world economic news
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 241
สิงคโปร์ แอร์ไลน์ เตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิง ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 29, 2007
สายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส (SIA) บอกว่า สายการบินเตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงเพิ่มเติม โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ เพื่อรับมือกับราคาเชื้อเพลิงเครื่องบินที่เพิ่มสูงขึ้นที่ประมาณ 115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงในเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มเป็น 26 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ 24 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงในเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์และเมืองอื่น ๆ ในสหรัฐฯและแคนาดา จะเพิ่มเป็น 123 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 104 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเที่ยวบินในเส้นทางอื่นๆ จะเพิ่มเป็น 75 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 67 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ SIA จะติดตามราคาเชื้อเพลิงเครื่องบินอย่างใกล้ชิด และจะทบทวนการขอปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 29, 2007
สายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส (SIA) บอกว่า สายการบินเตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงเพิ่มเติม โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ เพื่อรับมือกับราคาเชื้อเพลิงเครื่องบินที่เพิ่มสูงขึ้นที่ประมาณ 115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงในเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มเป็น 26 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ 24 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงในเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์และเมืองอื่น ๆ ในสหรัฐฯและแคนาดา จะเพิ่มเป็น 123 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 104 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเที่ยวบินในเส้นทางอื่นๆ จะเพิ่มเป็น 75 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 67 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ SIA จะติดตามราคาเชื้อเพลิงเครื่องบินอย่างใกล้ชิด และจะทบทวนการขอปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 242
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดสูงสุดในรอบ 5 ปี ดึงดาวโจนส์พุ่งอีก 331 จุด รวม 2 วันติดกัน พุ่งกว่า 500 จุด
Posted on Thursday, November 29, 2007
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดสูงสุด รอบ 5 ปี ดาวโจนส์พุ่ง 331 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ เต็มไปด้วยภาวะกระทิงตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา นักลงทุนเข้ากว้านซื้อหุ้นอย่างหนาตาในทุกกลุ่ม ส่งตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี ผลักดัชนีหุ้นดาวโจนส์พุ่งทะลุ 13,000 จุด เป็นผลสำเร็จ พุ่งขึ้นถึง 331 จุด เอสแอนด์พี 500 เพิ่มสูงขึ้น 40 จุด และนาสแด็คทะยานมากขึ้น 82 จุด นั่นหมายถึง ทั้งดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 ทะลุเกือบ 3% นาสแด็คปรับเพิ่มสูงกว่า 3% ชั่วข้ามคืน จากปัจจัยบวกสำคัญมากที่สุด คือ การให้สัมภาษณ์ของรองประธานธนาคารกลางสหรัฐ โดนัลด์ โคห์น ซึ่งตลาดมองเห็นโอกาสลดดอกเบี้ยของเฟดมีสูงมากขึ้น
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ พุ่งมากสุดใน 1 วันทำการในรอบ 4 ปีครึ่ง
ภาวะตลาดกระทิงที่เกิดขึ้นคืนที่ผ่านมา ทำให้สถิติใหม่เกิดขึ้นทันที เช่น หากนับรวม 2 วันทำการติดต่อกัน ตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 วันทำการในรอบ 4 ปีครึ่ง หรือตั้งแต่เมษายน ปี 2003 หรือในปี 2546 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 รวม 2 วันทำการทะยานเพิ่มขึ้นถึง 4.4% กลายเป็นสถิติที่มากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ตุลาคม ปี 2002 หรือในปี 2545 สะท้อนให้เห็นถึง ทุกๆ 1 หุ้นบริษัทที่ปรับลดลง จะมีอีก 13 หุ้นบริษัทที่ทะยานขึ้นปิดในแดนบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
Posted on Thursday, November 29, 2007
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดสูงสุด รอบ 5 ปี ดาวโจนส์พุ่ง 331 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ เต็มไปด้วยภาวะกระทิงตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา นักลงทุนเข้ากว้านซื้อหุ้นอย่างหนาตาในทุกกลุ่ม ส่งตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี ผลักดัชนีหุ้นดาวโจนส์พุ่งทะลุ 13,000 จุด เป็นผลสำเร็จ พุ่งขึ้นถึง 331 จุด เอสแอนด์พี 500 เพิ่มสูงขึ้น 40 จุด และนาสแด็คทะยานมากขึ้น 82 จุด นั่นหมายถึง ทั้งดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 ทะลุเกือบ 3% นาสแด็คปรับเพิ่มสูงกว่า 3% ชั่วข้ามคืน จากปัจจัยบวกสำคัญมากที่สุด คือ การให้สัมภาษณ์ของรองประธานธนาคารกลางสหรัฐ โดนัลด์ โคห์น ซึ่งตลาดมองเห็นโอกาสลดดอกเบี้ยของเฟดมีสูงมากขึ้น
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ พุ่งมากสุดใน 1 วันทำการในรอบ 4 ปีครึ่ง
ภาวะตลาดกระทิงที่เกิดขึ้นคืนที่ผ่านมา ทำให้สถิติใหม่เกิดขึ้นทันที เช่น หากนับรวม 2 วันทำการติดต่อกัน ตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 วันทำการในรอบ 4 ปีครึ่ง หรือตั้งแต่เมษายน ปี 2003 หรือในปี 2546 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 รวม 2 วันทำการทะยานเพิ่มขึ้นถึง 4.4% กลายเป็นสถิติที่มากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ตุลาคม ปี 2002 หรือในปี 2545 สะท้อนให้เห็นถึง ทุกๆ 1 หุ้นบริษัทที่ปรับลดลง จะมีอีก 13 หุ้นบริษัทที่ทะยานขึ้นปิดในแดนบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 243
ดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารในยุโรป พุ่งสูงสุดรอบ 6 ปี
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้น 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ในกลุ่มสหภาพยุโรป ล่าสุด ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2001 หรือในปี 2544 ที่ผ่านมา สาเหตุจากความต้องการของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเกือบทุกแห่งในยุโรป ราว 175 แห่ง ที่เร่งกู้ยืมเงินมากขึ้น เพื่อรักษาสภาพคล่องของธนาคารแต่ละแห่ง โดยมีมูลค่าเงินกู้ยืมพุ่งขึ้นแตะ 7 หมื่น 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.5 ล้านๆบาท ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นดังกล่าว ทะยานขึ้นแตะที่ระดับ 4.7% อย่างไรก็ตาม อัตราเสนอสูงสุดอยู่ที่ระดับ 4.8%
ไครส์เลอร์ ลั่น ปลดพนักงานอีกปีหน้า
นายบ๊อบ นาเดลลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท ไครส์เลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ 3 ในสหรัฐ กล่าวว่า อาจมีความจำเป็นมากขึ้น ที่ต้องปลดพนักงานเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า หลังจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทไครส์เลอร์ ได้ปลดพนักงานมากถึง 2.3 หมื่นคน สาเหตุสำคัญที่ยังคงกดดัน เกิดจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงต่อเนื่อง กระทบตลาดรถยนต์อย่างหนัก ฉุดความต้องการในตลาดรถยนต์ดิ่งลง ทั้งนี้ คาดกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ย่ำแย่มากที่สุดในรอบมากกว่า 10 ปีของอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้น 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ในกลุ่มสหภาพยุโรป ล่าสุด ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2001 หรือในปี 2544 ที่ผ่านมา สาเหตุจากความต้องการของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเกือบทุกแห่งในยุโรป ราว 175 แห่ง ที่เร่งกู้ยืมเงินมากขึ้น เพื่อรักษาสภาพคล่องของธนาคารแต่ละแห่ง โดยมีมูลค่าเงินกู้ยืมพุ่งขึ้นแตะ 7 หมื่น 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.5 ล้านๆบาท ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นดังกล่าว ทะยานขึ้นแตะที่ระดับ 4.7% อย่างไรก็ตาม อัตราเสนอสูงสุดอยู่ที่ระดับ 4.8%
ไครส์เลอร์ ลั่น ปลดพนักงานอีกปีหน้า
นายบ๊อบ นาเดลลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท ไครส์เลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ 3 ในสหรัฐ กล่าวว่า อาจมีความจำเป็นมากขึ้น ที่ต้องปลดพนักงานเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า หลังจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทไครส์เลอร์ ได้ปลดพนักงานมากถึง 2.3 หมื่นคน สาเหตุสำคัญที่ยังคงกดดัน เกิดจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงต่อเนื่อง กระทบตลาดรถยนต์อย่างหนัก ฉุดความต้องการในตลาดรถยนต์ดิ่งลง ทั้งนี้ คาดกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ย่ำแย่มากที่สุดในรอบมากกว่า 10 ปีของอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 244
จีนวิตกหากบีเอชพี-ริโอ ทินโตควบกิจการ หวั่นอาจเกิดการผูกขาดด้านราคา
นายฉิน กัง โฆษกรัฐบาลจีน แสดงความวิตกกังวลว่า หาก บีเอชพี บิลลิตัน ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกด้านธุรกิจทรัพยากร สามารถเทคโอเวอร์บริษัทคู่แข่งอย่างริโอ ทินโตได้สำเร็จ อาจส่งผลให้เกิดการผูกขาดทางราคาได้ แม้ว่าริโอ ทินโตจะปฏิเสธข้อเสนอของบีเอชพี บิลลิตัน ในการรวมกิจการซึ่งมีมูลค่ากว่า 3.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว แต่ในการประชุมสามัญประจำปีของบีเอชพี บิลลิตันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นายมาริอุส คลอปเปอร์ส ประธานบริหารของบริษัท ยังแสดงความหวังว่า ริโอ ทินโต อาจพิจารณาข้อเสนอการเทคโอเวอร์มูลค่ากว่า 1.24 แสนล้านดอลลาร์
อียูเรียกร้องจีนปฏิบัติกับบริษัทยุโรปที่ทำธุรกิจในจีนเป็นธรรมกว่านี้
นายปีเตอร์ แมนเดลสัน คณะกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป (อียู) แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจในจีน และกล่าวย้ำให้จีนปฏิบัติกับบริษัทสัญชาติยุโรปที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศจีนด้วยความเป็นธรรมมากกว่านี้ นายแมนเดลสันกล่าวว่า แม้ความสัมพันธ์อียู-จีนจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าการค้าขายระหว่างกันถึง 3 แสนล้านยูโร แต่ยุโรปก็เริ่มไม่พอใจกับปัญหาการทำธุรกิจในจีนมากขึ้นทุกที ตั้งแต่ปัญหาการเข้าถึงตลาดไปจนถึงปัญหาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ จีนมียอดเกินดุลการค้ากับยุโรปกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายฉิน กัง โฆษกรัฐบาลจีน แสดงความวิตกกังวลว่า หาก บีเอชพี บิลลิตัน ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกด้านธุรกิจทรัพยากร สามารถเทคโอเวอร์บริษัทคู่แข่งอย่างริโอ ทินโตได้สำเร็จ อาจส่งผลให้เกิดการผูกขาดทางราคาได้ แม้ว่าริโอ ทินโตจะปฏิเสธข้อเสนอของบีเอชพี บิลลิตัน ในการรวมกิจการซึ่งมีมูลค่ากว่า 3.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว แต่ในการประชุมสามัญประจำปีของบีเอชพี บิลลิตันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นายมาริอุส คลอปเปอร์ส ประธานบริหารของบริษัท ยังแสดงความหวังว่า ริโอ ทินโต อาจพิจารณาข้อเสนอการเทคโอเวอร์มูลค่ากว่า 1.24 แสนล้านดอลลาร์
อียูเรียกร้องจีนปฏิบัติกับบริษัทยุโรปที่ทำธุรกิจในจีนเป็นธรรมกว่านี้
นายปีเตอร์ แมนเดลสัน คณะกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป (อียู) แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจในจีน และกล่าวย้ำให้จีนปฏิบัติกับบริษัทสัญชาติยุโรปที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศจีนด้วยความเป็นธรรมมากกว่านี้ นายแมนเดลสันกล่าวว่า แม้ความสัมพันธ์อียู-จีนจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าการค้าขายระหว่างกันถึง 3 แสนล้านยูโร แต่ยุโรปก็เริ่มไม่พอใจกับปัญหาการทำธุรกิจในจีนมากขึ้นทุกที ตั้งแต่ปัญหาการเข้าถึงตลาดไปจนถึงปัญหาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ จีนมียอดเกินดุลการค้ากับยุโรปกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/12/07
โพสต์ที่ 245
"เบอร์นันเก"ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐไม่แน่นอนสูง
นายเบน เบอร์นันเก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ต่อกลุ่มธุรกิจในรัฐนอร์ธคาโรไลนา ว่าผู้กำหนดนโยบายของเฟดกำลังติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีทั้งบวกและลบอย่างระมัดระวัง ข้อมูลเหล่านี้ระบุว่าภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังซบเซา ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคค่อนข้างอ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดคาดว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะขยายตัวและอเมริกาน่าจะรับมือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นได้โดยไม่ตกสู่ภาวะถดถอย แต่เขาชี้ว่าผู้บริโภคอาจมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น
นายเบอร์นันเกเสริมว่าเฟดจะเตรียมพร้อมและยืดหยุ่นเป็นพิเศษในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
นายเบอร์นันเกไม่ได้ระบุว่าเฟดจะเคลื่อนไหวอย่างไรในการประชุมวันที่ 11 ธค. ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของปี แต่คำพูดของเขาสะท้อนถ้อยคำของนายโดนัลด์ โคห์น รองประธานเฟด ที่กล่าวว่าเฟดต้องว่องไวและเฉียบขาดในการดำเนินนโยบาย และไม่ควรทำให้เศรษฐกิจต้องตกเป็นตัวประกัน เพื่อสอนบทเรียนให้แก่นักเก็งกำไรในตลาดการเงิน คำพูดนี้ก่อให้เกิดความหวังว่าเฟดมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
นายเบน เบอร์นันเก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ต่อกลุ่มธุรกิจในรัฐนอร์ธคาโรไลนา ว่าผู้กำหนดนโยบายของเฟดกำลังติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีทั้งบวกและลบอย่างระมัดระวัง ข้อมูลเหล่านี้ระบุว่าภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังซบเซา ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคค่อนข้างอ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดคาดว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะขยายตัวและอเมริกาน่าจะรับมือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นได้โดยไม่ตกสู่ภาวะถดถอย แต่เขาชี้ว่าผู้บริโภคอาจมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น
นายเบอร์นันเกเสริมว่าเฟดจะเตรียมพร้อมและยืดหยุ่นเป็นพิเศษในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
นายเบอร์นันเกไม่ได้ระบุว่าเฟดจะเคลื่อนไหวอย่างไรในการประชุมวันที่ 11 ธค. ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของปี แต่คำพูดของเขาสะท้อนถ้อยคำของนายโดนัลด์ โคห์น รองประธานเฟด ที่กล่าวว่าเฟดต้องว่องไวและเฉียบขาดในการดำเนินนโยบาย และไม่ควรทำให้เศรษฐกิจต้องตกเป็นตัวประกัน เพื่อสอนบทเรียนให้แก่นักเก็งกำไรในตลาดการเงิน คำพูดนี้ก่อให้เกิดความหวังว่าเฟดมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/12/07
โพสต์ที่ 246
ไอเอ็มเอฟเตรียมลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก
นายมาซูด อาห์เหมด โฆษกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงว่าไอเอ็มเอฟมีแนวโน้มจะลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีหน้า ผลจากความปั่นป่วนในตลาดการเงินและราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้น โดยในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเมื่อเดือนตค. ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 4.8% ปีหน้า
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าการขยายตัวของปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นจาก 5.2% เพราะประเทศตลาดเกิดใหม่หลายชาติมีการขยายตัวที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
นายมาซูด อาห์เหมด โฆษกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงว่าไอเอ็มเอฟมีแนวโน้มจะลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีหน้า ผลจากความปั่นป่วนในตลาดการเงินและราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้น โดยในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเมื่อเดือนตค. ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 4.8% ปีหน้า
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าการขยายตัวของปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นจาก 5.2% เพราะประเทศตลาดเกิดใหม่หลายชาติมีการขยายตัวที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/12/07
โพสต์ที่ 247
ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ทำสถิติสูงสุด ข่าว 17.00 น.
Posted on Monday, December 03, 2007
กระทรวงพาณิชย์เกาหลีใต้ ระบุว่า ยอดส่งออกในเดือนพฤศจิกายน ปรับเพิ่มขึ้น 17.5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มาจากยอดส่งออกอุปกรณ์เครื่องจักร เพิ่มขึ้น 43.3% ยอดส่งออกโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพิ่มขึ้น 30.5% และยอดส่งออกเรือ เพิ่มขึ้น 22.8% ส่วนยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ลดลง 11.4%
ขณะที่ยอดการนำเข้า เพิ่มขึ้น 26.5% มาอยู่ที่ 3.39 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับยอดส่งออกไปจีนในช่วง 20 วันแรกของเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.1% ยอดส่งออกไปยังประเทศในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 28% ส่วนยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ส่งออกอินโดฯเดือนต.ค.พุ่งทำสถิติ ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, December 03, 2007
นายรัสแมน เฮเรียวาน ประธานสำนักงานสถิติกลางของอินโดนีเซีย บอกว่า ยอดส่งออกของอินโดนีเซียในเดือนตุลาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.025 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคมที่มียอดการส่งออกที่ 1.004 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ยอดส่งออกในเดือนตุลาคม ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ 9 คนที่ธอมสัน ไฟแนนเชียลสำรวจความคิดเห็นได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 9.41-9.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนยอดการนำเข้าในเดือนตุลาคม อยู่ที่ระดับ 6.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 6.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายน ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 3.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 2.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
รมว.คลังอินเดียยอมรับเศรษฐกิจอินเดียยังล้าหลัง ข่าว 16.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, December 03, 2007
นายพี ชิดามบาราม รัฐมนตรีกระทรวงการคลังอินเดีย ยอมรับว่า การปฏิรูปภาคเศรษฐกิจทั้งธนาคาร, ประกัน, บำเหน็จบำนาญ และกฎระเบียบตลาดทุนของอินเดียยังล้าหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาล โดยเชื่อว่าระยะเวลาที่เหลืออยู่อีก 16 เดือนของรัฐบาล อาจจะมีความก้าวหน้าในการปฏิรูปได้บ้าง
รวมทั้ง การเป็นหุ้นส่วนกันระหว่างภาครัฐและเอกชนนั้นยังมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าอินเดียจะมีโครงการภาคสังคมที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการจ้างงาน สาธารณสุข การศึกษา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Monday, December 03, 2007
กระทรวงพาณิชย์เกาหลีใต้ ระบุว่า ยอดส่งออกในเดือนพฤศจิกายน ปรับเพิ่มขึ้น 17.5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มาจากยอดส่งออกอุปกรณ์เครื่องจักร เพิ่มขึ้น 43.3% ยอดส่งออกโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพิ่มขึ้น 30.5% และยอดส่งออกเรือ เพิ่มขึ้น 22.8% ส่วนยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ลดลง 11.4%
ขณะที่ยอดการนำเข้า เพิ่มขึ้น 26.5% มาอยู่ที่ 3.39 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับยอดส่งออกไปจีนในช่วง 20 วันแรกของเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.1% ยอดส่งออกไปยังประเทศในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 28% ส่วนยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ส่งออกอินโดฯเดือนต.ค.พุ่งทำสถิติ ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, December 03, 2007
นายรัสแมน เฮเรียวาน ประธานสำนักงานสถิติกลางของอินโดนีเซีย บอกว่า ยอดส่งออกของอินโดนีเซียในเดือนตุลาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.025 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคมที่มียอดการส่งออกที่ 1.004 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ยอดส่งออกในเดือนตุลาคม ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ 9 คนที่ธอมสัน ไฟแนนเชียลสำรวจความคิดเห็นได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 9.41-9.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนยอดการนำเข้าในเดือนตุลาคม อยู่ที่ระดับ 6.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 6.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายน ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 3.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 2.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
รมว.คลังอินเดียยอมรับเศรษฐกิจอินเดียยังล้าหลัง ข่าว 16.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, December 03, 2007
นายพี ชิดามบาราม รัฐมนตรีกระทรวงการคลังอินเดีย ยอมรับว่า การปฏิรูปภาคเศรษฐกิจทั้งธนาคาร, ประกัน, บำเหน็จบำนาญ และกฎระเบียบตลาดทุนของอินเดียยังล้าหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาล โดยเชื่อว่าระยะเวลาที่เหลืออยู่อีก 16 เดือนของรัฐบาล อาจจะมีความก้าวหน้าในการปฏิรูปได้บ้าง
รวมทั้ง การเป็นหุ้นส่วนกันระหว่างภาครัฐและเอกชนนั้นยังมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าอินเดียจะมีโครงการภาคสังคมที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการจ้างงาน สาธารณสุข การศึกษา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/12/07
โพสต์ที่ 248
สื่อออกโรงแนะจีนคำนึงผลกระทบศก.เหตุปฏิรูปเงินหยวน
สื่อจีนแนะรัฐบาลควรเพิ่มความยืดหยุ่นของค่าเงินหยวนและบทบาทของตลาดในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ด้านผู้นำระดับสูงสุดขอร่วมประชุมที่กรุงปักกิ่ง เพื่อกำหนดนโยบายเศรษฐกิจสำหรับปีหน้า ขณะที่กำลังพยายามหาทางลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
หนังสือพิมพ์พีเพิลส์ เดลี่ กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่า จีนควรเพิ่มความยืดหยุ่นของค่าเงินหยวนและบทบาทของตลาดในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ต้องคำนึงถึงอย่างมากด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลอย่างไรต่อการจ้างงาน เสถียรภาพ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
โดยบทความแสดงทัศนะในพีเพิลส์ เดลี่ ระบุด้วยว่า ในการปฏิรูปเงินหยวนจีนต้องคำนึงถึงความพร้อมของภาคการเงิน ความสามารถของบริษัทจีนในการรับมือกับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ผลกระทบต่อการค้าต่างประเทศ ตลอดจนต่อเศรษฐกิจอื่นๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกด้วย
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า การประชุมเศรษฐกิจของจีนประกอบด้วยผู้มีอำนาจในการตัดสินใจจากทั้งพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาล แต่ไม่ได้กำหนดจำนวนวันในการประชุม แต่ที่ผ่านมามักใช้เวลาประมาณ 3 วัน
ทั้งนี้ รายงานคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวร้อยละ 11.5 ในปีนี้ ซึ่งจะนับเป็นปีที่ 5 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนเป็นเลขสองหลัก ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.5
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
สื่อจีนแนะรัฐบาลควรเพิ่มความยืดหยุ่นของค่าเงินหยวนและบทบาทของตลาดในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ด้านผู้นำระดับสูงสุดขอร่วมประชุมที่กรุงปักกิ่ง เพื่อกำหนดนโยบายเศรษฐกิจสำหรับปีหน้า ขณะที่กำลังพยายามหาทางลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
หนังสือพิมพ์พีเพิลส์ เดลี่ กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่า จีนควรเพิ่มความยืดหยุ่นของค่าเงินหยวนและบทบาทของตลาดในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ต้องคำนึงถึงอย่างมากด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลอย่างไรต่อการจ้างงาน เสถียรภาพ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
โดยบทความแสดงทัศนะในพีเพิลส์ เดลี่ ระบุด้วยว่า ในการปฏิรูปเงินหยวนจีนต้องคำนึงถึงความพร้อมของภาคการเงิน ความสามารถของบริษัทจีนในการรับมือกับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ผลกระทบต่อการค้าต่างประเทศ ตลอดจนต่อเศรษฐกิจอื่นๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกด้วย
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า การประชุมเศรษฐกิจของจีนประกอบด้วยผู้มีอำนาจในการตัดสินใจจากทั้งพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาล แต่ไม่ได้กำหนดจำนวนวันในการประชุม แต่ที่ผ่านมามักใช้เวลาประมาณ 3 วัน
ทั้งนี้ รายงานคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวร้อยละ 11.5 ในปีนี้ ซึ่งจะนับเป็นปีที่ 5 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนเป็นเลขสองหลัก ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.5
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/12/07
โพสต์ที่ 249
ไอเอ็มเอฟ ชี้ เศรษฐกิจอียูชะลอเหลือ 2% ปีหน้า
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า เขตเศรษฐกิจทั้ง 13 ประเทศสมาชิกในยุโรป ที่ร่วมกันใช้เงินเหรียญยูโร จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าชะลอตัวลงจากปีนี้ มาอยู่ที่ 2% โดยมุมมองดังกล่าวของไอเอ็มเอฟ สอดคล้องกับบรรดารัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศยูโรดังกล่าว ที่ประเมินว่า ในปีหน้า ทั้ง 13 ประเทศกลุ่มยูโร จะขยายตัวเพียง 2.2% จากปัจจัยของเงินเหรียญยูโรแข็งค่า กระทบภาคการส่งออก ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง และภาวะสภาพคล่อง รวมถึงตลาดสินเชื่อในระบบการเงินยังคงตึงตัว
ศูนย์สารสนเทศจีนคาด GDP ปี 50 ขยายตัว 11.4% ขณะที่ CPI โต 4.7%
ศูนย์สารสนเทศแห่งชาติจีนคาดการณ์ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของจีนจะเพิ่มขึ้น 11.4% ในปี 2550 และ 10.8% ในปี 2551 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) คาดว่า จะเติบโตประมาณ 4.7% ในปี 2550 และ 4.5% ในปี 2551 ตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของจีนในปี 2550 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 25.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคาดว่า จะเติบโต 23.5% ในปี 2551 ยอดเกินดุลการค้าคาดจะอยู่ที่ระดับ 2.68 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2550 และที่ระดับ 3.284 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2551
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า เขตเศรษฐกิจทั้ง 13 ประเทศสมาชิกในยุโรป ที่ร่วมกันใช้เงินเหรียญยูโร จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าชะลอตัวลงจากปีนี้ มาอยู่ที่ 2% โดยมุมมองดังกล่าวของไอเอ็มเอฟ สอดคล้องกับบรรดารัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศยูโรดังกล่าว ที่ประเมินว่า ในปีหน้า ทั้ง 13 ประเทศกลุ่มยูโร จะขยายตัวเพียง 2.2% จากปัจจัยของเงินเหรียญยูโรแข็งค่า กระทบภาคการส่งออก ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง และภาวะสภาพคล่อง รวมถึงตลาดสินเชื่อในระบบการเงินยังคงตึงตัว
ศูนย์สารสนเทศจีนคาด GDP ปี 50 ขยายตัว 11.4% ขณะที่ CPI โต 4.7%
ศูนย์สารสนเทศแห่งชาติจีนคาดการณ์ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของจีนจะเพิ่มขึ้น 11.4% ในปี 2550 และ 10.8% ในปี 2551 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) คาดว่า จะเติบโตประมาณ 4.7% ในปี 2550 และ 4.5% ในปี 2551 ตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของจีนในปี 2550 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 25.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคาดว่า จะเติบโต 23.5% ในปี 2551 ยอดเกินดุลการค้าคาดจะอยู่ที่ระดับ 2.68 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2550 และที่ระดับ 3.284 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2551
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 250
เจาะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดโลกปี 51 ผ่านสายตา Private Bank ต่างชาติ
Posted on Thursday, December 06, 2007
นายวิรัช สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอีเอฟจี สาขาสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า ปี 2551 เศรษฐกิจโลกจะถดถอยลงเล็กน้อย โดยมีปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงจากปัญหา Subprime แต่ยังไม่ถึงกับซบเซาอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยสังเกตได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ทั้งตัวเลขเงินเดือนที่ไม่ได้ปรับลดลงมาก ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานก็ยังพอไปได้
ทั้งนี้ สถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ก็เป็นความเสียหายที่เกิดจากการลงบัญชี (Mark to Market) แต่ยังไม่มีการซื้อขายจริงเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีของผู้ที่มองเห็นโอกาสในการลงทุน เพราะจะสามารถซื้อทรัพย์สินได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจริงถึง 30% ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหา Suprime นั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอื่น ๆ ด้วย โดยทั่วโลกต่างก็คาดว่า ปีหน้าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับ 4 3.5%
ขณะที่เศรษฐกิจของยุโรปในปี 2551 ก็จะชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะทำให้ยุโรปต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ส่วนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะยังทรงตัวต่อเนื่อง และคาดว่าญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ซึ่งการที่ญี่ปุ่นมีดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้บรรดานักเก็งกำไร (Hedge Fund) มากู้เงินจากญี่ปุ่นเพื่อไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า (YEN Carry Trade) ซึ่งจะทำให้เงินเยนเกิดความผันผวนตามมา
นายวิรัชบอกว่า ปัจจุบันสภาพคล่องในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีมากถึงวันละ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์/วัน เพิ่มขึ้นจากในอดีต 3 4 เท่า ส่วนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้มีกำไรเข้าตะวันออกกลางถึงวันละ 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสภาพคล่องที่มีมาก ทำให้เกิดความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากสภาพคล่องเหล่านี้จะไหลเข้ามาหาผลตอบแทนในเอเชีย รวมทั้งไทยมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนทั่วโลกก็มองว่า ค่าเงินในเอเชียจะต้องแข็งค่า โดยเฉพาะเงินหยวนที่ขณะนี้อ่อนค่ากว่าความจริงถึง 20% ดังนั้น ไทยก็ควรจะมีมาตรการดูแลเรื่องค่าเงินด้วย เพราะไทยมีการส่งออกถึง 60% ของ GDP
สำหรับการลงทุนในปี 2551 นักลงทุนต่างชาติยังจะมีการทำ Carry Trade อย่างต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ก็ยังน่าสนใจ เพราะเศรษฐกิจก็ยังเติบโต ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็น่าลงทุน เพราะมีค่า P/E ไม่สูง เพียงแต่ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นในเอเชีย ดังนั้น ถ้าไทยสามารถลดความผันผวนของตลาดหุ้นให้เท่ากับตลาดหุ้นในเอเชียได้ ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยก็ได้พยายามลดความผันผวนด้วยการออก SET 50 Index Futures ซึ่งถ้าในอนาคตนักลงทุนมีการซื้อขาย SET 50 Index Futures มากขึ้น ก็จะช่วยลดความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทยได้
นอกจากนี้สินค้าในตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่สะท้อนระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับส่งออก แต่บริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีกำไรสูงก็ยังไม่ได้เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น ดังนั้น ถ้าภาครัฐสามารถนำบริษัทเหล่านี้มาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ก็จะช่วยสะท้อนภาพของระบบเศรษฐกิจได้ดีขึ้น
นายวิรัชแนะนักลงทุนด้วยว่า ให้ลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ไม่น้อยกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะจะมีสภาพคล่องมากพอที่จะให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่ ก็ทำให้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคของประชาชนมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะภาครัฐจะต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ธนาคาร EGF เป็นธนาคารส่วนบุคคล (Private Bank) สัญชาติสวิส ที่เน้นธุรกิจด้านการจัดการสินทรัพย์สำหรับนักลงทุนส่วนบุคคลและสถาบัน และมีสาขาอยู่ในประเทศต่าง ๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 06, 2007
นายวิรัช สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอีเอฟจี สาขาสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า ปี 2551 เศรษฐกิจโลกจะถดถอยลงเล็กน้อย โดยมีปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงจากปัญหา Subprime แต่ยังไม่ถึงกับซบเซาอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยสังเกตได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ทั้งตัวเลขเงินเดือนที่ไม่ได้ปรับลดลงมาก ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานก็ยังพอไปได้
ทั้งนี้ สถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ก็เป็นความเสียหายที่เกิดจากการลงบัญชี (Mark to Market) แต่ยังไม่มีการซื้อขายจริงเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีของผู้ที่มองเห็นโอกาสในการลงทุน เพราะจะสามารถซื้อทรัพย์สินได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจริงถึง 30% ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหา Suprime นั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอื่น ๆ ด้วย โดยทั่วโลกต่างก็คาดว่า ปีหน้าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับ 4 3.5%
ขณะที่เศรษฐกิจของยุโรปในปี 2551 ก็จะชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะทำให้ยุโรปต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ส่วนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะยังทรงตัวต่อเนื่อง และคาดว่าญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ซึ่งการที่ญี่ปุ่นมีดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้บรรดานักเก็งกำไร (Hedge Fund) มากู้เงินจากญี่ปุ่นเพื่อไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า (YEN Carry Trade) ซึ่งจะทำให้เงินเยนเกิดความผันผวนตามมา
นายวิรัชบอกว่า ปัจจุบันสภาพคล่องในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีมากถึงวันละ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์/วัน เพิ่มขึ้นจากในอดีต 3 4 เท่า ส่วนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้มีกำไรเข้าตะวันออกกลางถึงวันละ 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสภาพคล่องที่มีมาก ทำให้เกิดความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากสภาพคล่องเหล่านี้จะไหลเข้ามาหาผลตอบแทนในเอเชีย รวมทั้งไทยมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนทั่วโลกก็มองว่า ค่าเงินในเอเชียจะต้องแข็งค่า โดยเฉพาะเงินหยวนที่ขณะนี้อ่อนค่ากว่าความจริงถึง 20% ดังนั้น ไทยก็ควรจะมีมาตรการดูแลเรื่องค่าเงินด้วย เพราะไทยมีการส่งออกถึง 60% ของ GDP
สำหรับการลงทุนในปี 2551 นักลงทุนต่างชาติยังจะมีการทำ Carry Trade อย่างต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ก็ยังน่าสนใจ เพราะเศรษฐกิจก็ยังเติบโต ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็น่าลงทุน เพราะมีค่า P/E ไม่สูง เพียงแต่ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นในเอเชีย ดังนั้น ถ้าไทยสามารถลดความผันผวนของตลาดหุ้นให้เท่ากับตลาดหุ้นในเอเชียได้ ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยก็ได้พยายามลดความผันผวนด้วยการออก SET 50 Index Futures ซึ่งถ้าในอนาคตนักลงทุนมีการซื้อขาย SET 50 Index Futures มากขึ้น ก็จะช่วยลดความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทยได้
นอกจากนี้สินค้าในตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่สะท้อนระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับส่งออก แต่บริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีกำไรสูงก็ยังไม่ได้เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น ดังนั้น ถ้าภาครัฐสามารถนำบริษัทเหล่านี้มาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ก็จะช่วยสะท้อนภาพของระบบเศรษฐกิจได้ดีขึ้น
นายวิรัชแนะนักลงทุนด้วยว่า ให้ลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ไม่น้อยกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะจะมีสภาพคล่องมากพอที่จะให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่ ก็ทำให้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคของประชาชนมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะภาครัฐจะต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ธนาคาร EGF เป็นธนาคารส่วนบุคคล (Private Bank) สัญชาติสวิส ที่เน้นธุรกิจด้านการจัดการสินทรัพย์สำหรับนักลงทุนส่วนบุคคลและสถาบัน และมีสาขาอยู่ในประเทศต่าง ๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 251
รัฐบาลจีนย้ำจะใช้นโยบายการเงินปี 2551 อย่างรอบคอบไปจนถึงเข้มงวด
ที่ประชุมด้านเศรษฐกิจของจีนได้ปิดฉากลงแล้วเมื่อวานนี้ โดยรัฐบาลจีนจะใช้นโยบายการเงินในปี 2551 อย่างรอบคอบไปจนถึงระดับเข้มงวด จีนจะควบคุมปริมาณและจังหวะในการปล่อยเงินกู้ เพื่อที่จะได้ควบคุมการชำระหนี้ทั้งภายในและต่างประเทศให้ดีขึ้น รวมทั้งใช้มาตรการควบคุม 2 ประการ คือ การป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วจนเกินไปและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีน และนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ได้กล่าวปราศรัยในการประชุมดังกล่าวซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันจันทร์และวันพุธ
โกลด์แมนแซคส์คาด CPI เงินเฟ้อจีนเดือนพ.ย.พุ่งแตะ 6.7%
โกลด์แมน แซคส์ คาดว่า ดัชนี CPI เงินเฟ้อของจีนในเดือนพ.ย. 2550 จะอยู่สูงถึงระดับ 6.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากที่ดัชนี CPI ได้ขยายตัวถึงระดับ 6% แล้วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี CPI จีนเดือนส.ค.และต.ค.ที่ผ่านมาล้วนแต่อยู่ในระดับสูงที่ 6.5% โดยจีนมีกำหนดการเปิดเผยข้อมูล CPI ประจำเดือนพ.ย.ในสัปดาห์หน้า โกลด์แมน แซคส์ คาดว่า การขยายตัวของดัชนี CPI เนื่องมาจากราคาน้ำมัน เหล็ก และถ่านหินที่ถีบตัวสูงขึ้น
ผู้นำออสเตรเลียคนใหม่เรียกร้องให้สหรัฐให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเกียวโต
นายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ออสเตรเลียเรียกร้องให้สหรัฐปฏิบัติตามอย่างออสเตรเลีย และให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเกียวโตเพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน นายรัดด์ ซึ่งมีชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลียเมื่อวันที่ 24 เดือนที่แล้วได้ลงนามเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมารับรองพิธีสารเกียวโตอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ปัจจุบันสหรัฐเป็นประเทศอุตสาหกรรมเพียงประเทศเดียวที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเกียวโต
ออสเตรเลียเผย GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 4.3% ต่อปี
สำนักงานสถิติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของออสเตรเลียในไตรมาส 3 ขยายตัว 4.3% จากระดับปีที่แล้ว และขยายตัว 1% เมื่อเทียบจากระดับไตรมาส 2 สถิติดังกล่าวสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่า จะขยายตัว 1%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
ที่ประชุมด้านเศรษฐกิจของจีนได้ปิดฉากลงแล้วเมื่อวานนี้ โดยรัฐบาลจีนจะใช้นโยบายการเงินในปี 2551 อย่างรอบคอบไปจนถึงระดับเข้มงวด จีนจะควบคุมปริมาณและจังหวะในการปล่อยเงินกู้ เพื่อที่จะได้ควบคุมการชำระหนี้ทั้งภายในและต่างประเทศให้ดีขึ้น รวมทั้งใช้มาตรการควบคุม 2 ประการ คือ การป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วจนเกินไปและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีน และนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ได้กล่าวปราศรัยในการประชุมดังกล่าวซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันจันทร์และวันพุธ
โกลด์แมนแซคส์คาด CPI เงินเฟ้อจีนเดือนพ.ย.พุ่งแตะ 6.7%
โกลด์แมน แซคส์ คาดว่า ดัชนี CPI เงินเฟ้อของจีนในเดือนพ.ย. 2550 จะอยู่สูงถึงระดับ 6.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากที่ดัชนี CPI ได้ขยายตัวถึงระดับ 6% แล้วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี CPI จีนเดือนส.ค.และต.ค.ที่ผ่านมาล้วนแต่อยู่ในระดับสูงที่ 6.5% โดยจีนมีกำหนดการเปิดเผยข้อมูล CPI ประจำเดือนพ.ย.ในสัปดาห์หน้า โกลด์แมน แซคส์ คาดว่า การขยายตัวของดัชนี CPI เนื่องมาจากราคาน้ำมัน เหล็ก และถ่านหินที่ถีบตัวสูงขึ้น
ผู้นำออสเตรเลียคนใหม่เรียกร้องให้สหรัฐให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเกียวโต
นายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ออสเตรเลียเรียกร้องให้สหรัฐปฏิบัติตามอย่างออสเตรเลีย และให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเกียวโตเพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน นายรัดด์ ซึ่งมีชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลียเมื่อวันที่ 24 เดือนที่แล้วได้ลงนามเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมารับรองพิธีสารเกียวโตอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ปัจจุบันสหรัฐเป็นประเทศอุตสาหกรรมเพียงประเทศเดียวที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเกียวโต
ออสเตรเลียเผย GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 4.3% ต่อปี
สำนักงานสถิติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของออสเตรเลียในไตรมาส 3 ขยายตัว 4.3% จากระดับปีที่แล้ว และขยายตัว 1% เมื่อเทียบจากระดับไตรมาส 2 สถิติดังกล่าวสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่า จะขยายตัว 1%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 252
เจาะอนาคต 15 ธุรกิจหลักของโลก ตลาดเกิดใหม่ ฮีโร่ขับเคลื่อน ศก. (1)
การมองอนาคต คือสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นวันนี้เราจะมาแจกแจงแนวโน้มของ 15 ธุรกิจหลักในเวทีเศรษฐกิจโลกในปี 2551 ว่า จะบ่ายหน้าไปทิศทางไหน เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
เริ่มแรกก็ต้องดูกันที่บรรยากาศโดยรวมของธุรกิจโลกว่าจะเป็นอย่างไร นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ รายงานว่า ดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต พิจารณาพื้นฐานภาวะเสมอภาคแห่งอำนาจการซื้อ (purchasing power parity) และคาดการณ์ว่าการเติบโตของจีดีพีโลกไว้ที่ 4.6% ในปีหน้า ลดลงจากปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 5.1% ทั้งนี้กิจกรรมทางธุรกิจส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งกลุ่มที่จะมีการเติบโตของจีดีพีสูงกว่า 7% คือ จีน อินเดีย และรัสเซีย ขณะที่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวยอย่าง สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จะมีการขยายตัวเพียง 1.8% เท่านั้น
นอกจากนี้ ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยในอเมริกาที่เป็นเรื่องใหญ่พอๆ กับการ ล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกด้วย ดังนั้นในหลายประเทศ การขอสินเชื่ออาจทำได้ยากขึ้น เนื่องจากบรรดาธนาคารพาณิชย์จะเคร่งครัดเรื่องมาตรฐานการกู้ยืมมากยิ่งขึ้น แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกจะยังคงช่วยให้เงินสะพัดในตลาด เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะถดถอยอย่างหนักแก่เศรษฐกิจโลก ส่วนภาวะเงินเฟ้อในปีหน้ายังสามารถควบคุมได้ดี
ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนจะส่งผลดีต่อผู้ส่งออกอเมริกา แต่เป็นภาระสำหรับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะยืนอยู่ที่ระดับประมาณ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าในปีนี้ ขณะที่ปริมาณอุปทานเริ่มปรับตัวสอดคล้องกับอุปสงค์ ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะสูงขึ้นเพียง 1% ลดลงจากอัตราการเพิ่มขึ้นในปีนี้ที่สูงถึง 16%
จึงกล่าวได้ว่าโดยทั่วไปแล้ว การค้าโลกจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 7.1% โดยจีนจะพยายามเรียกความมั่นใจของนานาชาติคืนมา ในแง่ของความปลอดภัยของสินค้าส่งออกของตน ด้านการค้าระหว่างตลาดเกิดใหม่จะเป็นภาคที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในการค้าทั่วโลก
คราวนี้มาดูแยกกันรายธุรกิจ เริ่มจาก
ภาคเกษตรกรรม
กระทรวงเกษตรของสหรัฐ ระบุว่า การส่งออกสินค้าเกษตรของอเมริกาจะมีมูลค่าสูงถึง 83.5 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า เพิ่มขึ้น 4.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่สูงขึ้น มากกว่าเป็นการเพิ่มปริมาณการส่งออก โดยประเทศในเอเชียจะมีความต้องการ พืชผล เช่น ถั่วเหลือง และฝ้าย มากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ความหลากหลายทางชีวภาพของภาคปศุสัตว์โลกจะลดลง โดยจะมีอย่างน้อย หนึ่งสายพันธุ์สูญพันธุ์ไปในแต่ละเดือน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า พันธุ์วัวควาย แพะ หมู ม้า และสัตว์ปีก ราว 20% มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ หากประเทศต่างๆ ขาดการบริหารจัดการแหล่งเพาะพันธุ์
นอกจากนี้ ความต้องการเอทานอลที่เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นการผลิตน้ำตาล ซึ่งองค์การน้ำตาลนานาชาติ คาดว่าในปีหน้า นับถึงเดือนกันยายน จะมีการผลิตน้ำมันราว 170 ล้านตัน และอินเดียจะขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเบอร์ 1 แทนบราซิล อย่างไรก็ตามจะมีการเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมมาปลูกพืชที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อพืชเพื่อการบริโภคอื่นๆ เช่น ส้ม
ด้านราคาข้าวสาลีจะยังคงทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากสต๊อกทั่วโลกลดน้อยลง ทั้งนี้สมาคม ข้าวนานาชาติ คาดว่าตลอดช่วงปีหน้า นับถึงเดือนมิถุนายน 2551 มีการผลิตราว 607 ล้านตัน น้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการผลิตที่น้อยลงในยูเครน และภาวะแห้งแล้งในอาร์เจนตินา และออสเตรเลีย ส่วนการค้าข้าวทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2.3% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2560 และความต้องการนำข้าวที่เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จะกระตุ้นการเติบโตของการค้าข้าวในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี
อุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3% ในปีหน้า เหตุจากตลาดอเมริกายังคงทรงตัว ขณะที่ยอดขายในตลาดในอินเดีย และจีน พุ่งพรวดถึง 14% และ 16% ตามลำดับ ส่วนยอดขายรถบรรทุก ทั่วโลกโตเกือบ 6% สะท้อนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในบรรดาตลาดเกิดใหม่ ด้านราคาน้ำมันแพงส่งผลให้มีความต้องการรถประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น โดยผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ นำโดยโตโยต้าและฮอนด้า จะหันมาสนใจรถไฮบริดหรือรถใช้พลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น โดยบางรายอาจเดินเครื่องผลิตรถประเภทนี้ในปีหน้า แต่รถแบบนี้ก็จะต้องขับเคี่ยวกับรถใช้น้ำมันดีเซล ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้เชื้อเพลิงแบบอื่นราว 20-30% พร้อมเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่า
ทั้งนี้ฮอนด้ากำลังมุ่งมั่นลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน ที่ปราศจากการปล่อยไอเสีย และวางแผนผลิตรถยนต์ FCX ในปีหน้า ด้านเจนเนอรัล มอเตอร์ ก็เตรียมวางตลาดรถพลังงานไฮโดรเจนในปี 2554
เมื่อมองภาพรวมของตลาด บริษัทรถญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะครองส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นในตลาดอเมริกาและยุโรป ขณะที่บริษัทรถยนต์จากจีนและอินเดีย จะชิงยอดขายในตลาดล่างได้สำเร็จ ก่อนสิ้นทศวรรษนี้
ธุรกิจพลังงาน
ทั่วโลกยังคงต้องการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้นในปีหน้า ท่ามกลางความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและราคาน้ำมันแพง การบริโภคน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 3.5% เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีนและอินเดีย
ขณะที่การสำรองน้ำมันยังยากต่อการจัดการ ราคาน้ำมันจะยังคงทรงตัวในระดับสูงในปีหน้า หรือประมาณ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสำหรับน้ำมันดิบเบรนต์ ด้านกลุ่มโอเปกที่ชินกับผลประโยชน์ที่เกิดจากน้ำมันแพง จะไม่ค่อยสนใจที่จะเห็นราคาน้ำมันตกลงมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงในปี 2552 เมื่อแหล่งป้อนน้ำมันดิบแห่งใหม่ในอดีตสหภาพโซเวียตและประเทศในกลุ่มโอเปกบางแห่งสามารถเดินเครื่องผลิตเต็มที่ โดยซาอุดีอาระเบีย เผยว่าสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่า 12 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2552 เพิ่มจาก 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2549
ด้านการบริโภคก๊าซธรรมชาติทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 3.4% ในปีหน้า และจะผงาดขึ้นเป็นแหล่งเชื้อเพลิงสำคัญอันดับ 2 แทนถ่านหิน ภายในปี 2558 นอกจากนี้จะมีความสนใจเรื่องพลังงานนิวเคลียร์มากยิ่งขึ้น โดยมีหัวหอกใหญ่คือ กลุ่มประเทศใหญ่ๆ ในอียู ญี่ปุ่น อเมริกา และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ ขณะที่จีนวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 30 แห่งในทศวรรษหน้าธุรกิจ
อาวุธยุทโธปกรณ์
ไม่ว่าจะมีการถอนกำลังทหารหรือไม่ สงครามในอิรักและอัฟกานิสถานยังคงต้องการงบฯ ด้านอาวุธ จึงแน่นอนว่าอเมริกาคือประเทศที่ใช้จ่ายเงินด้านนี้มากพอๆ กับงบฯ ของประเทศอื่นๆ ที่เหลือรวมกัน
ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ของบฯด้านทหารเพิ่มอีก 10% เป็น 481 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า ด้านอังกฤษ จะเจียดงบฯทหารเพิ่มเพียง 1.5% ต่อปี ในช่วงปี 2551-2554 ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าจีนจะมีงบฯทหาร กว่า 100 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ส่วนอินเดียจะใช้จ่ายงบฯ เพิ่มขึ้นอีก 7.8% เป็น 24 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รัสเซียเตรียมทุ่มงบฯ ทหาร เพิ่ม 16.3% เป็น 36.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
ในปีหน้า การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ด้วยยอดค้าปลีกทั่วโลกโตราว 3.3% ทั้งนี้ในช่วงต้นทศวรรษ ธุรกิจกลุ่มนี้ได้รับการกระตุ้นจากตลาดอเมริกา แต่ปัจจุบันนักช็อปจากตลาดจีน อินเดีย รัสเซีย และยุโรปตะวันออก เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ
สำหรับในตลาดประเทศกำลังพัฒนานั้น ผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเพื่อแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ยังต้องการซื้อสินค้าที่ใช้ประจำวันในราคาถูก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจัยนี้ส่งผลดีต่อดิสเคานต์สโตร์ ในตลาดที่เริ่มอิ่มตัว และเพิ่มโอกาสให้ร้านค้าประเภทนี้ในตลาดเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน อาทิ วอล-มาร์ต ตั้งเป้าว่า ยอดขายจากตลาดนอกอเมริกาจะเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ราว 22% ภายใน ปี 2553 ทั้งนี้ผู้บริโภคในจีนและรัสเซียจะจับจ่ายมากยิ่งขึ้นอีก 12% ในปีหน้า
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
คาดว่าปีหน้าจะมีชาวโลกเกือบ 1.5 พันล้านคน ใช้อินเทอร์เน็ต และราว 1 ใน 3 มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้ ทั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่จีนจะมีจำนวนผู้สมัครใช้บรอดแบนด์สูงกว่าอเมริกา โดย Ovum บริษัทวิจัยของอังกฤษ ระบุว่า ภายในปี 2553 ประชากร 21% ของจีนจะใช้บริการบรอดแบนด์
ไอดีซี บริษัทที่ปรึกษาคาดว่าปีหน้ายอดขายของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแบบบีทูบี จะแตะระดับ 650 พันล้านดอลลาร์ในอเมริกา ขณะที่ทั่วโลกจะมียอดขายราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการพัฒนาด้านการค้นหาข้อมูลจะช่วยดันยอดขายใหม่ๆ
นอกจากนี้ ในเอเชียจะเริ่มมีการวางแผนท่องเที่ยวออนไลน์ โดยยูโรมอนิเตอร์ คาดว่าภายในปี 2553 อินเดียจะมียอดจองโปรแกรมท่องเที่ยวผ่านทางอินเทอร์เน็ตมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน ก็พร้อมล็อกออน เพื่อหาข้อเสนอท่องเที่ยวที่ดีที่สุดเช่นกัน
ธุรกิจบันเทิง
เกิดการขับเคี่ยวระหว่างเทคโนโลยีบลู-เรย์ และเอชดี ดีวีดี เพื่อมาแทนที่ดีวีดียุคปัจจุบัน และคาดว่าจะเห็นผู้ชนะชัดเจนในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ โดยปัจจุบันเอชดี ดีวีดี ยังคงเป็นผู้นำอยู่ เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ำ
เอเชียจะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงสุดด้านธุรกิจดนตรีที่มีการบันทึกเสียง ทั้งในรูปแบบแผ่น และการดาวน์โหลด โดยเติบโต 5.4% ต่อปี พร้อมตลาดเช่าวิดีโอ และภาพยนตร์ โต 4.5% ต่อปี และยังคงเป็นเจ้าตลาดเกมส์ ที่โตปีละ 10% ไปจนถึงปี 2554
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0205
การมองอนาคต คือสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นวันนี้เราจะมาแจกแจงแนวโน้มของ 15 ธุรกิจหลักในเวทีเศรษฐกิจโลกในปี 2551 ว่า จะบ่ายหน้าไปทิศทางไหน เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
เริ่มแรกก็ต้องดูกันที่บรรยากาศโดยรวมของธุรกิจโลกว่าจะเป็นอย่างไร นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ รายงานว่า ดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต พิจารณาพื้นฐานภาวะเสมอภาคแห่งอำนาจการซื้อ (purchasing power parity) และคาดการณ์ว่าการเติบโตของจีดีพีโลกไว้ที่ 4.6% ในปีหน้า ลดลงจากปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 5.1% ทั้งนี้กิจกรรมทางธุรกิจส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งกลุ่มที่จะมีการเติบโตของจีดีพีสูงกว่า 7% คือ จีน อินเดีย และรัสเซีย ขณะที่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวยอย่าง สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จะมีการขยายตัวเพียง 1.8% เท่านั้น
นอกจากนี้ ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยในอเมริกาที่เป็นเรื่องใหญ่พอๆ กับการ ล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกด้วย ดังนั้นในหลายประเทศ การขอสินเชื่ออาจทำได้ยากขึ้น เนื่องจากบรรดาธนาคารพาณิชย์จะเคร่งครัดเรื่องมาตรฐานการกู้ยืมมากยิ่งขึ้น แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกจะยังคงช่วยให้เงินสะพัดในตลาด เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะถดถอยอย่างหนักแก่เศรษฐกิจโลก ส่วนภาวะเงินเฟ้อในปีหน้ายังสามารถควบคุมได้ดี
ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนจะส่งผลดีต่อผู้ส่งออกอเมริกา แต่เป็นภาระสำหรับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะยืนอยู่ที่ระดับประมาณ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าในปีนี้ ขณะที่ปริมาณอุปทานเริ่มปรับตัวสอดคล้องกับอุปสงค์ ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะสูงขึ้นเพียง 1% ลดลงจากอัตราการเพิ่มขึ้นในปีนี้ที่สูงถึง 16%
จึงกล่าวได้ว่าโดยทั่วไปแล้ว การค้าโลกจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 7.1% โดยจีนจะพยายามเรียกความมั่นใจของนานาชาติคืนมา ในแง่ของความปลอดภัยของสินค้าส่งออกของตน ด้านการค้าระหว่างตลาดเกิดใหม่จะเป็นภาคที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในการค้าทั่วโลก
คราวนี้มาดูแยกกันรายธุรกิจ เริ่มจาก
ภาคเกษตรกรรม
กระทรวงเกษตรของสหรัฐ ระบุว่า การส่งออกสินค้าเกษตรของอเมริกาจะมีมูลค่าสูงถึง 83.5 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า เพิ่มขึ้น 4.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่สูงขึ้น มากกว่าเป็นการเพิ่มปริมาณการส่งออก โดยประเทศในเอเชียจะมีความต้องการ พืชผล เช่น ถั่วเหลือง และฝ้าย มากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ความหลากหลายทางชีวภาพของภาคปศุสัตว์โลกจะลดลง โดยจะมีอย่างน้อย หนึ่งสายพันธุ์สูญพันธุ์ไปในแต่ละเดือน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า พันธุ์วัวควาย แพะ หมู ม้า และสัตว์ปีก ราว 20% มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ หากประเทศต่างๆ ขาดการบริหารจัดการแหล่งเพาะพันธุ์
นอกจากนี้ ความต้องการเอทานอลที่เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นการผลิตน้ำตาล ซึ่งองค์การน้ำตาลนานาชาติ คาดว่าในปีหน้า นับถึงเดือนกันยายน จะมีการผลิตน้ำมันราว 170 ล้านตัน และอินเดียจะขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเบอร์ 1 แทนบราซิล อย่างไรก็ตามจะมีการเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมมาปลูกพืชที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อพืชเพื่อการบริโภคอื่นๆ เช่น ส้ม
ด้านราคาข้าวสาลีจะยังคงทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากสต๊อกทั่วโลกลดน้อยลง ทั้งนี้สมาคม ข้าวนานาชาติ คาดว่าตลอดช่วงปีหน้า นับถึงเดือนมิถุนายน 2551 มีการผลิตราว 607 ล้านตัน น้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการผลิตที่น้อยลงในยูเครน และภาวะแห้งแล้งในอาร์เจนตินา และออสเตรเลีย ส่วนการค้าข้าวทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2.3% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2560 และความต้องการนำข้าวที่เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จะกระตุ้นการเติบโตของการค้าข้าวในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี
อุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3% ในปีหน้า เหตุจากตลาดอเมริกายังคงทรงตัว ขณะที่ยอดขายในตลาดในอินเดีย และจีน พุ่งพรวดถึง 14% และ 16% ตามลำดับ ส่วนยอดขายรถบรรทุก ทั่วโลกโตเกือบ 6% สะท้อนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในบรรดาตลาดเกิดใหม่ ด้านราคาน้ำมันแพงส่งผลให้มีความต้องการรถประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น โดยผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ นำโดยโตโยต้าและฮอนด้า จะหันมาสนใจรถไฮบริดหรือรถใช้พลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น โดยบางรายอาจเดินเครื่องผลิตรถประเภทนี้ในปีหน้า แต่รถแบบนี้ก็จะต้องขับเคี่ยวกับรถใช้น้ำมันดีเซล ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้เชื้อเพลิงแบบอื่นราว 20-30% พร้อมเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่า
ทั้งนี้ฮอนด้ากำลังมุ่งมั่นลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน ที่ปราศจากการปล่อยไอเสีย และวางแผนผลิตรถยนต์ FCX ในปีหน้า ด้านเจนเนอรัล มอเตอร์ ก็เตรียมวางตลาดรถพลังงานไฮโดรเจนในปี 2554
เมื่อมองภาพรวมของตลาด บริษัทรถญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะครองส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นในตลาดอเมริกาและยุโรป ขณะที่บริษัทรถยนต์จากจีนและอินเดีย จะชิงยอดขายในตลาดล่างได้สำเร็จ ก่อนสิ้นทศวรรษนี้
ธุรกิจพลังงาน
ทั่วโลกยังคงต้องการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้นในปีหน้า ท่ามกลางความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและราคาน้ำมันแพง การบริโภคน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 3.5% เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีนและอินเดีย
ขณะที่การสำรองน้ำมันยังยากต่อการจัดการ ราคาน้ำมันจะยังคงทรงตัวในระดับสูงในปีหน้า หรือประมาณ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสำหรับน้ำมันดิบเบรนต์ ด้านกลุ่มโอเปกที่ชินกับผลประโยชน์ที่เกิดจากน้ำมันแพง จะไม่ค่อยสนใจที่จะเห็นราคาน้ำมันตกลงมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงในปี 2552 เมื่อแหล่งป้อนน้ำมันดิบแห่งใหม่ในอดีตสหภาพโซเวียตและประเทศในกลุ่มโอเปกบางแห่งสามารถเดินเครื่องผลิตเต็มที่ โดยซาอุดีอาระเบีย เผยว่าสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่า 12 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2552 เพิ่มจาก 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2549
ด้านการบริโภคก๊าซธรรมชาติทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 3.4% ในปีหน้า และจะผงาดขึ้นเป็นแหล่งเชื้อเพลิงสำคัญอันดับ 2 แทนถ่านหิน ภายในปี 2558 นอกจากนี้จะมีความสนใจเรื่องพลังงานนิวเคลียร์มากยิ่งขึ้น โดยมีหัวหอกใหญ่คือ กลุ่มประเทศใหญ่ๆ ในอียู ญี่ปุ่น อเมริกา และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ ขณะที่จีนวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 30 แห่งในทศวรรษหน้าธุรกิจ
อาวุธยุทโธปกรณ์
ไม่ว่าจะมีการถอนกำลังทหารหรือไม่ สงครามในอิรักและอัฟกานิสถานยังคงต้องการงบฯ ด้านอาวุธ จึงแน่นอนว่าอเมริกาคือประเทศที่ใช้จ่ายเงินด้านนี้มากพอๆ กับงบฯ ของประเทศอื่นๆ ที่เหลือรวมกัน
ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ของบฯด้านทหารเพิ่มอีก 10% เป็น 481 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า ด้านอังกฤษ จะเจียดงบฯทหารเพิ่มเพียง 1.5% ต่อปี ในช่วงปี 2551-2554 ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าจีนจะมีงบฯทหาร กว่า 100 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ส่วนอินเดียจะใช้จ่ายงบฯ เพิ่มขึ้นอีก 7.8% เป็น 24 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รัสเซียเตรียมทุ่มงบฯ ทหาร เพิ่ม 16.3% เป็น 36.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
ในปีหน้า การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ด้วยยอดค้าปลีกทั่วโลกโตราว 3.3% ทั้งนี้ในช่วงต้นทศวรรษ ธุรกิจกลุ่มนี้ได้รับการกระตุ้นจากตลาดอเมริกา แต่ปัจจุบันนักช็อปจากตลาดจีน อินเดีย รัสเซีย และยุโรปตะวันออก เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ
สำหรับในตลาดประเทศกำลังพัฒนานั้น ผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเพื่อแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ยังต้องการซื้อสินค้าที่ใช้ประจำวันในราคาถูก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจัยนี้ส่งผลดีต่อดิสเคานต์สโตร์ ในตลาดที่เริ่มอิ่มตัว และเพิ่มโอกาสให้ร้านค้าประเภทนี้ในตลาดเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน อาทิ วอล-มาร์ต ตั้งเป้าว่า ยอดขายจากตลาดนอกอเมริกาจะเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ราว 22% ภายใน ปี 2553 ทั้งนี้ผู้บริโภคในจีนและรัสเซียจะจับจ่ายมากยิ่งขึ้นอีก 12% ในปีหน้า
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
คาดว่าปีหน้าจะมีชาวโลกเกือบ 1.5 พันล้านคน ใช้อินเทอร์เน็ต และราว 1 ใน 3 มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้ ทั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่จีนจะมีจำนวนผู้สมัครใช้บรอดแบนด์สูงกว่าอเมริกา โดย Ovum บริษัทวิจัยของอังกฤษ ระบุว่า ภายในปี 2553 ประชากร 21% ของจีนจะใช้บริการบรอดแบนด์
ไอดีซี บริษัทที่ปรึกษาคาดว่าปีหน้ายอดขายของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแบบบีทูบี จะแตะระดับ 650 พันล้านดอลลาร์ในอเมริกา ขณะที่ทั่วโลกจะมียอดขายราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการพัฒนาด้านการค้นหาข้อมูลจะช่วยดันยอดขายใหม่ๆ
นอกจากนี้ ในเอเชียจะเริ่มมีการวางแผนท่องเที่ยวออนไลน์ โดยยูโรมอนิเตอร์ คาดว่าภายในปี 2553 อินเดียจะมียอดจองโปรแกรมท่องเที่ยวผ่านทางอินเทอร์เน็ตมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน ก็พร้อมล็อกออน เพื่อหาข้อเสนอท่องเที่ยวที่ดีที่สุดเช่นกัน
ธุรกิจบันเทิง
เกิดการขับเคี่ยวระหว่างเทคโนโลยีบลู-เรย์ และเอชดี ดีวีดี เพื่อมาแทนที่ดีวีดียุคปัจจุบัน และคาดว่าจะเห็นผู้ชนะชัดเจนในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ โดยปัจจุบันเอชดี ดีวีดี ยังคงเป็นผู้นำอยู่ เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ำ
เอเชียจะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงสุดด้านธุรกิจดนตรีที่มีการบันทึกเสียง ทั้งในรูปแบบแผ่น และการดาวน์โหลด โดยเติบโต 5.4% ต่อปี พร้อมตลาดเช่าวิดีโอ และภาพยนตร์ โต 4.5% ต่อปี และยังคงเป็นเจ้าตลาดเกมส์ ที่โตปีละ 10% ไปจนถึงปี 2554
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0205
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 253
บรูไนรุกส่งออกอาหารทะเล ให้ความรู้ผู้ผลิตรับมือมาตรการอาหารปลอดภัย
ประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันจนร่ำรวยที่สุดในอาเซียน คงไม่มีใครเกินหน้าบรูไน แต่ประเทศที่ร่ำรวยด้วยรายได้ต่อหัวของประชากร 24,826 ดอลลาร์สหรัฐ ติดอันดับประเทศที่มีรายได้ประชากรต่อหัวมากเป็นลำดับที่ 26 ของโลกในเวลานี้ กลับไม่นิ่งเฉยที่การผลิตและส่งออกน้ำมันเท่านั้น
ผลการสัมมนาที่เกิดขึ้นในบรูไนเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเรื่องการช่วยเหลือและส่งเสริมชาวประมงและธุรกิจอาหารทะเลเข้าไปแข่งขันและขจัดปัญหาเรื่องมาตรฐานสินค้าในตลาดสหภาพยุโรป (อียู) เป็นเรื่องที่รัฐบาลบรูไนให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
รายงานข่าวจากสื่อในประเทศ บรูไน ไทม์ส อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ในกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติที่ระบุว่า วัตถุประสงค์หนึ่งของกรมประมงในบรูไนคือการพยายามไม่ให้สินค้าทะเลของเราเข้าไปอยู่ใน รายชื่อสินค้ามีปัญหาในสหภาพยุโรป
ด้วยเหตุนี้การสัมมนาที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดจึงเกิดจากการต้องการให้ความรู้แก่นักธุรกิจ ผู้ประกอบการในธุรกิจการส่งออกอาหารทะเล ในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจสอบเรื่องมาตรฐานสินค้า คุณภาพสินค้า โดยเฉพาะด้านสินค้าประมงที่ส่งออกไปจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งกรมประมง กระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ บรูไนตระหนักดีว่า ตลาดสหภาพยุโรปมีความเข้มข้นเรื่องคุณภาพและยากมากสำหรับการขยายตลาดสินค้าอาหารทะเลของบรูไนเข้าไปในตลาดแห่งนี้
เนื่องจากกฎระเบียบด้านมาตรฐานและคุณภาพสินค้าที่เคร่งครัด ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการจากหลายประเทศต้องม้วนเสื่อ พับสินค้ากลับบ้านมาหลายราย แต่สำหรับบรูไนแล้ว เรื่องนี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และการจัดการสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่รัฐต้องจัดการให้กับภาคเอกชน
โดยการสัมมนาครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอาเซียน-ออสเตรเลีย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบ ข้อบังคับ และการรับรองคุณภาพสินค้าอาหารในกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อให้ผู้ผลิตและ ผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้เข้าถึงข้อมูล เพิ่มขีดความสามารถเพื่อพัฒนาสินค้าให้เข้าไปแข่งขัน จำหน่ายได้ในตลาดโลก
ฮาสนาห์ อิมบราฮิม ผู้อำนวยการการประมง บรูไน กล่าวว่า เขามีความคาดหวังให้ผู้ผลิตและ ผู้ประกอบการได้มีส่วนในการสร้างยุทธศาสตร์ในการปรับใช้และยกระดับการส่งออกสินค้าทะเล โดยเฉพาะการติดตามและตรวจสอบการส่งออกกุ้ง เนื่องจากผู้ประกอบการท้องถิ่นทุกรายที่ ส่งสินค้าไปยุโรปต่างต้องประสบกับมาตรการ กฎระเบียบที่เกิดขึ้นทุกราย
อย่างน้อยสิ่งที่ผู้ผลิตต้องทราบคือ การส่งอาหารทะเลไปสหภาพยุโรปต้องพบกับมาตรฐานคุณภาพสินค้าภายใต้มาตรการที่เรียกว่า "ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม" (HACCP) ซึ่งเป็นระบบที่สหภาพยุโรปนำมาใช้ป้องกันการนำเข้าสินค้าที่มีอันตรายหรือมีกระบวนการผลิตที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมประมง ป่าไม้ การเกษตรนับเป็นหน่วยเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับบรูไนเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็น 10.72% และเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าส่งออกเป็นอันดับ 5 ของประเทศ โดยโรงงานผลิตสินค้าประเภทปลาในบรูไนส่วนใหญ่ในเวลานี้เริ่มส่งสินค้าเหล่านี้ออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในญี่ปุ่น
แต่อุปสรรคสำหรับผู้จับปลาและอุตสาหกรรมประมงของบรูไนยังอยู่ที่ความสามารถในการ ส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก ซึ่งหน่วยงานภาครัฐบรูไนจึงคิดว่าการให้ความรู้ความเข้าใจและกระตุ้นให้ผู้ผลิตได้มีความสามารถส่งสินค้าออกไปจำหน่าย ด้วยการผ่านการตรวจสอบสินค้าตามมาตรฐานของประเทศคู่ค้าได้ ย่อมเป็นผลดีและสร้างประโยชน์ให้กับผู้ผลิตและประเทศได้
ปัจจุบันบรูไนส่งออกกุ้งประเภทกุ้งขาวเม็กซิกัน กุ้งทะเล ไปประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวจากบรูไน ไทม์สด้วยเช่นกันว่า ตลาดส่งออกอาหาร ทะเลของบรูไนในต่างประเทศไม่ได้คึกคักมากนัก โดยเฉพาะการส่งออกกุ้ง ซึ่งล้มเหลวจากผลกระทบของค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง
โมฮัมเหม็ด ฮานิฟ มาดาเกีย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เซมานูน ซีฟู้ด ในบรูไนระบุว่า ตลาด ส่งออกกุ้งในเวลานี้ไม่ได้ดีนัก เนื่องจากมีปริมาณกุ้งล้นตลาดในภูมิภาค ผนวกกับมูลค่าของค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงมา
แต่ด้วยความคิดที่ว่า จะจับกุ้งผลิตขายในตลาดภายในประเทศเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นผลดี ต่อธุรกิจ เซมานูน ซีฟู้ดจึงได้ขยายตลาดส่งกุ้งไปจำหน่ายทั้งในสหรัฐอเมริกา เกาหลี ไต้หวันตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งจนถึงขณะนี้ มาดาเกียยังย้ำว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งยังมีความเข้าใจและคุ้นเคยแต่การจับกุ้งขายในประเทศ แต่สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก เกษตรกรยังต้องการการให้ความรู้และความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาและการพัฒนาคุณภาพสินค้าอีกมาก
ด้วยเหตุนี้ ทางการบรูไนจึงเร่งให้ความรู้และจัดสัมมนาเพื่อให้ผู้ผลิตและเกษตรกรในประเทศมีภูมิต้านทานและความเข้าใจสำหรับการส่งอาหารทะเลไปจำหน่ายในต่างประเทศ แม้ว่าสินค้าสร้างลมหายใจให้กับบรูไนจะอยู่ที่น้ำมันก็ตาม
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0205
ประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันจนร่ำรวยที่สุดในอาเซียน คงไม่มีใครเกินหน้าบรูไน แต่ประเทศที่ร่ำรวยด้วยรายได้ต่อหัวของประชากร 24,826 ดอลลาร์สหรัฐ ติดอันดับประเทศที่มีรายได้ประชากรต่อหัวมากเป็นลำดับที่ 26 ของโลกในเวลานี้ กลับไม่นิ่งเฉยที่การผลิตและส่งออกน้ำมันเท่านั้น
ผลการสัมมนาที่เกิดขึ้นในบรูไนเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเรื่องการช่วยเหลือและส่งเสริมชาวประมงและธุรกิจอาหารทะเลเข้าไปแข่งขันและขจัดปัญหาเรื่องมาตรฐานสินค้าในตลาดสหภาพยุโรป (อียู) เป็นเรื่องที่รัฐบาลบรูไนให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
รายงานข่าวจากสื่อในประเทศ บรูไน ไทม์ส อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ในกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติที่ระบุว่า วัตถุประสงค์หนึ่งของกรมประมงในบรูไนคือการพยายามไม่ให้สินค้าทะเลของเราเข้าไปอยู่ใน รายชื่อสินค้ามีปัญหาในสหภาพยุโรป
ด้วยเหตุนี้การสัมมนาที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดจึงเกิดจากการต้องการให้ความรู้แก่นักธุรกิจ ผู้ประกอบการในธุรกิจการส่งออกอาหารทะเล ในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจสอบเรื่องมาตรฐานสินค้า คุณภาพสินค้า โดยเฉพาะด้านสินค้าประมงที่ส่งออกไปจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งกรมประมง กระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ บรูไนตระหนักดีว่า ตลาดสหภาพยุโรปมีความเข้มข้นเรื่องคุณภาพและยากมากสำหรับการขยายตลาดสินค้าอาหารทะเลของบรูไนเข้าไปในตลาดแห่งนี้
เนื่องจากกฎระเบียบด้านมาตรฐานและคุณภาพสินค้าที่เคร่งครัด ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการจากหลายประเทศต้องม้วนเสื่อ พับสินค้ากลับบ้านมาหลายราย แต่สำหรับบรูไนแล้ว เรื่องนี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และการจัดการสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่รัฐต้องจัดการให้กับภาคเอกชน
โดยการสัมมนาครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอาเซียน-ออสเตรเลีย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบ ข้อบังคับ และการรับรองคุณภาพสินค้าอาหารในกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อให้ผู้ผลิตและ ผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้เข้าถึงข้อมูล เพิ่มขีดความสามารถเพื่อพัฒนาสินค้าให้เข้าไปแข่งขัน จำหน่ายได้ในตลาดโลก
ฮาสนาห์ อิมบราฮิม ผู้อำนวยการการประมง บรูไน กล่าวว่า เขามีความคาดหวังให้ผู้ผลิตและ ผู้ประกอบการได้มีส่วนในการสร้างยุทธศาสตร์ในการปรับใช้และยกระดับการส่งออกสินค้าทะเล โดยเฉพาะการติดตามและตรวจสอบการส่งออกกุ้ง เนื่องจากผู้ประกอบการท้องถิ่นทุกรายที่ ส่งสินค้าไปยุโรปต่างต้องประสบกับมาตรการ กฎระเบียบที่เกิดขึ้นทุกราย
อย่างน้อยสิ่งที่ผู้ผลิตต้องทราบคือ การส่งอาหารทะเลไปสหภาพยุโรปต้องพบกับมาตรฐานคุณภาพสินค้าภายใต้มาตรการที่เรียกว่า "ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม" (HACCP) ซึ่งเป็นระบบที่สหภาพยุโรปนำมาใช้ป้องกันการนำเข้าสินค้าที่มีอันตรายหรือมีกระบวนการผลิตที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมประมง ป่าไม้ การเกษตรนับเป็นหน่วยเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับบรูไนเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็น 10.72% และเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าส่งออกเป็นอันดับ 5 ของประเทศ โดยโรงงานผลิตสินค้าประเภทปลาในบรูไนส่วนใหญ่ในเวลานี้เริ่มส่งสินค้าเหล่านี้ออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในญี่ปุ่น
แต่อุปสรรคสำหรับผู้จับปลาและอุตสาหกรรมประมงของบรูไนยังอยู่ที่ความสามารถในการ ส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก ซึ่งหน่วยงานภาครัฐบรูไนจึงคิดว่าการให้ความรู้ความเข้าใจและกระตุ้นให้ผู้ผลิตได้มีความสามารถส่งสินค้าออกไปจำหน่าย ด้วยการผ่านการตรวจสอบสินค้าตามมาตรฐานของประเทศคู่ค้าได้ ย่อมเป็นผลดีและสร้างประโยชน์ให้กับผู้ผลิตและประเทศได้
ปัจจุบันบรูไนส่งออกกุ้งประเภทกุ้งขาวเม็กซิกัน กุ้งทะเล ไปประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวจากบรูไน ไทม์สด้วยเช่นกันว่า ตลาดส่งออกอาหาร ทะเลของบรูไนในต่างประเทศไม่ได้คึกคักมากนัก โดยเฉพาะการส่งออกกุ้ง ซึ่งล้มเหลวจากผลกระทบของค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง
โมฮัมเหม็ด ฮานิฟ มาดาเกีย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เซมานูน ซีฟู้ด ในบรูไนระบุว่า ตลาด ส่งออกกุ้งในเวลานี้ไม่ได้ดีนัก เนื่องจากมีปริมาณกุ้งล้นตลาดในภูมิภาค ผนวกกับมูลค่าของค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงมา
แต่ด้วยความคิดที่ว่า จะจับกุ้งผลิตขายในตลาดภายในประเทศเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นผลดี ต่อธุรกิจ เซมานูน ซีฟู้ดจึงได้ขยายตลาดส่งกุ้งไปจำหน่ายทั้งในสหรัฐอเมริกา เกาหลี ไต้หวันตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งจนถึงขณะนี้ มาดาเกียยังย้ำว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งยังมีความเข้าใจและคุ้นเคยแต่การจับกุ้งขายในประเทศ แต่สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก เกษตรกรยังต้องการการให้ความรู้และความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาและการพัฒนาคุณภาพสินค้าอีกมาก
ด้วยเหตุนี้ ทางการบรูไนจึงเร่งให้ความรู้และจัดสัมมนาเพื่อให้ผู้ผลิตและเกษตรกรในประเทศมีภูมิต้านทานและความเข้าใจสำหรับการส่งอาหารทะเลไปจำหน่ายในต่างประเทศ แม้ว่าสินค้าสร้างลมหายใจให้กับบรูไนจะอยู่ที่น้ำมันก็ตาม
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0205
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 254
ไอเอ็มเอฟเตรียมหารือ ผลกระทบการเงินต้นปี โดย กระแสหุ้น
กองทุนการเงินระหว่างประเทศจะหารือเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในการวิจัยและการประชุมที่กำหนดมีขึ้นในต้นปีหน้า
นายคาทาโตชิ คาโต รองกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก่อให้เกิดความท้าทายหลายอย่างและซับซ้อน เพราะสภาพอากาศแปรปรวนจะบังคับให้รัฐบาลต้องปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เศรษฐกิจ งานวิจัยของไอเอ็มเอฟจะวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและนโยบายรับมือทั้งการลดปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะที่คณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟจะประชุมหารือเรื่องผลกระทบทางการเงินในต้นปีหน้า
นอกจากนี้ รองกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟเผยอีกว่า ไอเอ็มเอฟกำลังพิจารณากลไกภาษีแบบใหม่และมาตรการการเงินอื่นๆ สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เขาจะเข้าร่วมการประชุมสหภาพประชาชาติว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซียในสัปดาห์หน้า
ขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟยังระบุว่า ความท้าทายทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ได้แก่ ผลเสียเชิงลบโดยตรงต่อผลผลิตและผลิตภาพ รายได้จากภาษีลดลง รายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นดุลการชำระเงินมีปัญหาเพราะส่งออกได้ลดลง และภาคเอกชนมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเพราะเชื้อเพลิงแพงขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
กองทุนการเงินระหว่างประเทศจะหารือเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในการวิจัยและการประชุมที่กำหนดมีขึ้นในต้นปีหน้า
นายคาทาโตชิ คาโต รองกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก่อให้เกิดความท้าทายหลายอย่างและซับซ้อน เพราะสภาพอากาศแปรปรวนจะบังคับให้รัฐบาลต้องปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เศรษฐกิจ งานวิจัยของไอเอ็มเอฟจะวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและนโยบายรับมือทั้งการลดปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะที่คณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟจะประชุมหารือเรื่องผลกระทบทางการเงินในต้นปีหน้า
นอกจากนี้ รองกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟเผยอีกว่า ไอเอ็มเอฟกำลังพิจารณากลไกภาษีแบบใหม่และมาตรการการเงินอื่นๆ สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เขาจะเข้าร่วมการประชุมสหภาพประชาชาติว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซียในสัปดาห์หน้า
ขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟยังระบุว่า ความท้าทายทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ได้แก่ ผลเสียเชิงลบโดยตรงต่อผลผลิตและผลิตภาพ รายได้จากภาษีลดลง รายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นดุลการชำระเงินมีปัญหาเพราะส่งออกได้ลดลง และภาคเอกชนมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเพราะเชื้อเพลิงแพงขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 255
จีอี เรียกคืนเตาไมโครเวฟ 92,000 เครื่อง ที่ขายในปี 2543 - 2546 หลังพบเสี่ยงเกิดไฟไหม้
Posted on Thursday, December 06, 2007
คณะกรรมาธิการความปลอดภัยสินค้าอุปโภคบริโภคของสหรัฐ (CPSC) เปิดเผยว่า บริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (จีอี) ธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐในแง่ของมูลค่าตลาดรวม จะเรียกคืนเตาไมโครเวฟจำนวน 92,000 เครื่อง เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟไหม้ หลังรับทราบเรื่องความเสียหายด้านทรัพย์สินกว่า 30 กรณีแล้ว แต่ยังไม่มีการบาดเจ็บเกิดขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ CPSC เปิดเผยว่า เตาไมโครเวฟที่มีปัญหาดังกล่าวมีการวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าและร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2543 ถึงเดือนธันวาคม ปี 2546 ภายใต้แบรนด์ GE และ GE Profile รวมทั้ง Kenmore ของบริษัทเซียร์ส โฮลดิงส์ คอร์ป ด้วย
นายรัสเซล วิลเคอร์สัน โฆษกของจีอี เปิดเผยว่า การเรียกคืนสินค้าครั้งนี้ บริษัทต้องการตอกย้ำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า บริษัทให้ความสำคับกับลูกค้ามากกว่าผลกำไรทางธุรกิจ พร้อมถือโอกาสนี้ ชี้แจงด้วยว่า การดำเนินการเรียกคืนสินค้าครั้งล่าสุดนี้ จะไม่มีผลกระทบต่องบการเงินของกลุ่มจีอีอบย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เตาที่มีปัญหา ซึ่งมีราคาขายปลีกระหว่าง 1,500 - 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีจุดเด่นคือมีเตาอบแบบเดิมอยู่ด้านล่างไมโครเวฟในดีไซน์ที่สามารถติดตั้งแบบฝังในผนังได้ โดยผู้สนใจสามารถดูภาพเตารุ่นนี้ ได้ในเว็บไซท์ของ CPSC (http://www.cpsc.gov/) ซึ่ง CPSC ระบุว่า ผู้บริโภคสามารถใช้ส่วนของเตาอบทื่อยู่ด้านล่างได้อย่างปลอดภัยต่อไป
จีอีและเซียร์จะซ่อมเตาที่มีปัญหาให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งคืนเงิน 300 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการซื้อเตาใหม่ภายใต้แบรนด์ GE หรือ Kenmore หรือคืนเงิน 600 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการซื้อเตาใหม่ยี่ห้อ GE Profile
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีอีได้ประกาศเรียกคืนเครื่องล้างจานแบบ บิลท์ - อิน จำนวน 2.5 ล้านเครื่อง มาแล้วครั้งหนึ่ง หลังพบอันตรายจากไฟไหม้เช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 06, 2007
คณะกรรมาธิการความปลอดภัยสินค้าอุปโภคบริโภคของสหรัฐ (CPSC) เปิดเผยว่า บริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (จีอี) ธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐในแง่ของมูลค่าตลาดรวม จะเรียกคืนเตาไมโครเวฟจำนวน 92,000 เครื่อง เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟไหม้ หลังรับทราบเรื่องความเสียหายด้านทรัพย์สินกว่า 30 กรณีแล้ว แต่ยังไม่มีการบาดเจ็บเกิดขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ CPSC เปิดเผยว่า เตาไมโครเวฟที่มีปัญหาดังกล่าวมีการวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าและร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2543 ถึงเดือนธันวาคม ปี 2546 ภายใต้แบรนด์ GE และ GE Profile รวมทั้ง Kenmore ของบริษัทเซียร์ส โฮลดิงส์ คอร์ป ด้วย
นายรัสเซล วิลเคอร์สัน โฆษกของจีอี เปิดเผยว่า การเรียกคืนสินค้าครั้งนี้ บริษัทต้องการตอกย้ำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า บริษัทให้ความสำคับกับลูกค้ามากกว่าผลกำไรทางธุรกิจ พร้อมถือโอกาสนี้ ชี้แจงด้วยว่า การดำเนินการเรียกคืนสินค้าครั้งล่าสุดนี้ จะไม่มีผลกระทบต่องบการเงินของกลุ่มจีอีอบย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เตาที่มีปัญหา ซึ่งมีราคาขายปลีกระหว่าง 1,500 - 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีจุดเด่นคือมีเตาอบแบบเดิมอยู่ด้านล่างไมโครเวฟในดีไซน์ที่สามารถติดตั้งแบบฝังในผนังได้ โดยผู้สนใจสามารถดูภาพเตารุ่นนี้ ได้ในเว็บไซท์ของ CPSC (http://www.cpsc.gov/) ซึ่ง CPSC ระบุว่า ผู้บริโภคสามารถใช้ส่วนของเตาอบทื่อยู่ด้านล่างได้อย่างปลอดภัยต่อไป
จีอีและเซียร์จะซ่อมเตาที่มีปัญหาให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งคืนเงิน 300 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการซื้อเตาใหม่ภายใต้แบรนด์ GE หรือ Kenmore หรือคืนเงิน 600 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการซื้อเตาใหม่ยี่ห้อ GE Profile
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีอีได้ประกาศเรียกคืนเครื่องล้างจานแบบ บิลท์ - อิน จำนวน 2.5 ล้านเครื่อง มาแล้วครั้งหนึ่ง หลังพบอันตรายจากไฟไหม้เช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 256
แบงก์ชาติอังกฤษ ลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ธนาคารกลางอังกฤษ ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 5.5% ซึ่งนับเป็นการปรับลดดอกเบี้บระยะสั้นแบงก์ชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า วิกฤตสภาพคล่องที่เกิดขึ้นจากสหรัฐ และในยุโรป ได้ส่งผลต่อสินเชื่อสำหรับผู้บริโภค และภาคเอกชนในอังกฤษ เกิดภาวะตึงตัวมากขึ้น และยังไม่มีสัญญาณผ่อนคลายแต่อย่างใด ในขณะที่ ธนาคารกลางกลุ่มประเทศยูโร ทั้ง 13 ชาติสมาชิกในกลุ่มอียู หรืออีซีบี ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีซีบี ต่อเนื่องที่ 4%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
ธนาคารกลางอังกฤษ ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 5.5% ซึ่งนับเป็นการปรับลดดอกเบี้บระยะสั้นแบงก์ชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า วิกฤตสภาพคล่องที่เกิดขึ้นจากสหรัฐ และในยุโรป ได้ส่งผลต่อสินเชื่อสำหรับผู้บริโภค และภาคเอกชนในอังกฤษ เกิดภาวะตึงตัวมากขึ้น และยังไม่มีสัญญาณผ่อนคลายแต่อย่างใด ในขณะที่ ธนาคารกลางกลุ่มประเทศยูโร ทั้ง 13 ชาติสมาชิกในกลุ่มอียู หรืออีซีบี ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีซีบี ต่อเนื่องที่ 4%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 257
ประธานกรรมการเป๋าสตีลโต้รายงานข่าวซื้อหุ้นริโอ ทินโต"ไม่เป็นความจริง"
ประธานกรรมการ เป่าสตีล กรุ๊ป กล่าวว่า รายงานที่มีการนำเสนอก่อนหน้าว่า เป๋าสตีลวางแผนจะเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ริโอ ทินโต นั้น "ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย" หนังสือพิมพ์ ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัล เปิดเผยรายงานโดยอ้างคำกล่าวนาย สวี่ ว่า เป๋าสตีลกำลังศึกษาขั้นตอนความเป็นไปได้ที่บีเอชพี บิลลิตัน และ ริโอ ทินโต จะควบรวมกิจการกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เป๋าสตีลซึ่งเป็นบริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน จะต้องเข้าซื้อหุ้น ริโอ ทินโต
เทมาเส็กเล็งลงทุนในกองทุนไพรเวท อิควิตี้จีนถึง 1 พันล้านดอลลาร์
เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จะลงทุนในกองทุนไพรเวท อิควิตี้ซึ่งจัดขึ้นโดยฟาง เฟงไหล ซึ่งเป็นพันธมิตรของโกลด์แมน แซคส์ จำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ โดยกองทุนดังกล่าวมีเป้าหมายในการซื้อหุ้นบริษัทจีนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ - เทมาเส็กเป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ เพื่อกระจายการลงทุนไปทั่วโลก และเป็นหนึ่งในนักลงทุนระดับชั้นนำของโลกซึ่งมีพอร์ทการลงทุนมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมหลังเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ แต่เตือนว่าแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเกิดคาดอาจส่งสัญญาณให้เห็นว่าธนาคารอาจยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะนี้ อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับ 8.25% นับเป็นหนึ่งในอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้และราคาอาหารที่สูงขึ้น อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้มีการปรับลดอัตราภาษี ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะประกาศมาตรการปรับลดภาษีดังกล่าวในปีหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
ประธานกรรมการ เป่าสตีล กรุ๊ป กล่าวว่า รายงานที่มีการนำเสนอก่อนหน้าว่า เป๋าสตีลวางแผนจะเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ริโอ ทินโต นั้น "ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย" หนังสือพิมพ์ ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัล เปิดเผยรายงานโดยอ้างคำกล่าวนาย สวี่ ว่า เป๋าสตีลกำลังศึกษาขั้นตอนความเป็นไปได้ที่บีเอชพี บิลลิตัน และ ริโอ ทินโต จะควบรวมกิจการกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เป๋าสตีลซึ่งเป็นบริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน จะต้องเข้าซื้อหุ้น ริโอ ทินโต
เทมาเส็กเล็งลงทุนในกองทุนไพรเวท อิควิตี้จีนถึง 1 พันล้านดอลลาร์
เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จะลงทุนในกองทุนไพรเวท อิควิตี้ซึ่งจัดขึ้นโดยฟาง เฟงไหล ซึ่งเป็นพันธมิตรของโกลด์แมน แซคส์ จำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ โดยกองทุนดังกล่าวมีเป้าหมายในการซื้อหุ้นบริษัทจีนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ - เทมาเส็กเป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ เพื่อกระจายการลงทุนไปทั่วโลก และเป็นหนึ่งในนักลงทุนระดับชั้นนำของโลกซึ่งมีพอร์ทการลงทุนมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมหลังเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ แต่เตือนว่าแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเกิดคาดอาจส่งสัญญาณให้เห็นว่าธนาคารอาจยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะนี้ อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับ 8.25% นับเป็นหนึ่งในอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้และราคาอาหารที่สูงขึ้น อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้มีการปรับลดอัตราภาษี ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะประกาศมาตรการปรับลดภาษีดังกล่าวในปีหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 258
ซาอุฯเตรียมเปิดตลาดหุ้นรับต่างชาติ
ดูไบ - นายอับดุลเราะห์มาน อัล-ทูวาอิจรี ผู้อำนวยการสำนักงานตลาดทุน (ซีเอ็มเอ) ของซาอุดีอาระเบีย เผยว่า ตลาดมีแผนอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ท้องถิ่น และนำหุ้นออกขายต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ผ่านทางกองทุนภายในประเทศ โดยจะอนุญาตให้บริษัทที่มีใบอนุญาตจัดตั้งกองทุนได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และการลงทุนจากต่างชาติผ่านทางกองทุนเหล่านั้นจะได้รับอนุญาตอย่างโปร่งใส
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
ดูไบ - นายอับดุลเราะห์มาน อัล-ทูวาอิจรี ผู้อำนวยการสำนักงานตลาดทุน (ซีเอ็มเอ) ของซาอุดีอาระเบีย เผยว่า ตลาดมีแผนอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ท้องถิ่น และนำหุ้นออกขายต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ผ่านทางกองทุนภายในประเทศ โดยจะอนุญาตให้บริษัทที่มีใบอนุญาตจัดตั้งกองทุนได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และการลงทุนจากต่างชาติผ่านทางกองทุนเหล่านั้นจะได้รับอนุญาตอย่างโปร่งใส
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 259
ชาติรวยน้ำมัน..กำลังไล่ซื้อธุรกิจระดับโลก
10 ธันวาคม พ.ศ. 2550 06:00:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เมื่อราคาน้ำมันพุ่งพรวดพราดไปใกล้ๆ100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คนเดือดร้อนหนักคือผู้ต้องซื้อน้ำมันเข้าอย่างคนไทย แต่ต้องไม่ลืมว่าในภาวะอย่างนี้ คนที่รวยอื้อซ่าหนีไม่พ้นเป็นประเทศที่ขุดน้ำมันดิบมาขาย
และปรากฏการณ์ใหม่ที่เห็นกันอยู่ขณะนี้คือประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันเหล่านี้เมื่อรวยอู้ฟู้แล้วก็เริ่มใช้เงินนั้นกวาดซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะสินทรัพย์และธุรกิจยักษ์ทั้งหลายในตะวันตก
กลุ่มCitigroup ของสหรัฐที่เผชิญกับวิกฤติการเงิน บัดนี้จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ชื่อ Abu Dhabi Investment Authority จากตะวันออกกลาง
ตลาดหุ้นดูไบก็กำลังเจรจาจะเป็นเจ้าของร้อยละ20 ของบริษัทใหม่ระดับโลกเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่มี Nasdaq แห่งสหรัฐเป็นเจ้ากี้เจ้าการใหญ่อยู่ด้วย
แปลว่าประเทศที่มะกันไม่เคยเห็นคุณค่าทางธุรกิจหรือการเมืองนั้นบัดนี้กำลังจะใช้เงินที่ได้จากน้ำมันดิบมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะผู้ถือหุ้นด้วยกัน
ไม่แต่ดูไบเท่านั้นที่กำลังคึกคักในแวดวงการไล่ซื้อธุรกิจระดับโลกประเทศกาตาร์ซึ่งก็ตั้งอยู่ในย่านอ่าวเปอร์เซียเหมือนกัน ก็กำลังเข้ามาเสนอตัวเป็นคู่แข่งในการชิงความเป็นเจ้าของสถาบันการเงินและธุรกิจยักษ์ในอเมริกาด้วย
นี่คือกลยุทธ์รูปแบบใหม่ของอภิมหาเศรษฐีในตะวันออกกลางเพราะต้องการ กระจายความเสี่ยงอันเกิดจากส้มหล่น จึงต้องสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ที่จะต้องไม่พึ่งพารายได้จากน้ำมันอย่างเดียว
ดูไบเองอาจจะไม่มีน้ำมันดิบมากมายนักแต่ก็เข้าอยู่ในวงจรของประเทศริมอ่าวเปอร์เซียที่มีโอกาสสร้างความร่ำรวยข้ามคืนจากน้ำมันได้
และดูไบเป็นตัวอย่างของประเทศเล็กๆที่จับจังหวะของการวางตำแหน่งตัวเองในแวดวงการเงินของสหรัฐได้อย่างน่าศึกษายิ่ง
เพราะเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เองดูไบก็เข้าไปซื้อหุ้นจากกองทุน hedge fund ที่นิวยอร์กแห่งหนึ่งชื่อ Och-Ziff Capital Management เพื่อหวังจะเป็นการแปลงเงินจากน้ำมันมาพักอยู่ในธุรกิจการเงินการทองเสียเพื่อผลตอบแทนจากธุรกิจอีกด้านหนึ่ง
ไม่เพียงแค่ลงทุนในตลาดการเงินเท่านั้นไฮเทคก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ชาติที่สร้างรายได้มหาศาลจากน้ำมันหวังเป็นที่พึ่งพาในอนาคตด้วย
ดังนั้นจึงได้เห็นAbu Dhabi เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทผลิตชิพคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Advanced Micro Devices
และก้าวเข้าไปเป็นหนึ่งในแกนสำคัญของกองทุนการลงทุนหลากหลายที่ชื่อCarlyle Group ที่มีอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุชและอดีตนายกฯหลายประเทศเป็นที่ปรึกษาอยู่
ไม่มีใครมีตัวเลขที่แน่นอนแต่การประเมินจากหลายแหล่งบอกว่า ประเทศผลิตน้ำมันที่อยู่ดีๆ ก็เลื่อนฐานะตัวเองขึ้นมาเป็นอภิมหาเศรษฐีเพราะราคาน้ำมันกระโจนขึ้นไปสูงสุดในประวัติศาสตร์นั้น มีเงินลงทุนทั่วโลกรวมกันไม่ต่ำกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เกิดอำนาจต่อรองทางด้านการเงินระดับโลกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง
รัสเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ใช้ความเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันดันตัวเองให้กลับไปอยู่ในฐานะของความเป็นมหาอำนาจทางการเมืองหลังจากที่เศรษฐกิจของอดีตสหภาพโซเวียตนั้นย่ำแย่ถึงขั้นพังพาบลงมา
ยิ่งเมื่อดอลลาร์อ่อนแรงลงไปเรื่อยๆอย่างนี้ การไล่ซื้อของมีค่าในสหรัฐก็ยิ่งจะถูกลง...แต่ก็ต้องระวังแรงต่อต้านทางการเมืองจากทั้งสหรัฐและยุโรปที่กำลังหวั่นไหวอย่างมากต่อความมั่งคั่งรอบใหม่นี้ของประเทศรอบๆ อ่าวเปอร์เซีย
น้ำมันกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองและเศรษฐกิจโลกในมิติและระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน...ฉะนั้นทุกดอลลาร์ที่ราคาน้ำมันขยับขึ้นสมการแห่งอำนาจต่อรองของโลกก็ปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=209958
10 ธันวาคม พ.ศ. 2550 06:00:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เมื่อราคาน้ำมันพุ่งพรวดพราดไปใกล้ๆ100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คนเดือดร้อนหนักคือผู้ต้องซื้อน้ำมันเข้าอย่างคนไทย แต่ต้องไม่ลืมว่าในภาวะอย่างนี้ คนที่รวยอื้อซ่าหนีไม่พ้นเป็นประเทศที่ขุดน้ำมันดิบมาขาย
และปรากฏการณ์ใหม่ที่เห็นกันอยู่ขณะนี้คือประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันเหล่านี้เมื่อรวยอู้ฟู้แล้วก็เริ่มใช้เงินนั้นกวาดซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะสินทรัพย์และธุรกิจยักษ์ทั้งหลายในตะวันตก
กลุ่มCitigroup ของสหรัฐที่เผชิญกับวิกฤติการเงิน บัดนี้จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ชื่อ Abu Dhabi Investment Authority จากตะวันออกกลาง
ตลาดหุ้นดูไบก็กำลังเจรจาจะเป็นเจ้าของร้อยละ20 ของบริษัทใหม่ระดับโลกเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่มี Nasdaq แห่งสหรัฐเป็นเจ้ากี้เจ้าการใหญ่อยู่ด้วย
แปลว่าประเทศที่มะกันไม่เคยเห็นคุณค่าทางธุรกิจหรือการเมืองนั้นบัดนี้กำลังจะใช้เงินที่ได้จากน้ำมันดิบมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะผู้ถือหุ้นด้วยกัน
ไม่แต่ดูไบเท่านั้นที่กำลังคึกคักในแวดวงการไล่ซื้อธุรกิจระดับโลกประเทศกาตาร์ซึ่งก็ตั้งอยู่ในย่านอ่าวเปอร์เซียเหมือนกัน ก็กำลังเข้ามาเสนอตัวเป็นคู่แข่งในการชิงความเป็นเจ้าของสถาบันการเงินและธุรกิจยักษ์ในอเมริกาด้วย
นี่คือกลยุทธ์รูปแบบใหม่ของอภิมหาเศรษฐีในตะวันออกกลางเพราะต้องการ กระจายความเสี่ยงอันเกิดจากส้มหล่น จึงต้องสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ที่จะต้องไม่พึ่งพารายได้จากน้ำมันอย่างเดียว
ดูไบเองอาจจะไม่มีน้ำมันดิบมากมายนักแต่ก็เข้าอยู่ในวงจรของประเทศริมอ่าวเปอร์เซียที่มีโอกาสสร้างความร่ำรวยข้ามคืนจากน้ำมันได้
และดูไบเป็นตัวอย่างของประเทศเล็กๆที่จับจังหวะของการวางตำแหน่งตัวเองในแวดวงการเงินของสหรัฐได้อย่างน่าศึกษายิ่ง
เพราะเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เองดูไบก็เข้าไปซื้อหุ้นจากกองทุน hedge fund ที่นิวยอร์กแห่งหนึ่งชื่อ Och-Ziff Capital Management เพื่อหวังจะเป็นการแปลงเงินจากน้ำมันมาพักอยู่ในธุรกิจการเงินการทองเสียเพื่อผลตอบแทนจากธุรกิจอีกด้านหนึ่ง
ไม่เพียงแค่ลงทุนในตลาดการเงินเท่านั้นไฮเทคก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ชาติที่สร้างรายได้มหาศาลจากน้ำมันหวังเป็นที่พึ่งพาในอนาคตด้วย
ดังนั้นจึงได้เห็นAbu Dhabi เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทผลิตชิพคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Advanced Micro Devices
และก้าวเข้าไปเป็นหนึ่งในแกนสำคัญของกองทุนการลงทุนหลากหลายที่ชื่อCarlyle Group ที่มีอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุชและอดีตนายกฯหลายประเทศเป็นที่ปรึกษาอยู่
ไม่มีใครมีตัวเลขที่แน่นอนแต่การประเมินจากหลายแหล่งบอกว่า ประเทศผลิตน้ำมันที่อยู่ดีๆ ก็เลื่อนฐานะตัวเองขึ้นมาเป็นอภิมหาเศรษฐีเพราะราคาน้ำมันกระโจนขึ้นไปสูงสุดในประวัติศาสตร์นั้น มีเงินลงทุนทั่วโลกรวมกันไม่ต่ำกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เกิดอำนาจต่อรองทางด้านการเงินระดับโลกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง
รัสเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ใช้ความเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันดันตัวเองให้กลับไปอยู่ในฐานะของความเป็นมหาอำนาจทางการเมืองหลังจากที่เศรษฐกิจของอดีตสหภาพโซเวียตนั้นย่ำแย่ถึงขั้นพังพาบลงมา
ยิ่งเมื่อดอลลาร์อ่อนแรงลงไปเรื่อยๆอย่างนี้ การไล่ซื้อของมีค่าในสหรัฐก็ยิ่งจะถูกลง...แต่ก็ต้องระวังแรงต่อต้านทางการเมืองจากทั้งสหรัฐและยุโรปที่กำลังหวั่นไหวอย่างมากต่อความมั่งคั่งรอบใหม่นี้ของประเทศรอบๆ อ่าวเปอร์เซีย
น้ำมันกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองและเศรษฐกิจโลกในมิติและระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน...ฉะนั้นทุกดอลลาร์ที่ราคาน้ำมันขยับขึ้นสมการแห่งอำนาจต่อรองของโลกก็ปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=209958
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 260
คาด FED ลดดอกเบี้ยนดยบายลง 0.25% ในการประชุมวันอังคารนี้ ก่อนทยอยลดไม่เกิน 1.0% ในปีหน้า
Posted on Friday, December 07, 2007
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด อาจจะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.25 ในการประชุมรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 11 ธันวาคม เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐ และบรรเทาผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อซับไพร์มที่อาจจะมีต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายในกรอบที่เฟดบริหารจัดการได้ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการใช้นโยบายการเงินผ่านเครื่องมืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Discount Rate และการอัดฉีดสภาพคล่อง ตลอดจนแผนการช่วยเหลือเจ้าของบ้านสหรัฐ ในระยะถัด ๆ ไปของทางการสหรัฐ
สำหรับแนวโน้มในปี 2551 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อน่าจะยังไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกกังวลจนมีผลทำให้เฟดต้องปรับเปลี่ยนวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกอาจยังมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากการเร่งตัวขึ้นของราคาน้ำมันน่าจะถูกหักล้างด้วยแนวโน้มการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภคและเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ปัญหาซับไพร์มน่าจะยังมีอิทธิพลและเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดจำต้องดำเนินโยบายอัตราดอกเบี้ยในลักษณะที่ผ่อนคลายลงอีก
อย่างไรก็ตาม ขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของเฟดในปี 2551 คงจะขึ้นอยู่กับความเสียหายของปัญหาซับไพร์มว่าจะแผ่ขยายไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงหรือการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐมากน้อยและยาวนานเพียงใด รวมทั้งประสิทธิผลของนโยบายการเงินและมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มทั้งจากทางการสหรัฐ และเฟดด้วย
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐสามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอย (Recession) หรือไม่ได้ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของสหรัฐ อาจจะปิด ณ ปลายปี 2551 ที่ร้อยละ 3.00 - 4.00 เทียบกับร้อยละ 4.00 - 4.25 ณ ปลายปี 2550 ซึ่งยังคงต้องติดตามเครื่องชี้ในตลาดแรงงานและภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอย่างใกล้ชิดต่อไป
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น การส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15.5 ของจีดีพีของไทย คงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ยังมีแนวโน้มตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เงินบาทยังมีแนวโน้มปรับตัวแข็งค่าขึ้น เช่นเดียวกับเงินสกุลหลักอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดหวังกันว่า การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปของไทยในช่วงปลายปี 2550 น่าจะเป็นปัจจัยที่มาชดเชยการชะลอตัวของการส่งออกและช่วยจำกัดการแข็งค่าของเงินบาทในปี 2551
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Friday, December 07, 2007
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด อาจจะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.25 ในการประชุมรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 11 ธันวาคม เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐ และบรรเทาผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อซับไพร์มที่อาจจะมีต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายในกรอบที่เฟดบริหารจัดการได้ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการใช้นโยบายการเงินผ่านเครื่องมืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Discount Rate และการอัดฉีดสภาพคล่อง ตลอดจนแผนการช่วยเหลือเจ้าของบ้านสหรัฐ ในระยะถัด ๆ ไปของทางการสหรัฐ
สำหรับแนวโน้มในปี 2551 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อน่าจะยังไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกกังวลจนมีผลทำให้เฟดต้องปรับเปลี่ยนวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกอาจยังมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากการเร่งตัวขึ้นของราคาน้ำมันน่าจะถูกหักล้างด้วยแนวโน้มการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภคและเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ปัญหาซับไพร์มน่าจะยังมีอิทธิพลและเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดจำต้องดำเนินโยบายอัตราดอกเบี้ยในลักษณะที่ผ่อนคลายลงอีก
อย่างไรก็ตาม ขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของเฟดในปี 2551 คงจะขึ้นอยู่กับความเสียหายของปัญหาซับไพร์มว่าจะแผ่ขยายไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงหรือการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐมากน้อยและยาวนานเพียงใด รวมทั้งประสิทธิผลของนโยบายการเงินและมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มทั้งจากทางการสหรัฐ และเฟดด้วย
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐสามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอย (Recession) หรือไม่ได้ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของสหรัฐ อาจจะปิด ณ ปลายปี 2551 ที่ร้อยละ 3.00 - 4.00 เทียบกับร้อยละ 4.00 - 4.25 ณ ปลายปี 2550 ซึ่งยังคงต้องติดตามเครื่องชี้ในตลาดแรงงานและภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอย่างใกล้ชิดต่อไป
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น การส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15.5 ของจีดีพีของไทย คงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ยังมีแนวโน้มตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เงินบาทยังมีแนวโน้มปรับตัวแข็งค่าขึ้น เช่นเดียวกับเงินสกุลหลักอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดหวังกันว่า การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปของไทยในช่วงปลายปี 2550 น่าจะเป็นปัจจัยที่มาชดเชยการชะลอตัวของการส่งออกและช่วยจำกัดการแข็งค่าของเงินบาทในปี 2551
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 261
จีนลาภลอย ได้สัมปทานน้ำมันใหญ่จากอิหร่าน
จีนเฮได้สัมปทานน้ำมันจากอิหร่านเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รัฐบาลอิหร่านลั่น ชาติตะวันตกจะไม่มีสิทธิเข้ามาหาประโยชน์จากน้ำมันของตนหลังใช้มาตรการคว่ำบาตรเล่นงาน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิหร่านได้ลงนามข้อตกลงให้สัมปทานให้แก่บริษัทซิโนเป็กของจีน เพื่อพัฒนาและขุดเจาะแหล่งน้ำมันย่านยาดาวาราน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ และประเมินว่าพื้นที่ดังกล่าวจะมีน้ำมันเป็นจำนวน 12,000-18,000 ล้านบาร์เรล นับเป็นการลงนามให้สัมปทานด้านการพัฒนาแหล่งน้ำมันของอิหร่านแก่ต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุด และเป็นครั้งแรกสำหรับจีน โดยก่อนหน้านี้ อิหร่านไม่ได้ลงนามข้อตกลงให้สัมปทานประเภทนี้แก่บริษัทต่างชาติ เพราะต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรต่อกรณีโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ด้านนายโกลาม ฮุสเซน โนซารี รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิหร่าน ชี้ว่านับแต่นี้อิหร่านจะไม่ให้โอกาสประเทศใดก็ตามที่หวังจะเข้ามาลงทุนเพื่อแสวงประโยชน์กับมรดกน้ำมันของอิหร่าน
http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=696
จีนเฮได้สัมปทานน้ำมันจากอิหร่านเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รัฐบาลอิหร่านลั่น ชาติตะวันตกจะไม่มีสิทธิเข้ามาหาประโยชน์จากน้ำมันของตนหลังใช้มาตรการคว่ำบาตรเล่นงาน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิหร่านได้ลงนามข้อตกลงให้สัมปทานให้แก่บริษัทซิโนเป็กของจีน เพื่อพัฒนาและขุดเจาะแหล่งน้ำมันย่านยาดาวาราน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ และประเมินว่าพื้นที่ดังกล่าวจะมีน้ำมันเป็นจำนวน 12,000-18,000 ล้านบาร์เรล นับเป็นการลงนามให้สัมปทานด้านการพัฒนาแหล่งน้ำมันของอิหร่านแก่ต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุด และเป็นครั้งแรกสำหรับจีน โดยก่อนหน้านี้ อิหร่านไม่ได้ลงนามข้อตกลงให้สัมปทานประเภทนี้แก่บริษัทต่างชาติ เพราะต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรต่อกรณีโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ด้านนายโกลาม ฮุสเซน โนซารี รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิหร่าน ชี้ว่านับแต่นี้อิหร่านจะไม่ให้โอกาสประเทศใดก็ตามที่หวังจะเข้ามาลงทุนเพื่อแสวงประโยชน์กับมรดกน้ำมันของอิหร่าน
http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=696
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/12/07
โพสต์ที่ 262
เงินเฟ้อจีนทำสถิติสูงสุดในรอบ11 ปี คุมเข้มคุณภาพสินค้าแม้กระทบส่งออก
ดัชนีราคาผู้บริโภคในจีนพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 6.9 ต่อปีเมื่อเดือนที่แล้ว ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีอู๋ อี๋ เผยความปลอดภัยของสินค้าว่า จีนจะเดินหน้าคุมเข้มคุณภาพมากขึ้นแม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกก็ตาม
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า การพุ่งขึ้นของซีพีไอเมื่อเดือน พ.ย. ซึ่งสูงกว่าซีพีไอในระดับร้อยละ 6.5 ต่อปีเมื่อเดือน ต.ค.และ ส.ค.ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าหมวดอาหารที่พุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 18.2 โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของซีพีไอ ทั้งนี้ เป็นผลจากการขาดแคลนเนื้อสุกรและสินค้าอาหารพื้นฐานอื่นๆ แม้ว่าทางการจีนจะประกาศตรึงราคาน้ำมันพืชและสินค้าอาหารพื้นฐานอื่นๆเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และมีคำสั่งให้เกษตรกรเลี้ยงสุกรเพิ่มขึ้น โดยสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดสุกรแก่เกษตรกรโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังได้ประกาศขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซลอีกร้อยละ 10 โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา และประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้เพื่อควบคุมอุปสงค์ในภาคธุรกิจต่างๆตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่ให้ร้อนแรงเกินไป ทั้งนี้ แถลงการณ์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุด้วยว่า ซีพีไอของจีนในระยะ 11 เดือนของปีนี้สูงถึงร้อยละ 4.6 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายราวร้อยละ 3 ที่ทางการจีนกำหนดไว้
ด้านนางอู๋ อี๋ เขียนบทความลงในวารสารวอล สตรีท เจอร์นัล เอเชียฉบับวานนี้(11 ธ.ค.)ว่า จำเป็นต้องใช้มาตรการแข็งกร้าวเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค นางบอกว่าจีนจะใช้มาตรการเหล่านั้นต่อไป แม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มและการส่งออกอาจลดลง
โดยบทความของนางอู๋ อี๋ ถูกตีพิมพ์ในขณะที่ นายเฮนรี่ พอลสัน รมต.คลังสหรัฐฯ พร้อมด้วยนายคาร์ลอส กูเตียร์เรซ รมต.พาณิชย์และนางซูซาน ชวอบ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนจีนเพื่อร่วมหารือเรื่องการค้า ซึ่งประเด็นสำคัญ ได้แก่ คุณภาพสินค้าและความปลอดภัยของอาหาร
ขณะเดียวกัน จีนถูกเพ่งเล็งหนักในเรื่องคุณภาพของสินค้าส่งออกในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นหลายครั้ง และยังมีการเรียกเก็บสินค้าที่ผลิตจากจีนตั้งแต่ของเด็กเล่นไปถึงยาสีฟัน
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
ดัชนีราคาผู้บริโภคในจีนพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 6.9 ต่อปีเมื่อเดือนที่แล้ว ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีอู๋ อี๋ เผยความปลอดภัยของสินค้าว่า จีนจะเดินหน้าคุมเข้มคุณภาพมากขึ้นแม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกก็ตาม
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า การพุ่งขึ้นของซีพีไอเมื่อเดือน พ.ย. ซึ่งสูงกว่าซีพีไอในระดับร้อยละ 6.5 ต่อปีเมื่อเดือน ต.ค.และ ส.ค.ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าหมวดอาหารที่พุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 18.2 โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของซีพีไอ ทั้งนี้ เป็นผลจากการขาดแคลนเนื้อสุกรและสินค้าอาหารพื้นฐานอื่นๆ แม้ว่าทางการจีนจะประกาศตรึงราคาน้ำมันพืชและสินค้าอาหารพื้นฐานอื่นๆเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และมีคำสั่งให้เกษตรกรเลี้ยงสุกรเพิ่มขึ้น โดยสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดสุกรแก่เกษตรกรโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังได้ประกาศขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซลอีกร้อยละ 10 โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา และประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้เพื่อควบคุมอุปสงค์ในภาคธุรกิจต่างๆตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่ให้ร้อนแรงเกินไป ทั้งนี้ แถลงการณ์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุด้วยว่า ซีพีไอของจีนในระยะ 11 เดือนของปีนี้สูงถึงร้อยละ 4.6 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายราวร้อยละ 3 ที่ทางการจีนกำหนดไว้
ด้านนางอู๋ อี๋ เขียนบทความลงในวารสารวอล สตรีท เจอร์นัล เอเชียฉบับวานนี้(11 ธ.ค.)ว่า จำเป็นต้องใช้มาตรการแข็งกร้าวเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค นางบอกว่าจีนจะใช้มาตรการเหล่านั้นต่อไป แม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มและการส่งออกอาจลดลง
โดยบทความของนางอู๋ อี๋ ถูกตีพิมพ์ในขณะที่ นายเฮนรี่ พอลสัน รมต.คลังสหรัฐฯ พร้อมด้วยนายคาร์ลอส กูเตียร์เรซ รมต.พาณิชย์และนางซูซาน ชวอบ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนจีนเพื่อร่วมหารือเรื่องการค้า ซึ่งประเด็นสำคัญ ได้แก่ คุณภาพสินค้าและความปลอดภัยของอาหาร
ขณะเดียวกัน จีนถูกเพ่งเล็งหนักในเรื่องคุณภาพของสินค้าส่งออกในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นหลายครั้ง และยังมีการเรียกเก็บสินค้าที่ผลิตจากจีนตั้งแต่ของเด็กเล่นไปถึงยาสีฟัน
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/12/07
โพสต์ที่ 263
ขุนคลังจีนเตือนหากสหรัฐออกพรบ.ใหม่ จะกระทบความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุนแรง
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังจีน กล่าวว่า ความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา อาจได้รับผลกระทบหากสภาคองเกรสสหรัฐผ่านร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับจีน ซึ่งถูกระงับไว้มาตั้งแต่ช่วงต้นปี จีนและสหรัฐสมควรที่จะแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจในปัจจุบันผ่านทางการเจรจา และการหันหน้ามาปรึกษากัน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน ตลอดถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจแบบวิน-วิน
ธนาคารกลางจีนยืนยันเงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากเพราะปรับนโยบายแลกเปลี่ยน
ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวว่า จีนได้ปรับปรุงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมามากแล้ว และการปรับนโยบายนี้ทำให้เงินหยวนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าต่างชาติจะมองว่า ค่าเงินหยวนของจีนยังปรับตัวสูงขึ้นในจังหวะที่ไม่รวดเร็วอย่างที่ต้องการก็ตาม อย่างไรก็ดี ค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นก็ไม่สามารถช่วยลดช่องว่างการค้าของจีนได้ ซึ่งช่องว่างการค้ามหาศาลนี้ทำให้จีนถูกวิจารณ์จากนานาชาติว่า จีนดึงค่าเงินหยวนไว้ไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป
ออสเตรเลียเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนพ.ย.ลดลงเหตุอัตราดอกเบี้ยสูง
ธนาคารเนชั่นแนล ออสเตรเลีย (NAB) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของออสเตรเลียในเดือนพ.ย.2550 ปรับตัวลดลง 3.0 จุด จากระดับในเดือนต.ค. แตะระดับ 6.0 จุด เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อทั่วโลก ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลหลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งในวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจดังกล่าว
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เปิดเดินรถไฟขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนแล้ว
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้เปิดเดินรถไฟขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างกันแล้วเมื่อวานนี้ โดยโครงการเดินรถไฟดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจและมาตรการสร้างความปรองดองระดับประเทศที่ได้มีการตกลงกันในที่ประชุมสุดยอดเกาหลีเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา รถไฟขนส่งสินค้าจะวิ่งให้บริการระหว่างสถานีมูนซานในเกาหลีใต้ และสถานีปันมุน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมมืองขายแดนอย่างแคซองของเกาหลีเหนือ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังจีน กล่าวว่า ความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา อาจได้รับผลกระทบหากสภาคองเกรสสหรัฐผ่านร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับจีน ซึ่งถูกระงับไว้มาตั้งแต่ช่วงต้นปี จีนและสหรัฐสมควรที่จะแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจในปัจจุบันผ่านทางการเจรจา และการหันหน้ามาปรึกษากัน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน ตลอดถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจแบบวิน-วิน
ธนาคารกลางจีนยืนยันเงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากเพราะปรับนโยบายแลกเปลี่ยน
ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวว่า จีนได้ปรับปรุงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมามากแล้ว และการปรับนโยบายนี้ทำให้เงินหยวนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าต่างชาติจะมองว่า ค่าเงินหยวนของจีนยังปรับตัวสูงขึ้นในจังหวะที่ไม่รวดเร็วอย่างที่ต้องการก็ตาม อย่างไรก็ดี ค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นก็ไม่สามารถช่วยลดช่องว่างการค้าของจีนได้ ซึ่งช่องว่างการค้ามหาศาลนี้ทำให้จีนถูกวิจารณ์จากนานาชาติว่า จีนดึงค่าเงินหยวนไว้ไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป
ออสเตรเลียเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนพ.ย.ลดลงเหตุอัตราดอกเบี้ยสูง
ธนาคารเนชั่นแนล ออสเตรเลีย (NAB) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของออสเตรเลียในเดือนพ.ย.2550 ปรับตัวลดลง 3.0 จุด จากระดับในเดือนต.ค. แตะระดับ 6.0 จุด เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อทั่วโลก ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลหลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งในวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจดังกล่าว
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เปิดเดินรถไฟขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนแล้ว
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้เปิดเดินรถไฟขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างกันแล้วเมื่อวานนี้ โดยโครงการเดินรถไฟดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจและมาตรการสร้างความปรองดองระดับประเทศที่ได้มีการตกลงกันในที่ประชุมสุดยอดเกาหลีเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา รถไฟขนส่งสินค้าจะวิ่งให้บริการระหว่างสถานีมูนซานในเกาหลีใต้ และสถานีปันมุน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมมืองขายแดนอย่างแคซองของเกาหลีเหนือ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 264
เงินเฟ้อสหรัฐพุ่ง 0.8% สูงสุดรอบ 2 ปี ตลาดโลกคาด "เฟด" แหยงหั่นดอกเบี้ย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2550 10:35 น.
ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่ง 0.8% ทำสถิติสูงสุดรอบ 2 ปี จากผลกระทบราคาน้ำมันแพง ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกคาด "เฟด" ยังไม่กล้าปรับลดดอกเบี้ยในรอบหน้า ม.ค.51
วันนี้(17 ธ.ค.) สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มมีแรงกดดันเข้ามาอีกครั้ง หลังตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (CPI) ในเดือน พ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 2 ปี และเหนือกว่าระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.6% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
โดยอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวเชื่อว่าจะกดดันให้เฟดต้องพิจารณาอย่างรอบครอบต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าเดือน ม.ค. สะท้อนไปยัง Fed Fund Rate Future ล่าสุดการลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานอีก 25 bps ในเดือน ม.ค.ลดลงจาก 100% เหลือ 80% ซึ่งภาวะดังกล่าวจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000149231
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2550 10:35 น.
ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่ง 0.8% ทำสถิติสูงสุดรอบ 2 ปี จากผลกระทบราคาน้ำมันแพง ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกคาด "เฟด" ยังไม่กล้าปรับลดดอกเบี้ยในรอบหน้า ม.ค.51
วันนี้(17 ธ.ค.) สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มมีแรงกดดันเข้ามาอีกครั้ง หลังตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (CPI) ในเดือน พ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 2 ปี และเหนือกว่าระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.6% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
โดยอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวเชื่อว่าจะกดดันให้เฟดต้องพิจารณาอย่างรอบครอบต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าเดือน ม.ค. สะท้อนไปยัง Fed Fund Rate Future ล่าสุดการลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานอีก 25 bps ในเดือน ม.ค.ลดลงจาก 100% เหลือ 80% ซึ่งภาวะดังกล่าวจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000149231
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 265
อินเดีย รัสเซีย และจีนส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่อกัน
อินเดีย รัสเซียและจีนได้ให้คำมั่นว่าจะส่งเสริมการค้าและการลงทุนต่อกันและกัน หลังจากการพบหารือกันเป็นเวลา 1 วันของเจ้าหน้าที่และนักธุรกิจจากประเทศทั้ง 3 ที่มารวมตัวกันที่กรุงนิวเดลีในสุดสัปดาห์นี้ โดยที่อินเดีย จีน และรัสเซียต่างก็มีวัตถุดิบและพลังงานสำรอง ดังนั้นประเทศทั้ง 3 ควรจะร่วมกันจัดตั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน.
แคนาดากำหนดมาตรการคว่ำบาตรพม่า
แคนาดากำหนดมาตรการคว่ำบาตรพม่า โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพื่อลงโทษรัฐบาลทหารพม่าที่ไม่ยอมปฏิรูป มาตรการคว่ำบาตรของแคนาดาจะรวมถึงการห้ามส่งออกสินค้าจากแคนาดาไปยังพม่ายกเว้นสินค้าด้านมนุษยธรรม และห้ามชาวแคนาดาเข้าไปลงทุนหรือจัดส่งเงินไปยังพม่าอีกทั้ง อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้นำทหารพม่าในแคนาดา นอกจากนี้ยังห้ามเรือและเครื่องบินของพม่าเข้าจอดเทียบท่าหรือลงจอดที่แคนาดาด้วย
ผู้นำลิเบียเดินทางเยือนสเปน
พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบียเริ่มต้นการเดินทางเยือนสเปนอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวานนี้ หลังจากที่สิ้นเสร็จการเยือนฝรั่งเศสเพื่อตกลงทางธุรกิจเป็นมูลค่าหลายพันล้านยูโร ระหว่างการเยือนสเปนนาน 4 วันคาดว่าผู้นำลิเบียจะพบปะกับนายโจเซ่ หลุยส์ โรดริเกซ ซาปาเตโร่ นายกรัฐมนตรีสเปนกษัตริย์ ฮวนคาลอสและอดีตนายกรัฐมนตรีโจเซ่ มาเรีย อัซนาร์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นของสเปนด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
อินเดีย รัสเซียและจีนได้ให้คำมั่นว่าจะส่งเสริมการค้าและการลงทุนต่อกันและกัน หลังจากการพบหารือกันเป็นเวลา 1 วันของเจ้าหน้าที่และนักธุรกิจจากประเทศทั้ง 3 ที่มารวมตัวกันที่กรุงนิวเดลีในสุดสัปดาห์นี้ โดยที่อินเดีย จีน และรัสเซียต่างก็มีวัตถุดิบและพลังงานสำรอง ดังนั้นประเทศทั้ง 3 ควรจะร่วมกันจัดตั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน.
แคนาดากำหนดมาตรการคว่ำบาตรพม่า
แคนาดากำหนดมาตรการคว่ำบาตรพม่า โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพื่อลงโทษรัฐบาลทหารพม่าที่ไม่ยอมปฏิรูป มาตรการคว่ำบาตรของแคนาดาจะรวมถึงการห้ามส่งออกสินค้าจากแคนาดาไปยังพม่ายกเว้นสินค้าด้านมนุษยธรรม และห้ามชาวแคนาดาเข้าไปลงทุนหรือจัดส่งเงินไปยังพม่าอีกทั้ง อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้นำทหารพม่าในแคนาดา นอกจากนี้ยังห้ามเรือและเครื่องบินของพม่าเข้าจอดเทียบท่าหรือลงจอดที่แคนาดาด้วย
ผู้นำลิเบียเดินทางเยือนสเปน
พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบียเริ่มต้นการเดินทางเยือนสเปนอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวานนี้ หลังจากที่สิ้นเสร็จการเยือนฝรั่งเศสเพื่อตกลงทางธุรกิจเป็นมูลค่าหลายพันล้านยูโร ระหว่างการเยือนสเปนนาน 4 วันคาดว่าผู้นำลิเบียจะพบปะกับนายโจเซ่ หลุยส์ โรดริเกซ ซาปาเตโร่ นายกรัฐมนตรีสเปนกษัตริย์ ฮวนคาลอสและอดีตนายกรัฐมนตรีโจเซ่ มาเรีย อัซนาร์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นของสเปนด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 266
เอดีบีให้เงินกู้จีน180 ล้านดอลล์
ธนาคารพัฒนาเอเชียเผย ได้ให้เงินกู้ยืมแก่จีนจำนวน 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างทางรถไฟและน้ำประปา
ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี เปิดเผยว่า ได้ให้เงินกู้ยืมแก่จีนจำนวน 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างทางรถไฟและน้ำประปา
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย ระบุว่า เงินกู้จำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,400 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟของจีน ซึ่งปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยในแต่ละปีนั้นมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ขณะที่การขนส่งสินค้าก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6
ส่วนเงินกู้อีก 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นั้น จะนำไปใช้ในการพัฒนาระบบการจัดหาน้ำสะอาดให้กับประชาชนในเมืองคุนหมิงภายในปี 2555 ปัจจุบันชาวจีนยังต้องอาศัยน้ำจากทะเลสาบเตียนฉือ ที่มีมลพิษสูงในการดำรงชีพ สำหรับระยะเวลาของเงินกู้จำนวนนี้ เอดีบีไม่ได้เปิดเผย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
ธนาคารพัฒนาเอเชียเผย ได้ให้เงินกู้ยืมแก่จีนจำนวน 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างทางรถไฟและน้ำประปา
ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี เปิดเผยว่า ได้ให้เงินกู้ยืมแก่จีนจำนวน 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างทางรถไฟและน้ำประปา
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย ระบุว่า เงินกู้จำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,400 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟของจีน ซึ่งปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยในแต่ละปีนั้นมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ขณะที่การขนส่งสินค้าก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6
ส่วนเงินกู้อีก 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นั้น จะนำไปใช้ในการพัฒนาระบบการจัดหาน้ำสะอาดให้กับประชาชนในเมืองคุนหมิงภายในปี 2555 ปัจจุบันชาวจีนยังต้องอาศัยน้ำจากทะเลสาบเตียนฉือ ที่มีมลพิษสูงในการดำรงชีพ สำหรับระยะเวลาของเงินกู้จำนวนนี้ เอดีบีไม่ได้เปิดเผย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 267
ผู้ว่าแบงก์ชาติมาเลเซียย้ำเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, December 19, 2007
นางเซติ อาซิส ผู้ว่าการธนาคารกลางมาเลเซีย บอกว่า อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยของมาเลเซียยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% และจะเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่ามาเลเซียจะได้รับแรงกดดันด้านราคาสินค้าที่สูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ ธนาคารกลางคาดการณ์ว่า ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวอยู่ระหว่าง 2-2.5%
นางเซติบอกด้วยว่า การขยายตัวที่แข็งแกร่งของยอดเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์และเม็ดเงินลงทุนในตลาดพันธบัตรที่เพิ่มมากขึ้น จะสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวในภาคการลงทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งคาดว่าอัตราการขยายตัวในตลาดจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาอาหารและน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่เศรษฐกิจมาเลเซียยังมีกำลังการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันดังกล่าวลงได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, December 19, 2007
นางเซติ อาซิส ผู้ว่าการธนาคารกลางมาเลเซีย บอกว่า อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยของมาเลเซียยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% และจะเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่ามาเลเซียจะได้รับแรงกดดันด้านราคาสินค้าที่สูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ ธนาคารกลางคาดการณ์ว่า ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวอยู่ระหว่าง 2-2.5%
นางเซติบอกด้วยว่า การขยายตัวที่แข็งแกร่งของยอดเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์และเม็ดเงินลงทุนในตลาดพันธบัตรที่เพิ่มมากขึ้น จะสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวในภาคการลงทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งคาดว่าอัตราการขยายตัวในตลาดจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาอาหารและน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่เศรษฐกิจมาเลเซียยังมีกำลังการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันดังกล่าวลงได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/12/07
โพสต์ที่ 268
จีเอ็มขึ้นราคาขายรถยนต์ทุกรุ่นปีหน้า เหตุราคาเหล็กแพงขึ้น
ยักษ์ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ในสหรัฐ และของโลก บริษัท เจอเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม กล่าวว่า ผลพวงจากราคาเหล็ก ที่ถีบตัวสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีเอ็ม ไม่สามารถแบกรับต้นทุนเดิมในการผลิตต่อไปได้ ทำให้ จีเอ็ม ต้องประกาศปรับขึ้นราคาขายรถยนต์โดยเฉลี่ยคันละ 1 พัน 5 ร้อยเหรียญสหรัฐ หรือราว 5 หมื่น 1 พันบาท นั่นหมายถึง กระทบราคาขายทุกรุ่นของจีเอ็มในปีหน้าราว 1.5% ทั้งนี้ ไม่เพียงราคาเหล็กเท่านั้นที่ปรับเพิ่มมากขึ้น แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลิต ล้วนทะยานเพิ่มขึ้นเช่นกัน
รมว.การค้าญี่ปุ่นคาดจีน-ญี่ปุ่นยังไม่สามารถทำข้อตกลงสำรวจแหล่งแก๊สได้
รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น กล่าวว่า การทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้งเรื่องสิทธิในการสำรวจแหล่งแก๊สในทะเลจีนตะวันออกระหว่างญี่ปุ่นและจีนในระหว่างที่นายกรัฐมนตรียาซูโอะ ฟูกูดะ ของญี่ปุ่นเดินทางเยือนจีนนั้น คงจะเป็นเรื่องยาก นายฟูกูดะมีแนวโน้มว่าจะเดินทางเยือนจีนในเดือนนี้ โดยมาซาฮิโกะ โคมูระ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวภายหลังจากการเดินทางเยือนจีนเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ทั้ง 2 ประเทศต้องการที่จะตกลงเรื่องดังกล่าวให้ได้ในช่วงที่นายกฯญี่ปุ่นเยือนจีน
ออสเตรเลียปัดข้อเสนอ"สิงเทล"ขอสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ในประเทศ
คณะกรรมการดูแลการแข่งขันและผู้บริโภคออสเตรเลีย เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯได้ปฏิเสธแผนการสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ความเร็วสูงในออสเตรเลียมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่นำเสนอโดย สิงคโปร์ เทเลคอมมูนิเคชั่นส์ หรือสิงเทล คณะกรรมการพิจารณาว่า ข้อเสนอของกลุ่มที่นำโดยสิงเทล และบริษัทโทรคมนาคมอีก 8 แห่งมีกลไกการตรวจสอบบัญชีที่ไม่เพียงพอ แต่ทางคณะกรรมการยินดีที่จะรับข้อเสนอที่ได้มีการทบทวนแล้วจากทางสิงเทล
"คิริน"เผยปี 49 จีนแชมป์ดื่มเบียร์ 35 ล้านกิโลลิตร
คิริน โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิตเบียร์สัญชาติญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลว่า จีนติดอันดับประเทศที่บริโภคเบียร์มากที่สุดในโลกเมื่อปี 2549 โดยจีนอยู่ในอันดับดังกล่าวต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 4 แล้ว โดยสถิติการบริโภคเบียร์ในจีนเพิ่มขึ้น 14.8% แตะระดับ 35 ล้านกิโลลิตร การบริโภคเบียร์ทั่วโลกขยายตัว 5.8% แตะที่ 165.76 ล้านกิโลลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 21 ติดต่อกัน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน สถิติของ คิริน รวบรวมบนพื้นฐานข้อมูลที่รวบรวมจากองค์กรต่างๆในอุตสาหกรรมเบียร์ทั่วโลก
เกาหลีใต้ปรับผู้ให้บริการ 4 รายฐานโกงอายุให้ลูกค้า รวม 1.2 พันล้านวอน
คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของเกาหลีใต้ได้สั่งปรับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม 4 ราย เป็นเงินรวม 1.2 พันล้านวอน ในข้อหาเปิดบริการให้กับผู้ใช้บริการที่มีอายุเกินกำหนดที่ได้มีการจัดระเบียบไว้สำหรับลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น เพื่อที่จะได้ใช้บริการด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า รวมทั้งยังเปิดให้บริการบางประเภทแก่ผู้ใช้บริการที่เป็นวัยรุ่นโดยปราศจากการอนุมัติของผู้ปกครอง สั่งปรับบริษัท เอสเค เทเลคอม มูลค่า 800 ล้านวอน, เคที ฟรีเทล 200 ล้านวอน, แอลจี เทเลคอม 150 ล้านวอน และเคที 50 ล้านวอน และสั่งให้ผู้ให้บริการทั้งหมดปรับปรุงเรื่องค่าธรรมเนียมและการรับลูกค้าเข้าไปสมาชิกโดยด่วน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
ยักษ์ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ในสหรัฐ และของโลก บริษัท เจอเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม กล่าวว่า ผลพวงจากราคาเหล็ก ที่ถีบตัวสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีเอ็ม ไม่สามารถแบกรับต้นทุนเดิมในการผลิตต่อไปได้ ทำให้ จีเอ็ม ต้องประกาศปรับขึ้นราคาขายรถยนต์โดยเฉลี่ยคันละ 1 พัน 5 ร้อยเหรียญสหรัฐ หรือราว 5 หมื่น 1 พันบาท นั่นหมายถึง กระทบราคาขายทุกรุ่นของจีเอ็มในปีหน้าราว 1.5% ทั้งนี้ ไม่เพียงราคาเหล็กเท่านั้นที่ปรับเพิ่มมากขึ้น แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลิต ล้วนทะยานเพิ่มขึ้นเช่นกัน
รมว.การค้าญี่ปุ่นคาดจีน-ญี่ปุ่นยังไม่สามารถทำข้อตกลงสำรวจแหล่งแก๊สได้
รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น กล่าวว่า การทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้งเรื่องสิทธิในการสำรวจแหล่งแก๊สในทะเลจีนตะวันออกระหว่างญี่ปุ่นและจีนในระหว่างที่นายกรัฐมนตรียาซูโอะ ฟูกูดะ ของญี่ปุ่นเดินทางเยือนจีนนั้น คงจะเป็นเรื่องยาก นายฟูกูดะมีแนวโน้มว่าจะเดินทางเยือนจีนในเดือนนี้ โดยมาซาฮิโกะ โคมูระ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวภายหลังจากการเดินทางเยือนจีนเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ทั้ง 2 ประเทศต้องการที่จะตกลงเรื่องดังกล่าวให้ได้ในช่วงที่นายกฯญี่ปุ่นเยือนจีน
ออสเตรเลียปัดข้อเสนอ"สิงเทล"ขอสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ในประเทศ
คณะกรรมการดูแลการแข่งขันและผู้บริโภคออสเตรเลีย เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯได้ปฏิเสธแผนการสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ความเร็วสูงในออสเตรเลียมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่นำเสนอโดย สิงคโปร์ เทเลคอมมูนิเคชั่นส์ หรือสิงเทล คณะกรรมการพิจารณาว่า ข้อเสนอของกลุ่มที่นำโดยสิงเทล และบริษัทโทรคมนาคมอีก 8 แห่งมีกลไกการตรวจสอบบัญชีที่ไม่เพียงพอ แต่ทางคณะกรรมการยินดีที่จะรับข้อเสนอที่ได้มีการทบทวนแล้วจากทางสิงเทล
"คิริน"เผยปี 49 จีนแชมป์ดื่มเบียร์ 35 ล้านกิโลลิตร
คิริน โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิตเบียร์สัญชาติญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลว่า จีนติดอันดับประเทศที่บริโภคเบียร์มากที่สุดในโลกเมื่อปี 2549 โดยจีนอยู่ในอันดับดังกล่าวต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 4 แล้ว โดยสถิติการบริโภคเบียร์ในจีนเพิ่มขึ้น 14.8% แตะระดับ 35 ล้านกิโลลิตร การบริโภคเบียร์ทั่วโลกขยายตัว 5.8% แตะที่ 165.76 ล้านกิโลลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 21 ติดต่อกัน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน สถิติของ คิริน รวบรวมบนพื้นฐานข้อมูลที่รวบรวมจากองค์กรต่างๆในอุตสาหกรรมเบียร์ทั่วโลก
เกาหลีใต้ปรับผู้ให้บริการ 4 รายฐานโกงอายุให้ลูกค้า รวม 1.2 พันล้านวอน
คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของเกาหลีใต้ได้สั่งปรับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม 4 ราย เป็นเงินรวม 1.2 พันล้านวอน ในข้อหาเปิดบริการให้กับผู้ใช้บริการที่มีอายุเกินกำหนดที่ได้มีการจัดระเบียบไว้สำหรับลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น เพื่อที่จะได้ใช้บริการด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า รวมทั้งยังเปิดให้บริการบางประเภทแก่ผู้ใช้บริการที่เป็นวัยรุ่นโดยปราศจากการอนุมัติของผู้ปกครอง สั่งปรับบริษัท เอสเค เทเลคอม มูลค่า 800 ล้านวอน, เคที ฟรีเทล 200 ล้านวอน, แอลจี เทเลคอม 150 ล้านวอน และเคที 50 ล้านวอน และสั่งให้ผู้ให้บริการทั้งหมดปรับปรุงเรื่องค่าธรรมเนียมและการรับลูกค้าเข้าไปสมาชิกโดยด่วน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/12/07
โพสต์ที่ 269
ญี่ปุ่นเผยอุปสงค์แข็งแกร่งหนุนจีดีพีปีหน้าขยายตัวรวดเร็วที่ 2.0%รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมี.ค.2552 โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์อันแข็งแกร่งในประเทศ รัฐบาลคาดว่าจีดีพีจะขยายตัว 2.0% ในปีงบประมาณหน้าซึ่งเริ่มต้นที่เดือนเม.ย. เทียบกับระดับ 1.3% ในปีนี้ ในปีงบประมาณปัจจุบันสิ้นสุดที่เดือนมี.ค.2551 คาดว่าจีดีพีก่อนหักอัตราเงินเฟ้อจะขยายตัว 0.8%
อินเดียเชื่อสามารถผลิตข้าวสาลีได้ตามเป้าที่ 75.5 ล้านตันในปี 50-51
รัฐบาลอินเดียเปิดเผยว่า อินเดียจะสามารถบรรลุเป้าหมายผลิตข้าวสาลีที่ระดับ 75.5 ล้านตันในปี 2550-51 ได้ เนื่องจากสภาพอากาศที่ดีและอัตราการบริโภคธัญพืชที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตข้าวสาลีเพิ่มขึ้น ในปี 2550-2551 พื้นที่เพาะปลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 27.5 ล้านเฮคเตอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลีธรรมดาที่ประมาณ 26 ล้านเฮคเตอร์ ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อินเดียได้รับการยื่นประมูลนำเข้าข้าวสาลีจากสเตท เทรดดิ้ง คอร์ปในราคาที่สูงมาก
แบงก์ชาติอินโดนีเซียเผยเงินกู้ปี 50 อาจพุ่งแตะ 24% เชื่อปีหน้าสูงขึ้น
รองผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ยอดเงินกู้ของอุตสาหกรรมธนาคารอินโดนีเซียอาจขยายตัวแตะ 24% ตลอดทั้งปี 2550 จากระดับเงินกู้ของปี 2549 ซึ่งทะลุคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 20%รายงานข้อมูลของธนาคารกลางว่า ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ อุตสาหกรรมเงินกู้ขยายตัวขึ้น 21.5% จากปีก่อนหน้าแตะระดับ 957 ล้านล้านรูเปียห์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลได้ปรับทบทวนลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ว่า จะเติบโตราว 6.4-6.7% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 6.8% หลังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งเป็นประวัติการณ์
พม่าจับมืออินเดียตั้งศูนย์พัฒนาทักษะด้านไอทีในกรุงย่างกุ้ง
พม่าและอินเดียเตรียมจัดตั้งศูนย์พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอทีในกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า หนังสือพิมพ์นิวไลท์ ออฟ เมียนมาร์ รายงานว่า ศูนย์พัมนาทักษะไอทีอินเดีย-พม่า จะจัดตั้งขึ้นภายใต้บันทึกตกลงความเข้าใจที่ทำขึ้นในระหว่างการเยือนอินเดียของอู คยอว์ ธู รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศพม่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ในระหว่างการเดินทางเยือนอินเดีย รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศพม่าได้ปรึกษาหารือกับชีฟชานการ์ เมนอน รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศอินเดีย ถึงความร่วมมือระดับทวิภาคีในประเด็น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
อินเดียเชื่อสามารถผลิตข้าวสาลีได้ตามเป้าที่ 75.5 ล้านตันในปี 50-51
รัฐบาลอินเดียเปิดเผยว่า อินเดียจะสามารถบรรลุเป้าหมายผลิตข้าวสาลีที่ระดับ 75.5 ล้านตันในปี 2550-51 ได้ เนื่องจากสภาพอากาศที่ดีและอัตราการบริโภคธัญพืชที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตข้าวสาลีเพิ่มขึ้น ในปี 2550-2551 พื้นที่เพาะปลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 27.5 ล้านเฮคเตอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลีธรรมดาที่ประมาณ 26 ล้านเฮคเตอร์ ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อินเดียได้รับการยื่นประมูลนำเข้าข้าวสาลีจากสเตท เทรดดิ้ง คอร์ปในราคาที่สูงมาก
แบงก์ชาติอินโดนีเซียเผยเงินกู้ปี 50 อาจพุ่งแตะ 24% เชื่อปีหน้าสูงขึ้น
รองผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ยอดเงินกู้ของอุตสาหกรรมธนาคารอินโดนีเซียอาจขยายตัวแตะ 24% ตลอดทั้งปี 2550 จากระดับเงินกู้ของปี 2549 ซึ่งทะลุคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 20%รายงานข้อมูลของธนาคารกลางว่า ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ อุตสาหกรรมเงินกู้ขยายตัวขึ้น 21.5% จากปีก่อนหน้าแตะระดับ 957 ล้านล้านรูเปียห์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลได้ปรับทบทวนลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ว่า จะเติบโตราว 6.4-6.7% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 6.8% หลังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งเป็นประวัติการณ์
พม่าจับมืออินเดียตั้งศูนย์พัฒนาทักษะด้านไอทีในกรุงย่างกุ้ง
พม่าและอินเดียเตรียมจัดตั้งศูนย์พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอทีในกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า หนังสือพิมพ์นิวไลท์ ออฟ เมียนมาร์ รายงานว่า ศูนย์พัมนาทักษะไอทีอินเดีย-พม่า จะจัดตั้งขึ้นภายใต้บันทึกตกลงความเข้าใจที่ทำขึ้นในระหว่างการเยือนอินเดียของอู คยอว์ ธู รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศพม่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ในระหว่างการเดินทางเยือนอินเดีย รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศพม่าได้ปรึกษาหารือกับชีฟชานการ์ เมนอน รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศอินเดีย ถึงความร่วมมือระดับทวิภาคีในประเด็น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/15/07
โพสต์ที่ 270
BOJ ตรึงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตามคาด แต่ธนาคารกลางจีน ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก+กู้ มีผลพรุ่งนี้
Posted on Thursday, December 20, 2007
ธนาคารกลางจีน ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากอีก 0.27% มาอยู่ที่ 4.14% และดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.18% มาอยู่ที่ 7.47% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์พรุ่งนี้
การปรับดอกเบี้ยครั้งนี้ ถือเป็นการปรับดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6 เพราะทางการจีนต้องการชะลอการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ขยายตัวในอัตรา 2 หลัก (Double Digits) เพื่อชะลอกความร้อนแรงของการขยายตัวเศรษฐกิจตามหัวเมือง ที่ยังคงขยายตัวร้อนแรงอย่างไม่หยุดหย่อน
ข่าวดังกล่าว ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่า น่าจะมีผลลบต่อการปรับตัวของตลาดหุ้นจีนในการเปิดซื้อขายวันศุกร์ส่งท้ายสัปดาห์พรุ่งนี้ หลังจากวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ กระดาน-เอ ปิดปรับตัวขึ้น 107.26 จุด หรือ 2.07% มายืนที่ 5,292.39 จุด ส่วนกระดาน-บี ปิดที่ ที่ 354.57 จุด ดีดตัว 0.74 จุด หรือ 0.20%
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน กลับเกิดขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่อ้างอิงจากดอกเบี้ยเผื่อเรียกข้ามคืน ซึ่งคงที่ ในอัตรา 0.50% ต่อไป ไม่พลิกความคาดหมาย
อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวกลับช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดตลาดแดนบวก สวนทางหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ที่ทรุดตัวลงมา โดยปิดทำการ ดัชนีนิคเคอิ ยืนที่ระดับ 15,031.60 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.09 จุด หรือ 0.01%
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 20, 2007
ธนาคารกลางจีน ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากอีก 0.27% มาอยู่ที่ 4.14% และดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.18% มาอยู่ที่ 7.47% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์พรุ่งนี้
การปรับดอกเบี้ยครั้งนี้ ถือเป็นการปรับดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6 เพราะทางการจีนต้องการชะลอการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ขยายตัวในอัตรา 2 หลัก (Double Digits) เพื่อชะลอกความร้อนแรงของการขยายตัวเศรษฐกิจตามหัวเมือง ที่ยังคงขยายตัวร้อนแรงอย่างไม่หยุดหย่อน
ข่าวดังกล่าว ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่า น่าจะมีผลลบต่อการปรับตัวของตลาดหุ้นจีนในการเปิดซื้อขายวันศุกร์ส่งท้ายสัปดาห์พรุ่งนี้ หลังจากวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ กระดาน-เอ ปิดปรับตัวขึ้น 107.26 จุด หรือ 2.07% มายืนที่ 5,292.39 จุด ส่วนกระดาน-บี ปิดที่ ที่ 354.57 จุด ดีดตัว 0.74 จุด หรือ 0.20%
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน กลับเกิดขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่อ้างอิงจากดอกเบี้ยเผื่อเรียกข้ามคืน ซึ่งคงที่ ในอัตรา 0.50% ต่อไป ไม่พลิกความคาดหมาย
อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวกลับช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดตลาดแดนบวก สวนทางหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ที่ทรุดตัวลงมา โดยปิดทำการ ดัชนีนิคเคอิ ยืนที่ระดับ 15,031.60 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.09 จุด หรือ 0.01%
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx