อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/11/07

โพสต์ที่ 241

โพสต์

รูดปรื๊ดสิ้นปี1.9แสนล. กสิกรชี้ตลาดไม่คึกคัก

โพสต์ทูเดย์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ยอดใช้บัตรเครดิตปลายปีไม่อู้ฟู่ แม้จะมีเทศกาลปีใหม่ เลือกตั้ง และ ฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ยังโตได้ 12%


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยรายงาน โค้งสุดท้ายบัตรเครดิตปี 2550 : กระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไตรมาส 4 ฝ่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 194,410 ล้านบาท ขยายตัว 12.38%

อย่างไรก็ตาม ปริมาณยังคงต่ำกว่าที่เคยขยายตัว 15.34% ในไตรมาส 4 ปี 2549 ทั้งที่มีปัจจัยบวกที่น่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต อาทิ เทศกาลของขวัญและฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค. 2550 ซึ่งน่าจะมีผลต่อดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค


สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 188,500 ล้านบาท ขยายตัว 10.23% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2549 ซึ่งชะลอลงจากการขยายตัวที่ 17.31% (มีมูลค่า 636,113 ล้านบาท) ในปี 2549

สำหรับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 3 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 176,419 ล้านบาท โดยขยายตัว 12.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่มีการเติบโต 13.38%

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบคือการปรับขึ้นของราคาน้ำมันที่ขึ้นมาอยู่ระดับสูง ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต การขนส่งที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20% มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2550 และการปรับขึ้นการชำระ ขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2550 จะมีส่วนสำคัญที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีระดับรายได้ปานกลางถึงล่าง และผู้บริโภคที่มียอดคงค้างชำระสินเชื่อบัตรเครดิตที่สูง

สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า โดยรวมยังมีปัจจัยที่น่ากังวล อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ปัจจัยเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อลดลงได้ ทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ทิศทางการแข่งขันธุรกิจบัตรเครดิต อย่างในช่วงที่เหลือของปี 2550 โดยผู้ประกอบการบัตรเครดิตจะเน้นการทำตลาดร่วมกับพันธมิตร อาทิ ห้างสรรพสินค้า สายการบิน โรงแรม และร้านค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Stores) มากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204016
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/11/07

โพสต์ที่ 242

โพสต์

กสิกรไทยคาดผลประกอบการแบงก์ปีหน้าฟื้น เตือนปัจจัยเสี่ยงราคาน้ำมัน

20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11:38:00

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดแนวโน้มผลประกอบการธนาคาพาณิชย์ทั้งระบบปีหน้าสดใส-ภาระกันสำรองลดลง เตือนปัจจัยเสี่ยงราคาน้ำมัน ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก อาจกระทบการดำเนินธุรกิจ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ในปี 2550 นักวิเคราะห์ต่างคาดหมายว่าผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ชะลอตัวลง หลังจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทยมีกำไรสุทธิลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 75.5 จากการกันสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ของธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ที่เพิ่มขึ้นมาก

ขณะที่ในปี 2551 ธนาคารพาณิชย์ไทยถูกคาดหมายว่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นด้วยอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นจากปี 2550 หลายเท่าตัว เนื่องจากภาระการกันสำรองจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งสินเชื่อน่าจะเติบโตเร่งขึ้นตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) สูงกว่าร้อยละ 3.32 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

ทั้งนี้ ในปี 2551 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะมีการรายงานผลประกอบการที่สดใสขึ้น จากภาระการกันสำรองที่จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่การดำเนินธุรกิจจะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจไทยเผชิญหลากหลายปัจจัยเสี่ยง อาทิ ปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังความต้องการสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนคุณภาพหนี้

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังอาจต้องเตรียมตัวรับมือกับสภาพคล่องจะตึงตัวมากขึ้น หลังจากที่เงินฝากบางส่วนอาจไหลออกไปสู่ตลาดทุน เพื่อแสวงหาอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า รวมทั้งอาจมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะทยอยลดวงเงินคุ้มครองลง ผนวกกับความจำเป็นในการระดมเงินฝากเพื่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารแต่ละแห่งที่มีเหตุผลเฉพาะแตกต่างกัน อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ โดยเฉพาะจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีโอกาสปรับขึ้นเร็วกว่าที่คาด และอาจปรับขึ้นก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์ไทยยังต้องประสบกับภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ซึ่งตัวแปรต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้การรักษาความสามารถในการทำกำไรมีความซับซ้อนมากขึ้นในปี 2551 โดยภายใต้สภาวะดังกล่าว ธนาคารพาณิชย์ที่มีศักยภาพทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการวางกลยุทธ์ธุรกิจในระยะปานกลางและระยะยาวได้ดีกว่า จะรักษาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าได้ในอนาคต
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=203932
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/11/07

โพสต์ที่ 243

โพสต์

กลุ่มแบงก์สัญญาณไม่ดี Q4กำไรหดสำรองเพิ่ม

หุ้นธนาคารพาณิชย์เริ่มออกอาการไม่ดี ไตรมาส 4 ส่อแววกำไรลดลงเกือบยกกลุ่ม เพราะต้องตั้งสำรองเงินลงทุนใน CDO เพิ่ม หลังมูลค่าเงินลงทุนลดลงตามวิกฤติซับไพร์มที่ยังไม่ยุติ ขณะที่แบงก์ชาติหวั่นปัญหาบานปลาย สั่งแบงก์พาณิชย์เปลี่ยนวิธีบันทึก CDO ใหม่ หันมายึดตามเกณฑ์ IAS39 แทน พร้อมให้รายงานผลความเคลื่อนไหวทุกระยะ ด้านโบรกเกอร์แนะจับตา KTB BBL BAY และ BT ได้รับผลกระทบมากสุด

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารพาณิชย์ที่มีพอร์ตการลงทุนอยู่ในตราสารหนี้อ้างอิงสินทรัพย์(CDO) จำเป็นต้องตั้งเงินสำรอง CDO ตามธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่ต้องตั้งสำรองเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้

ทั้งนี้ เนื่องจากมองว่า หากแนวโน้มปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ(SUB-Prime) ทั่วโลกยังมีอยู่ต่อเนื่อง แม้ว่าธนาคารพาณิชย์ที่ลงทุนใน CDO จะไม่ได้ลงทุนในส่วนของ SUB-Prime ก็ตาม แต่การตั้งเงินสำรองดังกล่าว ก็ถือเป็นการสะท้อนภาวะปัจจุบันที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงนับว่าเป็นเรื่องปกติที่ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องตั้งเงินสำรองนี้

ทั้งนี้ หากอนาคตธนาคารที่มี CDO ในพอร์ตลงทุน จำเป็นตั้งเงินสำรองจริง ยอมรับว่าไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปี 2550 หรือจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2551 เพราะขึ้นอยู่กับโมเดลของแต่ละธนาคารที่เข้าไปลงทุนด้วยว่า ผลการประเมินในการลงทุนออกมาในลักษณะใด ควรที่จะตั้งเงินสำรองหรือไม่อย่างไร ซึ่งในส่วนนี้ต้องรอดูผลออกมาอีกครั้ง ที่สำคัญ เชื่อว่าหากตั้งเงินสำรองจริง ก็น่าจะเป็นแบบทยอยมากกว่า เช่นเดียวกับกรณี KTB ที่ไม่ได้ตั้งเงินสำรองนี้หมดในระยะเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการทำกำไรของธนาคารที่มี CDO อยู่ในพอร์ตการลงทุนนั้น มองว่าน่าจะกระทบต่อการทำกำไรธนาคารพอสมควร แต่ไม่สามารถประมาณการได้ว่า แต่ละธนาคารกำไรลดลงมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ จะกระทบต่อหุ้นธนาคารที่มี CDO ในพอร์ตการลงทุนหรือไม่นั้น เรื่องนี้ มองว่าจะกระทบทางจิตวิทยาระยะสั้น

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับกรณีธนาคารพาณิชย์ที่เข้าไปลงทุนในCDO นั้น ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าว ขณะนี้ได้มีบางธนาคารที่ตั้งเงินสำรอง CDO ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปลงทุนใน SUB-Prime ก็ตาม

ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ที่เข้าไปลงทุนในตราสารนี้ ที่เหลือจะมีการตั้งเงินสำรองตามหรือไม่นั้น ซึ่งเรื่องนี้ยอมรับว่า การตั้งเงินสำรอง CDO ขึ้นอยู่กับแวร์ลู่ของ CDO ลดลงมากน้อยแค่ไหน หากลงไม่มากก็เป็นไปได้ว่าธนาคารที่มี CDO อยู่ในพอร์ตการลงทุน ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งเงินสำรอง CDO ขึ้นอีก แต่หากปัญหา SUB-Prime ยังผันผวนอยู่และไม่มีความชัดเจนว่าจะสรุปผลอย่างไร ก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารพาณิชย์ของไทยที่ลงทุนใน CDO จำเป็นต้องตั้งเงินสำรอง เนื่องจากปัญหา SUB-Prime ส่งผลไปยังส่วนอื่นด้วย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าโอกาสที่ธนาคารพาณิชย์ที่มี CDO อยู่ในพอร์ตการลงทุน จะต้องตั้งเงินสำรองมีมาก และไม่สามารถยืนยันได้ว่าการตั้งเงินสำรองนี้จะต้องตั้งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หรือจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2551 เนื่องจากผลตอบแทนของตราสารหนี้ดังกล่าวของแต่ละธนาคาร ยังไม่ออกมาชัดเจนนัก ที่สำคัญ การตัดสินใจตั้งสำรองนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคารเป็นหลักด้วย

สำหรับธนาคารที่คาดว่าจะต้องตั้งเงินสำรอง CDO ขึ้นในอนาคตนั้น มองว่าอาจจะกระทบต่อการทำกำไรของธนาคารบ้าง แต่เป็นการกระทบที่ไม่มากนัก โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL หากจำเป็นต้องตั้งเงินสำรองขึ้นจริง ก็จะกระทบไม่มาก เพราะว่าสัดส่วนการลงทุนใน CDO มีน้อยมาก ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เช่นเดียวกัน หากตั้งเงินสำรองในส่วนของกำไรธนาคารมีโอกาสที่จะกระทบ แต่คงไม่มาก

ทั้งนี้ ในส่วนของผลกระทบที่จะเกิดกับตัวหุ้นธนาคารนี้ เห็นว่าเป็นเพียงผลระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว และจะมองเรื่องของการเติบโตของษธนาคารช่วงปี 2551 เป็นหลักมากกว่า

ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกประกาศ เพิ่มความเข้มงวดในการลงทุนตราสาร Collateralized Debt Obligation(CDO) ของธนาคารพาณิชย์ โดยออกประกาศหลักเกณฑ์การทำธุรกรรมและการบริหารความเสี่ยงเพิ่มเติม มีผลตั้งแต่ 16 พ.ย.นี้

ในสภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้น ธปท.จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ตระหนักถึงการที่จะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับการทำธุรกรรมดังกล่าวอย่างรัดกุม" ธปท.ระบุถึงเหตุผลในการออกประกาศดังกล่าว

ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวกำหนดให้ ธนาคารพานิชย์จะต้องจัดประเภทเงินลงทุน การบันทึกบัญชี และการประเมินมูลค่ายุติธรรมสำหรับธุรกรรม CDO ตามมาตรฐานบัญชีสากล หรือ IAS39 แทนมาตรฐานการบัญชีไทย เพราะ IAS39 มีความเข้มงวด และสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงได้ชัดเจนกว่า

"ขณะนี้ ธนาคารของไทยยังมีการใช้มาตรฐานทางบัญชีของไทยมาตีความเพื่อรองรับการทำธุรกรรม CDO ซึ่งเราเห็นว่าไม่เหมาะ และไม่สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงเท่ากับ IAS39 จึงได้กำหนดให้มีมาตรฐานทางบัญชีที่ชัดเจนขึ้น" เจ้าหน้าที่ธปท.ที่เกี่ยวข้องกับการออกประกาศฉบับนี้ กล่าว

โดย ธปท.กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ จะต้องใช้มาตรฐานทางบัญชีใหม่ สำหรับธุรกรรม CDO ที่ได้ลงทุนไปแล้ว ตั้งแต่งวดบัญชี 1 ม.ค.51 ส่วนในงวดบัญชี 31 ธ.ค.50 ธนาคารพาณิชย์จะต้องแสดงข้อมูลการลงทุนใน CDO รวมทั้งผลกระทบที่มีต่องบการเงินและเงินกองทุนจากการใช้เกณฑ์ตามประกาศใหม่นี้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย

นอกจากนี้ประกาศดังกล่าว ยังกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีเงินกองทุน หลังจากหักด้วยผลขาดทุนของการประเมินราคายุติธรรมของธุรกรรม CDO ไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 8.5% สำหรับธนาคารไทย และ 7.5% สำหรับสาขาของธนาคารต่างประเทศ จึงจะสามารถทำธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มเติมได้ และการประเมินราคาดังกล่าวต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยหากมีเงินลงทุนในธุรกรรม CDO เกินกว่า 1% ของสินทรัพย์รวม จะต้องคำนวณราคา แต่หากน้อยกว่านั้น ให้ทำอย่างน้อยทุกสิ้นเดือน

เมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ธปท.ระบุว่า มีธนาคารพาณิชย์ของไทย 4 แห่ง ที่ลงทุนใน CDO มูลค่ารวม 715 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนลงทุนราว 0.6% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของ 4 ธนาคาร ขณะที่การลงทุนใน CDO ที่อ้างอิงกับซับไพร์ม มีไม่ถึง 0.1% ขณะที่บล.กสิกรไทย ระบุว่า ธ.ไทยธนาคาร(BT) ลงทุนใน CDO ราว 420 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย ธ.กรุงไทย(KTB), ธ.กรุงศรีอยุธยา(BAY)และ ธ.กรุงเทพ ( BBL)
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/11/07

โพสต์ที่ 244

โพสต์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ย้ำ เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าได้อีก แนะรัฐบาลใหม่+ธปท. หามาตรการรับมือบาทแข็ง

Posted on Wednesday, November 21, 2007

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกรายงานแบบยล่าสุด ระบุว่า แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากหลากหลายปัจจัยลบนอกเหนือไปจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงของสหรัฐแล้ว ยังมีผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อซับไพร์ม และวิกฤตสภาพคล่องในตลาดการเงินที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับแนวโน้มความซบเซาต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ซึ่งจะมีผลให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจออกเป็นวงกว้าง

ดังนั้น ในท้ายที่สุด พฤติกรรมหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและการระบายธุรกรรม Carry Trade ของนักลงทุน แนวโน้มการปรับลดสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในทุนสำรองระหว่างประเทศ และความเป็นไปได้ที่จะมีการยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ของกลุ่มประเทศในอ่าวเปอร์เชีย

ดังนั้น เมื่อำพิจารณาจากปัจจัยกกดันเหล่านี้ กระแสการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง และอาจสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินสกุลหลักตลอดจนสกุลเงินในภูมิภาคซึ่งรวมถึงเงินบาท ต้องปรับแข็งค่าขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถือเป็นผลกระทบทางตรงที่เกิดขึ้นกับภาคส่งออกของไทย และเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายในการรักษาเสถียรภาพให้กับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกของไทย

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังส่งผลข้างเคียงให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการโยกย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนออกจากสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เข้าสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางด้านพลังงานได้ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านต้นทุนการผลิต ค่าขนส่ง ตลอดจนค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นการรับมือกับการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญของเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐบาลใหม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปีหน้า
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/11/07

โพสต์ที่ 245

โพสต์

บจ.แห่ออกหุ้นกู้ในปท. ซับไพรม์ทำตปท.ป่วน

โพสต์ทูเดย์ สมาคมตราสารหนี้ประเมินปีหน้า บจ.ออกหุ้นกู้ 1.6 แสนล้าน ต่ำกว่าปีนี้ขายเกือบ 2 แสนล้าน หลังซับไพรม์ป่วน บจ.หันมาขายในประเทศแทนขายนอก


นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า สมาคมได้ประเมินหุ้นกู้ภาคเอกชนในปี 2551 คาดว่าจะมีการออกและเสนอขายประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ได้คำนวณรวมหุ้นกู้ที่จะมีการออกทดแทนของเดิมอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าปีนี้ ที่มีการออกเสนอขายหุ้นกู้เกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.6 แสนล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้ปีนี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้จำนวนมาก เนื่องจากรับผลทางอ้อมจากปัญหาซับไพรม์ ทำให้ บจ.เปลี่ยนแผนจากการออกหุ้นกู้ขายในต่างประเทศมาเสนอขายในประเทศแทน แต่สถานการณ์หุ้นกู้ ในปีหน้าอาจไม่ได้มากเท่ากับปีนี้ เนื่องจาก บจ.ประเมินว่าปีหน้าดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้เร่งออกหุ้นกู้ตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้แล้ว ซึ่งเป็นระยะที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำสุด

ในปี 2551 ประเมินว่า บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้ตลาดตราสารหนี้เป็นช่องทางในการระดมทุนมากกว่าการตลาดทุน เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังซบเซาและการกู้ยืมเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยในระดับสูง

สำหรับปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐ คาดว่ายังเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จากการประเมินมูลค่าผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ทั้งระบบรอบนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 2-4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่ปัจจุบันขนาดของปัญหาที่พบยังมีสัดส่วนไม่มากเพียง 10% ของมูลค่าที่ประเมิน โดยคาดว่าอีก 90% จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในสหรัฐ ตั้งแต่กลางปีหน้าเป็นต้นไป

ขณะเดียวกันสหรัฐยังประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว จากปัญหาราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ประเทศอื่นในโลกต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งไทยด้วย

เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้นจะทำให้ผู้ลงทุนไทย ซึ่งไม่มีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงดีพอ เช่น ไม่มี Interest rate Future ทำให้ต้องป้องกันความเสี่ยงตัวเองด้วยการหันมาเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นแทนระยะยาว 7-10 ปี ซึ่งจุดนี้จะกระทบต่อกระทรวงการคลัง ซึ่งแต่ละปีจะออกตราสารหนี้ อาจทำให้ไม่เป็นที่สนใจของผู้ลงทุนมากนัก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204966
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/11/07

โพสต์ที่ 246

โพสต์

แบงก์ต้องฝ่าวิกฤติอีกรอบ น้ำมัน สถาบันประกันเงินฝาก ปัจจัยกดดัน โดย กระแสหุ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เผย ธุรกิจแบงก์พาณิชย์ปีหน้าไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้ทิศทางผลประกอบการเป็นบวกก็ตาม เนื่องจากเชื่อว่าในปีหน้า แบงก์พาณิชย์ไทยมีโอกาสเผชิญความซับซ้อนของปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งน้ำมัน พ.ร.บ.การเงินต่างๆรวมไปถึงการย้ายฐานเงินฝากของลูกค้า ทำให้การแข่งขันธุรกิจดังกล่าวมีเพิ่มขึ้นสูงแน่นอน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า แม้ในปี 2551 ธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะมีการรายงานผลประกอบการที่สดใสขึ้น จากภาระการกันสำรองที่คงจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่การดำเนินธุรกิจคงจะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจไทยที่เผชิญหลากหลายปัจจัยเสี่ยง อาทิ ปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังความต้องการสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ไทย ตลอดจนคุณภาพหนี้

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังอาจต้องเตรียมตัวรับมือกับโอกาสที่สภาพคล่องจะตรึงตัวมากขึ้น หลังจากที่เงินฝากบางส่วนอาจไหลออกไปสู่ตลาดทุน เพื่อแสวงหาอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า รวมทั้งอาจมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อการบังคับใช้สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะทยอยลดวงเงินคุ้มครองลง

ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวผนวกกับความจำเป็นในการระดมเงินฝากเพื่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารแต่ละแห่งที่มีเหตุผลเฉพาะแตกต่างกัน ก็อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ โดยเฉพาะจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีโอกาสปรับขึ้นเร็วกว่าที่คาด และอาจปรับขึ้นก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์ไทยยังต้องประสบกับภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจ SMEs และธุรกิจสินเชื่อรายย่อย

อย่างไรก็ตาม ตัวแปรต่างๆเหล่านี้ คงจะทำให้การรักษาความสามารถในการทำกำไรมีความซับซ้อนมากขึ้นในปี 2551 ทั้งนี้ ภายใต้สภาวะดังกล่าว ธนาคารพาณิชย์ที่มีศักยภาพทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการวางกลยุทธ์ธุรกิจในอนาคต

ช่วงปี 2551 คงไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ แน่นอน เพราะเชื่อว่าในปีหน้าธนาคารพาณิชย์ไทยมีโอกาสเผชิญความซับซ้อนของปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์จากทางการ และด้านที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจโดยตรง ศูนย์วิจัยฯรายงาน

ทั้งนี้ แม้ในช่วงที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ต่างคาดหมายว่าผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไทยปี 2551 จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นจากปี 2550 หลายเท่าตัว เนื่องจากภาระการกันสำรอง IAS39 จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งสินเชื่อน่าจะเติบโตเร่งขึ้น ตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) สูงกว่า 3.32%ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

สำหรับในปี2550 นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไทย จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ชะลอตัวลง หลังจากที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย มีกำไรสุทธิลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 75.5% จากการกันสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ของธปท. อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประเด็นด้านผลประกอบการปีหน้ามองว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยคงจะต้องตอบโจทย์และหาทางรับมือกับปัจจัยท้าทายการดำเนินงานอีกหลากหลายประการ ซึ่งล้วนแล้วแต่จะส่งผลกระทบและเป็นตัวแปรกำหนดความอยู่รอดของธุรกิจต่อไปในอนาคต ศูนย์วิจัยฯ รายงาน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานอีกว่า สำหรับปัจจัยลบที่คาดว่าจะมีผลต่อการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ประกอบด้วย ความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งศูนย์วิจัยฯมองว่า ในกรณีที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยปี 2551 เพิ่มขึ้นจากกรณีพื้นฐานที่ 78.3 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล มาที่ 88.34-98.34 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล (ซึ่งจะรองรับความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันอาจขึ้นไปสูงถึง 103-113 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในช่วงระหว่างปี) ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2551 อาจลดลงต่ำกว่า 4.6% ซึ่งน่าจะทำให้สินเชื่อดีของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยขยายตัวไม่เกิน 7%

ปัจจัยที่สอง คือ ด้านการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์จากทางการ ทั้งในเรื่องของหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนใหม่ Basel II แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่สอง ร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน และรวมทั้งการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม ทั้งนี้ มองว่ากฎเกณฑ์ดังกล่าวที่น่าจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ การจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งขึ้นอยู่กับรายละเอียดของร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของ สนช.ว่าจะแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ รวมทั้ง ระยะเวลาที่ สนช.จะผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้นำออกมาใช้

ทั้งนี้ สำหรับผลกระทบเบื้องต้น แม้ว่าในปีแรกที่มีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และมีการทยอยลดการคุ้มครองเงินฝากลง โดยอาจจะมาอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน ผู้ฝากเงินส่วนใหญ่คงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะจำนวนบัญชี 70.991 ล้านบัญชีจากจำนวนบัญชีทั้งสิ้น 70.995 ล้านบัญชี หรือเงินฝากจำนวน 79.2% ของทั้งหมด จะยังคงได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนอยู่ แต่ก็อาจมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อผู้ฝากเงินได้

ดังนั้น ลูกค้าบุคคลที่มีเงินฝากจำนวนมาก ซึ่งอ่อนไหวต่อความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทน ทำให้มีโอกาสเกิดการโยกย้ายเงินออมบางส่วนไปสู่ช่องทางการออมอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเงินฝาก หรือผลิตภัณฑ์ของธนาคารอื่นที่มีอัตราผลตอบแทนดีกว่า อันอาจส่งผลกระทบต่อฐานเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดิมบ้าง

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวธนาคารพาณิชย์คงจะต้องทำการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าของตน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเงินออมไว้ได้ในอนาคต

ปัจจัยลบสุด คือ ด้านที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจโดยตรง นอกจากธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อแล้ว คาดว่าในปี 2551 ธนาคารพาณิชย์ไทยคงจะต้องเผชิญความซับซ้อนจากการดำเนินงานด้านอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ การบริหารจัดการสภาพคล่อง การระดมเงินฝากของสถาบันการเงินตามความจำเป็นทางธุรกิจ และ การเคลื่อนย้ายของเงินฝาก เนื่องจากประเด็นความมั่นคง หลังการบังคับใช้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก

สำหรับปี 2551 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอาจมีแนวโน้มตรึงตัวมากขึ้น นอกจากจะเป็นเพราะการขยายสินเชื่อที่คงจะเร่งขึ้นแล้ว ยังเป็นเพราะมีปัจจัยระบายสภาพคล่องเพิ่มเติมหลายประการ คือ
ประการแรก การไหลออกของเงินฝากไปยังผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน เนื่องจากความแตกต่างของอัตราผลตอบแทน โดยแนวโน้มการออกตราสารหนี้จากภาครัฐจำนวนมาก

ดังนั้นจากนี้ไปจนถึงปี 2551 คาดว่าจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้น และรักษาความได้เปรียบเหนืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการไหลออกของเงินฝากไปยังตลาดกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงพันธบัตรออมทรัพย์ของภาครัฐที่ยังคงมีกำหนดการออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเกือบทั้งปี 2551

ประการที่สอง การระดมเงินฝากของสถาบันการเงินตามความจำเป็นทางธุรกิจ โดยขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ไทยที่ประกอบด้วยธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีแข่งขันได้มากขึ้น จึงทำให้ธนาคารทั้งสองกลุ่มจำเป็นต้องเร่งระดมเงินฝาก เพื่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ และออกผลิตภัณฑ์เงินฝากแบบพิเศษ

ประการที่สาม การเคลื่อนย้ายของเงินฝาก เนื่องจากประเด็นความมั่นคง หลังการบังคับใช้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก อาจมีผลกระทบทางจิตวิทยาภายหลังจากการประกาศใช้กฎหมาย โดยผลทางจิตวิทยาดังกล่าว อาจกระตุ้นให้ผู้ฝากเงินที่มีเงินออมเกินกว่าวงเงินที่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก อาจพิจารณาโยกย้ายเงินออมไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเงินฝาก ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการบริหารสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/11/07

โพสต์ที่ 247

โพสต์

อย่าเหวี่ยงแหเล่นหุ้นแบงก์- ซื้อได้เป็นรายตัว KBANK BBL BAY

กิมเอ็ง โกลเบล็ก เห็นตรงกันหุ้นแบงก์ยังเล่นได้ แต่ให้เลือกรายตัว เน้นธนาคารใหญ่พื้นฐานแกร่ง ไม่มีปัญหาซับไพร์มรบกวน BBL KBANK BAY ส่วน BT เจอมรสุมซับไพร์มอ่วม ทุกรายแนะขาย หวั่นภาระสำรองหนัก มูลค่าบัญชีลดวูบ


บล.กิมเอ็ง ออกบทวิเคราะห์มีมุมมองกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่า แนะนำให้เลือกลงทุนเป็นรายตัว เช่น BBL KBANK BAY เพราะเป็นธนาคารที่มีพื้นฐานแกร่งและโอกาสเติบโตสูง แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ ธปท.จะให้ใช้เกณฑ์บันทึกการด้อยค่าของ CDO ตามมาตรฐานสากลปัจจุบันคือ IAS 39 ย่อมส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะในธนาคารที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยง

นักวิเคราะห์ของบล.กิมเอ็ง ก็ยังมีมุมมองเป็นบวก ต่อกลุ่มแบงก์ใหญ่ เชื่อว่าแนวโน้มของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จะปรับดีขึ้นในปี 2551 ทั้งการขยายสินเชื่อ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (margins)

ส่วนแบงก์อื่น เช่น ไทยธนาคาร BT และ ธนาคารกรุงไทย KTB กิมเอ็งมีความเห็นว่า มีโอกาสได้รับผลกระทบสูงสุด จากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของ CDO เพราะธปท.กำหนดให้แบงก์พาณิชย์ทุกรายประเมินมูลค่ายุติธรรมของการลงทุนในตราสาร CDO อย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานการบัญชีไทยที่เกี่ยวข้อง แต่ขณะนี้ยังไม่มีมาตรฐานบัญชีดังกล่าวให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในปัจจุบันคือ IAS 39 และให้นำผลขาดทุนสุทธิจากการประเมินฯไปหักออกจากเงินกองทุนที่คำนวณได้ ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดที่ 8.5% และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่งวดบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 51

สำหรับ BT จัดเป็นธนาคารที่ลงทุนใน CDO สูงสุด จึงเป็นแบงก์ที่มีความเสี่ยงสูง แม้จะตั้งสำรองไปแล้วบางส่วน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 ไทยแบงก์มียอดการลงทุนใน CDO อยู่ที่ 360 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 6% ของยอดสินทรัพย์รวม และเป็นการลงทุนในซับไพร์ม ประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และสำรองไปแล้ว 68 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.3 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการตั้งสำรองเพียง 19%

ดังนั้นบล.กิมเอ็ง จึงมองว่า ไทยแบงก์ ยังมีความเสี่ยงต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นภายใต้เกณฑ์ใหม่ของธปท. เนื่องจากภาวะความผันผวนของตลาดเงินทั่วโลก อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่า CDO ดังนั้นจึงมองว่า BT มีความเสี่ยงในการลงทุน

ส่วน เคทีบี ซึ่งมีมูลค่าลงทุนใน CDO สูงเป็นอันดับ 2 ประมาณ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 5.5 พันล้านบาทคิดเป็น 0.4% ของสินทรัพย์รวม โดย CDO ดังกล่าวมีเรทติ้งระดับ BBB และปัจจุบันราคาลดลงประมาณ 20-30% ของมูลค่าลงทุน ดังนั้นเคทีบีจึงมีความเสี่ยงสูงต้องตั้งสำรองประมาณ 1.1 -1.6 พันล้านบาท ซึ่งถ้าใส่สำรองในไตรมาส 4 จะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 50 ลดลงประมาณ 16% และมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมลดลงจาก 13.20 บาท ต่อหุ้นเป็น 12.80 บาทต่อหุ้น

นักวิเคราะห์จากบล.กิมเอ็ง จึงแนะนำให้เปลี่ยนตัวเล่นจาก เคทีบี ไปยังแบงก์ใหญ่ เช่น KBANK และ BBL เพราะแบงก์กรุงเทพฯ ตั้งสำรองไปแล้วประมาณ 23% ของมูลค่าลงทุน จากการลงทุนใน CDO ประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.7 พันล้านบาท คิดเป็น 0.1% ของสินทรัพย์รวม โดย CDO ดังกล่าวมีเรทติ้งระดับ AA และมีการตั้งสำรองไปแล้ว 383 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23% ของมูลค่าลงทุนทำให้ประเมินว่า BBL มีความเสี่ยงต่ำต่อการตั้งสำรอง จากมูลค่าลงทุนที่ต่ำ และ CDO ที่ลงทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือสูง

สำหรับแบงก์กรุงศรีอยุธยาฯ BAY มีโอกาสตั้งสำรองเช่นกัน จากมูลค่า CDO ที่ลดลงแล้วประมาณ 8% จากการลงทุนประมาณ 85 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.9 พันล้านบาท คิดเป็น 0.4% ของสินทรัพย์รวม โดย CDO ดังกล่าวมีเรทติ้งระดับ A ปัจจุบันราคาลดลง 8% ของมูลค่าลงทุน ส่งผลให้ต้องตั้งสำรอง ประมาณ 230 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในประมาณการเดิมตั้งสำรองทั้งปี 13,000 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรก BAY สำรองไปแล้ว 11,730 ล้านบาท ดังนั้นจากอันดับความเชื่อถือที่สูงของ CDO ประกอบกับฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่ง กิมเอ็ง จึงเชื่อว่า BAY ไม่ได้รับผลกระทบที่มีนัยสำคัญตามเกณฑ์ใหม่ของธปท.

ด้านบล.โกลเบล็ก มีความเห็นให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นธนาคารพาณิชย์ เป็นรายตัวเช่นกัน เช่น KBANK SCB SCIB และแนะนำขาย BT ที่ราคาเหมาะสมปี 51 ที่ 1.65 บาท เพราะ BT เป็นแบงก์ที่รับผลกระทบการลงทุนใน CDO มากสุด

ดังนั้นจึงมองว่าแบงก์ต้องตั้งสำรองด้อยค่าเพิ่มเติม อีกราว 1.6 -4.2 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อใส่ลงไปแล้วรวมในประมาณการทำให้มูลค่าบัญชีปี 51 ของ BT ลดลงไปอีกจากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.95 บาทต่อหุ้น เป็น 1.65 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาเหมาะสมปี 51 จึงแนะนำ ขาย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/11/07

โพสต์ที่ 248

โพสต์

BLS+DBSV+TMBMQ แนะเก็บหุ้น TISCO+KBANK เข้าพอร์ต รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

Posted on Thursday, November 22, 2007

หลังจากตัวเลขสินเชื่อเดือนตุลาคม เติบโต 0.7% จากเดือนกันยายนก่อนหน้า และขยายตัว 3.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดย KTB (+1.5%MoM) SCB (+1.2%MoM) และ KBANK (+1.1%MoM) ยังคงรายงานการขยายตัวของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง สินเชื่อที่ขยายตัวดี คือ สินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อย ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อ มีการเติบโตของสินเชื่อสูงเช่นกัน

ล่าสุด ฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเกอร์ส (DBSV) ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรพัย์ บล.ทีเอ็มบี แมคควอรี่ (TMBMQ) และ บล.บัวหลวง (BLS) ไกด้ออกงานวิจัย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ โดยฉวยโอกาสที่ราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์?ปรับอ่อนตัวลงจากแรงขายปรับพอร์ตของกองทุน เก็บหุ้นเข้าพอร์ต

โดย DBSV บอกว่า การที่ยอดการปล่อยสินเชื่อเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีความน่าสนใจมากขึ้น จากหลบายเหตุผลด้วยกัน ประการแรก สินเชื่อในไตรมาสสุดท้ายจะเติบโตสูง เพราะเป็น High season โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อย ประการที่สอง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ตามต้นทุนการเงินที่ลดลง ประการที่สาม รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูง และประการสุดท้าย การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญลดลงมาก ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า สินเชื่อในปีหน้า จะขยายตัวเพิ่มเป็น 8.9% จาก 5.8% ในปีนี้

และยิ่งราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปรับอ่อนตัวลงตลอด 1 -2 สัปดาห์ที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากความกังวลปัจจัยภายนอก คือ วิกฤติซับไพร์มสหรัฐ และการ
ด้อยค่าของเงินลงทุนใน CDOs จึงถือได้ว่า " ควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Qverweight) " และใช้จังหวะนี้ทยอยซื้อลงทุน เนื่องจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอกข้างต้นมีจำกัด เพราะการลงทุนใน CDOs ของธนาคารพาณิชย์ไทยน้อยมาก ๆ

สำหรับหุ้น Top picks ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประกอบด้วย KBANK (แนะนำซื้อ ราคาตามพื้นฐาน 104 บาท อิงกับ PBV ปี 51 ที่ 2.2 เท่า), BBL (แนะนำซื้อ ราคาตามพื้นฐาน 147 บาท อิงกับ PBV ปี 51 ที่ 1.55 เท่า) และ KTB (แนะนำซื้อ ราคาตามพื้นฐาน 14.9 บาท อิงกับ PBV ปี 51 ที่ 1.55 เท่า)

ส่วน SCIB ปรับคำแนะนำเป็นถือ จากเดิม Fully Valued

ขณะที่ TMBMQ ชี้ว่า การที่ยอดสินเชื่อเติบโตสูงขึ้นในเดือนตุลาคม ประกอบกับการเติบโตของทั้งการนำเข้าและส่งออกในเดือนตุลาคม แนวโน้มการฟื้นตัวของตัวเลขค้าปลีก การจัดเก็บ VAT ที่สูงขึ้น และยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น
ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวหลังจากเผชิญปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอด 12 - 18 เดือนที่ผ่านมา

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า แม้ในปีหน้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ TMBMQ โดยเฉพาะกลุ่มแมคควอรี่ ยังเชื่อมั่นว่า การมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในวันที่ 23 ธันวาคม จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจมากขึ้น ช่วยฟื้นภาวะการบริโภค และการลงทุนในประเทศ และลดผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออก ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาศรษฐกิจสหรัฐได้

ดังนั้น TMBMQ ยังคงยืนยันคำแนะนำ " Overweight " หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไทยเมื่อเทียบกับตลาดไทยโดยให้ KBANK เป็น Top pick เนื่องจากมี valuation ที่เหมาะสม ที่หุ้นละ 95 บาท และการที่ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปรับตัวลงมานั้นทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาในระดับที่น่าลงทุน เช่นเดียวกับ BAY ที่เพิ่งปรับเพิ่มนำหนักการลงทุน จากระดับ " Neutral " เป็น " Outperform " หลังราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า 20% จากจุดสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา โดยให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 28 บาท

สำหรับกลุ่มธนาคารเล็ก แม้ว่าการที่อัตราดอกเบี้ยน่าจะแตะระดับที่ต่ำที่สุดแล้วนั้นจะทำให้ส่วนต่าดงอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ (NIMs) ของกลุ่มธนาคารเล็กชะลอการขยายตัวลง แต่ TMBMQ ไม่คิดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นจนกว่าจะถึงปลายปีหน้า โดยในกลุ่มธนาคารเล็ก TISCO มีธุรกิจหลักทรัพย์และจัดการกองทุน ซึ่งน่าจะทำให้ธนาคารได้รับประโยชน์จากกิจกรรมการลงทุนในประเทศที่น่าจะฟื้นตัวขึ้นจากนักลงทุนในประเทศในช่วงที่มีการเลือกตั้ง โดยมีราคาเหมาะสม ที่ 34 บาท รองลงไปเป็น KK ซึ่งมีราคาเหมาะสม 38 บาท

สำหรับ BLS บอกว่า การที่ยอดสินเชื่อสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม มาจากปัจจัยหลักเนื่องจากการปรับตัวของสถานการณ์ทางการเมืองที่ดีขึ้น และจากปัจจัยฤดูกาลในภาคส่งออก ทำให้เชื่อมั่นว่า สินเชื่อจะเติบโตต่อเนื่องใน 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ โดยธนาคารที่เน้นสินเชื่อผุ้บริโภค ซึ่งได้แก่ TISCO TCAP และ SCB คาดว่าจะมีการเติบโตสินเชื่อสูงสุดตามการฟื้นตัวของความเชื่อมั่น ตามด้วยธนาคารที่เน้นสินเชื่อ SMEs เช่น KBANK

ทั้งนี้ BLS ยังคงยืนยัน " ซื้อ " หุ้น SCB KBANK TISCO และ TCAP โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 98 บาท 97 บาท 37 บาท และ 20.50 บาท ตามลำดับ เหมือนเดิม
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/11/07

โพสต์ที่ 249

โพสต์

อนุมัติต่างชาติถือบาท เลิกคุมปล่อยแบงก์ลุย

โพสต์ทูเดย์ ธปท.เลิกห่วง เก็งกำไรบาท เปิดทางสถาบันการเงินซื้อตราสารหนี้สกุลบาทจาก ต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น


นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหนังสือแจ้งต่อธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐให้สามารถลงทุนซื้อพันธบัตรและหุ้นกู้สกุลเงินบาทที่ออกขายโดยนิติบุคคลที่ถิ่นฐานในต่างประเทศได้ทุกประเทศ ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ ให้มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. ปีนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ ธปท.ได้ออกมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท จึงอนุญาตให้ซื้อพันธบัตรและหุ้นกู้สกุลเงินบาทได้เฉพาะที่ออกและขายโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ สถาบันการเงินของรัฐบาลในต่างประเทศ หรือนิติบุคคลในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลี และจีน เท่านั้น

การปรับปรุงมาตรการนี้ เท่า กับเป็นการเปิดทางให้ตลาดเงินบาทมีการซื้อขายที่กว้างขวางมากขึ้น หลังจากที่ได้จำกัดการถือครองเงินบาทของนักลงทุนต่างชาติ และ เป็นการสร้างกลไกตลาดเงินบาท ให้มีการแข่งขันที่สมบูรณ์ ลดภาระของรัฐในการแทรกแซง หากเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือน ก.ค. กระทรวงการคลังอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างชาติ 6 ราย ระดมทุนเป็นเงินบาทได้ 2.7 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205178
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/11/07

โพสต์ที่ 250

โพสต์

จี้ธปท.เลิก30% หวั่น29บ./เหรียญ

โพสต์ทูเดย์ นักวิชาการกดดัน ธปท.ยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ปลดล็อกเงินลงทุน


นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง กล่าวในงานสัมมนา เสถียรภาพ เศรษฐกิจและการเงินไทยบนกติกาใหม่ : โอกาสหรือ กับดัก? จัดโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ (มธ.) ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% เพราะทำให้เกิดตลาดเงิน 2 ตลาด ส่งผลให้ค่าเงินในตลาด ต่างประเทศ (ออฟชอร์) แข็งค่ามากกว่าตลาดในประเทศ (ออนชอร์) กดดันให้เงินบาทแข็ง ตลอด และยังเป็นอุปสรรคในการค้าระหว่างประเทศ เพราะทำให้นักลงทุนสับสน เนื่องจากการกำหนดราคาตามมาตรฐานบัญชีให้ยึดตามราคาออฟชอร์

นอกจากนั้น การคงไว้ยังสร้างปัญหาให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการเงินลงทุนจากต่างชาติ

นายพิสิฐ กล่าวว่า การดูแลค่าเงินบาทของ ธปท.ที่เข้าแทรกแซงตลอด ทำให้ทุนสำรองสะสมเพิ่ม ซึ่งในอนาคตอาจสร้างปัญหา เพราะภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็สะสมทุนสำรองเช่นกัน

นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคารไทยธนาคาร กล่าวว่า ค่าเงินบาทจะแข็งค่าไปอยู่ในระดับ 29-31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลดลงได้อีก 0.5-1%

นายอัมพร แสงมณี ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการกันสำรอง 30% เป็นมาตรการระยะสั้น จะยกเลิกเมื่อเหมาะสม ขณะนี้ระดับค่าเงินบาทยังสามารถแข่งขันกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งได้

การดูแลจะไม่ทำให้การสะสมทุนสำรองเพิ่มขึ้นสร้างปัญหา เพราะมีนโยบายการบริหารทุนสำรองที่ชัด มีผลตอบแทนค่อนข้างดี นาย อัมพร กล่าว

นายพรชัย ชุนหจินดา ศาสตราจารย์ภาควิชาการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ. กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงคือ นักลงทุนมีการโยกย้ายเงินผ่านระบบธนาคารที่ทำธุรกรรมนำเงินออกทั้งในรูปเงินสด, โลหะมีค่า, การถ่ายโอนกำไร และการออกใบกำกับสินค้าที่บิดเบือน ซึ่งวิธีนี้จะมีมากในอนาคต

ด้านนายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน กล่าวว่า ขณะนี้มีนักวิเคราะห์ เริ่มมองว่าราคาน้ำมันอาจจะไปถึง 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาทองคำที่ 840 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ทองคำในประเทศอาจจะอยู่ที่ 1.3-1.4 หมื่นบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205176
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/11/07

โพสต์ที่ 251

โพสต์

พันธบัตรฮิต ลุ้น2หมื่นล.

โพสต์ทูเดย์ พันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ 8 หมื่นล้านฮิต วันเดียวยอดจองทะลุ 6 หมื่นล้าน เหลือแค่ 2 หมื่นล้าน จองได้ที่ออมสิน-กรุงเทพ- กรุงไทย-ซิตี้แบงก์-เอสเอชบีซี-นครหลวงไทย


นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการ สำนักบริหารธุรกิจและการเงิน สายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า วันแรกของการเปิดจองพันธบัตรออมทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟูฯ) พบว่ามียอดจองผ่านธนาคารพาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง ถึง 6 หมื่นล้านบาทแล้ว จากจำนวนที่นำออกมาจำหน่าย 8 หมื่นล้านบาท

นางพวงทิพย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่า ยังมีพันธบัตรออมทรัพย์เหลือให้ประชาชนและนักลงทุนที่สนใจจองซื้อได้อีกที่ธนาคาร 5 แห่ง ประกอบด้วยธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารซิตี้แบงก์ และธนาคารเอสเอชบีซี ซึ่งน่าจะยังมีเหลือให้จองได้อีกจำนวนหนึ่ง หรือจนกว่าจะถึงวันที่ 29 พ.ย. นี้

ข้อมูลจากธนาคารพบว่า คำสั่งจองของนักลงทุนและประชาชนนั้นจองซื้อกันกว่า 1 หมื่นราย เฉลี่ยยอดซื้อรายละ 5 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท จากพันธบัตรทั้งหมด 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับได้ดีพอสมควร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เพราะช่วงนี้ไม่มีแรงซื้อจากผู้ออมเงิน นางพวงทิพย์ กล่าว

นางพวงทิพย์ กล่าวอีกว่า ธปท.พยายามกระจายขายพันธบัตรให้แก่รายย่อยให้มากที่สุด ส่วนกรณีที่มีการร้องเรียนว่าไปรอตั้งแต่เช้าแต่ไม่สามารจองได้ทันนั้น คาดว่าโควตาของแต่ละธนาคารที่กระจายไปยังสาขาต่างๆ คงจะหมดจริงๆ

ทั้งนี้ วงเงินพันธบัตรของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ยังเหลืออีก 5 หมื่นล้านบาทนั้น ในปีนี้จะไม่มีการนำออกขายแน่นอน ส่วนปีหน้าจะออกขายหรือไม่นั้น ต้องประเมินภาพรวมของภาวะตลาดอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม กองทุนฟื้นฟูฯ ยืนยันว่า การออกพันธบัตรของกองทุนฯ ไม่ได้เป็นตัวเร่งให้ธนาคารพาณิชย์ระดมแย่งเงินฝาก หรือเร่งให้ปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น เพราะตามหลักดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นจะมีการระดมเงินฝากเพิ่มหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของธนาคารนั้นเอง ไม่เกี่ยวกับพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ เพราะจากการประเมินก่อนออกขาย ยืนยันว่าไม่มีผลต่อตลาดและอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์กองทุนฟื้นฟูฯ ที่นำออกมาจำหน่ายนั้นอายุ 2 ปี จ่ายผลตอบแทน 4.20% อายุ 4 ปี จ่ายผลตอบแทน 4.65% กำหนดการจองซื้อขั้นต่ำรายละ 5 หมื่นบาท

ทั้งนี้ ในวันแรกที่จำหน่ายปรากฏว่า หลายสาขา หลายธนาคารจำหน่ายได้หมดในเวลาไม่ถึง 10 นาที บางสาขาสามารถขายให้แก่ ผู้ที่มาเข้าคิวจองซื้อแค่ 10-20 รายเท่านั้น

ธนาคารกรุงเทพ แจ้งว่า ได้รับจัดสรรพันธบัตร 1.88 หมื่นล้านบาท ในวันแรกมีประชาชนมาจองซื้อพันธบัตรแล้ว 77% ในจำนวนนี้เป็นพันธบัตรอายุ 2 ปี ถึง 60% ที่เหลือจองซื้ออายุ 4 ปี

นายโสฬส สาครวิศว ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารการเงิน ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า มียอดจองซื้อเข้ามาแล้วกว่า 99% จากที่ได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 5.28 พันล้านบาท โดยลูกค้าสามารถจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้ที่สาขาทั่วประเทศ และคาดว่าจะสามารถจำหน่ายได้หมดอย่างแน่นอน เพราะมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน

นายวีระนันท์ ชื่นสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเครือข่ายการขายและให้บริการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า พันธบัตรที่ได้รับจัดสรรมา 1.1 หมื่นล้านบาท ขายหมดแล้ว โดย 60% เป็นยอดพันธบัตรอายุ 2 ปี

ธนาคารไทยพาณิชย์ แจ้งว่า มีลูกค้าจองซื้อเต็มจำนวนในวันเดียวจากยอดที่ได้รับจัดสรร 1.15 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205179
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/11/07

โพสต์ที่ 252

โพสต์

สั่งนันแบงก์แบค่าธรรมเนียม

โพสต์ทูเดย์ ธปท.คุมเข้มสั่งนันแบงก์แจ้งอัตราค่าธรรมเนียมดอกเบี้ย ค่าปรับที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ก่อน ตัดสินใจ ภายใน 14 ธ.ค. นี้


นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีหนังสือแจ้งบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นันแบงก์) ทุกแห่งให้รายงานข้อมูลค่าใช้จ่ายในการชำระเงินอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียมใดๆ ของสินเชื่อบุคคลต่อ ธปท.และผู้บริโภค เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนตัดสินใจ

ก่อนหน้านี้ ธปท.ให้สถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องรายงานเฉพาะอัตราค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยที่เป็นที่สนใจของประชาชนผู้บริโภค ผ่านทางเว็บไซต์ของ ธปท.มาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2549 แต่ยังไม่ครอบคลุมในเรื่องสินเชื่อบุคคลรายย่อยและบริการอื่นๆ ที่นันแบงก์ทำธุรกิจ

ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้ นันแบงก์ที่อยู่ภายใต้กำกับทั้งหมดต้องส่งข้อมูลมาให้ ธปท.ภายในวันที่ 14 ธ.ค. ปีนี้ เพื่อที่ ธปท.จะได้จัดการเผยแพร่ต่อ ผู้บริโภคต่อไป

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้นันแบงก์ต้องแจ้งอัตราที่เปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมใดๆ ให้ ธปท.ทราบภายใน 3 วัน หรือภายในวันที่ค่าธรรมเนียม หรือดอกเบี้ย มีผลบังคับใช้ แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน

แหล่งข่าว ธปท. เปิดเผยว่า สาเหตุที่ต้องออกหนังสือสั่งให้ผู้ประกอบการต้องรายงานข้อมูล หรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราค่าบริการต่างๆ เพราะที่ผ่านมาธุรกิจนันแบงก์ทั้งในส่วนที่เป็นสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตมีการคิด ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องค่าหักบัญชี ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินผ่านคู่ค้า หรือช่องทางการรับจ่ายเงิน ค่าธรรมเนียมของจุดให้บริการ ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินผ่านทางเคาน์เตอร์ธนาคาร ค่าธรรมเนียมในการปล่อยกู้ ค่าธรรมเนียมในการเบิกหรือกดเงินสดผ่านทางตู้เอทีเอ็ม ค่าธรรมเนียมทางศาล หรือการติดตามทวงหนี้ ทำให้ผู้บริโภคมีภาระที่เพิ่มขึ้น

นันแบงก์มีช่องทางการบริการที่น้อยกว่าธนาคารมาก และมักใช้ช่องทางอื่นๆ ที่มีผู้ลงทุนอยู่แล้วเพื่อพันธมิตร ทางธุรกิจ แล้วกำหนดอัตราต่างๆ ตามสัญญา โดยโยนภาระไปให้ผู้บริโภคเป็น ผู้รับภาระตั้งแต่ 5-20 บาท ซึ่งหากดูต่อรายต่อธุรกรรมอาจดูน้อย แต่หากเทียบปริมาณรวมแล้วปีหนึ่งๆ นับร้อยล้านบาทที่ผู้บริโภคต้องรับภาระ จึงต้องให้รายงาน แหล่งข่าวเปิดเผย

ปัจจุบันมูลค่ายอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการบริโภคอุปโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ในประเทศและสาขาต่างประเทศ รวมถึงสินเชื่อเงินสดของนันแบงก์มีมูลค่าประมาณ 3.13 แสนล้านบาท ขยายตัว 9.75% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนั้นมีประมาณ 50.2% ที่เป็นสินเชื่อเงินของนันแบงก์ที่ประชาชนต่างใช้บริการ เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ง่ายกว่าการกู้ยืมจากธนาคาร

ธปท.แจ้งว่า ข้อมูลสิ้นเดือน ก.ย. ธุรกิจนันแบงก์มีสำนักงานทั้งประเทศรวม 563 แห่ง เทียบกับปี 2549 ที่มีอยู่ 483 แห่ง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205384
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/11/07

โพสต์ที่ 253

โพสต์

พันธบัตรกองทุนฯเฉา เหลืออีก1.4หมื่นล้าน

โพสต์ทูเดย์ พันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ แผ่วเปิดจองวันที่ 2 ยอดเพิ่มเพียง 6 พันล้านบาท ธปท.จัดสรรให้ 11 แบงก์ขายตามสาขา


นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการ สำนักบริหารธุรกิจและการเงิน สายจัดการกองทุนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ยอดจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินล่าสุดวันที่ 23 พ.ย. ซึ่งเป็นวันที่สองของการเปิดจอง ซึ่งมียอดจองเพิ่มขึ้นจากวันแรก 6 พันล้านบาท ทำให้ยอดจองรวมอยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านบาท เหลืออีก 1.4 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนั้นเป็นผู้จองถึง 2.5 หมื่นรายทั่วประเทศ โดยในวันที่ 2 รายย่อยจองซื้อเพิ่ม 1.5 หมื่นราย ธนาคารออมสินมีรายย่อยขอซื้อมากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่ารายย่อยมีผู้สนใจออมเงินด้วยการลงทุนในพันธบัตรมาก

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีพันธบัตรเหลือให้ประชาชนที่สนใจจองซื้อได้อีกจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท จากยอดที่เปิดขายทั้งสิ้น 8 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนได้จองซื้ออย่างกระจายและทั่วถึงมากขึ้น จึงได้ประสานงานกับธนาคารให้กระจาย ยอดจองออกไปให้ทั่วทั้ง 11 ธนาคาร หลังจากนี้ประชาชนสามารถจองซื้อพันธบัตรที่เหลือตามสาขาธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง

ทั้งนี้ ยอดจองทั้งหมดมีสัดส่วนการจองซื้อพันธบัตรอายุ 2 ปี สัดส่วน 55% และจองซื้อพันธบัตรอายุ 4 ปี สัดส่วน 45% ซึ่งพันธบัตรอายุ 2 ปี ให้อัตราดอกเบี้ย 4.20% และพันธบัตรอายุ 4 ปี ให้อัตราดอกเบี้ย 4.65%

แม้ยอดจองที่วันที่สองจะแผ่วลง แต่น่าจะเกิดจากการที่มีข่าวออกไปว่าพันธบัตรหมดแล้ว และบางสาขาก็ขายหมดไปแล้ว ทำให้คนเข้าใจว่าไม่เหลือแล้ว แต่เรายังเชื่อว่าจะขายได้หมดก่อนวันที่ 29 พ.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเปิดจองแน่ นางพวงทิพย์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205380
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/11/07

โพสต์ที่ 254

โพสต์

นันแบงก์จับมือสู้ลูกหนี้หวังแก้ไขหนี้นอกระบบ

โพสต์ทูเดย์ นันแบงก์ผนึกกำลัง รวมกลุ่มตั้งชมรมแก้สารพัดปัญหา ภารกิจแรกแก้ไขหนี้นอกระบบ


นายภารไดย ธีระธาดา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท จีอี มันนี่ กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นันแบงก์) ได้รวมกลุ่มตั้งชมรมสินเชื่อบุคคล (คอนซูเมอร์ ไฟแนนซ์) เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา จุดประสงค์เพื่อเป็นตัวกลางในการรวบรวมข้อเสนอแนะสู่หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การติดตามหนี้ ข้อเสนอเกี่ยวกับภาษี

สำหรับภารกิจสำคัญประการแรกของชมรม คือ การแก้ไขการให้กู้เงินนอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหามาตลอด ซึ่งนายหน้าเงินกู้นอกระบบนิยมปล่อยกู้โดยอ้างอิงกับนันแบงก์ ผ่านวิธีการให้ลูกค้ามาผ่อนสินค้าโดยขอสินเชื่อเงินผ่อนกับนันแบงก์ แล้วนำสินค้าชิ้นนั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ทีวี นำไปให้กับนายหน้า เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดแทน วิธีนี้จะทำให้ลูกค้ามีภาระดอกเบี้ยที่สูงกว่าการไปกู้เงินโดยตรง เพราะนายหน้าเงินกู้นอกระบบเหล่านี้มักเรียกดอกเบี้ยที่แพงกว่า อีกทั้งยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกด้วย

นายภารไดย กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาจะเริ่มจากการรวบรวมข้อมูล ซึ่งต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสมาชิกชมรมสินเชื่อบุคคล โดยจะประสานความร่วมมือไปยังนันแบงก์ ธนาคารพาณิชย์ ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ด้วย

ทั้งนี้ สมาชิกเบื้องต้น ประกอบด้วย นันแบงก์ 4 แห่ง คือ บริษัท จีอี มันนี่ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ บริษัท เซทเทเลม และบริษัท อีซี่บาย โดยวางแผนว่าจะประชุมกันไตรมาสละ 1 ครั้ง และคาดว่าจะมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากผู้ให้บริการสินเชื่อในระบบขณะนี้มีจำนวนหลายราย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205683
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/11/07

โพสต์ที่ 255

โพสต์

รื้อกฎหมายสถาบันการเงินสกัดต่างชาติฮุบหุ้น49%

โพสต์ทูเดย์ สนช. แก้ พ.ร.บ.สถาบันการเงินอีกรอบ เปิดต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49% แต่ต้องขออนุญาต


นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. ... กล่าวว่า กมธ.เห็นชอบให้แก้ไขเนื้อหาประเด็นการถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ของนักลงทุนต่างชาติ จาก 25% เป็น 49% ตามร่างเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่จะต้องขออนุญาตจาก ธปท.และกระทรวงการคลังก่อน

นายสมชาย กล่าวว่า นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. ตัวแทนของ ธปท.ใน กมธ. ไม่ได้ขัดข้อง เพราะมองว่ามีข้อดีที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถขยายการถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ โดยไม่จำเป็นต้องให้มีปัญหาทางฐานะการเงินก่อน สอดคล้องกับแนวทางของร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่เปิดให้ต่างชาติ ถือหุ้นในธุรกิจไทยได้ 49%

สำหรับสาเหตุที่ กมธ.ไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้ต่างชาติถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์แบบอัตโนมัติ 49% เพราะต้องการให้ ธปท.มีอำนาจตรวจสอบต่างชาติที่จะเข้ามาถือหุ้นว่า มีศักยภาพ และมีประสบการณ์จริงหรือไม่

เชื่อว่าเกณฑ์นี้จะไม่กระทบ การเข้ามาลงทุนของต่างชาติ หรือ ทำให้เข้าใจผิดว่าเราปิด นายสมชาย กล่าว

นอกจากนี้ กมธ.ยังมีการแก้ไขสัดส่วนที่นักลงทุนต่างชาติจะถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ได้สูงสุด จากไม่เกิน 5% ต่อราย เป็น 10% ต่อราย และให้ต่างชาติถือหุ้นในสถาบันการเงินไทยได้ 100% เฉพาะกรณีที่เข้าไปดำเนินการฟื้นฟูกิจการเท่านั้น

สนช.ยังได้ผ่อนปรนโทษ และความรับผิดชอบของผู้บริหารสถาบันการเงินในหลายกรณีให้ เบาลงจากร่างที่ ธปท. และกระทรวงการคลังเสนอมา โดยเฉพาะความรับผิดชอบของผู้บริหารในลำดับต่างๆ ในกรณีที่มีการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริต เช่น โทษทั้งจำทั้งปรับ ให้ใช้ในกรณีที่รุนแรงเท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205876
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/11/07

โพสต์ที่ 256

โพสต์

ล่อใจลดค่างวดให้50%

โพสต์ทูเดย์ ตลาดเช่าซื้อรถสะเทือน ธนาคารไทยเครดิตเขย่าวงการ ซื้อรถผ่อนค่างวดไม่ได้ จ่ายแค่ 50% ไร้ค่าปรับ ที่เหลือมีเมื่อไหร่ค่อยเอามาจ่ายใน 4 ปี


นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย กล่าวว่า ธนาคารได้ออกโปรโมชันใหม่ โดยลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะเสียอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และได้สิทธิพิเศษ สามารถขอลดค่างวดได้สูงสุดถึง 50% โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ และไม่ผิดสัญญาแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าข่ายได้รับโปรโมชันดังกล่าวต้องมีเงินดาวน์อย่างต่ำ 30% ผ่อนชำระ 48 งวด พร้อมกับแจ้งความประสงค์ขอเข้าโครงการหลังจากทำสัญญากู้เงินเรียบร้อยแล้ว สามารถเลือกผ่อนชำระค่างวดในอัตราปกติ หรือมากกว่าปกติก็ได้ ถ้าต้องการให้ค่างวดหมดเร็ว

ถ้าลูกค้าขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์วงเงิน 7 แสนบาท ผ่อน 48 งวด งวดละ 1.4 หมื่นบาท งวดไหนขาดสภาพคล่อง ขอจ่ายค่างวดไม่เต็ม 1.4 หมื่นบาท ก็ได้ แต่ต้องจ่ายขั้นต่ำ 7 พันบาท ส่วนเงินค่างวดส่วนที่ยังไม่ได้ชำระจะชำระเมื่อไหร่ก็ได้ ภายใน 4 ปี นับจากวันที่ทำสัญญา นายมงคล กล่าว

สำหรับอัตราดอกเบี้ยแบบ ลดต้นลดดอกจะขึ้นอยู่กับเงินดาวน์ ถ้าเป็นรถยนต์ดาวน์ 10% ดอกเบี้ย 6.8-7.75% ถ้าดาวน์ 25% ดอกเบี้ย 5-5.40% ซึ่งน้อยกว่าดอกเบี้ยแบบคงที่มาก

รถปิกอัพ และรถตู้ ถ้าดาวน์ 10% ดอกเบี้ย 6.95-7.95% ถ้าดาวน์ 25% ดอกเบี้ย 5.25-5.65%

นายมงคล กล่าวว่า ที่ผ่านมาสินเชื่อเช่าซื้อเข้มงวดมาก ถ้าต้องจ่ายงวดละ 1.4 หมื่นบาท ก็ต้องจ่ายเต็มจำนวน แต่โปรโมชันนี้จะยืดหยุ่น มีมากจ่ายมาก มีน้อยจ่ายน้อย ตอบสนองความต้องการลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า ซึ่งบางเดือนขายของได้มาก ในขณะที่บางเดือนขายของได้น้อย รวมถึงมนุษย์เงินเดือนด้วย

นายมงคล กล่าวว่า ถือเป็นธนาคารแรกที่ให้บริการลดค่างวด 50% ซึ่งธนาคารไม่มีปัญหาในการบริหารเงิน เพราะลูกค้าต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าจะเข้าโครงการ

สำหรับโปรโมชันนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค. 2551 โดยคาดว่าจะมีสินเชื่อเข้ามา 100 ล้านบาทขึ้นไป จากปัจจุบันมีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 500 ล้านบาท และในปีหน้าตั้งเป้าหมายเติบโตอีก 1 เท่าตัว หรือประมาณ 1 พันล้านบาท

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เปิดเผยว่า การลดค่างวด 50% คงไม่เหมาะกับตลาดเช่าซื้อรถยนต์เท่าใดนัก เพราะลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์จะเป็นผู้ที่มีกำลังซื้อ และคงไม่คิดจะจ่ายค่างวดแบบนี้ ถ้าใครออกโปรโมชันนี้ เท่ากับเป็น การยอมรับว่า จะมีลูกค้าที่อาจมีปัญหาในการผ่อนชำระเข้ามา ซึ่ง อาจกลายเป็นดาบสองคม เพราะถ้าลูกค้ามีปัญหาก็ต้องยึดรถ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205871
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/11/07

โพสต์ที่ 257

โพสต์

แบงก์ใหญ่รีเทิร์นเก็งเฟดลดดอกKBANK-SCBเด่น

ถึงรอบหุ้นแบงก์ใหญ่รีเทิร์น นักลงทุนเริ่มกลับมาไล่ซื้อหลังราคาดิ่งแรงกว่า 10% พ่วงเก็งกำไรเฟดลดดอกเบี้ย 11 ธ.ค.นี้ แนะเลือกเฟ้นลงทุนเป็นรายตัว KBANK SCB BBL เด่น เหตุไม่ต้องวิตกปัญหาเงินลงทุนในซีดีโอหรือซับไพร์ม ให้ราคาเป้าหมาย 97 บาท 91 บาท 147 บาทตามลำดับ


"กระแสหุ้นรายวัน" ตรวจสอบความเห็นของนักวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าช่วงนี้ถึงจังหวะที่จะกลับมาลงทุนได้อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงร่วม 10% อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์แนะนำให้เลือกลงทุนเป็นรายตัว โดยหุ้นที่น่าสนใจคือกลุ่มที่ไม่ได้เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้อ้างอิงสินทรัพย์(ซีดีโอ)หรือซับไพร์ม เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงเรื่องการตั้งสำรอง ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) และธนาคารกรุงเทพ(BBL)ที่แม้จะมีเงินลงทุนในซีดีโอ แต่ได้ตั้งสำรองไปเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้หุ้นแบงก์กลุ่มดังกล่าวยังได้รับผลบวกจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนที่เข้ามาซื้อหุ้นในตลาดเพราะคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ซึ่งนอกจากจะทำให้จิตวิทยา(เซนติเม้นท์)ของตลาดดีขึ้นแล้ว ยังเป็นผลบวกโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ด้วย เพราะการลดดอกเบี้ยดังกล่าวจะชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศลดดอกเบี้ยลงตาม ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงตามด้วย ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงก็จะช่วยกระตุ้นการขอสินเชื่อของธนาคารให้ขยายตัวสูงขึ้นด้วย

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวถึงแรงซื้อที่เข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ช่วงนี้ว่า เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงกว่า 10% ช่วงก่อนหน้านี้ โดยหุ้นกลุ่มนี้ที่มีความโดดเด่นมากที่สุดคือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีผลการดำเนินงานเติบโตจากปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ของ KBANK จะทรงตัวจากไตรมาส 3 ที่มีกำไรสุทธิ 3.41 พันล้านบาท และ BBL จะทรงตัวจากไตรมาส 3 เช่นกัน ที่มีกำไรสุทธิ 5.1 พันล้าน เนื่องจากทั้งสองธนาคาร ยังไม่มีปัจจัยหรือรายได้พิเศษเสริมเข้ามาในไตรมาสนี้ ขณะที่ SCB จะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ลดลงจากไตรมาส 3 ที่มีกำไรสุทธิ 5.3 พันล้าน หลังจากในไตรมาสสุดท้ายนี้ไม่มีรายได้จากเงินปันผลของกองทุนวายุภักษ์

ส่วนผลประกอบการสิ้นปี KBANK-BBL-SCB จะมีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากทั้งสามธนาคารมีรายได้จากฐานสินเชื่อที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และต้นทุนการเงินปรับลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก อีกทั้งรายได้จากค่าธรรมเนียมก็ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสามธนาคารมีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้น

โดย KBANK จะมีกำไรสุทธิในสิ้นปีอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิ 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วน BBL จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท และ SCB จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิ 1.3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ แนะนำให้ซื้อ KBANK-BBL-SCB เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดการณ์ว่าหากในปีหน้าภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ก็จะยิ่งช่วยให้ทั้งสามธนาคารมีรายได้จากสินเชื่อปรับเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นธนาคารที่มีพื้นฐานแกร่งจึงได้เปรียบกว่าคู่แข่งรายเล็กเป็นอย่างมาก โดยประเมินราคาพื้นฐานปี 51 ของ KBANK อยู่ที่ 97 บาท BBL 147 บาท และ SCB 91 บาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/11/07

โพสต์ที่ 258

โพสต์

บัวหลวง-ใบโพธิ์ติด 1 ใน 100 สุดยอดแบงก์เอเชีย

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 พฤศจิกายน 2550 07:18 น.
 The Asian Banker จัดอันดับธนาคารดีที่สุดของเอเชีย เผยแบงก์กรุงเทพ-ไทยพาณิชย์-สแตนชาร์ต เข้า 1 ใน 100 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยบัวหลวงพุ่งจากอันดับที่ 107 เป็น 70 ใบโพธิ์จาก 145 เป็น 95 ขณะที่กรุงศรีอยุธยา-ทหารไทย-ไทยธนาคารร่วงลงท้ายตาราง ระบุธนาคารพาณิชย์ไทยปรับตัวเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินงานได้ดี ห่วงยูโอบี-ทหารไทย-ไทยธนาคารต้นทุนดำเนินงานสูงเกินไป
     
      นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า The Asian Banker ได้รายงานถึงการจัดอันดับธนาคารที่ดีที่สุดของเอเชีย 300 อันดับแรกโดยมีการจัดอันดับจาก 16 ประเทศในทวีปเอเชีย ทั้งนี้ ธนาคารพาณย์ในประเทศไทยจำนวน 10 แห่งติดอันดับ 1 ใน 300 ธนาคารที่มีการจัดอันดับในครั้งนี้ พบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 3 แห่งติดอันดับ 1 ใน 100 เป็นครั้งแรกประกอบไปด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL ติดอันดับที่ 70 จากเดิมอยู่ในอันดับที่ 107 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB ติดอันดับที่ 95 จากเดิมที่อยู่ในอันดับที่ 145 ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) SCBT ติดอันดับที่ 95 เท่าธนาคารไทยพาณิชย์ จากเดิมที่ไม่ติดอันดับ 1 ใน 300
     
      นอกจากนี้ มีธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK ติดอันดับที่ 103 ดีขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 137 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB ติดอันดับที่ 155 ดีขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 186 ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(มหาชน) SCIB อยู่ในอันดับที่ 217 ดีขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 224 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) BAY อยู่ในอันดับที่ 245 อันดับลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 165
     
      ธนาคารยูโอบี จำกัด(มหาชน) UOB อยู่ในอันดับที่ 258 อันดับดีขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 261 ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน) TMB อยู่ในอันดับที่ 285 ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 226 และธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน) BT อยู่ในอันดับที่ 292 อันดับลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 212
     
      การจัดอันดับธนาคารที่ดีที่สุดในเอเชียจะพบว่ามีธนาคารจากประทศญี่ปุ่นติดอันดับ 4 แห่ง ธนาคารจากประเทศจีนติดอันดับ 4 แห่ง ฮ่องกง 1 แห่งและออสเตรเลีย 1 แห่งประกอบไปด้วย 1. Misubishi UFJ Financial Group 2. Mizuho Financial Group 3. Industrial & Commercial Bank of China 4. Sumitomo Mitsui Financial Group 5. China Construction Bank 6. Agriculture Bank of China 7. Bank of China 8. Norinchukin Bank 9. Hong Kong and Shanghai Banking Corporation ( HSBC ) 10. National Australian Bank
     
      โดยเมื่อเปรียบเทียบจากสินทรัพย์ของธนาคารแต่ละประเทศจะพบว่าธนาคารของญี่ปุ่นมีสินทรัพย์ 47.6% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด 300 ธนาคารซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 1 ธนาคารของจีนมีสินทรัพย์รวม 20.7% เป็นอันดับที่ 2 ส่วนธนาคารของไทยมีสินทรัพย์เท่ากับ 1.1%
     
      สำหรับภาพรวมโดยทั่วไปของธนาคารพาณิย์ไทยยังคงดีอยู่โดยสัดส่วนต้นทุนของการดำเนินงานต่อรายได้อยู่ในระดับ 50% มีเพียง 3 แห่งที่มีปัญหาเรื่องต้นทุนการดำเนินงานได้แก่ธนาคารยูโอบีมีสัดส่วนต้นทุนการดำเนินงานสูงถึง 67% ธนาคารทหารไทย 95.5% และธนาคารไทยธนาคาร 131.5% ซึ่งในปี 2549 ที่ผ่านมาธนาคารทหารไทยขาดทุน 340 เหรียญสหรัฐ ธนาคารไทยธนาคารขาดทุน 124 เหรียญสหรัฐ
     
      ขณะที่แหล่งรายได้ของธนาคารพาณิชย์ไทยมีการกระจายตัวที่ดีขึ้น อาทิ ธนาคารกรุงเทพและธนาคารไทยพาณิชย์มีสัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมดถึงกว่า 30% แสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่างๆ เพิ่มมากขึ้นและไม่ได้พึ่งพารายได้จากการปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียว
     
      ทั้งนี้ วารสาร The Asian Banker จัดอันดับความแข็งแกร่งของธนาคารโดยพิจารณาจาก 10 ด้านคือ 1.ขนาดของสินทรัพย์ 2. การเติบโตของสินเชื่อ 3.การเติบโตของเงินฝาก 4. ความเพียงพอของเงินกองทุน 5.การเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน 6.อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ROA 7.ต้นทุนต่อรายได้ 8.รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมด 9.สำรองหนี้สูญต่อหนี้สงสัยจะสูญ และ 10.อัตราส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินทรัพย์ทั้งหมด
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000140340
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/11/07

โพสต์ที่ 259

โพสต์

ไทยธนาคารอาการน่าห่วง! [ ฉบับที่ 849 ประจำวันที่ 28-11-2007 ถึง 30-11-2007]  
> สารพัดข่าวลบรุมเร้า
> คลังอู้อี้ฐานะการเงิน


ไทยธนาคาร แจงกองทุนนิวบริด - TPG พร้อม ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนรอบ 2 จำนวน 4.49 พันล้านหุ้นแน่นอน ท่ามกลางกระแสข่าวผู้บริหารแบงก์ ชาติเข้าหารือรมว.คลังขอไฟเขียวปลดผู้บริหาร ขณะที่ ฉลองภพสมหมาย ปัดไม่ตอบกรณีฐานะการเงิน BT มีปัญหา ระบุต้องดูรายกรณีด้านนักวิเคราะห์ระบุแผนเพิ่มทุนไทยธนาคารเสี่ยงอาจโดนเลื่อนอีกรอบ หลังราคา เพิ่มทุนสูงกว่าราคาในกระดานไม่จูงใจนลท.ใช้สิทธิเพิ่มทุน ชี้ BT มีแต่ข่าวลบกดดัน ทั้งลงทุนพลาดใน CDOs-ซับไพร์ม อาจทำให้ต้องตั้งสำรองเผื่อด้อยค่าสูงขึ้น กด ดันฐานะทางการเงินของธนาคาร

จากกรณีที่มีข่าวว่าผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าพบดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขฐานะของธนาคารไทยธนาคาร ที่ส่อเค้าเริ่มรุนแรงมากขึ้น ก่อนที่กองทุน เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะประชุมกันในวันที่ 29 พ.ย. เนื่องจากธปท.กังวลใจว่า หากปัญหาแก้ไขไม่เบ็ดเสร็จ อาจจะส่งผลกระทบทำให้พันธมิตรของธนาคารอย่างกองทุน ทีพีจี นิวบริดจ์ ถอนตัวออกจากการถือหุ้นธนาคาร เพราะเห็นว่าไม่คุ้มทุนแม้จะใส่เงินเข้ามาแล้วประมาณ 3 พันล้านบาทก็จะทำให้ปัญหาแก้ไขยาก กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และธปท.ต้องการให้รมว. คลังไฟเขียวเปลี่ยนตัวผู้บริหารของธนาคารในฐานะ ที่กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารไทยธนาคารซึ่ง ธปท. เชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร การดำเนิน งานของธนาคารจะดีขึ้น

รวมทั้งให้ความเห็นว่า การที่ธนาคารต้องเพิ่ม ทุน 2 ครั้งในปีเดียว แสดงให้เห็นว่าฐานะของธนาคารมีปัญหา ซึ่งฝ่ายบริหารก็ยอมรับว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการปล่อยกู้บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง 1.7 พันล้านบาทเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รวมถึงการไปลงทุนในสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) กว่า 1 หมื่น ล้านบาทแล้วมีปัญหาและลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทซีดีโอ อีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกัน ตัวแทนกระทรวงการคลังที่เข้าไปเป็นกรรมการธนาคารทหารไทย ได้ให้สำนัก งานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สอบ ถามธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์ ที่พลาดหวังจากการถือหุ้นเพิ่มในธนาคารทหารไทย สนใจจะเข้าซื้อหุ้นธนาคารไทยธนาคารหรือไม่ เป็นการเตรียมความพร้อม ไว้หากกองทุน ทีพีจี นิวบริดจ์ ถอนตัวจากธนาคาร

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารกองทุน ธปท. ในฐานะรักษาการผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าวว่า ใน วันที่ 29 พ.ย. นี้ คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯจะประชุมกันโดยจะนำเรื่องการลงทุนของไทยธนาคาร ในซีดีโอ ประเภทใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีหลักทรัพย์ ความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) หนุนหลังเข้าหารือ และยืนยันว่ากองทุนฟื้นฟูฯ จะใช้สิทธิเพิ่มทุนในธนาคารไทยธนาคารต่อไป แม้จะเกิดความเสียหาย จากการลงทุนในซีดีโอก็ตาม

ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวจากธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า TPG ได้แสดง ความจำนงที่จะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ของธนาคารเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในไทยธนาคาร ไว้ ซึ่งปัจจุบัน TPG Newbridge ถือหุ้นในธนาคาร ไทยธนาคารจำนวน 24.99% นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าหุ้นเพิ่มทุนใหม่ของธนาคารที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) ดังกล่าว สามารถจำหน่ายได้ทั้งหมดและทำให้ธนาคารมีเงินทุนที่เพียงพอ กลุ่ม TPG และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในฐานะสองผู้ถือหุ้นหลักของธนาคารไทยธนาคาร ยังได้ตกลงร่วมกันที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุนในส่วนที่เหลือทั้งหมดอีกด้วย

นายดาเนียล แอชตัน คาร์โรล ผู้บริหารอาวุโสของกลุ่ม TPG และกรรมการธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (BT) ในฐานะผู้แทนกลุ่ม TPG กล่าวว่า ถึงแม้ว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว และสภาวะแวดล้อมในการลงทุนที่ยังไม่แน่นอน แต่กลุ่ม TPG และพันธมิตรยังคงมีความ มั่นใจในศักยภาพทางเศรษฐกิจและภาคอุตสาห กรรมการธนาคารของประเทศไทยในอนาคต

ทั้งนี้ ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2550 ของธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (BT) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของธนาคาร จำนวน 16,686,751,455 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 4,449,800,388 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 3.75 บาท เพื่อเสนอขาย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคาร ซึ่งมีชื่อปรากฏใน สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของธนาคาร ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2550 ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นซึ่งผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering) ในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 1.73 บาท และให้สามารถขาย หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่จดทะเบียน (3.75 บาท) ได้ ทั้งนี้ราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะไม่ต่ำกว่าราคา 1 บาทต่อหุ้น

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 ที่ผ่านมาธนาคารไทยธนาคาร ได้ทำการเพิ่มทุนครั้ง แรกโดย TPG Newbridge และกลุ่มผู้ลงทุนอีก 2 รายคือ Blum Capital และ Marathon Asset Management ที่ได้เข้าซื้อหุ้นของธนาคารเป็นจำนวนรวม 731,450,194 หุ้น และชำระเงินจำนวน 3,050 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว

ด้านแหล่งข่าวนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า น่าจะส่งผลกดดันราคาหุ้น ธนาคารไทยธนาคาร หรือ BT ให้ปรับตัวลดลงได้ แต่ทั้งนี้มองว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นถูกกดดันจากเรื่องของปัญหาการลงทุน ในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทซีดีโอ และการลงทุนในสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ซึ่งเป็นมูลค่าการลงทุนขนาดใหญ่กว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ยังเป็นตัวกดดันราคาหุ้น BT อยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะ BT ต้องตั้ง สำรองค่าเสี่ยงเผื่อด้อยค่าสูงขึ้นอีก ซึ่งจะกระทบต่อ ฐานะทางการเงินของบริษัท

ส่วนกรณีเรื่องของการเพิ่มทุนจำนวน 4.44 พันล้านหุ้นนั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากมีความ เป็นไปได้ที่การเพิ่มทุนนั้นอาจจะต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากราคาหุ้นเพิ่มทุนนั้น สูงกว่าราคาในกระดาน โดยราคาหุ้นเพิ่มทุนนั้นอยู่ที่ 1.73 บาท/หุ้น ขณะที่ราคาในกระดานอยู่ที่เพียง 1.66 บาทเท่านั้น อาจ ทำให้นักลงทุนรายย่อยนั้น ไม่สนใจที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว

ส่วนกรณีที่ธปท.ได้ออกประกาศฉบับใหม่ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาต ให้ธนาคารพาณิชย์ ลงทุนในตราสารที่มีหนี้เป็นหลักประกัน (Collateralized Debt Obligation : CDO) เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ ตระหนักถึงการมีระบบบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับ การทำธุรกรรม ซีดีโออย่างรัดกุม และได้มีคำสั่งให้ ธนาคารแต่ละแห่งที่ลงทุนบันทึกบัญชี และการประเมินมูลค่ายุติธรรมของธุรกรรมดังกล่าวให้สอด คล้องกับมาตรฐานการบัญชีสากล โดยหากขาดทุน ให้นำไปหักจากเงินกองทุนของธนาคารนั้นแหล่งข่าว ผู้นี้กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวว่าจะส่งผลกระทบต่อ กลุ่มธนาคารที่เข้าไปลงทุน CDO ในแง่ของการตั้ง สำรองตามเกณฑ์บังคับของธปท. ที่ต้องปรับเพิ่มมาก ขึ้นตามขนาดการลงทุน โดยธนาคารที่เข้าไปลงทุน ใน CDO ได้แก่ ธนาคารไทยธนาคาร (BT) ลงทุนเป็นจำนวนเงิน 420 ล้านเหรียญสหรัฐ ธนาคารกรุง ไทย (KTB) ลงทุน 160 ล้านเหรียญสหรัฐ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา (BAY) ลงทุน 85 ล้านเหรียญสหรัฐ และธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลงทุน 50 ล้านเหรียญ สหรัฐ แต่ธนาคารที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ BT-KTB เนื่องจากมีการลงทุน ใน CDO สูงมากที่สุด
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/11/07

โพสต์ที่ 260

โพสต์

คลังดันคุ้มครองเงินฝาก เพิ่มวงเงิน-ยกเว้นพิเศษ

โพสต์ทูเดย์ คลังเห็นใจผู้ฝากเงิน เปิดช่อง พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ให้เพิ่มลดวงเงินคุ้มครองได้ และให้สิทธิคุ้มครององค์กรสาธารณกุศลมากเป็นพิเศษ


นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก จะพิจารณาในชั้นกรรมาธิการเป็นครั้งสุดท้าย และเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาวาระ 2 และ 3 เพื่อให้กฎหมายออกมาบังคับใช้ได้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของกฎหมาย โดยในปีที่ 1 ที่กฎหมายบังคับใช้ ยังคุ้มครองเต็มจำนวน 100% ปีที่ 2 คุ้มครอง 100 ล้านบาท ปีที่ 3 คุ้มครอง 50 ล้านบาท ปีที่ 4 คุ้มครอง 20 ล้านบาท และปีที่ 5 คุ้มครอง 1 ล้านบาท

จากเดิมที่กำหนดให้ปีแรกคุ้มครองไม่เกิน 50 ล้านบาท ปีที่ 2 25 ล้านบาท ปีที่ 3 10 ล้านบาท และปีที่ 4 เป็นต้นไป 1 ล้านบาท


นอกจากนี้ ยังเปิดช่องให้คณะกรรม การสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และรัฐบาล สามารถออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อเพิ่ม หรือลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากได้ตามความเหมาะสม โดยในอนาคตอาจมีความจำเป็นต้องเพิ่มวงเงินคุ้มครองเงินฝากมากขึ้น เพื่อให้ผู้ฝากเงินเกิดความมั่นใจ

พ.ร.บ.ฉบับนี้ ยังเปิดช่องให้กรรมการออกประกาศยกเว้นพิเศษให้องค์กรสาธารณกุศลต่างๆ เช่น สภากาชาดไทย ได้รับการคุ้มครองเงินฝากมากกว่าเกณฑ์ปกติ เช่น อาจจะคุ้มครองขั้นต่ำ 500 ล้านบาท เนื่องจากองค์กรสาธารณกุศลส่วนใหญ่มีเงินฝากเป็นจำนวนมาก และไม่ได้นำไปลงทุนเพื่อแสวงหากำไร

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบัญชีเงินฝาก 76.5 ล้านบัญชี เป็นบัญชีเงินฝากต่ำกว่า 1 ล้านบาท 98% ที่เหลือ 2% เป็นเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาท ดังนั้น ผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ยังคงได้รับการคุ้มครองอยู่

การเปิดทางให้ยืดหยุ่น เพิ่ม-ลดวงเงินคุ้มครอง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะต้องเพิ่มวงเงินคุ้มครอง เป็นเรื่องที่จำเป็น นายสมหมาย กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206294
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/11/07

โพสต์ที่ 261

โพสต์

ปลดล็อกภาระผู้ค้ำเงินกู้

โพสต์ทูเดย์ คลอด กม.ธุรกิจสถาบันการเงิน คุมต่างชาติ ปลดล็อกคนค้ำประกันเงินกู้ให้รับผิดแค่วงเงินในสัญญา


ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน วาระ 2 และ 3 รวดเดียว เห็นด้วย 75 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง โดยร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อ พ้นกำหนด 180 วัน หลังจากประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา

นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การผ่านกฎหมายฉบับนี้ของ สนช.เท่ากับเป็นการปลดล็อกให้กับประชาชนที่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ได้ปฏิรูปวิธีการรับภาระของผู้ค้ำประกันใหม่ทั้งหมด

ทั้งนี้ กฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินได้กำหนดให้ผู้ค้ำประกันเงินกู้กับสถาบันการเงิน รับภาระหนี้เฉพาะส่วนของเงินต้นที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้ และดอกเบี้ยในส่วนที่ค้างชำระของผู้กู้เท่านั้น ไม่ต้องรับภาระจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการขยายวงเงินกู้

การกำหนดไว้ในกฎหมายเรื่องการ ค้ำประกัน เพื่อป้องกันปัญหาคนค้ำประกันไปรับผิด หรือรับภาระหนี้จนไม่มีที่สิ้นสุด และป้องกันไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ฟ้องร้องจากผู้ค้ำประกันในวงเงินไม่สิ้นสุดด้วย เป็นการจำกัดความเสี่ยงจากการค้ำประกันของประชาชน

เราต้องยอมรับความจริงว่า คนที่ค้ำประกัน 80% เป็นคนดี มีเครดิต สถาบันการเงินจึงให้เงินกู้ แต่ปัจจุบันคนเหล่านี้ถูกฟ้องร้องจำนวนมาก ไปค้ำประกันวงเงิน 5 ล้านบาท แต่ผู้กู้ไปกู้เพิ่มอีก 20-30 ล้านบาท เวลาถูกฟ้องไล่เบี้ยก็เป็น 30 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ค้ำแค่ 5 ล้านบาท ถือว่าไม่ยุติธรรม เมื่อมีการระบุการค้ำเงินต้นให้ชัดเจน คนเหล่านี้ก็ไม่มีปัญหา และเชื่อว่าสภาพบังคับเช่นนี้จะทำให้ประเพณีปฏิบัติในกฎหมายแพ่งเกี่ยวกับการค้ำประกัน จะเปลี่ยนมาใช้การจำกัดความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันด้วยเช่นกัน นายเกริก กล่าว

สำหรับสาระของกฎหมายฉบับนี้ ได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้สถาบันการเงินต้องมีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% และมีกรรมการที่เป็นคนไทยไม่น้อยกว่า 3 ใน 4

กรณีที่เห็นสมควร ธปท.อาจอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49% และเป็นกรรมการได้ถึง 1 ใน 4 แต่ไม่เกินครึ่งหนึ่ง

จากร่างเดิมที่ ธปท.เสนอให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 49% และมีกรรมการเป็นคนไทยไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการได้เพิ่มเติมในกรณีที่เป็นการแก้ไขฐานะการดำเนินงาน หรือเพื่อสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน ให้อำนาจ รมว.คลัง พิจารณาอนุมัติโดยคำแนะนำของ ธปท. สามารถผ่อนผันให้ต่างชาติถือหุ้นมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือมากกว่า 49%

นอกจากนี้ ยังอนุมัติให้ประชาชนสามารถถือหุ้นในสถาบันการเงินได้ 10% จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 5%

สำหรับบทลงโทษผู้บริหารสถาบันการเงิน มีการปรับลดลงมาเหลือแค่ จำ หรือ ปรับ หรือ ทั้งจำทั้งปรับ จากเดิมในแทบทุกกรณีกำหนดให้ทั้งจำทั้งปรับ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206295
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/11/07

โพสต์ที่ 262

โพสต์

ธปท.พร้อมยุติบทบาทดุแลสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน ประกาศเปิดทำการ ตลาด R/P จนถึง 12 กพ. 2551 เท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 29, 2007

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะปิดตลาดซื้อคืนพันธบัตร( ตลาด R/P ) ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ปีหน้าเป็นต้นไป เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาตลาดเงิน ซึ่งการปิดตลาดซื้อคืนพันธบัตรเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะช่วยให้ตลาดเงินของไทยพัฒนามากขึ้น และจะช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินหันมากู้ยืมกันเองมากขึ้น เช่น การทำธุรกรรมตลาดซื้อคืนภาคเอกชน (Private Repo) หรือการกู้ยืมระหว่างธนาคาร (Interbank)

นอกจากนี้ ธปท.จะดูแลสภาพคล่องโดยรวมทั้งระบบให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และปล่อยให้สถาบันการเงินบริหารต้นทุน และปรับสภาพคล่องด้วยกันเอง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจมีความคล่องตัวมากขึ้น และพร้อมแข่งขันกับยธนาคารต่างประเทศได้ดีขึ้นด้วย

ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้เพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสภาพคล่องเพื่อรองรับการปิดตลาด R/P โดยการเพิ่มจำนวนคู่ค้า สำหรับทำธุรกรรมซื้อคืนกับ ธปท. (Birateral Repo ) จาก 9 ราย เป็น 14 ราย ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนที่ ธปท.ดำเนินนโยบายการเงินผ่านช่องทางดังกล่าวเกือบทดแทนตลาด R/P ได้หมด ซึ่งขณะนี้ธุรกรรมส่วนใหญ่ 90% อยู่ที่ Birateral Repo

นอกจากนี้ ธปท.ยังได้ทยอยปรับปรุงกรอบการดำเนินนโยบายการเงิน ตั้งแต่ต้นปีเรื่อยมา โดยเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่อิงจากตลาด R/P ระยะเวลา 14 วัน มาเป็นระยะเวลา 1 วัน และมีการปรับช่วงเวลาในการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง และสร้างกลไกการจำกัดขอบเขตความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยตลาด

และล่าสุด เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการผลักดันให้สถาบันการเงินบริหารสภาพคล่องกันเอง โดยการเพิ่มค่าธรรมเนียม และจำนวนขั้นต่ำของการทำธุรกรรมในตลาดซื้อคืน เพื่อรองรับธุรกรรมล่วงหน้าแล้ว และผลก็ออกมาน่าพอใจ เพราะเมื่อสำรวจความพร้อมของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นสมาชิกทั้งหมด 48 ราย พบว่า 31 รายมีความพร้อม ส่วนอีก 3 ราย คาดว่าจะพร้อมในต้นปี 2551 ขณะที่อีก 7 ราย คาดว่าจะหันไปทำธุรกรรมในตลาดกู้บืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ (INTERBANK) แทน  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/11/07

โพสต์ที่ 263

โพสต์

ผ่านพ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน หุ้นกลุ่มแบงก์น่าลงทุน ????

Posted on Thursday, November 29, 2007
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในรายการ Trading Hour ว่า ร่างพระราชบัญญัติ ธุรกิจสถาบันการเงิน ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระ 2 และ 3 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากร่างเดิมชนิดที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของระบบสถาบันการเงินที่เปลี่ยนไปของโลก โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ต้องการให้สถาบันการเงินของไทยมีความระมัดระวังในการดำเนินงานท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยงในปัจจุบัน เพิ่มโอกาสในการแข่งขันของสถาบันการเงินต่าง ๆ ในการทำงานอย่างโปร่งใสสุจริตมากขึ้น ตลอดจนให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ค้ำประกันสินเชื่อที่เดิมต้องรับภาระหนักหากผู้ขอสินเชื่อปฏิเสธการผ่อนชำระ

นายเกริกยังกล่าวอีกว่า เดิมการที่สถาบันการเงินต่าง ๆ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตธปท. ควบคู่ไปกับกระทรวงการคลัง ตามพ.ร.บ.ที่ปรับปรุงใหม่จะเปลี่ยนมาเป็นการขออนุญาตธปท.เป็นหลักเพียงหน่วยงานเดียว แต่ยังคงมีกระทรวงการคลังทำหน้าที่กำกับดูแลอยู่ ไม่ได้หมายความว่าธปท.จะมีอำนาจมากขึ้น แต่น่าจะหมายถึงภาระและความรับผิดชอบที่สูงขึ้นมากกว่า

สำหรับประเด็นเรื่องการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ของไทยได้เกินกว่า 25% และอาจขยายได้ถึง 49% แต่ต้องผ่านความเห็นชอบจากธปท.นั้น นายเกริกกล่าวว่า เป็นการออกกฎหมายมารองรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตและปฏิบัติกันอยู่แล้วในปัจจุบันให้มีความถูกต้องมากขึ้น เพราะจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ผ่านมา มีสถาบันการเงินหลายแห่งที่มีปัญหาและมีความจำเป็นต้องอาศัยเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามากอบกู้กิจการที่มีปัญหา ซึ่งในอดีตทั้งธปท.และกระทรวงการคลังก็อนุมัติเป็นกรณีไป

นางสิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ไซรัส กล่าวในรายการ Trading Hour ว่า นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นต้นมาธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับตัวทั้งการบริหารความเสี่ยงและการทำการตลาด แต่หากปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเร็วเกินไปอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ของไทยปรับตัวไม่ทัน เพราะหากมองในมุมของการบริหารงาน การขยายสาขา และสินค้าใหม่ ๆ เช่น Derivatives หรือ Structured Noteธนาคารพาณิชย์ของไทยอาจเสียเปรียบ แต่ถ้ามองในมุมของการจัดการและความสัมพันธ์กับลูกค้า ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีจุดแข็งมากกว่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ท้ายที่สุดผู้ที่จะได้เปรียบก็คือผู้บริโภคที่จะได้รับการบริการที่ดีขึ้น

สำหรับกรณีของธนาคารสินเอเชีย (ACL) ที่ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่กำลังจะขายหุ้นที่ถืออยู่ให้กับธนาคาร ICBC ของจีน ตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้จะต้องดำเนินการภายในเดือนมิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา แต่ BBL ได้ขอเลื่อนไปเป็นสิ้นปี และหาก BBL มีความประสงค์จะขยายสัดส่วนการถือหุ้นของ ICBC เป็น 49% ตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของธปท.ก่อน และจะทำให้ต้องล่าช้าออกไปจากเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ BBL ต้องเสียค่าปรับตามไปด้วย

ส่วนกรณีของธนาคารโนวาสโกเทียแห่งเนเธอร์แลนด์ที่เข้ามาถือหุ้นในธนาคารธนชาต (TBANK) อยู่ 25% หากต้องการจะถือหุ้นเพิ่มเป็น 49% ก็จะต้องขออนุญาตเป็นกรณีเป็นพิเศษจาก ธปท. แต่จะมีความแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ตรงที่ TBANK ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินจนถึงขั้นต้องฟื้นฟูกิจการหรือหาผู้ร่วมทุนรายใหม่

กรณีของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) และธนาคารไทยธนาคาร (BT) ที่อยู่ระหว่างการหาผู้ร่วมทุนต่างชาติก็จะต้องนำประเด็นเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ร่วมทุนต่างชาติเข้ามาพิจารณาเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตาม บล.ไซรัสยังไม่มีมุมมองในเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน เพราะปัจจัยภายนอกเนื่องจากสถาบันการเงินในระดับโลกล้วนได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องจากสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan) แม้ว่าในประเทศไทยจะมีการลงทุนทางตรงในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีสินทรัพย์อ้างอิง (Collateralized Debt Obligation: CDO) ไม่มากนัก แต่การขยายตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศยังอยู่ในภาวะชะลอตัวจากการขาดความเชื่อมั่น และอาจต้องรอไปจนถึงครึ่งหลังของปี 2551 ความเชื่อมั่นของประชาชนและการขยายตัวของสินเชื่อจึงจะกลับมา

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน (CNS) ระบุว่า มีมุมมองที่เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารฯ จากการผ่านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว (โดยเฉพาะต่อกลุ่มธนาคารขนาดกลางและเล็ก ที่รอการเพิ่มทุนและกำลังหาพันธมิตรต่างประเทศเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน) เนื่องจาก
1) การควบรวมกิจการ จะทำได้ง่ายขึ้น ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมารองรับ และ
2) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดเสรีในอนาคต

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์.ยูไนเต็ดระบุว่า การผ่านร่างพรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับแก้ไขแทบจะไม่ได้แตกต่างจากปัจจุบันที่ให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 25% อย่างไรก็ดีได้เพิ่มเงื่อนไขเปิดช่องทางให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 49% หากได้รับอนุญาตจากคลังและธปท. ในกรณีที่จะเข้ามาช่วยสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน ซึ่งเราคาดว่ากรณี BBL ที่จะขาย ACL ออกไปน่าจะอนุญาตด้วยเช่นกัน (แต่อาจจะไม่ทันภายในปีนี้เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวต้องรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาอีก 180 วัน) ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะขายต่ำกว่า BV ที่ 7.61 บาทและยังแนะนำซื้อ BBL ราคาเป้าหมายปี 2551 ที่ 162 บาท

ทั้งนี้ สภานิติบัญญัติ (สนช.) เห็นชอบร่างพ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน โดยที่ประชุมเห็นชอบตามคณะกรรมาธิการ (กมช.) วิสามัญฯ ของสนช.ที่แก้ไขจากร่างเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่เสนอให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 49% และมีกรรมการเป็นคนไทยไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง

โดยร่างที่ได้รับความเห็นชอบ กำหนดให้สถาบันการเงิน ต้องมีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% และมีกรรมการที่เป็นคนไทย ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เห็นสมควร ธปท.อาจจะอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49% และเป็นกรรมการได้มากหนึ่งในสี่แต่ไม่เกินครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อพ้น 180 วัน (6 เดือน) หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx#
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news1/12/07

โพสต์ที่ 264

โพสต์

สนช.จี้ปลดบัญชีดำ

โพสต์ทูเดย์ กมธ.การเงินการคลัง สนช. จี้คณะกรรมการเครดิตบูโรปลดล็อกบัญชีดำ ลูกหนี้จาก 3 ปีเหลือ 2 ปี


นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ กล่าวว่า คณะกรรมา ธิการการเงินการคลังและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เสนอรายงานการศึกษาการลดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าที่มีประวัติการชำระเงิน (แบล็กลิสต์) จาก 3 ปี เหลือ 2 ปี ให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตพิจารณาแก้ไข

ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า ลูกค้าที่มี การชำระหนี้ครบทั้งจำนวนหรือปิดบัญชีไปแล้ว โดยในรอบการชำระหนี้ 24 งวด มีการผิดนัดชำระหนี้ไม่เกิน 60 วัน ก็สามารถปลดล็อกจากบัญชีดำของเครดิตบูโรได้

ทั้งนี้ การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว เพื่อลดปัญหากรณีหลงลืมหรือมีปัญหาสะดุดทางการเงินเล็กน้อย ไม่ได้มีเจตนาที่จะเบี้ยว หนี้หรือจงใจไม่ชำระหนี้ ก็ควรที่จะปลดล็อกออกจากบัญชีเครดิตบูโร

ข้อเสนอของ สนช.นั้น คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตสามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย นายนิวัฒน์ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโร ที่ให้บริษัทสามารถจัดอันดับประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้เพื่อให้ลูกค้าที่มีประวัติการชำระเงินที่ดี มีความเสี่ยงน้อย มีโอกาสได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่ต่ำนั้น คาดว่า สนช.จะพิจารณาวาระแรกในสัปดาห์หน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206612
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/12/07

โพสต์ที่ 265

โพสต์

คลังขายหุ้นดีซื้อทหารไทย

โพสต์ทูเดย์ คลังเอาอีกแล้วชง ครม. ขอขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ 7.8 พันล้าน ซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบงก์ทหารไทย


แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 4 ธ.ค. นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอเรื่องเพื่อขอขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ และหุ้นที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจบางส่วน 6 แห่ง เพื่อให้ได้เงินจำนวน 7.8 พันล้านบาท มาใช้ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย ซึ่งจะต้องจ่ายเงินค่าหุ้นภายในสิ้นเดือนนี้

สำหรับหุ้นที่จะนำออกมาขายประกอบด้วย หุ้นธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัท การบินไทย บริษัท ปตท. บริษัท อสมท และบริษัท ผาแดงอินดัสทรี โดยจะขายหุ้นให้กับธนาคารออมสินแบบขายขาดและไม่มีเงื่อนไขซื้อคืน

การขอคณะรัฐมนตรีไม่ได้ระบุจำนวนหุ้นที่จะขาย ขอแต่กรอบกว้างๆ ว่าจะขายหุ้นแต่ละตัวบางส่วนให้ได้เงิน 7.8 พันล้านบาท แต่จะไม่ระบุจำนวนหุ้นที่จะขาย แหล่งข่าวเปิดเผย

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ขออนุมัติ ครม.ขายหุ้นบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ให้กับนักลงทุนต่างประเทศบางส่วน ได้เงินมาประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งจะไปรวมกับการขายหุ้นอีก 6 ตัว เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นบริษัท การบินไทย บริษัท ปตท. และบริษัท อสมท จะไม่กระทบกับการเป็นรัฐวิสาหกิจ หลังขายหุ้นภาครัฐยังถือหุ้นมากกว่า 50% ส่วนหุ้นบริษัทตัวอื่นๆ กระทรวงการคลังจะขายทั้งหมดที่ถืออยู่ เพราะไม่จำเป็นต้องถือหุ้นดังกล่าวอีกต่อไป


ทั้งนี้ หลังจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยครั้งนี้ กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 31% จะเหลือสัดส่วนถือหุ้นในธนาคาร 26% โดยผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 2 คือ บริษัท ไอเอ็นจีกรุ๊ป จำนวน 25% ซึ่งการเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยจะได้เงินจากผู้ถือหุ้นเก่าและใหม่จำนวน 3.76 หมื่นล้านบาท

สำหรับเงินเพิ่มทุนที่ได้จะนำไปสำรองหนี้ 2.5 หมื่นล้านบาท ทำให้สิ้นปีนี้ธนาคารจะมีขาดทุนสะสม 1 แสนล้านบาท ซึ่งธนาคารมีแผนลดทุนหลังปี 2552 เพื่อล้างขาดทุนสะสม

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา กระทรวงการคลังใส่เงินให้ธนาคารทหารไทยแล้ว 3 หมื่นล้านบาท ยังไม่เคยได้ผลตอบแทนคืน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206944
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/12/07

โพสต์ที่ 266

โพสต์

แบงก์งัดยุทธวิธีลดดอกฝากไล่เงิน

โพสต์ทูเดย์ เทศกาลไล่เงินฝากออมทรัพย์ของแบงก์มาเร็ว ไทยพาณิชย์-ทหารไทยลดดอกเบี้ย รายใหญ่ กสิกร-กรุงไทยขายตั๋วเงิน


รายงานข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.เป็นต้นไป ธนาคารจะทำ การลดดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ รูปแบบการฝากต่อเนื่อง 1 เดือน แต่ไม่ถึง 3 เดือน สำหรับนิติบุคคลพิเศษ วงเงินตั้งแต่ 50 ล้านบาท ขึ้นไป ลงมาจาก 1.9% เหลือ 0.8%

เงินฝากออมทรัพย์วงเงินตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ลดลงจาก 2.15% เหลือ 1.9% ส่วนเงินฝากออมทรัพย์ และเงินฝากประจำอื่นๆ ยังคงอัตราดอกเบี้ยเดิม

ด้านธนาคารทหารไทย (TMB) ได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ธนกิจ เฉพาะลูกค้า รัฐวิสาหกิจ วงเงินตั้งแต่ 50 ล้านบาท-1 พันล้านบาท ลงมาจากระดับ 2.5% เหลือ 2.25%

พร้อมทั้งยกเลิกการให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำธนกิจทุกระยะเวลาการฝาก ตั้งแต่ 7 วัน-2 เดือน ซึ่งแต่เดิมธนาคารกำหนดวงเงินรับฝากขั้นต่ำ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยให้ดอกเบี้ย 2%

นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดขาย ตั๋วแลกเงินกสิกรไทย K-B/E Investment รุ่นใหม่ มีอายุการฝาก 3 เดือน และ 6 เดือน วงเงินฝาก ตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ย 2.75%

สำหรับวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ย 2.8%

ทั้งนี้ ลูกค้าต้องซื้อขั้นต่ำ 1 ล้านบาท และทวีคูณของ 1 แสนบาท

ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ ธนาคารจึงเพิ่มช่องทางในการออม เพราะดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ที่มีระยะเวลาการฝากใกล้เคียงกัน แต่จ่ายดอกเบี้ยเพียง 2-2.25% นายอำพล กล่าว

ด้านธนาคารกรุงไทย ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.เป็นต้นไป ธนาคารจะเปิดบัญชีเงินฝากกรุงไทยระยะเวลา 10 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.8% เพื่อเป็นทางเลือกในการออมเงินของประชาชน

ก่อนหน้านี้ ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย ซื้อตั๋วแลกเงินวงเงิน 5 แสน บาท ดอกเบี้ย 3.35% และวงเงิน 10 ล้านบาทขึ้นไป ดอกเบี้ย 3.45%

การออกตั๋วแลกเงิน ทำให้ไม่ต้องมีภาระในการจ่ายเงินสมทบ 0.4% กับทางการ จึงเริ่มไล่เงินฝากในช่วงปลายปี และออกตราสารอื่นแทนเงินฝาก แหล่งข่าวเปิดเผย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207271
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/12/07

โพสต์ที่ 267

โพสต์

แบงก์เล็กสบช่องเสริมฐานะการเงิน [ ฉบับที่ 851 ประจำวันที่ 5-12-2007 ถึง 7-12-2007]  
> รัฐไฟเขียวต่างชาติถือหุ้นเต็มเพดาน

สนช.ไฟเขียวร่างพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน เปิดทางต่างชาติอุ้มสถาบันการเงินถือ หุ้นได้เต็มเพดานสูงสุด 49% โบรกฯเชื่อส่งผลดีหุ้นกลุ่มแบงก์ช่วยหนุนฐานะทางการเงินแข็ง แกร่งขึ้น ชี้ระยะยาวส่งผลดีต่อ BBL, KTB, SCIB, TBANK และ ACL ด้าน กิมเอ็ง สะกิดนักลงทุนอย่าหลงประเด็นสัดส่วนถือหุ้นต่างชาติ ชี้ต้องขอเป็นรายกรณี ไม่ใช่ทุกรายได้หมด

ในที่สุดที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานก็มีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินในวาระ 2 และ 3 แล้ว ซึ่งที่ประชุม สนช. มีมติเห็นชอบ 75 ไม่เห็นชอบ 1 และไม่ลงคะแนน 2 เสียงเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบตามคณะกรรมา ธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ของ สนช.ที่แก้ไขจากร่างเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยกำหนดให้สถาบันการเงิน ต้องมีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% และมีกรรมการที่เป็นคนไทย ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 แต่ในกรณีที่เห็นสมควร ธปท.อาจจะอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49% และเป็นกรรมการได้มากหนึ่งในสี่ แต่ไม่เกินครึ่ง หนึ่ง จากร่างเดิมที่ ธปท.เสนอให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 49% และมีกรรมการเป็นคนไทยไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ ได้เพิ่มเติมในกรณีที่เป็นการแก้ไขฐานะการดำเนินการ หรือเพื่อสร้างความ มั่นคงของสถาบันการเงิน ให้อำนาจ รมว.กระ ทรวงการคลัง โดยคำแนะนำของ ธปท. สามารถผ่อนผันให้ต่างชาติสามารถมีหุ้นและมีกรรมการ ในสถาบันการเงินได้มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือมากกว่า 49%

สำหรับร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับแก้ไขนี้ เสนอโดย ธปท. เป็นการรวมกฎ หมายธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจฟองซิเอร์เข้าด้วยกัน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.สุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า การที่ สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน เป็นการเปิดทางให้ นักลงทุนต่างประเทศสามารถเข้ามาถือครองหุ้น ในสถาบันการเงินไทยได้ถึง 49% ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่อยู่ระหว่างหาพันธมิตรเข้า ร่วมธุรกิจ อาทิ ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL, ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB, ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TBANK, ธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BT ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ มีฐานะทางการเงิน แข็งแกร่งอยู่แล้ว มองว่าไม่ได้เปิดทางให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นได้

อย่างไรก็ดี การที่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นเพิ่มในธนาคารพาณิชย์ ก็น่าสนับ สนุนเรื่องฐานะความมั่นคงทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และเทคโนโลยีต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ โดยมองว่าการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์จากนี้จะรุนแรงมาก ขึ้นภายหลังนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพระบบธนาคารพาณิชย์ไทยให้ดีทิศทางเดียวกัน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร พาณิชย์ช่วงนี้ ยังแนะนำหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ช่วงนี้ยังไม่แนะนำ โดยหากในอนาคตมีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นและสร้างความแข็งแกร่งให้ คงต้อง มาพิจารณาคำแนะนำอีกครั้ง

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวถึงประเด็นที่สภานิติ บัญญัติ หรือ สนช. ผ่านร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน โดยกฎหมายดังกล่าวเปิดทางให้ต่างประเทศสามารถถือหุ้นในสถาบันการเงินไทยได้ถึง 49% ว่า ถือเป็นผลดีของกลุ่มสถาบันการเงินที่จะได้รับ เพราะจะช่วยให้ธนาคารพา ณิชย์ได้รับเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาช่วยในการ บริหารงานมากขึ้น แต่ผลเสียจะมีในแง่ที่ธนาคารของไทยรายเล็กที่ไม่มีพันธมิตรต่างชาติ เข้ามาลงทุน ก็จะดำเนินการแข่งขันทางธุรกิจค่อนข้างลำบาก อีกทั้งหากต่างชาติเข้ามาครอบ ครองธนาคารไทยเป็นส่วนใหญ่ก็จะทำให้มีอำนาจในการต่อรองกับประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

สำหรับประเด็นข่าวนี้ได้ส่งผลดีให้มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในหุ้น ธนาคารสินเอเซีย (ACL) ที่ทางธนาคารกรุงเทพ (BBL) ถืออยู่เพื่อเตรียมขายให้กับธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ICBC)

ขณะที่บทวิเคราะห์ของบล.กิมเอ็งฯ ให้ความเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านความเห็นชอบ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจ ธปท. รองรับการกำกับควบคุมดูแลสถาบันการ เงิน ให้สามารถขยายขอบเขตธุรกิจในลักษณะกลุ่มธุรกิจ (Consolidated Supervision) ได้ ส่วนในเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นและการเป็นกรรมการของคนต่างชาตินั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยน แปลงมากนักจากกฎหมายปัจจุบัน กล่าวคือ ต้องมีการขออนุญาตเป็นกรณีไป ไม่ได้เปิดทางให้ 49% ทุกรายตามที่เป็นข่าว อีกทั้ง Foreign Limit ของธนาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ใกล้เคียง 49% ไปแล้ว ยกเว้น BBL, KTB, SCIB, TBANK และ ACL ที่มี Foreign Limit เพียง 25%

ดังนั้น เราจึงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อประเด็นข่าวดังกล่าว แต่หากมีการขยาย Foreign Limit ให้เป็น 49% เลยก็จะเป็นผลดีต่อ BBL, KTB, SCIB, TBANK และ ACL ซึ่งในระยะสั้นราคาหุ้น ACL, TCAP และ SCIB อาจได้รับประโยชน์จากประเด็นข่าวดังกล่าวเนื่องจากความเข้าใจผิดของข่าวที่ออกมา

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารสิน เอเซีย หรือ ACL ที่มีธนาคารกรุงเทพถือหุ้นอยู่ด้วยนั้น ซึ่งธนาคารกรุงเทพ (BBL) จะต้องขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมานั้น นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะพิจารณาอีกครั้งว่า กรณีที่กำหนด ให้ BBL ขายหุ้น ACL ให้กับ ICBC ซึ่งเป็นสถาบันการเงินจีนจำเป็นต้องผ่อนผันระยะเวลา ที่กำหนดให้ดำเนินการภายในสิ้นปีนี้ออกไปหรือไม่ เนื่องจากกว่ากฎหมายธุรกิจสถาบันการ เงินฉบับใหม่ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช. จะบังคับใช้ ก็อาจใช้เวลาอีกราว 6 เดือน

ขณะที่ นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า การขายหุ้นธนาคารสินเอเซีย (ACL) ของธนาคารกรุงเทพ (BBL) ยังต้องใช้ พ.ร.บ. ธนาคารพาณิชย์ฉบับเดิมก่อน ส่วนจะพิจารณา ขยายระยะเวลาขายหุ้นออกไปจากสิ้นปีนี้หรือไม่ ต้องรอว่าธนาคารกรุงเทพทำเรื่องขอผ่อนผันมา ดังนั้นขณะนี้เรื่องการขยายเวลาจึงยังยืนยันไม่ได้ จนว่าธนาคารจะทำเรื่องมาว่ามีเหตุผลอย่างไร ส่วนกำหนดเวลาถึงสิ้นปีไม่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.สถาบันการเงินใหม่แต่อย่างใด เพราะ พ.ร.บ.ต้องใช้เวลาอีก 180 วันถึงจะมีผล บังคับใช้

ที่ผ่านมาคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ได้ปรับเงิน BBL ตั้งแต่เดือนมิ.ย.50 เพราะไม่สามารถลดสัดส่วนถือหุ้น ACL ได้ตามกำหนด โดยเป็นการเปรียบเทียบปรับเป็นรายวัน ตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนด และหากในสิ้นปียังไม่สามารถขายหุ้นออกได้ตามกำหนดก็จะเปรียบเทียบปรับต่อไป นายสรสิทธิ์ กล่าว

นายสรสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้สินเอเซีย ไม่มีปัญหาเรื่องฐานะการดำเนินงานของธนาคาร เพราะเมื่อดูได้จากตัวเลขผลประกอบการยังอยู่ในเกณท์ดี ขณะที่ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ ให้อำนาจ ธปท.ผ่อนผันต่างชาติถือหุ้นในสถาบันการเงินไทยได้ถึง 49% ถ้ามีเหตุอันสมควร
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9380
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/12/07

โพสต์ที่ 268

โพสต์

สหภาพแบงก์บัวหลวงโวย ร้องขอโบนัส

โพสต์ทูเดย์ สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพเดินหน้าประท้วง กดดันแบงก์จ่าย 3 เดือนปลายปี


นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ ประธานสหภาพแรงงาน ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า สหภาพฯ ได้เรียกร้องไปยังฝ่ายจัดการธนาคาร ขอให้ธนาคารจ่ายโบนัสพิเศษ 1 เดือน ในวันที่ 14 ธ.ค. นี้ พร้อมกับการจ่ายเงินเดือนและโบนัสปกติของครึ่งปีหลังอีก 1 เดือน

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพจ่ายโบนัสพนักงานในอัตราปกติปีละ 2 เดือน โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 ครั้ง แต่เมื่อเดือน ส.ค. สหภาพฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้ธนาคารจ่ายโบนัสพิเศษเพิ่มอีก 1 เดือน ตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันแพง ซึ่งฝ่ายจัดการธนาคารอนุมัติตามข้อเรียกร้อง ทำให้ปีนี้พนักงานได้โบนัสรวม 3 เดือน

นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้กันเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับจ่ายโบนัสพนักงานแล้ว โดยจะจ่ายตามผลงาน อย่างไรก็ดี จะขอรอดูผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายให้ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปเรื่องโบนัสในสัปดาห์นี้ และจะจ่ายโบนัสวันที่ 25 ธ.ค. นี้ สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 6% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับอุตสาหกรรมธนาคาร

แหล่งข่าวจากธนาคารธนชาต เปิดเผยว่า ปีนี้โบนัสไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน คือธนาคารจ่ายโบนัส 3 เดือน แบ่งจ่าย 3 ครั้ง ครั้งละ 1 เดือน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208143
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/12/07

โพสต์ที่ 269

โพสต์

ผ่านกฎหมายใช้รถค้ำกู้

โพสต์ทูเดย์ สนช. ผ่านร่าง พ.ร.บ.รถยนต์ เปิดทางเอกชนนำรถเพื่อการก่อสร้างค้ำกู้ได้


นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ในการประชุม สนช.สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ผ่านร่าง พ.ร.บ.รถยนต์ เป็นกฎหมายแล้ว 3 วาระรวด

ทั้งนี้ สาระสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.รถยนต์ ปี 2522 ก็เพื่อให้รถยนต์ที่จดทะเบียนแล้ว รถพ่วง รถบดถนน รถเพื่อการเกษตร เป็นทรัพย์สินประเภทจำนองประกันหนี้ได้ตามกฎหมาย และผู้เป็นเจ้าของยังคงมีสิทธิ์ในการครอบครองและใช้สอยได้ดังเดิม

นายสมชาย กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มเกษตรกรรมที่จะมีช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากขึ้น โดยใช้รถยนต์ที่เป็นสินทรัพย์มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้

มีการยกข้อสังเกตขึ้นมาว่า กฎหมายนี้จะทำให้มีการปลอมแปลงทะเบียนรถยนต์นำมาจำนองมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องของสถาบันการเงินที่ให้กู้จะต้องไปพิสูจน์เองว่าทะเบียนรถจริงหรือปลอม ไม่เป็นเรื่องที่จะต้องคัดค้านไม่ให้ ผ่านกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งกฎหมายเก่าระบุให้สามารถนำเรือกลไฟไปจด จำนองได้ แต่ปัจจุบันเราไม่ได้ค้าขายทางเรือกลไฟเหมือนในอดีต กฎหมายจึงล้าสมัยต้องแก้ไขให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน นายสมชาย กล่าว

นอกจากนี้ การที่สถาบันการเงินจะให้กู้กับใครก็จะพิจารณาจากหลายอย่าง ไม่ได้ให้กู้โดยดูแต่หลักประกันเพียงอย่างเดียว

นายสมชาย กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีประโยชน์กับผู้ประกอบการเกษตรกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่จะมีแหล่งเงินหมุนเวียนมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งเพียงหลักประกันที่เป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น เพราะรถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ คันหนึ่งมีมูลค่าเป็น 10 ล้านบาท

เรื่องนี้ดีต่ออุตสาหกรรมและระบบโลจิสติกส์ เป็นเรื่องที่ดี แต่ มีคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยมาก นายสมชาย กล่าว

สำหรับกฎหมายเศรษฐกิจอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช.นั้น นายสมชาย กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายเศรษฐกิจสำคัญ ผ่าน การพิจารณาไปเกือบหมดแล้ว พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้น ในวันที่ 11 ธ.ค. จะมีการพิจารณาในที่ประชุม สนช. ส่วนร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก คาดว่าจะผ่านการพิจารณาในเร็วๆ นี้

นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ.สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในสัปดาห์หน้าเช่นกัน

ก่อน สนช.ชุดนี้จะหมดวาระ คงจะผลักดันกฎหมายเศรษฐกิจได้ครบทุกฉบับที่มีการขอแก้ไข นายสมชาย กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208144
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/12/07

โพสต์ที่ 270

โพสต์

10 อันดับธนาคาร ที่แข็งแกร่งของไทย

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้พบกับผู้บริหารของวารสาร The Asian Banker ที่มีสำนักงานใหญ่ที่สิงคโปร์ ซึ่งเขาได้รายงานให้ฟังถึงการจัด อันดับธนาคารที่ดีที่สุดของเอเชีย 300 อันดับแรกว่า มีธนาคารของประเทศเอเชียติดอันดับทั้งหมด 16 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย โดยมี 10 ธนาคารที่ติดอันดับซึ่งมีสินทรัพย์ (Assets) เท่ากับ 1.1% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมดของ 300 ธนาคาร โดยมีธนาคารของญี่ปุ่นมีสินทรัพย์ 47.6% ธนาคารจีนมีสินทรัพย์ 20.7% เป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ

จากการจัดอันดับธนาคารที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชียพบว่า ใน 10 อันดับแรกมีธนาคารญี่ปุ่น 4 แห่ง ธนาคารจีน 4 แห่ง ฮ่องกง 1 แห่ง ออสเตรเลีย 1 แห่ง โดยที่ธนาคารไทยส่วนใหญ่ได้อันดับที่ดีขึ้นจากปีที่แล้ว ที่ไม่มีธนาคารไทยติดใน 100 อันดับแรก ในปีนี้มีธนาคารไทยติดอันดับที่ดีที่สุด คือ ธนาคารกรุงเทพ อันดับที่ 70 ธนาคารไทยพาณิชย์ อันดับที่ 95 ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด อันดับที่ 95 และธนาคารกสิกรไทย อันดับที่ 103 โดยมีอันดับเรียงดังต่อไปนี้


ธนาคารกรุงเทพ ขยับมาเป็นอันดับที่ 70 จากอันดับที่ 107, ไทยพาณิชย์ ขยับมาอยู่ที่ 95 จากอันดับที่ 145, สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด อยู่ที่อันดับ 95 จากเดิมอยู่นอก 300 อันดับแรก, กสิกรไทย อยู่ที่ อันดับ 103 จากเดิม 137, กรุงไทย อยู่ที่อันดับ 155 จากเดิม 186, นครหลวงไทย อยู่ในอันดับ 217 จาก 224, กรุงศรีอยุธยา อยู่ในอันดับ 245 จากอันดับ 165, ธนาคารยูโอบี อยู่ในอันดับที่ 258 จากอันดับ 261
ทหารไทย อยู่ในอันดับ 285 จากอันดับ 226, ไทยธนาคาร อยู่ในอันดับที่ 292 จากอันดับ 212


เขามองว่า ภาพรวมโดยทั่วไปของธนาคารพาณิชย์ไทย ยังดีอยู่ โดยสัดส่วนต้นทุนการดำเนินงานต่อรายได้อยู่ในระดับ ที่รับได้ คือประมาณ 50% แต่มี 3 ธนาคารที่มีสัดส่วนต้นทุน การดำเนินงานสูง ได้แก่ ธนาคารยูโอบี ที่มีสัดส่วนต้นทุน การดำเนินงาน 67% และธนาคารทหารไทยมีสัดส่วนนี้ 95.9% และธนาคารไทยธนาคารมีสัดส่วนนี้ 131.5 % (โดยในปี 2549 ทหารไทยขาดทุน 340 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยธนาคารขาดทุน 124 ล้านเหรียญสหรัฐ)

แหล่งรายได้ของธนาคารพาณิชย์ไทยมีการกระจายตัวที่ดีขึ้น โดยหลายธนาคาร เช่น ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ มีสัดส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมด ถึงกว่า 33%

แสดงว่าธนาคารของไทยมีรายได้จากค่าธรรมเนียม ค่าบริการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และไม่ได้พึ่งพารายได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียว

ในขณะที่ข้อควรระวังก็คือ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPL มีการปรับตัวสูงขึ้น ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคลดลง สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยใน 16 ประเทศเอเชีย อัตราการขยายตัวของสินเชื่อของไทยต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 3 รองจากญี่ปุ่นและไต้หวัน

สำหรับธนาคาร 10 อันดับแรก ได้แก่

1.       Mitsubishi UFJ Financial Group

2.       Mizuho Financial Group

3.       Industrial & Commercial Bank of China

4.       Sumitomo Mitsui Financial Group

5.       China Construction Bank

6.       Agriculture Bank of China

7.       Bank of China

8.       Norinchukin Bank

9.       Hong Kong and Shanghai Banking Corporation (HSBC)

10.       National Australian Bank

วิธีการจัดอันดับความแข็งแกร่งของธนาคารดูจากข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ 10 ด้าน คือ

1.       ขนาดของสินทรัพย์

2.       การเติบโตของสินเชื่อ

3.       การเติบโตของเงินฝาก

4.       ความเพียงพอของเงินกองทุน

5.       การเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน

6.       อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Assets)

7.       ต้นทุนต่อรายได้

8.       รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมด

9.       สำรองเผื่อหนี้สูญต่อหนี้สงสัยจะสูญ

10.       อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินทรัพย์ทั้งหมด

ข้อคิดสำหรับประเทศไทยนั้น ข้อหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นประเด็นในการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์นั้น ผมมองว่า หากกฎหมาย คุ้มครองเงินฝาก ซึ่งจำกัดวงเงินการคุ้มครอง (พูดง่ายๆ คือประกันเงินฝากเพียงบางส่วน) ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติจนมีผลบังคับใช้แล้วนั้น น่าจะมีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ในด้านความสามารถในการหาเงินฝาก

ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแกร่ง ได้รับการจัดอันดับที่ดีจะหาเงินฝากได้ง่ายกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่มีความแข็งแกร่งด้อยกว่าที่ได้รับการจัดอันดับที่ไม่ดี

ดังนั้น ธนาคารที่มีความแข็งแกร่งยังไม่เพียงพอที่ได้รับการจัดอันดับไม่ดี จะต้องรีบพัฒนาปรับปรุงกิจการให้ดีขึ้น ซึ่งก็ยังพอมีเวลากว่าที่กฎหมายจะบังคับใช้เต็มที่ (คุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อรายต่อบัญชีต่อธนาคาร) ในอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208274