ปตท.อยู่หรือไป แต่ตลาดหุ้นไทย อยู่ชั่วฟ้าดินสลาย
* วงการเห็นพ้องไม่ถูกถอดแน่ - ตลท.ขึ้น H เช้านี้ตามคำขอบริษัท
ลุ้นระทึก ศาลปกครองสูงสุดวันนี้ตัดสิน ปตท.อยู่หรือไป หลังโดนฟ้อง พ.ร.ฎ. ขัดรัฐธรรมนูญ ขณะที่โบรกเกอร์ - ผู้บริหาร มั่นใจไม่โดนถอดถอนแน่ เหตุกระทบตลาดหนัก แถมฉุดความเชื่อมั่นนลท.ไทย-เทศ ดิ่ง แต่อาจโดนกรณีท่อก๊าซแทน - สินเอเซีย ระบุชัด มูลค่าหุ้นลดลงทันที 67 บาท หากโอนท่อก๊าซฯ กลับให้รัฐฯ และทำให้ราคาเป้าหมาย ลดเหลือ 376 บาท อีกทั้งไม่แนะนำฉวยโอกาสลงทุนหุนอื่น หวังพลิกวิกฤติเป็นโอกาส กรณีแพนนิค หากฏโดนถอดถอนจริง เหตุ ดัชนีจะร่วงต่ำกว่า 700 จุด ลงทุนตัวไหนก็เจ๊งพอกัน ขณะที่ ตลท. สั่งขึ้น H ทันทีเช้าวันนี้ หลังบริษัทขอ หวั่นกระทบราคาหุ้น
วันที่นักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศ รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง รอคอยก็มาถึงในวันนี้ เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดจะขึ้นบัลลังก์เพื่ออ่านคำตัดสินคดีแปรรูปของ บมจ.ปตท (PTT) หลังจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและองค์กรเครือข่าย ยื่นหนังสือฟ้องศาลฯ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา เพื่อขอให้มีคำพิพากษายกเลิกและเพิกถอนพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนไขเวลาการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 เพราะมีข้อเท็จจริงว่า พ.ร.ฎ.ทั้งสองฉบับเป็นการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งทำให้เกิดการผูกขาดธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติโดยบริษัทเอกชน และระบุว่าการแปรรูปดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียอำนาจการควบคุมและต่อรองในกิจการ ปตท. ไปอย่างถาวร
ดังนั้นเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา คดีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างก็รอฟังคำตัดสินที่จะมีขึ้นในวันนี้ ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วคงไม่มีใครอยากให้คดีดังกล่าวจบลงโดยการที่ปตท.โดนถอดถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะเท่ากับว่าเมื่อไม่มีปตท.จะส่งผลให้ตลาดฯ สูญเสียมาร์เก็ตแคปไปจำนวนมหาศาล และสะเทือนไปถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทันที โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากปตท. ถือเป็นหุ้นขนาดใหญ่ และน่าจะเป็นหุ้นอันดับต้นของตลาดหุ้นไทย ที่สร้างสีสรร และเพิ่มความน่าลงทุนให้กัตลาดหุ้นไทยมายาวนานนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 โดยราคาไอพีโอตอนนั้นอยู่ที่ 35 บาทต่อหุ้นเท่านั้น
อีกทั้งทราบกันดีว่า นอกจากการถูกถอดออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน จะกระทบต่อภาพรวมการลงทุนของตลาดฯ มาร์เก็ตแคป และความเชื่อมั่นแล้ว ยังกระทบไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย เพราะหาก ปตท. ออกจากตลาดจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นประมาณ 4 แสนล้านบาท และในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ รัฐบาลจะนำเงินจากไหนมาซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้น เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อหุ้นคืนในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด แต่อย่างไรก็ตามคำตอบจะเป็นอย่างไร ศาลฯ เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน
แต่ทั้งนี้หากมองในมุมกลับกันกรณีที่ ปตท.ต้องถูกถอดออกจากตลาดฯ จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องทำใจยอมรับความจริงให้ได้เช่นเดียวกัน เพราะถ้าหากมองโลกในแง่ดีไว้ก็อาจจะสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสจากกรณีดี เพราะเมื่อเชื่อกันว่ากรณีการถอด ปตท. ออกจากตลาดฯ จะทำให้เกิดแพนนิคอย่างรุนแรง ราคาหุ้นหลายตัวก็จะปรับลดลง ตามภาวะตลาดฯ รวม เพราะฉะนั้นก็น่าจะทำให้นักลงทุนกลับมาพิจารณาว่าเป็นโอกาสดีในการเข้าไปซื้อหุ้นตัวอื่นๆ เพื่อการลงทุนแทน โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานในกลุ่มอื่นที่ราคาปรับลดลง และเหมาะที่เข้าไปซื้อลงทุนในอนาคต อีกทั้งหุ้นรัฐวิสาหกิจในตลาดฯก็ยังมีอีกหลายตัว นอกเหนือจาก ปตท. ที่ยังสามารถลงทุนได้เช่นกัน เพราะแม้ไม่มีหุ้น ปตท. แต่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ยังต้องเปิดการซื้อขายอยู่ และก็ยังไม่ได้ปิดตลาดฯ ไปแต่อย่างใด เพราะยังถือเป็นศูนย์กลางของการลงทุนในตลาดทุนของประเทศ หุ้นตัวจะอยู่ หรือหุ้นตัวใดจะไป แต่ตลาดฯ ก็ยังต้องอยู่กับนักลงทุน
* ตลท.สั่งแขวน H ทันควันเช้าวันนี้ ตามคำขอบริษัท
อย่างไรก็ตาม เย็นวานนี้ (13 ธ.ค.) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เปิดเผยว่า ตามที่ บริษัทฯ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ว่า ศาลปกครองสูงสุดได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่14 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เวลา 10.00 น. ในคดีที่มีกลุ่มบุคคลประกอบด้วยมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคกับพวกรวม 5 คน ( ผู้ฟ้องคดี ) ได้ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งต่อมา ปตท. เข้าเป็นคู่ความในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ( ผู้ถูกฟ้องคดี ) ต่อศาลปกครองสูงสุด และผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำสั่ง เพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และ พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 ซึ่ง เกี่ยวกับการแปลงสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ( พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ) และภายหลังผู้ฟ้องคดีได้มีคำขอเพิ่มเติมขอให้ศาลมีคำสั่ง เพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ซึ่งออกตาม พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกัน นั้น
โดยที่ ปตท. เห็นว่าอาจมีสารสนเทศ หรือข้อมูลที่มีสาระสำคัญซึ่งอาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้น สามัญของ ปตท. หรือต่อการตัดสินใจในการลงทุนของผู้ถือหุ้นหรือผู้ลงทุนทั่วไปจากคำพิพากษาของศาล ดังนั้น เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลดังกล่าวได้ทั่วถึงและโดยพร้อมเพรียงกัน ปตท. จึงใคร่ขอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งพัก การซื้อขายหุ้นของ ปตท. ในวันที่ 14 ธันวาคม 2550 เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะเสร็จสิ้นการอ่านคำพิพากษาและ ปตท. ได้แจ้งผลของคดีให้แก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทราบแล้ว ทั้งนี้ ปตท. จะรายงานผลของคดีให้แก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเร็วต่อไป
ขณะที่รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ ก็ได้สั่งขึ้นเครื่องหมายหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของ PTT หรือ H เป็นการชั่วคราวทันที ในรอบเช้าของวันนี้ ตามที่บริษัทขอมา จนกว่าบริษัทจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวเป็นข้อมูลสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ของ PTT
ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของ ปตท. หรือ PTT เมื่อวานนี้ ราคาหุ้นเปิดที่ 358 บาท ลดลงทันที 2 บาท จากความกังวลกรณีดังกล่าว และลดลงไปต่ำสุดที่ 354 บาท ลดลง 6 บาท แต่ในช่วงท้ายก่อนปิดตลาดฯ ปรากฎว่ามีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นส่งผลให้ราคาหุ้นกลับมาเสมอ และปรับตัวเพิ่มขึ้นและปรับขึ้นไปสูงสุดถึง 370 บาท เพิ่มขึ้นถึง 10 บาท ก่อนจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย มาปิดที่ 368 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท หรือ 2.22% มีมูลค่าการซื้อขาย 2,953.58 ล้านบาท
* SCIBS ไม่เชื่อ ปตท.โดนถอด เป็นจังหวะฉวยเก็บหุ้นถูก เหตุซื้อตัวไหนก็ขาดทุน
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวถึงกรณีการจะใช้โอกาสเข้าไปลงทุนหุ้นตัวอื่น ในกรณีที่ศาลปกครองมีคำตัดสินในคดีการแปรรูปของ ปตท. ให้ต้องถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น ว่า กรณีดังกล่าวจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาแรงมาก และมีโอกาสที่จะต่ำกว่าระดับ 700 จุด เนื่องจาก PTT นั้นเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดในตลาดฯ ถึง 17% เพราะฉะนั้นการลงทุนในหุ้นตัวอื่นแทนที่ กรณีที่ ปตท.ออกจากตลาดฯ ก็ยังไม่มีความเหมาะสมเช่นกัน เพราะเมื่อระดับดัชนีฯร่วงลงมาแรง การจะลงทุนหุ้นใดก็ยังขาดทุนอยู่ดี
" ถ้าจะเข้าซื้อเราคงต้องมาดูว่า ระดับดัชนีฯที่เท่าไร ถึงจะเข้าซื้อได้ เพราะถ้าในกรณีที่แย่ที่สุด PTT ถูกถอดออกจริง ดัชนีฯจะต่ำกว่า 700 จุด เพราะฉะนั้นซื้อตัวอื่นไป ก็ขาดทุนอยู่ดี ดังนั้นทุกคนจึงหวังว่ากรณีถูกเพิกถอนไม่น่าจะเกิดขึ้น " นางสาวมยุรี กล่าว
นอกจากนี้มองว่า ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังที่ PTT ถูกเพิกถอน คือความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติจะหายไป และอาจจะทำให้หุ้นตัวอื่นที่เข้าข่ายรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ AOT-THAI-MCOT โดนพิจารณาในคดีเดียวกันด้วย
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน จนกว่าจะได้ความชัดเจนเรื่องคดี PTT แม้ว่าราคาหุ้นต่างจะปรับลดลงมาแรง แต่ก็ยังไม่ควรเข้าซื้อ เพราะยังมีความเสี่ยงในเรื่องคำตัดสินที่อาจจะเป็นไปได้ในหลายรูปแบบอยู่
* ชี้ หาก PTT ออกจากตลท. จะกระทบภาพรวมรุนแรง
ด้านนางสาวอังคณา สวัสดิ์พูน ประธานกรรมการบริหาร บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า เชื่อว่าศาลปกครองไม่น่าตัดสินคดี PTT ด้วยการสั่งให้เพิกถอน PTT ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อตลาดทุนมาก และจะเป็นปัญหาสืบเนื่องไปยังรัฐวิสาหกิจบริษัทอื่นที่ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน และจะทำให้บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดฯ มีปัญหาในการระดมทุนด้วยเช่นกัน
* โกลเบล็ก โยน นลท.ใช้วิจารณญาณตัดสินลงทุนเอง
นายวรุตม์ ศิวศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ไม่สามารถให้คำแนะนำนักลงทุนได้ว่าควรที่จะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มใด โดยมองว่าการลงทุนหลังจากมีคำตัดสินดังกล่าวนักลงทุนต้องใช้วิจารณญาณในการลงทุนเอง
ในส่วนกรณีที่แม้จะไม่ถูกเพิกถอนออกจาก ตลท. ก็ยังคงให้คำแนะไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะต้องรอดูด้วยว่ารายละเอียดของคำตัดสินเป็นอย่างไร จะมีการแยกธุรกิจใดออกจากบริษัทฯแม่ และมีกระบวนการหรือขั้นตอนอย่างไร แต่หากว่าผลคำตัดสินคือ PTT ไม่ถกเพิกถอน และไม่ต้องมีการแยกธุรกิจจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงโดยรวมอย่างแน่นอน
แต่ทั้งนี้เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศหายไป และมองว่านักลงทุนจะขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่ และยุ่งยาก
* เชื่อ มีโอกาสน้อยโดนถอดถอน แนะซื้อ ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 463 บาท
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.โกลเบล็ก ระบุว่า มีความเห็นสำหรับประเด็นการเพิกถอน ปตท. ไปในทิศทางเดียวกับตลาดส่วนใหญ่โดยคาดปตท.จะไม่ถูกเพิกถอน เนื่องจากผลกระทบที่ตามมาจะสูง และมองว่าไม่มีใครได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าวประกอบกับพ.ร.บ. ประกอบกิจการพลังงาน ที่ได้ประกาศใช้ล่าสุดยังเป็นเหมือนตัวช่วยที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่าธุรกิจของ ปตท.จะอยู่ในการกำกับดูแลของทางภาครัฐ และทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน
เรื่องท่อก๊าซยังไม่แน่ว่าจะมีการพิจารณาหรือไม่ แต่โดยรวมแล้วคาดไม่ส่งผลกระทบมากนัก: สำหรับเรื่องท่อก๊าซที่ตลาดมีความกังวลโดยหากพิจารณาจากคำฟ้องแล้ว จะพบว่าไม่ได้เป็นประเด็นหลักในการฟ้องครั้งนี้ และยังไม่ชัดเจนว่าจะมีประเด็นดังกล่าวในการตัดสินพรุ่งนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตามที่สุดแล้วมองว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่ ปตท.จะต้องโอนท่อก๊าซให้ภาครัฐฟรีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของท่อเส้นที่ 3 ที่เป็นการลงทุนหลังจากการแปรรูปแล้วและมีนักลงทุนจำนวนมากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเรามองว่าภาครัฐไม่น่าจะมีสิทธิเข้าครอบครองได้ ดังนั้น กรณีเลวร้ายที่สุดหากต้องโอนท่อก๊าซให้กับทางภาครัฐจริงน่าจะจำกัดเพียงท่อเส้นที่ 1-2 เท่านั้น และเนื่องจากท่อก๊าซทั้งสองเส้นดังกล่าว มีการตัดค่าเสื่อมราคาไปเป็นจำนวนมาก หากต้องส่งคืนจริงคาดจะมีผลกระทบต่อสินทรัพย์ไม่เกิน 5% ตามงบการเงินรวม และส่งผลกระทบต่อกำไรประมาณ 9พัน 1หมื่นล้าน บาท/ปี(ประมาณ 10%-11% ของประมาณการปี 50 ของเรา) รวมถึงส่งผลต่อราคาเหมาะสมปี 51 ของเราประมาณ 41 บาท/หุ้น(ทำให้เป้าปี 51 ลดลง เหลือ 422 บาท)
อย่างไรก็ตามในประเด็นท่อก๊าซเรามองว่าความเป็นไปได้ที่สุดคือ ปตท.จะโอนกิจการท่อก๊าซไปตั้งเป็นบริษัทใหม่และ ปตท.ถือหุ้น 100% ซึ่งกรณีนี้จะเกิดค่าใช้จ่ายด้านภาษีซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว และไม่ส่งผลต่อราคาเหมาะสมในระยะยาวของเราอย่างมีนัยสำคัญ
แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง สำหรับด้านผลประกอบการ ยังมีแนวโน้มที่ดี โดยแม้เราคาดกำไรสุทธิในปี 50 ที่ 92,152 ลบ.ทรงตัวใกล้เคียงปี 49 แต่เราคาดกำไรจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 51 จากแรงหนุนของราคาน้ำมันเฉลี่ยที่คาดจะสูงขื้น (คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 51 ที่ $70/bbl เพิ่มขึ้นประมาณ 6%YoY) และปริมาณขายรวมที่จะเพิ่มขึ้นจากกำลังผลิตใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโครงการอาทิตย์ ของทาง PTTEP และการขยายกำลังการผลิตของ TOP โดยเราคาดผลประกอบการปี 51 ของ PTT จะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยคาดกำไรสุทธิที่ 106,036 ลบ.เพิ่มขึ้น 15%YoY ขณะที่ระยะยาวยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง จากแผนขยายการลงทุนโดยตั้งงบลงทุนของทั้งเครือไว้สูงถึง 2 แสนล้านบาทในช่วง 4-5ปีหน้า
แม้คาดว่ามีโอกาสน้อยมากที่ ปตท.จะถูกเพิกถอน แต่จนกว่าจะมีคำตัดสินที่ชัดเจนออกมา ผลของคำตัดสินยังคงเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อการเข้าลงทุน นอกจากนั้นหากพิจารณาจากตลาดโดยรวมที่คาดการณ์ว่า ปตท.จะชนะดังนั้น หากชนะจริงตามคาด เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นพอสมควร แต่ยังมีโอกาสในการเข้าซื้อได้หลังจากทราบผลตัดสินแล้ว (เราประเมินราคาเหมาะสมปี 51 ที่ 463 บาท/หุ้นยังมี Upside ถึง 28%) แต่หากผลออกมาในทางกลับกัน กล่าวคือปตท.ถูกเพิกถอน หรือ มีคำตัดสินในเชิงลบอื่นๆออกมา คาดจะส่งผลลบรุนแรงต่อราคาหุ้นทั้งตัว PTT เองและตลาดโดยรวมดังนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนดังกล่าวในเชิงกลยุทธ์แล้วเราแนะนำ นักลงทุนให้ชะลอการลงทุน และรอฟังคำตัดสินที่ชัดเจนก่อน แต่สำหรับคำแนะนำในแง่ของพื้นฐาน เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ เป้าปี 51 ที่ 463 บาท
* บล.เอเซียพลัส : PTT แนะนำ ถือ Fair value 425.92 บาท
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ตลท.เตรียมขึ้นเครื่องหมาย H เพื่อห้ามซื้อขายหุ้น PTT เป็นการชั่วคราวระหว่างรอคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดกรณีมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคฟ้องเพิกถอน PTT ออกจากตลท.ในวันที่ 14 ธ.ค. 2550 อย่างไรก็ตามการพิจารณาขึ้นเครื่องหมายยังอยู่ระหว่างการหารือกับผู้บริหาร PTT ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่กดดันราคาหุ้น PTT ในขณะนี้ ซึ่งหากผู้บริหาร PTT มีความเห็นสอดคล้องกับทางตลท.ว่าจำเป็นต้องพักการซื้อขายชั่วคราวก็อาจจะขึ้นเครื่องหมาย H แค่ครึ่งวันเช้าในช่วงที่ศาลอ่านคำพิพากษา แต่หากการอ่านคำพิพากษาคาบเกี่ยวไปจนถึงช่วงบ่ายก็อาจจะต้องขึ้นเครื่องหมายห้ามการซื้อขายทั้งวัน (SP)
ทั้งนี้เหตุผลหลักของการขึ้นเครื่องห้ามการซื้อขายหุ้น PTT นั้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นโดยรวมในระหว่างรอคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุด อย่างไรก็ตามผู้บริหารตลท.จะร่วมติดตามและประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่าในระยะสั้นราคาหุ้น PTT จะยังถูกกดดันจากความไม่แน่นอนกับผลคำพิพากษาที่จะเกิดขึ้น จึงเน้นให้ลงทุนเมื่อมีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าวแล้ว
* สินเอเซีย เชื่อไม่โดนเพิกถอน แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 443 บาท
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล. สินเอเซีย ระบุว่า คำพิพากษาคดีเกี่ยวกับกับการแปลงสภาพและการแปรรูปทราบผลวันที่ 14 ธ.ค.นี้: ประเด็นสำคัญที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองสูงสุด คือ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาสองฉบับที่ตราขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 (พรบ. ทุนรัฐวิสาหกิจฯ) ในกระบวนการแปลงสภาพจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นบมจ. ปตท. จำกัด ซึ่งประกอบด้วยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 โดยมีรายละเอียดประเด็นฟ้องร้อง ได้แก่
1) กระบวนการตราพระราชกฤษฎีกาไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและเนื้อหาขัดต่อบทบัญญัติแห่งพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจฯ และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
2) การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับมีผลทำให้มีการโอนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้ ปตท. ที่มีฐานะเป็นเอกชน ทำให้ ปตท. ได้รับเอกสิทธิ์เหนือเอกชนทั่วไป
3) การที่ ปตท. ได้รับโอนอำนาจมหาชนของรัฐ ได้แก่ อำนาจเวนคืนที่ดิน อำนาจประกาศเขตและรอนสิทธิเหนือพื้นดินของเอกชนไม่สอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญ
4) การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับเป็นการใช้ดุลยพินิจไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
- คำพิพากษามีสองทางคือ เพิกถอน หรือไม่เพิกถอน:
- กรณีแย่ที่สุด คือพิพากษาเพิกถอน PTT กลับไปเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งมีผลให้ PTT ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไป
- แต่คาดว่า กรณีการเพิกถอน ไม่น่าเกิดขึ้น เนื่องจาก PTT ได้ชี้แจงว่า
1) การดำเนินแปลงสภาพของ PTT ตามพรบ.ทุนวิสาหกิจเป็นตามขั้นตอนอย่างถูกกฎหมาย
2) พระราชบัญญัติกิจการพลังงานมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 11 ธ.ค.50 ทำให้ประเด็นเรื่องอำนาจของ PTT เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจท่อก๊าซฯ หมดไป เนื่องจากการดูแลเรื่องการรอนสิทธิสร้างท่อก๊าซฯ การเวนคืนที่ดิน และอัตราค่าผ่านท่ออยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน นอกจากนี้ ที่ผ่านมา PTT จะต้องขออนุมัติจากรัฐบาลหากมีการวางแนวท่อต่างๆ อยู่แล้ว
- แต่ยังมีประเด็นกังวลเรื่องการโอนทรัพย์สิน สิทธิและประโยชน์ของท่อก๊าซฯ กลับคืนสู่รัฐ ซึ่งผู้ฟ้องร้องเห็นว่า กิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็นกิจการผูกขาดโดยธรรมชาติที่ สมควรดำเนินงานโดยรัฐ และ PTT ไม่ได้ดำเนินการแยกกิจการท่อส่งก๊าซฯ ตามเงื่อนไขการขายหุ้น IPO ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ตลาดฯ กังวลว่า อาจเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ PTT ต้องแยกกิจการท่อก๊าซฯ ออกมาเป็นบริษัทใหม่ หรือกรณีแย่สุด คือ โอนคืนท่อก๊าซฯให้กับรัฐบาลไป ซึ่ง PTT ได้ชี้แจงประเด็นนี้ว่า
สาเหตุที่กิจการท่อก๊าซยังไม่มีการแยกกิจการตามกฎหมายเพราะรอทิศทางนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีในปี 2546 ได้มีมติเห็นชอบการทบทวนการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า โดยให้ชะลอการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และเห็นชอบการปรับโครงสร้างไฟฟ้าในรูปแบบ Enhanced Single Buyer โดยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล ดังนั้นการดำเนินการแยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกจากกิจการจัดหาและจำหน่าย จึงได้ชะลอออกไป เพื่อพิจารณาปรับปรุงให้สอดคล้องกับทิศทางการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศ
ปัจจุบัน PTT ได้มีการแบ่งแยกทรัพย์สินท่อก๊าซฯ และผลการดำเนินงานทางบัญชีอยู่แล้ว ซึ่งการที่ PTT จะแยกท่อก๊าซฯ ออกมาตั้งเป็นบริษัทท่อก๊าซฯ PTT จะยังถือหุ้นอยู่ 100% แต่ยังมีปัญหาเรื่องภาระภาษีที่จะต้องเสียเมื่อต้องมีการแยกบริษัทออกมา ทำให้ PTT ต้องรอความชัดเจนทางด้านนโยบายรัฐบาลในด้านภาระภาษีก่อนที่จะดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซฯ จริง
กรณีแย่สุดที่กังวลว่าจะมีการโอนท่อก๊าซฯ กลับไปเป็นของรัฐฯ ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากพรบ.กิจการพลังงานที่ออกมาบังคับใช้ดังกล่าวข้างต้นจะควบคุมการดำเนินกิจการท่อก๊าซของ PTT อยู่แล้ว และรัฐบาลได้กำกับดูแลโครงสร้างราคา/ค่าผ่านท่อมาตลอด โดยยังไม่มีการปรับค่าผ่านท่อตั้งแต่ปี 45 อย่างไรก็ตาม หากประเมินเบื้องต้นตามกรณีแย่สุดนี้ คาดว่ามูลค่าหุ้นของ PTT จะลดลงไปประมาณ 67 บาท จากการโอนท่อก๊าซฯ กลับไปสู่รัฐฯ ซึ่งจะทำให้ราคาเป้าหมาย PTT ลดลงไปอยู่ที่ 376 บาท
คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 443 บาท จากวิธี Sum of the Parts
* ธนชาต แนะขาย PTT โยกเล่นหุ้น PTTEP ดีกว่า
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ธนชาต ระบุว่า PTT ใกล้ถึงวันตัดสินของศาลปกครอง ราคาหุ้นเมื่อวานเคลื่อนไหวในกรอบแคบด้วยปริมาณหุ้นเปลี่ยนมือลดน้อยลง ตลาดหลักทรัพย์ มีแนวคิดที่จะขึ้นเครื่องหมาย H คือพักการซื้อขาย ไม่เกิน 1 รอบ ในช่วงที่รอการตัดสินของศาลปกครอง ในวันที่ 14/12/50 นี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดโดยรวม นักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในคำตัดสินซึ่งอาจจะส่งผลลบต่อ PTT เราแนะให้นักลงทุนที่มีหุ้น PTT ขายออกไปก่อน แล้วเปลี่ยนมาซื้อ PTTEP เพื่อถือไว้แทน
* เกียรตินาคิน ชี้ กรณีเลวร้าย ราคาเหมาะสมจะสูงกว่า 347 บ.
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ให้รอผลการพิจารณาคดี PTT รอบสุดท้ายวันที่ 14 ธ.ค. 2550 นี้ที่จะมีการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด จากการที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค รวมกับพวก 5 คน เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง PTT ใน 2 กรณีคือ
1. ฟ้อง คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน
2. ขอให้มีการเพิ่มถอนพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.ฎ. กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ PTT พ.ศ. 2544 และ พ.ร.ฎ. กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็น บมจ. ปตท. ตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ)
ซึ่งหากศาลปกครองมีคำสั่งว่าการการแปรรูป PTT ไม่ถูกต้องและต้องเพิกถอน PTT ออกจากตลาด กระทรวงการคลังจะต้องใช้เงินกว่า 483,081 ล้านบาท ในการนำหุ้น PTT ออกจากตลาด หากพิจารณาเฉพาะสัดส่วนหุ้นที่ไม่ได้ถือโดยหน่วยงานของภาครัฐ (คิดเป็นสัดส่วน 31% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) ก็จะทำให้กระทรวงการคลังใช้เงินกว่า 312,189 ล้านบาท (คิดจากราคาปิดเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2550)
ทั้งนี้หากผลการตัดสินไม่จำเป็นต้องเพิกถอน PTT ออกจากตลาด แต่ความกังวลเกี่ยวกับกรณีธุรกิจท่อส่งก๊าซ ยังคงสร้างความกังวลอยู่ ซึ่งเราแยกการพิจารณาผลกระทบต่อระดับราคาที่เหมาะสมของ PTT หาก PTT ต้องแยกธุรกิจท่อส่งก๊าซฯ ออกมาตั้งบริษัทใหม่ ที่ถือหุ้นโดย PTT ทั้ง 100% จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น แต่จะมีค่าใช้จ่ายในการโอนสินทรัพย์ประมาณ 11,572 ล้านบาท หรือประมาณ 4.11 บาทต่อหุ้น
หากมีกรณีที่เลวร้ายกว่านั้น โดย PTT ไม่มีสิทธิในการบริหารธุรกิจดังกล่าว โดยต้องโอนท่อส่งก๊าซกลับคืนเป็นของรัฐ มูลค่าที่เหมาะสมจะลดลงเหลือ 347 บาท หรือหาก PTT ต้องคืนธุรกิจดังกล่าวให้รัฐ แต่ยังสามารถบริหารต่อได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับตกลงกับทางภาครัฐต่อไปในรายละเอียดของเงื่อนไข ซึ่งเราไม่สามารถประเมินผลกระทบต่อราคาหุ้นได้ แต่คาดว่าราคาที่เหมาะสมจะสูงกว่า 347 บาท ที่เป็นกรณีเลวร้ายที่สุด
* บิ๊ก KEST เชื่อศาลฯตัดสินคดี PTT อย่างรอบคอบ ไม่ฉุดบรรยากาศตลาดหุ้น
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEST) กล่าวว่า จากกรณีที่ในวันพรุ่งนี้ศาลปกครองสูงสุดจะมีการพิจารณาเพิกถอนบมจ.ปตท.(PTT) จากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ศาลจะมีการตัดสินและพิจารณาอย่างรอบคอบและคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนหลังจากที่ตลท.มีการขึ้นเครื่องหมาย H เพื่อให้นักลงทุนได้รอดูข้อมูลที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจลงทุน
" ศาลก็คงจะมีการพิจารณาในประเด็นต่างๆอย่างรอบคอบ เพราะท่านเป็นผู้มีความรอบรู้ซึ่งคิดว่าตลาดฯก็คงจะไม่มีความเสี่ยงมากนัก ซึ่งไม่อยากให้ความคิดเห็นมากกว่านี้"นายมนตรี กล่าว
อย่างไรก็ตามกรณีของ PTT มีความแตกต่างกับกรณีของกฟผ.และคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อบรรายากาศการลงทุน แต่หากศาลสั่งให้เพิกถอน PTT ออกจากการเป็นบจ.ในตลท.จะทำให้ภาครัฐต้องหาเงินมูลค่ากว่า 3-5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาซื้อหุ้น PTT คืนจากผู้ถือหุ้น
"ถ้าหากทางภาครัฐซื้อหุ้น PTT ในราคาจอง 35 บาท นักลงทุนที่เข้ามาซื้อเมื่อต้นปีก็จะแบกรับขาดทุน ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อตลาดทุนไทย และมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ"นายมนตรี กล่าว
นายมนตรี กล่าวว่า ในปี 2551ประเมิน SET INDEX ไว้ที่ 1,200 จุด หากปัจจัยทางการเมืองนิ่งและมีเสถียรภาพ ขณะเดียวกันพีอีของตลาดหุ้นไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำคงจะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติได้ แต่ในไตรมาสที่ 1/2551 หลังจากเลือกตั้งคงจะทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น ซึ่งดัชนีฯน่าจะปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,000 จุด อย่างไรก็ตามเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังคงมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นไทยเพราะตลาดหุ้นไทยยังมีพีอีต่ำ ส่วนธุรกิจที่น่าจะได้รับความสนใจและมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดีคือ ท่องเที่ยว และธุรกิจยานยนต์ โดยเฉพาะโครงการอีโคคาร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
* ASL เชื่อ PTT ไม่ถูกเพิกถอน เหตุกระทบตลาดหุ้นวงกว้าง
นายสุรพล ขวัญใจธัญญา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) (ASL) กล่าวว่า ในการตัดสินคดีบมจ.ปตท(PTT) ของศาลปกครองสูงสุดคงจะไม่ถูกเพิกถอนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างแน่อนอน เพราะศาลคงจมีการพิจารณาคดีอย่างรอบคอบ นอกจากนี้หากตัดสินในบริษัทฯดังกล่าวเพิกถอนออกจากตลท.จะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในวงกว้าง นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติยังไม่ชอบนโยบายของภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่มีความแน่นอน
"PTT เป็นบริษัทจดทะเบียนที่อยู่มานานมีมาร์เก็ตแคปค่อนข้างใหญ่ ซึ่งหากมีการเพิกถอนก็จะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนค่อนข้างมากจึงเชื่อว่าคงจะไม่ถูกเพิกถอนและบรรยากาศการลงทุนก็น่าจะดีด้วยหากคำตัดสินเป็นบวก"นายสุรพล กล่าว
เขากล่าวว่า หากปัจจัยทางการเมืองมีเสถียรภา ปตท. ไม่ถูกเพิกถอนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลท. รวมทั้งปัญหาซับไพร์มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น คงจะส่งผลให้ SET INDEX ในปี 2551 แตะระดับ 1000 จุด
* บิ๊กADVANC มั่นใจ PTT ไม่ถูกถอนออกจากตลาดหุ้น ระบุถ้าออกกระทบเชื่อมั่น นลท.
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) กล่าวว่า ศาลปกครองสูงสุดคงไม่เพิกถอนให้บมจ. ปตท. (PTT) ออกจากตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเชื่อว่าหากถูกถอดออกจะทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของการลงทุนในประเทศประกอบกับ PTT เป็นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่
"ถ้าไปเปลี่ยนแปลงก็น่าจะไปเปลี่ยนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จะทำให้กระทบความเชื่อมั่นการลงทุนประกอบกับมาร์เก็ตแคปของปตท.ก็ใหญ่ถ้าถอดออกไปก็น่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นฯ" นายวิเชียร กล่าว
* บลจ.ธนชาต เชื่อ PTT ไม่โดนศาลฯ สั่งออกจากตลาดฯแน่
นางตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า บริษัทฯยังไม่มีแผนการที่จะขายหุ้นบมจ.ปตท.(PTT) ออกมา เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดทางบริษัทฯได้ถือหุ้น PTT อยู่ที่ 15%
สำหรับแนวโน้มคดีแปรรูปในวันพรุ่งนี้ประเมินว่าน่าจะมีแนวโน้มออกมาได้ดี เนื่องจากหากทาง PTT ต้องถูกถอดถอนออกจากตลาดหุ้นจะส่งรุนแรงต่อบรรยากาศการลงุทนเป็นอย่างมาก เนื่องจากหุ้น PTT เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติรู้จักและเลือกที่จะลงทุนเป็ส่วนใหญ่
" หากผลการตัดสินนั้นออกมาในแง่บวก เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง และคาดว่าจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนเข้ามาอีกครั้งหลังจากถูกคดีแปรรูปเป็นปัจจัยการกดันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา"