่ายของลูกค้า และธนาคารทหารไทยสำรองเงินสดจำนวน 7,000-8,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 563
กสิกรไทยเผยคนไทยไม่มั่นใจเศรษฐกิจปีหน้า ใช้จ่ายช่วงปีใหม่ลดลง10%
27 ธันวาคม พ.ศ. 2550 11:35:00
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยคนไทยเริ่มไม่มั่นใจแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า ฉุดการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลงกว่า 10% เงินสะพัดแค่ 1.8 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน บาทแข็งคนขนเงินเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงแห่งการท่องเที่ยว การจัดงานกินเลี้ยงสังสรรค์ และการซื้อของขวัญเพื่อมอบให้กันและกัน รวมถึงการทำบุญเพื่อต้อนรับสิ่งดีๆ ในปีใหม่ แต่จากการสำรวจพฤติกรรมการฉลองปีใหม่ปี 2551 ของคนกรุงเทพฯ พบว่าคนกรุงเทพฯ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ วางแผนลดค่าใช้จ่ายหรือพยายามคุมค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว เพราะความไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจปีหน้า และไม่แน่ใจถึงเสถียรภาพทางการเมือง แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วในช่วงปลายปี โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 18,000 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับเทศกาลปีใหม่ 2550
สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่ายหลักในช่วงเทศกาลปีใหม่ของคนกรุงเทพฯ คือ การเลี้ยงสังสรรค์ การทำบุญตักบาตร และการจับจ่ายซื้อของขวัญ ก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัด 7,500 ล้านบาท
ส่วนการใช้จ่ายในกิจกรรมนอกบ้านประมาณ 2,000 ล้านบาท จะเป็นเรื่องการกินเลี้ยงสังสรรค์ ไปวัดทำบุญ เดินทางไปอวยพรญาติผู้ใหญ่/ผู้ที่นับถือ ชมภาพยนตร์ และชอปปิ้ง ตลอดจนการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
นอกจากนี้ ผลสำรวจคนกรุงเทพฯ ยังพบว่า เดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของคนกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น โดยการเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัดจะสร้างเม็ดเงินสะพัด 1,800 ล้านบาท ขณะที่การท่องเที่ยวต่างจังหวัดจะมีเม็ดเงินสะพัด 4,200 ล้านบาท
สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศมีเม็ดเงินไหลออกนอกประเทศ 2,500 ล้านบาท ซึ่งประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายด้านน้ำมัน แต่การท่องเที่ยวต่างประเทศค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการชอปปิ้ง โดยมีปัจจัยหนุนคือ การแข็งค่าของเงินบาท และการจัดรายการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการชอปปิ้งตามประเทศที่เป็นแหล่งชอปปิ้งยอดนิยมของคนไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=215678
27 ธันวาคม พ.ศ. 2550 11:35:00
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยคนไทยเริ่มไม่มั่นใจแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า ฉุดการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลงกว่า 10% เงินสะพัดแค่ 1.8 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน บาทแข็งคนขนเงินเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงแห่งการท่องเที่ยว การจัดงานกินเลี้ยงสังสรรค์ และการซื้อของขวัญเพื่อมอบให้กันและกัน รวมถึงการทำบุญเพื่อต้อนรับสิ่งดีๆ ในปีใหม่ แต่จากการสำรวจพฤติกรรมการฉลองปีใหม่ปี 2551 ของคนกรุงเทพฯ พบว่าคนกรุงเทพฯ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ วางแผนลดค่าใช้จ่ายหรือพยายามคุมค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว เพราะความไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจปีหน้า และไม่แน่ใจถึงเสถียรภาพทางการเมือง แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วในช่วงปลายปี โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 18,000 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับเทศกาลปีใหม่ 2550
สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่ายหลักในช่วงเทศกาลปีใหม่ของคนกรุงเทพฯ คือ การเลี้ยงสังสรรค์ การทำบุญตักบาตร และการจับจ่ายซื้อของขวัญ ก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัด 7,500 ล้านบาท
ส่วนการใช้จ่ายในกิจกรรมนอกบ้านประมาณ 2,000 ล้านบาท จะเป็นเรื่องการกินเลี้ยงสังสรรค์ ไปวัดทำบุญ เดินทางไปอวยพรญาติผู้ใหญ่/ผู้ที่นับถือ ชมภาพยนตร์ และชอปปิ้ง ตลอดจนการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
นอกจากนี้ ผลสำรวจคนกรุงเทพฯ ยังพบว่า เดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของคนกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น โดยการเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัดจะสร้างเม็ดเงินสะพัด 1,800 ล้านบาท ขณะที่การท่องเที่ยวต่างจังหวัดจะมีเม็ดเงินสะพัด 4,200 ล้านบาท
สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศมีเม็ดเงินไหลออกนอกประเทศ 2,500 ล้านบาท ซึ่งประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายด้านน้ำมัน แต่การท่องเที่ยวต่างประเทศค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการชอปปิ้ง โดยมีปัจจัยหนุนคือ การแข็งค่าของเงินบาท และการจัดรายการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการชอปปิ้งตามประเทศที่เป็นแหล่งชอปปิ้งยอดนิยมของคนไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=215678
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 564
แบงก์ชาติหวั่นเงินเฟ้อพุ่ง เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความน่าเป็นห่วงเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะขณะนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่หลายด้านอาทิ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตร และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้เป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ
"อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4% เท่ากับที่คลังประเมินไว้ในปี 2551 หรือไม่ เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยาก โดยการประเมินเงินเฟ้อในระยะไกลๆยังไม่สามารถทำได้ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าราคาน้ำมันดิบจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร" นางธาริษากล่าว
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.ได้ทำบทวิเคราะห์ประเมินแรงกดดันต่างๆ ที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยพบว่าราคาน้ำมันดิบมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยมากที่สุด ส่วนปัจจัยอื่นๆ มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อน้อยมาก
สำหรับการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศอีก 1-7 บาทต่อวันซึ่งมีผลวันที่ 1 มกราคม 2551 จะกระทบต่อต้นทุนการผลิตในส่วนของค่าจ้าง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.02-0.11% ต่อปี ถือว่ามีผลกระทบต่อเงินเฟ้อน้อย นอกจากนี้การปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ 0.50-1 บาทและการลอยตัวก๊าซหุงต้ม ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ให้เพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยในส่วนของการลอยตัวก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น 1.2 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสศค.ประเมินว่าการขึ้นราคาก๊าซกิโลกรัมละ 1 บาท ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.02% ต่อปี อย่างไรก็ตาม สศค.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2550 ยังคงอยู่ในระดับต่ำ 2.2% ต่อปี ส่วนปี 2551 จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.4% ต่อปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความน่าเป็นห่วงเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะขณะนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่หลายด้านอาทิ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตร และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้เป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ
"อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4% เท่ากับที่คลังประเมินไว้ในปี 2551 หรือไม่ เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยาก โดยการประเมินเงินเฟ้อในระยะไกลๆยังไม่สามารถทำได้ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าราคาน้ำมันดิบจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร" นางธาริษากล่าว
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.ได้ทำบทวิเคราะห์ประเมินแรงกดดันต่างๆ ที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยพบว่าราคาน้ำมันดิบมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยมากที่สุด ส่วนปัจจัยอื่นๆ มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อน้อยมาก
สำหรับการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศอีก 1-7 บาทต่อวันซึ่งมีผลวันที่ 1 มกราคม 2551 จะกระทบต่อต้นทุนการผลิตในส่วนของค่าจ้าง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.02-0.11% ต่อปี ถือว่ามีผลกระทบต่อเงินเฟ้อน้อย นอกจากนี้การปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ 0.50-1 บาทและการลอยตัวก๊าซหุงต้ม ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ให้เพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยในส่วนของการลอยตัวก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น 1.2 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสศค.ประเมินว่าการขึ้นราคาก๊าซกิโลกรัมละ 1 บาท ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.02% ต่อปี อย่างไรก็ตาม สศค.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2550 ยังคงอยู่ในระดับต่ำ 2.2% ต่อปี ส่วนปี 2551 จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.4% ต่อปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 565
คัด20หุ้นสุดยอดปันผล
บล.ทรีนิตี้ จัดสำหรับหุ้นเด่น ปันผลงาม 20 ตัว ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากระยะสั้น พื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อม ชูดาวเด่นอัพไซด์เกนสูง TISCO, DELTA, TCAP, SPALI, ROJANA และ QH
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัดแนะนำลงทุนหุ้น 20 ตัวที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากระยะสั้น ซึ่งมีหลายตัวที่อยู่ในกลุ่มที่จ่ายปันผลได้ดียังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มของอัตราการเติบโตในเกณฑ์ดี และยังมีอัพไซด์เกนในระดับสูง เช่น TISCO, DELTA, TCAP, SPALI, ROJANA และ QH
สำหรับ TISCO, TCAP และ KK คือ The Warlords ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์: 3 เหตุผลที่ต้องมี 1 ใน 3 หุ้นนี้ติดพอร์ทคือ สินเชื่อโต ปันผลเด่น ผลการดำเนินงานก้าวกระโดด TISCO TCAP และ KK เป็นหุ้นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีดีที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับที่สูง โดย TCAP และ KK มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลแล้ว 0.30 บาท และ 1 บาทต่อหุ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้ออย่างโดดเด่น โดยปีนี้มีความสามารถในการทำกำไรอยู่ระดับสูงกว่าปีที่แล้ว และคาดว่าในปีหน้าจะยังคงมีการเติบโตของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความเชื่อมั่นในการบริโภคที่มีแนวโน้มที่สดใสขึ้น โดยราคาเป้าหมายปี 2551 ของ TISCO อยู่ที่ 37 บาท (P/BV 2.2 เท่า) TCAP 21 บาท(P/BV 1.14 เท่า) และ KK 41 บาท (P/BV 1.13เท่า)
ส่วน DELTA กลับมามีกำไรอย่างแข็งแกร่งภายหลังจากหน่วยงานผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟสำหรับโทรคมนาคม (DES) เริ่มทำกำไร อีกทั้งมีโอกาสจ่ายปันผลสูงกว่าที่คาดไว้ 1.60 บาทต่อหุ้น โดยสามารถจ่ายได้ถึง 2 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนปันผลถึง 9.34% ประเมินมูลค่าเหมาะสม 31 บาท แนะนำซื้อ
สำหรับ ROJANA ผลการดำเนินงานดี มี Recurring Income สูง จ่ายปันผลงาม และเต็มไปด้วย Drivers ผลการดำเนินงานปี 2551 จะได้แรงผลักดันจากยอดขายโครงการคอนโดมีเนียม Kaina Plaza ในจีน ธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ขยายตัวต่อเนื่อง และการขายที่ดินนิคมให้กับกลุ่มยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า LCD ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ ROJANA ยังคงเป็นหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ราคาเป้าหมาย 20.50 บาท
ด้าน QH ปีนี้ที่ว่าดีแล้ว ปีหน้าจะดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้นอกจาก QH (ราคาเป้าหมาย 2.48 บาท) จะเป็น Top Pick ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แล้ว QH ยังเป็น อภิชาติบุตร ที่จะส่งผลดีต่อ LH ด้วย
ปิดท้ายด้วย SPALI ถึงจะมีความเสี่ยงที่ผลประกอบการในปี 2551 อาจสะดุดลงปี เพราะมียอดรับรู้รายได้คอนโดมีเนียมน้อยลง และยังขาด Driver ที่จะผลักดันผลการดำเนินงานแบบแข็งแกร่ง แต่SPALI เป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลในระดับ 7% อย่างต่ำมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
ดังนั้นในกรณีเลวร้ายยังคาดว่า SPALI จะยังสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 5% เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ทำให้ SPALI เป็นหุ้น Defensive Play ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ และจะยังคงอยู่ในกลุ่มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลได้โดดเด่นที่สุดในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยะให้ราคาเป้าหมาย 5 บาท
http://www.thunhoon.com/home/
บล.ทรีนิตี้ จัดสำหรับหุ้นเด่น ปันผลงาม 20 ตัว ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากระยะสั้น พื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อม ชูดาวเด่นอัพไซด์เกนสูง TISCO, DELTA, TCAP, SPALI, ROJANA และ QH
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัดแนะนำลงทุนหุ้น 20 ตัวที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากระยะสั้น ซึ่งมีหลายตัวที่อยู่ในกลุ่มที่จ่ายปันผลได้ดียังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มของอัตราการเติบโตในเกณฑ์ดี และยังมีอัพไซด์เกนในระดับสูง เช่น TISCO, DELTA, TCAP, SPALI, ROJANA และ QH
สำหรับ TISCO, TCAP และ KK คือ The Warlords ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์: 3 เหตุผลที่ต้องมี 1 ใน 3 หุ้นนี้ติดพอร์ทคือ สินเชื่อโต ปันผลเด่น ผลการดำเนินงานก้าวกระโดด TISCO TCAP และ KK เป็นหุ้นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีดีที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับที่สูง โดย TCAP และ KK มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลแล้ว 0.30 บาท และ 1 บาทต่อหุ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้ออย่างโดดเด่น โดยปีนี้มีความสามารถในการทำกำไรอยู่ระดับสูงกว่าปีที่แล้ว และคาดว่าในปีหน้าจะยังคงมีการเติบโตของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความเชื่อมั่นในการบริโภคที่มีแนวโน้มที่สดใสขึ้น โดยราคาเป้าหมายปี 2551 ของ TISCO อยู่ที่ 37 บาท (P/BV 2.2 เท่า) TCAP 21 บาท(P/BV 1.14 เท่า) และ KK 41 บาท (P/BV 1.13เท่า)
ส่วน DELTA กลับมามีกำไรอย่างแข็งแกร่งภายหลังจากหน่วยงานผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟสำหรับโทรคมนาคม (DES) เริ่มทำกำไร อีกทั้งมีโอกาสจ่ายปันผลสูงกว่าที่คาดไว้ 1.60 บาทต่อหุ้น โดยสามารถจ่ายได้ถึง 2 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนปันผลถึง 9.34% ประเมินมูลค่าเหมาะสม 31 บาท แนะนำซื้อ
สำหรับ ROJANA ผลการดำเนินงานดี มี Recurring Income สูง จ่ายปันผลงาม และเต็มไปด้วย Drivers ผลการดำเนินงานปี 2551 จะได้แรงผลักดันจากยอดขายโครงการคอนโดมีเนียม Kaina Plaza ในจีน ธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ขยายตัวต่อเนื่อง และการขายที่ดินนิคมให้กับกลุ่มยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า LCD ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ ROJANA ยังคงเป็นหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ราคาเป้าหมาย 20.50 บาท
ด้าน QH ปีนี้ที่ว่าดีแล้ว ปีหน้าจะดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้นอกจาก QH (ราคาเป้าหมาย 2.48 บาท) จะเป็น Top Pick ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แล้ว QH ยังเป็น อภิชาติบุตร ที่จะส่งผลดีต่อ LH ด้วย
ปิดท้ายด้วย SPALI ถึงจะมีความเสี่ยงที่ผลประกอบการในปี 2551 อาจสะดุดลงปี เพราะมียอดรับรู้รายได้คอนโดมีเนียมน้อยลง และยังขาด Driver ที่จะผลักดันผลการดำเนินงานแบบแข็งแกร่ง แต่SPALI เป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลในระดับ 7% อย่างต่ำมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
ดังนั้นในกรณีเลวร้ายยังคาดว่า SPALI จะยังสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 5% เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ทำให้ SPALI เป็นหุ้น Defensive Play ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ และจะยังคงอยู่ในกลุ่มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลได้โดดเด่นที่สุดในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยะให้ราคาเป้าหมาย 5 บาท
http://www.thunhoon.com/home/
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 566
เศรษฐกิจใต้คึกโครงการจ่อคิวอื้อ
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ใต้ ชี้แนว โน้มเศรษฐกิจหลังได้รัฐบาลใหม่กระเตื้อง หนุนเร่งใช้เงินก่อสร้างโครงการต่างๆ
นายนิรุธ รักษาเสรี ผู้อำนวยการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคใต้ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจภาคใต้ในปี 2551 ขึ้น กับการเลือกตั้งว่าจะผ่านพ้นไป โดยความเรียบร้อย และมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศโดยเร็วเพื่ออนุมัติโครงการก่อสร้างที่ คั่งค้าง และดำเนินการก่อสร้างด้านสาธารณูปโภคใหม่ๆ ที่เป็นนโยบายของพรรคให้เป็นที่ประจักษ์โดยเร็ว แม้จะไม่มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งได้ครบ 4 ปี
สำหรับภาคใต้นั้นคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาเทิร์นซีบอร์ด) ด้วยการสร้างสะพานเศรษฐกิจหรือแลนด์บริดจ์ เชื่อม 2 ฝั่งทะเลอันดามันกับอ่าวไทย และมีโครงการท่าเรือน้ำลึกปาก บาราฝั่งทะเลอันดามัน จ.สตูล เป็นท่าเรือรองรับการส่งออกสินค้าทาง มหาสมุทรอินเดียไปยังทวีปยุโรป และมีท่าเรือจะนะรองรับฝั่งอ่าวไทย
นายนิรุธ กล่าวว่า ยางพาราจะเป็นตัวชูโรงเศรษฐกิจภาคใต้ในปี 2551 เมื่อรวมกับยางพาราในภาคเหนือและอีสานที่รัฐได้ส่งเสริม จะทยอยออกสู่ตลาด ยิ่งสร้างความ แข็งแกร่งให้กับประเทศไทยที่เป็นผู้ ผลิตยางรายใหญ่ของโลกแซงหน้าประเทศอินโดนีเซีย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211446
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ใต้ ชี้แนว โน้มเศรษฐกิจหลังได้รัฐบาลใหม่กระเตื้อง หนุนเร่งใช้เงินก่อสร้างโครงการต่างๆ
นายนิรุธ รักษาเสรี ผู้อำนวยการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคใต้ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจภาคใต้ในปี 2551 ขึ้น กับการเลือกตั้งว่าจะผ่านพ้นไป โดยความเรียบร้อย และมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศโดยเร็วเพื่ออนุมัติโครงการก่อสร้างที่ คั่งค้าง และดำเนินการก่อสร้างด้านสาธารณูปโภคใหม่ๆ ที่เป็นนโยบายของพรรคให้เป็นที่ประจักษ์โดยเร็ว แม้จะไม่มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งได้ครบ 4 ปี
สำหรับภาคใต้นั้นคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาเทิร์นซีบอร์ด) ด้วยการสร้างสะพานเศรษฐกิจหรือแลนด์บริดจ์ เชื่อม 2 ฝั่งทะเลอันดามันกับอ่าวไทย และมีโครงการท่าเรือน้ำลึกปาก บาราฝั่งทะเลอันดามัน จ.สตูล เป็นท่าเรือรองรับการส่งออกสินค้าทาง มหาสมุทรอินเดียไปยังทวีปยุโรป และมีท่าเรือจะนะรองรับฝั่งอ่าวไทย
นายนิรุธ กล่าวว่า ยางพาราจะเป็นตัวชูโรงเศรษฐกิจภาคใต้ในปี 2551 เมื่อรวมกับยางพาราในภาคเหนือและอีสานที่รัฐได้ส่งเสริม จะทยอยออกสู่ตลาด ยิ่งสร้างความ แข็งแกร่งให้กับประเทศไทยที่เป็นผู้ ผลิตยางรายใหญ่ของโลกแซงหน้าประเทศอินโดนีเซีย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211446
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 567
รัฐเล่งเพิ่มโทษสกัด'แชร์ลูกโซ่'
โดย กนกวรรณ บุญประเสริฐ
การระบาดของธุรกิจนอกระบบอย่างแชร์ลูกโซ่ ในรอบปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนา รูปแบบ โดยการแอบแฝงกับธุรกิจอื่นที่ทำเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย อย่างธุรกิจขายตรง ธุรกิจแฟรนไชส์ เช่น แชร์ข้าวสาร, แชร์ลูกโซ่, แชร์ก๋วยเตี๋ยวบางกอก, แชร์เครื่องดื่มชูกำลัง และแชร์บัตรเติมเงิน รวมไปถึงการทำธุรกิจผ่านทางอินเทอร์เน็ต จนมีประชาชนที่ถูกหลอกและได้รับความเสียหายจากเครือข่ายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
ทำให้หลายคนตั้งประเด็นว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่หลอกง่าย ขาดสติ และตกอยู่ในความโลภ ทำให้มีคนจำนวนมากยังหลงตกเป็นเหยื่อของธุรกิจหลอกลวงเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ
ขณะที่นักวิชาการมองว่า การที่ธุรกิจดังกล่าวยังสามารถหลอกลวงประชาชนมาได้หลายยุคหลายสมัย ส่วนหนึ่งเพราะกฎหมายที่ล้าสมัย บทลงโทษอ่อนด้อยไม่รุนแรง จึงไม่สามารถสร้างความเกรงกลัว หรือยังรับมือไม่เท่าทันกับวิวัฒนาการของกลโกงสารพัดรูปแบบที่เหล่ามิจฉาชีพ พัฒนาวิธีการใหม่ๆ ให้คนหลงเข้าไปเป็นเหยื่อ เช่น กรณีของแชร์แม่ชม้อย ในปี 2527 ซึ่งนางชม้อย ทิพย์โส และพวกรวม 8 คน ได้หลอกลวงคนเล่นแชร์น้ำมัน ได้รับความเสียหายกว่า 1.6 หมื่นราย รวมเป็นเงินกว่า 4 พันล้านบาท แต่กลับได้รับโทษจำคุกจริงเพียง 7 ปี 11 เดือน เพราะได้ลดโทษ 2 ครั้ง จากโทษอาญาทั้งหมดที่สั่งให้จำคุกฐานฉ้อโกงประชาชนนานถึง 1.54 แสนปี เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญาให้จำคุกได้สูงสุดไม่เกิน 20 ปี!!!!
นายกมล กมลตระกูล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ความสำคัญเรื่องการปราบปรามธุรกิจนอกระบบอย่างมาก โดยเฉพาะคดีแชร์ ลูกโซ่ในสหรัฐ ถือเป็นเรื่องคดีอาญา เพราะทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับการค้า มีอำนาจฟ้องศาลยึดทรัพย์ และปิดกิจการของบริษัทที่ทำให้ประชาชนเสียหาย
นอกจากนี้ กฎหมายยังมีบทลงโทษที่น่าสนใจ เป็นรูปแบบที่กฎหมายของไทยไม่มี และควรนำไปศึกษาคือ การให้สมาชิกหรือผู้ลงทุนซื้อสินค้า ต้องเข้าข่ายเป็นผู้ที่กระทำความผิดด้วย เพราะถือว่าเป็นผู้หาสมาชิกเข้ามาร่วมวงเพิ่ม นอกเหนือจากผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการที่ต้องรับโทษอยู่แล้ว ก็เพิ่มโทษให้คนเล่น ต้องรับโทษตามด้วย
ถ้าเป็นกฎหมายของไทย จะตามจับกันแต่เพียง ผู้ประกอบการอย่างเดียว คนเล่นไม่เกี่ยว ซึ่งเรื่องนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆ กับเรื่องของโสเภณี ที่คนเที่ยวไม่ถูกจับ แต่เจ้าของกิจการหรือโสเภณีถูกจับ แต่ที่สหรัฐกฎหมายกำหนดให้จับหมดทั้งคนเที่ยว เจ้าของกิจการและโสเภณี นายกมล กล่าว
นายกมล กล่าวอีกว่า สาเหตุที่เสนอให้คนเล่นจะต้องถูกจับด้วยนั้น ถือว่ามีข้อดีตรงที่สามารถจำกัดคนเข้าร่วมวงแชร์ได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ทำผิดกฎหมาย เหมือนกฎหมายการพนัน คนไหนเล่นถือว่าคนนั้นทำผิด ซึ่งเชื่อว่าหากเจ้าหน้าที่นำมาตรานี้มาใช้ จะช่วยป้องกันคนเข้ามาสู่วงจรแชร์ลูกโซ่ได้เกือบ 100% เพราะถือว่าเป็นกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ทำให้คนเล่นมีวิจารณญาณในการลงทุนมากขึ้น
นายจิระ พันธ์คีรี เศรษฐกรระดับ 8 กลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแชร์ลูกโซ่ ได้แก่ พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องการแก้ไขกฎหมายร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อแก้ไข พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527
เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันได้ถูกใช้มานาน จึงต้องการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย ซึ่งในปัจจุบันผู้กระทำความผิดมีโทษจำคุก 5-10 ปี ปรับเพียง 5 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท หรือหากยังฝ่าฝืนในช่วงสั่งหยุด ดำเนินการ ปรับวันละ 1 หมื่นบาท
สำหรับกฎหมายใหม่คาดว่าจะเพิ่มโทษจำคุกเป็น 10-20 ปี และปรับ 5-10 ล้านบาท และสามารถสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อนำทรัพย์ที่ยึดได้มาเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย ทั้งนี้ คาดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือเพื่อสรุปเรื่องดังกล่าวในช่วงต้นปี 2551 นี้
นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐ 5 แห่ง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.), กระทรวงการคลัง, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 เพื่อร่วมมือกันกวาดล้างธุรกิจแชร์ลูกโซ่ไม่ให้ระบาดหนักในสังคมเช่นปัจจุบัน
รู้ทันก่อนตกเป็นเหยื่อ
สำหรับวิธีการป้องกันตัวเองให้พ้นจากการเป็นเหยื่อจากธุรกิจ แชร์ลูกโซ่ และขายตรงหลายชั้นแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่นั้น ให้สังเกตว่า มิจฉาชีพจะอาศัยช่องทางผ่านบุคคลต่างๆ ที่รู้จักกันก่อนและไปหาสมาชิกที่เนื้อเชื่อใจกันเพิ่ม ต่อจากนั้นจะขยายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น เน้นการระดมทุนจากการหาสมาชิกเพิ่มเป็นหลัก โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ที่ค่อนข้างสูงเป็นสิ่งดึงดูดใจ ในช่วงแรกมักจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้เข้าร่วมลงทุนตรงตามเวลาเพื่อกระตุ้นให้มีการร่วมลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่ไม่สามารถหาสมาชิกเพิ่มได้ ก็จะปิดตัวหนีไป ตัวอย่างแชร์ข้าวสาร หรือแชร์ก๋วยเตี๋ยวบางกอก เป็นต้น
ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง จัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อจำหน่ายสินค้าถูกต้องตามกฎหมาย อาศัยธุรกิจขายตรงหลายชั้นแบบ MLM โดยมีสินค้าคุณภาพต่ำ ที่ราคาค่อนข้างสูงเป็นการบังหน้า และอาศัยทีมงาน ที่มีความชำนาญ เช่น มีต่างชาติเข้าร่วมทุน ในการโฆษณาชวนเชื่อ ชักชวนประชาชนให้สมัครเป็นสมาชิกกับบริษัทต่อกันไปเรื่อยๆ แบบลูกโซ่
ยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่มีการลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบทนสูงเกินจริง ขอให้คิดเสมอว่า อย่าโลภ จนหลงตกเป็นเหยื่อให้กลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงเงินไปได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211462
โดย กนกวรรณ บุญประเสริฐ
การระบาดของธุรกิจนอกระบบอย่างแชร์ลูกโซ่ ในรอบปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนา รูปแบบ โดยการแอบแฝงกับธุรกิจอื่นที่ทำเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย อย่างธุรกิจขายตรง ธุรกิจแฟรนไชส์ เช่น แชร์ข้าวสาร, แชร์ลูกโซ่, แชร์ก๋วยเตี๋ยวบางกอก, แชร์เครื่องดื่มชูกำลัง และแชร์บัตรเติมเงิน รวมไปถึงการทำธุรกิจผ่านทางอินเทอร์เน็ต จนมีประชาชนที่ถูกหลอกและได้รับความเสียหายจากเครือข่ายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
ทำให้หลายคนตั้งประเด็นว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่หลอกง่าย ขาดสติ และตกอยู่ในความโลภ ทำให้มีคนจำนวนมากยังหลงตกเป็นเหยื่อของธุรกิจหลอกลวงเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ
ขณะที่นักวิชาการมองว่า การที่ธุรกิจดังกล่าวยังสามารถหลอกลวงประชาชนมาได้หลายยุคหลายสมัย ส่วนหนึ่งเพราะกฎหมายที่ล้าสมัย บทลงโทษอ่อนด้อยไม่รุนแรง จึงไม่สามารถสร้างความเกรงกลัว หรือยังรับมือไม่เท่าทันกับวิวัฒนาการของกลโกงสารพัดรูปแบบที่เหล่ามิจฉาชีพ พัฒนาวิธีการใหม่ๆ ให้คนหลงเข้าไปเป็นเหยื่อ เช่น กรณีของแชร์แม่ชม้อย ในปี 2527 ซึ่งนางชม้อย ทิพย์โส และพวกรวม 8 คน ได้หลอกลวงคนเล่นแชร์น้ำมัน ได้รับความเสียหายกว่า 1.6 หมื่นราย รวมเป็นเงินกว่า 4 พันล้านบาท แต่กลับได้รับโทษจำคุกจริงเพียง 7 ปี 11 เดือน เพราะได้ลดโทษ 2 ครั้ง จากโทษอาญาทั้งหมดที่สั่งให้จำคุกฐานฉ้อโกงประชาชนนานถึง 1.54 แสนปี เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญาให้จำคุกได้สูงสุดไม่เกิน 20 ปี!!!!
นายกมล กมลตระกูล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ความสำคัญเรื่องการปราบปรามธุรกิจนอกระบบอย่างมาก โดยเฉพาะคดีแชร์ ลูกโซ่ในสหรัฐ ถือเป็นเรื่องคดีอาญา เพราะทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับการค้า มีอำนาจฟ้องศาลยึดทรัพย์ และปิดกิจการของบริษัทที่ทำให้ประชาชนเสียหาย
นอกจากนี้ กฎหมายยังมีบทลงโทษที่น่าสนใจ เป็นรูปแบบที่กฎหมายของไทยไม่มี และควรนำไปศึกษาคือ การให้สมาชิกหรือผู้ลงทุนซื้อสินค้า ต้องเข้าข่ายเป็นผู้ที่กระทำความผิดด้วย เพราะถือว่าเป็นผู้หาสมาชิกเข้ามาร่วมวงเพิ่ม นอกเหนือจากผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการที่ต้องรับโทษอยู่แล้ว ก็เพิ่มโทษให้คนเล่น ต้องรับโทษตามด้วย
ถ้าเป็นกฎหมายของไทย จะตามจับกันแต่เพียง ผู้ประกอบการอย่างเดียว คนเล่นไม่เกี่ยว ซึ่งเรื่องนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆ กับเรื่องของโสเภณี ที่คนเที่ยวไม่ถูกจับ แต่เจ้าของกิจการหรือโสเภณีถูกจับ แต่ที่สหรัฐกฎหมายกำหนดให้จับหมดทั้งคนเที่ยว เจ้าของกิจการและโสเภณี นายกมล กล่าว
นายกมล กล่าวอีกว่า สาเหตุที่เสนอให้คนเล่นจะต้องถูกจับด้วยนั้น ถือว่ามีข้อดีตรงที่สามารถจำกัดคนเข้าร่วมวงแชร์ได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ทำผิดกฎหมาย เหมือนกฎหมายการพนัน คนไหนเล่นถือว่าคนนั้นทำผิด ซึ่งเชื่อว่าหากเจ้าหน้าที่นำมาตรานี้มาใช้ จะช่วยป้องกันคนเข้ามาสู่วงจรแชร์ลูกโซ่ได้เกือบ 100% เพราะถือว่าเป็นกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ทำให้คนเล่นมีวิจารณญาณในการลงทุนมากขึ้น
นายจิระ พันธ์คีรี เศรษฐกรระดับ 8 กลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแชร์ลูกโซ่ ได้แก่ พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องการแก้ไขกฎหมายร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อแก้ไข พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527
เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันได้ถูกใช้มานาน จึงต้องการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย ซึ่งในปัจจุบันผู้กระทำความผิดมีโทษจำคุก 5-10 ปี ปรับเพียง 5 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท หรือหากยังฝ่าฝืนในช่วงสั่งหยุด ดำเนินการ ปรับวันละ 1 หมื่นบาท
สำหรับกฎหมายใหม่คาดว่าจะเพิ่มโทษจำคุกเป็น 10-20 ปี และปรับ 5-10 ล้านบาท และสามารถสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อนำทรัพย์ที่ยึดได้มาเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย ทั้งนี้ คาดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือเพื่อสรุปเรื่องดังกล่าวในช่วงต้นปี 2551 นี้
นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐ 5 แห่ง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.), กระทรวงการคลัง, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 เพื่อร่วมมือกันกวาดล้างธุรกิจแชร์ลูกโซ่ไม่ให้ระบาดหนักในสังคมเช่นปัจจุบัน
รู้ทันก่อนตกเป็นเหยื่อ
สำหรับวิธีการป้องกันตัวเองให้พ้นจากการเป็นเหยื่อจากธุรกิจ แชร์ลูกโซ่ และขายตรงหลายชั้นแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่นั้น ให้สังเกตว่า มิจฉาชีพจะอาศัยช่องทางผ่านบุคคลต่างๆ ที่รู้จักกันก่อนและไปหาสมาชิกที่เนื้อเชื่อใจกันเพิ่ม ต่อจากนั้นจะขยายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น เน้นการระดมทุนจากการหาสมาชิกเพิ่มเป็นหลัก โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ที่ค่อนข้างสูงเป็นสิ่งดึงดูดใจ ในช่วงแรกมักจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้เข้าร่วมลงทุนตรงตามเวลาเพื่อกระตุ้นให้มีการร่วมลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่ไม่สามารถหาสมาชิกเพิ่มได้ ก็จะปิดตัวหนีไป ตัวอย่างแชร์ข้าวสาร หรือแชร์ก๋วยเตี๋ยวบางกอก เป็นต้น
ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง จัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อจำหน่ายสินค้าถูกต้องตามกฎหมาย อาศัยธุรกิจขายตรงหลายชั้นแบบ MLM โดยมีสินค้าคุณภาพต่ำ ที่ราคาค่อนข้างสูงเป็นการบังหน้า และอาศัยทีมงาน ที่มีความชำนาญ เช่น มีต่างชาติเข้าร่วมทุน ในการโฆษณาชวนเชื่อ ชักชวนประชาชนให้สมัครเป็นสมาชิกกับบริษัทต่อกันไปเรื่อยๆ แบบลูกโซ่
ยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่มีการลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบทนสูงเกินจริง ขอให้คิดเสมอว่า อย่าโลภ จนหลงตกเป็นเหยื่อให้กลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงเงินไปได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211462
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 568
สภาอุตฯ เชื่อเศรษฐกิจปีหน้าดีขึ้นจากหลายปัจจัยบวก
Posted on Thursday, December 27, 2007
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2550 จะขยายตัวได้ถึง 4.5% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งออกที่น่าจะขยายตัวถึง 15% ส่วนเศรษฐกิจปี 2551 จะดีกว่าปี 2550 จากการส่งออกที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็จำเป็นต้องเร่งสร้างผลงานโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะทำให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่มีความคืบหน้า ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนก็จะขยายตัวดีขึ้น สังเกตได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวเลขการขอส่งเสริมการลงทุนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไทยก็มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่มากระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานเฉพาะด้าน โดยผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางก็ไปทำงานต่างประเทศ เพื่อรับผลตอบแทนที่สูงกว่าในไทย ปัญหาเงินบาทแข็งค่า และปัญหาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจเช่นกัน
นายสันติบอกว่า ถึงแม้ไทยประสบปัญหาหลายอย่างในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จนกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนต่างชาติทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ ต่างก็วางใจให้ไทยเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง หากต้องการเข้ามาลงทุนในอาเซียน เนื่องจากไทยมีความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้า น้ำประปา และถนน มากที่สุด นอกจากนี้ การที่ประเทศในอาเซียนจะเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันในอีก 2 ปีข้างหน้า ก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยสามารถขยายธุรกิจไปในอาเซียนได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าการเปิดเขตการค้าเสรีของไทยกับประเทศต่าง ๆ จะทำให้การค้าของไทยขยายตัวดี แต่ก็ยังมีอุตสาหกรรมบางประเภทได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้ตั้งกองทุนมูลค่า 100 ล้านบาท และกำลังจะขยายเป็น 500 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี
นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้เตรียมงบประมาณปี 2551 ไว้ประมาณ 3 4 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย เนื่องจากธุรกิจ SMEs คิดเป็น 80 90% ของธุรกิจทั้งหมด และในอนาคตธุรกิจ SMEs ไทยจะไม่ได้แข่งขันเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่จะต้องแข่งกับต่างประเทศด้วย ดังนั้น ถ้าธุรกิจ SMEs ไทยไม่ปรับตัว ก็จะไม่สามารถแข่งขันได้
ประธาน ส.อ.ท. เผยว่า จากการสอบถามสมาชิกเกี่ยวกับปัจจัยที่น่าเป็นห่วงในปี 2551 พบว่า ปัญหาเรื่องพลังงานเป็นสิ่งที่สมาชิกกังวลมากที่สุด เพราะเป็นต้นทุนที่สำคัญของการทำธุรกิจ รองลงมาคือ ปัญหาการเมือง โดยสมาชิกอยากได้รัฐบาลที่มีความมั่นคง มีความสมานฉันท์ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้ รวมถึงอยากให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาเรื่องค่าครองชีพของประชาชนด้วย
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่อยากให้รัฐบาลใหม่รีบดำเนินการ คือ การเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เพราะเพียงแค่รัฐบาลทำสัญญา ก็จะเป็นผลดีทางจิตวิทยาทันที ส่วนมาตรการระยะยาว ก็อยากให้รัฐบาลสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนจากภาคเอกชน เนื่องจากขณะนี้การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์น ซีบอร์ด ใกล้เต็มแล้ว
นายสันติยังกล่าวถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในทุกด้าน แต่ขอให้สามารถบริหารจัดการ และประสานความสามัคคีของบุคคลในพรรคได้ สำหรับนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงาน แต่เนื่องจากบุคลิกของนายสมัครมีลักษณะของความแข็งกร้าว ดังนั้น ถ้าหากนายสมัครได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะต้องปรับลดความแข็งกร้าวลงบ้าง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 27, 2007
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2550 จะขยายตัวได้ถึง 4.5% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งออกที่น่าจะขยายตัวถึง 15% ส่วนเศรษฐกิจปี 2551 จะดีกว่าปี 2550 จากการส่งออกที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็จำเป็นต้องเร่งสร้างผลงานโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะทำให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่มีความคืบหน้า ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนก็จะขยายตัวดีขึ้น สังเกตได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวเลขการขอส่งเสริมการลงทุนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไทยก็มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่มากระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานเฉพาะด้าน โดยผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางก็ไปทำงานต่างประเทศ เพื่อรับผลตอบแทนที่สูงกว่าในไทย ปัญหาเงินบาทแข็งค่า และปัญหาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจเช่นกัน
นายสันติบอกว่า ถึงแม้ไทยประสบปัญหาหลายอย่างในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จนกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนต่างชาติทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ ต่างก็วางใจให้ไทยเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง หากต้องการเข้ามาลงทุนในอาเซียน เนื่องจากไทยมีความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้า น้ำประปา และถนน มากที่สุด นอกจากนี้ การที่ประเทศในอาเซียนจะเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันในอีก 2 ปีข้างหน้า ก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยสามารถขยายธุรกิจไปในอาเซียนได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าการเปิดเขตการค้าเสรีของไทยกับประเทศต่าง ๆ จะทำให้การค้าของไทยขยายตัวดี แต่ก็ยังมีอุตสาหกรรมบางประเภทได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้ตั้งกองทุนมูลค่า 100 ล้านบาท และกำลังจะขยายเป็น 500 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี
นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้เตรียมงบประมาณปี 2551 ไว้ประมาณ 3 4 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย เนื่องจากธุรกิจ SMEs คิดเป็น 80 90% ของธุรกิจทั้งหมด และในอนาคตธุรกิจ SMEs ไทยจะไม่ได้แข่งขันเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่จะต้องแข่งกับต่างประเทศด้วย ดังนั้น ถ้าธุรกิจ SMEs ไทยไม่ปรับตัว ก็จะไม่สามารถแข่งขันได้
ประธาน ส.อ.ท. เผยว่า จากการสอบถามสมาชิกเกี่ยวกับปัจจัยที่น่าเป็นห่วงในปี 2551 พบว่า ปัญหาเรื่องพลังงานเป็นสิ่งที่สมาชิกกังวลมากที่สุด เพราะเป็นต้นทุนที่สำคัญของการทำธุรกิจ รองลงมาคือ ปัญหาการเมือง โดยสมาชิกอยากได้รัฐบาลที่มีความมั่นคง มีความสมานฉันท์ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้ รวมถึงอยากให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาเรื่องค่าครองชีพของประชาชนด้วย
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่อยากให้รัฐบาลใหม่รีบดำเนินการ คือ การเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เพราะเพียงแค่รัฐบาลทำสัญญา ก็จะเป็นผลดีทางจิตวิทยาทันที ส่วนมาตรการระยะยาว ก็อยากให้รัฐบาลสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนจากภาคเอกชน เนื่องจากขณะนี้การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์น ซีบอร์ด ใกล้เต็มแล้ว
นายสันติยังกล่าวถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในทุกด้าน แต่ขอให้สามารถบริหารจัดการ และประสานความสามัคคีของบุคคลในพรรคได้ สำหรับนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงาน แต่เนื่องจากบุคลิกของนายสมัครมีลักษณะของความแข็งกร้าว ดังนั้น ถ้าหากนายสมัครได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะต้องปรับลดความแข็งกร้าวลงบ้าง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 569
บล. ธนชาต ชี้หุ้นไทยอนาคตสดใสรับเศรษฐกิจโตปี 2551
Posted on Thursday, December 27, 2007
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล. ธนชาต กล่าวว่า ในระยะนี้เริ่มมีเสียงตอบรับที่ดีกับผลการเลือกตั้งแล้ว แต่ก็ยังคงต้องติดตามต่อไปว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร ซึ่งหากภาครัฐได้เริ่มขยับขยายการลงทุนมากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังภาคเอกชนได้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ยังมีระดับ P/E ต่ำกว่าตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้าน แต่บริษัทจดทะเบียนก็มีผลประกอบการที่ดีไม่แพ้บริษัทในตลาดหุ้นอื่น จึงเชื่อว่าราคาหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก
สำหรับปัจจัย January Effect นั้น นายพิชัยมองว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังไม่เคยได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวเลย เพราะมีโครงสร้างทางภาษีหรือวิธีการคำนวณภาษีที่แตกต่างจากสหรัฐฯ และไทยก็มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติเพียง 1 ใน 3 ของนักลงทุนทั้งหมดเท่านั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นตลาดต่างประเทศในช่วงต้นปีมักจะปรับลดลงบ้าง แต่ไม่มีผลกับหุ้นไทย
นายพิชัยกล่าวด้วยว่า ในระยะนี้เป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะใช้เวลาทบทวนพอร์ตการลงทุนของตนเองว่า หุ้นที่ถือไว้มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีหรือจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวขึ้นหรือไม่ เพราะเชื่อว่าในปี 2551 หุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่โดดเด่นในปี 2550 ก็อาจจำเป็นต้องเลือกลงทุนรายตัวในปี 2551 แทน
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 27, 2007
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล. ธนชาต กล่าวว่า ในระยะนี้เริ่มมีเสียงตอบรับที่ดีกับผลการเลือกตั้งแล้ว แต่ก็ยังคงต้องติดตามต่อไปว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร ซึ่งหากภาครัฐได้เริ่มขยับขยายการลงทุนมากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังภาคเอกชนได้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ยังมีระดับ P/E ต่ำกว่าตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้าน แต่บริษัทจดทะเบียนก็มีผลประกอบการที่ดีไม่แพ้บริษัทในตลาดหุ้นอื่น จึงเชื่อว่าราคาหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก
สำหรับปัจจัย January Effect นั้น นายพิชัยมองว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังไม่เคยได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวเลย เพราะมีโครงสร้างทางภาษีหรือวิธีการคำนวณภาษีที่แตกต่างจากสหรัฐฯ และไทยก็มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติเพียง 1 ใน 3 ของนักลงทุนทั้งหมดเท่านั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นตลาดต่างประเทศในช่วงต้นปีมักจะปรับลดลงบ้าง แต่ไม่มีผลกับหุ้นไทย
นายพิชัยกล่าวด้วยว่า ในระยะนี้เป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะใช้เวลาทบทวนพอร์ตการลงทุนของตนเองว่า หุ้นที่ถือไว้มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีหรือจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวขึ้นหรือไม่ เพราะเชื่อว่าในปี 2551 หุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่โดดเด่นในปี 2550 ก็อาจจำเป็นต้องเลือกลงทุนรายตัวในปี 2551 แทน
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 570
รายชื่อหลักทรัพย์ที่นำมาใช้ในการคำนวณดัชนี SET100 ตั้งแต่ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 51
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, December 27, 2007
ธุรกิจการเกษตร
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF
อาหารและเครื่องดื่ม
บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) KSL
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) MINT
บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) TIPCO
บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) TUF
ธนาคาร
ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) ACL
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK
ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) KK
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB
ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) SCIB
ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) TISCO
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMB
เงินทุนและหลักทรัพย์
บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) ASL
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ASP
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) BLS*
บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KEST
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KGI
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTC
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) PHATRA
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) TCAP
บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ZMICO
ยานยนต์
บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) AH
บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) SAT
บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) STANLY
วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร
บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) GSTEEL
บริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (มหาชน) NSM
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) SSI
ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTCH
บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) TPC
วัสดุก่อสร้าง
บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) DCC
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) SCCC
บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) TASCO
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) TPIPL
บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) TSTH
พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) AMATA
บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) AP
บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) BLAND
บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) HEMRAJ
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ITD
บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) LH
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) LPN
บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) MBK
บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) METRO
บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) NCH
บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) NNCL
บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) PLE
บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) PS
บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) QH
บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ROJANA
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) SIRI
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) SPALI
บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) STEC
บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) TICON
บริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) TYONG
พลังงานและสาธารณูปโภค
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) BANPU
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) EGCO
บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) GLOW
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) IRPC
บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) LANNA
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT
บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) PTTAR*
บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) PTTEP
บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) RATCH
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) TOP
เหมืองแร่
บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) PDI
พาณิชย์
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) HMPRO
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) LOXLEY
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO
บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) ROBINS
การแพทย์
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) BGH
บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) BH
บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) KH
สื่อและสิ่งพิมพ์
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) BEC
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) MAJOR
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) MCOT
บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) RS
การท่องเที่ยวและสันทนาการ
บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ERAWAN
ขนส่งและโลจิสติกส์
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT
บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BECL
บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) PSL
บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) RCL
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) THAI
บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) TTA
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) CCET
บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) DELTA
บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) HANA
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ADVANC
บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) FORTH
บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) JAS
บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SAMART
บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) SATTEL
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) TRUE
บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) TT&T
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, December 27, 2007
ธุรกิจการเกษตร
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF
อาหารและเครื่องดื่ม
บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) KSL
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) MINT
บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) TIPCO
บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) TUF
ธนาคาร
ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) ACL
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK
ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) KK
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB
ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) SCIB
ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) TISCO
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMB
เงินทุนและหลักทรัพย์
บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) ASL
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ASP
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) BLS*
บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KEST
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KGI
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTC
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) PHATRA
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) TCAP
บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ZMICO
ยานยนต์
บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) AH
บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) SAT
บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) STANLY
วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร
บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) GSTEEL
บริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (มหาชน) NSM
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) SSI
ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTCH
บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) TPC
วัสดุก่อสร้าง
บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) DCC
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) SCCC
บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) TASCO
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) TPIPL
บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) TSTH
พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) AMATA
บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) AP
บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) BLAND
บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) HEMRAJ
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ITD
บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) LH
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) LPN
บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) MBK
บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) METRO
บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) NCH
บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) NNCL
บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) PLE
บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) PS
บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) QH
บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ROJANA
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) SIRI
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) SPALI
บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) STEC
บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) TICON
บริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) TYONG
พลังงานและสาธารณูปโภค
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) BANPU
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) EGCO
บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) GLOW
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) IRPC
บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) LANNA
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT
บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) PTTAR*
บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) PTTEP
บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) RATCH
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) TOP
เหมืองแร่
บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) PDI
พาณิชย์
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) HMPRO
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) LOXLEY
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO
บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) ROBINS
การแพทย์
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) BGH
บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) BH
บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) KH
สื่อและสิ่งพิมพ์
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) BEC
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) MAJOR
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) MCOT
บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) RS
การท่องเที่ยวและสันทนาการ
บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ERAWAN
ขนส่งและโลจิสติกส์
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT
บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BECL
บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) PSL
บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) RCL
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) THAI
บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) TTA
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) CCET
บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) DELTA
บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) HANA
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ADVANC
บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) FORTH
บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) JAS
บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SAMART
บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) SATTEL
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) TRUE
บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) TT&T
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx