ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 511
ตลท.จับมือแบงก์-โบรกฯ เปิดซื้อขายหุ้นในธนาคาร-ศูนย์การค้า
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 ธันวาคม 2550 17:40 น.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยกลยุทธ์ขยายฐานผู้ลงทุนปี 2551 เน้นเพิ่มช่องทางให้ผู้ลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกสบายมากขึ้น เร่งทำงานร่วมกับบล. และธนาคารพาณิชย์ เปิดสาขาย่อย และสาขาออนไลน์ ในธนาคาร และห้างสรรพสินค้า มากขึ้น หลังผลสำรวจพบผู้ลงทุนจะหันมาสนใจซื้อขายหุ้น หากบริษัทหลักทรัพย์ไปเปิดสาขาในสถานที่ที่สะดวก อาทิ ห้างสรรพสินค้าและธนาคาร ตั้งเป้ามีสาขาเพิ่ม 40 แห่งปี 2551
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน จัดทำโครงการวิจัยนักลงทุน (Investor Research Program) และได้พบว่าการเข้าถึงแหล่งการให้บริการ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มีผู้สนใจซื้อขายหุ้นมากขึ้น
ผลการสำรวจพบว่า หากบริษัทหลักทรัพย์ไปเปิดให้บริการในสถานที่ที่สะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้าและธนาคาร จะสนใจซื้อขายหุ้นมากขึ้น ทั้งนี้ ร้อยละ 30 เป็นผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินผ่านธนาคารเนื่องจากมีความเชื่อมั่นในธนาคาร และการมีพนักงานคอยแนะนำอย่างใกล้ชิด
ในปี 2551 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะเน้นการทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยจะสนับสนุนให้บริษัทหลักทรัพย์ตั้งสาขาในธนาคาร และสาขาขนาดเล็กบนห้างสรรพสินค้า เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึง การลงทุนได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถเข้าถึงผู้ลงทุนได้ด้วยงบประมาณที่น้อยลง โดยการเปิดสาขาในลักษณะนี้ใช้งบประมาณเริ่มต้นประมาณ 4 แสนบาทเท่านั้น นายเก่งกล้ากล่าว
สาขาขนาดเล็กให้บริการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และการรับคำสั่งซื้อขาย โดยผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่จัดไว้ให้บริการ รวมทั้งบางสาขาจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการและแนะนำด้านการลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2550 มีสาขาขนาดเล็กและสาขาออนไลน์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในธนาคารหรือศูนย์การค้าแล้วรวม 27 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นภาคเหนือ 4 แห่ง ภาคใต้ 8 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง ภาคตะวันออก 1 แห่ง และภาคกลาง 10 แห่ง โดยมีธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารธนชาต เข้าร่วมโครงการในระยะแรกนี้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000145312
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 ธันวาคม 2550 17:40 น.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยกลยุทธ์ขยายฐานผู้ลงทุนปี 2551 เน้นเพิ่มช่องทางให้ผู้ลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกสบายมากขึ้น เร่งทำงานร่วมกับบล. และธนาคารพาณิชย์ เปิดสาขาย่อย และสาขาออนไลน์ ในธนาคาร และห้างสรรพสินค้า มากขึ้น หลังผลสำรวจพบผู้ลงทุนจะหันมาสนใจซื้อขายหุ้น หากบริษัทหลักทรัพย์ไปเปิดสาขาในสถานที่ที่สะดวก อาทิ ห้างสรรพสินค้าและธนาคาร ตั้งเป้ามีสาขาเพิ่ม 40 แห่งปี 2551
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน จัดทำโครงการวิจัยนักลงทุน (Investor Research Program) และได้พบว่าการเข้าถึงแหล่งการให้บริการ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มีผู้สนใจซื้อขายหุ้นมากขึ้น
ผลการสำรวจพบว่า หากบริษัทหลักทรัพย์ไปเปิดให้บริการในสถานที่ที่สะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้าและธนาคาร จะสนใจซื้อขายหุ้นมากขึ้น ทั้งนี้ ร้อยละ 30 เป็นผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินผ่านธนาคารเนื่องจากมีความเชื่อมั่นในธนาคาร และการมีพนักงานคอยแนะนำอย่างใกล้ชิด
ในปี 2551 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะเน้นการทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยจะสนับสนุนให้บริษัทหลักทรัพย์ตั้งสาขาในธนาคาร และสาขาขนาดเล็กบนห้างสรรพสินค้า เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึง การลงทุนได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถเข้าถึงผู้ลงทุนได้ด้วยงบประมาณที่น้อยลง โดยการเปิดสาขาในลักษณะนี้ใช้งบประมาณเริ่มต้นประมาณ 4 แสนบาทเท่านั้น นายเก่งกล้ากล่าว
สาขาขนาดเล็กให้บริการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และการรับคำสั่งซื้อขาย โดยผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่จัดไว้ให้บริการ รวมทั้งบางสาขาจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการและแนะนำด้านการลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2550 มีสาขาขนาดเล็กและสาขาออนไลน์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในธนาคารหรือศูนย์การค้าแล้วรวม 27 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นภาคเหนือ 4 แห่ง ภาคใต้ 8 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง ภาคตะวันออก 1 แห่ง และภาคกลาง 10 แห่ง โดยมีธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารธนชาต เข้าร่วมโครงการในระยะแรกนี้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000145312
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 512
Main Story: 10 โจทย์กำหนดเศรษฐกิจไทย ปี 2551
Posted on Friday, December 07, 2007
คนไทยส่วนใหญ่ตั้งความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งไว้ว่าจะดีกว่ารัฐบาลชุดก่อนหน้า เพราะประเทศกำลังกลับเข้าสู่ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย รัฐบาลจะทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้งด้วย ซึ่งรวมถึงการปวารณาตัวเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ-การเมือง-สังคมของประเทศชาติ โดยโจทย์ใหญ่ที่สำคัญคือ การฟื้นเศรษฐกิจไทย ที่มีโจทย์ย่อยแฝงอยู่ในหลายมิติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ สำหรับทีมเศรษฐกิจของ (ว่าที่) รัฐบาลใหม่ ที่ต้องเผชิญการแก้ปัญหา และพิสูจน์ฝีมือให้ทุกฝ่ายเห็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็คือ
โจทย์แรก - ความสามารถทางการแข่งขัน คำถามที่รัฐบาลใหม่ต้องตอบ
ปัจจุบันแม้ว่าไทยจะยังมีอัตราส่วนการส่งออกอยู่ในระดับสูง แต่ความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสักเท่าใด สังเกตได้จากคู่แข่งทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย แต่ปัจจุบัน ไทยต้องหันไปแข่งขันกับเวียดนามแทนและมีโอกาสแพ้เสียด้วย
ดังนั้น หากไทยยังไม่สามารถพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจได้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน เพราะในอนาคตแนวโน้มดอลลาร์อ่อน เงินบาทแข็ง จะยังเป็นแนวโน้มระยะยาว ประเทศที่ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะแรงงานที่ถูกกว่า อย่างจีนและเวียดนามจะได้เปรียบมาก
รศ.ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ให้ความเห็นว่าภาคการผลิตของประเทศไทยอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบทางการแข่งขันอย่างมาก
ถ้าเปรียบไทยเป็นนักมวยเหมือนนักมวยอายุ 40 ปี ประเทศเกิดใหม่เป็นนักมวยอายุ 20 ปี ขึ้นก็แพ้ เพราะไม่ดูศักยภาพตัวเองทำได้แค่ไหน แก่แล้วยังชกมวยอยู่อีกแทนที่จะปรับเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หันไปผลิตสินค้าอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องมาชกกับเด็กที่ใหม่สด ค่าแรงถูก ใช้เครื่องจักรรุ่นใหม่ที่ดีกว่า
การบ้านที่ ดร. สมภพฝากไปยังรัฐบาลใหม่ คือ ต้องแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาการผลิตไปให้ถูกทาง หน่วยงานของรัฐและนักการเมืองต้องมองเศรษฐกิจในภาพยาว 10-20 ปี ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการผลิตย่ำอยู่กับที่ จนประเทศที่ล้าหลังแซงหน้าอย่างที่เป็นอยู่
โจทย์ข้อ 2 - FDI ตัวแปรสำคัญทางเศรษฐกิจ
บทวิจัยของดร.ชฎิล โรจนานนท์ สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งเสริม FDI ของไทย : การศึกษาโดยใช้อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate) ระบุว่า การลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีส่วนสำคัญ ต่อการพัฒนาของประเทศไทย ทั้งนี้ FDI มีส่วนในการยกระดับความสามารถในการผลิตสินค้า ของอุตสาหกรรมของไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
เนื่องจาก FDI มีคุณลักษณะที่แตกต่างจากเงินลงทุนประเภทอื่นๆ คือ บริษัทและแรงงานไทยจะได้รับผลพลอยได้จาก FDI ในรูปแบบของการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาฝีมือแรงงาน และระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล หรือเรียกว่า Spillover Effects
ดังนั้น รัฐบาลของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ต่างพยายามที่จะแข่งขันกัน โดยใช้มาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและที่มิใช่ภาษี เพื่อดึงดูดนักลงทุน หรือบริษัทข้ามชาติ ให้มาลงทุนในประเทศของตน เนื่องจากสินค้าทุนในปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายได้รวดเร็วมากขึ้น ทำให้การแข่งขันทางภาษีเป็นมาตรการจูงใจสำคัญต่อนักลงทุนต่างชาติ
ข้อมูลของ UNCTAD พบว่าเมื่อจัดอันดับเปรียบเทียบระหว่างระดับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Performance) กับศักยภาพ (FDI Potential) พบว่าระดับการลงทุนและศักยภาพในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ ปี 2533-2547 ระดับการจัดอันดับ FDI Performance ของไทยมีต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีระดับที่ 17 ในปี 2533 และอยู่อันดับที่ 107 ในปี 2548 สำหรับ FDI Potential ของไทยมีต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีระดับที่ 40 ในปี 2533 และอยู่อันดับที่ 59 ในปี 2548
แม้ว่ารัฐบาลในชุดที่ผ่านๆ มา จะใช้นโยบายเรื่องมาตรการภาษี ในการจูงใจนักลงทุนต่างชาติ ให้มาลงทุนในไทย โดยตัวเลขอัตราภาษีภาษีที่แท้จริงของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอาเซียนมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันด้วยค่าแรงและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ทำให้อัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำกว่า ก็ไม่สามารถดึงดูดใจนักลงทุนต่างชาติ ได้มากนัก
รัฐบาลใหม่จึงต้องพิจารณาถึงวิถีทางในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนแบบระยะยาวจากต่างชาติ ให้ได้ด้วยหนทางอื่น ซึ่งอาจจะเป็นการกลับไปสร้างรากฐานของเศรษฐกิจไทยให้มีความเข็มแข็ง และพัฒนาความสามารถทางการผลิตให้มีมูลค่าเพิ่ม มิใช่แข่งขันกันที่ค่าแรงหรือต้นทุนการผลิตอีกต่อไป
โจทย์ข้อ 3 - ส่งออก พระเอกตลอดกาล
ย้อนไปดูตัวเลขการส่งออกของไทย รายงานโดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร พบว่าตั้งแต่ปี 2535 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 8.24 แสนล้านบาท ก่อนจะเติบโตสู่ระดับล้านล้านบาทเป็นครั้งแรกในปี 2537 ด้วยมูลค่า 1.13 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2540 ตัวเลขการส่งออกเติบโตเป็น 1.8 ล้านล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 28 % ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการขยายตัวในระดับน่าพอใจมาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าตัวเลขใน 3 ปีย้อนหลัง มีความชัดเจนว่าส่งออกไทยเริ่มเติบโตในระดับชะลอตัว โดยในปี 47 49 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 3.87, 4.43 และ 4.93 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวที่ 16.5%, 14.6% และ 11.2% ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้มุมมองว่าเป็นการสะท้อนถึงความสามารถด้านการแข่งขันที่ลดลงของไทย จากปัญหาเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยใน 9 เดือนของปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไป 4.8% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ขณะที่เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น 3.4% ส่วนเงินด่องเวียดนามและรูเปียห์อินโดนีเซียอ่อนค่าลงเล็กน้อย ไทยจึงอยู่ในสถานะเสียเปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ทั้งนี้ แม้ส่งออกไทยจะมีข่าวดีจากการเติบโตของตลาดส่งออกใหม่ๆ ทั้งอินเดีย ยุโรปตะวันออก ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และจีน แต่ประเมินว่าปัจจัยลบที่ยังไม่มีทีท่าจะหมดไปง่ายๆ นั้นจะเป็นตัวกดดันยอดส่งออกในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ถึงปีหน้าให้ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
สันติ วิลาสศักดิ์ดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งเปิดตลาดใหม่ ผลักดันให้มีการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า โดยมีภาครัฐเป็นหัวหอกเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ขณะที่แบงก์ชาติก็ต้องดูแลรักษาเสถียรภาพค่าเงินให้มีความผันผวนน้อยที่สุด
ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มองว่าถ้าค่าเงินอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก็น่าพอใจแล้ว แต่ที่ต้องการที่สุดก็คือการรักษาค่าเงินให้ผันผวนน้อยที่สุด หากรัฐบาลใหม่ทำได้ผมคิดว่าส่งออกไทยปีหน้าจะไปได้สวย สันติ กล่าว
โจทย์ข้อ 4 - Mega Project พูดง่าย ทำได้แค่ไหน
ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่า Mega Project จะกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ นอกเหนือปัญหาจากภาคการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน และข้อสงสัยเรื่องความตั้งใจจริงในการปฎิบัติแล้ว ปัญหาเรื่องแหล่งที่มาของเงินลงทุนและความสมดุลของเศรษฐกิจคือสิ่งสำคัญ
การระดมเงินจำนวนมากเพื่อ Mega Project ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกพรรคการเมืองที่ชูนโยบายนี้ ต่างก็บอกว่ามีวิธีการที่ทำได้อยู่ในใจ แต่ยังไม่มีใครบอกวิธีการที่ชัดเจนออกมา ปัจจุบันการระดมทุนของภาครัฐมีได้หลายวิธี ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น การใช้เงินงบประมาณและเงินกำไรของรัฐวิสาหกิจที่มีข้อจำกัดเรื่องการจัดทำงบประมาณ การหารายได้ของรัฐ การกู้ยืมจากทั้งในและนอกประเทศ ที่มีข้อจำกัดเรื่องแหล่งเงินกู้ในประเทศ
ส่วนการกู้เงินจากนอกประเทศ อย่างธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ก็มีกฎหมายเรื่องการก่อหนี้ต่างประเทศคอยควบคุม ส่วนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุน ก็ติดปัญหาการคัดค้านอย่างที่ทราบกัน การออกตราสารรูปแบบใหม่ การทำ Securitization การตั้ง SPV ก็ซับซ้อนและมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย
อีกวิธีหนึ่ง คือการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปของ Public Private Partnership (PPP) มีสองรูปแบบคือ การที่รัฐยังเป็นเจ้าของกิจการ และให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น การให้สัมปทาน และ การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการในบางส่วนหรือบางช่วงเวลา แต่การทำ PPP ของไทยเอกชนจะมีความเสี่ยงสูง เพราะใช้เงินลงทุนสูง ใช้เวลานานกว่าจะได้ประโยชน์กลับคืน
อีกทั้งความไม่แน่นอนต่างๆ เช่น นโยบายภาครัฐ งบลงทุนบานปลาย รายได้รับในอนาคตไม่เป็นไปตามแผน ทำให้การดำเนินการในรูปแบบ PPP ของไทยไม่ง่ายเหมือนในต่างประเทศ
ปัญหาต่อมา คือ การรักษาสมดุลของเศรษฐกิจระหว่างดำเนินการ Mega Project หากรัฐบาลเจ้าของโครงการดูแลไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางเศรษฐกิจได้ เช่น เรื่องการรักษาระดับดุลบัญชีเดินสะพัด การรักษาระดับหนี้ต่างประเทศต่อ GDP อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
โจทย์ข้อ 5 - มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว
ปัจจัยเรื่องเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ราคาทัวร์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 10% โดยเฉพาะประเทศที่ต้องแลกเปลี่ยนเงินจากสกุลดอลลาร์สหรัฐได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวก็ปรับลดลงในอัตราราว 10% ต่อคนจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนี้เอง
ปีนี้จึงไม่ใช่ปีทองสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวเท่าไรนัก ภาครัฐบาลเองก็ไม่ได้มีนโยบายอะไรที่จะมากระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนในปีก่อนๆ แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งนับว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววงานเทศกาล หรือมหกรรมการท่องเที่ยวอะไรที่ใหญ่พอจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศได้มากนัก
อภิชาต สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว กล่าวว่า ประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ให้ความสำคัญเรื่องการท่องเที่ยว จัดสรรงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก แต่สำหรับประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น
ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละปีก็ไม่น้อย แต่งบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับส่วนนี้ถือว่าน้อยมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับคาดการณ์รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6 แสนล้านบาท กับการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกประมาณ 3 แสนล้าน รวมแล้วเกือบล้านล้านบาท แต่งบประมาณที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือ ททท.ได้รับในแต่ละปี ยังไม่ถึง 1% ของรายได้
แนวโน้มในปีหน้า หากสถานการณ์บ้านเมืองสงบ ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น การท่องเที่ยวของไทยน่าจะโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่าจะยังมีปัญหาราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทแข็ง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่สำคัญเท่ากับประเด็นเรื่อง ความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการมากที่สุด หากมีการบริการที่ดี และมีความปลอดภัย การท่องเที่ยวของไทยน่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
โจทย์ใหญ่ข้อ 6 - ราคาน้ำมันแพง คนไทยต้องรับกรรม
ถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้น 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้นอีก 1.1% และอาจจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจ หดตัวลง 0.4% และทำให้รายรับหลังหักค่าใช้จ่ายจำเป็นลดลง 1.1% การบริโภคลดลง 0.75% เป็นการประเมินของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยเศรษฐกิจ บล.ไทยพาณิชย์
หากปีหน้าราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเหมือนปัจจุบัน นับว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฉุดรั้งไม่ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นไปได้ ถึงแม้ทุกวันนี้มีการคาดกันว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายได้ดีกว่าปีนี้ แต่นั่นเป็นการคาดการณ์จากราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำกว่านี้ประมาณ 25%
อีกทั้ง หากราคาน้ำยังอยู่ระดับทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ดอกเบี้ยไม่มีทางปรับลดลงไปมากกว่านี้ เพราะจะทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้น พูดง่ายๆ ยิ่งราคาน้ำมันแพง ยิ่งทำให้ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมดูแย่ลง เพราะประเทศไทยนำเข้าน้ำมันสูงถึง 10% ของ GDP
โจทย์ข้อ 7 - ดอกเบี้ย ไม่ลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ตลอดปีที่ผ่านมา กนง.ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มการลงทุนและการบริโภคในภาคประชาชนให้มากขึ้น โดยปีนี้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน หรือ R/P 1 วัน) ไปแล้วรวม 1.75% ลงมาอยู่ที่ 3.25% ในปัจจุบัน
ในการประชุมครั้งล่าสุด กนง. ยังประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3.25% เพื่อรักษาระดับเงินเฟ้อที่ส่งสัญญาณปรับตัว เพราะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นเป็น 2.1% จากเดือนก่อนหน้าที่ 1.1% จากระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่ม และการขอปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการจากกลุ่มผู้ประกอบการในหลายรายการ
สำหรับปีหน้าแม้จะยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจนของนโยบายอัตราดอกเบี้ย แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปใดก็ตาม ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็หนีไม่พ้นประชาชนทั้งในภาคการฝากเงินและการกู้ยืม เพราะการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.แต่ละครั้งย่อมจะมีผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นตามมา อันจะเชื่อมโยงถึงตัวเลขการออมและการปล่อยสินเชื่อของประเทศไปพร้อมๆ กัน
โจทย์ข้อ 8 - ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ขยับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ว่ากันว่าผู้คนจะหันมาพึ่งอาหารคู่ใจคนยาก อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เป็นต้น จนดูเหมือนว่าจะขายดีเป็นพิเศษในสถานการณ์อย่างนี้ แต่แล้วผู้ประกอบการบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ ก็ประกาศว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างแน่นอน เพราะไม่สามารถแบกรับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นได้อีกต่อไป
ที่สุดแล้วผู้บริโภคก็ต้องรับภาระเรื่องราคาสินค้าเอาไว้เองทั้งหมด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นทางเศรษฐกิจที่หลายๆ คนฝากความหวังเอาไว้ว่ารัฐบาลใหม่ในการเข้ามาดูแลเรื่องราคาสินค้าบริโภค เพื่อไม่ให้กระทบกับรายจ่ายของประชาชนมากนัก ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ผู้ประกอบการสามารถยืนอยู่ได้ด้วย
หากมองรายได้ของคนส่วนใหญ่ คือเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา รัฐบาลควรเข้าไปดูแล ค้ำประกันรายได้และราคาพืชผลเกษตรให้กับเกษตรกรอย่างเต็มที่ เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน ประชาชนในเขตเมืองที่ต้องรับแบกภาระราคาอาหารที่สูงขึ้น รัฐบาลก็ต้องเข้ามาดูแลเรื่องค่าครองชีพ ปรับฐานรายได้ของผู้คนให้เท่าเทียมกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
การยกระดับราคาสินค้าในภาคเกษตร และยกระดับรายได้ขั้นต่ำถือเป็นเรื่องจำเป็นมาก ในยุคที่ราคาน้ำมันแพงและราคาสินค้าต่างๆ กำลังจะแพงขึ้น รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งหากสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ จะกลายเป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้แน่นอน
โจทย์ข้อที่ 9 - กฎหมายการเงินฉบับใหม่ เปลี่ยนแปลงให้ทันโลก
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะมีกฎหมายภาคการเงินหลายฉบับ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลปัจจุบันและ สนช. และน่าจะได้ประกาศใช้ในช่วงหลังการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ แต่การประกาศใช้ พ.ร.บ. ใหม่จะไม่ง่ายนัก รวมถึงการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเหล่านี้ แม้เจตนาของการแก้ไขจะเกิดจากเจตนาดี แต่ในภาคปฏิบัติและการบังคับใช้ทำได้ไม่ง่ายเลย
กลุ่ม พ.ร.บ. ที่เสนอแก้ไขโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการแก้ไขในเชิงนโยบาย และผ่อนคลายกฎระเบียบเดิมของ ธปท. ให้มีความยืดหยุ่นในการบริหาร คล่องตัวมากขึ้น มีการกำหนดคณะกรรมการขึ้นมาหลายคณะ เพื่อแบ่งความรับผิดชอบและถ่วงดุลอำนาจของผู้ว่า ธปท. มากขึ้น และยังมีการกำหนดกลไกป้องกันความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากนวัตกรรมและเครื่องมือการเงินใหม่ๆ ของโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ดี เพราะกระทบกับความรู้สึกและเงินของประชาชนโดยตรง นั่นคือ การประกาศใช้ พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่ต่อไปนี้เงินฝากของประชาชนจะได้รับความคุ้มครองในวงจำกัด คือ 1 ล้านบาท ต่อคนต่อสถาบันการเงิน
ส่วนเรื่อง พ.ร.บ. เงินตรา ที่ให้อำนาจคณะกรรมการใหม่ในการบริหารทุนสำรองเงินตรา และสามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ได้ จะกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่และ ธปท. ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายให้เกิดความเชื่อมั่นกับคณะกรรมการชุดนี้ รวมถึงการพยายามชี้แจงให้กลุ่มคนที่คัดค้านการดำเนินงานของ ธปท. ให้เข้าใจสิ่งที่ดำเนินการอยู่
สำหรับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับแก้ไข แม้ว่าจะไม่กระทบกับประชาชนทั่วไปโดยตรง แต่สาระสำคัญของสิ่งที่แก้ไข คือการให้ความคุ้มครองประชาชนผู้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ และการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารของสำนักงาน ก.ล.ต. ใหม่ ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังต้องอธิบาย และหาจุดสมดุลของอำนาจ หน้าที่ และสิทธิ ของผู้ลงทุน สำนักงาน ก.ล.ต. บริษัทจดทะเบียน โบรกเกอร์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเช่นกัน
ทว่าสิ่งที่ยากและท้าทายรัฐบาลใหม่มากที่สุดนั่นคือการผลักดันให้เกิด กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ให้ได้ เพราะสถาบันแห่งนี้เป็นฟันเฟืองสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนหลังวัยเกษียณในอนาคต
โจทย์ข้อ 10- มาตรการสำรอง 30% ยาขมตลาดการลงทุนไทย
19 ธันวาคม 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% ของการนำเข้าเงินตราต่างประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่งผลสะเทือนต่อตลาดทุนและตลาดเงินไทยอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในวันถัดมา ธปท.ยอมผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวกับตลาดทุน ทว่าในตลาดเงินยังถูกล่ามโซ่จนถึงทุกวันนี้ แต่หากดูโดยรวมแล้วถือเป็นยาขมสำหรับการลงทุน และเป็นผลเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
จากกรณีดังกล่าว ทำให้เกิดการถกเถียงว่าหาก ธปท.ไม่ยกเลิกมาตรการสำรอง 30% จะเกิดอะไรขึ้นกับบรรยากาศการลงทุน ขณะที่ฝ่ายผู้ออกนโยบายออกมายืนยันว่ามาตรการดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อไป และจะยกเลิกก็ต่อเมื่อมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม มีพรรคการเมืองบางพรรคที่ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า หากได้รับการจัดตั้งรัฐบาลจะทำการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นนโยบายประชานิยมในช่วงหาเสียงของนักการเมือง
มีการคาดกันว่าหากประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่แล้ว ในภาคเศรษฐกิจเชื่อว่าจะเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง และอาจจะเห็นการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ของ ธปท. เพราะจะทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น แต่ต้องจับตาว่าจะมีมาตรการใดเพิ่มขึ้นมาเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทหรือไม่
โจทย์ใหญ่ 10 ข้อที่กล่าวมานี้ล้วนท้าทายความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าต้องเป็นรัฐบาลผสม มาจากพรรคการเมือง 2-3 พรรคใหญ่ ที่ไม่แน่ชัดว่ามีนโยบายเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ? อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแก้ไขโจทย์ใหญ่เหล่านี้ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยเข้าสู่การเติบโตที่ดี มีสมดุลในภาคส่วนต่างๆ ต่อไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
Posted on Friday, December 07, 2007
คนไทยส่วนใหญ่ตั้งความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งไว้ว่าจะดีกว่ารัฐบาลชุดก่อนหน้า เพราะประเทศกำลังกลับเข้าสู่ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย รัฐบาลจะทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้งด้วย ซึ่งรวมถึงการปวารณาตัวเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ-การเมือง-สังคมของประเทศชาติ โดยโจทย์ใหญ่ที่สำคัญคือ การฟื้นเศรษฐกิจไทย ที่มีโจทย์ย่อยแฝงอยู่ในหลายมิติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ สำหรับทีมเศรษฐกิจของ (ว่าที่) รัฐบาลใหม่ ที่ต้องเผชิญการแก้ปัญหา และพิสูจน์ฝีมือให้ทุกฝ่ายเห็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็คือ
โจทย์แรก - ความสามารถทางการแข่งขัน คำถามที่รัฐบาลใหม่ต้องตอบ
ปัจจุบันแม้ว่าไทยจะยังมีอัตราส่วนการส่งออกอยู่ในระดับสูง แต่ความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสักเท่าใด สังเกตได้จากคู่แข่งทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย แต่ปัจจุบัน ไทยต้องหันไปแข่งขันกับเวียดนามแทนและมีโอกาสแพ้เสียด้วย
ดังนั้น หากไทยยังไม่สามารถพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจได้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน เพราะในอนาคตแนวโน้มดอลลาร์อ่อน เงินบาทแข็ง จะยังเป็นแนวโน้มระยะยาว ประเทศที่ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะแรงงานที่ถูกกว่า อย่างจีนและเวียดนามจะได้เปรียบมาก
รศ.ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ให้ความเห็นว่าภาคการผลิตของประเทศไทยอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบทางการแข่งขันอย่างมาก
ถ้าเปรียบไทยเป็นนักมวยเหมือนนักมวยอายุ 40 ปี ประเทศเกิดใหม่เป็นนักมวยอายุ 20 ปี ขึ้นก็แพ้ เพราะไม่ดูศักยภาพตัวเองทำได้แค่ไหน แก่แล้วยังชกมวยอยู่อีกแทนที่จะปรับเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หันไปผลิตสินค้าอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องมาชกกับเด็กที่ใหม่สด ค่าแรงถูก ใช้เครื่องจักรรุ่นใหม่ที่ดีกว่า
การบ้านที่ ดร. สมภพฝากไปยังรัฐบาลใหม่ คือ ต้องแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาการผลิตไปให้ถูกทาง หน่วยงานของรัฐและนักการเมืองต้องมองเศรษฐกิจในภาพยาว 10-20 ปี ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการผลิตย่ำอยู่กับที่ จนประเทศที่ล้าหลังแซงหน้าอย่างที่เป็นอยู่
โจทย์ข้อ 2 - FDI ตัวแปรสำคัญทางเศรษฐกิจ
บทวิจัยของดร.ชฎิล โรจนานนท์ สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งเสริม FDI ของไทย : การศึกษาโดยใช้อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate) ระบุว่า การลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีส่วนสำคัญ ต่อการพัฒนาของประเทศไทย ทั้งนี้ FDI มีส่วนในการยกระดับความสามารถในการผลิตสินค้า ของอุตสาหกรรมของไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
เนื่องจาก FDI มีคุณลักษณะที่แตกต่างจากเงินลงทุนประเภทอื่นๆ คือ บริษัทและแรงงานไทยจะได้รับผลพลอยได้จาก FDI ในรูปแบบของการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาฝีมือแรงงาน และระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล หรือเรียกว่า Spillover Effects
ดังนั้น รัฐบาลของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ต่างพยายามที่จะแข่งขันกัน โดยใช้มาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและที่มิใช่ภาษี เพื่อดึงดูดนักลงทุน หรือบริษัทข้ามชาติ ให้มาลงทุนในประเทศของตน เนื่องจากสินค้าทุนในปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายได้รวดเร็วมากขึ้น ทำให้การแข่งขันทางภาษีเป็นมาตรการจูงใจสำคัญต่อนักลงทุนต่างชาติ
ข้อมูลของ UNCTAD พบว่าเมื่อจัดอันดับเปรียบเทียบระหว่างระดับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Performance) กับศักยภาพ (FDI Potential) พบว่าระดับการลงทุนและศักยภาพในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ ปี 2533-2547 ระดับการจัดอันดับ FDI Performance ของไทยมีต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีระดับที่ 17 ในปี 2533 และอยู่อันดับที่ 107 ในปี 2548 สำหรับ FDI Potential ของไทยมีต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีระดับที่ 40 ในปี 2533 และอยู่อันดับที่ 59 ในปี 2548
แม้ว่ารัฐบาลในชุดที่ผ่านๆ มา จะใช้นโยบายเรื่องมาตรการภาษี ในการจูงใจนักลงทุนต่างชาติ ให้มาลงทุนในไทย โดยตัวเลขอัตราภาษีภาษีที่แท้จริงของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอาเซียนมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันด้วยค่าแรงและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ทำให้อัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำกว่า ก็ไม่สามารถดึงดูดใจนักลงทุนต่างชาติ ได้มากนัก
รัฐบาลใหม่จึงต้องพิจารณาถึงวิถีทางในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนแบบระยะยาวจากต่างชาติ ให้ได้ด้วยหนทางอื่น ซึ่งอาจจะเป็นการกลับไปสร้างรากฐานของเศรษฐกิจไทยให้มีความเข็มแข็ง และพัฒนาความสามารถทางการผลิตให้มีมูลค่าเพิ่ม มิใช่แข่งขันกันที่ค่าแรงหรือต้นทุนการผลิตอีกต่อไป
โจทย์ข้อ 3 - ส่งออก พระเอกตลอดกาล
ย้อนไปดูตัวเลขการส่งออกของไทย รายงานโดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร พบว่าตั้งแต่ปี 2535 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 8.24 แสนล้านบาท ก่อนจะเติบโตสู่ระดับล้านล้านบาทเป็นครั้งแรกในปี 2537 ด้วยมูลค่า 1.13 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2540 ตัวเลขการส่งออกเติบโตเป็น 1.8 ล้านล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 28 % ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการขยายตัวในระดับน่าพอใจมาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าตัวเลขใน 3 ปีย้อนหลัง มีความชัดเจนว่าส่งออกไทยเริ่มเติบโตในระดับชะลอตัว โดยในปี 47 49 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 3.87, 4.43 และ 4.93 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวที่ 16.5%, 14.6% และ 11.2% ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้มุมมองว่าเป็นการสะท้อนถึงความสามารถด้านการแข่งขันที่ลดลงของไทย จากปัญหาเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยใน 9 เดือนของปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไป 4.8% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ขณะที่เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น 3.4% ส่วนเงินด่องเวียดนามและรูเปียห์อินโดนีเซียอ่อนค่าลงเล็กน้อย ไทยจึงอยู่ในสถานะเสียเปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ทั้งนี้ แม้ส่งออกไทยจะมีข่าวดีจากการเติบโตของตลาดส่งออกใหม่ๆ ทั้งอินเดีย ยุโรปตะวันออก ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และจีน แต่ประเมินว่าปัจจัยลบที่ยังไม่มีทีท่าจะหมดไปง่ายๆ นั้นจะเป็นตัวกดดันยอดส่งออกในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ถึงปีหน้าให้ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
สันติ วิลาสศักดิ์ดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งเปิดตลาดใหม่ ผลักดันให้มีการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า โดยมีภาครัฐเป็นหัวหอกเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ขณะที่แบงก์ชาติก็ต้องดูแลรักษาเสถียรภาพค่าเงินให้มีความผันผวนน้อยที่สุด
ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มองว่าถ้าค่าเงินอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก็น่าพอใจแล้ว แต่ที่ต้องการที่สุดก็คือการรักษาค่าเงินให้ผันผวนน้อยที่สุด หากรัฐบาลใหม่ทำได้ผมคิดว่าส่งออกไทยปีหน้าจะไปได้สวย สันติ กล่าว
โจทย์ข้อ 4 - Mega Project พูดง่าย ทำได้แค่ไหน
ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่า Mega Project จะกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ นอกเหนือปัญหาจากภาคการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน และข้อสงสัยเรื่องความตั้งใจจริงในการปฎิบัติแล้ว ปัญหาเรื่องแหล่งที่มาของเงินลงทุนและความสมดุลของเศรษฐกิจคือสิ่งสำคัญ
การระดมเงินจำนวนมากเพื่อ Mega Project ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกพรรคการเมืองที่ชูนโยบายนี้ ต่างก็บอกว่ามีวิธีการที่ทำได้อยู่ในใจ แต่ยังไม่มีใครบอกวิธีการที่ชัดเจนออกมา ปัจจุบันการระดมทุนของภาครัฐมีได้หลายวิธี ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น การใช้เงินงบประมาณและเงินกำไรของรัฐวิสาหกิจที่มีข้อจำกัดเรื่องการจัดทำงบประมาณ การหารายได้ของรัฐ การกู้ยืมจากทั้งในและนอกประเทศ ที่มีข้อจำกัดเรื่องแหล่งเงินกู้ในประเทศ
ส่วนการกู้เงินจากนอกประเทศ อย่างธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ก็มีกฎหมายเรื่องการก่อหนี้ต่างประเทศคอยควบคุม ส่วนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุน ก็ติดปัญหาการคัดค้านอย่างที่ทราบกัน การออกตราสารรูปแบบใหม่ การทำ Securitization การตั้ง SPV ก็ซับซ้อนและมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย
อีกวิธีหนึ่ง คือการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปของ Public Private Partnership (PPP) มีสองรูปแบบคือ การที่รัฐยังเป็นเจ้าของกิจการ และให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น การให้สัมปทาน และ การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการในบางส่วนหรือบางช่วงเวลา แต่การทำ PPP ของไทยเอกชนจะมีความเสี่ยงสูง เพราะใช้เงินลงทุนสูง ใช้เวลานานกว่าจะได้ประโยชน์กลับคืน
อีกทั้งความไม่แน่นอนต่างๆ เช่น นโยบายภาครัฐ งบลงทุนบานปลาย รายได้รับในอนาคตไม่เป็นไปตามแผน ทำให้การดำเนินการในรูปแบบ PPP ของไทยไม่ง่ายเหมือนในต่างประเทศ
ปัญหาต่อมา คือ การรักษาสมดุลของเศรษฐกิจระหว่างดำเนินการ Mega Project หากรัฐบาลเจ้าของโครงการดูแลไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางเศรษฐกิจได้ เช่น เรื่องการรักษาระดับดุลบัญชีเดินสะพัด การรักษาระดับหนี้ต่างประเทศต่อ GDP อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
โจทย์ข้อ 5 - มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว
ปัจจัยเรื่องเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ราคาทัวร์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 10% โดยเฉพาะประเทศที่ต้องแลกเปลี่ยนเงินจากสกุลดอลลาร์สหรัฐได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวก็ปรับลดลงในอัตราราว 10% ต่อคนจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนี้เอง
ปีนี้จึงไม่ใช่ปีทองสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวเท่าไรนัก ภาครัฐบาลเองก็ไม่ได้มีนโยบายอะไรที่จะมากระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนในปีก่อนๆ แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งนับว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววงานเทศกาล หรือมหกรรมการท่องเที่ยวอะไรที่ใหญ่พอจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศได้มากนัก
อภิชาต สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว กล่าวว่า ประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ให้ความสำคัญเรื่องการท่องเที่ยว จัดสรรงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก แต่สำหรับประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น
ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละปีก็ไม่น้อย แต่งบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับส่วนนี้ถือว่าน้อยมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับคาดการณ์รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6 แสนล้านบาท กับการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกประมาณ 3 แสนล้าน รวมแล้วเกือบล้านล้านบาท แต่งบประมาณที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือ ททท.ได้รับในแต่ละปี ยังไม่ถึง 1% ของรายได้
แนวโน้มในปีหน้า หากสถานการณ์บ้านเมืองสงบ ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น การท่องเที่ยวของไทยน่าจะโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่าจะยังมีปัญหาราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทแข็ง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่สำคัญเท่ากับประเด็นเรื่อง ความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการมากที่สุด หากมีการบริการที่ดี และมีความปลอดภัย การท่องเที่ยวของไทยน่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
โจทย์ใหญ่ข้อ 6 - ราคาน้ำมันแพง คนไทยต้องรับกรรม
ถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้น 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้นอีก 1.1% และอาจจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจ หดตัวลง 0.4% และทำให้รายรับหลังหักค่าใช้จ่ายจำเป็นลดลง 1.1% การบริโภคลดลง 0.75% เป็นการประเมินของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยเศรษฐกิจ บล.ไทยพาณิชย์
หากปีหน้าราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเหมือนปัจจุบัน นับว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฉุดรั้งไม่ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นไปได้ ถึงแม้ทุกวันนี้มีการคาดกันว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายได้ดีกว่าปีนี้ แต่นั่นเป็นการคาดการณ์จากราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำกว่านี้ประมาณ 25%
อีกทั้ง หากราคาน้ำยังอยู่ระดับทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ดอกเบี้ยไม่มีทางปรับลดลงไปมากกว่านี้ เพราะจะทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้น พูดง่ายๆ ยิ่งราคาน้ำมันแพง ยิ่งทำให้ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมดูแย่ลง เพราะประเทศไทยนำเข้าน้ำมันสูงถึง 10% ของ GDP
โจทย์ข้อ 7 - ดอกเบี้ย ไม่ลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ตลอดปีที่ผ่านมา กนง.ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มการลงทุนและการบริโภคในภาคประชาชนให้มากขึ้น โดยปีนี้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน หรือ R/P 1 วัน) ไปแล้วรวม 1.75% ลงมาอยู่ที่ 3.25% ในปัจจุบัน
ในการประชุมครั้งล่าสุด กนง. ยังประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3.25% เพื่อรักษาระดับเงินเฟ้อที่ส่งสัญญาณปรับตัว เพราะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นเป็น 2.1% จากเดือนก่อนหน้าที่ 1.1% จากระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่ม และการขอปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการจากกลุ่มผู้ประกอบการในหลายรายการ
สำหรับปีหน้าแม้จะยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจนของนโยบายอัตราดอกเบี้ย แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปใดก็ตาม ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็หนีไม่พ้นประชาชนทั้งในภาคการฝากเงินและการกู้ยืม เพราะการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.แต่ละครั้งย่อมจะมีผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นตามมา อันจะเชื่อมโยงถึงตัวเลขการออมและการปล่อยสินเชื่อของประเทศไปพร้อมๆ กัน
โจทย์ข้อ 8 - ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ขยับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ว่ากันว่าผู้คนจะหันมาพึ่งอาหารคู่ใจคนยาก อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เป็นต้น จนดูเหมือนว่าจะขายดีเป็นพิเศษในสถานการณ์อย่างนี้ แต่แล้วผู้ประกอบการบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ ก็ประกาศว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างแน่นอน เพราะไม่สามารถแบกรับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นได้อีกต่อไป
ที่สุดแล้วผู้บริโภคก็ต้องรับภาระเรื่องราคาสินค้าเอาไว้เองทั้งหมด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นทางเศรษฐกิจที่หลายๆ คนฝากความหวังเอาไว้ว่ารัฐบาลใหม่ในการเข้ามาดูแลเรื่องราคาสินค้าบริโภค เพื่อไม่ให้กระทบกับรายจ่ายของประชาชนมากนัก ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ผู้ประกอบการสามารถยืนอยู่ได้ด้วย
หากมองรายได้ของคนส่วนใหญ่ คือเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา รัฐบาลควรเข้าไปดูแล ค้ำประกันรายได้และราคาพืชผลเกษตรให้กับเกษตรกรอย่างเต็มที่ เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน ประชาชนในเขตเมืองที่ต้องรับแบกภาระราคาอาหารที่สูงขึ้น รัฐบาลก็ต้องเข้ามาดูแลเรื่องค่าครองชีพ ปรับฐานรายได้ของผู้คนให้เท่าเทียมกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
การยกระดับราคาสินค้าในภาคเกษตร และยกระดับรายได้ขั้นต่ำถือเป็นเรื่องจำเป็นมาก ในยุคที่ราคาน้ำมันแพงและราคาสินค้าต่างๆ กำลังจะแพงขึ้น รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งหากสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ จะกลายเป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้แน่นอน
โจทย์ข้อที่ 9 - กฎหมายการเงินฉบับใหม่ เปลี่ยนแปลงให้ทันโลก
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะมีกฎหมายภาคการเงินหลายฉบับ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลปัจจุบันและ สนช. และน่าจะได้ประกาศใช้ในช่วงหลังการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ แต่การประกาศใช้ พ.ร.บ. ใหม่จะไม่ง่ายนัก รวมถึงการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเหล่านี้ แม้เจตนาของการแก้ไขจะเกิดจากเจตนาดี แต่ในภาคปฏิบัติและการบังคับใช้ทำได้ไม่ง่ายเลย
กลุ่ม พ.ร.บ. ที่เสนอแก้ไขโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการแก้ไขในเชิงนโยบาย และผ่อนคลายกฎระเบียบเดิมของ ธปท. ให้มีความยืดหยุ่นในการบริหาร คล่องตัวมากขึ้น มีการกำหนดคณะกรรมการขึ้นมาหลายคณะ เพื่อแบ่งความรับผิดชอบและถ่วงดุลอำนาจของผู้ว่า ธปท. มากขึ้น และยังมีการกำหนดกลไกป้องกันความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากนวัตกรรมและเครื่องมือการเงินใหม่ๆ ของโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ดี เพราะกระทบกับความรู้สึกและเงินของประชาชนโดยตรง นั่นคือ การประกาศใช้ พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่ต่อไปนี้เงินฝากของประชาชนจะได้รับความคุ้มครองในวงจำกัด คือ 1 ล้านบาท ต่อคนต่อสถาบันการเงิน
ส่วนเรื่อง พ.ร.บ. เงินตรา ที่ให้อำนาจคณะกรรมการใหม่ในการบริหารทุนสำรองเงินตรา และสามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ได้ จะกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่และ ธปท. ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายให้เกิดความเชื่อมั่นกับคณะกรรมการชุดนี้ รวมถึงการพยายามชี้แจงให้กลุ่มคนที่คัดค้านการดำเนินงานของ ธปท. ให้เข้าใจสิ่งที่ดำเนินการอยู่
สำหรับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับแก้ไข แม้ว่าจะไม่กระทบกับประชาชนทั่วไปโดยตรง แต่สาระสำคัญของสิ่งที่แก้ไข คือการให้ความคุ้มครองประชาชนผู้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ และการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารของสำนักงาน ก.ล.ต. ใหม่ ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังต้องอธิบาย และหาจุดสมดุลของอำนาจ หน้าที่ และสิทธิ ของผู้ลงทุน สำนักงาน ก.ล.ต. บริษัทจดทะเบียน โบรกเกอร์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเช่นกัน
ทว่าสิ่งที่ยากและท้าทายรัฐบาลใหม่มากที่สุดนั่นคือการผลักดันให้เกิด กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ให้ได้ เพราะสถาบันแห่งนี้เป็นฟันเฟืองสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนหลังวัยเกษียณในอนาคต
โจทย์ข้อ 10- มาตรการสำรอง 30% ยาขมตลาดการลงทุนไทย
19 ธันวาคม 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% ของการนำเข้าเงินตราต่างประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่งผลสะเทือนต่อตลาดทุนและตลาดเงินไทยอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในวันถัดมา ธปท.ยอมผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวกับตลาดทุน ทว่าในตลาดเงินยังถูกล่ามโซ่จนถึงทุกวันนี้ แต่หากดูโดยรวมแล้วถือเป็นยาขมสำหรับการลงทุน และเป็นผลเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
จากกรณีดังกล่าว ทำให้เกิดการถกเถียงว่าหาก ธปท.ไม่ยกเลิกมาตรการสำรอง 30% จะเกิดอะไรขึ้นกับบรรยากาศการลงทุน ขณะที่ฝ่ายผู้ออกนโยบายออกมายืนยันว่ามาตรการดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อไป และจะยกเลิกก็ต่อเมื่อมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม มีพรรคการเมืองบางพรรคที่ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า หากได้รับการจัดตั้งรัฐบาลจะทำการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นนโยบายประชานิยมในช่วงหาเสียงของนักการเมือง
มีการคาดกันว่าหากประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่แล้ว ในภาคเศรษฐกิจเชื่อว่าจะเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง และอาจจะเห็นการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ของ ธปท. เพราะจะทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น แต่ต้องจับตาว่าจะมีมาตรการใดเพิ่มขึ้นมาเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทหรือไม่
โจทย์ใหญ่ 10 ข้อที่กล่าวมานี้ล้วนท้าทายความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าต้องเป็นรัฐบาลผสม มาจากพรรคการเมือง 2-3 พรรคใหญ่ ที่ไม่แน่ชัดว่ามีนโยบายเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ? อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแก้ไขโจทย์ใหญ่เหล่านี้ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยเข้าสู่การเติบโตที่ดี มีสมดุลในภาคส่วนต่างๆ ต่อไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 513
"เศรษฐกิจพอเพียง...จุดเปลี่ยนกระแสโลกาภิวัตน์
Posted on Friday, December 07, 2007
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษา สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ปัจจุบันโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ทุกคนต้องเปลี่ยนมุมมองตามไปด้วย ซึ่งถ้ามองกระแสโลกาภิวัตน์ ก็ต้องมองหลายมิติ ดังนี้
1. เชิงโครงสร้าง ปัจจุบันประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐของประเทศต่าง ๆ มีการเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น โดยผ่านองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การสหประชาชาติ (UN) รวมถึงการลงทุนระหว่างประเทศของภาคเอกชน ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน สินค้าบริการ และคน อย่างเสรี ซึ่งก็เป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคของประเทศ
2. การเป็นสังคมฐานความรู้ ทำให้ประชาชนมีการเชื่อมความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะทำให้คนในประเทศสามารถรับความรู้จากภายนอกและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ไทยไม่สามารถปิดกั้นข้อมูลข่าวสารที่ออกไปสู่ต่างประเทศได้เช่นกัน
ดร.สุวิทย์บอกว่า จากทิศทางของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องเปิดประเทศมากขึ้น โดยประเทศที่มีขนาดใหญ่ก็มักจะหาประเทศขนาดเล็กมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ส่วนประเทศไทยถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็สามารถสร้างความได้เปรียบได้ ถ้าหากไทยมีจุดเด่น และมีอำนาจต่อรอง นอกจากนี้ไทยอาจจะรวมกลุ่มกับประเทศในอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้มากขึ้นได้ เพราะอาเซียนมีประชากรมากถึง 550 ล้านคน และมีความหลากหลายของสินค้า ทั้งภาคการบริการ ภาคการผลิต และมีทรัพยากรเป็นของตนเอง
ปัจจุบันกระแสเงินทุนจำนวนมากได้ไหลเข้าไปหาผลตอบแทนในเอเชีย ทำให้กระทบต่อการค้า การลงทุน และอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามไทยสามารถแก้ไขได้ด้วยการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียงมีทั้งปรัชญา มุมมอง หลักการ และหลักปฏิบัติ ซึ่งทำให้ผู้ที่นำไปปฏิบัติมีความพอดี มีคุณธรรม รู้จักพึ่งพาตนเองก่อนพึ่งพาบุคคลอื่น
สำหรับอุปสรรคที่สำคัญของไทยอีกหนึ่งประเด็นคือ น้ำมัน เนื่องจากในแต่ละปีไทยมีการใช้น้ำมันจำนวนมาก และไทยก็ไม่มีน้ำมันเป็นของตนเอง ดังนั้น ไทยก็ควรจะแก้ไขด้วยการลดการใช้น้ำมัน และใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ที่ผ่านมาภาครัฐยังไม่มีการปฏิบัติเรื่องนี้อย่างจริงจัง ส่วนภาคเอกชนก็ไม่รวมพลังกัน นอกจากนี้ไทยยังมีปัญหาเรื่องการคอรัปชั่น ซึ่งจะกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้องให้กับคนรุ่นหลังด้วย
ดร.สุวิทย์แนะรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศด้วยว่า ถ้านำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ก็ควรตั้งเป้าด้วยว่าไทยจะมีการค้าและการแข่งกับต่างประเทศอย่างไร นอกจากนี้ไทยจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน อธิบายได้ และไม่ควรเปลี่ยนไปมา ส่วนการนำนโยบายประชานิยมมาใช้นั้น ก็ควรพิจารณาให้ดีด้วย เพราะบางนโยบายก็เป็นการไม่พอเพียง ดังนั้น ภาครัฐก็ควรที่จะสร้างความสมดุลของนโยบายด้วย ถึงแม้จะมีหลายฝ่ายที่คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน แต่การวางรากฐานที่ถูกต้องและเหมาะสม ก็จะทำให้ไทยฟื้นจากวิกฤติได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Friday, December 07, 2007
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษา สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ปัจจุบันโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ทุกคนต้องเปลี่ยนมุมมองตามไปด้วย ซึ่งถ้ามองกระแสโลกาภิวัตน์ ก็ต้องมองหลายมิติ ดังนี้
1. เชิงโครงสร้าง ปัจจุบันประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐของประเทศต่าง ๆ มีการเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น โดยผ่านองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การสหประชาชาติ (UN) รวมถึงการลงทุนระหว่างประเทศของภาคเอกชน ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน สินค้าบริการ และคน อย่างเสรี ซึ่งก็เป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคของประเทศ
2. การเป็นสังคมฐานความรู้ ทำให้ประชาชนมีการเชื่อมความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะทำให้คนในประเทศสามารถรับความรู้จากภายนอกและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ไทยไม่สามารถปิดกั้นข้อมูลข่าวสารที่ออกไปสู่ต่างประเทศได้เช่นกัน
ดร.สุวิทย์บอกว่า จากทิศทางของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องเปิดประเทศมากขึ้น โดยประเทศที่มีขนาดใหญ่ก็มักจะหาประเทศขนาดเล็กมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ส่วนประเทศไทยถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็สามารถสร้างความได้เปรียบได้ ถ้าหากไทยมีจุดเด่น และมีอำนาจต่อรอง นอกจากนี้ไทยอาจจะรวมกลุ่มกับประเทศในอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้มากขึ้นได้ เพราะอาเซียนมีประชากรมากถึง 550 ล้านคน และมีความหลากหลายของสินค้า ทั้งภาคการบริการ ภาคการผลิต และมีทรัพยากรเป็นของตนเอง
ปัจจุบันกระแสเงินทุนจำนวนมากได้ไหลเข้าไปหาผลตอบแทนในเอเชีย ทำให้กระทบต่อการค้า การลงทุน และอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามไทยสามารถแก้ไขได้ด้วยการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียงมีทั้งปรัชญา มุมมอง หลักการ และหลักปฏิบัติ ซึ่งทำให้ผู้ที่นำไปปฏิบัติมีความพอดี มีคุณธรรม รู้จักพึ่งพาตนเองก่อนพึ่งพาบุคคลอื่น
สำหรับอุปสรรคที่สำคัญของไทยอีกหนึ่งประเด็นคือ น้ำมัน เนื่องจากในแต่ละปีไทยมีการใช้น้ำมันจำนวนมาก และไทยก็ไม่มีน้ำมันเป็นของตนเอง ดังนั้น ไทยก็ควรจะแก้ไขด้วยการลดการใช้น้ำมัน และใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ที่ผ่านมาภาครัฐยังไม่มีการปฏิบัติเรื่องนี้อย่างจริงจัง ส่วนภาคเอกชนก็ไม่รวมพลังกัน นอกจากนี้ไทยยังมีปัญหาเรื่องการคอรัปชั่น ซึ่งจะกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้องให้กับคนรุ่นหลังด้วย
ดร.สุวิทย์แนะรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศด้วยว่า ถ้านำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ก็ควรตั้งเป้าด้วยว่าไทยจะมีการค้าและการแข่งกับต่างประเทศอย่างไร นอกจากนี้ไทยจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน อธิบายได้ และไม่ควรเปลี่ยนไปมา ส่วนการนำนโยบายประชานิยมมาใช้นั้น ก็ควรพิจารณาให้ดีด้วย เพราะบางนโยบายก็เป็นการไม่พอเพียง ดังนั้น ภาครัฐก็ควรที่จะสร้างความสมดุลของนโยบายด้วย ถึงแม้จะมีหลายฝ่ายที่คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน แต่การวางรากฐานที่ถูกต้องและเหมาะสม ก็จะทำให้ไทยฟื้นจากวิกฤติได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 514
ส่งท้ายสัปดาห์ รายย่อยขายปรับพอร์ตกลุ่มเดียว 1.35 พันล้านบาท รวมสองวันขาย 2.46 พันล้านบาท
Posted on Friday, December 07, 2007
รายย่อย ได้โอกาสขายปรับพอร์ตต่อเป็นวันที่สอง ส่งท้ายสัปดาห์อีก 1.35 พันล้านบาท ปล่อยให้ต่างชาติและสถาบันในประเทศซื้อหุ้นเข้าพอร์ต อย่างไรก็ตาม ตัวเลขรวมทั้งเดือน ต่างชาติยังคงขายสุทธิ 1.18 พันล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 9,065.29 ขาย 10,418.12 รวม ขายสุทธิ 1,352.83
สถาบันในประเทศ ซื้อ 3,699.18 ขาย 2,751.39 รวม ซื้อสุทธิ 947.79
ต่างประเทศ ซื้อ 6,877.09 ขาย 6,472.05 รวม ซื้อสุทธิ 405.04
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 32,790.37 ขาย 33,453.92 รวม ซื้อสุทธิ 663.55
สถาบันในประเทศ ซื้อ 11,867.55 ขาย 10,020.50 รวม ซื้อสุทธิ 1,847.05
ต่างประเทศ ซื้อ 25,587.03 ขาย 26,770.53 รวม ขายสุทธิ 1,183.50
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,055,797.45 ขาย 2,118,855.77 รวม ขายสุทธิ 63,058.32
สถาบันในประเทศ ซื้อ 573,244.15 ขาย 579,730.22 รวม ขายสุทธิ 6,486.07
ต่างประเทศ ซื้อ 1,361,671.27 ขาย 1,292,126.88 รวม ซื้อสุทธิ 69,544.39
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Friday, December 07, 2007
รายย่อย ได้โอกาสขายปรับพอร์ตต่อเป็นวันที่สอง ส่งท้ายสัปดาห์อีก 1.35 พันล้านบาท ปล่อยให้ต่างชาติและสถาบันในประเทศซื้อหุ้นเข้าพอร์ต อย่างไรก็ตาม ตัวเลขรวมทั้งเดือน ต่างชาติยังคงขายสุทธิ 1.18 พันล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 9,065.29 ขาย 10,418.12 รวม ขายสุทธิ 1,352.83
สถาบันในประเทศ ซื้อ 3,699.18 ขาย 2,751.39 รวม ซื้อสุทธิ 947.79
ต่างประเทศ ซื้อ 6,877.09 ขาย 6,472.05 รวม ซื้อสุทธิ 405.04
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 32,790.37 ขาย 33,453.92 รวม ซื้อสุทธิ 663.55
สถาบันในประเทศ ซื้อ 11,867.55 ขาย 10,020.50 รวม ซื้อสุทธิ 1,847.05
ต่างประเทศ ซื้อ 25,587.03 ขาย 26,770.53 รวม ขายสุทธิ 1,183.50
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,055,797.45 ขาย 2,118,855.77 รวม ขายสุทธิ 63,058.32
สถาบันในประเทศ ซื้อ 573,244.15 ขาย 579,730.22 รวม ขายสุทธิ 6,486.07
ต่างประเทศ ซื้อ 1,361,671.27 ขาย 1,292,126.88 รวม ซื้อสุทธิ 69,544.39
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 515
5 หน่วยงานรัฐล้อมคอก"แชร์ลูกโซ่"
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานลงนามในข้อตกลงเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 โดยมีตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทรวงการคลัง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) และคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมลงบันทึกข้อตกลง โดยกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการลงนามเพื่อดูแลและป้องกันที่มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เมื่อแต่ละหน่วยงานได้รับการร้องเรียน หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ทางสคบ.ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางตามข้อตกลง จะกระจายข้อมูลให้แต่ละหน่วยงาน รวมถึงการกระจายข้อมูลต่อกันในทุกหน่วยงาน จากนั้นก็ดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีความผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย จับกุมทันที รวมถึงการตรวจสอบการเงินในธนาคาร ที่ปปง.มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบหรือจำเป็นต้องสอบสวนในลักษณะพิเศษ ทางดีเอสไอก็จะเข้าไปดำเนินการ โดยประสานงานกันระหว่างหน่วยงานให้ได้มากขึ้น
ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นจุดสำคัญ โดยถือเป็นการดำเนินการของภาครัฐ มีลักษณะที่ฉับพลันรวดเร็ว ปัญหาแชร์ลูกโซ่ก็จะไม่ลุกลามออกไป และเป็นการป้องปรามให้ผู้ที่ประสงค์หลอกลวงประชาชน ยุติการกระทำ จึงมั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถนำไปสู่การป้องปรามและจับกุมผู้กระทำผิดได้เป็นอย่างดี สามารถนำคนผิดไปดำเนินการตามกฎหมายได้ เพื่อให้เกิดเป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลที่คิดหลอกลวงประชาชน ไม่ให้ดำเนินการในลักษณะแชร์ลูกโซ่ได้
นายวีระพงศ์ บุญโญภาส ประธานคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรง สคบ. กล่าวว่า อาชญากรรมหรือความผิดประเภทนี้ ระยะหลังนี้แพร่ไปเร็วมาก สาเหตุมาจากว่าเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจมีปัญหาอาชญากรรมเกิดขึ้นมาก เพราะประชาชนเร่งหารายได้เสริม สคบ.จึงเสนอสร้างเวบไซต์เตือนภัยขึ้นมา แต่ไม่ต้องระบุชื่อ เพียงระบุลักษณะของธุรกิจที่เสี่ยงภัยนั้น และอาศัยสื่อ ประสานงานกรมประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชนแขนงต่างๆ เพื่อเปิด เวบไซต์ สคบ.เตือนภัย เพราะโอกาสที่ประชาชนจะหลวมตัวและหลงกลจะได้น้อยลง และแม้ว่าบางเวบไซต์ที่กระทำเป็นเวบจากต่างประเทศ เราก็ต้องป้องปรามไว้ก่อน
นางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า ในปัจจุบัน กลุ่มที่ยังคงเป็นปัญหามากที่สุด เป็นกลุ่มที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีพฤติกรรมในแบบฉ้อโกงประชาชน เพราะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบรูปแบบการจัดการได้ชัดเจน เท่ากับเป็นแชร์ลูกโซ่ ในขณะที่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การปราบปรามและการคุ้มครองผู้บริโภคไม่มีประสิทธิภาพมากนักนั้น มาจากการที่พนักงานหรือผู้ที่อยู่ในระบบของบริษัทนั้นๆ ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลบริษัท เพราะหวังเพียงผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับในอนาคต และทำให้สคบ.ไม่ได้ข้อมูลที่แท้จริง
จากข้อมูลของ สคบ.ธุรกิจในลักษณะดังกล่าวแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจแชร์ลูกโซ่ กลุ่มธุรกิจแฝงขายตรง และกลุ่มธุรกิจจดทะเบียนตามกฎหมายแต่มีพฤติกรรมฉ้อโกงประชาชน โดยที่กลุ่มที่ 3 ถือว่ามีจำนวนมากที่สุด จึงจำเป็นจะต้องได้ข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้ที่อยู่ในระบบดังกล่าว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานลงนามในข้อตกลงเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 โดยมีตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทรวงการคลัง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) และคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมลงบันทึกข้อตกลง โดยกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการลงนามเพื่อดูแลและป้องกันที่มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เมื่อแต่ละหน่วยงานได้รับการร้องเรียน หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ทางสคบ.ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางตามข้อตกลง จะกระจายข้อมูลให้แต่ละหน่วยงาน รวมถึงการกระจายข้อมูลต่อกันในทุกหน่วยงาน จากนั้นก็ดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีความผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย จับกุมทันที รวมถึงการตรวจสอบการเงินในธนาคาร ที่ปปง.มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบหรือจำเป็นต้องสอบสวนในลักษณะพิเศษ ทางดีเอสไอก็จะเข้าไปดำเนินการ โดยประสานงานกันระหว่างหน่วยงานให้ได้มากขึ้น
ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นจุดสำคัญ โดยถือเป็นการดำเนินการของภาครัฐ มีลักษณะที่ฉับพลันรวดเร็ว ปัญหาแชร์ลูกโซ่ก็จะไม่ลุกลามออกไป และเป็นการป้องปรามให้ผู้ที่ประสงค์หลอกลวงประชาชน ยุติการกระทำ จึงมั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถนำไปสู่การป้องปรามและจับกุมผู้กระทำผิดได้เป็นอย่างดี สามารถนำคนผิดไปดำเนินการตามกฎหมายได้ เพื่อให้เกิดเป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลที่คิดหลอกลวงประชาชน ไม่ให้ดำเนินการในลักษณะแชร์ลูกโซ่ได้
นายวีระพงศ์ บุญโญภาส ประธานคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรง สคบ. กล่าวว่า อาชญากรรมหรือความผิดประเภทนี้ ระยะหลังนี้แพร่ไปเร็วมาก สาเหตุมาจากว่าเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจมีปัญหาอาชญากรรมเกิดขึ้นมาก เพราะประชาชนเร่งหารายได้เสริม สคบ.จึงเสนอสร้างเวบไซต์เตือนภัยขึ้นมา แต่ไม่ต้องระบุชื่อ เพียงระบุลักษณะของธุรกิจที่เสี่ยงภัยนั้น และอาศัยสื่อ ประสานงานกรมประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชนแขนงต่างๆ เพื่อเปิด เวบไซต์ สคบ.เตือนภัย เพราะโอกาสที่ประชาชนจะหลวมตัวและหลงกลจะได้น้อยลง และแม้ว่าบางเวบไซต์ที่กระทำเป็นเวบจากต่างประเทศ เราก็ต้องป้องปรามไว้ก่อน
นางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า ในปัจจุบัน กลุ่มที่ยังคงเป็นปัญหามากที่สุด เป็นกลุ่มที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีพฤติกรรมในแบบฉ้อโกงประชาชน เพราะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบรูปแบบการจัดการได้ชัดเจน เท่ากับเป็นแชร์ลูกโซ่ ในขณะที่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การปราบปรามและการคุ้มครองผู้บริโภคไม่มีประสิทธิภาพมากนักนั้น มาจากการที่พนักงานหรือผู้ที่อยู่ในระบบของบริษัทนั้นๆ ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลบริษัท เพราะหวังเพียงผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับในอนาคต และทำให้สคบ.ไม่ได้ข้อมูลที่แท้จริง
จากข้อมูลของ สคบ.ธุรกิจในลักษณะดังกล่าวแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจแชร์ลูกโซ่ กลุ่มธุรกิจแฝงขายตรง และกลุ่มธุรกิจจดทะเบียนตามกฎหมายแต่มีพฤติกรรมฉ้อโกงประชาชน โดยที่กลุ่มที่ 3 ถือว่ามีจำนวนมากที่สุด จึงจำเป็นจะต้องได้ข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้ที่อยู่ในระบบดังกล่าว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/12/07
โพสต์ที่ 516
ธปท.เชียร์รัฐบาลใหม่ขาดดุลเพิ่ม
โพสต์ทูเดย์ ธปท.หนุนรัฐบาล ใหม่จัดงบขาดดุลกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ตามข้อเสนอคลัง ชี้จะขับเคลื่อนเอกชนลงทุนตาม
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หากรัฐบาลใหม่จัดงบประมาณขาดดุลอย่างมีวินัยเหมือนที่นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ระบุไว้ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ดีต่อเศรษฐกิจมากกว่าผลลบ เพราะจะทำให้รัฐบาลเป็นตัวนำในการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป
จะดึงดูดให้เอกชนลงทุนตามได้ และน่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในปีหน้าและระยะต่อไปมีทิศทางที่ดีขึ้นได้ นางอมรา กล่าว
ก่อนหน้านี้ นายสมหมายได้ระบุว่าในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งทุนสำรองระหว่างประเทศมีจำนวนมากถึง 8.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทุนไหลเข้ายังมีต่อเนื่อง รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2552-2553 รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้นกว่าเดิม ให้อยู่ในช่วง 2.5-3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หรือประมาณ 1.7-2.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ จากเดิมในปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลจัดงบประมาณแบบขาดดุลไว้แค่ 1.65 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1.5-2% ของจีดีพีเท่านั้น
นายเชาว์ เก่งชน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การที่ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐ ประกาศแนวทางแก้ไขปัญหาลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่ำกว่ามาตรฐาน (ซับไพรม์) ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา 5 ปีสำหรับลูกหนี้ซับไพรม์ ที่กู้เงินตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2548 จนถึงวันที่ 31 ก.ค. 2550 ซึ่งจะถึงกำหนดปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ในช่วง 2 ปีครึ่งนั้น ในสภาวะเช่นนี้ถือว่ามาตรการที่ออกมาส่งผลดีมากกว่าผลเสีย เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐ และคลายความกังวลของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งแม้มาตรการนี้จะเป็นบวก แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตีว่าจะทำให้ปัญหาซับไพรม์หยุดเพียงเท่านี้ เพราะขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่าซับไพรม์จะจบลงเมื่อไหร่ หรือปัญหาจะเลวร้ายต่อเนื่องอีกหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 11 ธ.ค. ว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 0.25% ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.นี้ ก่อนลดอีกในเดือน ม.ค. และ มี.ค. ปีหน้า อย่างไรก็ดียังมีลุ้นว่าในวันที่ 11 ธ.ค. เฟดจะลดดอกเบี้ยรวดเดียว 0.5% หรือไม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207857
โพสต์ทูเดย์ ธปท.หนุนรัฐบาล ใหม่จัดงบขาดดุลกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ตามข้อเสนอคลัง ชี้จะขับเคลื่อนเอกชนลงทุนตาม
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หากรัฐบาลใหม่จัดงบประมาณขาดดุลอย่างมีวินัยเหมือนที่นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ระบุไว้ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ดีต่อเศรษฐกิจมากกว่าผลลบ เพราะจะทำให้รัฐบาลเป็นตัวนำในการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป
จะดึงดูดให้เอกชนลงทุนตามได้ และน่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในปีหน้าและระยะต่อไปมีทิศทางที่ดีขึ้นได้ นางอมรา กล่าว
ก่อนหน้านี้ นายสมหมายได้ระบุว่าในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งทุนสำรองระหว่างประเทศมีจำนวนมากถึง 8.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทุนไหลเข้ายังมีต่อเนื่อง รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2552-2553 รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้นกว่าเดิม ให้อยู่ในช่วง 2.5-3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หรือประมาณ 1.7-2.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ จากเดิมในปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลจัดงบประมาณแบบขาดดุลไว้แค่ 1.65 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1.5-2% ของจีดีพีเท่านั้น
นายเชาว์ เก่งชน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การที่ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐ ประกาศแนวทางแก้ไขปัญหาลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่ำกว่ามาตรฐาน (ซับไพรม์) ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา 5 ปีสำหรับลูกหนี้ซับไพรม์ ที่กู้เงินตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2548 จนถึงวันที่ 31 ก.ค. 2550 ซึ่งจะถึงกำหนดปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ในช่วง 2 ปีครึ่งนั้น ในสภาวะเช่นนี้ถือว่ามาตรการที่ออกมาส่งผลดีมากกว่าผลเสีย เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐ และคลายความกังวลของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งแม้มาตรการนี้จะเป็นบวก แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตีว่าจะทำให้ปัญหาซับไพรม์หยุดเพียงเท่านี้ เพราะขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่าซับไพรม์จะจบลงเมื่อไหร่ หรือปัญหาจะเลวร้ายต่อเนื่องอีกหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 11 ธ.ค. ว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 0.25% ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.นี้ ก่อนลดอีกในเดือน ม.ค. และ มี.ค. ปีหน้า อย่างไรก็ดียังมีลุ้นว่าในวันที่ 11 ธ.ค. เฟดจะลดดอกเบี้ยรวดเดียว 0.5% หรือไม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207857
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/12/07
โพสต์ที่ 517
คลังรีดภาษีถล่มทลาย
โพสต์ทูเดย์ คลัง มั่นใจรายได้รัฐบาลปีงบ51 เข้าเป้า 1.495 ล้านล้านแน่นอน หลัง 2 เดือนแรกยอดเก็บภาษีพุ่งกว่า 2.24 แสนล้านบาท
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง และโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลใน ปีงบประมาณ 2551 ว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.495 ล้านล้านบาทแน่นอน เนื่องจากผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปี งบประมาณ (ต.ค.-พ.ย. 2550) สามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 2.24 แสนล้านบาท
การจัดเก็บภาษีดังกล่าวสูง กว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 1.26 พันล้านบาท หรือ 0.6% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของ ปีก่อน 8.6%
กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้รวม 1.58 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 4.62 พันล้านบาท คิดเป็น 3% สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 10.1% โดยภาษีที่ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการได้แก่ ภาษีนิติบุคคล 4.58 พันล้านบาท ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 989 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 757 ล้านบาท
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2551 ที่คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็ตาม กระทรวงการคลังคาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2551 ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นายสมชัย กล่าว
สำหรับผลการจัดเก็บรายได้ในเดือน พ.ย. 2550 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.11 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 2.71 พันล้านบาท หรือ 2.5% และสูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 12.3%
ทั้งนี้ 3 กรมจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ 5.8% และสูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อนถึง 10%
ภาษีเงินได้นิติบุคคลมียอดการจัดเก็บที่สูงกว่าประมาณการเนื่องจากได้รับชำระภาษีจากรอบบัญชีอื่นที่คงค้าง ประกอบกับนิติบุคคลบางแห่งมีการเปลี่ยนรอบระยะเวลาบัญชี ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่งสัญญาณที่ดีในเรื่องของการขยายตัวของการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าและอากรขาเข้าก็ขยายตัวที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าขยายตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมก็จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ เนื่องจากบริษัทที่เกี่ยวข้องมีการส่งเงินกำไรออกนอกประเทศ
สำหรับการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจนั้นยังต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งเป็นผลจากธนาคารออมสินนำส่งรายได้ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 500 ล้านบาท เนื่องจากต้องตั้งสำรองหนี้สูญจากมาตรฐานบัญชี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207860
โพสต์ทูเดย์ คลัง มั่นใจรายได้รัฐบาลปีงบ51 เข้าเป้า 1.495 ล้านล้านแน่นอน หลัง 2 เดือนแรกยอดเก็บภาษีพุ่งกว่า 2.24 แสนล้านบาท
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง และโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลใน ปีงบประมาณ 2551 ว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.495 ล้านล้านบาทแน่นอน เนื่องจากผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปี งบประมาณ (ต.ค.-พ.ย. 2550) สามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 2.24 แสนล้านบาท
การจัดเก็บภาษีดังกล่าวสูง กว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 1.26 พันล้านบาท หรือ 0.6% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของ ปีก่อน 8.6%
กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้รวม 1.58 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 4.62 พันล้านบาท คิดเป็น 3% สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 10.1% โดยภาษีที่ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการได้แก่ ภาษีนิติบุคคล 4.58 พันล้านบาท ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 989 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 757 ล้านบาท
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2551 ที่คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็ตาม กระทรวงการคลังคาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2551 ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นายสมชัย กล่าว
สำหรับผลการจัดเก็บรายได้ในเดือน พ.ย. 2550 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.11 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 2.71 พันล้านบาท หรือ 2.5% และสูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 12.3%
ทั้งนี้ 3 กรมจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ 5.8% และสูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อนถึง 10%
ภาษีเงินได้นิติบุคคลมียอดการจัดเก็บที่สูงกว่าประมาณการเนื่องจากได้รับชำระภาษีจากรอบบัญชีอื่นที่คงค้าง ประกอบกับนิติบุคคลบางแห่งมีการเปลี่ยนรอบระยะเวลาบัญชี ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่งสัญญาณที่ดีในเรื่องของการขยายตัวของการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าและอากรขาเข้าก็ขยายตัวที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าขยายตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมก็จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ เนื่องจากบริษัทที่เกี่ยวข้องมีการส่งเงินกำไรออกนอกประเทศ
สำหรับการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจนั้นยังต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งเป็นผลจากธนาคารออมสินนำส่งรายได้ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 500 ล้านบาท เนื่องจากต้องตั้งสำรองหนี้สูญจากมาตรฐานบัญชี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207860
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/12/07
โพสต์ที่ 518
เงินทะลักเอเชีย
โพสต์ทูเดย์ นักวิเคราะห์คาดสหรัฐช่วยหนี้ซับไพรม์ เงินลงทุน ไหลเข้าเอเชียต่อเนื่อง วานนี้หุ้นสวิงวันเดียว 16.73 จุด
ตลาดหุ้นไทยวันสุดท้ายของสัปดาห์ตอนเช้าและภาคบ่ายหนังคนละม้วน เปิดตลาดพุ่งขึ้นตามตลาดต่างประเทศ โดยขึ้นไปสูง สุดของวันถึง 855.58 จุด และระหว่างวันปรับตัวลงต่ำสุดที่ระดับ 838.62 จุด หรือปรับเพิ่มขึ้นและลดลงรวม 16.73 จุด ก่อนจะปิดตลาดที่ 841.39 จุด ลดลง 3.80 จุด หรือ 0.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 19,641.54 ล้านบาท
ด้านต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 405.04 ล้านบาท สถาบันซื้อ 947.79 ล้านบาท และรายย่อยขายสุทธิ 1,352.83 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI กล่าวว่า ตลาดหุ้นสดใสหลังสหรัฐประกาศแผนช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านจำนอง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.2 ล้านราย อาทิ การตรึงอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้ มากที่สุดถึง 5 ปี ซึ่งแผนดังกล่าว ได้ลดความกังวลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจของสหรัฐ จนผลักดันดัชนีดาวโจนส์บวกแรง 175 จุด
เราคาดว่าเรื่องนี้จะหนุนทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาด หุ้นเอเชียและไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า มาตรการของทางการสหรัฐ ที่ออกมาจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องปัญหาซับไพรม์ แต่ยังคงต้องติดตามต่อไปว่า หลังจากนี้จะมีมาตรการอะไรออกมา เพื่อดูแลลูกค้าชั้นดี ไม่ให้ล้มบนฟูก
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คราวนี้ยังจะต้องลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% เช่นเดิม
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ตลาดหุ้น ในภูมิภาคเอเชียเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้รวมถึงอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ จากทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของอังกฤษและสหรัฐ จึงเชื่อว่าแนวโน้มหุ้นจะขึ้นต่อได้
อย่างไรก็ตาม จะต้องระวังแรงขายหุ้นก่อนวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่ง ศาลปกครองสูงสุดนัดตัดสินคดี ปตท. (PTT) และการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 19-20 ธ.ค. ที่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50%
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ซับไพรม์และการ ลดดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยเศรษฐกิจสหรัฐไม่ให้ชะลอตัวลงแรงเกินไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207881
โพสต์ทูเดย์ นักวิเคราะห์คาดสหรัฐช่วยหนี้ซับไพรม์ เงินลงทุน ไหลเข้าเอเชียต่อเนื่อง วานนี้หุ้นสวิงวันเดียว 16.73 จุด
ตลาดหุ้นไทยวันสุดท้ายของสัปดาห์ตอนเช้าและภาคบ่ายหนังคนละม้วน เปิดตลาดพุ่งขึ้นตามตลาดต่างประเทศ โดยขึ้นไปสูง สุดของวันถึง 855.58 จุด และระหว่างวันปรับตัวลงต่ำสุดที่ระดับ 838.62 จุด หรือปรับเพิ่มขึ้นและลดลงรวม 16.73 จุด ก่อนจะปิดตลาดที่ 841.39 จุด ลดลง 3.80 จุด หรือ 0.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 19,641.54 ล้านบาท
ด้านต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 405.04 ล้านบาท สถาบันซื้อ 947.79 ล้านบาท และรายย่อยขายสุทธิ 1,352.83 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI กล่าวว่า ตลาดหุ้นสดใสหลังสหรัฐประกาศแผนช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านจำนอง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.2 ล้านราย อาทิ การตรึงอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้ มากที่สุดถึง 5 ปี ซึ่งแผนดังกล่าว ได้ลดความกังวลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจของสหรัฐ จนผลักดันดัชนีดาวโจนส์บวกแรง 175 จุด
เราคาดว่าเรื่องนี้จะหนุนทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาด หุ้นเอเชียและไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า มาตรการของทางการสหรัฐ ที่ออกมาจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องปัญหาซับไพรม์ แต่ยังคงต้องติดตามต่อไปว่า หลังจากนี้จะมีมาตรการอะไรออกมา เพื่อดูแลลูกค้าชั้นดี ไม่ให้ล้มบนฟูก
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คราวนี้ยังจะต้องลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% เช่นเดิม
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ตลาดหุ้น ในภูมิภาคเอเชียเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้รวมถึงอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ จากทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของอังกฤษและสหรัฐ จึงเชื่อว่าแนวโน้มหุ้นจะขึ้นต่อได้
อย่างไรก็ตาม จะต้องระวังแรงขายหุ้นก่อนวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่ง ศาลปกครองสูงสุดนัดตัดสินคดี ปตท. (PTT) และการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 19-20 ธ.ค. ที่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50%
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ซับไพรม์และการ ลดดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยเศรษฐกิจสหรัฐไม่ให้ชะลอตัวลงแรงเกินไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207881
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/12/07
โพสต์ที่ 519
ตลาดอึ้ง!คนรุ่นใหม่เมินหุ้น ทุ่มเงิน31ล.ขยายนักลงทุน
โพสต์ทูเดย์ ตลาดหลักทรัพย์ อึ้ง!! เผยผลสำรวจล่าสุดคนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 91% ยังเมินตลาดหุ้น สนฝากเงินแบงก์
ตลาดหลักทรัพย์ได้สำรวจประชากรในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 2 หมื่นบาท จำนวน 1.4 พันคน จากประชากรทั้งหมด 3 ล้านคนจากกลุ่มสำรวจ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า มีประชาชนเพียง 9% ที่ชอบลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ส่วนอีก 91% ไม่มีการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม
ประชากรส่วนใหญ่ยังคงที่จะเลือกฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ เพราะมีความเสี่ยงน้อย ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ และยังไม่มีความรู้ที่จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการลงทุนได้ ส่วนคนที่สนใจเข้าลงทุนหุ้นนั้นส่วนใหญ่อายุ 55 ปี
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2551 ตลาดจะใช้งบ 31 ล้านบาท ในการขยายฐานนักลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.86 ล้านราย
สำหรับงบลงทุนที่จะใช้นั้นมีโครงการใหม่ 1 โครงการคือ โครงการ EJIP ที่จะส่งเสริมให้พนักงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทนั้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเป็นการหักจากเงินเดือนส่วนหนึ่งและบริษัทจ่ายสมทบด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเสริมความรู้สึกเป็น เจ้าของบริษัทให้กับพนักงาน เพื่อที่จะช่วยกันทุ่มเทให้ผลการดำเนินงานของบริษัทออกมาดีขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินตามประเทศญี่ปุ่น ที่มี บจ. ทั้งหมด 1.8 พันแห่งใช้วิธีการนี้ จากที่มี บจ.ทั้งหมด 2.4 พันแห่ง
นอกจากนี้ จะสนับสนุน โครงการเปิดสาขาย่อยออนไลน์ (มินิบลานซ์) หรือสาขาอิเล็กทรอนิกส์ (ไซเบอร์ บลานซ์) ในธนาคารพาณิชย์หรือ ห้างสรรพสินค้า 40 แห่งในปีหน้า จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 27 แห่ง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207882
โพสต์ทูเดย์ ตลาดหลักทรัพย์ อึ้ง!! เผยผลสำรวจล่าสุดคนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 91% ยังเมินตลาดหุ้น สนฝากเงินแบงก์
ตลาดหลักทรัพย์ได้สำรวจประชากรในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 2 หมื่นบาท จำนวน 1.4 พันคน จากประชากรทั้งหมด 3 ล้านคนจากกลุ่มสำรวจ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า มีประชาชนเพียง 9% ที่ชอบลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ส่วนอีก 91% ไม่มีการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม
ประชากรส่วนใหญ่ยังคงที่จะเลือกฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ เพราะมีความเสี่ยงน้อย ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ และยังไม่มีความรู้ที่จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการลงทุนได้ ส่วนคนที่สนใจเข้าลงทุนหุ้นนั้นส่วนใหญ่อายุ 55 ปี
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2551 ตลาดจะใช้งบ 31 ล้านบาท ในการขยายฐานนักลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.86 ล้านราย
สำหรับงบลงทุนที่จะใช้นั้นมีโครงการใหม่ 1 โครงการคือ โครงการ EJIP ที่จะส่งเสริมให้พนักงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทนั้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเป็นการหักจากเงินเดือนส่วนหนึ่งและบริษัทจ่ายสมทบด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเสริมความรู้สึกเป็น เจ้าของบริษัทให้กับพนักงาน เพื่อที่จะช่วยกันทุ่มเทให้ผลการดำเนินงานของบริษัทออกมาดีขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินตามประเทศญี่ปุ่น ที่มี บจ. ทั้งหมด 1.8 พันแห่งใช้วิธีการนี้ จากที่มี บจ.ทั้งหมด 2.4 พันแห่ง
นอกจากนี้ จะสนับสนุน โครงการเปิดสาขาย่อยออนไลน์ (มินิบลานซ์) หรือสาขาอิเล็กทรอนิกส์ (ไซเบอร์ บลานซ์) ในธนาคารพาณิชย์หรือ ห้างสรรพสินค้า 40 แห่งในปีหน้า จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 27 แห่ง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207882
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/12/07
โพสต์ที่ 520
กูรูชี้ดัชนีปลายปีวิ่งถึง885จุด
เปิดกลยุทธ์เฟ้นหาหุ้นปันผล
กูรูชี้ทางดัชนีหุ้นไทยปลายปี 50 วิ่งถึง 885 จุด ส่วนปีหน้าฟ้าใหม่หากการเมือง-เศรษฐกิจทั้งในและนอกไหลลื่นดัชนีพุ่งพรวดแน่ 1,030 จุด ย้ำชัดหุ้นไทยกลุ่มที่น่าสนใจยังหนีไม่พ้น ธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน แนะกลยุทธ์ลงทุนเฟ้นหาหุ้นปัจจัยพื้นฐานเด่น อัตราการขยายตัวของกำไรดี เงินปันผลจูงใจ ชู BANPU, BAY, BBL, KBANK, PTT, PTTEP, SCB แรงติดชาร์ต
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลสำรวจนักวิเคราะห์ล่าสุดได้คาดการณ์แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 ธันวาคม 2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2550 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มเฉลี่ยที่ 885 จุด จากระดับ 871 จุดซึ่งสำรวจไปเมื่อเดือนสิงหาคม และเพิ่มคาดการณ์ดัชนี ณ ปลายปี 2551 อยู่ที่เฉลี่ย 1,030 จุดจากเดิม 1,000 จุด
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจปีหน้า 2551 โดยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 18.4 ในขณะที่ GDP Growth คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 4.9 กลุ่มธุรกิจที่แนะนำให้ลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน
สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2551 นักวิเคราะห์มีความเห็นตรงกันถึงร้อยละ 85 คือ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งคาดว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งปลายปี และสามารถจัดตั้งรัฐบาล ใหม่ ได้เรียบร้อย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการขยายตัวดีในปี 2551 และกระแสเงินไหลเข้า โดยมีแนวโน้มที่เงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้าเอเชียอีก
อย่างไรก็ตามในแง่ของปัจจัยลบนักวิเคราะห์ร้อยละ 80 มองตรงกัน คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบที่ได้รับจากปัญหาซับไพร์ม และ ราคาน้ำมัน ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ส่วนปัจจัยลบในประเทศยังคงมองเรื่องการเมือง ซึ่งอาจมีปัญหาวุ่นวายภายหลังการเลือกตั้ง การเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับของต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทเป็นต้น
นอกจากนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลชุดหน้าดำเนินการในสองด้านใหญ่ ๆ คือ เพิ่มจำนวนสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ และเพิ่มจำนวนนักลงทุน เช่น เพิ่มตราสารใหม่ ๆ เกี่ยวกับ futures, options เป็นต้น และเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทจดทะเบียน และอนุญาตให้มี dual listing
สำหรับการเพิ่มจำนวนนักลงทุนนั้นควรเพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เป็นต้น ส่วนตัวเลขสำคัญสำหรับทั้งปี 2551 คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth นั้นคาดว่าตัวเลขเฉลี่ยจะเติบโตอยู่ที่ 4.9% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 18.4%
ทั้งนี้สำหรับตัวเลขอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปี 2551 เฉลี่ยอยู่ที่ 32.9 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.4% ในส่วนของประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า 2551 ประเมินจากอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ คือกลุ่มธนาคารมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ร้อยละ 126.4 อันดับสองคือ อสังหาริมทรัพย์ เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 16.6 อันดับต่อมาคือ กลุ่มปิโตรเคมี เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 13.8
ขณะที่หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, BAY, BBL, KBANK, PTT, PTTEP, SCB เป็นต้น ส่วนเคล็ดลับการลงทุนแนะนำให้ใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเลือกหุ้นที่ราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่เหมาะสม และมีอัตราการขยายตัวของกำไรดี มีเงินปันผลสูง
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 310&ch=225
เปิดกลยุทธ์เฟ้นหาหุ้นปันผล
กูรูชี้ทางดัชนีหุ้นไทยปลายปี 50 วิ่งถึง 885 จุด ส่วนปีหน้าฟ้าใหม่หากการเมือง-เศรษฐกิจทั้งในและนอกไหลลื่นดัชนีพุ่งพรวดแน่ 1,030 จุด ย้ำชัดหุ้นไทยกลุ่มที่น่าสนใจยังหนีไม่พ้น ธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน แนะกลยุทธ์ลงทุนเฟ้นหาหุ้นปัจจัยพื้นฐานเด่น อัตราการขยายตัวของกำไรดี เงินปันผลจูงใจ ชู BANPU, BAY, BBL, KBANK, PTT, PTTEP, SCB แรงติดชาร์ต
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลสำรวจนักวิเคราะห์ล่าสุดได้คาดการณ์แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 ธันวาคม 2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2550 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มเฉลี่ยที่ 885 จุด จากระดับ 871 จุดซึ่งสำรวจไปเมื่อเดือนสิงหาคม และเพิ่มคาดการณ์ดัชนี ณ ปลายปี 2551 อยู่ที่เฉลี่ย 1,030 จุดจากเดิม 1,000 จุด
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจปีหน้า 2551 โดยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 18.4 ในขณะที่ GDP Growth คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 4.9 กลุ่มธุรกิจที่แนะนำให้ลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน
สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2551 นักวิเคราะห์มีความเห็นตรงกันถึงร้อยละ 85 คือ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งคาดว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งปลายปี และสามารถจัดตั้งรัฐบาล ใหม่ ได้เรียบร้อย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการขยายตัวดีในปี 2551 และกระแสเงินไหลเข้า โดยมีแนวโน้มที่เงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้าเอเชียอีก
อย่างไรก็ตามในแง่ของปัจจัยลบนักวิเคราะห์ร้อยละ 80 มองตรงกัน คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบที่ได้รับจากปัญหาซับไพร์ม และ ราคาน้ำมัน ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ส่วนปัจจัยลบในประเทศยังคงมองเรื่องการเมือง ซึ่งอาจมีปัญหาวุ่นวายภายหลังการเลือกตั้ง การเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับของต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทเป็นต้น
นอกจากนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลชุดหน้าดำเนินการในสองด้านใหญ่ ๆ คือ เพิ่มจำนวนสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ และเพิ่มจำนวนนักลงทุน เช่น เพิ่มตราสารใหม่ ๆ เกี่ยวกับ futures, options เป็นต้น และเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทจดทะเบียน และอนุญาตให้มี dual listing
สำหรับการเพิ่มจำนวนนักลงทุนนั้นควรเพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เป็นต้น ส่วนตัวเลขสำคัญสำหรับทั้งปี 2551 คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth นั้นคาดว่าตัวเลขเฉลี่ยจะเติบโตอยู่ที่ 4.9% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 18.4%
ทั้งนี้สำหรับตัวเลขอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปี 2551 เฉลี่ยอยู่ที่ 32.9 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.4% ในส่วนของประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า 2551 ประเมินจากอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ คือกลุ่มธนาคารมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ร้อยละ 126.4 อันดับสองคือ อสังหาริมทรัพย์ เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 16.6 อันดับต่อมาคือ กลุ่มปิโตรเคมี เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 13.8
ขณะที่หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, BAY, BBL, KBANK, PTT, PTTEP, SCB เป็นต้น ส่วนเคล็ดลับการลงทุนแนะนำให้ใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเลือกหุ้นที่ราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่เหมาะสม และมีอัตราการขยายตัวของกำไรดี มีเงินปันผลสูง
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 310&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/12/07
โพสต์ที่ 521
โบรกชี้กลาง-ยาว "ซื้อสะสม"เมื่ออ่อนตัว
ซื้อขายวันต่อวันแนะเน้นเปิดLONG
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อ SET 50 Index ในสัปดาห์นี้ประกอบด้วย
1) กนง.ประชุมวันที่ 4 ธ.ค.50 คาดว่าจะคงดอกเบี้ย R/P 1 วันไว้ที่ 3.25% เพราะเงินเฟ้อจากต้นทุนผลัก 1Q50 เพิ่มแบบเร่งตัว และในช่วงที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ไม่มาก
2) ศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำตัดสินคดีแปรรูป PTT วันที่ 14 ธ.ค.50 ซึ่งเราคาดว่าจะไม่ De-listed แต่อาจมีการโอนสินทรัพย์บางอย่าง เช่น ท่อส่งก๊าซออกไปยังบริษัทใหม่
3) คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยระยะสั้นอีกรอบ ในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.50 คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีกรอบเพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอย นอกจากนั้นยังมีความหวังว่าทางการสหรัฐจะออกมาตรการมายับยั้งปัญหาซับไพร์มในตลาดที่พักอาศัย
4)ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนต.ค.50 ออกมาดี โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกที่เติบโตสูงถึง 27.9% เป็น 14.48 พันล้าน US$ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กลยุทธ์การลงทุน : เล่นรอบ ซื้อตามด้วยค่าบวก และขายทำกำไรที่แนวต้าน การลงทุนระยะกลาง-ยาว ให้ซื้อสะสมโดยเฉพาะจังหวะอ่อนตัว
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้คาดว่าตลาดจะยังคงแนวโน้มขาขึ้นและมีโมเมนตัมเนื่องจากภาวะ Oversold ในตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนี Dow Jones ลดลง 10% จากที่ระดับสูงสุดในเดือนต.ค. โดย Sentiment ของนักลงทุนในสหรัฐเปลี่ยนจากมองว่า Recession เป็น Correction ซึ่งยังไม่ขอเขียนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว แต่คิดว่าในระยะสั้นตลาดจะถูกเทรดตามความคาดหวังที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในสัปดาห์หน้า
และ ประเด็นที่ใช้ในการบอกว่าทิศทางตลาดยังเป็นขาขึ้นนั้นยังดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ราคาน้ำมันลดลง ราคาทองลดลง รวมถึงราคาพันธบัตรรัฐบาสลดลงเ โดยนักลงทุนดึงเงินออกจากสินค้าโภคภัณฑ์และตราสารหนี้ และย้ายไปลงทุนในหุ้นแทน ซึ่งพิจารณาแนวต้านที่ระดับประมาณ 632-635 จุดสำหรับ SET50 จึงเปลี่ยนกลยุทธ์จากซื้อขายระยะกลางเป็นซื้อขายวันต่อวันในสัปดาห์นี้ แต่ยังคงแนะนำให้เน้นที่สถานะ LONG
โดยคาดว่าปริมาณการซื้อขายจะลดลงในสัปดาห์นี้เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาว โดยให้ทำตามกลยุทธ์ที่ Long on correction ในรายงานประจำวัน ซึ่งจะให้ข้อมูลช่วงการซื้อขายในแต่ละวัน
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 312&ch=225
ซื้อขายวันต่อวันแนะเน้นเปิดLONG
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อ SET 50 Index ในสัปดาห์นี้ประกอบด้วย
1) กนง.ประชุมวันที่ 4 ธ.ค.50 คาดว่าจะคงดอกเบี้ย R/P 1 วันไว้ที่ 3.25% เพราะเงินเฟ้อจากต้นทุนผลัก 1Q50 เพิ่มแบบเร่งตัว และในช่วงที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ไม่มาก
2) ศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำตัดสินคดีแปรรูป PTT วันที่ 14 ธ.ค.50 ซึ่งเราคาดว่าจะไม่ De-listed แต่อาจมีการโอนสินทรัพย์บางอย่าง เช่น ท่อส่งก๊าซออกไปยังบริษัทใหม่
3) คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยระยะสั้นอีกรอบ ในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.50 คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีกรอบเพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอย นอกจากนั้นยังมีความหวังว่าทางการสหรัฐจะออกมาตรการมายับยั้งปัญหาซับไพร์มในตลาดที่พักอาศัย
4)ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนต.ค.50 ออกมาดี โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกที่เติบโตสูงถึง 27.9% เป็น 14.48 พันล้าน US$ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กลยุทธ์การลงทุน : เล่นรอบ ซื้อตามด้วยค่าบวก และขายทำกำไรที่แนวต้าน การลงทุนระยะกลาง-ยาว ให้ซื้อสะสมโดยเฉพาะจังหวะอ่อนตัว
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้คาดว่าตลาดจะยังคงแนวโน้มขาขึ้นและมีโมเมนตัมเนื่องจากภาวะ Oversold ในตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนี Dow Jones ลดลง 10% จากที่ระดับสูงสุดในเดือนต.ค. โดย Sentiment ของนักลงทุนในสหรัฐเปลี่ยนจากมองว่า Recession เป็น Correction ซึ่งยังไม่ขอเขียนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว แต่คิดว่าในระยะสั้นตลาดจะถูกเทรดตามความคาดหวังที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในสัปดาห์หน้า
และ ประเด็นที่ใช้ในการบอกว่าทิศทางตลาดยังเป็นขาขึ้นนั้นยังดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ราคาน้ำมันลดลง ราคาทองลดลง รวมถึงราคาพันธบัตรรัฐบาสลดลงเ โดยนักลงทุนดึงเงินออกจากสินค้าโภคภัณฑ์และตราสารหนี้ และย้ายไปลงทุนในหุ้นแทน ซึ่งพิจารณาแนวต้านที่ระดับประมาณ 632-635 จุดสำหรับ SET50 จึงเปลี่ยนกลยุทธ์จากซื้อขายระยะกลางเป็นซื้อขายวันต่อวันในสัปดาห์นี้ แต่ยังคงแนะนำให้เน้นที่สถานะ LONG
โดยคาดว่าปริมาณการซื้อขายจะลดลงในสัปดาห์นี้เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาว โดยให้ทำตามกลยุทธ์ที่ Long on correction ในรายงานประจำวัน ซึ่งจะให้ข้อมูลช่วงการซื้อขายในแต่ละวัน
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 312&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 522
คาดสัปดาห์หน้า หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ 830 - 860 จุด มีข่าวให้ลุ้นหลายเรื่อง FED+PTT
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, December 07, 2007
ข่าวดีต่าง ๆ ที่หนุนเนื่องเข้ามาในรอบ 2 วัน ทั้งกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน หรือกลุ่มโอเปคประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ต่อเนื่องด้วยรัฐบาลสหรัฐ ประกาศแผนแก้ปัยหาวิกฤตซับไพร์มครั้งใหญ่ ด้วยการงดดอกเบี้ย 5 ปีสำหรับเงินกู้ที่เก็บรายเดือนเพิ่มขึ้น หรือปรับอัตราสินเชื่อเพื่อการจดจำนองเสียใหม่ พร้อมทั้งจัดตั้ง "ซูเปอร์ฟันด์" หรือกองทุนขนาดยักษ์ ทำหน้าที่ซื้อสินทรัพย์เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อการจดจำนองที่มีปัญหาจนกระทบต่อดุลบัญชีของสถาบันการเงินรายใหญ่ ๆ เพิ่มเติมจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เตรียมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 25 Basis points ส่งท้ายปีนี้อีกครั้ง ก็มีผลให้เกิดแรงซื้อหุ้นกระจายตัวเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาค และตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม การที่รนักลงทุนรายย่อย หันมาขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุผันผวนในวันหยุดเทศกาลรัฐธรรมนูญ จึงมีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวลดลง หลังจากในภาคเช้า ทะยานขึ้นไปแตะ 855 จุด ลงมาปิดทำการที่ 841.39 จุด อ่อนตัวลง 3.80 จุด หรือ 0.45% ด้วยปริมาณการซื้อขาย 19,641 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้นที่ครองความนิยม ยังกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร โดยเฉพาะหุ้นนำตลาด อย่าง บมจ.ปตท.(PTT) บมจ.ปตท.สผ.(PTTEP) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.อะโรเมติกส์ ประเทศไทย (ATC) บมจ.ปตท.เคมีคัลส์ (PTTCH) บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) บมจ.ช.การช่าง (CK) บมจ.ซิโนไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บมจ.แอ๊ดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และ บมจ.โทเทิล แอ๊คเซส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) รวมถึงหุ้นเก็งกำไรอย่าง บมจ.ธนายง (TYONG) บมจ.ทีพีไอโพลีน (TPIPL) บมจ.ทาทา สตีล (TSTH)
สำหรับแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์หลายสำนัก คิดตรงกับฝ่ายวิจัย บล.เอเชีย พลัส (ASP) ว่า ในต้นสัปดาห์ตลาดทั่วโลกจะทรงตัวเพื่อรอดูความชัดเจนจากการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) โดยเป็นที่คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้มากขึ้นว่า FED อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% สู่ระดับ 4.00% หลังจาก ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในอัตรา 0.25%
ทั้งนี้ หาก FED มีมติปรับลดลง 0.5% จะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ตอบรับด้วยการปรับบวกขึ้นทดสอบแนวต้าน 14,000 จุดอีกครั้ง เนื่องจากสะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อการเร่งแก้ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และจะเป็นอิทธิพลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับบวกขึ้นในทิศทางเดียวกันด้วย
สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่าจะปรับตัวเชิงบวกในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน แต่การปรับบวกจะเป็นไปอย่างจำกัด จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่งจะชะลอตัวลง และเริ่มเห็นแรงซื้อกลับบ้าง แต่ยังเป็นปริมาณที่ไม่มาอย่างมีนัยสำคัญ บวกกับนักลงทุนในตลาดยังคงกังวลต่อกรณีการฟังคำตัดสินคดีของ PTT จากศาลปกครองที่จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคมด้วย เป็นผลให้ดัชนีปรับตัวขึ้น โดยมีแนวรับที่ระดับ 830 จุด และแนวต้าน 860 จุด
ส่วนคำแนะนำ คือ เลือกซื้อสะสมจังหวะที่ราคาอ่อนตัวในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และผันผวนน้อยจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ
ส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) วันนี้ ผันผวนตามตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน เนื่องจากนักลงทุนหันมาขายทำกำไรหุ้นยอดนิยม อย่าง UMS UMS-W1 และ TNDT ต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 212 ล้านบาท หรือกว่า 48% ของปริมาณการซื้อขายในรอบวัน 458 ล้านบาท จึงมีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งวันนี้ไต่ระดับขึ้นไปไม่เกิน 274 จุด และจากนั้น ก็ค่อย ๆ ปรับย่อตัวลงมาจนแตะจุดต่ำสุดของวัน บริเวณ 268 จุด แต่กอ่นปิดตลาด กลับมีแรงซื้อหนุนเข้ามาในหุ้น UEC TRC หนุนดัชนี Mai ให้ไต่ระดับขึ้นมา และปิดทำการเหนือ 270 จุดได้ โดยปิดที่ 270.03 จุด อ่อนตัวลงเพียง 2.05 จุด หรือ 0.75%
สำหรับแนวโน้มตลาด mai ในสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก คิดตรงกันว่า ดัชนี mai น่าจะยังคงแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 268 - 275 จุด
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, December 07, 2007
ข่าวดีต่าง ๆ ที่หนุนเนื่องเข้ามาในรอบ 2 วัน ทั้งกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน หรือกลุ่มโอเปคประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ต่อเนื่องด้วยรัฐบาลสหรัฐ ประกาศแผนแก้ปัยหาวิกฤตซับไพร์มครั้งใหญ่ ด้วยการงดดอกเบี้ย 5 ปีสำหรับเงินกู้ที่เก็บรายเดือนเพิ่มขึ้น หรือปรับอัตราสินเชื่อเพื่อการจดจำนองเสียใหม่ พร้อมทั้งจัดตั้ง "ซูเปอร์ฟันด์" หรือกองทุนขนาดยักษ์ ทำหน้าที่ซื้อสินทรัพย์เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อการจดจำนองที่มีปัญหาจนกระทบต่อดุลบัญชีของสถาบันการเงินรายใหญ่ ๆ เพิ่มเติมจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เตรียมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 25 Basis points ส่งท้ายปีนี้อีกครั้ง ก็มีผลให้เกิดแรงซื้อหุ้นกระจายตัวเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาค และตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม การที่รนักลงทุนรายย่อย หันมาขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุผันผวนในวันหยุดเทศกาลรัฐธรรมนูญ จึงมีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวลดลง หลังจากในภาคเช้า ทะยานขึ้นไปแตะ 855 จุด ลงมาปิดทำการที่ 841.39 จุด อ่อนตัวลง 3.80 จุด หรือ 0.45% ด้วยปริมาณการซื้อขาย 19,641 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้นที่ครองความนิยม ยังกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร โดยเฉพาะหุ้นนำตลาด อย่าง บมจ.ปตท.(PTT) บมจ.ปตท.สผ.(PTTEP) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.อะโรเมติกส์ ประเทศไทย (ATC) บมจ.ปตท.เคมีคัลส์ (PTTCH) บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) บมจ.ช.การช่าง (CK) บมจ.ซิโนไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บมจ.แอ๊ดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และ บมจ.โทเทิล แอ๊คเซส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) รวมถึงหุ้นเก็งกำไรอย่าง บมจ.ธนายง (TYONG) บมจ.ทีพีไอโพลีน (TPIPL) บมจ.ทาทา สตีล (TSTH)
สำหรับแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์หลายสำนัก คิดตรงกับฝ่ายวิจัย บล.เอเชีย พลัส (ASP) ว่า ในต้นสัปดาห์ตลาดทั่วโลกจะทรงตัวเพื่อรอดูความชัดเจนจากการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) โดยเป็นที่คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้มากขึ้นว่า FED อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% สู่ระดับ 4.00% หลังจาก ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในอัตรา 0.25%
ทั้งนี้ หาก FED มีมติปรับลดลง 0.5% จะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ตอบรับด้วยการปรับบวกขึ้นทดสอบแนวต้าน 14,000 จุดอีกครั้ง เนื่องจากสะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อการเร่งแก้ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และจะเป็นอิทธิพลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับบวกขึ้นในทิศทางเดียวกันด้วย
สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่าจะปรับตัวเชิงบวกในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน แต่การปรับบวกจะเป็นไปอย่างจำกัด จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่งจะชะลอตัวลง และเริ่มเห็นแรงซื้อกลับบ้าง แต่ยังเป็นปริมาณที่ไม่มาอย่างมีนัยสำคัญ บวกกับนักลงทุนในตลาดยังคงกังวลต่อกรณีการฟังคำตัดสินคดีของ PTT จากศาลปกครองที่จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคมด้วย เป็นผลให้ดัชนีปรับตัวขึ้น โดยมีแนวรับที่ระดับ 830 จุด และแนวต้าน 860 จุด
ส่วนคำแนะนำ คือ เลือกซื้อสะสมจังหวะที่ราคาอ่อนตัวในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และผันผวนน้อยจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ
ส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) วันนี้ ผันผวนตามตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน เนื่องจากนักลงทุนหันมาขายทำกำไรหุ้นยอดนิยม อย่าง UMS UMS-W1 และ TNDT ต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 212 ล้านบาท หรือกว่า 48% ของปริมาณการซื้อขายในรอบวัน 458 ล้านบาท จึงมีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งวันนี้ไต่ระดับขึ้นไปไม่เกิน 274 จุด และจากนั้น ก็ค่อย ๆ ปรับย่อตัวลงมาจนแตะจุดต่ำสุดของวัน บริเวณ 268 จุด แต่กอ่นปิดตลาด กลับมีแรงซื้อหนุนเข้ามาในหุ้น UEC TRC หนุนดัชนี Mai ให้ไต่ระดับขึ้นมา และปิดทำการเหนือ 270 จุดได้ โดยปิดที่ 270.03 จุด อ่อนตัวลงเพียง 2.05 จุด หรือ 0.75%
สำหรับแนวโน้มตลาด mai ในสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก คิดตรงกันว่า ดัชนี mai น่าจะยังคงแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 268 - 275 จุด
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 523
พิษศก.กสิกรไทยชี้คนกรุงลดซื้อกระเช้าปีใหม่ คาดเงินสะพัดแค่800ล้าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยคนกรุงเทพลดการซื้อกระเช้าของขวัญต้อนรับปี 2551 เพราะพิษเศรษฐกิจชะลอตัว และค่าใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ปัจจุบันกระเช้าของขวัญยังคงเป็นสินค้าที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยนิยมเลือกซื้อเพื่อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อนำไปมอบให้แก่บุคคลต่างๆโดยเฉพาะพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ โดยจากผลการสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในระหว่างวันที่ 1-20 พ.ย. 2550 จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 555 ราย พบว่า คนกรุงเทพฯสนใจซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.7 อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นนั้น พบว่า มีผลต่อการรตัดสินใจซื้อกระเช้าของขวัญในปีนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 78.7 ของกลุ่มตัวอย่างโดยรวม ทำให้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีงบประมาณในการซื้อลดลง โดยวางแผนที่จะลดทั้งจำนวนกระเช้าและราคาต่อกระเช้าที่ซื้อเมื่อเทียบจากปีก่อน จึงมีความเป็นไปได้ว่า เม็ดเงินหมุนเวียนของสินค้ากระเช้าของขวัญในกรุงเทพฯ ปีนี้น่าจะมีมูลค่าประมาณ 700-800 ล้านบาท น่าจะใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบจากปีก่อน
นอกจากนี้ ทิศทางของกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่ผู้ซื้อจะซื้อสินค้าแล้วนำมาจัดใส่กระเช้าเองนั้นยังคงมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มีความมั่นใจต่อคุณภาพของสินค้าในกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปไม่สูงนัก
โดยสอดคล้องกับผลการสำรวจในครั้งนี้ที่พบว่า ปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่คนกรุงเทพฯ ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่รับปี 2551 คือคุณภาพของสินค้า ด้วยความต้องการที่จะมอบสิ่งที่ดีให้แก่กันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในวันปีใหม่ และยังตอกย้ำด้วยชนิดของสินค้าที่นิยมเลือกซื้อมากที่สุดในการจัดกระเช้าของขวัญด้วยกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างซุปไก่สกัด และรังนก รวมถึงผลไม้และน้ำผัก-น้ำผลไม้ โดยเฉพาะการมอบให้พ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ โดยกิจการห้างร้านที่ตั้งอยู่ใกล้บ้าน ที่ทำงานจะเป็นที่นิยมค่อนข้างโดดเด่นในปีนี้ของคนกรุงเทพฯ ในการเลือกที่จะเข้าไปจับจ่ายเพื่อซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ โดยเฉพาะในทำเลที่รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินผ่านก็ยิ่งได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ผลมาจากปัจจัยทางด้านภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอในปัจจุบันและระดับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จึงส่งให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 26&catid=2
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยคนกรุงเทพลดการซื้อกระเช้าของขวัญต้อนรับปี 2551 เพราะพิษเศรษฐกิจชะลอตัว และค่าใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ปัจจุบันกระเช้าของขวัญยังคงเป็นสินค้าที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยนิยมเลือกซื้อเพื่อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อนำไปมอบให้แก่บุคคลต่างๆโดยเฉพาะพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ โดยจากผลการสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในระหว่างวันที่ 1-20 พ.ย. 2550 จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 555 ราย พบว่า คนกรุงเทพฯสนใจซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.7 อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นนั้น พบว่า มีผลต่อการรตัดสินใจซื้อกระเช้าของขวัญในปีนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 78.7 ของกลุ่มตัวอย่างโดยรวม ทำให้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีงบประมาณในการซื้อลดลง โดยวางแผนที่จะลดทั้งจำนวนกระเช้าและราคาต่อกระเช้าที่ซื้อเมื่อเทียบจากปีก่อน จึงมีความเป็นไปได้ว่า เม็ดเงินหมุนเวียนของสินค้ากระเช้าของขวัญในกรุงเทพฯ ปีนี้น่าจะมีมูลค่าประมาณ 700-800 ล้านบาท น่าจะใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบจากปีก่อน
นอกจากนี้ ทิศทางของกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่ผู้ซื้อจะซื้อสินค้าแล้วนำมาจัดใส่กระเช้าเองนั้นยังคงมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มีความมั่นใจต่อคุณภาพของสินค้าในกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปไม่สูงนัก
โดยสอดคล้องกับผลการสำรวจในครั้งนี้ที่พบว่า ปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่คนกรุงเทพฯ ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่รับปี 2551 คือคุณภาพของสินค้า ด้วยความต้องการที่จะมอบสิ่งที่ดีให้แก่กันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในวันปีใหม่ และยังตอกย้ำด้วยชนิดของสินค้าที่นิยมเลือกซื้อมากที่สุดในการจัดกระเช้าของขวัญด้วยกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างซุปไก่สกัด และรังนก รวมถึงผลไม้และน้ำผัก-น้ำผลไม้ โดยเฉพาะการมอบให้พ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ โดยกิจการห้างร้านที่ตั้งอยู่ใกล้บ้าน ที่ทำงานจะเป็นที่นิยมค่อนข้างโดดเด่นในปีนี้ของคนกรุงเทพฯ ในการเลือกที่จะเข้าไปจับจ่ายเพื่อซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ โดยเฉพาะในทำเลที่รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินผ่านก็ยิ่งได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ผลมาจากปัจจัยทางด้านภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอในปัจจุบันและระดับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จึงส่งให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 26&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/12/07
โพสต์ที่ 524
กรมบัญชีกลางบี้เบิกงบ เร่งอัดเงินลงพื้นที่94%
โพสต์ทูเดย์ กรมบัญชีกลางไล่บี้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ เร่งเบิกจ่ายงบปีนี้ตั้งเป้า 94%
นายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ในปีนี้จะพยายามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 94% ของงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท และต้องเบิกงบด้านลงทุนให้ได้ 74% โดยจะพยายามเร่งรัดเรื่อง การเบิกจ่ายของหน่วยงานต่างๆ อย่างใกล้ชิด
สำหรับช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค-พ.ย. 2550) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 2.6 แสนล้านบาท หรือ 15.67% ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท สูงกว่าอัตราการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อน 4.51% เป็นรายจ่ายประจำ 2.14 แสนล้านบาท หรือ 16.6% ของ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำ 1.295 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วง เดียวกันของปีก่อน 3.66%
ด้านรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายได้ 4.5 หมื่นล้านบาท หรือ 12.35% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน 3.64 แสนล้านบาท สูงกว่าการเบิกงบลงทุนช่วงเดียวกันปีก่อน 7.97%
หน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่ายสูงสุดคือ หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ และสำนักนายกรัฐมนตรี เบิกจ่ายในสัดส่วน 57.07%, 43.92% และ 35.74% ตามลำดับ
นายมนัส ยังกล่าวถึงผลการเบิกจ่ายเงินเดือน พ.ย. 2550 ที่ผ่านมาอีกว่า มียอดการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 1.12 แสนล้านบาท หรือ 6.75% ของ วงเงินงบประมาณ สูงกว่าอัตรา การเบิกจ่ายช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.78% แยกเป็นรายจ่ายประจำ 9.38 หมื่นล้านบาท รายจ่ายลงทุน 1.82 หมื่นล้านบาท หรือ 5% ของงบลงทุน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208304
โพสต์ทูเดย์ กรมบัญชีกลางไล่บี้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ เร่งเบิกจ่ายงบปีนี้ตั้งเป้า 94%
นายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ในปีนี้จะพยายามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 94% ของงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท และต้องเบิกงบด้านลงทุนให้ได้ 74% โดยจะพยายามเร่งรัดเรื่อง การเบิกจ่ายของหน่วยงานต่างๆ อย่างใกล้ชิด
สำหรับช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค-พ.ย. 2550) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 2.6 แสนล้านบาท หรือ 15.67% ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท สูงกว่าอัตราการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อน 4.51% เป็นรายจ่ายประจำ 2.14 แสนล้านบาท หรือ 16.6% ของ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำ 1.295 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วง เดียวกันของปีก่อน 3.66%
ด้านรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายได้ 4.5 หมื่นล้านบาท หรือ 12.35% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน 3.64 แสนล้านบาท สูงกว่าการเบิกงบลงทุนช่วงเดียวกันปีก่อน 7.97%
หน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่ายสูงสุดคือ หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ และสำนักนายกรัฐมนตรี เบิกจ่ายในสัดส่วน 57.07%, 43.92% และ 35.74% ตามลำดับ
นายมนัส ยังกล่าวถึงผลการเบิกจ่ายเงินเดือน พ.ย. 2550 ที่ผ่านมาอีกว่า มียอดการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 1.12 แสนล้านบาท หรือ 6.75% ของ วงเงินงบประมาณ สูงกว่าอัตรา การเบิกจ่ายช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.78% แยกเป็นรายจ่ายประจำ 9.38 หมื่นล้านบาท รายจ่ายลงทุน 1.82 หมื่นล้านบาท หรือ 5% ของงบลงทุน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208304
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/12/07
โพสต์ที่ 525
WEEKLY COMMENTS : ขึ้นต่อเพื่อปิดGAP 871
11 ธันวาคม พ.ศ. 2550 14:10:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ความเสี่ยงของตลาดลดลงจากมาตรการแก้ไขปัญหาซับไพร์ม
ผลการตัดสินคดี PTT มีแนวโน้มที่จะออกมาดีตามคาด
แนวรับที่ 838, 834 และ 828 แนวต้าน 851,860 และ 871
สรุปภาวะตลาดประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา 3-7 ธันวาคม 2550
สรุปภาวะการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดที่ 841.39 ลดลง 5.05 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ระดับปิดที่ 846.44 โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 17,561 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 17,588 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,844 ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิที่ 1,183 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 661 ล้านบาท
ภาพรวมการแกว่งตัว : วันจันทร์ดัชนีปรับลงแรงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคเดียวกันที่ปรับลงเล็กน้อยแรงขายออกมาเกือบทุกกลุ่มโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่วันอังคารดัชนีปรับตัวขึ้นลงสลับในแดนบวกและลบมีแรงขายในหุ้นพลังงานช่วงแรกก่อนมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ปิดตลาดดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนบวกเล็กน้อยวันพฤหัสบดีดัชนีปรับขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ขึ้นมาแรง แรงซื้อกระจายในทุกกลุ่มหลักทรัพย์วันศุกร์ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อตามตลาดหุ้นต่างประเทศก่อนที่จะมีแรงขายออกมาทันทีในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารทำให้ตลาดปรับตัวลงมาต่อเนื่องปิดตลาดดัชนีปิดลบเล็กน้อย
ปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดได้แก่ : ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้น,ต่างชาติขายสุทธิ, กนง.คงอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วันไว้ที่ 3.25%, ประชุมโอเปคมีมติไม่เพิ่มการผลิต,ราคาน้ำมันทรงตัวหลังจากปรับลงแรง
ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามและมีผลต่อการลงทุนในสัปดาห์ 11-14 ธันวาคม 2550
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ 11-14 ธันวาคม 2550 ทางฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ประเมินภาวะตลาดมีแนวโน้มผันผวนเล็กน้อย การปรับตัวเป็นการปรับตัวพักตัวเพื่อขึ้นต่อโดยในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มที่จะกลับขึ้นไปปิดGAPที่ 871 การทำCarry Trades ของนักลงทุนต่างชาติกำลังจบลงและจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยลบเรื่องปัญหาวิกฤตซับไพร์มกำลังจะได้รับการแก้ไขขึ้นหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ และตลาดปล่อยกู้จำนองแก่ลูกหนี้ซับไพร์มผ่านกลไกและเครื่องมือทางการเงิน และในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ ตลาดมีการคาดการณ์กันว่าที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงินสหรัฐฯจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) 0.25%ถึง 0.50%เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย ตลาดเงินและตลาดทุนตอบรับกับเรื่องดังกล่าวไปในทางบวก นอกจากนี้ความเสียหายทางการเงินที่เกิดขึ้นกับบริษัทวาณิชธนกิจและสถาบันการเงินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาซับไพร์มจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ความเสียหายที่เชื่อกันว่าจะมีการทยอยประกาศออกมานั้นจะน้อยกว่าที่ตลาดเคยคาดกันไว้ แต่ผลจากการปรับลดFed Funds Rateจะทำให้เงินดอลลาร์ฯมีการอ่อนค่าลงอีก
สำหรับปัจจัยภายในประเทศบรรยากาศทางการเมืองผ่อนคลาย ความสนใจของทุกฝ่ายมุ่งไปสู่การเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม นี้ เม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงผ่านสื่อต่างๆทำให้เกิดการตื่นตัวในการใช้จ่าย แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแรงกดดันในเรื่องของPTTที่ศาลปกครองสูงสุดได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธันวาคม เวลา 10.00 น. เกี่ยวกับการแปลงสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และการขายหุ้นของกระทรวงการคลัง(PTT BBL PDI NEP THAI SCB MCOT) เพื่อนำเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนของTMB
ปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้
1. ราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันทรงตัวและปรับลงต่อหลังจากก่อนหน้าราคาปรับลงแรงช่วงเข้าใกล้ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลถึงแม้ว่ากลุ่มโอเปคจะมีมติไม่เพิ่มการผลิตก็ตามก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากความกังวลด้านอุปสงค์น้ำมันที่จะลดลงจากสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะชะลอตัวลง ในขณะที่ความเสี่ยงด้านการเมืองลดลงหลังจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐเผยว่าอิหร่านได้ยุติโครงการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์เริ่มมีความเห็นว่าราคาน้ำมันดิบได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้ราคาน้ำมันช่วงนี้มีแนวโน้มทรงตัวมากกว่าขึ้นแรงเหมือนช่วงก่อน
2.ปัญหาซับไพร์ม
ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศแผนการยับยั้งการยึดบ้านในสหรัฐและแนวทางการแก้ปัญหาในตลาดสินเชื่อจำนองโดยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากที่กำลังจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ในขณะที่เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งเกินคาดจะกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนได้ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกถึงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนเริ่มลดความกังวลถึงการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐได้ ทำให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นกันอีกครั้ง
3. 14 ธ.ค. ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดี PTT
ศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาคดีแปรรูป PTT ว่าจะต้องเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯหรือไม่ในวันที่ 14 ธ.ค. นี้ ซึ่งจะต้องรอดูผลตัดสินว่าจะออกมาเป็นเช่นไรเนื่องจากเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงมาก การเพิกถอนจะทำให้กระทบต่อตลาดหุ้นอย่างมากและทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมันในการลงทุนต่อตลาดหุ้นไทย
4.แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ
เริ่มขายในสัดส่วนที่น้อยและเริ่มมีซื้อกลับเข้ามาในระหว่างสัปดาห์จะทำให้กลับมาเป็นปัจจัยบวกด้านจิตวิทยาในขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้นหลังจากลงแรง ในขณะที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นช่วง 23 ธ.ค.นี้ซึ่งตามสถิติหุ้นจะปรับตัวขึ้น และตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนตุลาคมส่งสัญญาณที่ฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวเป็นบวกเดือนแรก ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดแรงซื้อกลับคืนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
5. 11 ธ.ค. 50 ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ
จากถ้อยแถลงของประธาน FED ที่ว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐจะซบเซาลงเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นทำให้ความตึงเครียดทางการเงินเริ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า FED มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งเพื่อให้ความช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะปรับดอกเบี้ยลดลงอย่างน้อย 0.25%จากระดับ 4.5% จากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้มีกระแสการเก็งกำไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ที่มีโอกาสอ่อนค่าขึ้นจะกระตุ้นให้มีเงินไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย
6.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้กล่าวเตือนว่าขณะนี้มีความเสี่ยงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าลงอย่างฉับพลัน
การขาดความมั่นใจในสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปดอลลาร์ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐฯ รวมทั้งปัญหาความซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ด้านการเงินและสินเชื่อโลกยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติและไม่ทราบผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวจะอยู่ในระดับไหน ทำให้สถาบันการเงินระหว่างประเทศหรือ Institute of International Finance (IIF)ระบุว่าในปีนี้มีการประเมินว่าปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่น่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ถึงระดับ 620,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและยังจะคงสูงในระดับเดียวกันนั้นต่อไปในปี 2551 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าตลาดดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าและไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ
7.ผลกระทบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ผลการสำรวจสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสำรวจพบว่าผู้ประกอบการ 100% เห็นว่าราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่า 30 บาท จะขาดทุนหมดทุกอุตสาหกรรมราคาน้ำมันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ขึ้นมาทรงตัวในระดับสูงจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวต่ำกว่าที่คาดได้และจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อด้วย ทำให้ธปท.ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้นและอาจจะลดการแทรกแซงค่าเงินให้อ่อนค่าเพื่อนำเข้าน้ำมันในราคาที่ถูกลงเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นและแนวโน้มดอกเบี้ยที่ทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้นจะเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติมาลงทุนที่ไทย
แนวโน้มการเคลื่อนไหวระดับสัปดาห์
ด้านการวิเคราะห์เทคนิค ดัชนี REBOUND ขึ้นมาต่อตามแนวฐานรูปแบบ V-SHAPE การวกกลับขึ้นมาทรงตัวเหนือแนวรับ GOLDEN CROSS และคงแนวรับขาขึ้นของ SMA 5,10 วันไว้ได้ เป็นสัญญาณบวกแนวรับเสริมการสร้างรูปแบบ V-SHAPE ค่าสัญญาณทางเทคนิค MACD,RSI ยังเป็นสัญญาณบวกต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นจากการเกิดแท่งเทียนสีดำ BEARISH หลังจากเปิด GAP ขาขึ้นแต่ VOLUME ไม่เพิ่มตามทำให้ดัชนีมีโอกาสพักตัวลงต่อในช่วงต้นสัปดาห์แต่คาดว่าเป็นการพักตัวช่วงสั้นก่อนขึ้นต่อตามสัญญาณบวกแนวรับ GOLDEN CROSS และรูปแบบขึ้น V-SHAPE มีเป้าหมายขั้นต้นที่การปิด GAP แนวต้านที่ 871
กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ระยะสั้นซื้อเก็งกำไรในลักษณะรอซื้อช่วงปรับตัวแนวรับกลับตัวขึ้นขายแนวต้าน สัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 838, 834 และ 828 แนวต้าน 851,860 และ 871
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค.
จากกราฟรายวันราคาน้ำมันเริ่มปรับลงมาอยู่ในทิศทางของแนวโน้มลง แต่เนื่องจากการลงแรงจนค่าสัญญาณลงมามาก ทำให้มีแนวโน้มดีดกลับทางเทคนิคแต่คาดว่าเป็นช่วงสั้นก่อนปรับลงต่อ
ค่าเงินบาท/ดอลลาร์ในตลาดออนชอร์
จากกราฟรายวันค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับลง แต่ระดับค่าสัญญาณอยู่ในระดับต่ำ ทำให้แนวโน้มการแข็งค่ามีโอกาสเกิดขึ้นช่วงสั้นๆเท่านั้นก่อนกลับมาอ่อนค่าขึ้นอีกครั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์
จากกราฟรายวันดัชนีขึ้นต่อเนื่องหลังจากปรับขึ้นจากแนวรับจุดเดิมที่เคยกลับตัวแรงรอบก่อนหน้า ค่าสัญญาณทางเทคนิคและดัชนีปรับขึ้นสอดคล้องกัน ทำให้ดัชนีมีแนวโน้มกลับตัวขึ้นต่อ
ดัชนีนิกเกอิ
จากกราฟรายวันดัชนีฟื้นตัวหลังจากค่าสัญญาณทางเทคนิคมีภาวะลงแรงมากเกินไป สัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคที่เกิดขึ้นสอดคล้องกันกับการปรับขึ้นของดัชนี ทำให้มีแนวโน้มกลับตัวขึ้นต่อ
ที่มา : บล.โกลเบล็กฯ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=210218
11 ธันวาคม พ.ศ. 2550 14:10:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ความเสี่ยงของตลาดลดลงจากมาตรการแก้ไขปัญหาซับไพร์ม
ผลการตัดสินคดี PTT มีแนวโน้มที่จะออกมาดีตามคาด
แนวรับที่ 838, 834 และ 828 แนวต้าน 851,860 และ 871
สรุปภาวะตลาดประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา 3-7 ธันวาคม 2550
สรุปภาวะการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดที่ 841.39 ลดลง 5.05 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ระดับปิดที่ 846.44 โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 17,561 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 17,588 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,844 ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิที่ 1,183 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 661 ล้านบาท
ภาพรวมการแกว่งตัว : วันจันทร์ดัชนีปรับลงแรงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคเดียวกันที่ปรับลงเล็กน้อยแรงขายออกมาเกือบทุกกลุ่มโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่วันอังคารดัชนีปรับตัวขึ้นลงสลับในแดนบวกและลบมีแรงขายในหุ้นพลังงานช่วงแรกก่อนมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ปิดตลาดดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนบวกเล็กน้อยวันพฤหัสบดีดัชนีปรับขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ขึ้นมาแรง แรงซื้อกระจายในทุกกลุ่มหลักทรัพย์วันศุกร์ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อตามตลาดหุ้นต่างประเทศก่อนที่จะมีแรงขายออกมาทันทีในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารทำให้ตลาดปรับตัวลงมาต่อเนื่องปิดตลาดดัชนีปิดลบเล็กน้อย
ปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดได้แก่ : ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้น,ต่างชาติขายสุทธิ, กนง.คงอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วันไว้ที่ 3.25%, ประชุมโอเปคมีมติไม่เพิ่มการผลิต,ราคาน้ำมันทรงตัวหลังจากปรับลงแรง
ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามและมีผลต่อการลงทุนในสัปดาห์ 11-14 ธันวาคม 2550
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ 11-14 ธันวาคม 2550 ทางฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ประเมินภาวะตลาดมีแนวโน้มผันผวนเล็กน้อย การปรับตัวเป็นการปรับตัวพักตัวเพื่อขึ้นต่อโดยในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มที่จะกลับขึ้นไปปิดGAPที่ 871 การทำCarry Trades ของนักลงทุนต่างชาติกำลังจบลงและจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยลบเรื่องปัญหาวิกฤตซับไพร์มกำลังจะได้รับการแก้ไขขึ้นหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ และตลาดปล่อยกู้จำนองแก่ลูกหนี้ซับไพร์มผ่านกลไกและเครื่องมือทางการเงิน และในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ ตลาดมีการคาดการณ์กันว่าที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงินสหรัฐฯจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) 0.25%ถึง 0.50%เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย ตลาดเงินและตลาดทุนตอบรับกับเรื่องดังกล่าวไปในทางบวก นอกจากนี้ความเสียหายทางการเงินที่เกิดขึ้นกับบริษัทวาณิชธนกิจและสถาบันการเงินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาซับไพร์มจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ความเสียหายที่เชื่อกันว่าจะมีการทยอยประกาศออกมานั้นจะน้อยกว่าที่ตลาดเคยคาดกันไว้ แต่ผลจากการปรับลดFed Funds Rateจะทำให้เงินดอลลาร์ฯมีการอ่อนค่าลงอีก
สำหรับปัจจัยภายในประเทศบรรยากาศทางการเมืองผ่อนคลาย ความสนใจของทุกฝ่ายมุ่งไปสู่การเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม นี้ เม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงผ่านสื่อต่างๆทำให้เกิดการตื่นตัวในการใช้จ่าย แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแรงกดดันในเรื่องของPTTที่ศาลปกครองสูงสุดได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธันวาคม เวลา 10.00 น. เกี่ยวกับการแปลงสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และการขายหุ้นของกระทรวงการคลัง(PTT BBL PDI NEP THAI SCB MCOT) เพื่อนำเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนของTMB
ปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้
1. ราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันทรงตัวและปรับลงต่อหลังจากก่อนหน้าราคาปรับลงแรงช่วงเข้าใกล้ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลถึงแม้ว่ากลุ่มโอเปคจะมีมติไม่เพิ่มการผลิตก็ตามก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากความกังวลด้านอุปสงค์น้ำมันที่จะลดลงจากสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะชะลอตัวลง ในขณะที่ความเสี่ยงด้านการเมืองลดลงหลังจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐเผยว่าอิหร่านได้ยุติโครงการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์เริ่มมีความเห็นว่าราคาน้ำมันดิบได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้ราคาน้ำมันช่วงนี้มีแนวโน้มทรงตัวมากกว่าขึ้นแรงเหมือนช่วงก่อน
2.ปัญหาซับไพร์ม
ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศแผนการยับยั้งการยึดบ้านในสหรัฐและแนวทางการแก้ปัญหาในตลาดสินเชื่อจำนองโดยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากที่กำลังจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ในขณะที่เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งเกินคาดจะกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนได้ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกถึงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนเริ่มลดความกังวลถึงการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐได้ ทำให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นกันอีกครั้ง
3. 14 ธ.ค. ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดี PTT
ศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาคดีแปรรูป PTT ว่าจะต้องเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯหรือไม่ในวันที่ 14 ธ.ค. นี้ ซึ่งจะต้องรอดูผลตัดสินว่าจะออกมาเป็นเช่นไรเนื่องจากเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงมาก การเพิกถอนจะทำให้กระทบต่อตลาดหุ้นอย่างมากและทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมันในการลงทุนต่อตลาดหุ้นไทย
4.แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ
เริ่มขายในสัดส่วนที่น้อยและเริ่มมีซื้อกลับเข้ามาในระหว่างสัปดาห์จะทำให้กลับมาเป็นปัจจัยบวกด้านจิตวิทยาในขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้นหลังจากลงแรง ในขณะที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นช่วง 23 ธ.ค.นี้ซึ่งตามสถิติหุ้นจะปรับตัวขึ้น และตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนตุลาคมส่งสัญญาณที่ฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวเป็นบวกเดือนแรก ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดแรงซื้อกลับคืนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
5. 11 ธ.ค. 50 ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ
จากถ้อยแถลงของประธาน FED ที่ว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐจะซบเซาลงเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นทำให้ความตึงเครียดทางการเงินเริ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า FED มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งเพื่อให้ความช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะปรับดอกเบี้ยลดลงอย่างน้อย 0.25%จากระดับ 4.5% จากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้มีกระแสการเก็งกำไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ที่มีโอกาสอ่อนค่าขึ้นจะกระตุ้นให้มีเงินไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย
6.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้กล่าวเตือนว่าขณะนี้มีความเสี่ยงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าลงอย่างฉับพลัน
การขาดความมั่นใจในสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปดอลลาร์ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐฯ รวมทั้งปัญหาความซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ด้านการเงินและสินเชื่อโลกยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติและไม่ทราบผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวจะอยู่ในระดับไหน ทำให้สถาบันการเงินระหว่างประเทศหรือ Institute of International Finance (IIF)ระบุว่าในปีนี้มีการประเมินว่าปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่น่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ถึงระดับ 620,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและยังจะคงสูงในระดับเดียวกันนั้นต่อไปในปี 2551 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าตลาดดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าและไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ
7.ผลกระทบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ผลการสำรวจสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสำรวจพบว่าผู้ประกอบการ 100% เห็นว่าราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่า 30 บาท จะขาดทุนหมดทุกอุตสาหกรรมราคาน้ำมันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ขึ้นมาทรงตัวในระดับสูงจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวต่ำกว่าที่คาดได้และจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อด้วย ทำให้ธปท.ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้นและอาจจะลดการแทรกแซงค่าเงินให้อ่อนค่าเพื่อนำเข้าน้ำมันในราคาที่ถูกลงเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นและแนวโน้มดอกเบี้ยที่ทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้นจะเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติมาลงทุนที่ไทย
แนวโน้มการเคลื่อนไหวระดับสัปดาห์
ด้านการวิเคราะห์เทคนิค ดัชนี REBOUND ขึ้นมาต่อตามแนวฐานรูปแบบ V-SHAPE การวกกลับขึ้นมาทรงตัวเหนือแนวรับ GOLDEN CROSS และคงแนวรับขาขึ้นของ SMA 5,10 วันไว้ได้ เป็นสัญญาณบวกแนวรับเสริมการสร้างรูปแบบ V-SHAPE ค่าสัญญาณทางเทคนิค MACD,RSI ยังเป็นสัญญาณบวกต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นจากการเกิดแท่งเทียนสีดำ BEARISH หลังจากเปิด GAP ขาขึ้นแต่ VOLUME ไม่เพิ่มตามทำให้ดัชนีมีโอกาสพักตัวลงต่อในช่วงต้นสัปดาห์แต่คาดว่าเป็นการพักตัวช่วงสั้นก่อนขึ้นต่อตามสัญญาณบวกแนวรับ GOLDEN CROSS และรูปแบบขึ้น V-SHAPE มีเป้าหมายขั้นต้นที่การปิด GAP แนวต้านที่ 871
กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ระยะสั้นซื้อเก็งกำไรในลักษณะรอซื้อช่วงปรับตัวแนวรับกลับตัวขึ้นขายแนวต้าน สัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 838, 834 และ 828 แนวต้าน 851,860 และ 871
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค.
จากกราฟรายวันราคาน้ำมันเริ่มปรับลงมาอยู่ในทิศทางของแนวโน้มลง แต่เนื่องจากการลงแรงจนค่าสัญญาณลงมามาก ทำให้มีแนวโน้มดีดกลับทางเทคนิคแต่คาดว่าเป็นช่วงสั้นก่อนปรับลงต่อ
ค่าเงินบาท/ดอลลาร์ในตลาดออนชอร์
จากกราฟรายวันค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับลง แต่ระดับค่าสัญญาณอยู่ในระดับต่ำ ทำให้แนวโน้มการแข็งค่ามีโอกาสเกิดขึ้นช่วงสั้นๆเท่านั้นก่อนกลับมาอ่อนค่าขึ้นอีกครั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์
จากกราฟรายวันดัชนีขึ้นต่อเนื่องหลังจากปรับขึ้นจากแนวรับจุดเดิมที่เคยกลับตัวแรงรอบก่อนหน้า ค่าสัญญาณทางเทคนิคและดัชนีปรับขึ้นสอดคล้องกัน ทำให้ดัชนีมีแนวโน้มกลับตัวขึ้นต่อ
ดัชนีนิกเกอิ
จากกราฟรายวันดัชนีฟื้นตัวหลังจากค่าสัญญาณทางเทคนิคมีภาวะลงแรงมากเกินไป สัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคที่เกิดขึ้นสอดคล้องกันกับการปรับขึ้นของดัชนี ทำให้มีแนวโน้มกลับตัวขึ้นต่อ
ที่มา : บล.โกลเบล็กฯ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=210218
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/12/07
โพสต์ที่ 526
ปตท.-ทิสโก้ซิว2รางวัลกก.แห่งปี
โพสต์ทูเดย์ บอร์ด PTT-BCP-TISCO-KTB-CSL คว้ารางวัลดีเลิศ สองรายหลังเจ๋ง ส่งคัดเลือกปีแรกติดท็อป 5
นายชาญชัย จารุวัสตร์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย หรือ IOD กล่าวว่า คณะกรรมการที่ได้รับรางวัลดีเลิศแห่งปี 2549/50 เนื่องจากสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามหลักการกำกับดูแลกิจการอย่างดีเลิศ ได้แก่ 5 บริษัทใหญ่ คือ บริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) บริษัท ปตท. (PTT) ธนาคารทิสโก้ (TISCO) บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) และธนาคารกรุงไทย (KTB) จากที่ตอบรับการคัดเลือก 21 บริษัท หลังคณะกรรมการส่งหนังสือเชิญร่วมคัดเลือกไปทั้งหมด 45 บริษัท
โดย CSL และ KTB เพิ่งจะส่งเข้ารับการคัดเลือกปี 2549/50 เป็นครั้งแรก ก็ได้รับติดอันดับท็อป 5 ซึ่งคะแนนเฉลี่ยสูงสุดของกลุ่มนี้อยู่ที่ 92-96% และมีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดที่ 84% นายชาญชัย กล่าว
นอกจากนั้น ยังมี 4 บริษัทที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณพิเศษสำหรับคณะกรรมการที่มีผลงานดีต่อเนื่อง 2 ครั้ง (ปี 2545/46 และปี 2547/48) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บริษัท ปตท. (PTT) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารทิสโก้ (TISCO)
สำหรับคณะกรรมการแห่งปี-ดีเด่น ที่ได้รับคะแนนเกิน 75% มีทั้งหมด 14 แห่ง คือ บริษัท บ้านปู (BANPU) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บริษัท สหวิริยาสตีลอันดัสตรี (SSI)
และอีก 7 บริษัทที่เหลือ เพิ่งเสนอชื่อเป็นครั้งแรกในปีนี้และผ่านการคัดเลือกได้รางวัลดีเด่น คือ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERAWAN) ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) บริษัท ซีเอ็ด ยูเคชั่น (SE-ED) บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) และบริษัท ไทยออยล์ (TOP)
นายหิรัฐ รดีศรี ประธานกรรมการ IOD และประธานคณะกรรมการโครงการ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทถือเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการทำงานของฝ่ายจัดการ ให้เป็นไปเพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น โดยคำนึงถึงความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
การปฏิบัติงานตามหลักการกำกับดูแลกิจการของคณะกรรมการ สามารถสะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี ซึ่งทางคณะกรรมการโครงการเห็นควรมอบประกาศเกียรติคุณ เพื่อส่งเสริมและยกย่องคณะกรรมการที่มีการปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิผล
ทั้งนี้ คณะกรรมการประกอบไปด้วย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208522
โพสต์ทูเดย์ บอร์ด PTT-BCP-TISCO-KTB-CSL คว้ารางวัลดีเลิศ สองรายหลังเจ๋ง ส่งคัดเลือกปีแรกติดท็อป 5
นายชาญชัย จารุวัสตร์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย หรือ IOD กล่าวว่า คณะกรรมการที่ได้รับรางวัลดีเลิศแห่งปี 2549/50 เนื่องจากสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามหลักการกำกับดูแลกิจการอย่างดีเลิศ ได้แก่ 5 บริษัทใหญ่ คือ บริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) บริษัท ปตท. (PTT) ธนาคารทิสโก้ (TISCO) บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) และธนาคารกรุงไทย (KTB) จากที่ตอบรับการคัดเลือก 21 บริษัท หลังคณะกรรมการส่งหนังสือเชิญร่วมคัดเลือกไปทั้งหมด 45 บริษัท
โดย CSL และ KTB เพิ่งจะส่งเข้ารับการคัดเลือกปี 2549/50 เป็นครั้งแรก ก็ได้รับติดอันดับท็อป 5 ซึ่งคะแนนเฉลี่ยสูงสุดของกลุ่มนี้อยู่ที่ 92-96% และมีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดที่ 84% นายชาญชัย กล่าว
นอกจากนั้น ยังมี 4 บริษัทที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณพิเศษสำหรับคณะกรรมการที่มีผลงานดีต่อเนื่อง 2 ครั้ง (ปี 2545/46 และปี 2547/48) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บริษัท ปตท. (PTT) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารทิสโก้ (TISCO)
สำหรับคณะกรรมการแห่งปี-ดีเด่น ที่ได้รับคะแนนเกิน 75% มีทั้งหมด 14 แห่ง คือ บริษัท บ้านปู (BANPU) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บริษัท สหวิริยาสตีลอันดัสตรี (SSI)
และอีก 7 บริษัทที่เหลือ เพิ่งเสนอชื่อเป็นครั้งแรกในปีนี้และผ่านการคัดเลือกได้รางวัลดีเด่น คือ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERAWAN) ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) บริษัท ซีเอ็ด ยูเคชั่น (SE-ED) บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) และบริษัท ไทยออยล์ (TOP)
นายหิรัฐ รดีศรี ประธานกรรมการ IOD และประธานคณะกรรมการโครงการ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทถือเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการทำงานของฝ่ายจัดการ ให้เป็นไปเพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น โดยคำนึงถึงความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
การปฏิบัติงานตามหลักการกำกับดูแลกิจการของคณะกรรมการ สามารถสะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี ซึ่งทางคณะกรรมการโครงการเห็นควรมอบประกาศเกียรติคุณ เพื่อส่งเสริมและยกย่องคณะกรรมการที่มีการปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิผล
ทั้งนี้ คณะกรรมการประกอบไปด้วย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208522
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/12/07
โพสต์ที่ 527
เงินบาทแข็งพรวดพราด เซียนชี้สิ้นปีเห็น33.20แน่
โพสต์ทูเดย์ ค่าเงินบาทแข็งพรวดพราดคาดเห็น 33.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในปลายปีหลังผู้ส่งออกแห่ ปิดบัญชี
นักค้าเงินจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต่างระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วมาแตะระดับ 33.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากปลายสัปดาห์ที่อยู่ในระดับ 33.75-33.78 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพราะผู้ส่งออกเทขายเงินเหรียญสหรัฐกันอย่างหนัก เพื่อถือเงินบาทก่อนปิดงบในสิ้นปี เพราะใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ขณะที่ผู้นำเข้าก็ไม่ซื้อเงินบาทเพิ่มขึ้น เพราะปิดสต๊อกสินค้าไปแล้ว
ตอนนี้ค่าเงินบาทหลุดแนวรับสำคัญที่ 33.70-33.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐไปแล้ว หลังจากนี้คาดว่าจะแข็งค่าทะลุ 33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดมาก็แข็งค่าขึ้น 0.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐนั้น เร็วเกินไปที่จะระบุปัจจัย แต่รู้สึกแปลกใจตั้งแต่การประกาศตัวเลขทุนสำรองเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนแล้ว เพราะพบว่าตัวเลขทุนสำรองไม่ได้เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะทางการชะลอการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท หรืออาจเป็นเพราะเงินทุนไหลเข้าลดลง
อย่างไรก็ดี ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์ไว้ว่าสิ้นปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208496
โพสต์ทูเดย์ ค่าเงินบาทแข็งพรวดพราดคาดเห็น 33.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในปลายปีหลังผู้ส่งออกแห่ ปิดบัญชี
นักค้าเงินจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต่างระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วมาแตะระดับ 33.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากปลายสัปดาห์ที่อยู่ในระดับ 33.75-33.78 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพราะผู้ส่งออกเทขายเงินเหรียญสหรัฐกันอย่างหนัก เพื่อถือเงินบาทก่อนปิดงบในสิ้นปี เพราะใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ขณะที่ผู้นำเข้าก็ไม่ซื้อเงินบาทเพิ่มขึ้น เพราะปิดสต๊อกสินค้าไปแล้ว
ตอนนี้ค่าเงินบาทหลุดแนวรับสำคัญที่ 33.70-33.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐไปแล้ว หลังจากนี้คาดว่าจะแข็งค่าทะลุ 33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดมาก็แข็งค่าขึ้น 0.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐนั้น เร็วเกินไปที่จะระบุปัจจัย แต่รู้สึกแปลกใจตั้งแต่การประกาศตัวเลขทุนสำรองเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนแล้ว เพราะพบว่าตัวเลขทุนสำรองไม่ได้เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะทางการชะลอการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท หรืออาจเป็นเพราะเงินทุนไหลเข้าลดลง
อย่างไรก็ดี ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์ไว้ว่าสิ้นปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208496
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/12/07
โพสต์ที่ 528
ธปท.ติงคลังระวังพิษบาทบอนด์
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ติงคลังอนุมัติแบงก์ต่างชาติ 10 ราย ออกบาทบอนด์ 5 หมื่นล้าน อาจกระทบสภาพคล่องในประเทศ
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างประเทศกว่า 10 แห่ง ให้สามารถระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรสกุลเงินบาท (บาทบอนด์) วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท ของกระทรวงการคลังนั้น จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพคล่องในประเทศเป็นหลักด้วย
ทั้งนี้ เพราะการให้สถาบันการเงินต่างประเทศออกตราสารหนี้รวมกันจำนวนมากนั้น จะมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร (Yield curve) ในประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการ คลังได้กำหนดเพดานการออกบาทบอนด์ไว้ในแต่ละปี โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสถาบัน การเงินต่างชาติได้ขอวงเงินไว้มากแต่มีการระดมทุนจริงแค่ 10% ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ชี้แจงว่า ในขณะนี้ได้มีสถาบันการเงินจากต่างประเทศ 10 ราย ได้มายื่นขอออกบาทบอนด์อายุ 3 ปีขึ้นไป รายละ 5 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าต่างชาติมั่นใจในประเทศไทยและเริ่มยอมรับตราสารหนี้ประเภทบาทบอนด์แล้ว
สถาบันการเงิน 10 ราย ที่ขอออกบาทบอนด์นั้น ประกอบด้วยธนาคารโลก (WB), ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB), SWEDISH export credit corporation (sek), นอร์ดิก อินเวสท์เม้นท์ แบงก์ (NIB), ดอยช์แบงก์, สถาบันเครดิตเพื่อการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (KFW), ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ซิตี้ กรุ๊ป, กองทุนเพื่อการพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อม (AFD) ของฝรั่งเศส, KBN แห่งเนเธอร์แลนด์
การที่สถาบันการเงินระดับโลกขอออกบาทบอนด์แสดงว่าเขามั่นใจประเทศไทยมากขึ้น และนักลงทุนไทยเองก็ต้องการซื้อตราสารประเภทนี้แล้ว เพราะแบรนด์เหล่านี้มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือระดับโลก ทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่าเขาส่งเสริมพันธบัตรสกุลบาทในตลาดให้แพร่หลาย ส่วนจะอนุมัติให้ออกได้ทั้งหมด 10 รายหรือไม่นั้น ต้องหารือกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายโชติชัย ชี้แจง
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนนั้นต้องการนำเงินที่ได้ไปปล่อยกู้ ให้กับเอกชนที่ประกอบธุรกิจอยู่ ในไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208500
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ติงคลังอนุมัติแบงก์ต่างชาติ 10 ราย ออกบาทบอนด์ 5 หมื่นล้าน อาจกระทบสภาพคล่องในประเทศ
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างประเทศกว่า 10 แห่ง ให้สามารถระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรสกุลเงินบาท (บาทบอนด์) วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท ของกระทรวงการคลังนั้น จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพคล่องในประเทศเป็นหลักด้วย
ทั้งนี้ เพราะการให้สถาบันการเงินต่างประเทศออกตราสารหนี้รวมกันจำนวนมากนั้น จะมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร (Yield curve) ในประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการ คลังได้กำหนดเพดานการออกบาทบอนด์ไว้ในแต่ละปี โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสถาบัน การเงินต่างชาติได้ขอวงเงินไว้มากแต่มีการระดมทุนจริงแค่ 10% ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ชี้แจงว่า ในขณะนี้ได้มีสถาบันการเงินจากต่างประเทศ 10 ราย ได้มายื่นขอออกบาทบอนด์อายุ 3 ปีขึ้นไป รายละ 5 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าต่างชาติมั่นใจในประเทศไทยและเริ่มยอมรับตราสารหนี้ประเภทบาทบอนด์แล้ว
สถาบันการเงิน 10 ราย ที่ขอออกบาทบอนด์นั้น ประกอบด้วยธนาคารโลก (WB), ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB), SWEDISH export credit corporation (sek), นอร์ดิก อินเวสท์เม้นท์ แบงก์ (NIB), ดอยช์แบงก์, สถาบันเครดิตเพื่อการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (KFW), ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ซิตี้ กรุ๊ป, กองทุนเพื่อการพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อม (AFD) ของฝรั่งเศส, KBN แห่งเนเธอร์แลนด์
การที่สถาบันการเงินระดับโลกขอออกบาทบอนด์แสดงว่าเขามั่นใจประเทศไทยมากขึ้น และนักลงทุนไทยเองก็ต้องการซื้อตราสารประเภทนี้แล้ว เพราะแบรนด์เหล่านี้มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือระดับโลก ทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่าเขาส่งเสริมพันธบัตรสกุลบาทในตลาดให้แพร่หลาย ส่วนจะอนุมัติให้ออกได้ทั้งหมด 10 รายหรือไม่นั้น ต้องหารือกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายโชติชัย ชี้แจง
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนนั้นต้องการนำเงินที่ได้ไปปล่อยกู้ ให้กับเอกชนที่ประกอบธุรกิจอยู่ ในไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208500
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/12/07
โพสต์ที่ 529
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ย.ดีขึ้น
โดย Post Digital วันที่ 13 ธันวาคม 2550
ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.50 อยู่ที่ 69.3 เพิ่มขึ้นจาก 68.6 ในเดือนต.ค. จากปัจจัยบวกวันเลือกตั้งชัดเจน-กนง.คงดอกเบี้ยอาร์พี1 วันที่ 3.25%
นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน พ.ย.50 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 69.3 เพิ่มขึ้นจาก 68.6 ในเดือน ต.ค.50 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 70.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 89.1
สำหรับปัจจัยบวกที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน, คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)คงอัตราดอกเบี้ย อาร์/พี 1 วัน ไว้ที่ 3.25%, กระทรวงการคลังปรับประมาณการจีดีพีปี 50 เพิ่มขึ้นเป็น 4.5% และการส่งออกขยายตัวสูง
ขณะที่ปัจจัยลบมาจากปัญหาราคาน้ำมันแพง, ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลง, เงินบาทแข็งค่าขึ้น และความกังวลเรื่องค่าครองชีพสูงขึ้น
"แม้ดัชนีเพิ่มทุกรายการ แต่ยังไม่เป็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน เป็นพียงสัญญาณการหยุดทรุดตัวของเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งหากการเมืองหลังเลือกตั้งนิ่ง ราคาน้ำมันไม่สูง จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง "นายธนวรรธน์ กล่าว
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=208813
โดย Post Digital วันที่ 13 ธันวาคม 2550
ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.50 อยู่ที่ 69.3 เพิ่มขึ้นจาก 68.6 ในเดือนต.ค. จากปัจจัยบวกวันเลือกตั้งชัดเจน-กนง.คงดอกเบี้ยอาร์พี1 วันที่ 3.25%
นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน พ.ย.50 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 69.3 เพิ่มขึ้นจาก 68.6 ในเดือน ต.ค.50 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 70.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 89.1
สำหรับปัจจัยบวกที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน, คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)คงอัตราดอกเบี้ย อาร์/พี 1 วัน ไว้ที่ 3.25%, กระทรวงการคลังปรับประมาณการจีดีพีปี 50 เพิ่มขึ้นเป็น 4.5% และการส่งออกขยายตัวสูง
ขณะที่ปัจจัยลบมาจากปัญหาราคาน้ำมันแพง, ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลง, เงินบาทแข็งค่าขึ้น และความกังวลเรื่องค่าครองชีพสูงขึ้น
"แม้ดัชนีเพิ่มทุกรายการ แต่ยังไม่เป็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน เป็นพียงสัญญาณการหยุดทรุดตัวของเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งหากการเมืองหลังเลือกตั้งนิ่ง ราคาน้ำมันไม่สูง จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง "นายธนวรรธน์ กล่าว
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=208813
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/12/07
โพสต์ที่ 530
กสิกรมองหุ้นปี51ผันผวน
โพสต์ทูเดย์ บลจ.กสิกรไทย มองจีดีพีปีหน้าโต 4-5% ได้เงินลงทุนภาครัฐกระตุ้น แนะลงทุนปีหน้าขายทำกำไรเป็นระยะ เหตุหุ้นผันผวน
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2551 จะชะลอตัวกว่าปี 2550 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นหลัก ซึ่งจากเดิมคาดการการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของสหรัฐปีนี้ไว้ที่ 2.4% แต่ปัจจุบันโตได้เพียง 2.2%
ผลดังกล่าวจะส่งผลกระทบหลายประเทศในเอเชีย เนื่องจากมีการส่งออกไปสหรัฐเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจเอเชียจะเติบโตต่อไปได้ จากการเติบโตของประเทศจีนและอินเดียเป็นหลัก
บลจ.กสิกรไทย ได้ปรับตัวเลขจีดีพีของไทยปีนี้เพิ่มจากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 4-4.5% เป็น 4.3-4.6% เนื่องจากการส่งออกของไทยเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งยังการเกินดุลบัญชีเดินสะพักอยู่ที่ 1.2-1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
หากไม่มีการแทรกแซงเงินบาทจะทำให้มีการแข็งค่าขึ้นไปอีกและคาดว่า จีดีพีปี 2551 จะโต 4-5% เนื่องจากจะได้รับการกระตุ้นจาก ค่าใช้จ่ายภาครัฐในโครงการเมกะ โปรเจกต์ต่างๆ รวมทั้งความเชื่อมั่น ผู้บริโภคจะกลับมา และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลลดลง อย่างดีลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของปีนี้เป็น 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ-1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือถ้า มุมมองไม่ดีจะลดเพียง 10-20% จากฐานปี 2550
ขณะที่มองว่าปัญหาซับไพรม์และระดับราคาน้ำมันนั้น ถือเป็นตัวอันตรายที่ต้องมีการระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะซับไพรม์นั้นจะส่งผลกระทบเป็นระยะๆ ซึ่งจะให้แน่ชัดว่าปัญหาจะมีการบานปลายไปถึงไหน ต้องดูจากผลประกอบการทั้งปี 2550 ของสถาบันการเงินของสหรัฐและยุโรป ซึ่งจะเริ่มมีการประกาศ ผลออกมาในไตรมาสแรก ปี 2551 โดยประเมินว่าระดับราคาน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ 80-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ยังมองว่าปี 2551 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีการปรับอีก 0.25% ในปีหน้าจากปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% เป็น 3.5% และดอกเบี้ยเงินฝากจาก 2.2% เป็น 2.5% และมองว่าอัตราเงินเฟ้อไตรมาสแรก ปี หน้าจะอยู่ที่ 4% และเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.5-3.5% และค่าเงินบาทแข็งที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองด้วยที่หาได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนเองตามธรรมชาติ แต่ถ้ามีการได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งได้ เนื่องจากมีดุลบัญชีเกินสะพัดที่สูงอยู่
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จะมีการผันผวนกว่าปีนี้ ดังนั้นกลยุทธ์ใน การลงทุน ผู้ลงทุนระยะสั้นควร มีการเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรบ้างเป็นระยะ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่มีความแน่นอนเพียงพอ และถือเงินสดไว้ซื้อกลับบ้าง แต่สำหรับผู้ลงทุนระยะยาวสามารถลงทุนได้ เพราะคาดว่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 12-15% เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังมีความแข็งแกร่งอยู่
นอกจากนี้ อัตรากำไรต่อหุ้น (พี/อี) ของตลาดหุ้นไทย อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยปัจจุบันอยู่ที่ 12.6 เท่า และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปีนี้อยู่ที่ 8.3% และปีหน้าอยู่ที่ 17.9%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208764
โพสต์ทูเดย์ บลจ.กสิกรไทย มองจีดีพีปีหน้าโต 4-5% ได้เงินลงทุนภาครัฐกระตุ้น แนะลงทุนปีหน้าขายทำกำไรเป็นระยะ เหตุหุ้นผันผวน
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2551 จะชะลอตัวกว่าปี 2550 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นหลัก ซึ่งจากเดิมคาดการการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของสหรัฐปีนี้ไว้ที่ 2.4% แต่ปัจจุบันโตได้เพียง 2.2%
ผลดังกล่าวจะส่งผลกระทบหลายประเทศในเอเชีย เนื่องจากมีการส่งออกไปสหรัฐเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจเอเชียจะเติบโตต่อไปได้ จากการเติบโตของประเทศจีนและอินเดียเป็นหลัก
บลจ.กสิกรไทย ได้ปรับตัวเลขจีดีพีของไทยปีนี้เพิ่มจากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 4-4.5% เป็น 4.3-4.6% เนื่องจากการส่งออกของไทยเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งยังการเกินดุลบัญชีเดินสะพักอยู่ที่ 1.2-1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
หากไม่มีการแทรกแซงเงินบาทจะทำให้มีการแข็งค่าขึ้นไปอีกและคาดว่า จีดีพีปี 2551 จะโต 4-5% เนื่องจากจะได้รับการกระตุ้นจาก ค่าใช้จ่ายภาครัฐในโครงการเมกะ โปรเจกต์ต่างๆ รวมทั้งความเชื่อมั่น ผู้บริโภคจะกลับมา และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลลดลง อย่างดีลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของปีนี้เป็น 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ-1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือถ้า มุมมองไม่ดีจะลดเพียง 10-20% จากฐานปี 2550
ขณะที่มองว่าปัญหาซับไพรม์และระดับราคาน้ำมันนั้น ถือเป็นตัวอันตรายที่ต้องมีการระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะซับไพรม์นั้นจะส่งผลกระทบเป็นระยะๆ ซึ่งจะให้แน่ชัดว่าปัญหาจะมีการบานปลายไปถึงไหน ต้องดูจากผลประกอบการทั้งปี 2550 ของสถาบันการเงินของสหรัฐและยุโรป ซึ่งจะเริ่มมีการประกาศ ผลออกมาในไตรมาสแรก ปี 2551 โดยประเมินว่าระดับราคาน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ 80-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ยังมองว่าปี 2551 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีการปรับอีก 0.25% ในปีหน้าจากปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% เป็น 3.5% และดอกเบี้ยเงินฝากจาก 2.2% เป็น 2.5% และมองว่าอัตราเงินเฟ้อไตรมาสแรก ปี หน้าจะอยู่ที่ 4% และเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.5-3.5% และค่าเงินบาทแข็งที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองด้วยที่หาได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนเองตามธรรมชาติ แต่ถ้ามีการได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งได้ เนื่องจากมีดุลบัญชีเกินสะพัดที่สูงอยู่
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จะมีการผันผวนกว่าปีนี้ ดังนั้นกลยุทธ์ใน การลงทุน ผู้ลงทุนระยะสั้นควร มีการเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรบ้างเป็นระยะ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่มีความแน่นอนเพียงพอ และถือเงินสดไว้ซื้อกลับบ้าง แต่สำหรับผู้ลงทุนระยะยาวสามารถลงทุนได้ เพราะคาดว่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 12-15% เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังมีความแข็งแกร่งอยู่
นอกจากนี้ อัตรากำไรต่อหุ้น (พี/อี) ของตลาดหุ้นไทย อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยปัจจุบันอยู่ที่ 12.6 เท่า และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปีนี้อยู่ที่ 8.3% และปีหน้าอยู่ที่ 17.9%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208764
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/12/07
โพสต์ที่ 531
แนะรับมือเงินเฟ้อชี้ปีหน้าทะลุ3.5%
โพสต์ทูเดย์ ธนาคารแนะ ธุรกิจประชาชนรัดเข็มขัด หวั่นเงินเฟ้อปีหน้าลุกลามเกิน 3.5%
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เปิดศักราชปีหน้าตั้งแต่เดือน ม.ค. จะได้เห็นการปรับขึ้นราคาสินค้าทุกรายการ ซึ่งจะเพิ่มความกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อให้ สูงเกิน 3.5% แต่จะเกินมาใน อัตราเท่าใดยังบอกไม่ได้แน่ชัด แต่จะสูงขึ้นอย่างมาก เพราะราคาน้ำมันก็แพง ทำให้ต้นทุนในการ ทำธุรกิจสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ธนาคารประเมินเศรษฐกิจปีหน้าจะเติบโตที่ระดับ 4.5-5.5% แต่กรณีเลวร้ายที่สุดจะเติบโตได้ 3.5% โดยปัจจัยที่น่าห่วง คือการเมืองในประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่จะ สูงขึ้น รวมถึงต่างประเทศด้วย
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับตัวเลขเงินเฟ้อ ทั้งที่จริงๆ ดัชนีต้นทุนผู้ผลิตเพิ่มสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง จะเห็นได้ว่าดัชนีต้นทุนผู้ผลิตเดือน ต.ค. เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัว 4.4% พอถึงเดือน พ.ย. ขยายตัวขึ้น 7.8-7.9% ถือเป็นอัตราเร่งที่น่าสนใจ
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า รายได้ที่มาจากลูกค้าธุรกิจจะเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมถึง 50% ที่เหลือจะเป็นรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน 35% จากการที่ธนาคารหันมาเน้นเป็นตัวกลางในการหาเงินทุนให้ลูกค้าซึ่งไม่ เน้นปล่อยกู้อย่างเดียว แต่จะ เป็นทั้งเงินกู้ร่วมและเป็นผู้ออกตราสารให้
สำหรับปีหน้าจะขยายสินเชื่อลูกค้าธุรกิจอีก 15% โดยจะมา จากสินเชื่อเอสเอ็มอี 20% สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ 8% และสินเชื่อธุรกิจรายกลาง 10% รวมแล้วจะเติบโต 9 หมื่นล้านบาท-1 แสนล้านบาท
ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงิน เราจึงคิดว่ายังขยายได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเมกะโปรเจกต์ นายบุญทักษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208721
โพสต์ทูเดย์ ธนาคารแนะ ธุรกิจประชาชนรัดเข็มขัด หวั่นเงินเฟ้อปีหน้าลุกลามเกิน 3.5%
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เปิดศักราชปีหน้าตั้งแต่เดือน ม.ค. จะได้เห็นการปรับขึ้นราคาสินค้าทุกรายการ ซึ่งจะเพิ่มความกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อให้ สูงเกิน 3.5% แต่จะเกินมาใน อัตราเท่าใดยังบอกไม่ได้แน่ชัด แต่จะสูงขึ้นอย่างมาก เพราะราคาน้ำมันก็แพง ทำให้ต้นทุนในการ ทำธุรกิจสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ธนาคารประเมินเศรษฐกิจปีหน้าจะเติบโตที่ระดับ 4.5-5.5% แต่กรณีเลวร้ายที่สุดจะเติบโตได้ 3.5% โดยปัจจัยที่น่าห่วง คือการเมืองในประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่จะ สูงขึ้น รวมถึงต่างประเทศด้วย
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับตัวเลขเงินเฟ้อ ทั้งที่จริงๆ ดัชนีต้นทุนผู้ผลิตเพิ่มสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง จะเห็นได้ว่าดัชนีต้นทุนผู้ผลิตเดือน ต.ค. เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัว 4.4% พอถึงเดือน พ.ย. ขยายตัวขึ้น 7.8-7.9% ถือเป็นอัตราเร่งที่น่าสนใจ
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า รายได้ที่มาจากลูกค้าธุรกิจจะเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมถึง 50% ที่เหลือจะเป็นรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน 35% จากการที่ธนาคารหันมาเน้นเป็นตัวกลางในการหาเงินทุนให้ลูกค้าซึ่งไม่ เน้นปล่อยกู้อย่างเดียว แต่จะ เป็นทั้งเงินกู้ร่วมและเป็นผู้ออกตราสารให้
สำหรับปีหน้าจะขยายสินเชื่อลูกค้าธุรกิจอีก 15% โดยจะมา จากสินเชื่อเอสเอ็มอี 20% สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ 8% และสินเชื่อธุรกิจรายกลาง 10% รวมแล้วจะเติบโต 9 หมื่นล้านบาท-1 แสนล้านบาท
ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงิน เราจึงคิดว่ายังขยายได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเมกะโปรเจกต์ นายบุญทักษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208721
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 532
คลังแย้มปี51 เลิกใช้30%แน่ ลงทุนพยุงบาท
โพสต์ทูเดย์ รมว.คลัง เชื่อว่า การลงทุนในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า จะช่วยลดแรงกดดันบาทแข็งค่า ทำให้สามารถผ่อนคลายมาตรการ 30% ได้
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าในปีหน้าการลงทุนภาครัฐบาลจะเกิดขึ้นมาก และช่วยกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม มีการนำสินค้าเข้ามามากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นมาตรการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนก็สามารถผ่อนคลายได้
เพราะตามหลักแล้ว เมื่อการลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้น จะเป็นแรงกดดันทำให้บาทแข็งตัวลดลงด้วย
รมว.คลัง ยังกล่าวว่า ในปีหน้ารัฐบาลจะมีการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ ทำให้มีการนำเข้าสินค้าและบริการต่างๆ มากขึ้น จึงน่าจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% ได้ง่ายขึ้น
ส่วนจะมีการยกเลิกขณะนี้หรือไม่ขึ้นกับภาวะ หากภาวะปกติก็ไม่มีความจำเป็น แต่ที่ผ่านมาเงินทุนเคลื่อนย้ายไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ รมว.คลัง กล่าว
ก่อนหน้านี้พรรคการเมืองต่างๆ และนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เพราะปิดกั้นการลงทุนของต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดทุน ที่ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ในสัดส่วน 90% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่าการขยายสินเชื่อของธนาคาร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209081
โพสต์ทูเดย์ รมว.คลัง เชื่อว่า การลงทุนในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า จะช่วยลดแรงกดดันบาทแข็งค่า ทำให้สามารถผ่อนคลายมาตรการ 30% ได้
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าในปีหน้าการลงทุนภาครัฐบาลจะเกิดขึ้นมาก และช่วยกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม มีการนำสินค้าเข้ามามากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นมาตรการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนก็สามารถผ่อนคลายได้
เพราะตามหลักแล้ว เมื่อการลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้น จะเป็นแรงกดดันทำให้บาทแข็งตัวลดลงด้วย
รมว.คลัง ยังกล่าวว่า ในปีหน้ารัฐบาลจะมีการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ ทำให้มีการนำเข้าสินค้าและบริการต่างๆ มากขึ้น จึงน่าจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% ได้ง่ายขึ้น
ส่วนจะมีการยกเลิกขณะนี้หรือไม่ขึ้นกับภาวะ หากภาวะปกติก็ไม่มีความจำเป็น แต่ที่ผ่านมาเงินทุนเคลื่อนย้ายไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ รมว.คลัง กล่าว
ก่อนหน้านี้พรรคการเมืองต่างๆ และนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เพราะปิดกั้นการลงทุนของต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดทุน ที่ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ในสัดส่วน 90% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่าการขยายสินเชื่อของธนาคาร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209081
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 533
คลังหงอกม.แปรรูปแท้ง ลุ้นประกันเงินฝาก-กลต.
โพสต์ทูเดย์ แปรรูปหมดอนาคต กฎหมายแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจแท้งแน่ ฉลองภพรับเสนอ สนช. ไม่ทัน
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ถึงตอนนี้ร่าง พ.ร.บ.แปลงสภาพรัฐวิสาหกิจอาจจะบรรจุให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาไม่ทันในรัฐบาลนี้ เนื่องจากหลังการเลือกตั้ง สนช.จะไม่พิจารณากฎหมายอีกต่อไป ต้องรอรัฐบาลใหม่มาดำเนินการต่อไป
ดังนั้น หากพิจารณากฎหมายไม่ทัน ก็ต้องใช้กฎหมายเดิม คือ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ปี 2542 ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ต้องมีการปรับกระบวนการใช้กฎหมายเดิมไม่ให้เกิดความผิดพลาดในขั้นตอนต่างๆ และต้องกำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎระเบียบต่างๆ มิให้ข้ามขั้น
สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจนั้น ได้มีการกำหนดให้รัฐวิสาหกิจทุกกิจการมีโอกาสในการแปรรูปได้หมด แต่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจต้องไม่มีผลเป็นการโอนอำนาจในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ หรืออำนาจในการอนุมัติ อนุญาต ให้ความเห็นชอบ รับจดทะเบียน รับแจ้ง รับรอง หรืออำนาจมหาชนอื่นใด และกำหนดให้กิจการ หนี้ สิทธิ ความรับผิดชอบ และสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจ โอนไปยังบริษัทที่ตั้งขึ้น บริษัทดังกล่าวยังมีสิทธิในการใช้ที่ราชพัสดุหรือสาธารณสมบัติแผ่นดิน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันหนี้
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้รัฐวิสาหกิจที่ ครม.เห็นชอบให้แปรรูปในอนาคตจะต้องคืนทรัพย์สินและอำนาจสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่รัฐ โดยไม่สามารถโอนไปยังบริษัทที่แปรรูป หรือบริษัทลูกได้ แต่สามารถใช้บริการในทรัพย์สินดังกล่าวได้ โดยต้องจ่ายค่าเช่า ค่าธรรมเนียมให้แก่ภาครัฐ
ในส่วนของกระจายหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้วิธีการสุ่มทั้งหมด ห้ามจำหน่ายแก่ผู้มีอุปการคุณ
นอกเหนือจากกฎหมายแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจแล้ว นายฉลองภพ กล่าวว่า ในส่วนของ พ.ร.บ.สรรพสามิต ก็อาจจะให้ สนช.พิจารณา ไม่ทัน
นายฉลองภพ กล่าวว่า กฎหมายการเงินหลักๆ ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในสัปดาห์หน้าจะมีเพียง พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก, พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย, พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ,พ.ร.บ.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิของผู้ซื้อและผู้ขาย หรือเอสโครว์แอคเคาท์ ซึ่งคาดว่าจะผ่านการพิจารณาทั้งหมด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209076
โพสต์ทูเดย์ แปรรูปหมดอนาคต กฎหมายแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจแท้งแน่ ฉลองภพรับเสนอ สนช. ไม่ทัน
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ถึงตอนนี้ร่าง พ.ร.บ.แปลงสภาพรัฐวิสาหกิจอาจจะบรรจุให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาไม่ทันในรัฐบาลนี้ เนื่องจากหลังการเลือกตั้ง สนช.จะไม่พิจารณากฎหมายอีกต่อไป ต้องรอรัฐบาลใหม่มาดำเนินการต่อไป
ดังนั้น หากพิจารณากฎหมายไม่ทัน ก็ต้องใช้กฎหมายเดิม คือ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ปี 2542 ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ต้องมีการปรับกระบวนการใช้กฎหมายเดิมไม่ให้เกิดความผิดพลาดในขั้นตอนต่างๆ และต้องกำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎระเบียบต่างๆ มิให้ข้ามขั้น
สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจนั้น ได้มีการกำหนดให้รัฐวิสาหกิจทุกกิจการมีโอกาสในการแปรรูปได้หมด แต่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจต้องไม่มีผลเป็นการโอนอำนาจในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ หรืออำนาจในการอนุมัติ อนุญาต ให้ความเห็นชอบ รับจดทะเบียน รับแจ้ง รับรอง หรืออำนาจมหาชนอื่นใด และกำหนดให้กิจการ หนี้ สิทธิ ความรับผิดชอบ และสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจ โอนไปยังบริษัทที่ตั้งขึ้น บริษัทดังกล่าวยังมีสิทธิในการใช้ที่ราชพัสดุหรือสาธารณสมบัติแผ่นดิน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันหนี้
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้รัฐวิสาหกิจที่ ครม.เห็นชอบให้แปรรูปในอนาคตจะต้องคืนทรัพย์สินและอำนาจสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่รัฐ โดยไม่สามารถโอนไปยังบริษัทที่แปรรูป หรือบริษัทลูกได้ แต่สามารถใช้บริการในทรัพย์สินดังกล่าวได้ โดยต้องจ่ายค่าเช่า ค่าธรรมเนียมให้แก่ภาครัฐ
ในส่วนของกระจายหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้วิธีการสุ่มทั้งหมด ห้ามจำหน่ายแก่ผู้มีอุปการคุณ
นอกเหนือจากกฎหมายแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจแล้ว นายฉลองภพ กล่าวว่า ในส่วนของ พ.ร.บ.สรรพสามิต ก็อาจจะให้ สนช.พิจารณา ไม่ทัน
นายฉลองภพ กล่าวว่า กฎหมายการเงินหลักๆ ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในสัปดาห์หน้าจะมีเพียง พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก, พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย, พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ,พ.ร.บ.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิของผู้ซื้อและผู้ขาย หรือเอสโครว์แอคเคาท์ ซึ่งคาดว่าจะผ่านการพิจารณาทั้งหมด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209076
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 534
รัฐวิสาหกิจแห่กู้ในประเทศ3แสนล้าน
โพสต์ทูเดย์ คลังเผยยอดรัฐวิสาหกิจ กู้ในประเทศกว่า 3 แสนล้านบาท ทั้งกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปี 2550 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ให้ความเห็นชอบแนวทางการกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจวงเงินรวม 3.24 แสนล้านบาท โดยแยกเป็นเงินกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน 8.2 หมื่นล้านบาท และเงินกู้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน 2.4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ มีรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ที่กู้เงินในประเทศเพื่อทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศ รวม 1.68 พันล้านบาท ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวงวงเงิน 1.3 พันล้านบาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาควงเงิน 380 ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง กู้เงินบาทสมทบโครงการเงินกู้จากต่างประเทศวงเงินรวม 4.9 พันล้านบาท ได้แก่ การประปานครหลวงวงเงิน 500 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวงวงเงิน 4.2 พันล้านบาท และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาควงเงิน 201 ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง กู้เงินเพื่อลงทุนวงเงิน 4.23 หมื่นล้านบาท ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ 1.79 หมื่นล้านบาท การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 1.8 หมื่นล้านบาท การประปานครหลวงวงเงิน 1 พันล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 4.9 พันล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย 120 ล้านบาท เงินกู้เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและเหตุผลอื่นๆ นั้น มีรัฐวิสาหกิจกู้จำนวน 6 แห่ง วงเงิน 2.79 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การรถไฟแห่งประเทศไทย 5 พันล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 1.15 หมื่นล้านบาท องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ 1.05 พันล้านบาท บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย วงเงิน 1.6 พันล้านบาท สำนักงานธนานุเคราะห์ วงเงิน 900 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ วงเงิน 7.8 พันล้านบาท
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับการบริหารหนี้มีวงเงินรวม 2.47 แสนล้านบาท ประกอบด้วย การปรับแผนการชำระหนี้ใหม่ (โรลโอเวอร์) ของรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง โดยปรับเงินกู้ที่ครบกำหนดชำระคืนให้สอดคล้องกับระยะคืนทุนของโครงการวงเงินรวม 2.6 หมื่นล้านบาท ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ 1.5 พันล้านบาท การทางพิเศษแห่งประเทศไทย วงเงิน 8 พันล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทยวงเงิน 4.06 พันล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 4.3 พันล้านบาท เอ็กซิมแบงก์ 3.2 พันล้านบาท เป็นต้น
ขณะที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตลาดซื้อคืน (อาร์/พี) จำนวน 2.21 แสนล้านบาท โดยการชำระคืนหนี้จำนวน 3.6 หมื่นล้านบาท การบริหารหนี้ 1.34 แสนล้านบาท และดำเนินการออกพันธบัตรขายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย 5 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209105
โพสต์ทูเดย์ คลังเผยยอดรัฐวิสาหกิจ กู้ในประเทศกว่า 3 แสนล้านบาท ทั้งกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปี 2550 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ให้ความเห็นชอบแนวทางการกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจวงเงินรวม 3.24 แสนล้านบาท โดยแยกเป็นเงินกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน 8.2 หมื่นล้านบาท และเงินกู้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน 2.4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ มีรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ที่กู้เงินในประเทศเพื่อทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศ รวม 1.68 พันล้านบาท ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวงวงเงิน 1.3 พันล้านบาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาควงเงิน 380 ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง กู้เงินบาทสมทบโครงการเงินกู้จากต่างประเทศวงเงินรวม 4.9 พันล้านบาท ได้แก่ การประปานครหลวงวงเงิน 500 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวงวงเงิน 4.2 พันล้านบาท และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาควงเงิน 201 ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง กู้เงินเพื่อลงทุนวงเงิน 4.23 หมื่นล้านบาท ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ 1.79 หมื่นล้านบาท การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 1.8 หมื่นล้านบาท การประปานครหลวงวงเงิน 1 พันล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 4.9 พันล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย 120 ล้านบาท เงินกู้เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและเหตุผลอื่นๆ นั้น มีรัฐวิสาหกิจกู้จำนวน 6 แห่ง วงเงิน 2.79 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การรถไฟแห่งประเทศไทย 5 พันล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 1.15 หมื่นล้านบาท องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ 1.05 พันล้านบาท บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย วงเงิน 1.6 พันล้านบาท สำนักงานธนานุเคราะห์ วงเงิน 900 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ วงเงิน 7.8 พันล้านบาท
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับการบริหารหนี้มีวงเงินรวม 2.47 แสนล้านบาท ประกอบด้วย การปรับแผนการชำระหนี้ใหม่ (โรลโอเวอร์) ของรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง โดยปรับเงินกู้ที่ครบกำหนดชำระคืนให้สอดคล้องกับระยะคืนทุนของโครงการวงเงินรวม 2.6 หมื่นล้านบาท ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ 1.5 พันล้านบาท การทางพิเศษแห่งประเทศไทย วงเงิน 8 พันล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทยวงเงิน 4.06 พันล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 4.3 พันล้านบาท เอ็กซิมแบงก์ 3.2 พันล้านบาท เป็นต้น
ขณะที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตลาดซื้อคืน (อาร์/พี) จำนวน 2.21 แสนล้านบาท โดยการชำระคืนหนี้จำนวน 3.6 หมื่นล้านบาท การบริหารหนี้ 1.34 แสนล้านบาท และดำเนินการออกพันธบัตรขายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย 5 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209105
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 535
หยุดแบงก์ชาติทำร้ายบ้านเมือง [ ฉบับที่ 854 ประจำวันที่ 15-12-2007 ถึง 18-12-2007]
> ปกรณ์-ประสาร แนะวิธีปฏิวัติทุนสำรอง - เลิกต๋ง 30%
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในปีหน้า หลังส่ง สัญญาณชัดใช้นโยบายดอกเบี้ยแก้ปัญหา ซับไพร์ม ขณะที่ ประสาร แนะปลาย ปี 51 เป็นจังหวะที่จะยกเลิก มาตรการกันสำรอง 30% หลัง ปัญหาซับไพร์มเริ่มชัดเจน คาดเงินทุนนอกเริ่มไหลเข้าไทย หลังเฟดปรับลด 0.25% ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ด้าน ปกรณ์ แนะรัฐบาลใหม่ปรับปรุงการบริหารจัดการเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเสนอยกเลิกมาตรการ 30%
การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ถูกกลุ่มนักวิชาการสาขาเศรษฐศาสตร์วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีลักษณะที่ ขัดขวาง กลไกของระบบตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน มีเป้าหมายเพื่อการ สะสม ฐานะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะทำให้ประเทศมั่นคง และเป็นหลักการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนที่จะดูแลให้ ค่าเงินบาท นั้นมีเสถียรภาพ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า ทั้งนี้ ธปท.จะเข้าแทรกแซงเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้เงินบาทผันผวนและแข็งค่ามากเกินไป
โดยเฉพาะการออกมาตรการกันสำรอง 30% (ที่จะครบ 1 ปี ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้) มาเพื่อสกัดการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าไทยเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น แต่ในที่สุดนโยบายการเงินของ ธปท.ดังกล่าว ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของการลงทุน และการอุปโภคบริโภคในประเทศให้หดตัวลง และส่งผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรวดเร็ว โดยเหลือเพียงภาคการส่งออกเป็นเครื่องยนต์ที่เดินขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพียงตัวเดียว มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงวิกฤติการเงินไทยปี 2540 ยุคของ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธปท.ในขณะนั้นไล่ซื้อเงินบาทแล้วขายเงินดอลลาร์สหรัฐจนทุนสำรองหมดกระเป๋า เพื่อป้องกันเงินบาทจากการโจมตีของนักลงทุนต่างชาติและกองทุนเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge Funds) จากภายนอก
อย่างไรก็ตาม ในยุคของผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบันกลับขายเงินบาทแล้วเร่งซื้อดอลลาร์ ทำให้มีทุนสำรองในปริมาณที่มากมายถึง 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันจากการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ธปท. ต้องประสบกับภาวะขาดทุนจำนวนมหาศาลจากการเข้าแทรก แซงอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องใช้เงินหลายแสนล้านบาทอยู่ในเวลานี้
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และอดีตรองผู้ว่าการธปท.เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 84,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ธปท.ได้เข้าไปดูแลการแข็งค่าของเงินบาท โดยการซื้อเงินดอลลาร์และขายเงินบาทออกไป จนส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมองไปในอนาคตในการเข้าไป บริหารจัดการและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเงินทุน สำรองระหว่างประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามา
บางคนอาจมองว่าเงินทุนสำรองที่มีอาจจะยังน้อยไป แต่ผมมองว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปรับปรุงการบริหารจัดการเงินทุนสำรอง เพราะปัจจุบันนี้ประเทศเล็กๆ อย่างบรูไนก็ยังสามารถนำเงินทุนสำรองไปลงทุนได้ ทั้งในตราสาร หนี้หรือแม้แต่ลงทุนในอสังหาฯของจีน ในขณะที่สิงคโปร์ 20% ของเงินทุนสำรองจะเอาไปดูแลสภาพ คล่องของเงินในประเทศ ส่วนอีก 80% ให้รัฐบาลเข้ามาบริหารจัดการ นายปกรณ์ กล่าว
ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ธปท. ควรจะมีการพิจารณาความเหมาะสมในเรื่องของขั้นตอนและระยะเวลาในการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เนื่องจากหากมีการยกเลิกน่าจะหนุนให้ตลาดตราสารหนี้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการออกตราสารและการลงทุนภาคเอกชน
ก่อนหน้านี้นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายกังวลเกี่ยวกับการเข้าไปแทรกแซงเงินบาทของ ธปท.ด้วยการซื้อดอลลาร์เข้ามาเก็บไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งอาจจะทำให้ธปท.ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงว่า ในเงินทุนสำรองฯ ของธปท.ไม่ได้มีแค่เงินสกุลดอลลาร์เท่านั้น แต่ธปท.ได้เริ่มทยอยลดสัดส่วนการถือครองดอลลาร์และกระจายไปยังเงินสกุลอื่น เช่น ยูโร มาตั้งแต่ปี 2545-2546 และสัดส่วนการถือครองดอลลาร์มีน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารกลางทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 66% ของเงินทุนสำรอง
สำหรับมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น 30% ที่ธปท. ประกาศใช้ตั้งแต่ปลายปี 2549 และใกล้จะครบรอบ 1 ปีในเดือนธันวาคมปีนี้นั้น ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการดูแลค่าเงินบาทให้เกาะกลุ่มกับค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสาเหตุที่ ธปท.ต้องออกมาตรการดังกล่าวมาในตอนนั้นเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าไปในทิศทางเดียว
โดยนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.ค่าเงินบาทแข็งขึ้น 6% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2549 ในรูปของดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 5.9% มาเลเซียแข็งค่าขึ้น 6% และจีนแข็งค่าขึ้น 4.9% ส่วนสกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นมากกว่าไทยเมื่อเทียบกับดอลลาร์ได้แก่ ฟิลิปปินส์แข็งค่าขึ้น 13% และอินโดนีเซียก็แข็งค่าขึ้นมากกว่าไทยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การวัดค่าเงินไม่ควรเทียบกับดอลลาร์เท่านั้นแต่ควรจะดูอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงซึ่งหมายความว่าต้องนำมาเทียบกับอัตราเงินเฟ้อด้วยซึ่งประเทศไทยเองนั้นอัตราของค่าเงินบาทที่แท้จริงเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ
สำหรับกรณีที่จะครบรอบ 1 ปีของการใช้มาตรการกันสำรองเงินทุนระยะสั้นร้อยละ 30 ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ จะส่งผลกระทบให้เกิดการไหลออกของเงินทุนที่ติดสำรองอยู่ หรือส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวนของค่าเงินบาทหรือไม่นั้น ธปท.พบว่า จำนวนเงินทุนต่างชาติที่กันสำรอง ร้อยละ 30 อยู่ที่ ธปท. ครบ 1 ปี เท่าที่มีการสำรวจ พบว่ามีเม็ดเงินจำนวนหนึ่ง แต่การครบกำหนด 1 ปีของการกันสำรองไม่ได้ครบครั้งเดียวในช่วงวันที่ 19 ธันวาคมนี้ทั้งหมด แต่เป็นการทยอยครบกำหนดไม่ใช่ก้อนใหญ่มากๆ ที่จะส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวนของค่าเงินบาท
อย่างไรก็ตาม ธปท.เชื่อว่าแม้จะครบกำหนด 1 ปีของการใช้มาตรการร้อยละ 30 ซึ่งจะทำให้เงินทุนต่างชาติที่เข้ามาก่อนหน้านี้สามารถไหลออกจากประเทศไทยไปได้ แต่เงินเหล่านั้นน่าจะไม่ไหลออกไป แต่จะเข้ามาลงทุนต่อในไทย เนื่อง จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี และจะมีความชัดเจน มากขึ้นหลังจากการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย. 50 อยู่ที่ 84,600 ล้านดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 23 พ.ย. 50 ซึ่งอยู่ที่ 84,600 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.86 ล้านล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ตามการคาดการณ์ของตลาด รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) เมื่อคืนวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฝ่าภาวะสินเชื่อตึงตัว และภาวะทรุดตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดที่อยู่อาศัยได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ลงอีก 0.25% สู่ 4.25% จาก 4.50% รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีก 0.25% สู่ 4.75% จาก 5.00%
ด้านดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอดีตลูกหม้อ ธปท.อีกคน กล่าวถึงกรณีที่มาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น 30% ที่จะครบรอบ 1 ปีในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ว่า โดยส่วนตัวมองว่าจังหวะที่เหมาะสมที่ธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) อาจจะมีพิจารณา ยกเลิกช่วงปลายปี 51 เพราะปัจจุบันเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่า หากจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวควรจะต้องดูให้รอบคอบ
ขณะนี้มองว่ายังไม่เหมาะสมที่จะยกเลิก เชื่อว่าควรจะรอดูให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจสงบเรียบร้อยก่อนไม่ว่าจะเป็นปัญหาซับไพร์ม และแรงกดดันค่าเงินดอลลาร์ หากทุกอย่างนิ่งแล้วน่าจะเป็นจังหวะเหมาะสมในการพิจารณายกเลิก ดร.ประสาร กล่าว
ดร.ประสาร ยังกล่าวถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อคืนวันที่ 11 ธ.ค.ว่า เป็นไปตามที่ตลาดฯ คาดและการปรับลดในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์มที่ปัญหายังคงขยายวงกว้างและยังไม่ทราบว่าจะถึงจุดสิ้นสุดเมื่อไหร่ ดังนั้นหากตลาดฯมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในเดือนม.ค.ปีหน้าก็จะยิ่งทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ซึ่งมีแนวโน้มอ่อนค่าลงและโยกมาลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่น
ปีหน้าเชื่อว่าจะยังคงมีเงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียต่อเนื่องจากปีนี้และอาจจะเป็นแรงกดดันค่าเงินบาทในปีหน้าได้อีก ดร.ประสาร กล่าว และกล่าวต่อว่าปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) มากน้อยเพียงใด แต่ในส่วนของภาคการส่งออกอาจจะชะลอตัวลงบ้างตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นเดียวกับในส่วนของจีดีพีในปี 2544 เศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติ ซึ่งในครั้งนั้นมีผลทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทยเล็กน้อย โดยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลดลง 1% ส่งผลให้จีดีพีของไทยลดลง 0.8%
ปัญหาซับไพร์มในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยมากน้อยแค่ไหน ดร.ประสาร กล่าว
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบัน วิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย 0.25% ว่า เป็นไปตามที่คาดหมาย โดย ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังอยู่ในวัฏจักรขาลง และเฟดก็มีโอกาสปรับลดลงอีก 2-3 ครั้งในปี 2551 หลังจากมีการส่งสัญญาณว่าจะใช้นโยบายดอกเบี้ยแก้ปัญหาซับไพร์มจนกว่าจะคลี่คลาย แต่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ขยับตัวขึ้น และมีอิทธิพลในการตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งต่อๆ ไป
สำหรับส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับไทยน่าจะอยู่ร้อยละ 1 เพราะเฟดอยู่ที่ 4.25% ไทย 3.25% ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการไหลเข้าออกของเงินทุน แต่การแข็งค่าของเงินบาทเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดทิศทางของเงินทุนต่างชาติ เพราะหากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10-20 สตางค์ ทำให้ผลตอบแทนจากการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึงร้อยละ 100-200 ต่อปี จึงเป็นแรงจูงใจทำให้ต่างชาติจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท แต่มั่นใจว่า ธปท. จะดูแลใกล้ชิดให้เงินบาทเคลื่อนไหวไปตามเงินสกุลภูมิภาค
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังรอดูหลายปัจจัย คือ เงินเฟ้อเดือน ม.ค.ที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาน้ำมัน ผลการเลือกตั้ง เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการประชุม กนง.ครั้งแรกของปี 2551 ซึ่งอาจจะมีการทบทวนภาวะเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร และดูอัตราเงินเฟ้อ หากเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีผลในการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
> ปกรณ์-ประสาร แนะวิธีปฏิวัติทุนสำรอง - เลิกต๋ง 30%
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในปีหน้า หลังส่ง สัญญาณชัดใช้นโยบายดอกเบี้ยแก้ปัญหา ซับไพร์ม ขณะที่ ประสาร แนะปลาย ปี 51 เป็นจังหวะที่จะยกเลิก มาตรการกันสำรอง 30% หลัง ปัญหาซับไพร์มเริ่มชัดเจน คาดเงินทุนนอกเริ่มไหลเข้าไทย หลังเฟดปรับลด 0.25% ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ด้าน ปกรณ์ แนะรัฐบาลใหม่ปรับปรุงการบริหารจัดการเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเสนอยกเลิกมาตรการ 30%
การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ถูกกลุ่มนักวิชาการสาขาเศรษฐศาสตร์วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีลักษณะที่ ขัดขวาง กลไกของระบบตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน มีเป้าหมายเพื่อการ สะสม ฐานะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะทำให้ประเทศมั่นคง และเป็นหลักการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนที่จะดูแลให้ ค่าเงินบาท นั้นมีเสถียรภาพ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า ทั้งนี้ ธปท.จะเข้าแทรกแซงเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้เงินบาทผันผวนและแข็งค่ามากเกินไป
โดยเฉพาะการออกมาตรการกันสำรอง 30% (ที่จะครบ 1 ปี ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้) มาเพื่อสกัดการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าไทยเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น แต่ในที่สุดนโยบายการเงินของ ธปท.ดังกล่าว ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของการลงทุน และการอุปโภคบริโภคในประเทศให้หดตัวลง และส่งผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรวดเร็ว โดยเหลือเพียงภาคการส่งออกเป็นเครื่องยนต์ที่เดินขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพียงตัวเดียว มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงวิกฤติการเงินไทยปี 2540 ยุคของ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธปท.ในขณะนั้นไล่ซื้อเงินบาทแล้วขายเงินดอลลาร์สหรัฐจนทุนสำรองหมดกระเป๋า เพื่อป้องกันเงินบาทจากการโจมตีของนักลงทุนต่างชาติและกองทุนเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge Funds) จากภายนอก
อย่างไรก็ตาม ในยุคของผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบันกลับขายเงินบาทแล้วเร่งซื้อดอลลาร์ ทำให้มีทุนสำรองในปริมาณที่มากมายถึง 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันจากการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ธปท. ต้องประสบกับภาวะขาดทุนจำนวนมหาศาลจากการเข้าแทรก แซงอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องใช้เงินหลายแสนล้านบาทอยู่ในเวลานี้
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และอดีตรองผู้ว่าการธปท.เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 84,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ธปท.ได้เข้าไปดูแลการแข็งค่าของเงินบาท โดยการซื้อเงินดอลลาร์และขายเงินบาทออกไป จนส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมองไปในอนาคตในการเข้าไป บริหารจัดการและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเงินทุน สำรองระหว่างประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามา
บางคนอาจมองว่าเงินทุนสำรองที่มีอาจจะยังน้อยไป แต่ผมมองว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปรับปรุงการบริหารจัดการเงินทุนสำรอง เพราะปัจจุบันนี้ประเทศเล็กๆ อย่างบรูไนก็ยังสามารถนำเงินทุนสำรองไปลงทุนได้ ทั้งในตราสาร หนี้หรือแม้แต่ลงทุนในอสังหาฯของจีน ในขณะที่สิงคโปร์ 20% ของเงินทุนสำรองจะเอาไปดูแลสภาพ คล่องของเงินในประเทศ ส่วนอีก 80% ให้รัฐบาลเข้ามาบริหารจัดการ นายปกรณ์ กล่าว
ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ธปท. ควรจะมีการพิจารณาความเหมาะสมในเรื่องของขั้นตอนและระยะเวลาในการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เนื่องจากหากมีการยกเลิกน่าจะหนุนให้ตลาดตราสารหนี้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการออกตราสารและการลงทุนภาคเอกชน
ก่อนหน้านี้นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายกังวลเกี่ยวกับการเข้าไปแทรกแซงเงินบาทของ ธปท.ด้วยการซื้อดอลลาร์เข้ามาเก็บไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งอาจจะทำให้ธปท.ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงว่า ในเงินทุนสำรองฯ ของธปท.ไม่ได้มีแค่เงินสกุลดอลลาร์เท่านั้น แต่ธปท.ได้เริ่มทยอยลดสัดส่วนการถือครองดอลลาร์และกระจายไปยังเงินสกุลอื่น เช่น ยูโร มาตั้งแต่ปี 2545-2546 และสัดส่วนการถือครองดอลลาร์มีน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารกลางทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 66% ของเงินทุนสำรอง
สำหรับมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น 30% ที่ธปท. ประกาศใช้ตั้งแต่ปลายปี 2549 และใกล้จะครบรอบ 1 ปีในเดือนธันวาคมปีนี้นั้น ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการดูแลค่าเงินบาทให้เกาะกลุ่มกับค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสาเหตุที่ ธปท.ต้องออกมาตรการดังกล่าวมาในตอนนั้นเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าไปในทิศทางเดียว
โดยนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.ค่าเงินบาทแข็งขึ้น 6% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2549 ในรูปของดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 5.9% มาเลเซียแข็งค่าขึ้น 6% และจีนแข็งค่าขึ้น 4.9% ส่วนสกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นมากกว่าไทยเมื่อเทียบกับดอลลาร์ได้แก่ ฟิลิปปินส์แข็งค่าขึ้น 13% และอินโดนีเซียก็แข็งค่าขึ้นมากกว่าไทยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การวัดค่าเงินไม่ควรเทียบกับดอลลาร์เท่านั้นแต่ควรจะดูอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงซึ่งหมายความว่าต้องนำมาเทียบกับอัตราเงินเฟ้อด้วยซึ่งประเทศไทยเองนั้นอัตราของค่าเงินบาทที่แท้จริงเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ
สำหรับกรณีที่จะครบรอบ 1 ปีของการใช้มาตรการกันสำรองเงินทุนระยะสั้นร้อยละ 30 ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ จะส่งผลกระทบให้เกิดการไหลออกของเงินทุนที่ติดสำรองอยู่ หรือส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวนของค่าเงินบาทหรือไม่นั้น ธปท.พบว่า จำนวนเงินทุนต่างชาติที่กันสำรอง ร้อยละ 30 อยู่ที่ ธปท. ครบ 1 ปี เท่าที่มีการสำรวจ พบว่ามีเม็ดเงินจำนวนหนึ่ง แต่การครบกำหนด 1 ปีของการกันสำรองไม่ได้ครบครั้งเดียวในช่วงวันที่ 19 ธันวาคมนี้ทั้งหมด แต่เป็นการทยอยครบกำหนดไม่ใช่ก้อนใหญ่มากๆ ที่จะส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวนของค่าเงินบาท
อย่างไรก็ตาม ธปท.เชื่อว่าแม้จะครบกำหนด 1 ปีของการใช้มาตรการร้อยละ 30 ซึ่งจะทำให้เงินทุนต่างชาติที่เข้ามาก่อนหน้านี้สามารถไหลออกจากประเทศไทยไปได้ แต่เงินเหล่านั้นน่าจะไม่ไหลออกไป แต่จะเข้ามาลงทุนต่อในไทย เนื่อง จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี และจะมีความชัดเจน มากขึ้นหลังจากการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย. 50 อยู่ที่ 84,600 ล้านดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 23 พ.ย. 50 ซึ่งอยู่ที่ 84,600 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.86 ล้านล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ตามการคาดการณ์ของตลาด รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) เมื่อคืนวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฝ่าภาวะสินเชื่อตึงตัว และภาวะทรุดตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดที่อยู่อาศัยได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ลงอีก 0.25% สู่ 4.25% จาก 4.50% รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีก 0.25% สู่ 4.75% จาก 5.00%
ด้านดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอดีตลูกหม้อ ธปท.อีกคน กล่าวถึงกรณีที่มาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น 30% ที่จะครบรอบ 1 ปีในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ว่า โดยส่วนตัวมองว่าจังหวะที่เหมาะสมที่ธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) อาจจะมีพิจารณา ยกเลิกช่วงปลายปี 51 เพราะปัจจุบันเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่า หากจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวควรจะต้องดูให้รอบคอบ
ขณะนี้มองว่ายังไม่เหมาะสมที่จะยกเลิก เชื่อว่าควรจะรอดูให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจสงบเรียบร้อยก่อนไม่ว่าจะเป็นปัญหาซับไพร์ม และแรงกดดันค่าเงินดอลลาร์ หากทุกอย่างนิ่งแล้วน่าจะเป็นจังหวะเหมาะสมในการพิจารณายกเลิก ดร.ประสาร กล่าว
ดร.ประสาร ยังกล่าวถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อคืนวันที่ 11 ธ.ค.ว่า เป็นไปตามที่ตลาดฯ คาดและการปรับลดในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์มที่ปัญหายังคงขยายวงกว้างและยังไม่ทราบว่าจะถึงจุดสิ้นสุดเมื่อไหร่ ดังนั้นหากตลาดฯมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในเดือนม.ค.ปีหน้าก็จะยิ่งทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ซึ่งมีแนวโน้มอ่อนค่าลงและโยกมาลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่น
ปีหน้าเชื่อว่าจะยังคงมีเงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียต่อเนื่องจากปีนี้และอาจจะเป็นแรงกดดันค่าเงินบาทในปีหน้าได้อีก ดร.ประสาร กล่าว และกล่าวต่อว่าปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) มากน้อยเพียงใด แต่ในส่วนของภาคการส่งออกอาจจะชะลอตัวลงบ้างตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นเดียวกับในส่วนของจีดีพีในปี 2544 เศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติ ซึ่งในครั้งนั้นมีผลทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทยเล็กน้อย โดยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลดลง 1% ส่งผลให้จีดีพีของไทยลดลง 0.8%
ปัญหาซับไพร์มในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยมากน้อยแค่ไหน ดร.ประสาร กล่าว
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบัน วิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย 0.25% ว่า เป็นไปตามที่คาดหมาย โดย ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังอยู่ในวัฏจักรขาลง และเฟดก็มีโอกาสปรับลดลงอีก 2-3 ครั้งในปี 2551 หลังจากมีการส่งสัญญาณว่าจะใช้นโยบายดอกเบี้ยแก้ปัญหาซับไพร์มจนกว่าจะคลี่คลาย แต่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ขยับตัวขึ้น และมีอิทธิพลในการตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งต่อๆ ไป
สำหรับส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับไทยน่าจะอยู่ร้อยละ 1 เพราะเฟดอยู่ที่ 4.25% ไทย 3.25% ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการไหลเข้าออกของเงินทุน แต่การแข็งค่าของเงินบาทเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดทิศทางของเงินทุนต่างชาติ เพราะหากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10-20 สตางค์ ทำให้ผลตอบแทนจากการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึงร้อยละ 100-200 ต่อปี จึงเป็นแรงจูงใจทำให้ต่างชาติจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท แต่มั่นใจว่า ธปท. จะดูแลใกล้ชิดให้เงินบาทเคลื่อนไหวไปตามเงินสกุลภูมิภาค
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังรอดูหลายปัจจัย คือ เงินเฟ้อเดือน ม.ค.ที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาน้ำมัน ผลการเลือกตั้ง เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการประชุม กนง.ครั้งแรกของปี 2551 ซึ่งอาจจะมีการทบทวนภาวะเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร และดูอัตราเงินเฟ้อ หากเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีผลในการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 536
พาณิชย์คาดส่งออกปี'51 ขยายตัว10% 'เกริกไกร'ชี้เลือกตั้งดึงความเชื่อมั่นลงทุน
พาณิชย์คาด ตัวเลขส่งออกปี 2551 ขยายตัว 10% มูลค่า 1.65 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2550 ที่คาดเพิ่มขึ้น 16.1% ด้านเกริกไกรเชื่อ หลังเลือกตั้งการลงทุนจะกลับมาคึกคัก แนะรัฐบาลใหม่สานต่อ 4 นโยบาย
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกในปี 2551 ว่า การส่งออกจะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2550 แต่อัตราขยายตัวจะชะลอลงจากปี 2550 โดยมีมูลค่า 165,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10% ส่วนการนำเข้าในปี 2551 จะขยายตัว 10% มูลค่า 145,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ามูลค่า 15,000-20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุที่การนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากคาดว่าจะมีการลงทุนในด้านต่างๆ หลังจากการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550
ทั้งนี้ตัวเลขส่งออกดังกล่าวคำนวณโดยมีสมมติฐานที่สำคัญ 2 ประการคือ ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและมีค่าเฉลี่ยประมาณ 33.50 บาท/เหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2551 โดยเฉลี่ยประมาณ 85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนในปี 2550 คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เป็นมูลค่า 150,546 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.1% สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 12.5% ส่วนการนำเข้าจะขยายตัว 7% มูลค่า 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ไทยได้ดุลการค้าในปีนี้ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
การส่งออกสินค้าสำคัญคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในทุกหมวด สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรคาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น 4.4% สินค้าสำคัญที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้าอาหาร สำหรับข้าว คาดว่ามูลค่าส่งออกจะลดลงเล็กน้อย 0.2% และน้ำตาลคาดว่าจะส่งออกลดลง 4.1% สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญคาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น 10.7% สินค้าสำคัญส่วนใหญ่คาดว่าจะยังคงส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สิ่งทอ เม็ดพลาสติก วัสดุก่อสร้าง อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์
ตลาดส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดหลักคาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น 7.1% ได้แก่ สหรัฐ 2% ญี่ปุ่น 10% สหภาพยุโรป 7% อาเซียน 9.1%
ตลาดใหม่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงต่อเนื่องประมาณ 18.7% ที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ ละตินอเมริกา 25% ยุโรปตะวันออก 25% อินโดจีนและพม่า 20% ตะวันออกกลาง 20% แอฟริกา 20% และตลาดที่มีการจัดทำ FTA ได้แก่ อินเดีย 40% ออสเตรเลีย 20% จีน 20%
แม้ว่าอัตราการส่งออกในปี 2551 จะชะลอตัวลงจากปีนี้ แต่การส่งออกก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปัจจัยหนึ่ง นอกจากการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลและการลงทุน โดยเฉพาะที่มาจากงบประมาณของรัฐบาลช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้มีนโยบายใช้การขาดดุลงบประมาณ 1 แสนล้านบาทจะมีผลยาวไปจนถึงเดือนกันยายนของปีหน้า อีกทั้งยังมีโครงการสร้างระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า ซึ่งใช้เงินกว่า 70,000 ล้านบาทจากกองทุนน้ำมัน นอกจากนี้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรอาศัยจังหวะที่อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าในการลงทุนปรับปรุงโครงสร้างผลิต
"หากรัฐบาลใหม่หน้าหล่อ ก็จะช่วยให้ประชาชนมีกำลังใจในการจับจ่ายใช้สอย รัฐบาลใหม่มีผลต่อการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และนักลงทุนต่างประเทศ การส่งออกยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ แต่ต้องดูว่าการลงทุนของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร จะสูงขึ้นหรือไม่" นายเกริกไกรกล่าว
สำหรับนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต้องการให้รัฐบาลใหม่สานต่อนั้น ขอให้มุ่งเน้นใน 4 ประเด็น คือ
1)การสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยยังความจำเป็นที่ต้องแทรกแซงราคา แต่ต้องอยู่ระดับที่เหมาะสม และต้องดูแลป้องกันปัญหาการทุจริตจากโครงการรับจำนำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการรั่วไหลด้วย
2)การสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ ให้มีจำนวนมากขึ้นตามเป้าหมายกำหนดว่าควรมี 3,371 ราย
3)การสนับสนุนผู้ประกอบการในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคอาเซียน เพื่อใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีเป้าหมายว่าไว้ในปี 2558 และ
4)รัฐบาลควรดำเนินการนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะการยกร่าง พ.ร.บ.การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ พ.ศ. ...ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 190 ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 โดยกฎหมายฉบับนี้จะต้องมีความโปร่งใส ชัดเจน และก่อให้เกิดอุปสรรคในการเจรจา
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 47&catid=2
พาณิชย์คาด ตัวเลขส่งออกปี 2551 ขยายตัว 10% มูลค่า 1.65 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2550 ที่คาดเพิ่มขึ้น 16.1% ด้านเกริกไกรเชื่อ หลังเลือกตั้งการลงทุนจะกลับมาคึกคัก แนะรัฐบาลใหม่สานต่อ 4 นโยบาย
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกในปี 2551 ว่า การส่งออกจะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2550 แต่อัตราขยายตัวจะชะลอลงจากปี 2550 โดยมีมูลค่า 165,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10% ส่วนการนำเข้าในปี 2551 จะขยายตัว 10% มูลค่า 145,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ามูลค่า 15,000-20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุที่การนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากคาดว่าจะมีการลงทุนในด้านต่างๆ หลังจากการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550
ทั้งนี้ตัวเลขส่งออกดังกล่าวคำนวณโดยมีสมมติฐานที่สำคัญ 2 ประการคือ ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและมีค่าเฉลี่ยประมาณ 33.50 บาท/เหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2551 โดยเฉลี่ยประมาณ 85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนในปี 2550 คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เป็นมูลค่า 150,546 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.1% สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 12.5% ส่วนการนำเข้าจะขยายตัว 7% มูลค่า 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ไทยได้ดุลการค้าในปีนี้ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
การส่งออกสินค้าสำคัญคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในทุกหมวด สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรคาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น 4.4% สินค้าสำคัญที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้าอาหาร สำหรับข้าว คาดว่ามูลค่าส่งออกจะลดลงเล็กน้อย 0.2% และน้ำตาลคาดว่าจะส่งออกลดลง 4.1% สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญคาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น 10.7% สินค้าสำคัญส่วนใหญ่คาดว่าจะยังคงส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สิ่งทอ เม็ดพลาสติก วัสดุก่อสร้าง อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์
ตลาดส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดหลักคาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น 7.1% ได้แก่ สหรัฐ 2% ญี่ปุ่น 10% สหภาพยุโรป 7% อาเซียน 9.1%
ตลาดใหม่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงต่อเนื่องประมาณ 18.7% ที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ ละตินอเมริกา 25% ยุโรปตะวันออก 25% อินโดจีนและพม่า 20% ตะวันออกกลาง 20% แอฟริกา 20% และตลาดที่มีการจัดทำ FTA ได้แก่ อินเดีย 40% ออสเตรเลีย 20% จีน 20%
แม้ว่าอัตราการส่งออกในปี 2551 จะชะลอตัวลงจากปีนี้ แต่การส่งออกก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปัจจัยหนึ่ง นอกจากการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลและการลงทุน โดยเฉพาะที่มาจากงบประมาณของรัฐบาลช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้มีนโยบายใช้การขาดดุลงบประมาณ 1 แสนล้านบาทจะมีผลยาวไปจนถึงเดือนกันยายนของปีหน้า อีกทั้งยังมีโครงการสร้างระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า ซึ่งใช้เงินกว่า 70,000 ล้านบาทจากกองทุนน้ำมัน นอกจากนี้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรอาศัยจังหวะที่อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าในการลงทุนปรับปรุงโครงสร้างผลิต
"หากรัฐบาลใหม่หน้าหล่อ ก็จะช่วยให้ประชาชนมีกำลังใจในการจับจ่ายใช้สอย รัฐบาลใหม่มีผลต่อการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และนักลงทุนต่างประเทศ การส่งออกยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ แต่ต้องดูว่าการลงทุนของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร จะสูงขึ้นหรือไม่" นายเกริกไกรกล่าว
สำหรับนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต้องการให้รัฐบาลใหม่สานต่อนั้น ขอให้มุ่งเน้นใน 4 ประเด็น คือ
1)การสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยยังความจำเป็นที่ต้องแทรกแซงราคา แต่ต้องอยู่ระดับที่เหมาะสม และต้องดูแลป้องกันปัญหาการทุจริตจากโครงการรับจำนำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการรั่วไหลด้วย
2)การสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ ให้มีจำนวนมากขึ้นตามเป้าหมายกำหนดว่าควรมี 3,371 ราย
3)การสนับสนุนผู้ประกอบการในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคอาเซียน เพื่อใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีเป้าหมายว่าไว้ในปี 2558 และ
4)รัฐบาลควรดำเนินการนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะการยกร่าง พ.ร.บ.การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ พ.ศ. ...ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 190 ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 โดยกฎหมายฉบับนี้จะต้องมีความโปร่งใส ชัดเจน และก่อให้เกิดอุปสรรคในการเจรจา
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 47&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 537
ดัชนีภาคบ่ายปิดลบ 18.78 จุด ต่างชาติขายต่อเนื่อง วิตกศก.โลกทรุด
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2550 17:23 น.
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีภาคบ่ายร่วงลงค่อนข้างแรง ต่างชาติเทขายต่อเนื่องกว่า 2.23 พันล้าน ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ร่วงลงทั่วหน้า นักลงทุนวิตกภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก กำลังเข้าสู่ภาวะตกต่ำ จึงเริ่มทะยอยขายหุ้นลดความเสี่ยง และเตรียมเงินสดใช้จ่ายปลายปี เพราะที่ผ่านมามีส่วนต่างกำไรสูงมากแล้ว ส่วนแนวโน้มพรุ่งนี้ คาดตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากต่างชาติขายอย่างต่อเนื่อง โดยให้แนวรับ 805 แนวต้าน 830 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(17 ธ.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 817.62 จุด ลดลง 18.78 จุด เปลี่ยนแปลง -2.25% มูลค่าการซื้อขาย 12,589.47 ล้านบาท สำหรับการซื้อขายวันนี้ ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 834.18 จุด และจุดต่ำสุดของวัน อยู่ที่ระดับ 817.62 จุด
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 47 หลักทรัพย์ ลดลง 314 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 81 หลักทรัพย์ สำหรับสัดส่วนการลงทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,230.91 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 510.12 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,741.52 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ สถาบันวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เนื่องจากคาดเศรษฐกิจโดยรวมทั่วโลกน่าจะออกมาแย่ในปีนี้ ต่อเนื่องถึงปีหน้า ทำให้คนขายหุ้นออกเอาเงินมาใช้จ่ายปลายปี และอีกเหตุผลคือกำไรจากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาได้รับค่อนข้างมากแล้ว ทำให้มีการขายทำกำไรออกมา ซึ่งภาพโดยรวมแล้วนักลงทุนที่ถือหุ้นมากกว่า 12 เดือนจะมีส่วนต่างกำไรค่อนข้างสูง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เห็นว่าทำไมเขาถึงขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่องได้ ดังนั้นแรงขายของต่างชาติจึงเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่มากดดันตลาดทั่วโลก
"ปีนี้ค่อนข้างแปลกอาจเป็นเพราะเศรษฐกิจโดยรวมมันแย่กว่าที่ทุกคนคาด ในลักษณะที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมแล้ว แต่คราวนี้ยังขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าต่างชาติคงจะขายจนถึงวันหยุดคริสต์มาส เพราะฉะนั้นการขายหุ้นเพื่อเอาเงินสดกลับเข้าบริษัทฯในแง่ของบริษัทฯ การขายหุ้นเพื่อเอาเงินสดกลับเข้าไปสู่ตัวบุคคลเพื่อใช้จ่ายปลายปีนี้ ตอนนี้มันเป็นอย่างต่อเนื่องในทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะตลาดไทยเจ้าเดียว ซึ่งถ้าดูตลาดในภูมิภาควันนี้จะเห็นได้ว่าตลาดฮ่องกงลบมากที่สุด 3.5% แต่โดยเฉลี่ยตลาดอื่นจะลบ 2-3% เช่นเดียวกับตลาดไทย ซึ่งอยู่ภายใต้เรื่องเดียวกันคือการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่มีอย่างต่อเนื่อง"
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(18 ธ.ค.) มองว่าตลาดฯยังคงไม่น่าจะมีเทคนิคเคิลรีบาวน์ โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทย ยังคงจะยังรับแรงกดดันจากต่างชาติขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้แนวรับที่ 805 จุด แนวต้าน 830 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,194.19 ล้านบาท ปิดที่ 149.00 บาท ลดลง 9.00 บาท , BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,149.05 ล้านบาท ปิดที่ 386.00 บาท ลดลง 30.00 บาท
TTA มูลค่าการซื้อขาย 641.35 ล้านบาท ปิดที่ 45.25 บาท ลดลง 3.75 บาท , ATC มูลค่าการซื้อขาย 590.59 ล้านบาท ปิดที่ 65.50 บาท ลดลง 2.00 บาท , TOP มูลค่าการซื้อขาย 493.94 ล้านบาท ปิดที่ 82.00 บาท ลดลง 4.50 บาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000149546
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2550 17:23 น.
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีภาคบ่ายร่วงลงค่อนข้างแรง ต่างชาติเทขายต่อเนื่องกว่า 2.23 พันล้าน ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ร่วงลงทั่วหน้า นักลงทุนวิตกภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก กำลังเข้าสู่ภาวะตกต่ำ จึงเริ่มทะยอยขายหุ้นลดความเสี่ยง และเตรียมเงินสดใช้จ่ายปลายปี เพราะที่ผ่านมามีส่วนต่างกำไรสูงมากแล้ว ส่วนแนวโน้มพรุ่งนี้ คาดตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากต่างชาติขายอย่างต่อเนื่อง โดยให้แนวรับ 805 แนวต้าน 830 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(17 ธ.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 817.62 จุด ลดลง 18.78 จุด เปลี่ยนแปลง -2.25% มูลค่าการซื้อขาย 12,589.47 ล้านบาท สำหรับการซื้อขายวันนี้ ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 834.18 จุด และจุดต่ำสุดของวัน อยู่ที่ระดับ 817.62 จุด
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 47 หลักทรัพย์ ลดลง 314 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 81 หลักทรัพย์ สำหรับสัดส่วนการลงทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,230.91 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 510.12 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,741.52 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ สถาบันวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เนื่องจากคาดเศรษฐกิจโดยรวมทั่วโลกน่าจะออกมาแย่ในปีนี้ ต่อเนื่องถึงปีหน้า ทำให้คนขายหุ้นออกเอาเงินมาใช้จ่ายปลายปี และอีกเหตุผลคือกำไรจากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาได้รับค่อนข้างมากแล้ว ทำให้มีการขายทำกำไรออกมา ซึ่งภาพโดยรวมแล้วนักลงทุนที่ถือหุ้นมากกว่า 12 เดือนจะมีส่วนต่างกำไรค่อนข้างสูง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เห็นว่าทำไมเขาถึงขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่องได้ ดังนั้นแรงขายของต่างชาติจึงเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่มากดดันตลาดทั่วโลก
"ปีนี้ค่อนข้างแปลกอาจเป็นเพราะเศรษฐกิจโดยรวมมันแย่กว่าที่ทุกคนคาด ในลักษณะที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมแล้ว แต่คราวนี้ยังขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าต่างชาติคงจะขายจนถึงวันหยุดคริสต์มาส เพราะฉะนั้นการขายหุ้นเพื่อเอาเงินสดกลับเข้าบริษัทฯในแง่ของบริษัทฯ การขายหุ้นเพื่อเอาเงินสดกลับเข้าไปสู่ตัวบุคคลเพื่อใช้จ่ายปลายปีนี้ ตอนนี้มันเป็นอย่างต่อเนื่องในทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะตลาดไทยเจ้าเดียว ซึ่งถ้าดูตลาดในภูมิภาควันนี้จะเห็นได้ว่าตลาดฮ่องกงลบมากที่สุด 3.5% แต่โดยเฉลี่ยตลาดอื่นจะลบ 2-3% เช่นเดียวกับตลาดไทย ซึ่งอยู่ภายใต้เรื่องเดียวกันคือการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่มีอย่างต่อเนื่อง"
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(18 ธ.ค.) มองว่าตลาดฯยังคงไม่น่าจะมีเทคนิคเคิลรีบาวน์ โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทย ยังคงจะยังรับแรงกดดันจากต่างชาติขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้แนวรับที่ 805 จุด แนวต้าน 830 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,194.19 ล้านบาท ปิดที่ 149.00 บาท ลดลง 9.00 บาท , BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,149.05 ล้านบาท ปิดที่ 386.00 บาท ลดลง 30.00 บาท
TTA มูลค่าการซื้อขาย 641.35 ล้านบาท ปิดที่ 45.25 บาท ลดลง 3.75 บาท , ATC มูลค่าการซื้อขาย 590.59 ล้านบาท ปิดที่ 65.50 บาท ลดลง 2.00 บาท , TOP มูลค่าการซื้อขาย 493.94 ล้านบาท ปิดที่ 82.00 บาท ลดลง 4.50 บาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000149546
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 538
2เดือนแรกปีงบ'51รัฐบาลขาดดุลเงินสดกว่า1.1แสนล้านบาท
17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 13:15:00
คลังเผย 2 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดกว่า 1.1 แสนล้านบาท โดยขาดดุลเงินงบประมาณและนอกงบประมาณใกล้เคียงกัน ส่วนหนึ่งมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังแถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ในเดือนพฤศจิกายน 2550 ว่า ขาดดุลเงินสดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จำนวน 51,401 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 110,615 ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 57,241 ล้านบาท และดุลเงินนอกงบประมาณ 53,374 ล้านบาท
สำหรับฐานะการคลังเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 108,535 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 10.9 โดยรายได้จากภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สำคัญ ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่รัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 127,018 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 14.0 การเบิกจ่ายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากคือรายจ่ายลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 9,682 ล้านบาท หรือร้อยละ 113.0
ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 10.6 ส่วนรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อนลดลงร้อยละ 17.1 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณเดือนพฤศจิกายน ขาดดุล 18,483 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณซึ่งขาดดุล 32,918 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิ 14,000 ล้านบาท และการจ่ายเงินจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 10,060 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 51,401 ล้านบาท และรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 13,500 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 37,901ล้านบาท
ส่วนในระยะ 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 นายสมชัย กล่าวว่า รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 225,166 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.2 โดยรายได้ที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ได้แก่ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเบียร์ รวมทั้งการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ก็สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก
ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 282,407 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 40.5 แบ่งเป็นรายจ่ายปีปัจจุบัน 260,049 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 15.7 ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาทและรายจ่ายปีงบประมาณก่อนหน้านี้ 22,358 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 57,241 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 53,374 ล้านบาท
โดยมีสาเหตุหลักจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 33,000 ล้านบาท และการจ่ายเงินจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 10,060 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุล 110,615 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลดังกล่าวโดยการออกพันธบัตร 25,000 ล้านบาท และใช้เงินคงคลัง 85,615 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=212080
17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 13:15:00
คลังเผย 2 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดกว่า 1.1 แสนล้านบาท โดยขาดดุลเงินงบประมาณและนอกงบประมาณใกล้เคียงกัน ส่วนหนึ่งมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังแถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ในเดือนพฤศจิกายน 2550 ว่า ขาดดุลเงินสดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จำนวน 51,401 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 110,615 ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 57,241 ล้านบาท และดุลเงินนอกงบประมาณ 53,374 ล้านบาท
สำหรับฐานะการคลังเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 108,535 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 10.9 โดยรายได้จากภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สำคัญ ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่รัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 127,018 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 14.0 การเบิกจ่ายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากคือรายจ่ายลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 9,682 ล้านบาท หรือร้อยละ 113.0
ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 10.6 ส่วนรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อนลดลงร้อยละ 17.1 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณเดือนพฤศจิกายน ขาดดุล 18,483 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณซึ่งขาดดุล 32,918 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิ 14,000 ล้านบาท และการจ่ายเงินจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 10,060 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 51,401 ล้านบาท และรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 13,500 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 37,901ล้านบาท
ส่วนในระยะ 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 นายสมชัย กล่าวว่า รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 225,166 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.2 โดยรายได้ที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ได้แก่ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเบียร์ รวมทั้งการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ก็สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก
ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 282,407 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 40.5 แบ่งเป็นรายจ่ายปีปัจจุบัน 260,049 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 15.7 ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาทและรายจ่ายปีงบประมาณก่อนหน้านี้ 22,358 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 57,241 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 53,374 ล้านบาท
โดยมีสาเหตุหลักจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 33,000 ล้านบาท และการจ่ายเงินจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 10,060 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุล 110,615 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลดังกล่าวโดยการออกพันธบัตร 25,000 ล้านบาท และใช้เงินคงคลัง 85,615 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=212080
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 539
ต่างชาติขายปรับพอร์ตอีก 2.2 พันล้านบาท ก่อนหยุดยาวรับคริสต์มาส เพิ่มยอดขายเดือนนี้เกือบ 8 พันล้านบาท
Posted on Monday, December 17, 2007
รายย่อยซื้อหุ้นกลุ่มเดียว 2.7 พันล้านบาท ขณะที่ต่างชาติขายก่อนวันหยุดยาวรับเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ 2.2 พันล้านบาท ส่งผลให้ ยอดสุทธิเดือนนี้ ต่างชาติขายสุทธิคนเดียว 7.9 พันล้านบาท ลดยอดซื้อสุทธิทั้งปีที่เคยทะลุ 1 แสนล้านบาท หดเหลือ 6.2 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 8,094.02 ขาย 5,352.49 รวม ซื้อสุทธิ 2,741.53
สถาบันในประเทศ ซื้อ 1,757.58 ขาย 2,268.20 รวม ขายสุทธิ 510.62
ต่างประเทศ ซื้อ 2,737.88 ขาย 4,968.79 รวม ขายสุทธิ 2,230.91
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 74,202.96 ขาย 68,342.81 รวม ซื้อสุทธิ 5,860.15
สถาบันในประเทศ ซื้อ 22,579.28 ขาย 20,476.58 รวม ซื้อสุทธิ 2,102.70
ต่างประเทศ ซื้อ 49,522.61 ขาย 57,485.46 รวม ขายสุทธิ 7,962.85
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,097,210.04 ขาย 2,153,744.66 รวม ขายสุทธิ 56,534.62
สถาบันในประเทศ ซื้อ 583,955.88 ขาย 590,186.30 รวม ขายสุทธิ 6,230.42
ต่างประเทศ ซื้อ 1,385,606.85 ขาย 1,322,841.81 รวม ซื้อสุทธิ 62,765.04
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, December 17, 2007
รายย่อยซื้อหุ้นกลุ่มเดียว 2.7 พันล้านบาท ขณะที่ต่างชาติขายก่อนวันหยุดยาวรับเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ 2.2 พันล้านบาท ส่งผลให้ ยอดสุทธิเดือนนี้ ต่างชาติขายสุทธิคนเดียว 7.9 พันล้านบาท ลดยอดซื้อสุทธิทั้งปีที่เคยทะลุ 1 แสนล้านบาท หดเหลือ 6.2 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 8,094.02 ขาย 5,352.49 รวม ซื้อสุทธิ 2,741.53
สถาบันในประเทศ ซื้อ 1,757.58 ขาย 2,268.20 รวม ขายสุทธิ 510.62
ต่างประเทศ ซื้อ 2,737.88 ขาย 4,968.79 รวม ขายสุทธิ 2,230.91
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 74,202.96 ขาย 68,342.81 รวม ซื้อสุทธิ 5,860.15
สถาบันในประเทศ ซื้อ 22,579.28 ขาย 20,476.58 รวม ซื้อสุทธิ 2,102.70
ต่างประเทศ ซื้อ 49,522.61 ขาย 57,485.46 รวม ขายสุทธิ 7,962.85
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,097,210.04 ขาย 2,153,744.66 รวม ขายสุทธิ 56,534.62
สถาบันในประเทศ ซื้อ 583,955.88 ขาย 590,186.30 รวม ขายสุทธิ 6,230.42
ต่างประเทศ ซื้อ 1,385,606.85 ขาย 1,322,841.81 รวม ซื้อสุทธิ 62,765.04
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 540
แนะลงทุนหุ้น4สไตล์หากำไรดัชนีสวิงปี51
โพสต์ทูเดย์ ปีหน้าดัชนีผันผวนสูง บล.นครหลวงไทย แนะลงทุนในหุ้น 4 สไตล์ หากำไรทั้งขาขึ้นและขาลง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย แนะนำการลงทุนในปีหน้าที่ดัชนีจะมีความผันผวนสูงว่า ไม่ควรกลัวขาดทุน เพราะนักลงทุนสามารถเข้าออกเพื่อทำกำไรได้ หรือซื้อตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งขาขึ้นและขาลง
นอกจากนั้น ได้แนะนำการลงทุน 4 แบบ โดยรูปแบบแรกเลือกหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคงสูง มี ความสามารถในการแข่งขันทั้งโรงพยาบาล โรงแรม
ผมชอบหุ้นบริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่โครงสร้างรายได้มาจากโรงแรมและอาหาร ครึ่งต่อครึ่ง ราคา ณ ขณะนี้ยังเข้าซื้อลงทุนในระยะยาวได้
แบบที่ 2 หุ้นปลอดภัยจากความผันผวนของตลาดคือ กลุ่มโรงไฟฟ้า น้ำประปา (กำลังจะเข้าตลาดปีหน้า) หุ้นเหล่านี้ยังเป็นหุ้นปันผลได้อีกด้วย
หุ้นบริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) น่าลงทุน เพราะราคาลงแรง หลังผิดหวังงานประมูลโรงไฟฟ้า ขณะนี้ราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น 20% คาดจะให้เงินปันผลถึง 4.5% และยังมีโครงการขยายต่อเนื่อง
แบบที่ 3 หุ้นบริษัทใหญ่ที่มีหนี้น้อย เช่น บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส และบริษัท บีอีซี เวิลด์
แบบที่ 4 หุ้นเก็งกำไรอย่างอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง ที่ราคาขึ้นแล้ว เพราะถูกคาดหวังว่าจะดีตามเศรษฐกิจในประเทศ แต่ควรซื้อและขายออกบ้าง เพราะความไม่แน่นอนมีสูง
นายสุกิจยังแนะนำซื้อหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน เดินเรือ ถ่านหินที่ได้ดีจากเศรษฐกิจของจีนและอินเดียขยายตัว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209403
โพสต์ทูเดย์ ปีหน้าดัชนีผันผวนสูง บล.นครหลวงไทย แนะลงทุนในหุ้น 4 สไตล์ หากำไรทั้งขาขึ้นและขาลง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย แนะนำการลงทุนในปีหน้าที่ดัชนีจะมีความผันผวนสูงว่า ไม่ควรกลัวขาดทุน เพราะนักลงทุนสามารถเข้าออกเพื่อทำกำไรได้ หรือซื้อตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งขาขึ้นและขาลง
นอกจากนั้น ได้แนะนำการลงทุน 4 แบบ โดยรูปแบบแรกเลือกหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคงสูง มี ความสามารถในการแข่งขันทั้งโรงพยาบาล โรงแรม
ผมชอบหุ้นบริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่โครงสร้างรายได้มาจากโรงแรมและอาหาร ครึ่งต่อครึ่ง ราคา ณ ขณะนี้ยังเข้าซื้อลงทุนในระยะยาวได้
แบบที่ 2 หุ้นปลอดภัยจากความผันผวนของตลาดคือ กลุ่มโรงไฟฟ้า น้ำประปา (กำลังจะเข้าตลาดปีหน้า) หุ้นเหล่านี้ยังเป็นหุ้นปันผลได้อีกด้วย
หุ้นบริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) น่าลงทุน เพราะราคาลงแรง หลังผิดหวังงานประมูลโรงไฟฟ้า ขณะนี้ราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น 20% คาดจะให้เงินปันผลถึง 4.5% และยังมีโครงการขยายต่อเนื่อง
แบบที่ 3 หุ้นบริษัทใหญ่ที่มีหนี้น้อย เช่น บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส และบริษัท บีอีซี เวิลด์
แบบที่ 4 หุ้นเก็งกำไรอย่างอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง ที่ราคาขึ้นแล้ว เพราะถูกคาดหวังว่าจะดีตามเศรษฐกิจในประเทศ แต่ควรซื้อและขายออกบ้าง เพราะความไม่แน่นอนมีสูง
นายสุกิจยังแนะนำซื้อหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน เดินเรือ ถ่านหินที่ได้ดีจากเศรษฐกิจของจีนและอินเดียขยายตัว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209403