ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 481
โค้งสุดท้ายหุ้นไทย...ก่อนเลือกตั้ง?
Date: 2007-11-27 11:26:45
Source: OTH
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะดัชนีตลาดหุ้นมีทั้งขึ้นและลง ซึ่งถ้าเมื่อใดที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนก็จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน คือ การเข้ามาลงทุนของกองทุนเพื่อการเก็งกำไร (Hedge Fund) โดยปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีนักลงทุนประเภท Hedge Fund คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 10% ของเงินลงทุน Hedge Fund หรือประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นส่วนที่เข้ามาลงทุนในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยเมื่อดูสถิติย้อนหลัง 4 ปี พบว่า เมื่อต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4 ? 6 เดือน จนดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นเฉลี่ย 150 ? 160 จุด นักลงทุนต่างชาติก็มักเทขายทำกำไรทันทีประมาณ 2.6 ? 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 60 ? 100% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. ? 29 ต.ค. 50 ที่ดัชนีพุ่งขึ้นจาก 750.69 จุด มาอยู่ที่ 915.03 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 164.34 จุด ก่อนที่มีแรงเทขายออกมานั้น ถ้าดูจากสถิติที่ผ่านมา แรงเทขายในรอบนี้น่าจะทำให้ดัชนีลดลงมากกว่า 100 จุด หรือกดให้ดัชนีมาอยู่ที่ประมาณ 820 จุด ดังนั้น ถ้าเมื่อใดที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงถึง 80% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะมีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งก็มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะการเลือกตั้งจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น โดยนายสมบัติคาดว่า ปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 4.8% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 15 ? 25% นอกจากนี้ถ้าดูสถิติย้อนหลัง พบว่า ปลายปีใดก็ตามที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 2 อาทิตย์สุดท้ายของเดือนธันวาคม ดัชนีตลาดหุ้นจะดีดตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
นายสมบัติเชื่อว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน โดยเมื่อดูจากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้ง พบว่า ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 4 ครั้ง และลดลงเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงสิ้นปีนี้ เดิมมีการคาดการณ์ไว้ที่ 871 จุด ส่วนบทวิเคราะห์ใหม่ที่จะออกมาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะมากกว่า 871 จุด ส่วนปลายปี 2551 คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปถึง 1,000 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ เกิดจากการที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว โดยเงินทุนต่างชาติคิดเป็น 35 - 40% ของเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย และมีการลงทุนในทิศทางเดียวกัน ขณะที่นักลงทุนรายย่อยของไทยที่มีประมาณ 50% เป็นการลงทุนที่กระจัดกระจาย ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนนักลงทุนสถาบันก็มีน้อยเกินไป คือกว่า 10% เท่านั้น จึงไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก
นายไพบูลย์เชื่อว่า 70 ? 80% ของแรงเทขายในช่วงนี้ มาจากกลุ่ม Hedge Fund ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยมาตรฐานของสหรัฐฯ (Subprime Mortgage Loan) ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนระยะยาว (Long Term) ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากนัก เพราะนักลงทุนเหล่านี้จะมีเหตุผลในการลงทุน และไม่ลงทุนอย่างหวือหวา คือ ถ้าไม่ได้ในราคาหุ้นที่ต้องการ ก็จะไม่ซื้อหรือขาย ดังนั้น การเคลื่อนไหวของนักลงทุนระยะยาวจึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีแรงเทขายเข้ามา ถ้าบริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจ ก็จะช่วยหยุดการเทขายของนักลงทุนได้
นายไพบูลย์บอกว่า ขณะนี้โบรกเกอร์กว่า 70 ? 80% รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ต่างก็คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลจริง ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะมีการขายทำกำไรบ้าง หลังจากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2551 แต่ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะมีแรงเทขายออกมา
ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เป็นเพราะยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องนโยบาย และผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ รวมถึงยังมีบางกระแสที่คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ นอกจากปัญหาการเมือง ที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออาจจะปรับลดน้อยกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะมีผลให้ปัญหา Subprime กลับมารุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
Date: 2007-11-27 11:26:45
Source: OTH
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะดัชนีตลาดหุ้นมีทั้งขึ้นและลง ซึ่งถ้าเมื่อใดที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนก็จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน คือ การเข้ามาลงทุนของกองทุนเพื่อการเก็งกำไร (Hedge Fund) โดยปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีนักลงทุนประเภท Hedge Fund คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 10% ของเงินลงทุน Hedge Fund หรือประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นส่วนที่เข้ามาลงทุนในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยเมื่อดูสถิติย้อนหลัง 4 ปี พบว่า เมื่อต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4 ? 6 เดือน จนดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นเฉลี่ย 150 ? 160 จุด นักลงทุนต่างชาติก็มักเทขายทำกำไรทันทีประมาณ 2.6 ? 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 60 ? 100% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. ? 29 ต.ค. 50 ที่ดัชนีพุ่งขึ้นจาก 750.69 จุด มาอยู่ที่ 915.03 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 164.34 จุด ก่อนที่มีแรงเทขายออกมานั้น ถ้าดูจากสถิติที่ผ่านมา แรงเทขายในรอบนี้น่าจะทำให้ดัชนีลดลงมากกว่า 100 จุด หรือกดให้ดัชนีมาอยู่ที่ประมาณ 820 จุด ดังนั้น ถ้าเมื่อใดที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงถึง 80% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะมีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งก็มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะการเลือกตั้งจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น โดยนายสมบัติคาดว่า ปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 4.8% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 15 ? 25% นอกจากนี้ถ้าดูสถิติย้อนหลัง พบว่า ปลายปีใดก็ตามที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 2 อาทิตย์สุดท้ายของเดือนธันวาคม ดัชนีตลาดหุ้นจะดีดตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
นายสมบัติเชื่อว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน โดยเมื่อดูจากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้ง พบว่า ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 4 ครั้ง และลดลงเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงสิ้นปีนี้ เดิมมีการคาดการณ์ไว้ที่ 871 จุด ส่วนบทวิเคราะห์ใหม่ที่จะออกมาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะมากกว่า 871 จุด ส่วนปลายปี 2551 คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปถึง 1,000 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ เกิดจากการที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว โดยเงินทุนต่างชาติคิดเป็น 35 - 40% ของเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย และมีการลงทุนในทิศทางเดียวกัน ขณะที่นักลงทุนรายย่อยของไทยที่มีประมาณ 50% เป็นการลงทุนที่กระจัดกระจาย ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนนักลงทุนสถาบันก็มีน้อยเกินไป คือกว่า 10% เท่านั้น จึงไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก
นายไพบูลย์เชื่อว่า 70 ? 80% ของแรงเทขายในช่วงนี้ มาจากกลุ่ม Hedge Fund ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยมาตรฐานของสหรัฐฯ (Subprime Mortgage Loan) ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนระยะยาว (Long Term) ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากนัก เพราะนักลงทุนเหล่านี้จะมีเหตุผลในการลงทุน และไม่ลงทุนอย่างหวือหวา คือ ถ้าไม่ได้ในราคาหุ้นที่ต้องการ ก็จะไม่ซื้อหรือขาย ดังนั้น การเคลื่อนไหวของนักลงทุนระยะยาวจึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีแรงเทขายเข้ามา ถ้าบริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจ ก็จะช่วยหยุดการเทขายของนักลงทุนได้
นายไพบูลย์บอกว่า ขณะนี้โบรกเกอร์กว่า 70 ? 80% รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ต่างก็คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลจริง ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะมีการขายทำกำไรบ้าง หลังจากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2551 แต่ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะมีแรงเทขายออกมา
ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เป็นเพราะยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องนโยบาย และผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ รวมถึงยังมีบางกระแสที่คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ นอกจากปัญหาการเมือง ที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออาจจะปรับลดน้อยกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะมีผลให้ปัญหา Subprime กลับมารุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 482
"ปรีดิยาธร"ชี้รัฐบาลใหม่อยู่ได้แค่ปีครึ่ง
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "อนาคตไทย : ความหวังคำตอบ ที่พ้นจากกรอบการเมืองน้ำเน่า" โดยมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมเป็นวิทยากร
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการสัมมนาเรื่องผู้บริหารประเทศกับการวางแผนอนาคตเศรษฐกิจไทยวานนี้ (26 พ.ย.) ว่า รัฐบาลหน้าจะบริหารประเทศได้ประมาณ 1 ปีถึงปีครึ่งเท่านั้น เพราะคนที่อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรประมาณ 2 ใน 3 มีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถูกนิรโทษกรรมทั้ง 111 คน และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมก็คงจะมีผลบังคับใช้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองทราบดี ทำให้พรรคการเมืองต้องเร่งดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อโกยคะแนนสำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป และนโยบายของทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด ก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน
โดยนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลควรจัดการนั้นแบ่งได้เป็นนโยบายระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นรัฐบาลควรจะเร่งลงทุนในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ใน 11 โครงการใหญ่ ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนถึง 160,000 ล้านบาท เช่น การลงทุนในระบบการขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ เป็นต้น
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพคล่องในระบบการเงินมีจำนวนมากประมาณ 8 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงไม่เป็นอุปสรรคของรัฐบาลที่จะใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ โดยหากรัฐบาลเร่งดำเนินโครงการลงทุนทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ก็จะทำให้ภาคส่วนต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจดำเนินกิจการของตนต่อทันที เช่น ถ้ามีการประมูลบริษัทที่จะลงทุนโครงการรถขนส่งมวลชน ก็จะทำให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มต้นลงทุนด้วย เป็นต้น
สำหรับนโยบายระยะยาว ประเทศไทยจะต้องพัฒนาเศรษฐกิจสองทาง คือดำเนินนโยบายเศรษฐกิจกระแสหลัก ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนด้วยชุมชนเอง โดยในการพัฒนาเศรษฐกิจกระแสหลักนั้น ปัจจุบันไทยมีจุดอ่อนสองด้าน อย่างแรกคือพื้นที่อุตสาหกรรมของไทยซึ่งในภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) นั้น จะไม่สามารถลงทุนเพิ่มเติมได้มากแล้ว เพราะติดข้อกำหนดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไทยควรจะเปิดพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้นักลงทุนมีพื้นที่ในการลงทุน เช่น การพัฒนาให้เกิดโครงการเซาเทิร์น ซีบอร์ด เพราะจะช่วยในการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปขายให้กับประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นได้ ซึ่งหากรัฐบาลเริ่มโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ดได้ จะทำให้เศรษฐกิจส่วนหลักของไทยพัฒนาได้ต่อเนื่อง
จุดอ่อนอย่างที่สองของไทย คือด้านโลจิสติกส์ ซึ่งประเทศไทยขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกทำให้มีต้นทุนแพง ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ด้วยการสร้างท่าเรือใหม่ที่ให้รถบรรทุกขึ้นเรือไปได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าหลายรอบ จะทำให้การขนส่งระหว่างภาคใต้กับแหลมฉบังลดต้นทุนได้เยอะมาก หรือการขนส่งด้วยระบบรถไฟที่ควรพัฒนาให้รถไฟวิ่งได้เร็วกว่านี้ โดยให้เอกชนประมูลโครงการไปลงทุน
นอกจากนี้ ในระยะยาวประเทศไทยยังควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ครูมีรายได้ที่เพียงพอ เพื่อให้มีชีวิตอยู่โดยไม่ลำบากเพื่อจะได้มีเวลาให้ความสำคัญกับการพัฒนาการสอน ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องสนับสนุนอุปกรณ์การสอนให้ใช้ได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังต้องพัฒนาให้มีการสอนตั้งแต่วัยก่อน 6 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กเรียนรู้ได้ดี นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อราย แทนที่จะมุ่งการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนนั้น ก็ควรให้ความสำคัญให้มากขึ้น โดยเน้นการพัฒนาชุมชนด้วยชุมชนเอง แทนที่จะพัฒนาชุมชนจากส่วนกลาง ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติควรเร่งพัฒนา เพราะการที่ชุมชนดูแลกันเองได้นั้น จะให้ผลดีกว่าส่วนกลางเข้าไปดูแล
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวถึง เส้นทางการเมืองของตนด้วยว่า การเล่นการเมืองต้องใช้เงินเยอะ ซึ่งคิดว่า เก็บมาทั้งชีวิตหากใช้หมดไปกับการเมือง ก็คงจะไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก ซึ่งก็คงต้องรอดูต่อไป ทั้งนี้การใช้เงินของนักการเมืองก็เป็นปกติของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยทั่วโลก เพียงเพราะการคอร์รัปชันจะพัฒนาขึ้นตามการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ รองศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวสอดคล้องกันว่าหลังการเลือกตั้งปลายปีนี้ รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะเป็นรัฐบาลผสมที่มีความอ่อนแออย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือการที่คนส่วนหนึ่งในสังคมไทยมองการเมืองแค่การเลือกตั้งเท่านั้น ทำให้ไม่เห็นปัญหาการเมืองด้านอื่น โดยการที่รัฐบาลปัจจุบันผ่านพระราชบัญญัติความมั่นคง ซึ่งจะทำให้มีการวางคนในตำแหน่งต่างๆ โดยไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมืองนั้น จะทำให้คนเหล่านี้มีอำนาจมากขึ้น หากรัฐบาลอ่อนแอ
นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษานโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในหัวข้อ "ทิศทางเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง" ในงานวันนักการตลาดแห่งประเทศไทย 2007 ว่า การเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญของภาพรวมธุรกิจปี 2551 แม้จะมีปัจจัยลบทั้งราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวคาดลดลง-1.0% ต่อเนื่องจากปัญหาสินเชื่อซับไพร์ม แต่ประเทศไทยยังมีภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีกว่าปีนี้
ทั้งนี้ การเลือกตั้งปีหน้า จะช่วยกระตุ้นความมั่นใจของผู้บริโภค และการจับจ่ายในภาคครัวเรือนได้ หลังรัฐบาลใหม่ผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) ให้เกิดการลงทุนเบื้องต้น และมีการต่อยอดโครงการลงทุนของเอกชนจะกลับมาเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยปีนี้ เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า พลังงานทดแทน จะมีการลงทุนมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทในปีหน้า หลังจากที่ปีนี้ การลงทุนในภาคเอกชนลดลงสูงสุดในรอบ 10 ปี
ส่วนภาวะต้นทุนราคาน้ำมันคาดว่าจะยังสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลังของปี 2551 ก่อนเริ่มชะลอการปรับราคานั้น เชื่อว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงกว่าปีนี้ 2.5-3% ในส่วนของค่าเงินบาทนั้น เชื่อว่าจะยังคงแข็งค่าต่อเนื่องอีก 3-4% ส่งผลต่อการส่งออก และทำให้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ อาจขยายตัวลดลงจากปีนี้ ซึ่งเติบโต 16% แต่ยังขยายตัวได้มากกว่า 10%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "อนาคตไทย : ความหวังคำตอบ ที่พ้นจากกรอบการเมืองน้ำเน่า" โดยมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมเป็นวิทยากร
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการสัมมนาเรื่องผู้บริหารประเทศกับการวางแผนอนาคตเศรษฐกิจไทยวานนี้ (26 พ.ย.) ว่า รัฐบาลหน้าจะบริหารประเทศได้ประมาณ 1 ปีถึงปีครึ่งเท่านั้น เพราะคนที่อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรประมาณ 2 ใน 3 มีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถูกนิรโทษกรรมทั้ง 111 คน และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมก็คงจะมีผลบังคับใช้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองทราบดี ทำให้พรรคการเมืองต้องเร่งดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อโกยคะแนนสำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป และนโยบายของทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด ก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน
โดยนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลควรจัดการนั้นแบ่งได้เป็นนโยบายระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นรัฐบาลควรจะเร่งลงทุนในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ใน 11 โครงการใหญ่ ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนถึง 160,000 ล้านบาท เช่น การลงทุนในระบบการขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ เป็นต้น
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพคล่องในระบบการเงินมีจำนวนมากประมาณ 8 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงไม่เป็นอุปสรรคของรัฐบาลที่จะใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ โดยหากรัฐบาลเร่งดำเนินโครงการลงทุนทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ก็จะทำให้ภาคส่วนต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจดำเนินกิจการของตนต่อทันที เช่น ถ้ามีการประมูลบริษัทที่จะลงทุนโครงการรถขนส่งมวลชน ก็จะทำให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มต้นลงทุนด้วย เป็นต้น
สำหรับนโยบายระยะยาว ประเทศไทยจะต้องพัฒนาเศรษฐกิจสองทาง คือดำเนินนโยบายเศรษฐกิจกระแสหลัก ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนด้วยชุมชนเอง โดยในการพัฒนาเศรษฐกิจกระแสหลักนั้น ปัจจุบันไทยมีจุดอ่อนสองด้าน อย่างแรกคือพื้นที่อุตสาหกรรมของไทยซึ่งในภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) นั้น จะไม่สามารถลงทุนเพิ่มเติมได้มากแล้ว เพราะติดข้อกำหนดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไทยควรจะเปิดพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้นักลงทุนมีพื้นที่ในการลงทุน เช่น การพัฒนาให้เกิดโครงการเซาเทิร์น ซีบอร์ด เพราะจะช่วยในการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปขายให้กับประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นได้ ซึ่งหากรัฐบาลเริ่มโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ดได้ จะทำให้เศรษฐกิจส่วนหลักของไทยพัฒนาได้ต่อเนื่อง
จุดอ่อนอย่างที่สองของไทย คือด้านโลจิสติกส์ ซึ่งประเทศไทยขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกทำให้มีต้นทุนแพง ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ด้วยการสร้างท่าเรือใหม่ที่ให้รถบรรทุกขึ้นเรือไปได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าหลายรอบ จะทำให้การขนส่งระหว่างภาคใต้กับแหลมฉบังลดต้นทุนได้เยอะมาก หรือการขนส่งด้วยระบบรถไฟที่ควรพัฒนาให้รถไฟวิ่งได้เร็วกว่านี้ โดยให้เอกชนประมูลโครงการไปลงทุน
นอกจากนี้ ในระยะยาวประเทศไทยยังควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ครูมีรายได้ที่เพียงพอ เพื่อให้มีชีวิตอยู่โดยไม่ลำบากเพื่อจะได้มีเวลาให้ความสำคัญกับการพัฒนาการสอน ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องสนับสนุนอุปกรณ์การสอนให้ใช้ได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังต้องพัฒนาให้มีการสอนตั้งแต่วัยก่อน 6 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กเรียนรู้ได้ดี นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อราย แทนที่จะมุ่งการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนนั้น ก็ควรให้ความสำคัญให้มากขึ้น โดยเน้นการพัฒนาชุมชนด้วยชุมชนเอง แทนที่จะพัฒนาชุมชนจากส่วนกลาง ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติควรเร่งพัฒนา เพราะการที่ชุมชนดูแลกันเองได้นั้น จะให้ผลดีกว่าส่วนกลางเข้าไปดูแล
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวถึง เส้นทางการเมืองของตนด้วยว่า การเล่นการเมืองต้องใช้เงินเยอะ ซึ่งคิดว่า เก็บมาทั้งชีวิตหากใช้หมดไปกับการเมือง ก็คงจะไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก ซึ่งก็คงต้องรอดูต่อไป ทั้งนี้การใช้เงินของนักการเมืองก็เป็นปกติของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยทั่วโลก เพียงเพราะการคอร์รัปชันจะพัฒนาขึ้นตามการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ รองศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวสอดคล้องกันว่าหลังการเลือกตั้งปลายปีนี้ รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะเป็นรัฐบาลผสมที่มีความอ่อนแออย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือการที่คนส่วนหนึ่งในสังคมไทยมองการเมืองแค่การเลือกตั้งเท่านั้น ทำให้ไม่เห็นปัญหาการเมืองด้านอื่น โดยการที่รัฐบาลปัจจุบันผ่านพระราชบัญญัติความมั่นคง ซึ่งจะทำให้มีการวางคนในตำแหน่งต่างๆ โดยไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมืองนั้น จะทำให้คนเหล่านี้มีอำนาจมากขึ้น หากรัฐบาลอ่อนแอ
นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษานโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในหัวข้อ "ทิศทางเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง" ในงานวันนักการตลาดแห่งประเทศไทย 2007 ว่า การเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญของภาพรวมธุรกิจปี 2551 แม้จะมีปัจจัยลบทั้งราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวคาดลดลง-1.0% ต่อเนื่องจากปัญหาสินเชื่อซับไพร์ม แต่ประเทศไทยยังมีภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีกว่าปีนี้
ทั้งนี้ การเลือกตั้งปีหน้า จะช่วยกระตุ้นความมั่นใจของผู้บริโภค และการจับจ่ายในภาคครัวเรือนได้ หลังรัฐบาลใหม่ผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) ให้เกิดการลงทุนเบื้องต้น และมีการต่อยอดโครงการลงทุนของเอกชนจะกลับมาเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยปีนี้ เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า พลังงานทดแทน จะมีการลงทุนมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทในปีหน้า หลังจากที่ปีนี้ การลงทุนในภาคเอกชนลดลงสูงสุดในรอบ 10 ปี
ส่วนภาวะต้นทุนราคาน้ำมันคาดว่าจะยังสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลังของปี 2551 ก่อนเริ่มชะลอการปรับราคานั้น เชื่อว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงกว่าปีนี้ 2.5-3% ในส่วนของค่าเงินบาทนั้น เชื่อว่าจะยังคงแข็งค่าต่อเนื่องอีก 3-4% ส่งผลต่อการส่งออก และทำให้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ อาจขยายตัวลดลงจากปีนี้ ซึ่งเติบโต 16% แต่ยังขยายตัวได้มากกว่า 10%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 483
เปิดไส้ใน"ส่งออก"พุ่งผิดปกติ แห่ขาย"ทอง-เครื่องจักร"
เจาะลึกข้อมูลส่งออกเดือน ต.ค.สูงผิดปกติ กรมศุลฯจับตากลุ่มเครื่องจักรส่งขายสิงคโปร์ตัวเลขพุ่งกว่า 50% ขณะที่พ่อค้าทองปรับกลยุทธ์ใหม่เน้นซื้อมาขายไปดันตัวเลขส่งออกกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับกระฉูด พร้อมเกาะติดตัวเลข 10 เดือนหวั่นภาพ ลวงตา ส่วนตลาดหุ้นไทยต่างชาติขายเดือนเดียวฉุดมาร์เก็ตแคปวูบ 8 แสนล้าน นักวิเคราะห์ชี้เฮดจฟันด์แห่ขายทำกำไรหุ้นในเอเชียถือเงินสด เผยซับไพรมปะทุรุนแรงเป็นตัวเร่งทิ้งหุ้น
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ประกาศการส่งออกในเดือนตุลาคม 2550 สร้างความประหลาดใจด้วยตัวเลขที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2550 ถึง 26.7% คิดเป็นมูลค่า 14,516 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับ ตั้งแต่มีการส่งออกของไทย โดยสินค้าอุตสาห กรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 29.1%, สินค้าเกษตร/ อุตสาหกรรมการเกษตร ขยายตัว 22.6% และ สินค้าอื่นๆ ขยายตัว 21.4% ส่งผลให้การส่งออก ช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ของปี 2550 เพิ่มขึ้น 17.2% คิดเป็นมูลค่า 125,114 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทองคำแพงหนุนส่งออกอัญมณีพุ่ง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากสินค้าที่มีอัตราขยายตัวของการส่งออกสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 10 เดือนแรกจะพบว่า อัญมณีและเครื่องประดับ ในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) 2550 มีมูลค่า 4,236.91 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 40.28% แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์การส่งออกกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจะไม่ค่อยดีนัก เพราะถูกสหรัฐซึ่งเป็นตลาดหลักของอัญมณีและเครื่องประดับตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา จนเกิดปัญหาว่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 19.2%
แต่หลังจากค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัว บวกกับราคาน้ำมันพุ่งสูง ส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรราคาทองคำในตลาดโลก และราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาวะการค้าทองคำในไทยมีปัญหา เพราะคนแห่มาขาย กลับกันการซื้อทองรูปพรรณลดลงอย่างมาก ร้านทองจึงปรับตัวโดยการหันไปรับซื้อทองคำและส่งออกทองคำแทน
ศุลกากรจับตามองส่งออกเครื่องจักร
อีกกลุ่มสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง จักรกล มูลค่า 3,322.12 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 54.46% ส่งออกไปตลาดสิงคโปร์สูงถึง 736 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 370% ตัวเลขนี้สร้างความประหลาดใจอีกครั้ง เพราะไทยไม่ใช่ฐานการผลิตเครื่องจักรกลที่สำคัญ ขณะเดียวกันสิงคโปร์ไม่ได้เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าที่สำคัญ แต่จริงๆ แล้ว สิงคโปร์เป็นเทรดเดอร์รายสำคัญของโลก
แหล่งข่าวจากกรมศุลกากรให้ความเห็นว่า ทางศุลกากรเองจับตามองตัวเลขการส่งออกในหมวดเครื่องจักรเช่นกัน เนื่องจากมีมูลค่าส่งออกสูงมาก จึงเข้าไปตรวจสอบ แล้วพบว่าเป็นการส่งออกเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า และเครื่องแยกก๊าซ ไปที่สิงคโปร์ จากบริษัทแห่งหนึ่งในระยอง โดยทางบริษัทยืนยันว่าเป็นบริษัทนำเข้าชิ้นส่วนเข้ามาผลิตและส่งออก โดยขอคืนภาษีตามมาตรา 19 ทวิ
ซับไพรม-GSP ทำตลาดสหรัฐ-2.64%
หันมามองตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดหลัก ของไทย กลับพบตัวเลขที่น่าตกใจกับยอดการส่งออกที่ติดลบ 2.64% สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ตั้งแต่เสื้อผ้าสำเร็จรูป มูลค่า 1,244 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -8.47%, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป มูลค่า 857.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -4.37%, เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ มูลค่า 592.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -49.62% ปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวเลขส่งออกสหรัฐลดลงเนื่องจากปัญหาซับไพรมเศรษฐกิจภายในสหรัฐเอง และผลกระทบจากการที่สินค้าไทยถูกตัดสิทธิ GSP
ตลาดใหม่ถือว่าเป็นความหวังของไทย จากอัตราการขยายตัวสูงเกิน 40% ในหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง, แอฟริกา, ยุโรปตะวันออก, อินโดจีน และออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญในตลาดใหม่คือ ลูกค้าจะเน้นที่ราคาเป็นหลัก หากจีนใช้กลยุทธ์ด้านราคาแข่งจะทำให้ผู้ส่งออกไทยไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้หลายสินค้า เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ยังมีตลาดสหรัฐเป็นตลาดหลัก จึงต้องหาแนวทางให้สินค้าในกลุ่มนี้รักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด สหรัฐให้ได้ รวมทั้งสนับสนุนให้ออกไปเจาะตลาดใหม่
ถึงแม้รัฐบาลจะประกาศตัวเลขส่งออกในช่วง 10 เดือนว่าสูงถึง 125,114 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 17.2% แต่ไม่อาจจะอนุมานได้ว่า เศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ เพราะหากเจาะลึกถึงสินค้าที่การส่งออกสูง เช่น ทองคำ เครื่องจักร เป็นเพียงตัวเลขที่ไม่ได้เกิดจากความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างแท้จริง แต่เป็นตัวเลขส่งออกที่วูบขึ้นไปเพียงชั่วคราว ในขณะเดียวกันสินค้าที่พึ่งพาแรงงานจำนวนมาก วัตถุดิบในประเทศจำนวนมาก ทั้งเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ (มูลค่า 2,567.97 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -12.97%), เสื้อผ้าสำเร็จรูป (มูลค่า 2,497.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -6.01%), อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (มูลค่า 2,549.37 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.99%) กลับขยายตัวติดลบหรือขยายตัวไม่มาก
"โฆสิต" ชี้ ศก.ยังไปได้แต่ต้องฝ่าพายุ
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดสัมมนาวิชาการ ครบรอบ 69 ปี เรื่อง "กติกาใหม่ : โอกาสใหม่ของธุรกิจไทย" โดยนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "ธุรกิจไทย : ปรับตัวอย่างไรบนกติกาใหม่" ค้านเศรษฐกิจไทยไม่ได้โตต่ำกว่าศักยภาพ นายโฆสิตคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้าว่า ถ้าสามารถส่งออกได้ แม้จะลดลงจากปีนี้ แต่จะได้การลงทุนเข้ามาทดแทน ทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปได้ และมีความเข้มแข็ง แต่อัตราการเติบโตยังไม่สูง จะโตประมาณ 5% เพราะฉะนั้นดูแล้วเศรษฐกิจไทย ไม่มีอะไรต่ำกว่าศักยภาพของประเทศ และหากต้องการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นจะต้องมีการลงทุน ถ้าไม่มีการลงทุนเลย เศรษฐกิจไทยก็คงขยายตัวในอัตราที่ต่ำต่อไป
นายโฆสิตมองว่า เป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอก เป็นปัจจัยเดิมๆ ที่เจอมาแล้วใน 12 เดือนที่ผ่านมา ทั้งเรื่องเงินทุนเคลื่อนไหลเข้าออก กระทบค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมต้องปิดตัว ปัญหาเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม) ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ทำให้เกิดความผันผวนในตลาด ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาราคาน้ำมัน ซึ่งธุรกิจไทยได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาแล้วว่าทำให้มีความยากลำบากมากขึ้น
1 เดือนตลาดหุ้นวูบ 8 แสนล้าน
ทางด้านการซื้อขายตลาดหุ้นไทยย้อนหลังในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา อยู่ในภาวะผันผวน โดย ตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.2550 ดัชนีขึ้นสูงสุด 915.03 จุด ก่อนจะปรับตัวลงด้วยปัจจัยลบเรื่องซับไพรมที่ปะทุอีกครั้งในเดือน พ.ย. ดัชนีหลุด 800 จุด และปิดที่ 824.75 จุด ด้วยแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ยอดขายสุทธิเดือน พ.ย. 36,797.81 ล้านบาท ขณะที่มาร์เก็ตแคปลดมาอยู่ที่ 6.2 ล้านล้านบาท จากก่อนหน้านี้ ขึ้นไปแตะ ที่ 7.05 ล้านล้านบาท เมื่อเดือน ต.ค. หายไปประมาณ 8 แสนล้านบาท
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกในช่วงนี้ เนื่องจากกลัวความเสี่ยงเป็นหลัก โดยเฉพาะปัญหาซับไพรมในสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องตึงอย่างรุนแรง ทำให้ต้องหาสภาพคล่องมาเสริมให้ตัวเอง จึงต้องขายสินทรัพย์ที่ลงทุนออกมาเพื่อนำเงินกลับ โดยเลือกขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ออกก่อน
ประกอบกับที่ผ่านมาตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียปรับตัวขึ้นแรงมาก และเป็นจังหวะที่จะปิดบัญชีการลงทุนงวดสิ้นปี จึงเป็นโอกาสขายทำกำไร ออกมา
"ตลาดหุ้นที่ลงรอบนี้ มองว่าไม่ได้ลงแรง เทียบกับที่หุ้นไทยขึ้นแรงเกินไป ซึ่งเป็นผลของเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนไทยเยอะ หลังจากที่เห็นว่าสินทรัพย์ในสหรัฐไม่น่าสนใจลงทุน จึงเลือกมาหาตลาดเอเชียกัน จะเห็นว่าดัชนีขึ้นจาก 800 จุด มา 900 จุดแค่เดือน ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และจากนี้ไปความเสี่ยงก็มีเยอะ ทั้งเรื่องหุ้น ปตท. ที่ศาลปกครองนัดพิจารณาฟังคำสั่งว่า ปตท.ต้องเพิกถอนหรือไม่ ในวันที่ 30 พ.ย.2550 และเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น"
นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บล. ฟินันซ่า กล่าวว่า เฮดจ์ฟันด์เทขายตลาดหุ้นในเอเชียเพื่อปิดสมุดบัญชีการลงทุน โดยมีปัญหาซับไพรมเป็นตัวเร่งให้เกิดการขายเร็วขึ้นกว่าปีก่อนๆ และตลาดบ้านเราเดี๋ยวนี้มีแต่เฮดจ์ฟันด์แล้ว ไม่ค่อยมีกองทุนลงยาว ในช่วงปลายปีเขาก็ขายเอากำไรออกปิดบุ๊กบัญชีเลย ไม่มานั่งพะวงดูภาวะตลาดกัน ประกอบกับคาดการณ์ว่าผลประกอบการปีหน้าไม่น่าจะขยายตัวมมากนัก
ทุนร้อนชิงทิ้งหุ้นกำเงินสด
แรงกระเพื่อมจากแนวโน้มที่วิกฤตสินเชื่อจะปะทุหนักอีกระลอก สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในตลาดเงินโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการประเมิน ว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน นับถึงวันที่ 20 ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกสูญวับไปตามแรงเทขาย 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ เม็ดเงินที่ตีจาก ตลาดการเงินที่มีความเสี่ยง มาจากหลายกลุ่ม ทั้งจากกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ กองทุนตลาดหุ้น และนักลงทุนสถาบันประเภทอื่นๆ
ดัชนีเอ็มเอสซีไอ เวิรลด์ ผันผวนไปมา ซึ่งมีแนวโน้มที่เดือนพฤศจิกายนจะเป็นเดือนที่แย่ที่สุด นับจากปี 2545 โดยปรับตัวลงต่อเนื่องแล้วประมาณ 7.8% ขณะที่ตลาดหุ้นโตเกียว กลายเป็นตลาดแรกของโลกในบรรดา 10 ยักษ์ใหญ่ตลาดหุ้นโลกที่เข้าภาวะขาลง นับจากวิกฤตซับไพรมปะทุเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา แรงดิ่งระลอกใหม่ทำให้ตลาดหุ้นโลกในขณะนี้มีระดับราคาต่อกำไรถูกที่สุด ในรอบอย่างน้อย 12 ปี โดยที่ดัชนี เอ็มเอสซีไอ เวิรลด์ ที่สะท้อนมูลค่าหุ้นอยู่ที่ 15.4 เท่าของผลกำไร ต่ำสุดนับจากกุมภาพันธ์ 2538
วิกฤตซับไพรมในสหรัฐได้พ่นพิษใส่ธนาคารใหญ่สุดของโลกหลายราย ต้องแทงหนี้สูญรวมกัน นับถึงขณะนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา คาดว่ายอดความสูญเสียจากวิกฤตครั้งนี้ในหมู่สถาบันการเงินจะสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์
ญี่ปุ่นเอกซเรย์แบงก์หายอดขาดทุน
แรงโหมของวิกฤตซับไพรมรอบใหม่กระตุ้นให้หลายประเทศหันมาตรวจสอบพันธะผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน มีต่อสินเชื่อซับไพรม และตราสารประเภทซีดีโอ (collateralized debt obligation : CDOs) ดังกรณีของสำนักงานบริหารภาคการเงินของญี่ปุ่น (FSA) ซึ่งได้ตรวจสอบสถานะการเงินและพันธะผูกพันจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ และสินเชื่อที่กำลังมีปัญหาในสหรัฐ ในช่วง 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา
จากการสำรวจของ FSA ระบุว่า สถาบันการเงินที่บริหารเงินฝากทั่วประเทศ 575 แห่งในญี่ปุ่น มีการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ ที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำและผู้กู้มีคุณสมบัติ ต่ำกว่าเกณฑ์ 1.33 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีการลงบันทึกการรับรู้การขาดทุน 1.19 แสนล้านเยนแล้ว และยอดหนี้สงสัยจะสูญอีก 1.07 แสนล้านเยน ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
เจาะลึกข้อมูลส่งออกเดือน ต.ค.สูงผิดปกติ กรมศุลฯจับตากลุ่มเครื่องจักรส่งขายสิงคโปร์ตัวเลขพุ่งกว่า 50% ขณะที่พ่อค้าทองปรับกลยุทธ์ใหม่เน้นซื้อมาขายไปดันตัวเลขส่งออกกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับกระฉูด พร้อมเกาะติดตัวเลข 10 เดือนหวั่นภาพ ลวงตา ส่วนตลาดหุ้นไทยต่างชาติขายเดือนเดียวฉุดมาร์เก็ตแคปวูบ 8 แสนล้าน นักวิเคราะห์ชี้เฮดจฟันด์แห่ขายทำกำไรหุ้นในเอเชียถือเงินสด เผยซับไพรมปะทุรุนแรงเป็นตัวเร่งทิ้งหุ้น
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ประกาศการส่งออกในเดือนตุลาคม 2550 สร้างความประหลาดใจด้วยตัวเลขที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2550 ถึง 26.7% คิดเป็นมูลค่า 14,516 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับ ตั้งแต่มีการส่งออกของไทย โดยสินค้าอุตสาห กรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 29.1%, สินค้าเกษตร/ อุตสาหกรรมการเกษตร ขยายตัว 22.6% และ สินค้าอื่นๆ ขยายตัว 21.4% ส่งผลให้การส่งออก ช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ของปี 2550 เพิ่มขึ้น 17.2% คิดเป็นมูลค่า 125,114 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทองคำแพงหนุนส่งออกอัญมณีพุ่ง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากสินค้าที่มีอัตราขยายตัวของการส่งออกสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 10 เดือนแรกจะพบว่า อัญมณีและเครื่องประดับ ในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) 2550 มีมูลค่า 4,236.91 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 40.28% แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์การส่งออกกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจะไม่ค่อยดีนัก เพราะถูกสหรัฐซึ่งเป็นตลาดหลักของอัญมณีและเครื่องประดับตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา จนเกิดปัญหาว่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 19.2%
แต่หลังจากค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัว บวกกับราคาน้ำมันพุ่งสูง ส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรราคาทองคำในตลาดโลก และราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาวะการค้าทองคำในไทยมีปัญหา เพราะคนแห่มาขาย กลับกันการซื้อทองรูปพรรณลดลงอย่างมาก ร้านทองจึงปรับตัวโดยการหันไปรับซื้อทองคำและส่งออกทองคำแทน
ศุลกากรจับตามองส่งออกเครื่องจักร
อีกกลุ่มสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง จักรกล มูลค่า 3,322.12 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 54.46% ส่งออกไปตลาดสิงคโปร์สูงถึง 736 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 370% ตัวเลขนี้สร้างความประหลาดใจอีกครั้ง เพราะไทยไม่ใช่ฐานการผลิตเครื่องจักรกลที่สำคัญ ขณะเดียวกันสิงคโปร์ไม่ได้เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าที่สำคัญ แต่จริงๆ แล้ว สิงคโปร์เป็นเทรดเดอร์รายสำคัญของโลก
แหล่งข่าวจากกรมศุลกากรให้ความเห็นว่า ทางศุลกากรเองจับตามองตัวเลขการส่งออกในหมวดเครื่องจักรเช่นกัน เนื่องจากมีมูลค่าส่งออกสูงมาก จึงเข้าไปตรวจสอบ แล้วพบว่าเป็นการส่งออกเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า และเครื่องแยกก๊าซ ไปที่สิงคโปร์ จากบริษัทแห่งหนึ่งในระยอง โดยทางบริษัทยืนยันว่าเป็นบริษัทนำเข้าชิ้นส่วนเข้ามาผลิตและส่งออก โดยขอคืนภาษีตามมาตรา 19 ทวิ
ซับไพรม-GSP ทำตลาดสหรัฐ-2.64%
หันมามองตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดหลัก ของไทย กลับพบตัวเลขที่น่าตกใจกับยอดการส่งออกที่ติดลบ 2.64% สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ตั้งแต่เสื้อผ้าสำเร็จรูป มูลค่า 1,244 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -8.47%, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป มูลค่า 857.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -4.37%, เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ มูลค่า 592.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -49.62% ปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวเลขส่งออกสหรัฐลดลงเนื่องจากปัญหาซับไพรมเศรษฐกิจภายในสหรัฐเอง และผลกระทบจากการที่สินค้าไทยถูกตัดสิทธิ GSP
ตลาดใหม่ถือว่าเป็นความหวังของไทย จากอัตราการขยายตัวสูงเกิน 40% ในหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง, แอฟริกา, ยุโรปตะวันออก, อินโดจีน และออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญในตลาดใหม่คือ ลูกค้าจะเน้นที่ราคาเป็นหลัก หากจีนใช้กลยุทธ์ด้านราคาแข่งจะทำให้ผู้ส่งออกไทยไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้หลายสินค้า เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ยังมีตลาดสหรัฐเป็นตลาดหลัก จึงต้องหาแนวทางให้สินค้าในกลุ่มนี้รักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด สหรัฐให้ได้ รวมทั้งสนับสนุนให้ออกไปเจาะตลาดใหม่
ถึงแม้รัฐบาลจะประกาศตัวเลขส่งออกในช่วง 10 เดือนว่าสูงถึง 125,114 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 17.2% แต่ไม่อาจจะอนุมานได้ว่า เศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ เพราะหากเจาะลึกถึงสินค้าที่การส่งออกสูง เช่น ทองคำ เครื่องจักร เป็นเพียงตัวเลขที่ไม่ได้เกิดจากความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างแท้จริง แต่เป็นตัวเลขส่งออกที่วูบขึ้นไปเพียงชั่วคราว ในขณะเดียวกันสินค้าที่พึ่งพาแรงงานจำนวนมาก วัตถุดิบในประเทศจำนวนมาก ทั้งเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ (มูลค่า 2,567.97 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -12.97%), เสื้อผ้าสำเร็จรูป (มูลค่า 2,497.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว -6.01%), อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (มูลค่า 2,549.37 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.99%) กลับขยายตัวติดลบหรือขยายตัวไม่มาก
"โฆสิต" ชี้ ศก.ยังไปได้แต่ต้องฝ่าพายุ
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดสัมมนาวิชาการ ครบรอบ 69 ปี เรื่อง "กติกาใหม่ : โอกาสใหม่ของธุรกิจไทย" โดยนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "ธุรกิจไทย : ปรับตัวอย่างไรบนกติกาใหม่" ค้านเศรษฐกิจไทยไม่ได้โตต่ำกว่าศักยภาพ นายโฆสิตคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้าว่า ถ้าสามารถส่งออกได้ แม้จะลดลงจากปีนี้ แต่จะได้การลงทุนเข้ามาทดแทน ทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปได้ และมีความเข้มแข็ง แต่อัตราการเติบโตยังไม่สูง จะโตประมาณ 5% เพราะฉะนั้นดูแล้วเศรษฐกิจไทย ไม่มีอะไรต่ำกว่าศักยภาพของประเทศ และหากต้องการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นจะต้องมีการลงทุน ถ้าไม่มีการลงทุนเลย เศรษฐกิจไทยก็คงขยายตัวในอัตราที่ต่ำต่อไป
นายโฆสิตมองว่า เป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอก เป็นปัจจัยเดิมๆ ที่เจอมาแล้วใน 12 เดือนที่ผ่านมา ทั้งเรื่องเงินทุนเคลื่อนไหลเข้าออก กระทบค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมต้องปิดตัว ปัญหาเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม) ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ทำให้เกิดความผันผวนในตลาด ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาราคาน้ำมัน ซึ่งธุรกิจไทยได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาแล้วว่าทำให้มีความยากลำบากมากขึ้น
1 เดือนตลาดหุ้นวูบ 8 แสนล้าน
ทางด้านการซื้อขายตลาดหุ้นไทยย้อนหลังในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา อยู่ในภาวะผันผวน โดย ตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.2550 ดัชนีขึ้นสูงสุด 915.03 จุด ก่อนจะปรับตัวลงด้วยปัจจัยลบเรื่องซับไพรมที่ปะทุอีกครั้งในเดือน พ.ย. ดัชนีหลุด 800 จุด และปิดที่ 824.75 จุด ด้วยแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ยอดขายสุทธิเดือน พ.ย. 36,797.81 ล้านบาท ขณะที่มาร์เก็ตแคปลดมาอยู่ที่ 6.2 ล้านล้านบาท จากก่อนหน้านี้ ขึ้นไปแตะ ที่ 7.05 ล้านล้านบาท เมื่อเดือน ต.ค. หายไปประมาณ 8 แสนล้านบาท
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกในช่วงนี้ เนื่องจากกลัวความเสี่ยงเป็นหลัก โดยเฉพาะปัญหาซับไพรมในสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องตึงอย่างรุนแรง ทำให้ต้องหาสภาพคล่องมาเสริมให้ตัวเอง จึงต้องขายสินทรัพย์ที่ลงทุนออกมาเพื่อนำเงินกลับ โดยเลือกขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ออกก่อน
ประกอบกับที่ผ่านมาตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียปรับตัวขึ้นแรงมาก และเป็นจังหวะที่จะปิดบัญชีการลงทุนงวดสิ้นปี จึงเป็นโอกาสขายทำกำไร ออกมา
"ตลาดหุ้นที่ลงรอบนี้ มองว่าไม่ได้ลงแรง เทียบกับที่หุ้นไทยขึ้นแรงเกินไป ซึ่งเป็นผลของเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนไทยเยอะ หลังจากที่เห็นว่าสินทรัพย์ในสหรัฐไม่น่าสนใจลงทุน จึงเลือกมาหาตลาดเอเชียกัน จะเห็นว่าดัชนีขึ้นจาก 800 จุด มา 900 จุดแค่เดือน ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และจากนี้ไปความเสี่ยงก็มีเยอะ ทั้งเรื่องหุ้น ปตท. ที่ศาลปกครองนัดพิจารณาฟังคำสั่งว่า ปตท.ต้องเพิกถอนหรือไม่ ในวันที่ 30 พ.ย.2550 และเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น"
นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บล. ฟินันซ่า กล่าวว่า เฮดจ์ฟันด์เทขายตลาดหุ้นในเอเชียเพื่อปิดสมุดบัญชีการลงทุน โดยมีปัญหาซับไพรมเป็นตัวเร่งให้เกิดการขายเร็วขึ้นกว่าปีก่อนๆ และตลาดบ้านเราเดี๋ยวนี้มีแต่เฮดจ์ฟันด์แล้ว ไม่ค่อยมีกองทุนลงยาว ในช่วงปลายปีเขาก็ขายเอากำไรออกปิดบุ๊กบัญชีเลย ไม่มานั่งพะวงดูภาวะตลาดกัน ประกอบกับคาดการณ์ว่าผลประกอบการปีหน้าไม่น่าจะขยายตัวมมากนัก
ทุนร้อนชิงทิ้งหุ้นกำเงินสด
แรงกระเพื่อมจากแนวโน้มที่วิกฤตสินเชื่อจะปะทุหนักอีกระลอก สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในตลาดเงินโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการประเมิน ว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน นับถึงวันที่ 20 ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกสูญวับไปตามแรงเทขาย 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ เม็ดเงินที่ตีจาก ตลาดการเงินที่มีความเสี่ยง มาจากหลายกลุ่ม ทั้งจากกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ กองทุนตลาดหุ้น และนักลงทุนสถาบันประเภทอื่นๆ
ดัชนีเอ็มเอสซีไอ เวิรลด์ ผันผวนไปมา ซึ่งมีแนวโน้มที่เดือนพฤศจิกายนจะเป็นเดือนที่แย่ที่สุด นับจากปี 2545 โดยปรับตัวลงต่อเนื่องแล้วประมาณ 7.8% ขณะที่ตลาดหุ้นโตเกียว กลายเป็นตลาดแรกของโลกในบรรดา 10 ยักษ์ใหญ่ตลาดหุ้นโลกที่เข้าภาวะขาลง นับจากวิกฤตซับไพรมปะทุเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา แรงดิ่งระลอกใหม่ทำให้ตลาดหุ้นโลกในขณะนี้มีระดับราคาต่อกำไรถูกที่สุด ในรอบอย่างน้อย 12 ปี โดยที่ดัชนี เอ็มเอสซีไอ เวิรลด์ ที่สะท้อนมูลค่าหุ้นอยู่ที่ 15.4 เท่าของผลกำไร ต่ำสุดนับจากกุมภาพันธ์ 2538
วิกฤตซับไพรมในสหรัฐได้พ่นพิษใส่ธนาคารใหญ่สุดของโลกหลายราย ต้องแทงหนี้สูญรวมกัน นับถึงขณะนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา คาดว่ายอดความสูญเสียจากวิกฤตครั้งนี้ในหมู่สถาบันการเงินจะสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์
ญี่ปุ่นเอกซเรย์แบงก์หายอดขาดทุน
แรงโหมของวิกฤตซับไพรมรอบใหม่กระตุ้นให้หลายประเทศหันมาตรวจสอบพันธะผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน มีต่อสินเชื่อซับไพรม และตราสารประเภทซีดีโอ (collateralized debt obligation : CDOs) ดังกรณีของสำนักงานบริหารภาคการเงินของญี่ปุ่น (FSA) ซึ่งได้ตรวจสอบสถานะการเงินและพันธะผูกพันจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ และสินเชื่อที่กำลังมีปัญหาในสหรัฐ ในช่วง 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา
จากการสำรวจของ FSA ระบุว่า สถาบันการเงินที่บริหารเงินฝากทั่วประเทศ 575 แห่งในญี่ปุ่น มีการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ ที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำและผู้กู้มีคุณสมบัติ ต่ำกว่าเกณฑ์ 1.33 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีการลงบันทึกการรับรู้การขาดทุน 1.19 แสนล้านเยนแล้ว และยอดหนี้สงสัยจะสูญอีก 1.07 แสนล้านเยน ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 484
น้ำมันแพงฉุดมู๊ดจับจ่ายฝ่อ สินค้าฮึดทุ่มหมดหน้าตักดึงยอด
ผู้ประกอบการ-สินค้า ฮึดสู้พิษราคาน้ำมัน พลิกคัมภีร์จัดแคมเปญหวังดึงอารมย์การจับจ่าย "มอลล์-เซ็นทรัล" แจกรางวัลใหญ่อู่ฟู่ "เพาเวอร์บาย" งัดชิงโชคทองคำหนัก 50 บาท ดึงยอดปิดบัญชี ด้านเครื่องสำอางแบรนด์ดังแห่ขนกิฟท์เซ็ต "คุ้มค่า-คุ้มราคา" ถล่มหนัก ราชาเงินผ่อน "อิออน" ชี้คนไม่มีมู้ด กระตุ้นลำบาก
ด้วยปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมโดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องพยายามอย่างมากที่จะกอบกู้ยอดขายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้สำหรับช่วง 2 เดือนสุดท้ายที่เป็นช่วงไฮซีซั่น
เพิ่มความแรง-รางวัลใหญ่ จูงใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ ทั้งเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ กรุ๊ป ต่างก็่ทุ่มงบฯสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงปลายปี ด้วยงบประมาณที่มากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา พร้อมกับจับมือพันธมิตรจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยกิจกรรมทางการตลาดที่มีความแรงมากขึ้นกว่าที่เคยทำมา และมีรางวัลที่จูงใจมากขึ้น ขณะที่ค่ายเซ็นทรัลมีรางวัลใหญ่เป็นรถเบนซ์ เดอะมอลล์เองก็มีรถยนต์ นี่ยังไม่นับรวมของแจกของแถม การสะสมแต้ม ฯลฯ ที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีจนแทบนับครั้งไม่ถ้วน
ขณะที่ผู้คร่ำหวอดจากวงการค้าปลีก กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หากสังเกตจะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงปลายปีของ 2 ค่ายใหญ่ ทั้งเดอะมอลล์ และเซ็นทรัล มีความหนักหน่วงมากกว่าทุกๆ ปี โดยเฉพาะในแง่ของรางวัลใหญ่ที่มีมูลค่ามากขึ้นและดูจูงใจมากขึ้น
โดยส่วนตัวมองว่า ไม่เพียงเฉพาะในแง่ของการแข่งขันเท่านั้น แต่เป้าหมายหลักน่าจะอยู่ที่การพยายามดึงลูกค้าให้เข้ามาช้อปมากขึ้น และคงไม่เพียงกลุ่มเป้าหมายหลักเดิมๆ เท่านั้น คาดว่ากิจกรรมที่แรงมากขึ้นดังกล่าวจะทำให้ทั้ง 2 ค่าย มีกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มด้วย
เครื่องสำอางขนกิฟต์เซตกระตุ้นยอด
แหล่งข่าวจากเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์รายใหญ่ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากเดือนนี้เป็นต้นไป การแข่งขันในกลุ่มเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์จะรุนแรงขึ้นหากเทียบกับปีที่ผ่านมา ทุกแบรนด์จะพยายามจัดโปรโมชั่นกัน อย่างต่อเนื่องและถี่มากขึ้น โดยเฉพาะการจัดกิฟต์เซตเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเป็นการดึงกำลังซื้อจากผู้บริโภคในช่วงเทศกาลที่ใกล้จะถึงนี้
แหล่งข่าวรายนี้ให้เหตุผลด้วยว่า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตลอดทั้งปีไม่ดี ทำให้ทุกแบรนด์ต้องเร่งสปีดในช่วงท้าย แต่ความเป็นแบรนด์เนมทำให้ทุกๆ ค่ายไม่สามารถลงมาเล่นเรื่องของราคาได้เหมือนสินค้าประเภทอื่น อย่างมากคือให้ส่วนลดได้ประมาณ 10% และส่วนใหญ่ก็เป็นแคมเปญที่จัดร่วมกับห้าง อีกทั้งยังไม่สามารถฉีกรูปแบบการทำตลาดไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และหากลดราคามากก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ เพราะฉะนั้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญ
"ปกติเครื่องสำอางจะใช้กิฟต์เซตเข้ามาเป็นตัวเร่งการขายในช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ทุกแบรนด์ก็พยายามทำราคาให้จูงใจ และสินค้าที่นำมาจัดกิฟต์เซตส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าขายดี"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้คลีนิกข์ได้เริ่มวางจำหน่ายกิฟต์เซตสินค้าแล้ว และได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน มีทั้งเซตของเครื่องสำอาง สกินแคร์ และเซตน้ำหอม ราคาเริ่มตั้งแต่ 1,450 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ คลีนิกข์ยังได้จัดรายการพิเศษให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก ด้วยการพรินต์รูปลงบนขวดน้ำหอมของคลีนิกข์ เมื่อลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์น้ำหอม โดยรายการดังกล่าวจะเวียนไปตามศูนย์การค้าต่างๆ ซึ่งขณะนี้จัดรายการอยู่ที่เซ็นทรัล ชิดลม เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
เพาเวอร์บาย ชิงโชคทองคำ 50 บาท
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการสายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้การทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ายากมากขึ้น เพราะคนมีเงินแต่ไม่ยอมออกมาจับจ่าย ทั้งที่เป็นช่วงหน้าขาย โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนผ่านมาตลาดเงียบมาก ทำให้บริษัทต้องหากิจกรรมทางการตลาดใหม่ๆ ออกมากระตุ้น และเสริมจากกิจกรรมที่ทำร่วมกับซัพพลายเออร์ที่ทำเป็นปกติ เป็นผ่อน 0% โดยล่าสุดได้เปิดแคมเปญลุ้นทองคำ 50 บาท และรถมอเตอร์ไซค์ จะยิงยาวไปจนถึงต้นปี 2551 เพื่อสร้างความแตกต่างจากร้านอื่น และเป็นแคมเปญที่ไม่เคยทำมาก่อน
ที่ผ่านมาการแข่งขันเรื่องราคาก็มีการลดราคาลงจนมาถึงจุดที่เต็มที่แล้ว การเปลี่ยนรูปแบบ กิจกรรมใหม่ๆ น่าจะเป็นสีสันและกระตุ้นลูกค้าได้มากขึ้น โดยแคมเปญนี้จะยาวจนถึงปลายปี นอกจากนี้จะมีกิจกรรมอื่นๆ เสริมขึ้นมาด้วย อาทิ แกรนด์เซลประจำปี ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกับซัพพลายเออร์ และในช่วงปลายปีอาจมีแคมเปญเพิ่มอีก ซึ่งคงต้องรอดูสถานการณ์เป็นช่วงๆ ไป
"เป้ายอดขายปีนี้ที่ตั้งไว้ 2 หมื่นล้านบาท อาจจะพลาดไปเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ตัวเลขที่น่าเกลียด เพราะอย่างน้อยก็มีการเติบโตกว่าปีที่แล้ว"
ซัมซุงดัมพ์ราคา-โซนี่เพิ่มช่องทางขาย
ด้านความเคลื่อนไหวของซัพพลายเออร์เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ต่างๆ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการหาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาเพื่อสรางยอดขายในช่วงท้ายปีแล้ว รูปแบบกิจกรรมและช่องทางขายใหม่ๆ ต่างเป็นสิ่งที่แบรนด์เหล่านี้ขยายเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิกส์ ได้ประกาศรุกตลาดกล้องแคมคอร์เดอร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้กลยุทธ์ราคาเข้ามาช่วย คือ กล้องที่เป็นแฟลชเมโมรี่ แคมคอร์เดอร์ ในราคาเริ่มต้น เพียง 10,910 บาท ซึ่งถือว่าถูกที่สุดในตลาด ตอนนี้
ขณะที่บริษัท โซนี่ไทย จำกัด เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โซนี่ได้เริ่มนำสินค้าหมวดกล้องดิจิทัลไซเบอร์ชอตเข้าไปวางจำหน่ายใน เทสโก้ โลตัสอีกครั้ง หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อนได้ถอนสินค้าออกจากช่องทางขายนี้ไป
พึ่ง 0% กระตุ้นการตัดสินใจ
นายอภิชาติ นันทเทิม กรรมการบริหาร บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โดยภาพรวมในขณะนี้แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงการจับจ่ายใช้สอยที่เป็นไฮซีซั่น แต่ด้วยปัจจัยจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายอยู่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นช่วงจับจ่าย ดังนั้นทั้งธุรกิจเงินผ่อน-บัตรเครดิต ตัวเลขก็จะดีกว่าช่วงไตรมาส 3 แต่ก็คงดีไม่มาก
"สำหรับอิออนเองตอนนี้แม้ว่าจะเป็นช่วงไฮ ซีซั่น แต่ก็ไม่ได้มีการจัดกิจกรรมหรือแคมเปญอะไรที่แรงๆ ออกมากระตุ้น เนื่องจากมองว่าคนไม่มีอารมณ์จับจ่ายและไม่มีความเชื่อมั่น ดังนั้น การจะกระตุ้นก็คงเป็นเรื่องยาก"
นายอภิชาติยังกล่าวด้วยว่า ตอนนี้เท่าที่ได้พูดคุยกับซัพพลายเออร์เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ยังไม่เห็นมีค่ายไหนที่จะมีแคมเปญที่แรงๆ ออกมา แคมเปญส่วนใหญ่ก็เป็นเงินผ่อน 0% ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายในแง่ของการทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้แม้ว่าบรรยากาศของธุรกิจการค้าโดยรวมของประเทศยังไม่กระเตื้องขึ้น แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงหน้าขายปลายปีนี้ก็มีสินค้าอินเตอร์แบรนด์หลายๆ ค่ายเตรียมจะเปิดตัวในเมืองไทย อาทิ การเปิดตัวเครื่องสำอางแบรนด์ใหม่ล่าสุด smashbox จากสหรัฐอเมริกา หรือการเปิดร้านเสื้อผ้าแบรนด์ ราอูล (RAOUL) จากประเทศสิงคโปร์ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นต้น
ราคาน้ำมัน ปัจจัยหลัก
นักการตลาดรายหนึ่งกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้โดยภาพรวมๆ แม้ว่าความกังวลทางการเมืองจะคลี่คลายลงไปบ้าง แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความน่ากังวลอยู่ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับสูงยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคในทันที
"ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับที่สูง การจับจ่ายของผู้บริโภคก็จะยังมีไม่มากนัก และผู้บริโภคก็จะระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น"
จากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคม 2550 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) คือ 75.5 จาก 75.8 ในเดือนตุลาคม โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงปรับตัวลงทุกรายการอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
ผู้ประกอบการ-สินค้า ฮึดสู้พิษราคาน้ำมัน พลิกคัมภีร์จัดแคมเปญหวังดึงอารมย์การจับจ่าย "มอลล์-เซ็นทรัล" แจกรางวัลใหญ่อู่ฟู่ "เพาเวอร์บาย" งัดชิงโชคทองคำหนัก 50 บาท ดึงยอดปิดบัญชี ด้านเครื่องสำอางแบรนด์ดังแห่ขนกิฟท์เซ็ต "คุ้มค่า-คุ้มราคา" ถล่มหนัก ราชาเงินผ่อน "อิออน" ชี้คนไม่มีมู้ด กระตุ้นลำบาก
ด้วยปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมโดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องพยายามอย่างมากที่จะกอบกู้ยอดขายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้สำหรับช่วง 2 เดือนสุดท้ายที่เป็นช่วงไฮซีซั่น
เพิ่มความแรง-รางวัลใหญ่ จูงใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ ทั้งเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ กรุ๊ป ต่างก็่ทุ่มงบฯสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงปลายปี ด้วยงบประมาณที่มากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา พร้อมกับจับมือพันธมิตรจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยกิจกรรมทางการตลาดที่มีความแรงมากขึ้นกว่าที่เคยทำมา และมีรางวัลที่จูงใจมากขึ้น ขณะที่ค่ายเซ็นทรัลมีรางวัลใหญ่เป็นรถเบนซ์ เดอะมอลล์เองก็มีรถยนต์ นี่ยังไม่นับรวมของแจกของแถม การสะสมแต้ม ฯลฯ ที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีจนแทบนับครั้งไม่ถ้วน
ขณะที่ผู้คร่ำหวอดจากวงการค้าปลีก กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หากสังเกตจะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงปลายปีของ 2 ค่ายใหญ่ ทั้งเดอะมอลล์ และเซ็นทรัล มีความหนักหน่วงมากกว่าทุกๆ ปี โดยเฉพาะในแง่ของรางวัลใหญ่ที่มีมูลค่ามากขึ้นและดูจูงใจมากขึ้น
โดยส่วนตัวมองว่า ไม่เพียงเฉพาะในแง่ของการแข่งขันเท่านั้น แต่เป้าหมายหลักน่าจะอยู่ที่การพยายามดึงลูกค้าให้เข้ามาช้อปมากขึ้น และคงไม่เพียงกลุ่มเป้าหมายหลักเดิมๆ เท่านั้น คาดว่ากิจกรรมที่แรงมากขึ้นดังกล่าวจะทำให้ทั้ง 2 ค่าย มีกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มด้วย
เครื่องสำอางขนกิฟต์เซตกระตุ้นยอด
แหล่งข่าวจากเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์รายใหญ่ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากเดือนนี้เป็นต้นไป การแข่งขันในกลุ่มเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์จะรุนแรงขึ้นหากเทียบกับปีที่ผ่านมา ทุกแบรนด์จะพยายามจัดโปรโมชั่นกัน อย่างต่อเนื่องและถี่มากขึ้น โดยเฉพาะการจัดกิฟต์เซตเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเป็นการดึงกำลังซื้อจากผู้บริโภคในช่วงเทศกาลที่ใกล้จะถึงนี้
แหล่งข่าวรายนี้ให้เหตุผลด้วยว่า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตลอดทั้งปีไม่ดี ทำให้ทุกแบรนด์ต้องเร่งสปีดในช่วงท้าย แต่ความเป็นแบรนด์เนมทำให้ทุกๆ ค่ายไม่สามารถลงมาเล่นเรื่องของราคาได้เหมือนสินค้าประเภทอื่น อย่างมากคือให้ส่วนลดได้ประมาณ 10% และส่วนใหญ่ก็เป็นแคมเปญที่จัดร่วมกับห้าง อีกทั้งยังไม่สามารถฉีกรูปแบบการทำตลาดไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และหากลดราคามากก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ เพราะฉะนั้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญ
"ปกติเครื่องสำอางจะใช้กิฟต์เซตเข้ามาเป็นตัวเร่งการขายในช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ทุกแบรนด์ก็พยายามทำราคาให้จูงใจ และสินค้าที่นำมาจัดกิฟต์เซตส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าขายดี"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้คลีนิกข์ได้เริ่มวางจำหน่ายกิฟต์เซตสินค้าแล้ว และได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน มีทั้งเซตของเครื่องสำอาง สกินแคร์ และเซตน้ำหอม ราคาเริ่มตั้งแต่ 1,450 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ คลีนิกข์ยังได้จัดรายการพิเศษให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก ด้วยการพรินต์รูปลงบนขวดน้ำหอมของคลีนิกข์ เมื่อลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์น้ำหอม โดยรายการดังกล่าวจะเวียนไปตามศูนย์การค้าต่างๆ ซึ่งขณะนี้จัดรายการอยู่ที่เซ็นทรัล ชิดลม เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
เพาเวอร์บาย ชิงโชคทองคำ 50 บาท
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการสายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้การทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ายากมากขึ้น เพราะคนมีเงินแต่ไม่ยอมออกมาจับจ่าย ทั้งที่เป็นช่วงหน้าขาย โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนผ่านมาตลาดเงียบมาก ทำให้บริษัทต้องหากิจกรรมทางการตลาดใหม่ๆ ออกมากระตุ้น และเสริมจากกิจกรรมที่ทำร่วมกับซัพพลายเออร์ที่ทำเป็นปกติ เป็นผ่อน 0% โดยล่าสุดได้เปิดแคมเปญลุ้นทองคำ 50 บาท และรถมอเตอร์ไซค์ จะยิงยาวไปจนถึงต้นปี 2551 เพื่อสร้างความแตกต่างจากร้านอื่น และเป็นแคมเปญที่ไม่เคยทำมาก่อน
ที่ผ่านมาการแข่งขันเรื่องราคาก็มีการลดราคาลงจนมาถึงจุดที่เต็มที่แล้ว การเปลี่ยนรูปแบบ กิจกรรมใหม่ๆ น่าจะเป็นสีสันและกระตุ้นลูกค้าได้มากขึ้น โดยแคมเปญนี้จะยาวจนถึงปลายปี นอกจากนี้จะมีกิจกรรมอื่นๆ เสริมขึ้นมาด้วย อาทิ แกรนด์เซลประจำปี ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกับซัพพลายเออร์ และในช่วงปลายปีอาจมีแคมเปญเพิ่มอีก ซึ่งคงต้องรอดูสถานการณ์เป็นช่วงๆ ไป
"เป้ายอดขายปีนี้ที่ตั้งไว้ 2 หมื่นล้านบาท อาจจะพลาดไปเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ตัวเลขที่น่าเกลียด เพราะอย่างน้อยก็มีการเติบโตกว่าปีที่แล้ว"
ซัมซุงดัมพ์ราคา-โซนี่เพิ่มช่องทางขาย
ด้านความเคลื่อนไหวของซัพพลายเออร์เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ต่างๆ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการหาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาเพื่อสรางยอดขายในช่วงท้ายปีแล้ว รูปแบบกิจกรรมและช่องทางขายใหม่ๆ ต่างเป็นสิ่งที่แบรนด์เหล่านี้ขยายเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิกส์ ได้ประกาศรุกตลาดกล้องแคมคอร์เดอร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้กลยุทธ์ราคาเข้ามาช่วย คือ กล้องที่เป็นแฟลชเมโมรี่ แคมคอร์เดอร์ ในราคาเริ่มต้น เพียง 10,910 บาท ซึ่งถือว่าถูกที่สุดในตลาด ตอนนี้
ขณะที่บริษัท โซนี่ไทย จำกัด เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โซนี่ได้เริ่มนำสินค้าหมวดกล้องดิจิทัลไซเบอร์ชอตเข้าไปวางจำหน่ายใน เทสโก้ โลตัสอีกครั้ง หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อนได้ถอนสินค้าออกจากช่องทางขายนี้ไป
พึ่ง 0% กระตุ้นการตัดสินใจ
นายอภิชาติ นันทเทิม กรรมการบริหาร บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โดยภาพรวมในขณะนี้แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงการจับจ่ายใช้สอยที่เป็นไฮซีซั่น แต่ด้วยปัจจัยจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายอยู่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นช่วงจับจ่าย ดังนั้นทั้งธุรกิจเงินผ่อน-บัตรเครดิต ตัวเลขก็จะดีกว่าช่วงไตรมาส 3 แต่ก็คงดีไม่มาก
"สำหรับอิออนเองตอนนี้แม้ว่าจะเป็นช่วงไฮ ซีซั่น แต่ก็ไม่ได้มีการจัดกิจกรรมหรือแคมเปญอะไรที่แรงๆ ออกมากระตุ้น เนื่องจากมองว่าคนไม่มีอารมณ์จับจ่ายและไม่มีความเชื่อมั่น ดังนั้น การจะกระตุ้นก็คงเป็นเรื่องยาก"
นายอภิชาติยังกล่าวด้วยว่า ตอนนี้เท่าที่ได้พูดคุยกับซัพพลายเออร์เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ยังไม่เห็นมีค่ายไหนที่จะมีแคมเปญที่แรงๆ ออกมา แคมเปญส่วนใหญ่ก็เป็นเงินผ่อน 0% ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายในแง่ของการทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้แม้ว่าบรรยากาศของธุรกิจการค้าโดยรวมของประเทศยังไม่กระเตื้องขึ้น แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงหน้าขายปลายปีนี้ก็มีสินค้าอินเตอร์แบรนด์หลายๆ ค่ายเตรียมจะเปิดตัวในเมืองไทย อาทิ การเปิดตัวเครื่องสำอางแบรนด์ใหม่ล่าสุด smashbox จากสหรัฐอเมริกา หรือการเปิดร้านเสื้อผ้าแบรนด์ ราอูล (RAOUL) จากประเทศสิงคโปร์ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นต้น
ราคาน้ำมัน ปัจจัยหลัก
นักการตลาดรายหนึ่งกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้โดยภาพรวมๆ แม้ว่าความกังวลทางการเมืองจะคลี่คลายลงไปบ้าง แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความน่ากังวลอยู่ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับสูงยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคในทันที
"ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับที่สูง การจับจ่ายของผู้บริโภคก็จะยังมีไม่มากนัก และผู้บริโภคก็จะระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น"
จากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคม 2550 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) คือ 75.5 จาก 75.8 ในเดือนตุลาคม โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงปรับตัวลงทุกรายการอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 485
ธปท.ชี้ธ.ค.เงินทะลัก
โพสต์ทูเดย์ ธปท. คาดช่วง เดือน ธ.ค. ยอดการเบิกจ่ายเงินสะพัดทะลุ 1.92 แสนล้านบาท รับเทศกาลปีใหม่-เลือกตั้ง แต่ยัง ไม่พบการเบิกจ่ายธนบัตรที่ผิดปกติ
นางจิตติมา ดุริยะประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงของการเลือกตั้ง และเทศกาลปีใหม่ ธปท.คาดว่าความต้องการในการใช้ธนบัตรของประชาชนน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าปกติ โดยประเมินว่า น่าจะมีการเบิกจ่ายธนบัตรในเดือนนี้ เพิ่มขึ้น 1.92 แสนล้านบาท
นางจิตติมา กล่าวว่า อัตราดังกล่าวถือว่าเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดือน ธ.ค.ของปีก่อน ที่มีการเบิกจ่ายจริง 1.78 แสนล้านบาท ซึ่ง ธปท.ได้เตรียมธนบัตรสำรองชนิดราคาต่างๆ ไว้รองรับความต้องการ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
ล่าสุด ณ สิ้นเดือน พ.ย. มีธนบัตรสำรองที่เบิกจ่ายมีมูลค่าทั้งสิ้น 3 แสนล้านบาทเศษ
สาเหตุที่ปริมาณเงินในช่วงนี้สูงกว่าปกติ น่าจะเป็นเพราะรายได้ของภาคการส่งออกดีขึ้น ทำให้มี การจ่ายชำระค่าสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้น ประการต่อมาคือ รายได้ภาคการเกษตรดีขึ้น โดยในเดือน ก.ย.ขยายตัวสูงถึง 23% ทำให้มีเงินใน การจับจ่ายเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ผลจากการที่ ราคาน้ำมัน ภาวะเงินเฟ้อ และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยเร่ง ให้ประชาชนมีภาระการใช้จ่ายสูง ขึ้นตามไปด้วย
ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงของเทศกาลเฉลิมฉลองหลายอย่าง และมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. ทำให้ปริมาณเงินในระบบมีการหมุน เวียนสูงขึ้น
นางจิตติมา กล่าวว่า ปริมาณธนบัตรหมุนเวียนที่นำออกมาใช้จ่ายตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.-23 พ.ย. พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยอัตราการเปลี่ยนแปลงของเงินหมุนเวียนในเดือน ต.ค. และ พ.ย.ปีนี้ เพิ่มขึ้น 5.5% และ 7.4% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ปริมาณการจ่ายแลกที่ศูนย์จัดการธนบัตรของ ธปท. ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า ปริมาณธนบัตรชนิดราคาใดมีการจ่ายแลกมากผิดปกติในช่วงก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธค. นี้หรือไม่ เพราะธปท.ยังไม่มีข้อมูลสรุปตัวเลขการเบิกจ่ายธนบัตรของสิ้นเดือน พ.ย. แต่ข้อมูลที่เห็นในเบื้องต้นนั้น ยังไม่มีธนบัตรชนิดราคาใดมีการจ่ายแลกที่ผิดปกติกว่าในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธนบัตรหมุนเวียนออก ใช้ล่าสุด ณ วันที่ 26 พ.ย. อยู่ที่ 7.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก เดือนก่อนหน้าที่มี 7.36 แสนล้านบาท และสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 7.06 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206075
โพสต์ทูเดย์ ธปท. คาดช่วง เดือน ธ.ค. ยอดการเบิกจ่ายเงินสะพัดทะลุ 1.92 แสนล้านบาท รับเทศกาลปีใหม่-เลือกตั้ง แต่ยัง ไม่พบการเบิกจ่ายธนบัตรที่ผิดปกติ
นางจิตติมา ดุริยะประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงของการเลือกตั้ง และเทศกาลปีใหม่ ธปท.คาดว่าความต้องการในการใช้ธนบัตรของประชาชนน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าปกติ โดยประเมินว่า น่าจะมีการเบิกจ่ายธนบัตรในเดือนนี้ เพิ่มขึ้น 1.92 แสนล้านบาท
นางจิตติมา กล่าวว่า อัตราดังกล่าวถือว่าเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดือน ธ.ค.ของปีก่อน ที่มีการเบิกจ่ายจริง 1.78 แสนล้านบาท ซึ่ง ธปท.ได้เตรียมธนบัตรสำรองชนิดราคาต่างๆ ไว้รองรับความต้องการ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
ล่าสุด ณ สิ้นเดือน พ.ย. มีธนบัตรสำรองที่เบิกจ่ายมีมูลค่าทั้งสิ้น 3 แสนล้านบาทเศษ
สาเหตุที่ปริมาณเงินในช่วงนี้สูงกว่าปกติ น่าจะเป็นเพราะรายได้ของภาคการส่งออกดีขึ้น ทำให้มี การจ่ายชำระค่าสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้น ประการต่อมาคือ รายได้ภาคการเกษตรดีขึ้น โดยในเดือน ก.ย.ขยายตัวสูงถึง 23% ทำให้มีเงินใน การจับจ่ายเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ผลจากการที่ ราคาน้ำมัน ภาวะเงินเฟ้อ และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยเร่ง ให้ประชาชนมีภาระการใช้จ่ายสูง ขึ้นตามไปด้วย
ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงของเทศกาลเฉลิมฉลองหลายอย่าง และมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. ทำให้ปริมาณเงินในระบบมีการหมุน เวียนสูงขึ้น
นางจิตติมา กล่าวว่า ปริมาณธนบัตรหมุนเวียนที่นำออกมาใช้จ่ายตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.-23 พ.ย. พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยอัตราการเปลี่ยนแปลงของเงินหมุนเวียนในเดือน ต.ค. และ พ.ย.ปีนี้ เพิ่มขึ้น 5.5% และ 7.4% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ปริมาณการจ่ายแลกที่ศูนย์จัดการธนบัตรของ ธปท. ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า ปริมาณธนบัตรชนิดราคาใดมีการจ่ายแลกมากผิดปกติในช่วงก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธค. นี้หรือไม่ เพราะธปท.ยังไม่มีข้อมูลสรุปตัวเลขการเบิกจ่ายธนบัตรของสิ้นเดือน พ.ย. แต่ข้อมูลที่เห็นในเบื้องต้นนั้น ยังไม่มีธนบัตรชนิดราคาใดมีการจ่ายแลกที่ผิดปกติกว่าในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธนบัตรหมุนเวียนออก ใช้ล่าสุด ณ วันที่ 26 พ.ย. อยู่ที่ 7.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก เดือนก่อนหน้าที่มี 7.36 แสนล้านบาท และสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 7.06 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206075
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 486
คลังอัดงบสู่ระบบศก. เบิกผ่านอินเทอร์เน็ต
โพสต์ทูเดย์ คลังไฮเทคหน่วยราชการสามารถตั้งเรื่องขอเบิกจ่ายงบทางอินเทอร์เน็ตได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้ เป็นต้นหน่วยงานราชการต่างๆ สามารถใส่ข้อมูลการขอเบิกจ่ายงบประมาณผ่านอินเทอร์เน็ตของระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ GFMS ได้โดยตรง เหมือนกับที่หน่วยงานส่งข้อมูลเบิกจ่ายผ่านระบบอินทราเน็ตของหน่วยงาน
ระบบนี้จะทำให้การเบิกจ่ายงบ ประมาณในส่วนต่างๆ คล่องตัว รวดเร็ว ทันการณ์มากกว่าปัจจุบันที่การเบิกจ่ายผ่าน GFMIS หน่วยงานต่างๆ ต้องไปที่คลังจังหวัด เพื่อใส่ข้อมูลการเบิกจ่ายสู่ระบบ GFMIS ซึ่งบางครั้งคลังจังหวัดมีงานมาก ทำให้เบิกจ่ายล่าช้า
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า เพื่อให้ระบบการคลังอิเล็กทรอนิกส์ดำเนินงานได้หลากหลายรวดเร็ว กระทรวงการคลังได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษามาวางระบบพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการต่างๆ ให้เชื่อมต่อกับระบบ GFMIS ตั้งแต่เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จนไปถึงกระบวนการสุดท้ายคือการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใสมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังจะเชื่อต่อระบบการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีละ 3-4 แสนล้านบาท ให้เข้ามาอยู่ระบบการเบิกจ่าย GFMIS ในอนาคต เพราะการเบิกจ่ายงบลงทุนและใช้จ่ายในแต่ละปีถือว่ามีจำนวนที่สูง สุดท้ายจะมีการเชื่อมต่อการเบิกจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าสู่ระบบ GFMIS ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมการเบิกจ่ายทั้งหมด
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า ระบบ GFMIS ทำให้รัฐบาลสามารถเห็นภาพรวมทั้งรายรับ และรายจ่ายที่ออกไป ทำให้การวางแผนการเงินสดของภาครัฐสอดคล้องกับสถานการณ์ และทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณรวดเร็ว
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือน ต.ค. 2550 ที่กระทรวงการคลังเสนอต่อคณะรัฐมนตรีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 1.47 แสนล้านบาท 8.91% ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท
ในจำนวนนั้นเป็นการเบิกรายจ่ายประจำ 1.21 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับงบรายจ่ายประจำ 1.29 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายงบเพื่อการลงทุน 2.68 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับงบลงทุน 3.64 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206096
โพสต์ทูเดย์ คลังไฮเทคหน่วยราชการสามารถตั้งเรื่องขอเบิกจ่ายงบทางอินเทอร์เน็ตได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้ เป็นต้นหน่วยงานราชการต่างๆ สามารถใส่ข้อมูลการขอเบิกจ่ายงบประมาณผ่านอินเทอร์เน็ตของระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ GFMS ได้โดยตรง เหมือนกับที่หน่วยงานส่งข้อมูลเบิกจ่ายผ่านระบบอินทราเน็ตของหน่วยงาน
ระบบนี้จะทำให้การเบิกจ่ายงบ ประมาณในส่วนต่างๆ คล่องตัว รวดเร็ว ทันการณ์มากกว่าปัจจุบันที่การเบิกจ่ายผ่าน GFMIS หน่วยงานต่างๆ ต้องไปที่คลังจังหวัด เพื่อใส่ข้อมูลการเบิกจ่ายสู่ระบบ GFMIS ซึ่งบางครั้งคลังจังหวัดมีงานมาก ทำให้เบิกจ่ายล่าช้า
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า เพื่อให้ระบบการคลังอิเล็กทรอนิกส์ดำเนินงานได้หลากหลายรวดเร็ว กระทรวงการคลังได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษามาวางระบบพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการต่างๆ ให้เชื่อมต่อกับระบบ GFMIS ตั้งแต่เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จนไปถึงกระบวนการสุดท้ายคือการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใสมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังจะเชื่อต่อระบบการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีละ 3-4 แสนล้านบาท ให้เข้ามาอยู่ระบบการเบิกจ่าย GFMIS ในอนาคต เพราะการเบิกจ่ายงบลงทุนและใช้จ่ายในแต่ละปีถือว่ามีจำนวนที่สูง สุดท้ายจะมีการเชื่อมต่อการเบิกจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าสู่ระบบ GFMIS ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมการเบิกจ่ายทั้งหมด
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า ระบบ GFMIS ทำให้รัฐบาลสามารถเห็นภาพรวมทั้งรายรับ และรายจ่ายที่ออกไป ทำให้การวางแผนการเงินสดของภาครัฐสอดคล้องกับสถานการณ์ และทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณรวดเร็ว
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือน ต.ค. 2550 ที่กระทรวงการคลังเสนอต่อคณะรัฐมนตรีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 1.47 แสนล้านบาท 8.91% ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท
ในจำนวนนั้นเป็นการเบิกรายจ่ายประจำ 1.21 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับงบรายจ่ายประจำ 1.29 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายงบเพื่อการลงทุน 2.68 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับงบลงทุน 3.64 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206096
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 487
แอฟริกา... ดาวรุ่งตลาดใหม่
โดย จันทร์จิรา พึ่งวิริยะ
ตัวเลขส่งออกเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นข่าวดีที่เข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ภาคส่งออกของประเทศได้อย่างเหลือเชื่อ และเป็นข่าวดีที่มาถูกที่ถูกจังหวะเสียด้วย เพราะปัจจัยแวดล้อมเศรษฐกิจและแม้ แต่ภาคส่งออกในบ้านเรา ณ เวลานี้ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยปัจจัยลบทั้งสิ้น
เหลือเวลาอีก 2 เดือนสุดท้ายของ ปีนี้ก็จะได้ข้อสรุปเป็นตัวเลขที่ชัดเจนว่า เป้าหมายส่งออกที่รัฐบาลจะผลักดันให้ขยายตัวได้ 12.5% จะเป็นไปอย่างที่หวังหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ก็เข้าใกล้ความจริงไปทุกทีแล้ว หลายคนจึงเชื่อว่า ปีนี้จะเป็นอีกปีที่ภาคส่งออกสอบผ่าน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ ภาคส่งออกเดินหน้าได้ต่อเนื่องก็คือ โดยเฉพาะการขยายตัวของตลาดใหม่เดือน ต.ค. 2550 ในภาพรวมเติบโตถึง 37.4%
ประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในกลุ่มตลาดใหม่ก็คือ แอฟริกา ขยายตัวได้ถึง 49.7% มากเป็นอันดับ 2 รองจาก ฮ่องกง ที่ขยายตัวได้ 50.7%
ที่บอกว่าแอฟริกาน่าจับตามองมากที่สุด แทนที่จะเป็นแชมป์ของกลุ่มอย่างฮ่องกง ก็เพราะชื่อเสียงของฮ่องกงในหมู่ของคนไทยนั้น เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ทั้งในแง่ของภาคการค้า การลงทุน และธุรกิจบริการ
แต่พอกล่าวถึง แอฟริกา หลายคนยังยึดติดกับภาพเดิมๆ ของการเป็นกลุ่มประเทศที่ยังทุรกันดาร ขาดระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็น ฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนยากจน ด้อยพัฒนา และระบบคมนาคมขนส่งไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายการค้า
แม้แอฟริกาจะเป็นทวีปที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากทวีปเอเชีย โดยมีประเทศทั้งหมด 53 ประเทศ และมีประชากรกว่า 750 ล้านคน ก็ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้ส่งออกไทยได้มากนัก
กระทั่งในการวางเป้าหมายขยายการส่งออกของประเทศสู่กลุ่มตลาดใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากตลาดหลักอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และอาเซียน กลุ่มแอฟริกา ก็ยังถูกเพ่งเล็งความสนใจเป็นลำดับสุดท้ายในสายตาผู้ประกอบการไทยอยู่ดี
โดยมากเมื่อกล่าวถึงตลาดใหม่ก็จะ พุ่งความสนใจไปที่ตลาดจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก เป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ผลจากการที่ตัวเลขส่งออกจากไทยไปแอฟริกาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อดูจากภาพรวมทั้งหมดของตลาดใหม่ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ต.ค.) ก็พบว่า แอฟริกา มีอัตราการเติบโตอย่างสวยหรูอยู่ที่ 33.7% เป็นรอง ยุโรปตะวันออก ที่ขยายตัว 62.1% อินเดีย 54.5% และ ตะวันออกกลาง 34.3%
ขณะที่นำหน้า ออสเตรเลีย ที่ขยายตัว 32.0% ทั้งที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย ถัดมา ลาตินอเมริกา ขยายตัวอยู่ที่ 31.6% จีน ขยายตัว 27.6% ทั้งที่ก็ทำข้อตกลงเอฟทีเอกับไทยเช่นเดียวกับออสเตรเลีย และกลุ่มสุดท้าย อินโดจีนและพม่า โตเพียง 20.3
เห็นแนวโน้มการเติบโตแล้ว คงยากที่จะปฏิเสธได้ว่า แอฟริกา คือ อนาคตตลาดใหม่ที่สดใสและเป็นของจริงสำหรับผู้ส่งออกไทย ซึ่งน่าจะลองหันมาให้ความสนใจอย่างจริงๆจังๆ มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันนี้ หลายประเทศในกลุ่มแอฟริกามีพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และรายได้ต่อหัวของประชากร แซงหน้าไทยไปแล้ว
ผู้ประกอบการไทยรุ่นบุกเบิกที่เข้าไปทำธุรกิจในภูมิภาคนี้ก่อนใคร ปัจจุบันล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้า แต่ น่าเสียดายว่า จำนวนผู้ประกอบการที่เข้าไปทำธุรกิจยังมีค่อนข้างน้อยเกินไป ทั้งที่พฤติกรรมการบริโภคของประชาชนในภูมิภาคนี้เป็นสินค้าในระดับกลางและล่าง
การผลิตสินค้าในลักษณะแบบนี้ ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาก็พัฒนาสินค้าตัวเองขึ้นมาจากระดับดังกล่าวเช่นกัน แต่กลายเป็นว่าธุรกิจที่เข้าไปบุกเบิกในตลาดแอฟริกา จะเน้นหนักไปทางธุรกิจบริการ ส่วนการค้าขายยังมีน้อย
ยกตัวอย่าง ที่ แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย เบนิน กานา นักธุรกิจไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนทำร้านอาหารไทยหลายร้าน ตลอดจนธุรกิจท่องเที่ยว และโรงแรม เป็นต้น
ที่มาดากัสการ์ จัดเป็นแหล่งลงทุนสำหรับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ เข้าไปทำธุรกิจซื้อขายพลอยกันคึกคัก สร้างรายได้มูลค่ามหาศาล เนื่องจากมาดากัสการ์เป็นแหล่งพลอยที่มีคุณภาพและมีปริมาณมากแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ที่ ไนจีเรีย มาลี เบนิน กานา และ เซเนกัล ยังเป็นประเทศที่ไทยเข้าไป ค้าขายสินค้าเกษตรประเภทข้าว เกลือ และสินค้าเสื้อผ้า โดยเฉพาะสินค้าข้าวไทย ค้าขายกันมากในแถบแอฟริกาตะวันตก ด้วยสินค้าไทยได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ใช่ว่าจะมีเฉพาะสินค้าและธุรกิจบริการดังกล่าวข้างต้นเท่านั้นที่ไทยมีศักยภาพในการเข้าไปทำตลาดแอฟริกา สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือ แอฟริกาเป็นทวีปที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งวัตถุดิบที่ยังไม่ถูกสำรวจและทำการวิจัยอย่างเต็มที่ เนื่องด้วยไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรณี
จุดนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับบรรดาผู้ประกอบการที่อยู่ในแวดวง สามารถจัดวางแอฟริกาเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของการขยายแผนสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาตินอกประเทศ เพื่อสำรองไว้ใช้ในอนาคตต่อไปได้
เพราะลำพังการพึ่งพาแหล่งสำรวจจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศลาว พม่า ดูจะไม่เพียงพอแล้ว ยิ่งนับวันคู่แข่งก็หนาตาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แข่งขันสู้ราคาลำบาก หลายๆ ครั้งก็พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย และกระเทือนถึงการสำรวจต่อไปในอนาคตด้วย
การจัดวางตลาดแอฟริกาให้เป็นแหล่งวัตถุดิบที่สามารถป้อนสู่ภาคการผลิต เพื่อส่งออกของประเทศไทย ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ เพราะราคาวัตถุดิบในแถบนี้ไม่สูงมากนัก
และในระยะหลังก็เริ่มมีการประสานขอความร่วมมือในกิจการประมงของไทย ในฐานะที่มีทักษะและความชำนาญเหนือกว่า ให้เข้าไปทำการประมงในแอฟริกา
ทั้งหมดนี้คงต้องย้ำกันอีกทีว่า แอฟริกาในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตค่อนข้างมาก เป็นความแตกต่างที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น แม้จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะแค่ในบางประเทศก็ตาม แต่ก็สามารถใช้ประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นฐานกระจายการค้าการลงทุนไปสู่ประเทศใกล้เคียงในกลุ่มเดียวกันได้
เหมือนอย่างที่หลายๆ ประเทศกำลังดำเนินการอยู่ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ต่างเข้าไปบุกเบิกเชิงพาณิชย์ในแถบนี้อย่างจริงจัง และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพิ่มขึ้นทุกขณะ อาทิ กิจการของบริษัทฮุนได ผลิตรถยนต์ และแดวู ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร เป็นต้น
ถ้าจะเปรียบเทียบในเรื่องศักยภาพ ของไทยกับประเทศคู่แข่งที่ยกตัวอย่าง ให้เห็น มั่นใจว่าศักยภาพเราไม่เป็นรอง ใครในภูมิภาคนี้ แต่ที่ยังเป็นจุดอ่อนก็คือ ขาดความสนใจและกระตือรือร้นที่จะมุ่งสู่แอฟริกา
สินค้านำเข้าสำคัญแต่ละประเทศ
1.แอลจีเรีย นำเข้าสินค้าสำคัญส่วนมากจะเป็นสินค้าทุน สินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าบริโภค และอาหารที่จำเป็น
2.แองโกลา สินค้าเครื่องจักรกล อุปกรณ์ไฟฟ้า ยานพาหนะและชิ้นส่วน ยารักษาโรค อาหาร สิ่งทอ อุปกรณ์ทางการทหาร
3.เบนิน สินค้าอาหาร เครื่องดื่ม ยาสูบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สินค้าทุน สินค้าบริโภค
4.บอตสวานา สินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องจักรกล วัสดุอุปกรณ์สำหรับการขนส่ง และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
5.บูร์กินาฟาโซ สินค้าทุน เครื่องอุปโภคและบริโภค ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
6.บุรุนดี อาหารและเครื่องอุปโภคอื่นๆ สิ่งทอ น้ำมัน เครื่องจักร
7.แคเมอรูน ข้าว เม็ดพลาสติก สิ่งทอ
8.เคปเวิร์ด อาหาร ผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม อุปกรณ์ในการขนส่งเชื้อเพลิง
10.ชาด เครื่องจักร อุปกรณ์การขนส่ง สินค้าอุตสาหกรรมอาหาร และสิ่งทอ
11.คอโมโรส ข้าวและอาหาร สินค้าบริโภค ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซีเมนต์ และอุปกรณ์การขนส่งคมนาคม
12.โกตดิวัวร์ เชื้อเพลิง สินค้าทุน อุตสาหกรรมอาหาร
13.สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก สินค้าอุปโภคบริโภค
14.จิบูตี อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง และอุปกรณ์ยานพาหนะ
15.อิเควทอเรียลกินี ปิโตรเลียม สินค้าอุตสาหกรรม และเครื่องมือต่างๆ
16.เอริเทรีย เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง สัตว์และอาหารสัตว์ สินค้าอุตสาห กรรม เคมีภัณฑ์
17.เอธิโอเปีย สินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน เคมีภัณฑ์
18.กาบอง เครื่องมือและเครื่องจักร อาหาร เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ปิโตรเลียมและวัสดุก่อสร้าง
20.กานา สินค้าทุน ปิโตรเลียม และอาหาร
21.กินี ปิโตรเลียม เหล็ก เครื่องจักร สิ่งทอ เมล็ดพันธุ์ข้าว ผลิตภัณฑ์อาหาร
22.กินีบิสเซา สินค้าประเภทอาหาร เครื่องจักรกล เชื้อเพลิง เครื่องมือและอุปกรณ์ในการขนส่ง
23.จอร์แดน น้ำมันดิบ เครื่องจักร อาหาร อุปกรณ์ขนส่ง
24.เคนยา เครื่องจักรกลและอุปกรณ์สำหรับการขนส่ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รถยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า ยางเรซินและพลาสติก
25.เลโซโท ข้าวโพด เสื้อผ้า วัสดุก่อสร้าง ยานพาหนะ เครื่องจักรกล ยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์น้ำมัน
26.ไลบีเรีย น้ำมันเชื้อเพลิง เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล อุปกรณ์การขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมข้าว และอาหารอื่นๆ
27.มาดากัสการ์ น้ำมันดิบ
28.มาลาวี ปุ๋ย ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เชื้อเพลิง น้ำมัน สินค้าอุปโภคบริโภค
29.มาลี ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุปกรณ์ก่อสร้าง อาหาร สิ่งทอ
30.มอริเตเนีย อาหาร เครื่องจักรกลผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สินค้าทุน และเครื่องอุปโภคบริโภค
31.มอริเชียส สินค้าอุตสาหกรรม เครื่องประกอบการพื้นฐาน ผลิตภัณฑ์อาหาร น้ำมัน และผลิตภัณฑ์เคมี
32.โมร็อกโก น้ำมันดิบ สิ่งทอ อุปกรณ์สื่อสาร ข้าวสาลี ก๊าซและไฟฟ้า พลาสติก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
33.โมซัมบิก เครื่องจักรและ อุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องอิเล็กทรอนิกส์
34.นามิเบีย สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและสำเร็จรูป ด้ายและเส้นใย เครื่องจักรและส่วนประกอบและ เคมีภัณฑ์
35.ไนเจอร์ อาหาร เครื่องจักรกล ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ธัญพืช
36.ไนจีเรีย เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและสิ่งมีชีวิต
37.คองโก สินค้าเกี่ยวกับการ ปิโตรเลียม
38.รวันดา ผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าทุน สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงานและ เชื้อเพลิง
39.เซาโตเมและปรินซิเป เครื่องจักรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
40.เซเนกัล อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าทุน เชื้อเพลิง
41.เซเชลส์ อุปกรณ์ขนส่ง น้ำมัน เชื้อเพลิง สินค้าอุตสาหกรรม
42.เซียร์ราลีโอน อาหารสำเร็จรูป เครื่องจักรและอุปกรณ์ เชื้อเพลิงน้ำมันหล่อลื่น เคมีภัณฑ์
43.โซมาเลีย น้ำตาล ข้าวฟ่าง ข้าวโพด และสินค้าประเภทเครื่องจักร
44.แอฟริกาใต้ ยานยนต์และชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน โทรทัศน์อุตสาหกรรมอาหาร ข้าว
45.ซูดาน เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ สินค้าอุตสาหกรรม อุปกรณ์ยานยนต์ ยา เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ ข้าวสาลี
46.สวาซิแลนด์ รถยนต์ เครื่องจักร อาหาร
47.แทนซาเนีย สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องกลและอุปกรณ์การขนส่ง วัตถุดิบ และน้ำมันดิบ
48.โตโก เครื่องจักรและเครื่องมือต่างๆ อาหารและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
49.ตูนิเซีย สินค้าอุตสาหกรรม ไฮโดรคาบอน อาหาร เครื่องบริโภค
50.ยูกันดา อุปกรณ์การขนส่ง ผลิตภัณฑ์จากผัก ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
51.เยเมน ข้าว อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป รถยนต์
52.แซมเบีย เครื่องจักร อุปกรณ์เกี่ยวกับการขนส่ง สินค้าปิโตรเลียม กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย อาหาร เสื้อผ้าสำเร็จรูป
53.ซิมบับเว เครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่ง เคมีภัณฑ์ เชื้อเพลิง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206160
โดย จันทร์จิรา พึ่งวิริยะ
ตัวเลขส่งออกเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นข่าวดีที่เข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ภาคส่งออกของประเทศได้อย่างเหลือเชื่อ และเป็นข่าวดีที่มาถูกที่ถูกจังหวะเสียด้วย เพราะปัจจัยแวดล้อมเศรษฐกิจและแม้ แต่ภาคส่งออกในบ้านเรา ณ เวลานี้ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยปัจจัยลบทั้งสิ้น
เหลือเวลาอีก 2 เดือนสุดท้ายของ ปีนี้ก็จะได้ข้อสรุปเป็นตัวเลขที่ชัดเจนว่า เป้าหมายส่งออกที่รัฐบาลจะผลักดันให้ขยายตัวได้ 12.5% จะเป็นไปอย่างที่หวังหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ก็เข้าใกล้ความจริงไปทุกทีแล้ว หลายคนจึงเชื่อว่า ปีนี้จะเป็นอีกปีที่ภาคส่งออกสอบผ่าน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ ภาคส่งออกเดินหน้าได้ต่อเนื่องก็คือ โดยเฉพาะการขยายตัวของตลาดใหม่เดือน ต.ค. 2550 ในภาพรวมเติบโตถึง 37.4%
ประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในกลุ่มตลาดใหม่ก็คือ แอฟริกา ขยายตัวได้ถึง 49.7% มากเป็นอันดับ 2 รองจาก ฮ่องกง ที่ขยายตัวได้ 50.7%
ที่บอกว่าแอฟริกาน่าจับตามองมากที่สุด แทนที่จะเป็นแชมป์ของกลุ่มอย่างฮ่องกง ก็เพราะชื่อเสียงของฮ่องกงในหมู่ของคนไทยนั้น เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ทั้งในแง่ของภาคการค้า การลงทุน และธุรกิจบริการ
แต่พอกล่าวถึง แอฟริกา หลายคนยังยึดติดกับภาพเดิมๆ ของการเป็นกลุ่มประเทศที่ยังทุรกันดาร ขาดระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็น ฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนยากจน ด้อยพัฒนา และระบบคมนาคมขนส่งไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายการค้า
แม้แอฟริกาจะเป็นทวีปที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากทวีปเอเชีย โดยมีประเทศทั้งหมด 53 ประเทศ และมีประชากรกว่า 750 ล้านคน ก็ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้ส่งออกไทยได้มากนัก
กระทั่งในการวางเป้าหมายขยายการส่งออกของประเทศสู่กลุ่มตลาดใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากตลาดหลักอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และอาเซียน กลุ่มแอฟริกา ก็ยังถูกเพ่งเล็งความสนใจเป็นลำดับสุดท้ายในสายตาผู้ประกอบการไทยอยู่ดี
โดยมากเมื่อกล่าวถึงตลาดใหม่ก็จะ พุ่งความสนใจไปที่ตลาดจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก เป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ผลจากการที่ตัวเลขส่งออกจากไทยไปแอฟริกาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อดูจากภาพรวมทั้งหมดของตลาดใหม่ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ต.ค.) ก็พบว่า แอฟริกา มีอัตราการเติบโตอย่างสวยหรูอยู่ที่ 33.7% เป็นรอง ยุโรปตะวันออก ที่ขยายตัว 62.1% อินเดีย 54.5% และ ตะวันออกกลาง 34.3%
ขณะที่นำหน้า ออสเตรเลีย ที่ขยายตัว 32.0% ทั้งที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย ถัดมา ลาตินอเมริกา ขยายตัวอยู่ที่ 31.6% จีน ขยายตัว 27.6% ทั้งที่ก็ทำข้อตกลงเอฟทีเอกับไทยเช่นเดียวกับออสเตรเลีย และกลุ่มสุดท้าย อินโดจีนและพม่า โตเพียง 20.3
เห็นแนวโน้มการเติบโตแล้ว คงยากที่จะปฏิเสธได้ว่า แอฟริกา คือ อนาคตตลาดใหม่ที่สดใสและเป็นของจริงสำหรับผู้ส่งออกไทย ซึ่งน่าจะลองหันมาให้ความสนใจอย่างจริงๆจังๆ มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันนี้ หลายประเทศในกลุ่มแอฟริกามีพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และรายได้ต่อหัวของประชากร แซงหน้าไทยไปแล้ว
ผู้ประกอบการไทยรุ่นบุกเบิกที่เข้าไปทำธุรกิจในภูมิภาคนี้ก่อนใคร ปัจจุบันล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้า แต่ น่าเสียดายว่า จำนวนผู้ประกอบการที่เข้าไปทำธุรกิจยังมีค่อนข้างน้อยเกินไป ทั้งที่พฤติกรรมการบริโภคของประชาชนในภูมิภาคนี้เป็นสินค้าในระดับกลางและล่าง
การผลิตสินค้าในลักษณะแบบนี้ ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาก็พัฒนาสินค้าตัวเองขึ้นมาจากระดับดังกล่าวเช่นกัน แต่กลายเป็นว่าธุรกิจที่เข้าไปบุกเบิกในตลาดแอฟริกา จะเน้นหนักไปทางธุรกิจบริการ ส่วนการค้าขายยังมีน้อย
ยกตัวอย่าง ที่ แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย เบนิน กานา นักธุรกิจไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนทำร้านอาหารไทยหลายร้าน ตลอดจนธุรกิจท่องเที่ยว และโรงแรม เป็นต้น
ที่มาดากัสการ์ จัดเป็นแหล่งลงทุนสำหรับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ เข้าไปทำธุรกิจซื้อขายพลอยกันคึกคัก สร้างรายได้มูลค่ามหาศาล เนื่องจากมาดากัสการ์เป็นแหล่งพลอยที่มีคุณภาพและมีปริมาณมากแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ที่ ไนจีเรีย มาลี เบนิน กานา และ เซเนกัล ยังเป็นประเทศที่ไทยเข้าไป ค้าขายสินค้าเกษตรประเภทข้าว เกลือ และสินค้าเสื้อผ้า โดยเฉพาะสินค้าข้าวไทย ค้าขายกันมากในแถบแอฟริกาตะวันตก ด้วยสินค้าไทยได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ใช่ว่าจะมีเฉพาะสินค้าและธุรกิจบริการดังกล่าวข้างต้นเท่านั้นที่ไทยมีศักยภาพในการเข้าไปทำตลาดแอฟริกา สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือ แอฟริกาเป็นทวีปที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งวัตถุดิบที่ยังไม่ถูกสำรวจและทำการวิจัยอย่างเต็มที่ เนื่องด้วยไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรณี
จุดนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับบรรดาผู้ประกอบการที่อยู่ในแวดวง สามารถจัดวางแอฟริกาเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของการขยายแผนสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาตินอกประเทศ เพื่อสำรองไว้ใช้ในอนาคตต่อไปได้
เพราะลำพังการพึ่งพาแหล่งสำรวจจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศลาว พม่า ดูจะไม่เพียงพอแล้ว ยิ่งนับวันคู่แข่งก็หนาตาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แข่งขันสู้ราคาลำบาก หลายๆ ครั้งก็พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย และกระเทือนถึงการสำรวจต่อไปในอนาคตด้วย
การจัดวางตลาดแอฟริกาให้เป็นแหล่งวัตถุดิบที่สามารถป้อนสู่ภาคการผลิต เพื่อส่งออกของประเทศไทย ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ เพราะราคาวัตถุดิบในแถบนี้ไม่สูงมากนัก
และในระยะหลังก็เริ่มมีการประสานขอความร่วมมือในกิจการประมงของไทย ในฐานะที่มีทักษะและความชำนาญเหนือกว่า ให้เข้าไปทำการประมงในแอฟริกา
ทั้งหมดนี้คงต้องย้ำกันอีกทีว่า แอฟริกาในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตค่อนข้างมาก เป็นความแตกต่างที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น แม้จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะแค่ในบางประเทศก็ตาม แต่ก็สามารถใช้ประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นฐานกระจายการค้าการลงทุนไปสู่ประเทศใกล้เคียงในกลุ่มเดียวกันได้
เหมือนอย่างที่หลายๆ ประเทศกำลังดำเนินการอยู่ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ต่างเข้าไปบุกเบิกเชิงพาณิชย์ในแถบนี้อย่างจริงจัง และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพิ่มขึ้นทุกขณะ อาทิ กิจการของบริษัทฮุนได ผลิตรถยนต์ และแดวู ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร เป็นต้น
ถ้าจะเปรียบเทียบในเรื่องศักยภาพ ของไทยกับประเทศคู่แข่งที่ยกตัวอย่าง ให้เห็น มั่นใจว่าศักยภาพเราไม่เป็นรอง ใครในภูมิภาคนี้ แต่ที่ยังเป็นจุดอ่อนก็คือ ขาดความสนใจและกระตือรือร้นที่จะมุ่งสู่แอฟริกา
สินค้านำเข้าสำคัญแต่ละประเทศ
1.แอลจีเรีย นำเข้าสินค้าสำคัญส่วนมากจะเป็นสินค้าทุน สินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าบริโภค และอาหารที่จำเป็น
2.แองโกลา สินค้าเครื่องจักรกล อุปกรณ์ไฟฟ้า ยานพาหนะและชิ้นส่วน ยารักษาโรค อาหาร สิ่งทอ อุปกรณ์ทางการทหาร
3.เบนิน สินค้าอาหาร เครื่องดื่ม ยาสูบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สินค้าทุน สินค้าบริโภค
4.บอตสวานา สินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องจักรกล วัสดุอุปกรณ์สำหรับการขนส่ง และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
5.บูร์กินาฟาโซ สินค้าทุน เครื่องอุปโภคและบริโภค ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
6.บุรุนดี อาหารและเครื่องอุปโภคอื่นๆ สิ่งทอ น้ำมัน เครื่องจักร
7.แคเมอรูน ข้าว เม็ดพลาสติก สิ่งทอ
8.เคปเวิร์ด อาหาร ผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม อุปกรณ์ในการขนส่งเชื้อเพลิง
10.ชาด เครื่องจักร อุปกรณ์การขนส่ง สินค้าอุตสาหกรรมอาหาร และสิ่งทอ
11.คอโมโรส ข้าวและอาหาร สินค้าบริโภค ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซีเมนต์ และอุปกรณ์การขนส่งคมนาคม
12.โกตดิวัวร์ เชื้อเพลิง สินค้าทุน อุตสาหกรรมอาหาร
13.สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก สินค้าอุปโภคบริโภค
14.จิบูตี อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง และอุปกรณ์ยานพาหนะ
15.อิเควทอเรียลกินี ปิโตรเลียม สินค้าอุตสาหกรรม และเครื่องมือต่างๆ
16.เอริเทรีย เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง สัตว์และอาหารสัตว์ สินค้าอุตสาห กรรม เคมีภัณฑ์
17.เอธิโอเปีย สินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน เคมีภัณฑ์
18.กาบอง เครื่องมือและเครื่องจักร อาหาร เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ปิโตรเลียมและวัสดุก่อสร้าง
20.กานา สินค้าทุน ปิโตรเลียม และอาหาร
21.กินี ปิโตรเลียม เหล็ก เครื่องจักร สิ่งทอ เมล็ดพันธุ์ข้าว ผลิตภัณฑ์อาหาร
22.กินีบิสเซา สินค้าประเภทอาหาร เครื่องจักรกล เชื้อเพลิง เครื่องมือและอุปกรณ์ในการขนส่ง
23.จอร์แดน น้ำมันดิบ เครื่องจักร อาหาร อุปกรณ์ขนส่ง
24.เคนยา เครื่องจักรกลและอุปกรณ์สำหรับการขนส่ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รถยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า ยางเรซินและพลาสติก
25.เลโซโท ข้าวโพด เสื้อผ้า วัสดุก่อสร้าง ยานพาหนะ เครื่องจักรกล ยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์น้ำมัน
26.ไลบีเรีย น้ำมันเชื้อเพลิง เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล อุปกรณ์การขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมข้าว และอาหารอื่นๆ
27.มาดากัสการ์ น้ำมันดิบ
28.มาลาวี ปุ๋ย ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เชื้อเพลิง น้ำมัน สินค้าอุปโภคบริโภค
29.มาลี ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุปกรณ์ก่อสร้าง อาหาร สิ่งทอ
30.มอริเตเนีย อาหาร เครื่องจักรกลผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สินค้าทุน และเครื่องอุปโภคบริโภค
31.มอริเชียส สินค้าอุตสาหกรรม เครื่องประกอบการพื้นฐาน ผลิตภัณฑ์อาหาร น้ำมัน และผลิตภัณฑ์เคมี
32.โมร็อกโก น้ำมันดิบ สิ่งทอ อุปกรณ์สื่อสาร ข้าวสาลี ก๊าซและไฟฟ้า พลาสติก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
33.โมซัมบิก เครื่องจักรและ อุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องอิเล็กทรอนิกส์
34.นามิเบีย สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและสำเร็จรูป ด้ายและเส้นใย เครื่องจักรและส่วนประกอบและ เคมีภัณฑ์
35.ไนเจอร์ อาหาร เครื่องจักรกล ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ธัญพืช
36.ไนจีเรีย เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและสิ่งมีชีวิต
37.คองโก สินค้าเกี่ยวกับการ ปิโตรเลียม
38.รวันดา ผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าทุน สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงานและ เชื้อเพลิง
39.เซาโตเมและปรินซิเป เครื่องจักรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
40.เซเนกัล อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าทุน เชื้อเพลิง
41.เซเชลส์ อุปกรณ์ขนส่ง น้ำมัน เชื้อเพลิง สินค้าอุตสาหกรรม
42.เซียร์ราลีโอน อาหารสำเร็จรูป เครื่องจักรและอุปกรณ์ เชื้อเพลิงน้ำมันหล่อลื่น เคมีภัณฑ์
43.โซมาเลีย น้ำตาล ข้าวฟ่าง ข้าวโพด และสินค้าประเภทเครื่องจักร
44.แอฟริกาใต้ ยานยนต์และชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน โทรทัศน์อุตสาหกรรมอาหาร ข้าว
45.ซูดาน เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ สินค้าอุตสาหกรรม อุปกรณ์ยานยนต์ ยา เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ ข้าวสาลี
46.สวาซิแลนด์ รถยนต์ เครื่องจักร อาหาร
47.แทนซาเนีย สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องกลและอุปกรณ์การขนส่ง วัตถุดิบ และน้ำมันดิบ
48.โตโก เครื่องจักรและเครื่องมือต่างๆ อาหารและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
49.ตูนิเซีย สินค้าอุตสาหกรรม ไฮโดรคาบอน อาหาร เครื่องบริโภค
50.ยูกันดา อุปกรณ์การขนส่ง ผลิตภัณฑ์จากผัก ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
51.เยเมน ข้าว อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป รถยนต์
52.แซมเบีย เครื่องจักร อุปกรณ์เกี่ยวกับการขนส่ง สินค้าปิโตรเลียม กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย อาหาร เสื้อผ้าสำเร็จรูป
53.ซิมบับเว เครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่ง เคมีภัณฑ์ เชื้อเพลิง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206160
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 488
นักวิเคราะห์ชี้สภาพัฒน์ฯ จีดีพีไตรมาส 3 โต 1.3% โดย กระแสหุ้น
ผลการสำรวจรอยเตอร์ ระบุ เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตปานกลางในไตรมาส 3 ในอัตราเท่ากับไตรมาส 2 ในขณะที่การลงทุนและการบริโภคแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) จะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาส 3 ในวันที่ 3 ธันวาคม เวลา 09.30 น. ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า โดยเฉลี่ยจีดีพีอาจเติบโตขึ้น 1.3% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และขยายตัวในระดับเดียวกับในไตรมาส 2
นางนุชจรินทร์ พนาโรจน์ นักเศรษฐศาสตร์ของบล.พัฒนสินกล่าวว่า ผู้บริโภคมีความเต็มใจมากขึ้นในการใช้จ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าสำคัญ อาทิ รถยนต์ ซึ่งช่วยเพิ่มการผลิตทางอุตสาหกรรมโดยรวม
ข้อมูลด้านอุปทานสำหรับไตรมาส 3 อยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสิ่งบ่งชี้ด้านการผลิต โดยยอดขายรถยนต์ปรับตัวขึ้นและยอดนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลด้านอุปทานสะท้อนถึงภาวะด้านเศรษฐกิจได้แม่นยำมากขึ้น นางนุชจรินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังคาดว่า เศรษฐกิจขยายตัว 4.5% จากปีก่อน หลังจากที่ขยายตัว 4.4% ในไตรมาสก่อน และในขณะเดียวกันรัฐบาลชุดใหม่ที่จะจัดตั้งหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม จะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ถูกบั่นทอนโดยความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการทำรัฐประหารในเดือนกันยายนปีที่แล้ว
พร้อมกันนี้ ผลการสำรวจคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดปีนี้จะอยู่ที่ 4.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2544 และไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2551 จะอยู่ที่ 4.9% เมื่อการส่งออกที่คาดว่าลดลงจะได้รับการชดเชยจากการลงทุนด้านสาธารณูปโภคมากขึ้นของรัฐบาลชุดใหม่
ขณะเดียวกันนางสาว วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะได้แรงหนุนในปี 2551 จากการเริ่มโครงการเมกะโปรเจ็ก แต่ความเสี่ยงในช่วงขาลงจะมาจากราคาน้ำมันที่ระดับสูงและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจจะประสบภาวะถดถอย ส่วนในด้านการส่งออก การพึ่งพาที่ลดลงต่อตลาดสหรัฐฯได้ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
ผลการสำรวจรอยเตอร์ ระบุ เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตปานกลางในไตรมาส 3 ในอัตราเท่ากับไตรมาส 2 ในขณะที่การลงทุนและการบริโภคแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) จะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาส 3 ในวันที่ 3 ธันวาคม เวลา 09.30 น. ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า โดยเฉลี่ยจีดีพีอาจเติบโตขึ้น 1.3% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และขยายตัวในระดับเดียวกับในไตรมาส 2
นางนุชจรินทร์ พนาโรจน์ นักเศรษฐศาสตร์ของบล.พัฒนสินกล่าวว่า ผู้บริโภคมีความเต็มใจมากขึ้นในการใช้จ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าสำคัญ อาทิ รถยนต์ ซึ่งช่วยเพิ่มการผลิตทางอุตสาหกรรมโดยรวม
ข้อมูลด้านอุปทานสำหรับไตรมาส 3 อยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสิ่งบ่งชี้ด้านการผลิต โดยยอดขายรถยนต์ปรับตัวขึ้นและยอดนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลด้านอุปทานสะท้อนถึงภาวะด้านเศรษฐกิจได้แม่นยำมากขึ้น นางนุชจรินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังคาดว่า เศรษฐกิจขยายตัว 4.5% จากปีก่อน หลังจากที่ขยายตัว 4.4% ในไตรมาสก่อน และในขณะเดียวกันรัฐบาลชุดใหม่ที่จะจัดตั้งหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม จะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ถูกบั่นทอนโดยความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการทำรัฐประหารในเดือนกันยายนปีที่แล้ว
พร้อมกันนี้ ผลการสำรวจคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดปีนี้จะอยู่ที่ 4.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2544 และไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2551 จะอยู่ที่ 4.9% เมื่อการส่งออกที่คาดว่าลดลงจะได้รับการชดเชยจากการลงทุนด้านสาธารณูปโภคมากขึ้นของรัฐบาลชุดใหม่
ขณะเดียวกันนางสาว วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะได้แรงหนุนในปี 2551 จากการเริ่มโครงการเมกะโปรเจ็ก แต่ความเสี่ยงในช่วงขาลงจะมาจากราคาน้ำมันที่ระดับสูงและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจจะประสบภาวะถดถอย ส่วนในด้านการส่งออก การพึ่งพาที่ลดลงต่อตลาดสหรัฐฯได้ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 489
บล.ไทยพาณิชย์คาดปัญหา'ซับไพร์ม' ขย่มตลาดหุ้นทั่วโลกรุนแรงปีหน้า
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11:58:00
บล.ไทยพาณิชย์คาปัญหาซับไพร์มจะประทุในปีหน้า ส่งผลกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนอย่างรุนแรงและมีความเสี่ยงมากขึ้น
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวในการสัมมนา จับกระแสการเงินโลกในปี 2008 ว่า ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือซับไพร์มในสหรัฐ ยังไม่จบลงง่าย ๆ โดยประเมินว่า ในปี 2551 ผลกระทบจะรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากในเดือน มี.ค. 2551 อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อดังกล่าวจะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กลุ่มลูกหนี้ซับไพร์ม ผิดนัดชำระหนี้อัตราสูงมาก และจะมีการยึดบ้านออกมาขายทอดตลาด ดังนั้น ราคาบ้านในสหรัฐ จะปรับลดลงถึง 10-13% และผลจากการที่ลูกหนี้ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้อาจจะมีปัญหาหนี้ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ตามมา
"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผลกระทบของซับไพร์มจะสร้างความผันผวนให้ตลาดทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยแน่นอน" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ทั้งนี้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีอิทธิพลสูงต่อตลาดหุ้นไทยผลกระทบของซับไพร์มทำให้ตราสารทางการเงินที่มีหลักทรัพย์อ้างอิง ( ซีดีโอ) สินเชื่อซับไพร์ม ถูกลดอันดับลง นักลงทุนต่างชาติจะลดการถือครองหลักทรัพย์ของสหรัฐและเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ทำให้เงินทุนต่างชาติโยกเงินออกจากสหรัฐ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นย่านเอเชีย เพราะเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจดีและดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลต่อเนื่อง
แต่ปริมาณทุนต่างชาติอาจจะลดน้อยลง เพราะส่วนหนึ่งเสียหายจากปัญหาซับไพร์ม ซึ่งการไหลเข้าของเงินต่างชาติจะมีผลทำให้เงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น รวมทั้งเงินบาทไทยและตลาดหุ้นไทยก็จะผันผวนตามการไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างชาติ
กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัญหาซับไพร์ม ยังรอการปะทุอีก ซึ่งประเมินว่าปี 2551 จะรุนแรงสูงสุดและจะมีข่าวความเสียหายจากซับไพร์มออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดทุนและตลาดเงินในปี 2551 มีความผันผวน และมีความเสี่ยงสูง
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=206462
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11:58:00
บล.ไทยพาณิชย์คาปัญหาซับไพร์มจะประทุในปีหน้า ส่งผลกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนอย่างรุนแรงและมีความเสี่ยงมากขึ้น
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวในการสัมมนา จับกระแสการเงินโลกในปี 2008 ว่า ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือซับไพร์มในสหรัฐ ยังไม่จบลงง่าย ๆ โดยประเมินว่า ในปี 2551 ผลกระทบจะรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากในเดือน มี.ค. 2551 อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อดังกล่าวจะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กลุ่มลูกหนี้ซับไพร์ม ผิดนัดชำระหนี้อัตราสูงมาก และจะมีการยึดบ้านออกมาขายทอดตลาด ดังนั้น ราคาบ้านในสหรัฐ จะปรับลดลงถึง 10-13% และผลจากการที่ลูกหนี้ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้อาจจะมีปัญหาหนี้ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ตามมา
"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผลกระทบของซับไพร์มจะสร้างความผันผวนให้ตลาดทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยแน่นอน" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ทั้งนี้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีอิทธิพลสูงต่อตลาดหุ้นไทยผลกระทบของซับไพร์มทำให้ตราสารทางการเงินที่มีหลักทรัพย์อ้างอิง ( ซีดีโอ) สินเชื่อซับไพร์ม ถูกลดอันดับลง นักลงทุนต่างชาติจะลดการถือครองหลักทรัพย์ของสหรัฐและเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ทำให้เงินทุนต่างชาติโยกเงินออกจากสหรัฐ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นย่านเอเชีย เพราะเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจดีและดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลต่อเนื่อง
แต่ปริมาณทุนต่างชาติอาจจะลดน้อยลง เพราะส่วนหนึ่งเสียหายจากปัญหาซับไพร์ม ซึ่งการไหลเข้าของเงินต่างชาติจะมีผลทำให้เงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น รวมทั้งเงินบาทไทยและตลาดหุ้นไทยก็จะผันผวนตามการไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างชาติ
กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัญหาซับไพร์ม ยังรอการปะทุอีก ซึ่งประเมินว่าปี 2551 จะรุนแรงสูงสุดและจะมีข่าวความเสียหายจากซับไพร์มออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดทุนและตลาดเงินในปี 2551 มีความผันผวน และมีความเสี่ยงสูง
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=206462
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 490
ดัชนีปีหน้าแตะ 1,146 จุด GDP ปีหน้าโต 4.5% --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, November 28, 2007
รอจังหวะต่างชาติโยกเงินเข้าไทยไตรมาส 1 ปีหน้า
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง กล่าวว่า การลงทุนในสหรัฐฯจะอ้างอิงการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรเป็นหลัก และเม็ดเงินในการลงทุนจะโยกย้ายไปตามอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงในการลงทุน จากปัญหาวิกฤติสภาพคล่องที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ในระยะนี้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลงคือการลงทุนในพันธบัตร ทำให้ราคาของพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯสูงขึ้น แลผลตอบแทนลดลงมาอยู่ที่ 3.9289% ซึ่งนายเผดิมภพเชื่อว่า จังหวะสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติจะมีการโยกเงินออกจากสหรัฐฯ มายังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หรือภูมิภาคเอเชียคือ การลดลงของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อีก 0.5% จาก 4.5% มาเป็น 4 % เพื่อกระตุ้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลง 0.5% มาอยู่ที่ 3.4% ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 1/2551ที่จะทำให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยกลับมาคึกคักได้จากเงินลงทุนในระยะยาว
ฟันธงดัชนีปีหน้า 1,146 จุด
สำหรับในประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ย R/P 1 วันของไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% จะไม่ลดลงไปมากกว่านี้ และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นในปีหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็ให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของไทยในภาวะที่ขาดกำลังซื้อในขณะนี้ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก โดยนายเผดิมภพมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดสูงสุดที่ประมาณ 915 จุด มาแล้วเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และตลาดหุ้นไทยจะกลับมาคึกคักได้เมื่อมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามา (Fund Flow) ในปลายไตรมาส 1/51 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2/51 และทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,146 จุดได้
หุ้นถ่านหินและธนาคาพาณิชย์ขนาดใหญ่อนาคตดี
นายเผดิมภพยังมองว่า ปัจจัยภายในประเทศที่จะส่งผลต่อภาวการณ์ซื้อขายในตลาดหุ้นไทยคือ เรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งการเลือกตั้งอาจทำให้เกิดความมั่นใจกับเศรษฐกิจภายในประเทศได้แต่เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งจะมีอายุไม่ถึง 2 ปี ทำให้การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อาจทำได้ไม่เต็มที่ และน่าจะส่งผลต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มสื่อสาร หรือหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขณะเดียวกันหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างกลุ่มพลังงานและเหล็ก น่าจะยังคงมีอนาคตสดใสจากราคาในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินในประเทศจีน ที่จะทำให้ความต้องการถ่านหินเติบโตขึ้นอย่างมากใน 2-3 ปีข้างหน้า นายเผดิมภพยังคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าจะขยายตัวถึง 25% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ต้องตั้งสำรองและจัดระบบการเงินตามมาตรฐานบัญชีไปในปีนี้ ทำให้ในปีหน้าถือเป็นปีทองของกลุ่มธนาคาพาณิชย์ที่จะเริ่มทำกำไรได้ ส่วนกลุ่มกองเรืออยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง เนื่องจาก Supply ของกองเรือที่ให้บริการขนส่งสินค้าขยายตัวอย่างมาก ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่คือจีนที่มีความต้องการขนส่งวัตถุดิบจำนวนมากสำหรับการก่อสร้างอาจถือโอกาสกดราคาได้
เดือนมีนาคม 2551 Subprime ระลอกใหม่เริ่มพ่นพิษ
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ เตือนให้จับตามองในเดือนมีนาคม 2551 ที่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan) จะเริ่มส่งผลกระทบที่ชัดเจนกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำจะครบกำหนดการผ่อนชำระในช่วงแรก และเริ่มก้าวเข้าสู่การ Reset หรือการคิดอัตราดอกเบี้ยใหม่ในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯลดงไปเพียง 4% ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาสภาพคล่องกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ในวงกว้าง และมีการคาดการณ์ว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์จะลดลงได้อีก 13-14% ในอนาคต
การแปลงสินเชื่อเป็น Subprime เป็นตราสารหนี้ (Securitization) แล้วนำออกมาขายให้กับกองทุนต่าง ๆ แม้ในระยะแรกจะได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ Investment Grade (BBB- ขึ้นไป) แต่เมื่อผ่านไปเพียงประมาณ 1 ปี ตราสารหนี้เหล่านี้ก็ถูกลดอันดับเครดิตลงและบางส่วนกลายเป็น Junk Bond ไปในที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน รวมไปถึงความกังวลที่มีต่อปัญหาสินเชื่อประเภท Subprime ที่อาจลุกลามไปถึงสินเชื่อบัตรเครดิตได้ด้วยเช่นกัน
เศรษฐกิจไทยปีหน้าดีกว่าปีนี้
ผู้บริหารจากบล.ไทยพาณิชย์ยังมองว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ 4.5% และแม้จะเป็นการลดลงจากที่ประมาณการณ์ไว้เดิมที่ 4.7% แต่ก็ยังสูงกว่าอัตราการขยายตัวของปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 4.2% ทั้งนี้ปัจจัยลบที่กดดันเศรษฐกิจไทยจะยังไม่หมดไปโดยง่ายอันเนื่องมาจากสภาพคล่องที่ตึงตัวเพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นทำให้การบริโภคในประเทศเป็นไปอย่างจำกัด แม้ว่าตัวเลขการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเพิ่มขึ้นถึง 26.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เป็นการคิดตามมูลค่าเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากคิดเป็นมูลค่าเงินบาทจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้นมามาก และเมื่อวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดจะพบว่ามีเพียง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลุ่มส่งออกที่สำคัญคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45% ของการส่งออกเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ เพราะมีการนำเข้าวัตถุดิบเป็นเงินสกุลดอลลาร์ด้วยเช่นกัน คือ กลุ่มเครื่องจักรกลที่ใช้ไฟฟ้า (Electrical Machinery) กลุ่มเครื่องจักรกลที่ไม่ใช้ไฟฟ้า (Non-Electrical Machinery) และกลุ่มยานยนต์ (Motor Vehicle) แต่กลุ่มที่ต้องอาศัยแรงงานหรือวัตถุดิบในประเทศเป็นหลักอย่าง กลุ่มสิ่งทอ รองเท้าและอาหารกลับประสบปัญหาอย่างหนัก ดังนั้นความเชื่อมั่นภายในประเทศหลังการเลือกตั้งจะส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
Posted on Wednesday, November 28, 2007
รอจังหวะต่างชาติโยกเงินเข้าไทยไตรมาส 1 ปีหน้า
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง กล่าวว่า การลงทุนในสหรัฐฯจะอ้างอิงการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรเป็นหลัก และเม็ดเงินในการลงทุนจะโยกย้ายไปตามอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงในการลงทุน จากปัญหาวิกฤติสภาพคล่องที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ในระยะนี้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลงคือการลงทุนในพันธบัตร ทำให้ราคาของพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯสูงขึ้น แลผลตอบแทนลดลงมาอยู่ที่ 3.9289% ซึ่งนายเผดิมภพเชื่อว่า จังหวะสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติจะมีการโยกเงินออกจากสหรัฐฯ มายังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หรือภูมิภาคเอเชียคือ การลดลงของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อีก 0.5% จาก 4.5% มาเป็น 4 % เพื่อกระตุ้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลง 0.5% มาอยู่ที่ 3.4% ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 1/2551ที่จะทำให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยกลับมาคึกคักได้จากเงินลงทุนในระยะยาว
ฟันธงดัชนีปีหน้า 1,146 จุด
สำหรับในประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ย R/P 1 วันของไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% จะไม่ลดลงไปมากกว่านี้ และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นในปีหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็ให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของไทยในภาวะที่ขาดกำลังซื้อในขณะนี้ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก โดยนายเผดิมภพมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดสูงสุดที่ประมาณ 915 จุด มาแล้วเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และตลาดหุ้นไทยจะกลับมาคึกคักได้เมื่อมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามา (Fund Flow) ในปลายไตรมาส 1/51 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2/51 และทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,146 จุดได้
หุ้นถ่านหินและธนาคาพาณิชย์ขนาดใหญ่อนาคตดี
นายเผดิมภพยังมองว่า ปัจจัยภายในประเทศที่จะส่งผลต่อภาวการณ์ซื้อขายในตลาดหุ้นไทยคือ เรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งการเลือกตั้งอาจทำให้เกิดความมั่นใจกับเศรษฐกิจภายในประเทศได้แต่เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งจะมีอายุไม่ถึง 2 ปี ทำให้การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อาจทำได้ไม่เต็มที่ และน่าจะส่งผลต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มสื่อสาร หรือหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขณะเดียวกันหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างกลุ่มพลังงานและเหล็ก น่าจะยังคงมีอนาคตสดใสจากราคาในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินในประเทศจีน ที่จะทำให้ความต้องการถ่านหินเติบโตขึ้นอย่างมากใน 2-3 ปีข้างหน้า นายเผดิมภพยังคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าจะขยายตัวถึง 25% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ต้องตั้งสำรองและจัดระบบการเงินตามมาตรฐานบัญชีไปในปีนี้ ทำให้ในปีหน้าถือเป็นปีทองของกลุ่มธนาคาพาณิชย์ที่จะเริ่มทำกำไรได้ ส่วนกลุ่มกองเรืออยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง เนื่องจาก Supply ของกองเรือที่ให้บริการขนส่งสินค้าขยายตัวอย่างมาก ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่คือจีนที่มีความต้องการขนส่งวัตถุดิบจำนวนมากสำหรับการก่อสร้างอาจถือโอกาสกดราคาได้
เดือนมีนาคม 2551 Subprime ระลอกใหม่เริ่มพ่นพิษ
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ เตือนให้จับตามองในเดือนมีนาคม 2551 ที่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan) จะเริ่มส่งผลกระทบที่ชัดเจนกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำจะครบกำหนดการผ่อนชำระในช่วงแรก และเริ่มก้าวเข้าสู่การ Reset หรือการคิดอัตราดอกเบี้ยใหม่ในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯลดงไปเพียง 4% ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาสภาพคล่องกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ในวงกว้าง และมีการคาดการณ์ว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์จะลดลงได้อีก 13-14% ในอนาคต
การแปลงสินเชื่อเป็น Subprime เป็นตราสารหนี้ (Securitization) แล้วนำออกมาขายให้กับกองทุนต่าง ๆ แม้ในระยะแรกจะได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ Investment Grade (BBB- ขึ้นไป) แต่เมื่อผ่านไปเพียงประมาณ 1 ปี ตราสารหนี้เหล่านี้ก็ถูกลดอันดับเครดิตลงและบางส่วนกลายเป็น Junk Bond ไปในที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน รวมไปถึงความกังวลที่มีต่อปัญหาสินเชื่อประเภท Subprime ที่อาจลุกลามไปถึงสินเชื่อบัตรเครดิตได้ด้วยเช่นกัน
เศรษฐกิจไทยปีหน้าดีกว่าปีนี้
ผู้บริหารจากบล.ไทยพาณิชย์ยังมองว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ 4.5% และแม้จะเป็นการลดลงจากที่ประมาณการณ์ไว้เดิมที่ 4.7% แต่ก็ยังสูงกว่าอัตราการขยายตัวของปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 4.2% ทั้งนี้ปัจจัยลบที่กดดันเศรษฐกิจไทยจะยังไม่หมดไปโดยง่ายอันเนื่องมาจากสภาพคล่องที่ตึงตัวเพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นทำให้การบริโภคในประเทศเป็นไปอย่างจำกัด แม้ว่าตัวเลขการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเพิ่มขึ้นถึง 26.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เป็นการคิดตามมูลค่าเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากคิดเป็นมูลค่าเงินบาทจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้นมามาก และเมื่อวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดจะพบว่ามีเพียง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลุ่มส่งออกที่สำคัญคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45% ของการส่งออกเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ เพราะมีการนำเข้าวัตถุดิบเป็นเงินสกุลดอลลาร์ด้วยเช่นกัน คือ กลุ่มเครื่องจักรกลที่ใช้ไฟฟ้า (Electrical Machinery) กลุ่มเครื่องจักรกลที่ไม่ใช้ไฟฟ้า (Non-Electrical Machinery) และกลุ่มยานยนต์ (Motor Vehicle) แต่กลุ่มที่ต้องอาศัยแรงงานหรือวัตถุดิบในประเทศเป็นหลักอย่าง กลุ่มสิ่งทอ รองเท้าและอาหารกลับประสบปัญหาอย่างหนัก ดังนั้นความเชื่อมั่นภายในประเทศหลังการเลือกตั้งจะส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 491
FES+AYS แนะกลุยทธ์ลงทุนหุ้น รับความผันผวนจากปัญหาซับไพร์ม ให้ DOMESTIC PLAYS+ หุ้นราคาร่วงแรง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, November 28, 2007
ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub-prime) การปรับประมาณการรายได้ และกำไรของบริษัทหลายๆ บริษัทในสหรัฐ หลังประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3 และ ตัวเลขเศรษฐกิจหลาย ๆ ตัวที่บ่งชี้ให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก (โดยเฉพาะหุ้น) รวมไปถึงหุ้นไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยง และโยกเงินลงทุนเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือ พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอัตราผล
ตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐ ได้ปรับลดลงจากระดับ 4.4% มาสู่ระดับ 4.0% ภายในไม่กี่สัปดาห์
ทั้งนี้ การขายหุ้นอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นเดือน จนทะลุ 4.0 หมื่นล้านบาท ในวันนี้ ก็มีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปรับฐานลงมาจากระดับ 907 จุด มาทำจุดต่ำสุดที่ 797 จุด หรือปรับลดลงถึง 12.1% ก่อนดีดตัวขึ้นมายืนแกว่งตัวบริเวณ 820 จุดในวันนี้ และสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับฐานลงเช่นกัน โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ ของสหรัฐ ปรับลดลง 8% ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับลดลง 24% ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต กระดาน-เอ ทรุดตัวลง 16%
ดัชนีสเตรทไทมส์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปรับลดลง 13% และดัชนีนิคเคอิ ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับลดลง 11%
ล่าสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) ได้ออกงานวิจัยเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุน ให้ความสนใจหุ้นที่เป็นกลุ่ม Domestic Play มากขึ้น โดยแนะนำหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, SCB, และ TISCO) กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (QH, LPN, PS และ ROJANA) รวมไปถึงกลุ่มพาณิชย์ (MAKRO) เพราะ Outperform ตลาดในระยะกลาง ถึงระยะยาว
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงรุนแรง ในรอบเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อย่างกลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP, BANPU, TOP, UMS) กลุ่มปิโตรเคมี (PTTCH) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (TSTH) น่าจะ Outperform ตลาดได้ในระยะสั้น เช่นกัน
ขณะที่เมื่อพิจารณาในเชิงพื้นฐานแล้ว ธุรกิจยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง สำหรับกลุ่ม
อิเล็กทรอนิกส์ (CCET, DELTA) ยังจะเป็นกลุ่มหุ้นที่มี Downside Risk ต่ำเนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงระดับ 6 - 7% ขณะที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโต 20% ปีนี้ และ 7% ปีหน้า แถมยังมีความเป็นไปได้สูงที่ผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้ จะออกมาดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามามากที่สุดของปี
ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ (FES) แนะนำการลงทุนในระยะกลาง และระยะยาว โดยให้ selective buy หุ้นแนะนำ ได้แก่ LH, AP, QH, LPN, CCET, HANA, SVI, EGCO,ROJANA, AMATA, MINT, ERAWAN, OISHI, BEC, MCOT, HMPRO, CPALL, PTTEP, PTTCH, TOP, BBL, SCB, KBANK, BAY, PHATRA, ITD, STEC, CPN, SAT, ADVANC และ TRUE เพราะระดับราคาน่าสนใจ เมื่อเทียบกับแนวโน้มการทำกำไร
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, November 28, 2007
ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub-prime) การปรับประมาณการรายได้ และกำไรของบริษัทหลายๆ บริษัทในสหรัฐ หลังประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3 และ ตัวเลขเศรษฐกิจหลาย ๆ ตัวที่บ่งชี้ให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก (โดยเฉพาะหุ้น) รวมไปถึงหุ้นไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยง และโยกเงินลงทุนเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือ พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอัตราผล
ตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐ ได้ปรับลดลงจากระดับ 4.4% มาสู่ระดับ 4.0% ภายในไม่กี่สัปดาห์
ทั้งนี้ การขายหุ้นอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นเดือน จนทะลุ 4.0 หมื่นล้านบาท ในวันนี้ ก็มีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปรับฐานลงมาจากระดับ 907 จุด มาทำจุดต่ำสุดที่ 797 จุด หรือปรับลดลงถึง 12.1% ก่อนดีดตัวขึ้นมายืนแกว่งตัวบริเวณ 820 จุดในวันนี้ และสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับฐานลงเช่นกัน โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ ของสหรัฐ ปรับลดลง 8% ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับลดลง 24% ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต กระดาน-เอ ทรุดตัวลง 16%
ดัชนีสเตรทไทมส์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปรับลดลง 13% และดัชนีนิคเคอิ ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับลดลง 11%
ล่าสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) ได้ออกงานวิจัยเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุน ให้ความสนใจหุ้นที่เป็นกลุ่ม Domestic Play มากขึ้น โดยแนะนำหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, SCB, และ TISCO) กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (QH, LPN, PS และ ROJANA) รวมไปถึงกลุ่มพาณิชย์ (MAKRO) เพราะ Outperform ตลาดในระยะกลาง ถึงระยะยาว
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงรุนแรง ในรอบเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อย่างกลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP, BANPU, TOP, UMS) กลุ่มปิโตรเคมี (PTTCH) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (TSTH) น่าจะ Outperform ตลาดได้ในระยะสั้น เช่นกัน
ขณะที่เมื่อพิจารณาในเชิงพื้นฐานแล้ว ธุรกิจยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง สำหรับกลุ่ม
อิเล็กทรอนิกส์ (CCET, DELTA) ยังจะเป็นกลุ่มหุ้นที่มี Downside Risk ต่ำเนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงระดับ 6 - 7% ขณะที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโต 20% ปีนี้ และ 7% ปีหน้า แถมยังมีความเป็นไปได้สูงที่ผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้ จะออกมาดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามามากที่สุดของปี
ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ (FES) แนะนำการลงทุนในระยะกลาง และระยะยาว โดยให้ selective buy หุ้นแนะนำ ได้แก่ LH, AP, QH, LPN, CCET, HANA, SVI, EGCO,ROJANA, AMATA, MINT, ERAWAN, OISHI, BEC, MCOT, HMPRO, CPALL, PTTEP, PTTCH, TOP, BBL, SCB, KBANK, BAY, PHATRA, ITD, STEC, CPN, SAT, ADVANC และ TRUE เพราะระดับราคาน่าสนใจ เมื่อเทียบกับแนวโน้มการทำกำไร
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/11/07
โพสต์ที่ 492
ลุ้นดัชนีฯพุ่งแตะ 900 จุด [ ฉบับที่ 849 ประจำวันที่ 28-11-2007 ถึง 30-11-2007]
> แนะนักลงทุนเก็บหุ้นบลูชิพเข้าพอร์ต
นักวิเคราะห์คาดดัชนีตลาดหุ้นมีสิทธิแตะ 900 จุดหลังการเลือกตั้ง แถมมี DECEMBER EFFECT เป็นตัวช่วยหนุน เผยช่วงนี้ดัชนีฯ ไหลลงต่อเนื่องเกิดจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์ม รวมทั้งความเสียหายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากการเข้าลงทุนในสินเชื่อซับไพร์ม ส่งผลต้องขายหุ้นทำกำไรออกมา ระบุถือเป็นจังหวะดีในการเก็บหุ้นบลูชิพหลังราคารูดต่ำกว่าพื้นฐานเพียบ ทั้งมั่นใจมีรีบาวด์ 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง หลังต่างชาติเทขายจนได้ที่ก่อนหันกลับเข้าซื้อรอบใหม่
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า คาดการณ์ ดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปถึง 900 จุด ในช่วงหลังการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้ หรืออาจจะคาบเกี่ยวไปถึงต้นปีหน้า เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคม จะมีเหตุการณ์ December Effect ขณะเดียวกัน เชื่อนักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะจะได้รัฐบาลชุด ใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งน่าจะมีความคล่องตัวในการบริหารเศรษฐกิจมากกว่ารัฐบาลชั่วคราว ทำให้น่ามีแรงซื้อเข้ามา
นอกจากนี้ จากสถิติของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ได้เก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นประมาณ 5-6 รอบ ในแต่ละรอบจะขายสุทธิประมาณ 2.6-5.5 หมื่น ล้านบาท และจะมีระยะเวลาต่อ เนื่องประมาณ 1-2 เดือน ดังนั้น จึงเชื่อว่าการขายหุ้นของนักลง ทุนต่างชาติใน 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงน่าจะใกล้ครบรอบการขายหุ้นแล้วก่อนที่จะกลับเข้ามาซื้อใหม่ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง
เดือนธันวาคมจะมีทั้ง December Effect และมีประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง หุ้นจึงน่าจะปรับตัวขึ้นมาได้ก่อนกลางเดือน ธันวาคม เพราะตอนนั้นฝรั่งคงขายจนสุกงอมแล้ว น่าจะเป็นจังหวะที่กลับเข้ามาซื้อ และอาจ จะทำให้ดัชนีฯ มีลุ้นที่ 900 จุด นายสมบัติ กล่าว
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลด ลงมากในช่วงนี้นั้น นายสมบัติ กล่าวว่า มีสาเหตุ หลักเกิดจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยว กับปัญหาซับไพร์ม และความเสียหายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากการเข้าลงทุนในสินเชื่อซับไพร์ม ซึ่งเสียหายมากกว่าที่คาดไว้ จึงนำมาสู่การขายทำกำไรของนัก ลงทุนในหลายตลาด ไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยการเมืองแทบจะไม่มีผลกดดันดัชนีฯ เลย
ตัวแปรส่วนใหญ่คือเรื่องซับไพร์ม อีก 5% เป็นเรื่อง PTT ที่ศาลปกครองจะพิจารณานัดแรก 30 พฤศจิกายนนี้ ส่วนการเมืองไม่แน่ใจว่านักลงทุนต่างชาติจะให้น้ำหนักเป็นลบ เพราะ หลังเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหนได้เป็นรัฐบาล การทำงานย่อมคล่องตัวกว่ารัฐบาลชั่วคราว และเชื่อ ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะกระเตื้อง จีดีพีจะโตมากกว่าปีนี้แน่นอน นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสมที่นักลงทุนควรจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น เพราะจากการประเมินของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน พบว่าหุ้นบลูชิพมีราคาปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานประมาณ 15-20% แล้ว ซึ่งนอกจากราคาจะต่ำกว่ามูลค่าแล้ว หุ้นบลูชิพหลายตัวล้วนมีอัตราผลตอบแทนเงิน ปันผลดี และ P/E ต่ำ
ในช่วงเดือนนี้ก็เป็นจังหวะที่จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นบลูชิพ เพราะมีหลายตัวที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและยังมีการจ่ายปันผลในระดับที่ดี นายสมบัติ กล่าว
ด้าน ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ประเด็นที่กดดันให้ตลาดหุ้นลงแรง มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ขณะ ที่ปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นเพียงส่วนประกอบและเชื่อว่าที่นักลงทุนต่างชาติยังคงกังวล คือความมีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ใช่ความกังวลที่เกิดจากการเลือกตั้งว่ากลุ่มอำนาจ เก่าหรือกลุ่มอำนาจใหม่จะได้เป็นรัฐบาล
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9186
> แนะนักลงทุนเก็บหุ้นบลูชิพเข้าพอร์ต
นักวิเคราะห์คาดดัชนีตลาดหุ้นมีสิทธิแตะ 900 จุดหลังการเลือกตั้ง แถมมี DECEMBER EFFECT เป็นตัวช่วยหนุน เผยช่วงนี้ดัชนีฯ ไหลลงต่อเนื่องเกิดจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์ม รวมทั้งความเสียหายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากการเข้าลงทุนในสินเชื่อซับไพร์ม ส่งผลต้องขายหุ้นทำกำไรออกมา ระบุถือเป็นจังหวะดีในการเก็บหุ้นบลูชิพหลังราคารูดต่ำกว่าพื้นฐานเพียบ ทั้งมั่นใจมีรีบาวด์ 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง หลังต่างชาติเทขายจนได้ที่ก่อนหันกลับเข้าซื้อรอบใหม่
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า คาดการณ์ ดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปถึง 900 จุด ในช่วงหลังการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้ หรืออาจจะคาบเกี่ยวไปถึงต้นปีหน้า เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคม จะมีเหตุการณ์ December Effect ขณะเดียวกัน เชื่อนักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะจะได้รัฐบาลชุด ใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งน่าจะมีความคล่องตัวในการบริหารเศรษฐกิจมากกว่ารัฐบาลชั่วคราว ทำให้น่ามีแรงซื้อเข้ามา
นอกจากนี้ จากสถิติของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ได้เก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นประมาณ 5-6 รอบ ในแต่ละรอบจะขายสุทธิประมาณ 2.6-5.5 หมื่น ล้านบาท และจะมีระยะเวลาต่อ เนื่องประมาณ 1-2 เดือน ดังนั้น จึงเชื่อว่าการขายหุ้นของนักลง ทุนต่างชาติใน 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงน่าจะใกล้ครบรอบการขายหุ้นแล้วก่อนที่จะกลับเข้ามาซื้อใหม่ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง
เดือนธันวาคมจะมีทั้ง December Effect และมีประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง หุ้นจึงน่าจะปรับตัวขึ้นมาได้ก่อนกลางเดือน ธันวาคม เพราะตอนนั้นฝรั่งคงขายจนสุกงอมแล้ว น่าจะเป็นจังหวะที่กลับเข้ามาซื้อ และอาจ จะทำให้ดัชนีฯ มีลุ้นที่ 900 จุด นายสมบัติ กล่าว
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลด ลงมากในช่วงนี้นั้น นายสมบัติ กล่าวว่า มีสาเหตุ หลักเกิดจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยว กับปัญหาซับไพร์ม และความเสียหายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากการเข้าลงทุนในสินเชื่อซับไพร์ม ซึ่งเสียหายมากกว่าที่คาดไว้ จึงนำมาสู่การขายทำกำไรของนัก ลงทุนในหลายตลาด ไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยการเมืองแทบจะไม่มีผลกดดันดัชนีฯ เลย
ตัวแปรส่วนใหญ่คือเรื่องซับไพร์ม อีก 5% เป็นเรื่อง PTT ที่ศาลปกครองจะพิจารณานัดแรก 30 พฤศจิกายนนี้ ส่วนการเมืองไม่แน่ใจว่านักลงทุนต่างชาติจะให้น้ำหนักเป็นลบ เพราะ หลังเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหนได้เป็นรัฐบาล การทำงานย่อมคล่องตัวกว่ารัฐบาลชั่วคราว และเชื่อ ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะกระเตื้อง จีดีพีจะโตมากกว่าปีนี้แน่นอน นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสมที่นักลงทุนควรจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น เพราะจากการประเมินของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน พบว่าหุ้นบลูชิพมีราคาปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานประมาณ 15-20% แล้ว ซึ่งนอกจากราคาจะต่ำกว่ามูลค่าแล้ว หุ้นบลูชิพหลายตัวล้วนมีอัตราผลตอบแทนเงิน ปันผลดี และ P/E ต่ำ
ในช่วงเดือนนี้ก็เป็นจังหวะที่จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นบลูชิพ เพราะมีหลายตัวที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและยังมีการจ่ายปันผลในระดับที่ดี นายสมบัติ กล่าว
ด้าน ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ประเด็นที่กดดันให้ตลาดหุ้นลงแรง มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ขณะ ที่ปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นเพียงส่วนประกอบและเชื่อว่าที่นักลงทุนต่างชาติยังคงกังวล คือความมีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ใช่ความกังวลที่เกิดจากการเลือกตั้งว่ากลุ่มอำนาจ เก่าหรือกลุ่มอำนาจใหม่จะได้เป็นรัฐบาล
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9186
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 493
การค้าไทย-ไต้หวันปี 2550 ส่งออกชะลอตัว...แข่งขันสูงจากจีน
29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 10:54:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การค้าไทย-ไต้หวัน
มูลค่าการค้าไทย -ไต้หวันในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าไทยไปไต้หวันขยายตัวร้อยละ 1.04 ในปี 2547 ร้อยละ 4.35 ในปี 2548 และขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.67 ในปี 2549 โดยตลาดไต้หวันเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยอันดับ 9 ในปี 2549 ในทางกลับกันด้านการนำเข้าของไทยจากไต้หวันขยายตัวในอัตราลดลงจากร้อยละ 24.06 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 13.61 ในปี 2548 และร้อยละ 13.22 ในปี 2549
การค้าระหว่างไทยกับไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มูลค่าการค้ารวมของไทยกับไต้หวัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.93 มีมูลค่าการค้าทั้งสิ้น 6.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 6.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ด้านการส่งออกอยู่ในเกณฑ์น่าวิตก
เนื่องจากมูลค่าส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ชะลอตัวลง ในอัตราร้อยละ 0.08 โดยยอดส่งออกไทยไปไต้หวันมีจำนวน 2.556 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีอัตราขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.24 มูลค่า 2.558 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ตลาดส่งออกสินค้าไทยไปไต้หวัน ลดอันดับลงจากเดิม อันดับ 8 เป็นอันดับ 12
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ดีส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำพวก เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยางพารา และอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักร เครื่องพักกระแสไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์พลาสติก อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกบางรายการขยายตัวลดลง อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เคมีภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันสำเร็จรูป กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบน้ำตาลทราย และ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้าส่งออกประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยไปไต้หวันลดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ในอัตราร้อยละ 51.46 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 155.49 เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี2550 อุปสงค์ในตลาดไต้หวันของสินค้านำเข้าจำพวกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบได้ลดลง โดยตัวเลขจากทางการไต้หวันเปิดเผยว่า การนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวของไต้หวันได้ลดลงร้อยละ 0.40
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้าส่งออกประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบของไทยไปยังจีนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 58.44 จากเดิมที่ลดลงเกือบร้อยละ 6 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของการส่งออกไปยังจีนตรงข้ามกับไต้หวันนั้นส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงสาเหตุการโยกย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการไต้หวันจากไทยไปยังจีนซึ่งทำให้เกิดการโยกย้ายคำสั่งซื้อไปยังจีนแทนที่แต่เดิมไปยังไต้หวัน
ในขณะเดียวกันสินค้าส่งออกไทยไปไต้หวันประเภทเคมีภัณฑ์ลดลงในอัตราร้อยละ 17.6 จากระยะเดียวกันของปี 2549 ในขณะเดียวกันเป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้าเคมีภัณฑ์ของไทยไปจีนชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 30 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 จากที่เคยขยายตัวสูงถึงร้อยละ 116.52 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมทั้งจากการช่วงชิงตลาดส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปไต้หวันจากจีน เนื่องจากจีนมีต้นทุนการผลิตสินค้าที่ต่ำกว่าไทย ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการไต้หวันจึงหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนแทนการนำเข้าสินค้าไทย ทำให้สินค้าส่งออกประเภทดังกล่าวจากจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าส่งออกไทยไปไต้หวันลดลง
ส่วนการนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ไต้หวันยังคงเป็นแหล่งนำเข้าของไทยที่สำคัญ โดยขยายตัวลดลงในอัตราร้อยละ 11.59 มูลค่า 4.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่า 3.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการชะลอตัวของการนำเข้าดังกล่าว สอดคล้องกับภาวะการชะลอตัวของการลงทุนในประเทศ
ทั้งนี้ไทยยังคงขาดดุลการค้ากับไต้หวันต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา
ด้านสินค้านำเข้าของไทยจากไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้แก่ สินค้าประเภทเคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์โลหะ ด้ายและเส้นใย สื่อบันทึกข้อมูล ภาพ เสียง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด และ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ขณะที่สินค้านำเข้าของไทยจากไต้หวันที่มีมูลค่าลดลงได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผ้าผืน สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แปรรูปและกึ่งแปรรูป วงจรพิมพ์ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ดและเครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์
เป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้านำเข้าหลัก 3 รายการ ของไทยจากไต้หวันที่ชะลอตัวลงได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และผ้าผืน โดยชะลอตัวลงในอัตราร้อยละ 7.95, 18.61 และ 6.68 ตามลำดับ ทั้งนี้การชะลอตัวลงของสินค้านำเข้าไทยจากไต้หวัน สอดคล้องกับภาวะการชะลอตัวของการลงทุนในประเทศโดยมีสาเหตุมาจากความไม่สงบภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนไต้หวัน อีกทั้งการบริโภคของภาคเอกชนปรับตัวลดลง จึงทำให้ภาวะการลงทุนภายในประเทศย่ำแย่
ทั้งนี้ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI รายงานว่า การลงทุนจากไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยจากไต้หวันเป็นจำนวนรวม 27 โครงการ โดยลดลงร้อยละ 15.6 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากตัวเลขรายงานพบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 การลงทุนในไทยจากไต้หวันในกลุ่มอุตสาหกรรมจักรกลและสิ่งทอ ขยายตัวลดลงสูงถึงร้อยละ 76.40 และ 84.03 ตามลำดับ ขณะที่การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8
จีน...คู่ค้าอันดับหนึ่งของไต้หวัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าในปัจจุบันจีนยังคงครองอันดับคู่ค้าสำคัญในอันดับ 1 ของไต้หวัน โดยการค้าจีน-ไต้หวันมียอดการค้าเป็นมูลค่า 53.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2547 มูลค่า 63.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2548 มูลค่า 76.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2549 โดยมีการขยายเติบโตทางการค้าสูงอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ15.13 , 16.72 และ 17.94 ตามลำดับ ส่วนในช่วง ม.ค-ก.ย ของปี 2550 การค้าจีน-ไต้หวันมีมูลค่ากว่า 64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 18.94 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไทยมีมูลค่าการค้ากับไต้หวันเพียง 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตในอัตราเกือบร้อยละ 2 ส่งออกขยายตัวเพียงร้อยละ 2.18 และนำเข้าสูงขึ้นเพียงร้อยละ 1.7 เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบมูลค่าการค้า ระหว่างจีน-ไต้หวันและระหว่างไทย-ไต้หวันแล้วจะเห็นได้ว่ามูลค่าการค้าจีน-ไต้หวันสูงกว่าการค้าไทย-ไต้หวันเกือบ 10 เท่า
นอกจากนี้อัตราการขยายตัวด้านส่งออก นำเข้า จีน-ไต้หวันยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยส่งออกจากจีนไปไต้หวันมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 19.93 ในปี 2547 ร้อยละ 22 ในปี 2548 และร้อยละ 23.12 ในปี 2549 ด้านการนำเข้าสินค้าไต้หวันจากจีนขยายตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2547 ถึง 2549 มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในอัตราร้อยละ 9.95, 11 และ 12.22 ตามลำดับ ในช่วง ม.ค-ก.ย ของปี 2550 ส่งออกจีนไปไต้หวันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24.57 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่วนนำเข้าสินค้าไต้หวันจากจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 13
การแข่งขันสูงในกลุ่มสินค้าส่งออกที่น่าจับตามอง: ไทย VS จีน จากตัวเลขการนำเข้าของไต้หวัน
นอกเหนือจากการชะลอตัวของสินค้าส่งออกของไทยในรายการหลักๆ อย่างเช่น คอมพิวเตอร์และเคมีภัณฑ์แล้ว จากการเปรียบเทียบสถิติสินค้านำเข้าของไต้หวันระหว่างไทย VS จีนในตลาดไต้หวัน พบว่า โครงสร้างสินค้าส่งออกบางประเภทของไทยไปไต้หวันได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างน่าวิตก อันเนื่องมาจากการแข่งขันอย่างดุเดือดจากจีน จากตัวเลขสินค้าส่งออกของสองประเทศไปไต้หวันชี้ให้เห็นว่า ไต้หวันได้เพิ่มการนำเข้าสินค้าสองประเภทที่สำคัญจากจีนได้แก่ สินค้าจำพวกเครื่องจักรกล เครื่องใช้กล เครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์อินทรีย์
ทั้งนี้ก่อนการส่งออกสินค้าประเภทเครื่องจักรกล เครื่องใช้กล เครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยไปไต้หวันจะลดลงในปี 2549-2550 นั้น แต่เดิมรายการดังกล่าวเคยมีส่วนแบ่งในปี 2548 สูงถึงร้อยละ 2 ของสินค้าส่งออกไทยทั้งหมดไปไต้หวัน ทั้งนี้มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามสินค้าประเภทดังกล่าวได้เริ่มลดตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ในอัตราเกือบร้อยละ 20 จากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 2.71 ในปี 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปไต้หวันจากจีนซึ่งพบว่า ในปี 2549 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.64 ต่อมาในปี 2550(ม.ค-ก.ย) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักในอัตราร้อยละ 16.33
นอกจากนี้สินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์อินทรีย์ของไทยไปไต้หวันยังพบว่า ก่อนการส่งออกเคมีภัณฑ์อินทรีย์ของไทยไปไต้หวันจะลดลงในปี 2549-2550 นั้น แต่เดิมรายการดังกล่าวเคยมีส่วนแบ่งในปี 2548 สูงถึงร้อยละ 8 ของสินค้าส่งออกไทยทั้งหมดไปไต้หวัน มีมูลค่าประมาณ 46.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้าประเภทดังกล่าวจากไทยไปไต้หวันกลับหดตัวลงร้อยละ 30 ในปี 2549 อีกทั้งการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทยไปไต้หวันในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ได้ชะลอตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 43 ในทางกลับกันการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของจีนไปไต้หวันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37.09 ในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ซึ่งขยายตัวสูงกว่าทั้งปี 2549 ที่มีการขยายตัวร้อยละ 31.44
ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=206903
29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 10:54:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การค้าไทย-ไต้หวัน
มูลค่าการค้าไทย -ไต้หวันในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าไทยไปไต้หวันขยายตัวร้อยละ 1.04 ในปี 2547 ร้อยละ 4.35 ในปี 2548 และขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.67 ในปี 2549 โดยตลาดไต้หวันเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยอันดับ 9 ในปี 2549 ในทางกลับกันด้านการนำเข้าของไทยจากไต้หวันขยายตัวในอัตราลดลงจากร้อยละ 24.06 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 13.61 ในปี 2548 และร้อยละ 13.22 ในปี 2549
การค้าระหว่างไทยกับไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มูลค่าการค้ารวมของไทยกับไต้หวัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.93 มีมูลค่าการค้าทั้งสิ้น 6.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 6.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ด้านการส่งออกอยู่ในเกณฑ์น่าวิตก
เนื่องจากมูลค่าส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ชะลอตัวลง ในอัตราร้อยละ 0.08 โดยยอดส่งออกไทยไปไต้หวันมีจำนวน 2.556 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีอัตราขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.24 มูลค่า 2.558 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ตลาดส่งออกสินค้าไทยไปไต้หวัน ลดอันดับลงจากเดิม อันดับ 8 เป็นอันดับ 12
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ดีส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำพวก เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยางพารา และอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักร เครื่องพักกระแสไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์พลาสติก อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกบางรายการขยายตัวลดลง อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เคมีภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันสำเร็จรูป กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบน้ำตาลทราย และ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้าส่งออกประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยไปไต้หวันลดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ในอัตราร้อยละ 51.46 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 155.49 เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี2550 อุปสงค์ในตลาดไต้หวันของสินค้านำเข้าจำพวกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบได้ลดลง โดยตัวเลขจากทางการไต้หวันเปิดเผยว่า การนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวของไต้หวันได้ลดลงร้อยละ 0.40
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้าส่งออกประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบของไทยไปยังจีนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 58.44 จากเดิมที่ลดลงเกือบร้อยละ 6 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของการส่งออกไปยังจีนตรงข้ามกับไต้หวันนั้นส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงสาเหตุการโยกย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการไต้หวันจากไทยไปยังจีนซึ่งทำให้เกิดการโยกย้ายคำสั่งซื้อไปยังจีนแทนที่แต่เดิมไปยังไต้หวัน
ในขณะเดียวกันสินค้าส่งออกไทยไปไต้หวันประเภทเคมีภัณฑ์ลดลงในอัตราร้อยละ 17.6 จากระยะเดียวกันของปี 2549 ในขณะเดียวกันเป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้าเคมีภัณฑ์ของไทยไปจีนชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 30 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 จากที่เคยขยายตัวสูงถึงร้อยละ 116.52 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมทั้งจากการช่วงชิงตลาดส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปไต้หวันจากจีน เนื่องจากจีนมีต้นทุนการผลิตสินค้าที่ต่ำกว่าไทย ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการไต้หวันจึงหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนแทนการนำเข้าสินค้าไทย ทำให้สินค้าส่งออกประเภทดังกล่าวจากจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าส่งออกไทยไปไต้หวันลดลง
ส่วนการนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ไต้หวันยังคงเป็นแหล่งนำเข้าของไทยที่สำคัญ โดยขยายตัวลดลงในอัตราร้อยละ 11.59 มูลค่า 4.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่า 3.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการชะลอตัวของการนำเข้าดังกล่าว สอดคล้องกับภาวะการชะลอตัวของการลงทุนในประเทศ
ทั้งนี้ไทยยังคงขาดดุลการค้ากับไต้หวันต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา
ด้านสินค้านำเข้าของไทยจากไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้แก่ สินค้าประเภทเคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์โลหะ ด้ายและเส้นใย สื่อบันทึกข้อมูล ภาพ เสียง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด และ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ขณะที่สินค้านำเข้าของไทยจากไต้หวันที่มีมูลค่าลดลงได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผ้าผืน สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แปรรูปและกึ่งแปรรูป วงจรพิมพ์ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ดและเครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์
เป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้านำเข้าหลัก 3 รายการ ของไทยจากไต้หวันที่ชะลอตัวลงได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และผ้าผืน โดยชะลอตัวลงในอัตราร้อยละ 7.95, 18.61 และ 6.68 ตามลำดับ ทั้งนี้การชะลอตัวลงของสินค้านำเข้าไทยจากไต้หวัน สอดคล้องกับภาวะการชะลอตัวของการลงทุนในประเทศโดยมีสาเหตุมาจากความไม่สงบภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนไต้หวัน อีกทั้งการบริโภคของภาคเอกชนปรับตัวลดลง จึงทำให้ภาวะการลงทุนภายในประเทศย่ำแย่
ทั้งนี้ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI รายงานว่า การลงทุนจากไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยจากไต้หวันเป็นจำนวนรวม 27 โครงการ โดยลดลงร้อยละ 15.6 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากตัวเลขรายงานพบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 การลงทุนในไทยจากไต้หวันในกลุ่มอุตสาหกรรมจักรกลและสิ่งทอ ขยายตัวลดลงสูงถึงร้อยละ 76.40 และ 84.03 ตามลำดับ ขณะที่การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8
จีน...คู่ค้าอันดับหนึ่งของไต้หวัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าในปัจจุบันจีนยังคงครองอันดับคู่ค้าสำคัญในอันดับ 1 ของไต้หวัน โดยการค้าจีน-ไต้หวันมียอดการค้าเป็นมูลค่า 53.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2547 มูลค่า 63.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2548 มูลค่า 76.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2549 โดยมีการขยายเติบโตทางการค้าสูงอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ15.13 , 16.72 และ 17.94 ตามลำดับ ส่วนในช่วง ม.ค-ก.ย ของปี 2550 การค้าจีน-ไต้หวันมีมูลค่ากว่า 64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 18.94 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไทยมีมูลค่าการค้ากับไต้หวันเพียง 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตในอัตราเกือบร้อยละ 2 ส่งออกขยายตัวเพียงร้อยละ 2.18 และนำเข้าสูงขึ้นเพียงร้อยละ 1.7 เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบมูลค่าการค้า ระหว่างจีน-ไต้หวันและระหว่างไทย-ไต้หวันแล้วจะเห็นได้ว่ามูลค่าการค้าจีน-ไต้หวันสูงกว่าการค้าไทย-ไต้หวันเกือบ 10 เท่า
นอกจากนี้อัตราการขยายตัวด้านส่งออก นำเข้า จีน-ไต้หวันยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยส่งออกจากจีนไปไต้หวันมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 19.93 ในปี 2547 ร้อยละ 22 ในปี 2548 และร้อยละ 23.12 ในปี 2549 ด้านการนำเข้าสินค้าไต้หวันจากจีนขยายตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2547 ถึง 2549 มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในอัตราร้อยละ 9.95, 11 และ 12.22 ตามลำดับ ในช่วง ม.ค-ก.ย ของปี 2550 ส่งออกจีนไปไต้หวันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24.57 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่วนนำเข้าสินค้าไต้หวันจากจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 13
การแข่งขันสูงในกลุ่มสินค้าส่งออกที่น่าจับตามอง: ไทย VS จีน จากตัวเลขการนำเข้าของไต้หวัน
นอกเหนือจากการชะลอตัวของสินค้าส่งออกของไทยในรายการหลักๆ อย่างเช่น คอมพิวเตอร์และเคมีภัณฑ์แล้ว จากการเปรียบเทียบสถิติสินค้านำเข้าของไต้หวันระหว่างไทย VS จีนในตลาดไต้หวัน พบว่า โครงสร้างสินค้าส่งออกบางประเภทของไทยไปไต้หวันได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างน่าวิตก อันเนื่องมาจากการแข่งขันอย่างดุเดือดจากจีน จากตัวเลขสินค้าส่งออกของสองประเทศไปไต้หวันชี้ให้เห็นว่า ไต้หวันได้เพิ่มการนำเข้าสินค้าสองประเภทที่สำคัญจากจีนได้แก่ สินค้าจำพวกเครื่องจักรกล เครื่องใช้กล เครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์อินทรีย์
ทั้งนี้ก่อนการส่งออกสินค้าประเภทเครื่องจักรกล เครื่องใช้กล เครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยไปไต้หวันจะลดลงในปี 2549-2550 นั้น แต่เดิมรายการดังกล่าวเคยมีส่วนแบ่งในปี 2548 สูงถึงร้อยละ 2 ของสินค้าส่งออกไทยทั้งหมดไปไต้หวัน ทั้งนี้มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามสินค้าประเภทดังกล่าวได้เริ่มลดตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ในอัตราเกือบร้อยละ 20 จากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 2.71 ในปี 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปไต้หวันจากจีนซึ่งพบว่า ในปี 2549 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.64 ต่อมาในปี 2550(ม.ค-ก.ย) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักในอัตราร้อยละ 16.33
นอกจากนี้สินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์อินทรีย์ของไทยไปไต้หวันยังพบว่า ก่อนการส่งออกเคมีภัณฑ์อินทรีย์ของไทยไปไต้หวันจะลดลงในปี 2549-2550 นั้น แต่เดิมรายการดังกล่าวเคยมีส่วนแบ่งในปี 2548 สูงถึงร้อยละ 8 ของสินค้าส่งออกไทยทั้งหมดไปไต้หวัน มีมูลค่าประมาณ 46.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้าประเภทดังกล่าวจากไทยไปไต้หวันกลับหดตัวลงร้อยละ 30 ในปี 2549 อีกทั้งการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทยไปไต้หวันในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ได้ชะลอตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 43 ในทางกลับกันการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของจีนไปไต้หวันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37.09 ในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ซึ่งขยายตัวสูงกว่าทั้งปี 2549 ที่มีการขยายตัวร้อยละ 31.44
ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=206903
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/11/07
โพสต์ที่ 494
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจเผย* ศก.ปีนี้ขยายตัว 4.2%* ชี้ภาคใต้โตต่ำสุด โดย กระแสหุ้น
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยเศรษฐกิจไทย ภาคใต้โตต่ำสุด เชื่อภาพรวมฟื้นตัวครึ่งแรกปีหน้า พร้อมประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 4.2% และเพิ่มเป็น 4.6% ในปี 51 คาดหวังหลังเลือกตั้งเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นทั้งการลงทุนและบริโภค จะเห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 2 แต่ยังห่วงราคาน้ำมัน ขณะที่เงินบาทอาจแข็งค่าถึง 31 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับสำนักงานการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง และคลังจังหวัด รายงานผลสำรวจสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาส 3 ที่ยังคงมีสัญญาณชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ และเริ่มมีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีปัจจัยลบที่บั่นทอนภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งระดับราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ภาวะค่าครองชีพที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนหลังการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หากพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจรายภูมิภาค ก็จะพบว่าเศรษฐกิจภาคใต้มีอัตราเติบโตต่ำที่สุด เพียงร้อยละ 3.3 ที่มีปัญหาจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เกิดผลกระทบกับการท่องเที่ยวในภาคใต้ตอนล่าง
ขณะที่ภาคกลาง มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงสุดที่ร้อยละ 5.1 โดยคาดว่าระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ จะอยู่ที่ร้อยละ 4.2 และน่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.6 ในปีหน้า ทั้งนี้ หากหลังการเลือกตั้ง สถานการณ์การเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจนในปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ของปีหน้า
สำหรับผลสำรวจทัศนคติต่อการเลือกตั้งของประชาชน พบว่าปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเลือก ส.ส. ส่วนใหญ่จะพิจารณาจากนโยบายของแต่ละพรรค ร้อยละ 44.6 เลือกจากหัวหน้าพรรค ร้อยละ 31.5 และเลือกจากผู้สมัคร ร้อยละ 22.9 ส่วนคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการ คือ ซื่อสัตย์ กล้าตัดสินใจ เข้าใจภาคธุรกิจ และมีความเป็นเอกภาพ ตามลำดับ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ยังซึมต่อเนื่อง ขยายตัวร้อยละ 4 โดยทุกภูมิภาคซึมตัวลง ขณะที่ไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจจะดีขึ้น เนื่องจากทุกจังหวัดจะมีการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ประกอบกับในวันที่ 23 ธ.ค. จะมีการเลือกตั้ง มีการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่จังหวัดนครราชสีมา และเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีเงินสะพัดด้านการท่องเที่ยว คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 ขยายตัวร้อยละ 4.3 และทั้งปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 4.2 โดยภาคกลางมีการขยายตัวสูงที่สุดที่ร้อยละ 5.12 ส่วนภาคใต้เติบโตน้อยที่สุดที่ร้อยละ 3.34
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ประมาณการว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.6 โดยมีปัจจัยบวกคือ การมีรัฐบาลชุดใหม่ น่าจะส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชนกลับมามีความชัดเจนอีกครั้ง และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐก็น่าจะดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยประชาชนในทุกภาคเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งในไตรมาส 1 ปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัว แต่จะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาสที่ 2 ภายใต้การเมืองที่มีเสถียรภาพ
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจในปี 2551 คือปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นทุนพลังงาน เพิ่มขึ้นถึง 50,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลค่าครองชีพปรับตัวขึ้นตาม ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งคาดว่าปี 2551 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และอาจจะแข็งค่าถึง 31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวลง รวมทั้งผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ (ซับไพร์ม)
นอกจากนี้ นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า หากพิจารณาภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นรายภาค จะพบว่าเศรษฐกิจภาคใต้ในปี 2551 ขยายตัวต่ำที่สุด ร้อยละ 3.58 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับ ผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน ส่วนภาคกลางขยายตัวสูงที่สุดร้อยละ 5.08 เนื่องจากได้ผลประโยชน์จากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี และราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์ดี
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยเศรษฐกิจไทย ภาคใต้โตต่ำสุด เชื่อภาพรวมฟื้นตัวครึ่งแรกปีหน้า พร้อมประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 4.2% และเพิ่มเป็น 4.6% ในปี 51 คาดหวังหลังเลือกตั้งเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นทั้งการลงทุนและบริโภค จะเห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 2 แต่ยังห่วงราคาน้ำมัน ขณะที่เงินบาทอาจแข็งค่าถึง 31 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับสำนักงานการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง และคลังจังหวัด รายงานผลสำรวจสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาส 3 ที่ยังคงมีสัญญาณชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ และเริ่มมีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีปัจจัยลบที่บั่นทอนภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งระดับราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ภาวะค่าครองชีพที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนหลังการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หากพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจรายภูมิภาค ก็จะพบว่าเศรษฐกิจภาคใต้มีอัตราเติบโตต่ำที่สุด เพียงร้อยละ 3.3 ที่มีปัญหาจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เกิดผลกระทบกับการท่องเที่ยวในภาคใต้ตอนล่าง
ขณะที่ภาคกลาง มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงสุดที่ร้อยละ 5.1 โดยคาดว่าระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ จะอยู่ที่ร้อยละ 4.2 และน่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.6 ในปีหน้า ทั้งนี้ หากหลังการเลือกตั้ง สถานการณ์การเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจนในปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ของปีหน้า
สำหรับผลสำรวจทัศนคติต่อการเลือกตั้งของประชาชน พบว่าปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเลือก ส.ส. ส่วนใหญ่จะพิจารณาจากนโยบายของแต่ละพรรค ร้อยละ 44.6 เลือกจากหัวหน้าพรรค ร้อยละ 31.5 และเลือกจากผู้สมัคร ร้อยละ 22.9 ส่วนคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการ คือ ซื่อสัตย์ กล้าตัดสินใจ เข้าใจภาคธุรกิจ และมีความเป็นเอกภาพ ตามลำดับ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ยังซึมต่อเนื่อง ขยายตัวร้อยละ 4 โดยทุกภูมิภาคซึมตัวลง ขณะที่ไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจจะดีขึ้น เนื่องจากทุกจังหวัดจะมีการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ประกอบกับในวันที่ 23 ธ.ค. จะมีการเลือกตั้ง มีการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่จังหวัดนครราชสีมา และเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีเงินสะพัดด้านการท่องเที่ยว คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 ขยายตัวร้อยละ 4.3 และทั้งปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 4.2 โดยภาคกลางมีการขยายตัวสูงที่สุดที่ร้อยละ 5.12 ส่วนภาคใต้เติบโตน้อยที่สุดที่ร้อยละ 3.34
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ประมาณการว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.6 โดยมีปัจจัยบวกคือ การมีรัฐบาลชุดใหม่ น่าจะส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชนกลับมามีความชัดเจนอีกครั้ง และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐก็น่าจะดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยประชาชนในทุกภาคเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งในไตรมาส 1 ปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัว แต่จะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาสที่ 2 ภายใต้การเมืองที่มีเสถียรภาพ
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจในปี 2551 คือปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นทุนพลังงาน เพิ่มขึ้นถึง 50,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลค่าครองชีพปรับตัวขึ้นตาม ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งคาดว่าปี 2551 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และอาจจะแข็งค่าถึง 31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวลง รวมทั้งผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ (ซับไพร์ม)
นอกจากนี้ นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า หากพิจารณาภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นรายภาค จะพบว่าเศรษฐกิจภาคใต้ในปี 2551 ขยายตัวต่ำที่สุด ร้อยละ 3.58 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับ ผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน ส่วนภาคกลางขยายตัวสูงที่สุดร้อยละ 5.08 เนื่องจากได้ผลประโยชน์จากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี และราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์ดี
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/11/07
โพสต์ที่ 495
ตลาดหุ้นไทยอยู่ในตำแหน่งซื้อ
30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 06:47:00
๐ แรงขายหุ้นของต่างชาติที่ลดลงตามลำดับ ถือว่าเป็นภาพที่ดีกับตลาดหุ้นไทย และคงกลับมาซื้อรอบใหม่ในไม่ช้า
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เนื่องจากมองว่าหลังจากนี้อย่างน้อยๆ ตลาดหุ้นไทยคงจะไปได้ต่อ เพราะเป็นตลาดเดียวที่ยังพอมีปัจจัยภายในให้เล่นหุ้นได้อีกสักพัก โดยเฉพาะการเลือกตั้ง แม้หลายฝ่ายจะให้ความเห็นว่าผลการเลือกตั้งที่จะออกมา เราจะได้รัฐบาลผสมที่ยังไม่มีอะไรที่จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับภาพเศรษฐกิจ จะมีอยู่บ้างคือนโยบายประชานิยม และโครงการก่อสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่หากมองในรูปของการลงทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยผ่านกองทุนขนาดใหญ่ ที่มีกฎระเบียบที่แน่นอน เกี่ยวกับเงื่อนไขการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ตรงนี้ก็จะมองได้ว่า เมื่อไทยมีการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบางกองทุน ก็น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป เพราะที่ผ่านมามีหลายกองทุน ที่ไม่สามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขว่าเรายังไม่เป็นประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ส่วนการตัดสินกรณีของ PTT ในวันนี้ เบื้องต้นศาลปกครองคงนัดฟังความคิดเห็นก่อน แล้วคงจะมาตัดสินในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ซึ่งกรณีที่เป็นไปได้มากคือ อาจแยกธุรกิจท่อส่งก๊าซออก แล้วมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยมี PTT เป็นผู้ถือหุ้น 100% ประเด็นตรงนี้จะส่งผลต่อ PTT คือเรื่องการจ่ายภาษีโอนสินทรัพย์ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หาก PTT รับภาระเองทั้งหมด จะกระทบต่อมูลค่าหุ้น PTT ไม่มาก
๐ ผลการสำรวจแนวโน้มตลาดหุ้นดาวโจนส์ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง พบว่าตัวเลขที่ให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงมีเพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวแลขที่บอกว่าจะเพิ่มขึ้นได้ลดลง ตรงนี้พอจะแสดงภาพเบื้องต้นได้ว่า ดัชนีดาวโจนส์ ยังต้องประสบกับปัญหาภายในต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่การปรับตัวลงของดัชนีดาวโจนส์จะมากหรือน้อยคงขึ้นกับเหตุการณ์ต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่ยังเชื่อว่าข่าวเรื่องการขาดทุนของสถาบันการเงินใหญ่ๆ ตลาดรับข่าวไปมากแล้ว อย่างกรณีของ Citygroup ที่ตอนนี้ทางกองทุน ADIA (Abu Dhabi Investment Authority) ได้อัดฉีดเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 4.9% ส่งผลให้ความกดดันเรื่องสถาบันการเงินในสหรัฐผ่อนคลายลงเรื่อยๆ นอกจากนั้นในการประชุม FOMC ในวันที่ 11 ธ.ค. ธนาคารกลางสหรัฐคงจะปรับดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ดูจาก Fed Fund Future ประจำเดือน ม.ค.2550 ซึ่งอยู่ที่ 4.25%
๐ ความเชื่อมโยงระหว่างดัชนีดาวโจนส์กับดัชนีตลาดหุ้นในเอเชีย (MSCI Asia Ex Japan) ที่ผ่านมา ต้องบอกว่ามีความเกี่ยวโยงกันสูงมาก กล่าวคือ เมื่อดัชนีดาวโจนส์ผันผวน ตลาดหุ้นในเอเชียมักจะตอบสนองตามเสมอ แต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามใช่ว่าตลาดหุ้นในเอเชียจะปรับตัวตามดาวโจนส์เสมอไป ในหลายๆ ครั้งก็มักจะทำปฏิกิริยาตรงข้ามเหมือนกัน คือไม่ไปตามดาวโจนส์ ซึ่งในจำนวนนี้มักจะเกิดเมื่อรู้ว่าตลาดดาวโจนส์ เริ่มไปไม่ไหว และต้องบอกว่าแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่การชะลอตัวใน Q4/50 ถึง Q1/51 แต่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชีย และอัตราการทำกำไรของตลาดหุ้นถือว่ายังดีมาก ซึ่งท้ายสุดแล้ว เม็ดเงินบางส่วนคงจะไหลกลับมาลงทุนในเอเชีย เพราะเป็นภูมิภาคเดียวที่พอจะยันไม่ให้เศรษฐกิจโลกและสหรัฐ ชะลอตัวไปมากกว่านี้ ดัชนีที่เรามองว่าพอจะใช้ดูว่าตลาดหุ้นในเอเชีย น่าจะแยกทางกับดาวโจนส์ได้คือ ดัชนีของความผันผวน (VIX) ซึ่งปกติจะมีทิศทางตรงข้ามกับดาวโจนส์เสมอ เมื่อนำดัชนีทั้ง 2 มาเปรียบเทียบกันจะพบว่าในช่วง 1, 3, 6 เดือนที่ผ่านมา ความผันผวนของ VIX ส่งผลให้ตรงกับตลาดหุ้นเอเชีย คือ VIX ปรับตัวขึ้น หุ้นเอเชียปรับตัวลง คือให้ค่าสหสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม แต่ที่น่าสนใจคือ ระยะเวลายาวขึ้นคือ 9 ถึง 12 เดือน ผลออกมาเป็นบวก ตรงนี้พอแสดงให้เห็นว่า หลังเกิดการรับข่าวความเสียหายในสหรัฐผ่านมาระยะหนึ่ง ภาพการลงทุนคงจะเริ่มฉีกตัวออกจากดาวโจนส์ ในลักษณะที่เริ่มหาตลาดหุ้นที่ยังพอลงทุนได้ และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดาวโจนส์ หรือเสี่ยงน้อยกว่า
๐ ตัวที่พอจะบอกลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นได้ คือการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET กับ ดาวโจนส์ในช่วงเวลาที่เรียกว่า ผลทางฤดูกาลของการลงทุน คือในเดือน ธ.ค. กับ ม.ค. ของอีกปี จากสถิติ 9 ปี ตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา จะพบว่าในเวลาดังกล่าว ตลาดหุ้นไทยขึ้นได้ดีกว่าดาวโจนส์แทบทุกครั้ง (Outperform) ยกเว้นในปลายปี 2549 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้มาตรการกันสำรอง 30% และการระเบิดในกรุงเทพฯ ช่วงต้นเดือน ม.ค.2550 ส่งผลให้ดัชนี SET ดิ่งตัวลงแรง ดังนั้นโดยสรุปแล้ว หลังจากนี้ไปตลาดหุ้นไทยคงจะเริ่มยืนได้ โดยมีปัจจัยภายในเป็นตัวหนุน และที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในตำแหน่ง การซื้อ ซึ่งมีเพียง 3 ประเทศเท่านั้น คือ จีน ฮ่องกง และไทย โดยวัดจากอัตราส่วน PEG (PE หาร EPS growth 12 เดือนล่วงหน้า) และเปอร์เซ็นต์การปรับน้ำหนักระหว่างซื้อและขายใน 12 เดือนล่วงหน้า (% Revision) จากรูป
ที่มา:บล.ซิกโก้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/3 ... sid=207206
30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 06:47:00
๐ แรงขายหุ้นของต่างชาติที่ลดลงตามลำดับ ถือว่าเป็นภาพที่ดีกับตลาดหุ้นไทย และคงกลับมาซื้อรอบใหม่ในไม่ช้า
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เนื่องจากมองว่าหลังจากนี้อย่างน้อยๆ ตลาดหุ้นไทยคงจะไปได้ต่อ เพราะเป็นตลาดเดียวที่ยังพอมีปัจจัยภายในให้เล่นหุ้นได้อีกสักพัก โดยเฉพาะการเลือกตั้ง แม้หลายฝ่ายจะให้ความเห็นว่าผลการเลือกตั้งที่จะออกมา เราจะได้รัฐบาลผสมที่ยังไม่มีอะไรที่จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับภาพเศรษฐกิจ จะมีอยู่บ้างคือนโยบายประชานิยม และโครงการก่อสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่หากมองในรูปของการลงทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยผ่านกองทุนขนาดใหญ่ ที่มีกฎระเบียบที่แน่นอน เกี่ยวกับเงื่อนไขการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ตรงนี้ก็จะมองได้ว่า เมื่อไทยมีการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบางกองทุน ก็น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป เพราะที่ผ่านมามีหลายกองทุน ที่ไม่สามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขว่าเรายังไม่เป็นประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ส่วนการตัดสินกรณีของ PTT ในวันนี้ เบื้องต้นศาลปกครองคงนัดฟังความคิดเห็นก่อน แล้วคงจะมาตัดสินในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ซึ่งกรณีที่เป็นไปได้มากคือ อาจแยกธุรกิจท่อส่งก๊าซออก แล้วมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยมี PTT เป็นผู้ถือหุ้น 100% ประเด็นตรงนี้จะส่งผลต่อ PTT คือเรื่องการจ่ายภาษีโอนสินทรัพย์ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หาก PTT รับภาระเองทั้งหมด จะกระทบต่อมูลค่าหุ้น PTT ไม่มาก
๐ ผลการสำรวจแนวโน้มตลาดหุ้นดาวโจนส์ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง พบว่าตัวเลขที่ให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงมีเพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวแลขที่บอกว่าจะเพิ่มขึ้นได้ลดลง ตรงนี้พอจะแสดงภาพเบื้องต้นได้ว่า ดัชนีดาวโจนส์ ยังต้องประสบกับปัญหาภายในต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่การปรับตัวลงของดัชนีดาวโจนส์จะมากหรือน้อยคงขึ้นกับเหตุการณ์ต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่ยังเชื่อว่าข่าวเรื่องการขาดทุนของสถาบันการเงินใหญ่ๆ ตลาดรับข่าวไปมากแล้ว อย่างกรณีของ Citygroup ที่ตอนนี้ทางกองทุน ADIA (Abu Dhabi Investment Authority) ได้อัดฉีดเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 4.9% ส่งผลให้ความกดดันเรื่องสถาบันการเงินในสหรัฐผ่อนคลายลงเรื่อยๆ นอกจากนั้นในการประชุม FOMC ในวันที่ 11 ธ.ค. ธนาคารกลางสหรัฐคงจะปรับดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ดูจาก Fed Fund Future ประจำเดือน ม.ค.2550 ซึ่งอยู่ที่ 4.25%
๐ ความเชื่อมโยงระหว่างดัชนีดาวโจนส์กับดัชนีตลาดหุ้นในเอเชีย (MSCI Asia Ex Japan) ที่ผ่านมา ต้องบอกว่ามีความเกี่ยวโยงกันสูงมาก กล่าวคือ เมื่อดัชนีดาวโจนส์ผันผวน ตลาดหุ้นในเอเชียมักจะตอบสนองตามเสมอ แต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามใช่ว่าตลาดหุ้นในเอเชียจะปรับตัวตามดาวโจนส์เสมอไป ในหลายๆ ครั้งก็มักจะทำปฏิกิริยาตรงข้ามเหมือนกัน คือไม่ไปตามดาวโจนส์ ซึ่งในจำนวนนี้มักจะเกิดเมื่อรู้ว่าตลาดดาวโจนส์ เริ่มไปไม่ไหว และต้องบอกว่าแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่การชะลอตัวใน Q4/50 ถึง Q1/51 แต่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชีย และอัตราการทำกำไรของตลาดหุ้นถือว่ายังดีมาก ซึ่งท้ายสุดแล้ว เม็ดเงินบางส่วนคงจะไหลกลับมาลงทุนในเอเชีย เพราะเป็นภูมิภาคเดียวที่พอจะยันไม่ให้เศรษฐกิจโลกและสหรัฐ ชะลอตัวไปมากกว่านี้ ดัชนีที่เรามองว่าพอจะใช้ดูว่าตลาดหุ้นในเอเชีย น่าจะแยกทางกับดาวโจนส์ได้คือ ดัชนีของความผันผวน (VIX) ซึ่งปกติจะมีทิศทางตรงข้ามกับดาวโจนส์เสมอ เมื่อนำดัชนีทั้ง 2 มาเปรียบเทียบกันจะพบว่าในช่วง 1, 3, 6 เดือนที่ผ่านมา ความผันผวนของ VIX ส่งผลให้ตรงกับตลาดหุ้นเอเชีย คือ VIX ปรับตัวขึ้น หุ้นเอเชียปรับตัวลง คือให้ค่าสหสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม แต่ที่น่าสนใจคือ ระยะเวลายาวขึ้นคือ 9 ถึง 12 เดือน ผลออกมาเป็นบวก ตรงนี้พอแสดงให้เห็นว่า หลังเกิดการรับข่าวความเสียหายในสหรัฐผ่านมาระยะหนึ่ง ภาพการลงทุนคงจะเริ่มฉีกตัวออกจากดาวโจนส์ ในลักษณะที่เริ่มหาตลาดหุ้นที่ยังพอลงทุนได้ และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดาวโจนส์ หรือเสี่ยงน้อยกว่า
๐ ตัวที่พอจะบอกลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นได้ คือการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET กับ ดาวโจนส์ในช่วงเวลาที่เรียกว่า ผลทางฤดูกาลของการลงทุน คือในเดือน ธ.ค. กับ ม.ค. ของอีกปี จากสถิติ 9 ปี ตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา จะพบว่าในเวลาดังกล่าว ตลาดหุ้นไทยขึ้นได้ดีกว่าดาวโจนส์แทบทุกครั้ง (Outperform) ยกเว้นในปลายปี 2549 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้มาตรการกันสำรอง 30% และการระเบิดในกรุงเทพฯ ช่วงต้นเดือน ม.ค.2550 ส่งผลให้ดัชนี SET ดิ่งตัวลงแรง ดังนั้นโดยสรุปแล้ว หลังจากนี้ไปตลาดหุ้นไทยคงจะเริ่มยืนได้ โดยมีปัจจัยภายในเป็นตัวหนุน และที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในตำแหน่ง การซื้อ ซึ่งมีเพียง 3 ประเทศเท่านั้น คือ จีน ฮ่องกง และไทย โดยวัดจากอัตราส่วน PEG (PE หาร EPS growth 12 เดือนล่วงหน้า) และเปอร์เซ็นต์การปรับน้ำหนักระหว่างซื้อและขายใน 12 เดือนล่วงหน้า (% Revision) จากรูป
ที่มา:บล.ซิกโก้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/3 ... sid=207206
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news1/12/07
โพสต์ที่ 496
บาทปรับตัวในกรอบแคบ-หุ้นปิดสูงสุดรอบ2สัปดาห์
วันที่ 1 ธันวาคม 2550
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปสัปดาห์ที่ผ่านมา (26-30 พ.ย.) เงินบาทในประเทศปรับตัวในกรอบแคบ ๆ อยู่ที่ระดับประมาณ 33.84 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นไทยปิดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ ที่ 846.44 จุด มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 17,588.99 ล้านบาท
สัปดาห์ที่ผ่านมา (26-30 พ.ย.) เงินบาทในประเทศ (Onshore) ปรับตัวในกรอบแคบ ๆ เทียบกับเงินดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทปรับตัวในกรอบแคบ ๆ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เนื่องจากแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ของผู้นำเข้าถูกหักล้างด้วยแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอยู่ในกรอบแคบที่ระดับประมาณ 33.84 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (23 พ.ย.) เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ ๆ มากระตุ้น ส่วนสัปดาห์นี้ (3-7 ธ.ค.) เงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตาได้แก่ ผลการประชุม กนง. การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ เป็นต้น
ส่วนตลาดหุ้นไทย ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 846.44 จุด ขยับขึ้นร้อยละ 2.69 จากระดับปิดที่ 824.25 จุดในสัปดาห์ก่อน และร้อยละ 24.51 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลงร้อยละ 10.57 จาก 98,343.86 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 87,944.94 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดจาก 19,668.77 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 17,588.99 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 274.21 จุด ขยับลงร้อยละ 0.4 จาก 275.31 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.76 จากสิ้นปีก่อน โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 2,680.98 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 2,519.82 ล้านบาท และ 161.17 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (3-7 ธ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าดัชนีน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง นักลงทุนคงจะให้ความสนใจกับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว โดยเฉพาะรายงานจีดีพีไตรมาส 3/2550 โดยสภาพัฒน์ฯ และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน พ.ย.ในวันจันทร์ ตลอดจนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันอังคาร และการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐโดยตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการในวันพุธหน้า ทั้งนี้ ทางบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 837 และ 827 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 860 และ 870 จุด ตามลำดับ
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=206736
วันที่ 1 ธันวาคม 2550
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปสัปดาห์ที่ผ่านมา (26-30 พ.ย.) เงินบาทในประเทศปรับตัวในกรอบแคบ ๆ อยู่ที่ระดับประมาณ 33.84 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นไทยปิดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ ที่ 846.44 จุด มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 17,588.99 ล้านบาท
สัปดาห์ที่ผ่านมา (26-30 พ.ย.) เงินบาทในประเทศ (Onshore) ปรับตัวในกรอบแคบ ๆ เทียบกับเงินดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทปรับตัวในกรอบแคบ ๆ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เนื่องจากแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ของผู้นำเข้าถูกหักล้างด้วยแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอยู่ในกรอบแคบที่ระดับประมาณ 33.84 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (23 พ.ย.) เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ ๆ มากระตุ้น ส่วนสัปดาห์นี้ (3-7 ธ.ค.) เงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตาได้แก่ ผลการประชุม กนง. การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ เป็นต้น
ส่วนตลาดหุ้นไทย ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 846.44 จุด ขยับขึ้นร้อยละ 2.69 จากระดับปิดที่ 824.25 จุดในสัปดาห์ก่อน และร้อยละ 24.51 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลงร้อยละ 10.57 จาก 98,343.86 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 87,944.94 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดจาก 19,668.77 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 17,588.99 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 274.21 จุด ขยับลงร้อยละ 0.4 จาก 275.31 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.76 จากสิ้นปีก่อน โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 2,680.98 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 2,519.82 ล้านบาท และ 161.17 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (3-7 ธ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าดัชนีน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง นักลงทุนคงจะให้ความสนใจกับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว โดยเฉพาะรายงานจีดีพีไตรมาส 3/2550 โดยสภาพัฒน์ฯ และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน พ.ย.ในวันจันทร์ ตลอดจนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันอังคาร และการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐโดยตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการในวันพุธหน้า ทั้งนี้ ทางบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 837 และ 827 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 860 และ 870 จุด ตามลำดับ
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=206736
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/12/07
โพสต์ที่ 497
สำลักเงินเฟ้อค่าครองชีพพุ่ง สินค้าแห่ขึ้นราคาค่าแรงเพิ่มแค่3บ.
ผู้บริโภคสำลักค่าครองชีพ กรมการค้าภายในไฟเขียวทยอยอนุมัติขึ้นราคาสินค้าหลังปีใหม่ นักวิจัย ฟันธงปีหน้าเงินเฟ้อพุ่ง 4-5% ระบุจับตาแบงก์ชาติปล่อยบาทแข็งแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่รายได้ไล่ตามไม่ทัน ครม.ไฟเขียวขึ้นค่าจ้างแค่ 1-7 บาท ดีเดย์ 1 มกราคม 2550 โดยค่าแรงงานคน กทม.ขึ้นเพียง 3 บาท ส่วนปี"51 ธุรกิจเทคโนโลยีสื่อสาร คอมพิวเตอร์-ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์-สินค้าอุปโภคบริโภค เงินเดือนขึ้น 6-7% ส่วนธุรกิจขึ้นน้อยที่สุด เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม-โรงพยาบาล-ชิ้นส่วนยานยนต์
ข่าวการปรับขึ้นราคาสินค้าทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า สินค้าที่ยื่นขอปรับราคามายังกรมการค้าภายใน (คน.) และได้อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาไปแล้ว ล่าสุดคือน้ำมันปาล์มอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาเพดาน 5.50 บาท โดยให้ขึ้น 2 ช่วง คือจาก 38 บาท เป็น 41 บาท/ขวด และ 1 ม.ค. 51 ปรับจาก 41 บาท เป็น 43.50 บาท ส่วนสินค้าที่อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาในวันที่ 1 มกราคม 2551 คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ ไวไว มาม่า ในอัตราซองละ 1 บาท โดยมาม่ายกเว้นไม่ขอปรับขึ้นราคาสินค้า 3 รูปแบบ คือโอเรียนทอลคิตเช่นซองและแบบคัพ มาม่าก้านกล้วย
สำหรับสินค้าที่ได้ยื่นขอปรับขึ้นราคาและกรมการค้าภายในเตรียมจะเรียกมาหารือในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้คือแบตเตอรี่และน้ำมันถั่วเหลือง เพราะมีแนวโน้มวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองจากเดิมปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 8 บาท/ก.ก. ขึ้นมาอยู่ที่ 16 บาท/ก.ก. ซึ่งราคาเพดานน้ำมันถั่วเหลืองปัจจุบันอยู่ที่ 40 บาท/ขวด จึงต้องขอศึกษาข้อมูลก่อนจะอนุมัติให้ปรับขึ้นหรือไม่
ขณะที่กลุ่มนมเตรียมขอปรับขึ้นราคาอีกครั้ง เพราะวัตถุดิบนำเข้าอย่างนมผงนั้นจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 5 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 4 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีที่ แล้วราคานมผงอยู่ที่ 2 พันเหรียญสหรัฐ/ตันเท่านั้น ทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้น้ำนมดิบมากขึ้น แต่ปัจจุบันราคาน้ำนมดิบก็ปรับขึ้นตามอีก ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบจากราคาน้ำนมดิบ 14.50 บาท/ก.ก. ขึ้นมาเป็น 16.50 บาท/ก.ก. ส่วนนมเปรี้ยวพร้อมดื่มจะถูกจัดอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุมในเร็วๆ นี้
หากมีการอนุมัติให้น้ำนมดิบปรับขึ้นราคา ก็ต้องพิจารณาให้ผู้ประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์นมขึ้นราคาตาม แต่จะขึ้นเท่าไหร่นั้น ต้องขอดูต้นทุนนอกจากนี้จะมีปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงที่ขอปรับขึ้นราคา ซึ่งคาดว่าจะหลังจากปีใหม่เช่นกัน ส่วนก่อนหน้านี้ที่อนุมัติให้ปรับราคาไปแล้วคือน้ำอัดลม (สมัยรัฐบาลก่อน) น้ำปลา นมสด กาแฟผงสำเร็จรูป และถ่านไฟฉาย
"นม" ปรับราคา 20%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมากรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์นมบางชนิดปรับขึ้นราคาได้ไม่เกิน 20% จากที่ยื่นขอปรับราคา 30-40%
ทั้งนี้เมื่อช่วงปลายไตรมาสแรกที่ผ่านมา ผลจากต้นทุนทั้งในแง่ของน้ำนมดิบที่มีราคาสูงขึ้น ได้มีผู้ประกอบการนมในประเทศ 10 ราย ได้ยื่นขอปรับราคานมยูเอชที นมสเตอริไลซ์ และนมพาสเจอไรซ์ ตามต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ บริษัท ฟรีสแลนด์ ฟู้ดส์ โฟรโมสต์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนมยูเอชที ตราโฟรโมสต์, บริษัท โฟรโมสต์อาหารนม ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์โฟรโมสต์, บริษัท ซีพี-เมจิ ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์ตราเมจิ บริษัท ดัชมิลล์ ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์ตราดัชมิลล์
บริษัท คัมพินา (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์ตราโชคชัย, สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี ผู้ผลิตนมยูเอชทีและนมพาสเจอไรซ์ตราหนองโพ บริษัท เอฟ แอนด์ เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์และสเตอริไลซ์ตราหมี บริษัทอุตสาหกรรมนมไทย ผู้ผลิตนมยูเอชที นมพาสเจอไรซ์ นมสเตอริไลซ์ตรามะลิ และบริษัทคันทรีเฟรชแดรี่ ผู้ผลิตนมยูเอชทีตราคันทรีเฟรช
ขณะที่นายไพศาล จงบัญญัติเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับราคานมพาสเจอไรซ์ขนาดกลางขึ้นไปประมาณ 5-7% เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคานมผงที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ก.พลังงานเตรียมขึ้นก๊าซหุงต้ม
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานเข้ามาว่า นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เตรียมที่จะประกาศปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซ LPG ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้สะท้อนกับความเป็นจริงของราคาก๊าซในตลาดโลก จากปัจจุบันที่ใช้ระบบราคากึ่งลอยตัว โดยให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง "ชดเชย" ส่วนต่างราคาก๊าซภายในประเทศกับราคาก๊าซที่เป็นจริงในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาก๊าซหุงต้มภายในประเทศ "ต่ำกว่า" ราคาที่แท้จริงมาโดยตลอด
โดยราคาก๊าซหุงต้มราคาใหม่ที่กระทรวงพลังงานจะประกาศออกมานั้น จะปรับราคาขึ้นไปอีก 1.29 บาท/ก.ก. จากปัจจุบันที่ราคา 16.81 บาท/ก.ก. ส่งผลให้ ก๊าซหุงต้มราคาใหม่อยู่ที่ 18.10 บาท/ก.ก. หรือ 272 บาท/ถัง 15 ก.ก. ซึ่งการปรับราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้จะช่วยลดภาระการชดเชยราคาก๊าซของกองทุนน้ำมันได้ระดับหนึ่ง ท่ามกลางภาวะราคาก๊าซในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 650 เหรียญ/ตัน
สำหรับผลกระทบต่อการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้มีรายงานเข้ามาว่า ภาคประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 347 ล้านบาท/เดือน โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 57 ล้านบาท/เดือน รถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 52 บาท/วัน (600 ก.ม./25.92 ลิตร) ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน 1 เดือน/1ถัง 15 ก.ก.เพิ่มขึ้น 18 บาท/ เดือน และอาหารสำเร็จรูป 4 สตางค์/จาน (1,440 จาน/ถัง 48 ก.ก.)
นอกจากนี้ในส่วนวัสดุก่อสร้าง อาทิ ปูนซีเมนต์ได้มีการปรับราคาขึ้นไปแล้วเช่นเดียวกับวัสดุตัวอื่นๆ
คลังคาดเงินเฟ้อปีหน้าพุ่ง 4%
ผลจากการขึ้นราคาสินค้า-บริการ หน่วยงานที่ประมาณการเศรษฐกิจปีหน้า ทั้งธนาคารโลก กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักวิจัยของเอกชน ต่างเห็นตรงกันว่าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะเพิ่มสูงขึ้นจากปีนี้ ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กระทรวงการคลัง มองเงินเฟ้อในปีหน้าสูงกว่าที่อื่น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2551 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.2% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าปี 2551 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.9% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 1% สาเหตุ หลักจากราคาน้ำมัน และปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายคณิต แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการ สวค. กล่าวว่า เงินเฟ้อในปีหน้าค่อนข้างน่าห่วง แต่คิดว่าคงไม่รุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน เพราะความหมายของเศรษฐกิจชะงักงันคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ต้องหดตัวหรือติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส และอัตราเงินเฟ้อต้องขยายตัวสูงเกิน 10% ซึ่งข้อมูลที่มีขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว จากปัญหาซับไพรมก็มีความเสี่ยงที่อาจเป็นไปได้ แต่ยากที่จะประเมิน
คาด ธปท.ใช้ค่าเงินบาทดูแลเงินเฟ้อ
สำหรับการดูแลอัตราเงินเฟ้อของ ธปท. ผู้อำนวยการ สวค.เชื่อว่า ธปท.คงไม่ใช้นโยบายการเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ มีสาเหตุมาจากราคาน้ำมัน แต่เน้นใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า โดยลดการแทรกแซงปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งคาดว่าเงินบาทในปีหน้าจะเฉลี่ย 33.8 บาท/ ดอลลาร์ จากทั้งปีนี้เฉลี่ย 34.6 บาท/ดอลลาร์
"ในปีหน้าแบงก์ชาติคงต้องดูแลเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้สมดุลและสอดคล้องกัน โดย สวค.ประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าจะโตประมาณ 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 4.5%"
"ปรีดิยาธร" ไม่ห่วงเงินเฟ้อ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันขณะนี้ไม่ได้น่าเป็นห่วง เพราะทุกประเทศได้รับผลกระทบเท่ากัน และเชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากเป็นประเทศที่สามารถผลิตอาหารได้เอง ดังนั้นจึงไม่ห่วงว่าจะมีเงินเฟ้อเกิดขึ้นจากส่วนนี้ และเชื่อว่า ธปท.สามารถดูแลเงินเฟ้อได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการดูแลด้วยอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่มีเครื่องมือในการดูแลได้หลายทาง
"ตอนนี้ไม่น่าห่วงว่าราคาน้ำมันจะทำให้เกิดเงิน เฟ้อในประเทศ แต่ที่น่าห่วงกว่าคือราคาน้ำมันจะทำให้การค้าโลกซบเซา ซึ่งจะทำให้การส่งออกของทุกประเทศชะลอเหมือนกันหมด"
ห่วงน้ำมันพุ่งดันเงินเฟ้อสูง 4-5%
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะอยู่ที่ราคาน้ำมันเป็นหลัก ศูนย์วิจัยได้ประมาณการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันเป็น 3 กรณี ซึ่งแต่ละกรณีจะมีผลต่อเงินเฟ้อแตกต่างกัน
โดยกรณีราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น 8.5% จากระดับเฉลี่ยปีนี้ที่ 72-73 ดอลลาร์/บาร์เรล ไปอยู่ที่ 79 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 2.7% หรืออยู่ที่ 2.2-3.2% ส่วนในกรณีราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น 22% ไปอยู่ที่ 89 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% หรืออยู่ที่ 3.0-4.0% และกรณีเลวร้ายที่สุดคือราคาน้ำมันสูงขึ้น 36% ไปอยู่ที่ 99 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 4.5% หรือ 4.0-5.0%
สำหรับโอกาสการปรับขึ้นของราคาน้ำมันว่าจะเป็นกรณีใดขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และเศรษฐกิจโลกจะซบเซาลงมากเพียงใด หากย่ำแย่ทั้ง 2 กรณีก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในกรณีเลวร้าย เพราะเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนหันไปลงทุนใน สินค้าโภคภัณฑ์ส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นด้วย
แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศ กรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะคงที่หรือปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าจะปรับลด เพราะแม้ ธปท.จะให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่น่าจะให้ น้ำหนักที่เสถียรภาพด้านราคาหรือเงินเฟ้อมากกว่า
ส่วนธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะอยู่ประมาณ 3% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.2% ด้าน ธปท.ประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปีหน้าจะอยู่ที่ 1.5-2.8% เพิ่มจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8-2.3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1-2% จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.8-1.3%
สำรวจกลุ่มธุรกิจปรับเงินเดือน
ขณะที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นพอสมควรแต่ค่าแรงปรับขึ้นน้อยกว่า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจอัตราค่าจ้าง ปี 2550 และแนวโน้มปี 2551 ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) หรือบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของประเทศอย่างบริษัท วัทสัน ไวแอต (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เมอร์เซอร์ จำกัด หรือบริษัท เฮย์ กรุ๊ป จำกัด ต่างออกมาในทิศทางเดียวกัน นั่นคือการขยับขึ้นเงินเดือนของภาคธุรกิจนั้นอยู่ในภาวะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกหลายปี
ในปี 2550 ธุรกิจที่ปรับขึ้นเงินเดือนสูงสุดคือเทคโนโลยีสื่อสาร คอมพิวเตอร์เฉลี่ย 7.26% รองลงมาธุรกิจยานยนต์ 6.74% และธุรกิจที่มีการปรับขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดคือธุรกิจขนส่ง 4.63%
สำหรับแนวโน้มการปรับอัตราเงินเดือนสูงสุด 3 อันดับแรก ในปี 2551 คือธุรกิจเทคโนโลยีสื่อสาร คอมพิวเตอร์เฉลี่ย 7.2% รองลงมาธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ 6.77% ตามด้วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค 6.60% กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก 6.50% และกลุ่มยานยนต์ 6.33%
ส่วนธุรกิจที่มีการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนน้อยที่สุดอันดับแรกคือธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม 4.67% ธุรกิจโรงพยาบาล 5.00% และธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ 5.43%
ไฟเขียวขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1-7 บาท
นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (27 พ.ย.) เห็นชอบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยให้มีผล 1 ม.ค.2551 ทำให้กระทบกับค่าครองชีพของประชาชน โดยอัตราที่ปรับขึ้นสูงสุดคือวันละ 7 บาท และต่ำสุดวันละ 1 บาท โดย จ.ภูเก็ตปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสูงสุด 7 บาท มาที่วันละ 193 บาท ส่วนกลุ่มที่ได้ปรับขึ้นในอัตรา 3 บาท ได้แก่ กทม. และปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) ปรับขึ้นมาที่ 194 บาท
ชลบุรีวันละ 175 บาท, สระบุรีวันละ 170 บาท, ที่ได้วันละ 165 บาท มี ฉะเชิงเทรา, นครราชสีมา, อยุธยา และระยอง ส่วนระนอง 163 บาท, พังงา 162 บาท, ส่วนกระบี่กับเพชรบุรี 160 บาท/วัน, เชียงใหม่ 159 บาท, จันทบุรีและลพบุรี 158 บาท, กาญจนบุรี 157 บาท ในขณะที่ราชบุรีและสิงห์บุรี 156 บาท เป็นต้น และใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้วันละ 148 บาท ส่วนจังหวัดที่ได้ค่าแรงต่ำสุดคือน่านและพะเยา วันละ 144 บาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
ผู้บริโภคสำลักค่าครองชีพ กรมการค้าภายในไฟเขียวทยอยอนุมัติขึ้นราคาสินค้าหลังปีใหม่ นักวิจัย ฟันธงปีหน้าเงินเฟ้อพุ่ง 4-5% ระบุจับตาแบงก์ชาติปล่อยบาทแข็งแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่รายได้ไล่ตามไม่ทัน ครม.ไฟเขียวขึ้นค่าจ้างแค่ 1-7 บาท ดีเดย์ 1 มกราคม 2550 โดยค่าแรงงานคน กทม.ขึ้นเพียง 3 บาท ส่วนปี"51 ธุรกิจเทคโนโลยีสื่อสาร คอมพิวเตอร์-ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์-สินค้าอุปโภคบริโภค เงินเดือนขึ้น 6-7% ส่วนธุรกิจขึ้นน้อยที่สุด เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม-โรงพยาบาล-ชิ้นส่วนยานยนต์
ข่าวการปรับขึ้นราคาสินค้าทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า สินค้าที่ยื่นขอปรับราคามายังกรมการค้าภายใน (คน.) และได้อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาไปแล้ว ล่าสุดคือน้ำมันปาล์มอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาเพดาน 5.50 บาท โดยให้ขึ้น 2 ช่วง คือจาก 38 บาท เป็น 41 บาท/ขวด และ 1 ม.ค. 51 ปรับจาก 41 บาท เป็น 43.50 บาท ส่วนสินค้าที่อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาในวันที่ 1 มกราคม 2551 คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ ไวไว มาม่า ในอัตราซองละ 1 บาท โดยมาม่ายกเว้นไม่ขอปรับขึ้นราคาสินค้า 3 รูปแบบ คือโอเรียนทอลคิตเช่นซองและแบบคัพ มาม่าก้านกล้วย
สำหรับสินค้าที่ได้ยื่นขอปรับขึ้นราคาและกรมการค้าภายในเตรียมจะเรียกมาหารือในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้คือแบตเตอรี่และน้ำมันถั่วเหลือง เพราะมีแนวโน้มวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองจากเดิมปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 8 บาท/ก.ก. ขึ้นมาอยู่ที่ 16 บาท/ก.ก. ซึ่งราคาเพดานน้ำมันถั่วเหลืองปัจจุบันอยู่ที่ 40 บาท/ขวด จึงต้องขอศึกษาข้อมูลก่อนจะอนุมัติให้ปรับขึ้นหรือไม่
ขณะที่กลุ่มนมเตรียมขอปรับขึ้นราคาอีกครั้ง เพราะวัตถุดิบนำเข้าอย่างนมผงนั้นจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 5 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 4 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีที่ แล้วราคานมผงอยู่ที่ 2 พันเหรียญสหรัฐ/ตันเท่านั้น ทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้น้ำนมดิบมากขึ้น แต่ปัจจุบันราคาน้ำนมดิบก็ปรับขึ้นตามอีก ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบจากราคาน้ำนมดิบ 14.50 บาท/ก.ก. ขึ้นมาเป็น 16.50 บาท/ก.ก. ส่วนนมเปรี้ยวพร้อมดื่มจะถูกจัดอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุมในเร็วๆ นี้
หากมีการอนุมัติให้น้ำนมดิบปรับขึ้นราคา ก็ต้องพิจารณาให้ผู้ประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์นมขึ้นราคาตาม แต่จะขึ้นเท่าไหร่นั้น ต้องขอดูต้นทุนนอกจากนี้จะมีปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงที่ขอปรับขึ้นราคา ซึ่งคาดว่าจะหลังจากปีใหม่เช่นกัน ส่วนก่อนหน้านี้ที่อนุมัติให้ปรับราคาไปแล้วคือน้ำอัดลม (สมัยรัฐบาลก่อน) น้ำปลา นมสด กาแฟผงสำเร็จรูป และถ่านไฟฉาย
"นม" ปรับราคา 20%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมากรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์นมบางชนิดปรับขึ้นราคาได้ไม่เกิน 20% จากที่ยื่นขอปรับราคา 30-40%
ทั้งนี้เมื่อช่วงปลายไตรมาสแรกที่ผ่านมา ผลจากต้นทุนทั้งในแง่ของน้ำนมดิบที่มีราคาสูงขึ้น ได้มีผู้ประกอบการนมในประเทศ 10 ราย ได้ยื่นขอปรับราคานมยูเอชที นมสเตอริไลซ์ และนมพาสเจอไรซ์ ตามต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ บริษัท ฟรีสแลนด์ ฟู้ดส์ โฟรโมสต์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนมยูเอชที ตราโฟรโมสต์, บริษัท โฟรโมสต์อาหารนม ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์โฟรโมสต์, บริษัท ซีพี-เมจิ ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์ตราเมจิ บริษัท ดัชมิลล์ ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์ตราดัชมิลล์
บริษัท คัมพินา (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์ตราโชคชัย, สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี ผู้ผลิตนมยูเอชทีและนมพาสเจอไรซ์ตราหนองโพ บริษัท เอฟ แอนด์ เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนมพาสเจอไรซ์และสเตอริไลซ์ตราหมี บริษัทอุตสาหกรรมนมไทย ผู้ผลิตนมยูเอชที นมพาสเจอไรซ์ นมสเตอริไลซ์ตรามะลิ และบริษัทคันทรีเฟรชแดรี่ ผู้ผลิตนมยูเอชทีตราคันทรีเฟรช
ขณะที่นายไพศาล จงบัญญัติเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับราคานมพาสเจอไรซ์ขนาดกลางขึ้นไปประมาณ 5-7% เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคานมผงที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ก.พลังงานเตรียมขึ้นก๊าซหุงต้ม
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานเข้ามาว่า นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เตรียมที่จะประกาศปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซ LPG ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้สะท้อนกับความเป็นจริงของราคาก๊าซในตลาดโลก จากปัจจุบันที่ใช้ระบบราคากึ่งลอยตัว โดยให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง "ชดเชย" ส่วนต่างราคาก๊าซภายในประเทศกับราคาก๊าซที่เป็นจริงในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาก๊าซหุงต้มภายในประเทศ "ต่ำกว่า" ราคาที่แท้จริงมาโดยตลอด
โดยราคาก๊าซหุงต้มราคาใหม่ที่กระทรวงพลังงานจะประกาศออกมานั้น จะปรับราคาขึ้นไปอีก 1.29 บาท/ก.ก. จากปัจจุบันที่ราคา 16.81 บาท/ก.ก. ส่งผลให้ ก๊าซหุงต้มราคาใหม่อยู่ที่ 18.10 บาท/ก.ก. หรือ 272 บาท/ถัง 15 ก.ก. ซึ่งการปรับราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้จะช่วยลดภาระการชดเชยราคาก๊าซของกองทุนน้ำมันได้ระดับหนึ่ง ท่ามกลางภาวะราคาก๊าซในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 650 เหรียญ/ตัน
สำหรับผลกระทบต่อการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้มีรายงานเข้ามาว่า ภาคประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 347 ล้านบาท/เดือน โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 57 ล้านบาท/เดือน รถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 52 บาท/วัน (600 ก.ม./25.92 ลิตร) ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน 1 เดือน/1ถัง 15 ก.ก.เพิ่มขึ้น 18 บาท/ เดือน และอาหารสำเร็จรูป 4 สตางค์/จาน (1,440 จาน/ถัง 48 ก.ก.)
นอกจากนี้ในส่วนวัสดุก่อสร้าง อาทิ ปูนซีเมนต์ได้มีการปรับราคาขึ้นไปแล้วเช่นเดียวกับวัสดุตัวอื่นๆ
คลังคาดเงินเฟ้อปีหน้าพุ่ง 4%
ผลจากการขึ้นราคาสินค้า-บริการ หน่วยงานที่ประมาณการเศรษฐกิจปีหน้า ทั้งธนาคารโลก กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักวิจัยของเอกชน ต่างเห็นตรงกันว่าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะเพิ่มสูงขึ้นจากปีนี้ ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กระทรวงการคลัง มองเงินเฟ้อในปีหน้าสูงกว่าที่อื่น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2551 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.2% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าปี 2551 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.9% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 1% สาเหตุ หลักจากราคาน้ำมัน และปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายคณิต แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการ สวค. กล่าวว่า เงินเฟ้อในปีหน้าค่อนข้างน่าห่วง แต่คิดว่าคงไม่รุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน เพราะความหมายของเศรษฐกิจชะงักงันคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ต้องหดตัวหรือติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส และอัตราเงินเฟ้อต้องขยายตัวสูงเกิน 10% ซึ่งข้อมูลที่มีขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว จากปัญหาซับไพรมก็มีความเสี่ยงที่อาจเป็นไปได้ แต่ยากที่จะประเมิน
คาด ธปท.ใช้ค่าเงินบาทดูแลเงินเฟ้อ
สำหรับการดูแลอัตราเงินเฟ้อของ ธปท. ผู้อำนวยการ สวค.เชื่อว่า ธปท.คงไม่ใช้นโยบายการเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ มีสาเหตุมาจากราคาน้ำมัน แต่เน้นใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า โดยลดการแทรกแซงปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งคาดว่าเงินบาทในปีหน้าจะเฉลี่ย 33.8 บาท/ ดอลลาร์ จากทั้งปีนี้เฉลี่ย 34.6 บาท/ดอลลาร์
"ในปีหน้าแบงก์ชาติคงต้องดูแลเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้สมดุลและสอดคล้องกัน โดย สวค.ประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าจะโตประมาณ 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 4.5%"
"ปรีดิยาธร" ไม่ห่วงเงินเฟ้อ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันขณะนี้ไม่ได้น่าเป็นห่วง เพราะทุกประเทศได้รับผลกระทบเท่ากัน และเชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากเป็นประเทศที่สามารถผลิตอาหารได้เอง ดังนั้นจึงไม่ห่วงว่าจะมีเงินเฟ้อเกิดขึ้นจากส่วนนี้ และเชื่อว่า ธปท.สามารถดูแลเงินเฟ้อได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการดูแลด้วยอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่มีเครื่องมือในการดูแลได้หลายทาง
"ตอนนี้ไม่น่าห่วงว่าราคาน้ำมันจะทำให้เกิดเงิน เฟ้อในประเทศ แต่ที่น่าห่วงกว่าคือราคาน้ำมันจะทำให้การค้าโลกซบเซา ซึ่งจะทำให้การส่งออกของทุกประเทศชะลอเหมือนกันหมด"
ห่วงน้ำมันพุ่งดันเงินเฟ้อสูง 4-5%
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะอยู่ที่ราคาน้ำมันเป็นหลัก ศูนย์วิจัยได้ประมาณการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันเป็น 3 กรณี ซึ่งแต่ละกรณีจะมีผลต่อเงินเฟ้อแตกต่างกัน
โดยกรณีราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น 8.5% จากระดับเฉลี่ยปีนี้ที่ 72-73 ดอลลาร์/บาร์เรล ไปอยู่ที่ 79 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 2.7% หรืออยู่ที่ 2.2-3.2% ส่วนในกรณีราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น 22% ไปอยู่ที่ 89 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% หรืออยู่ที่ 3.0-4.0% และกรณีเลวร้ายที่สุดคือราคาน้ำมันสูงขึ้น 36% ไปอยู่ที่ 99 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 4.5% หรือ 4.0-5.0%
สำหรับโอกาสการปรับขึ้นของราคาน้ำมันว่าจะเป็นกรณีใดขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และเศรษฐกิจโลกจะซบเซาลงมากเพียงใด หากย่ำแย่ทั้ง 2 กรณีก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในกรณีเลวร้าย เพราะเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนหันไปลงทุนใน สินค้าโภคภัณฑ์ส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นด้วย
แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศ กรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะคงที่หรือปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าจะปรับลด เพราะแม้ ธปท.จะให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่น่าจะให้ น้ำหนักที่เสถียรภาพด้านราคาหรือเงินเฟ้อมากกว่า
ส่วนธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะอยู่ประมาณ 3% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.2% ด้าน ธปท.ประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปีหน้าจะอยู่ที่ 1.5-2.8% เพิ่มจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8-2.3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1-2% จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.8-1.3%
สำรวจกลุ่มธุรกิจปรับเงินเดือน
ขณะที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นพอสมควรแต่ค่าแรงปรับขึ้นน้อยกว่า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจอัตราค่าจ้าง ปี 2550 และแนวโน้มปี 2551 ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) หรือบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของประเทศอย่างบริษัท วัทสัน ไวแอต (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เมอร์เซอร์ จำกัด หรือบริษัท เฮย์ กรุ๊ป จำกัด ต่างออกมาในทิศทางเดียวกัน นั่นคือการขยับขึ้นเงินเดือนของภาคธุรกิจนั้นอยู่ในภาวะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกหลายปี
ในปี 2550 ธุรกิจที่ปรับขึ้นเงินเดือนสูงสุดคือเทคโนโลยีสื่อสาร คอมพิวเตอร์เฉลี่ย 7.26% รองลงมาธุรกิจยานยนต์ 6.74% และธุรกิจที่มีการปรับขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดคือธุรกิจขนส่ง 4.63%
สำหรับแนวโน้มการปรับอัตราเงินเดือนสูงสุด 3 อันดับแรก ในปี 2551 คือธุรกิจเทคโนโลยีสื่อสาร คอมพิวเตอร์เฉลี่ย 7.2% รองลงมาธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ 6.77% ตามด้วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค 6.60% กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก 6.50% และกลุ่มยานยนต์ 6.33%
ส่วนธุรกิจที่มีการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนน้อยที่สุดอันดับแรกคือธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม 4.67% ธุรกิจโรงพยาบาล 5.00% และธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ 5.43%
ไฟเขียวขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1-7 บาท
นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (27 พ.ย.) เห็นชอบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยให้มีผล 1 ม.ค.2551 ทำให้กระทบกับค่าครองชีพของประชาชน โดยอัตราที่ปรับขึ้นสูงสุดคือวันละ 7 บาท และต่ำสุดวันละ 1 บาท โดย จ.ภูเก็ตปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสูงสุด 7 บาท มาที่วันละ 193 บาท ส่วนกลุ่มที่ได้ปรับขึ้นในอัตรา 3 บาท ได้แก่ กทม. และปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) ปรับขึ้นมาที่ 194 บาท
ชลบุรีวันละ 175 บาท, สระบุรีวันละ 170 บาท, ที่ได้วันละ 165 บาท มี ฉะเชิงเทรา, นครราชสีมา, อยุธยา และระยอง ส่วนระนอง 163 บาท, พังงา 162 บาท, ส่วนกระบี่กับเพชรบุรี 160 บาท/วัน, เชียงใหม่ 159 บาท, จันทบุรีและลพบุรี 158 บาท, กาญจนบุรี 157 บาท ในขณะที่ราชบุรีและสิงห์บุรี 156 บาท เป็นต้น และใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้วันละ 148 บาท ส่วนจังหวัดที่ได้ค่าแรงต่ำสุดคือน่านและพะเยา วันละ 144 บาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/12/07
โพสต์ที่ 498
เศรษฐกิจเดือนต.ค.ฟื้นตัว
เศรษฐกิจในเดือนตุลาคมส่งสัญญาณฟื้นตัว เพราะเอกชนลงทุนเพิ่มขึ้น และยอดส่งออกเดือนเดียวโตถึง 27.9% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนเงินเฟ้อยังไม่น่าห่วง แต่เตรียมทบทวนเป้าจีดีพีอีกครั้งในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ จากเป้าเดิมที่วางไว้ 4.3-4.8%
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในเดือนตุลาคมส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเป็นเดือนแรกที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเป็นบวก อุปสงค์ในประเทศแสดงทิศทางการฟื้นตัวสอดคล้องกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี พร้อมกับการผลิตภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ การลงทุนภาคเอกชนในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 2.0%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากที่ติดลบ 0.5% ในเดือนกันยายน โดยการลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกของปีนี้ หลังจากที่ต้องฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 แต่มีการขยายตัวจริงจังตั้งแต่เดือนกันยายน
ด้านการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีขึ้น โดยเป็นแนวโน้มที่สูงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 แต่ในเดือนนี้มีการเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนชัดเจน โดยขยายตัว 2.6% จากระยะเดียวกันปีก่อน เทียบกับขยายตัว 0.3% ในเดือนกันยายน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนตุลาคมอยู่ที่ 44.8 เพิ่มจาก 44.5 ในเดือนก.ย.โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของอุปสงค์ในประเทศ และสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ
สำหรับการส่งอออกในเดือนต.ค.สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเดือนตุลาคมขยายตัว 27.9% ทำให้การส่งออก 10 เดือนแรกปีนี้ขยายตัว 17.8% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ธปท.และกระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้
ส่วนการนำเข้า ยังสูงขึ้นตามความต้องการในประเทศเช่นเดียวกัน โดยในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 22.2% ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.88 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ ดุลบัญชีเดินสะพัด 10 เดือน เกินดุล 1.11 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าเป้าทั้งปีนี้ที่ธปท.เคยคาดการว่าจะเกินดุลที่ 8.0-9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพราะการส่งออกขยายตัวดีมาก
นางอมรา กล่าวต่อว่า สำหรับผลกระทบของการขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มเชื่อว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากนักเพราะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 10% จะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจลดลง 0.4% เท่านั้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในกรอบที่ธปท.คาดไว้ แต่ธปท.จะทบทวนสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันที่ 4 ธันวาคมนี้ ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาธปท.คาดการจีดีพีปี2550ระหว่าง 4.3-4.8%จากเดิมที่เคยคาดว่าจะโต 4.0-5.0%เมื่อเดือนกรฎาคมที่ผ่านมา
http://www.thunhoon.com/home/
เศรษฐกิจในเดือนตุลาคมส่งสัญญาณฟื้นตัว เพราะเอกชนลงทุนเพิ่มขึ้น และยอดส่งออกเดือนเดียวโตถึง 27.9% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนเงินเฟ้อยังไม่น่าห่วง แต่เตรียมทบทวนเป้าจีดีพีอีกครั้งในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ จากเป้าเดิมที่วางไว้ 4.3-4.8%
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในเดือนตุลาคมส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเป็นเดือนแรกที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเป็นบวก อุปสงค์ในประเทศแสดงทิศทางการฟื้นตัวสอดคล้องกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี พร้อมกับการผลิตภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ การลงทุนภาคเอกชนในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 2.0%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากที่ติดลบ 0.5% ในเดือนกันยายน โดยการลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกของปีนี้ หลังจากที่ต้องฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 แต่มีการขยายตัวจริงจังตั้งแต่เดือนกันยายน
ด้านการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีขึ้น โดยเป็นแนวโน้มที่สูงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 แต่ในเดือนนี้มีการเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนชัดเจน โดยขยายตัว 2.6% จากระยะเดียวกันปีก่อน เทียบกับขยายตัว 0.3% ในเดือนกันยายน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนตุลาคมอยู่ที่ 44.8 เพิ่มจาก 44.5 ในเดือนก.ย.โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของอุปสงค์ในประเทศ และสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ
สำหรับการส่งอออกในเดือนต.ค.สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเดือนตุลาคมขยายตัว 27.9% ทำให้การส่งออก 10 เดือนแรกปีนี้ขยายตัว 17.8% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ธปท.และกระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้
ส่วนการนำเข้า ยังสูงขึ้นตามความต้องการในประเทศเช่นเดียวกัน โดยในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 22.2% ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.88 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ ดุลบัญชีเดินสะพัด 10 เดือน เกินดุล 1.11 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าเป้าทั้งปีนี้ที่ธปท.เคยคาดการว่าจะเกินดุลที่ 8.0-9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพราะการส่งออกขยายตัวดีมาก
นางอมรา กล่าวต่อว่า สำหรับผลกระทบของการขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มเชื่อว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากนักเพราะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 10% จะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจลดลง 0.4% เท่านั้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในกรอบที่ธปท.คาดไว้ แต่ธปท.จะทบทวนสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันที่ 4 ธันวาคมนี้ ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาธปท.คาดการจีดีพีปี2550ระหว่าง 4.3-4.8%จากเดิมที่เคยคาดว่าจะโต 4.0-5.0%เมื่อเดือนกรฎาคมที่ผ่านมา
http://www.thunhoon.com/home/
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/12/07
โพสต์ที่ 499
เศรษฐกิจปี 51...ฟุบหรือฟื้น ?
Posted on Monday, December 03, 2007
ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2550 จะขยายตัว 4.5% จากการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ในขณะที่การบริโภคของประชาชนก็อยู่ในระดับที่ทรงตัว ซึ่งถ้าปัจจัยเหล่านี้ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2551 ประกอบกับไทยมีความชัดเจนทางการเมืองหลังจากที่มีรัฐบาลใหม่ และการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะขึ้นอยู่กับการเมืองเป็นหลัก ถ้ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ และไม่มีนโยบายที่แน่นอน ก็จะกระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าถึง 68% ของ GDP และขณะนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะปัญหา Subprime ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง 5.4% ขณะที่สถาบันการเงินก็ประสบปัญหาขาดทุนและต้องเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ส่วนกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลง จึงเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค. นี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบ และช่วยฟื้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ดร.วรพลบอกว่า เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผู้ส่งออกไทยควรจะรีบปรับตัวด้วยการหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ ส่วนภาครัฐก็ไม่ควรพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียว ควรจะพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศด้วยการลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ และการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพราะจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และก่อให้เกิดการจ้างงานตามมามากมาย
ปัจจุบันภาครัฐมีปัญหามากมายที่จะต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง ค่าครองชีพของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ภาครัฐจะไม่สามารถลดราคาสินค้าได้ แต่ก็ควรหาวิธีเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เช่น การปรับโครงสร้างการเสียภาษีใหม่ จากเดิมที่ผู้เสียภาษีสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 6 หมื่นบาท/ปี ก็ควรเปลี่ยนเป็น 1 แสนบาท หรือ 1.5 แสนบาท/ปี แม้ว่าจะทำให้รายได้ของรัฐลดลง 1 หมื่นล้านบาท/ปี แต่ก็จะช่วยให้ประชาชนมีการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการค้า การลงทุน และการจ้างงานตามมามากมาย
นอกจากนี้ภาครัฐยังควรฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยการแก้ไขเรื่องที่ยังไม่แน่นอนให้มีความแน่นอน เช่น จะก่อสร้างรถไฟฟ้ากี่สาย หาเงินกู้จากแหล่งใด ปัญหาภาคใต้ กฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และกฎหมายค้าส่งค้าปลีก เพราะถ้านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเรื่องเหล่านี้ ก็จะทำให้เกิดการลงทุนตามมาด้วย
ส่วนปัญหาพื้นฐานก็มีหลายปัญหาที่ภาครัฐจะต้องแก้ไข เช่น ความชัดเจนของทิศทางการใช้น้ำมันในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมันถึง 8% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงมาก โดยมีสาเหตุสำคัญมากจากการที่ไทยยังไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ ทำให้คนไทยหันไปใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ดังนั้น หากภาครัฐฯ พัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ นอกจากนั้นยังช่วยให้ไทยสามารถนำเข้าเครื่องจักรได้ในราคาที่ถูกลงจากการแข็งค่าของเงินบาท และเมื่อมีการนำเข้าในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
ดร.วรพลบอกว่า ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานนั้น หากภาครัฐไม่มีงบประมาณที่มากพอ ก็ควรใช้วิธีร่วมทุนกับภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้ภาครัฐมีเงินไปพัฒนาด้านอื่นด้วย นอกจากนี้ภาครัฐอาจจะลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทที่สนับสนุนด้านการศึกษา การวิจัย หรือช่วยเหลือสังคม ก็ได้
สำหรับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น ปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลเข้ามาในเอเชีย รวมทั้งไทยมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน ดังนั้น ภาครัฐก็ควรที่จะหาวิธีการดูแลเงินทุนเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ไทยยังมีปัญหาเรื่องราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งภาครัฐก็ควรหาทางออกของปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Monday, December 03, 2007
ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2550 จะขยายตัว 4.5% จากการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ในขณะที่การบริโภคของประชาชนก็อยู่ในระดับที่ทรงตัว ซึ่งถ้าปัจจัยเหล่านี้ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2551 ประกอบกับไทยมีความชัดเจนทางการเมืองหลังจากที่มีรัฐบาลใหม่ และการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะขึ้นอยู่กับการเมืองเป็นหลัก ถ้ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ และไม่มีนโยบายที่แน่นอน ก็จะกระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าถึง 68% ของ GDP และขณะนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะปัญหา Subprime ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง 5.4% ขณะที่สถาบันการเงินก็ประสบปัญหาขาดทุนและต้องเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ส่วนกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลง จึงเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค. นี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบ และช่วยฟื้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ดร.วรพลบอกว่า เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผู้ส่งออกไทยควรจะรีบปรับตัวด้วยการหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ ส่วนภาครัฐก็ไม่ควรพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียว ควรจะพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศด้วยการลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ และการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพราะจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และก่อให้เกิดการจ้างงานตามมามากมาย
ปัจจุบันภาครัฐมีปัญหามากมายที่จะต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง ค่าครองชีพของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ภาครัฐจะไม่สามารถลดราคาสินค้าได้ แต่ก็ควรหาวิธีเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เช่น การปรับโครงสร้างการเสียภาษีใหม่ จากเดิมที่ผู้เสียภาษีสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 6 หมื่นบาท/ปี ก็ควรเปลี่ยนเป็น 1 แสนบาท หรือ 1.5 แสนบาท/ปี แม้ว่าจะทำให้รายได้ของรัฐลดลง 1 หมื่นล้านบาท/ปี แต่ก็จะช่วยให้ประชาชนมีการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการค้า การลงทุน และการจ้างงานตามมามากมาย
นอกจากนี้ภาครัฐยังควรฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยการแก้ไขเรื่องที่ยังไม่แน่นอนให้มีความแน่นอน เช่น จะก่อสร้างรถไฟฟ้ากี่สาย หาเงินกู้จากแหล่งใด ปัญหาภาคใต้ กฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และกฎหมายค้าส่งค้าปลีก เพราะถ้านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเรื่องเหล่านี้ ก็จะทำให้เกิดการลงทุนตามมาด้วย
ส่วนปัญหาพื้นฐานก็มีหลายปัญหาที่ภาครัฐจะต้องแก้ไข เช่น ความชัดเจนของทิศทางการใช้น้ำมันในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมันถึง 8% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงมาก โดยมีสาเหตุสำคัญมากจากการที่ไทยยังไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ ทำให้คนไทยหันไปใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ดังนั้น หากภาครัฐฯ พัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ นอกจากนั้นยังช่วยให้ไทยสามารถนำเข้าเครื่องจักรได้ในราคาที่ถูกลงจากการแข็งค่าของเงินบาท และเมื่อมีการนำเข้าในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
ดร.วรพลบอกว่า ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานนั้น หากภาครัฐไม่มีงบประมาณที่มากพอ ก็ควรใช้วิธีร่วมทุนกับภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้ภาครัฐมีเงินไปพัฒนาด้านอื่นด้วย นอกจากนี้ภาครัฐอาจจะลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทที่สนับสนุนด้านการศึกษา การวิจัย หรือช่วยเหลือสังคม ก็ได้
สำหรับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น ปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลเข้ามาในเอเชีย รวมทั้งไทยมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน ดังนั้น ภาครัฐก็ควรที่จะหาวิธีการดูแลเงินทุนเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ไทยยังมีปัญหาเรื่องราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งภาครัฐก็ควรหาทางออกของปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/12/07
โพสต์ที่ 500
Special Report โค้งสุดท้าย....LTF --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, December 03, 2007
เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนเท่านั้น สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่รับสิทธิในการนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีนี้ แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวน การลงทุนในกองทุน LTF ส่งท้ายปีนี้ อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น หากจะต้องถือหน่วยลงทุนเอาไว้อีกอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บลจ.แทบทุกแห่งได้เปิดตัวกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อให้ทันเส้นตายของสำนักงาน ก.ล.ต.ที่ให้มีจัดตั้งกองใหม่ได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ทำให้ปัจจุบันมีกองทุน LTF รวมทั้งสิ้น 53 กองทุน จาก 21 บลจ. ซึ่งส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยผลประกอบการธุรกิจกองทุน 9 เดือนแรก ในส่วนของกองทุน LTF จำนวน 33 กองทุน มีกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 25 กองทุน โดยอันดับที่ 1 2 - 3 สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนแรกได้คิด 38.45% 36.80% และ 36.78% ตามลำดับ
ปัจจุบันรูปแบบของกองทุน LTF มีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่นโยบายการลงทุนจะเน้นในหุ้นเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% แต่ล่าสุดหลาย บลจ.มีการปรับกลยุทธ์ให้มีความแตกต่างกันพอสมควร โดยกลุ่มแรกจะเป็น กองทุนที่มีลักษณะการบริหารเหมือนกองทุนหุ้นทั่ว ๆ ไป คือมีเป้าหมายของการบริหารจัดการเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน โดยในพอร์ตจะมีสัดส่วนของหุ้นในเกณฑ์สูงโดยเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 90% ของทรัพย์สินทั้งหมด กลุ่มที่สอง คือ กองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้นเพียง 65 - 75% ส่วนเงินที่เหลือก็จะนำไปลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี และกลุ่มสุดท้ายจะเป็นกองทุนใหม่ที่มีการนำเครื่องมือลงทุนรูปแบบใหม่ๆ มาผสมผสานด้วย เช่น อนุพันธ์ต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์การลดความเสี่ยง หรือนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสของผลตอบแทน
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการบลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำกองทุน LTS ซึ่งเป็นกองทุน LTF ที่มีนโยบายการลงทุนแบบใหม่ที่น่าสนใจ
LT Smart หรือ LTS เราใช้ตราสารอนุพันธ์ผสมเข้าไปในการลงทุนให้ movement ของกองทุน หรือว่า เทียบเท่าแล้วกองทุนลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 30% ซึ่งตามหลักเกณฑ์ต้องลงทุนในหุ้น 65% แต่เรามี Sort Position ของ Futures บวกเข้าไป ทำให้เหมาะกับช่วงเวลานี้ ถ้าอยากจะเข้าไปลงทุนแต่กลัวตลาดผันผวน เห็นตลาดตกแรงในบางช่วงเวลา แต่ว่าต้องลงกันก่อนก่อนสิ้นปี ก็คิดว่าน่าจะเป็นสีสันในช่วง 2 เดือนสุดท้าย
ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดการลงทุนในกองทุน LTF จะต้องถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนลังเลที่จะลงทุนระหว่างปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน และมักจะตัดสินใจซื้อเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปี เพื่อเป้าหมายสำคัญคือลดหย่อนภาษี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการลงทุนในกองทุน LTF แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น และการลงทุนแบบเฉลี่ยทุกเดือนยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีกว่า
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการลงทุน บลจ. อยุธยา แนะนำว่าในแง่ของการลงทุนระยะยาว ไม่ควรสนใจความผันผวนของตลาด เพราะอย่าง RMF เราต้องลงทุนไปจนถึงอายุ 55 ปี ส่วน LTF ต้องลงทุนนานถึง 5 ปี การผันผวนในระยะสั้นจึงไม่น่าจะมีผลต่อการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราอยากจะลดความผันผวน วิธีที่ดีที่สุดคือลงทุนแบบทุกเดือน แบบเป็นค่าเฉลี่ยไป ทำให้ไม่ต้องสนใจเวลาที่ตลาดขึ้นหรือลง เพราะสุดท้ายการลงทุนแบบค่าเฉลี่ยจะทำให้เราไม่ผันผวนเอง และจากการศึกษาพบว่าการลงทุนเฉลี่ยทุกเดือนให้ผลตอบแทนที่ดีว่าการลงทุนจำนวนมากเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปี
นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ผู้ลงทุนจะได้รับ ทั้งจากการ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท และ กำไรที่ผู้ลงทุนได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ หากลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว
การลงทุนใน LTF ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นของ บลจ.ใดก็ตาม ยังต้องพิจารณาถึงนโยบายการลงทุน มากกว่าการคำนึงถึงของแจก ของแถม ที่แต่ละ บลจ.สรรหามาจูงใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายที่จะมีการกระจุกตัวของเม็ดเงินลงทุนมากที่สุด
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย แนะวิธีตัดสินใจเลือกลงทุนว่า ให้พิจารณานโยบายของแต่ละกองทุนเปรียบเทียบกันถึงข้อดีข้อเสีย โดยมีสไตล์การลงทุนของผู้ซื้อแต่ละคนเป็นเกณฑ์
อยากให้ดูว่านโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน เพราะ LTF ก็จะมีแตกต่างกัน บางกองลงทุนตัวใหญ่ บางกองลงทุนตัวเล็ก บางกองลงทุนทั่วไป เป็นกลุ่ม บางกองจ่ายปันผล บางกองไม่จ่ายปันผล ถ้าเห็นว่าตลาดผันผวน กองที่จ่ายปันผลก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ ดูผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุน แม้ผลงานในอดีตจะไม่ได้การันตีในอนาคต แต่อย่างน้อยก็ดูว่าเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แล้ว ทำได้ดีกว่าอย่างไร เพื่อให้เห็นแนวทางว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องของแถม อยากให้เป็นประเด็นรอง เพราะการซื้อ LTF เป็นการลงทุนระยะยาว ถ้ามัวแต่ห่วงของแถมอาจจะไม่คุ้มกัน
ถึงแม้ว่าจากนี้ไปจะไม่มีการจัดตั้งกองทุน LTF กองใหม่แล้ว แต่ผู้ลงทุนจะยังสามารถลงทุนในกองทุน LTF ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ก่อนวันที่ 30 มิ.ย. 2550 ได้จนถึงปี 2559 และจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ไปจนถึงปี 2563
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
Posted on Monday, December 03, 2007
เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนเท่านั้น สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่รับสิทธิในการนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีนี้ แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวน การลงทุนในกองทุน LTF ส่งท้ายปีนี้ อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น หากจะต้องถือหน่วยลงทุนเอาไว้อีกอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บลจ.แทบทุกแห่งได้เปิดตัวกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อให้ทันเส้นตายของสำนักงาน ก.ล.ต.ที่ให้มีจัดตั้งกองใหม่ได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ทำให้ปัจจุบันมีกองทุน LTF รวมทั้งสิ้น 53 กองทุน จาก 21 บลจ. ซึ่งส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยผลประกอบการธุรกิจกองทุน 9 เดือนแรก ในส่วนของกองทุน LTF จำนวน 33 กองทุน มีกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 25 กองทุน โดยอันดับที่ 1 2 - 3 สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบ 9 เดือนแรกได้คิด 38.45% 36.80% และ 36.78% ตามลำดับ
ปัจจุบันรูปแบบของกองทุน LTF มีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่นโยบายการลงทุนจะเน้นในหุ้นเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% แต่ล่าสุดหลาย บลจ.มีการปรับกลยุทธ์ให้มีความแตกต่างกันพอสมควร โดยกลุ่มแรกจะเป็น กองทุนที่มีลักษณะการบริหารเหมือนกองทุนหุ้นทั่ว ๆ ไป คือมีเป้าหมายของการบริหารจัดการเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน โดยในพอร์ตจะมีสัดส่วนของหุ้นในเกณฑ์สูงโดยเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 90% ของทรัพย์สินทั้งหมด กลุ่มที่สอง คือ กองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้นเพียง 65 - 75% ส่วนเงินที่เหลือก็จะนำไปลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี และกลุ่มสุดท้ายจะเป็นกองทุนใหม่ที่มีการนำเครื่องมือลงทุนรูปแบบใหม่ๆ มาผสมผสานด้วย เช่น อนุพันธ์ต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์การลดความเสี่ยง หรือนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสของผลตอบแทน
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการบลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำกองทุน LTS ซึ่งเป็นกองทุน LTF ที่มีนโยบายการลงทุนแบบใหม่ที่น่าสนใจ
LT Smart หรือ LTS เราใช้ตราสารอนุพันธ์ผสมเข้าไปในการลงทุนให้ movement ของกองทุน หรือว่า เทียบเท่าแล้วกองทุนลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 30% ซึ่งตามหลักเกณฑ์ต้องลงทุนในหุ้น 65% แต่เรามี Sort Position ของ Futures บวกเข้าไป ทำให้เหมาะกับช่วงเวลานี้ ถ้าอยากจะเข้าไปลงทุนแต่กลัวตลาดผันผวน เห็นตลาดตกแรงในบางช่วงเวลา แต่ว่าต้องลงกันก่อนก่อนสิ้นปี ก็คิดว่าน่าจะเป็นสีสันในช่วง 2 เดือนสุดท้าย
ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดการลงทุนในกองทุน LTF จะต้องถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนลังเลที่จะลงทุนระหว่างปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน และมักจะตัดสินใจซื้อเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปี เพื่อเป้าหมายสำคัญคือลดหย่อนภาษี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการลงทุนในกองทุน LTF แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น และการลงทุนแบบเฉลี่ยทุกเดือนยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีกว่า
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการลงทุน บลจ. อยุธยา แนะนำว่าในแง่ของการลงทุนระยะยาว ไม่ควรสนใจความผันผวนของตลาด เพราะอย่าง RMF เราต้องลงทุนไปจนถึงอายุ 55 ปี ส่วน LTF ต้องลงทุนนานถึง 5 ปี การผันผวนในระยะสั้นจึงไม่น่าจะมีผลต่อการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราอยากจะลดความผันผวน วิธีที่ดีที่สุดคือลงทุนแบบทุกเดือน แบบเป็นค่าเฉลี่ยไป ทำให้ไม่ต้องสนใจเวลาที่ตลาดขึ้นหรือลง เพราะสุดท้ายการลงทุนแบบค่าเฉลี่ยจะทำให้เราไม่ผันผวนเอง และจากการศึกษาพบว่าการลงทุนเฉลี่ยทุกเดือนให้ผลตอบแทนที่ดีว่าการลงทุนจำนวนมากเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปี
นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ผู้ลงทุนจะได้รับ ทั้งจากการ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท และ กำไรที่ผู้ลงทุนได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ หากลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว
การลงทุนใน LTF ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นของ บลจ.ใดก็ตาม ยังต้องพิจารณาถึงนโยบายการลงทุน มากกว่าการคำนึงถึงของแจก ของแถม ที่แต่ละ บลจ.สรรหามาจูงใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายที่จะมีการกระจุกตัวของเม็ดเงินลงทุนมากที่สุด
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย แนะวิธีตัดสินใจเลือกลงทุนว่า ให้พิจารณานโยบายของแต่ละกองทุนเปรียบเทียบกันถึงข้อดีข้อเสีย โดยมีสไตล์การลงทุนของผู้ซื้อแต่ละคนเป็นเกณฑ์
อยากให้ดูว่านโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน เพราะ LTF ก็จะมีแตกต่างกัน บางกองลงทุนตัวใหญ่ บางกองลงทุนตัวเล็ก บางกองลงทุนทั่วไป เป็นกลุ่ม บางกองจ่ายปันผล บางกองไม่จ่ายปันผล ถ้าเห็นว่าตลาดผันผวน กองที่จ่ายปันผลก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ ดูผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุน แม้ผลงานในอดีตจะไม่ได้การันตีในอนาคต แต่อย่างน้อยก็ดูว่าเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แล้ว ทำได้ดีกว่าอย่างไร เพื่อให้เห็นแนวทางว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องของแถม อยากให้เป็นประเด็นรอง เพราะการซื้อ LTF เป็นการลงทุนระยะยาว ถ้ามัวแต่ห่วงของแถมอาจจะไม่คุ้มกัน
ถึงแม้ว่าจากนี้ไปจะไม่มีการจัดตั้งกองทุน LTF กองใหม่แล้ว แต่ผู้ลงทุนจะยังสามารถลงทุนในกองทุน LTF ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ก่อนวันที่ 30 มิ.ย. 2550 ได้จนถึงปี 2559 และจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ไปจนถึงปี 2563
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/12/07
โพสต์ที่ 501
สสว.เผยดัชนีความเชื่อมั่น ธุรกิจ SMEs เดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้น แต่ภาคเหนือยังไม่ดีขึ้น
Posted on Monday, December 03, 2007
นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการของภาคธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (TRADE & SERVICE SENTIMENT INDEX : TSSI) ประจำเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สรุปสาระสำคัญได้ว่า ดัชนี TSSI SMEs รวมภาคการค้าและบริการ มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 41.3 จุด ในเดือนกันยายน มายืนที่ 42.6 จุด โดยภาคการค้าปลีก และภาคบริการ ปรับตัวดีขึ้น จาก 40.0 จุด มาที่ 41.3 จุด และจาก 42.6 จุด มาเป็น 44.6 จุด ตามลำดับ เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นต่อธุรกิจตนเอง ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 26.2 จุด มาอยู่ที่ระดับ 33.6 จุด และจาก 35.1 จุด ขึ้นมาที่ 41.2 จุด ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ภาคการค้าส่ง ค่าดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยมา จากระดับ 41.5 จุด ในเดือนก่อนหน้า ลงมาอยู่ที่ระดับ 41.2 จุด
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาผลสำรวจลงลึกรายละเอียดในแง่ประเภทอุตสาหกรรม จะพบด้วยว่า เกือบทุกสาขาธุรกิจ มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อพิจารณาแยกเป็นประเภทกิจการ ในส่วนของภาคการค้าส่งนั้น ธุรกิจค้าส่งวัสดุก่อสร้าง มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 42.2 จุด (เทียบกับ 38.6 จุดในเดือนกันยายน) เนื่องจากผ่านพ้นช่วงฤดูฝน ประกอบกับเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวจึงมีการก่อสร้าง รวมถึงการปรับปรุงสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
สำหรับภาคการค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจที่มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 42.9 จุด (จากระดับ 38.2 จุด ) เนื่องจากช่วงไตรมาสสุดท้ายค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ได้มีการจัดรายการส่งเสริมการขายเร็วและแรงกว่าทุกปี เพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ส่วนภาคบริการสันทนาการ วัฒนธรรม การกีฬา มีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นมากที่สุด และเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับทุกประเภทธุรกิจที่ทำการสำรวจ โดยค่าดัชนีอยู่ที่ 47.9 จุด ( เทียบกับระดับ 42.6 จุด ในเดือนกันยายน ) เนื่องจากเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการในรูปแบบต่างมากขึ้น ประกอบกับช่วงเวลาที่ทำการสำรวจยังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน จึงมีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา มาใช้บริการ โดยเฉพาะร้านอินเตอร์เนต ร้านเกมส์ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยอดการให้บริการและกำไรเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่น TSSI SMEs ประจำเดือนตุลาคม ที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใหญ่มีผลมาจากยอดขาย และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 สะท้อนว่าแม้ผู้ประกอบการจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อำนาจซื้อที่ลดลง รวมทั้งต้นทุนสินค้าและราคาขนส่งที่เพิ่มขึ้นซึ่งมีผลมาจากระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้อำนวยการ สสว. ยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการ ด้วยว่า มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 48.4 จุด จากระดับ 48.0 จุดในเดือนก่อน
และเมื่อพิจารณาแยกตามประเภทกิจการ พบว่า ภาคการค้าส่ง ภาคการค้าปลีก ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเล้กน้อย เป็น 48.9 จุด และ 48.0 จุด ตามลำดับ ขณะที่ภาคบริการ ค่าดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อย มายืนที่ 48.5 จุด แต่เนื่องจากค่าดัชนียังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 50 จุด แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก
สำหรับดัชนี SMEs รวมภาคการค้าและบริการรายภูมิภาค ทั้ง 5 ภูมิภาค เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นภูมิภาคที่มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด อยู่ที่ระดับ 44.3 จุด จากระดับ 41.3 จุดในเดือนก่อนหน้า รองลงไปเป็นภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ตามมาด้วยภาคอีสาน
ส่วนภาคใต้ ค่าดัชนีทรงตัว ที่ระดับ 43.0 จุด มีเพียงแค่ภาคเหนือเท่านั้น ที่ค่าดัชนีปรับตัวลดลงจากเดือนกันยายน ที่ 41.6 จุด มาที่ 40.7 จุด
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, December 03, 2007
นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการของภาคธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (TRADE & SERVICE SENTIMENT INDEX : TSSI) ประจำเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สรุปสาระสำคัญได้ว่า ดัชนี TSSI SMEs รวมภาคการค้าและบริการ มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 41.3 จุด ในเดือนกันยายน มายืนที่ 42.6 จุด โดยภาคการค้าปลีก และภาคบริการ ปรับตัวดีขึ้น จาก 40.0 จุด มาที่ 41.3 จุด และจาก 42.6 จุด มาเป็น 44.6 จุด ตามลำดับ เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นต่อธุรกิจตนเอง ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 26.2 จุด มาอยู่ที่ระดับ 33.6 จุด และจาก 35.1 จุด ขึ้นมาที่ 41.2 จุด ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ภาคการค้าส่ง ค่าดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยมา จากระดับ 41.5 จุด ในเดือนก่อนหน้า ลงมาอยู่ที่ระดับ 41.2 จุด
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาผลสำรวจลงลึกรายละเอียดในแง่ประเภทอุตสาหกรรม จะพบด้วยว่า เกือบทุกสาขาธุรกิจ มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อพิจารณาแยกเป็นประเภทกิจการ ในส่วนของภาคการค้าส่งนั้น ธุรกิจค้าส่งวัสดุก่อสร้าง มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 42.2 จุด (เทียบกับ 38.6 จุดในเดือนกันยายน) เนื่องจากผ่านพ้นช่วงฤดูฝน ประกอบกับเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวจึงมีการก่อสร้าง รวมถึงการปรับปรุงสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
สำหรับภาคการค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจที่มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 42.9 จุด (จากระดับ 38.2 จุด ) เนื่องจากช่วงไตรมาสสุดท้ายค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ได้มีการจัดรายการส่งเสริมการขายเร็วและแรงกว่าทุกปี เพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ส่วนภาคบริการสันทนาการ วัฒนธรรม การกีฬา มีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นมากที่สุด และเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับทุกประเภทธุรกิจที่ทำการสำรวจ โดยค่าดัชนีอยู่ที่ 47.9 จุด ( เทียบกับระดับ 42.6 จุด ในเดือนกันยายน ) เนื่องจากเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการในรูปแบบต่างมากขึ้น ประกอบกับช่วงเวลาที่ทำการสำรวจยังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน จึงมีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา มาใช้บริการ โดยเฉพาะร้านอินเตอร์เนต ร้านเกมส์ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยอดการให้บริการและกำไรเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่น TSSI SMEs ประจำเดือนตุลาคม ที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใหญ่มีผลมาจากยอดขาย และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 สะท้อนว่าแม้ผู้ประกอบการจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อำนาจซื้อที่ลดลง รวมทั้งต้นทุนสินค้าและราคาขนส่งที่เพิ่มขึ้นซึ่งมีผลมาจากระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้อำนวยการ สสว. ยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการ ด้วยว่า มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 48.4 จุด จากระดับ 48.0 จุดในเดือนก่อน
และเมื่อพิจารณาแยกตามประเภทกิจการ พบว่า ภาคการค้าส่ง ภาคการค้าปลีก ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเล้กน้อย เป็น 48.9 จุด และ 48.0 จุด ตามลำดับ ขณะที่ภาคบริการ ค่าดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อย มายืนที่ 48.5 จุด แต่เนื่องจากค่าดัชนียังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 50 จุด แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก
สำหรับดัชนี SMEs รวมภาคการค้าและบริการรายภูมิภาค ทั้ง 5 ภูมิภาค เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นภูมิภาคที่มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด อยู่ที่ระดับ 44.3 จุด จากระดับ 41.3 จุดในเดือนก่อนหน้า รองลงไปเป็นภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ตามมาด้วยภาคอีสาน
ส่วนภาคใต้ ค่าดัชนีทรงตัว ที่ระดับ 43.0 จุด มีเพียงแค่ภาคเหนือเท่านั้น ที่ค่าดัชนีปรับตัวลดลงจากเดือนกันยายน ที่ 41.6 จุด มาที่ 40.7 จุด
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/12/07
โพสต์ที่ 502
จีดีพีอุตฯปี2551 คาดขยับกว่า5%
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวถึง สถานการณ์อุตสาหกรรมไทยหลัง จัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า อัตราการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม (จีดีพี) ในปี 2551 จะโตต่อเนื่อง 5.1 % เพิ่มจากปีก่อน 0.6 % หรือประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท
ขณะดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม คาดจะขยาย 8% เพิ่มจากปี 2550 ที่อยู่ระดับ 7.7% ปัจจัยสำคัญที่ส่งผล ให้อุตสาหกรรมดีขึ้น คือการบริโภคและการลงทุนในประเทศคาดจะเพิ่มขึ้น สามารถชดเชยในการส่งออกที่ มีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อยได้
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้จีดีพีอุตสาหกรรมโต ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งออกเพิ่มเฉลี่ย 10-12% จากความต้องการสินค้าเทคโนโลยีตลาดทั่วโลกเพิ่ม 2.อุตสาหกรรมรถยนต์ คาดจะผลิต 1.4 ล้านคัน ขยายตัว 12% แยกเป็นส่งออก 7 แสนคันและขายในประเทศ 7 แสนคัน 3.อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่มห่ม ในกลุ่มของด้ายและ ผ้าผืนคาดเพิ่ม 8.8% ส่วนส่งออกขยายตัว 10% กลุ่มเครื่องนุ่งห่มหรือเสื้อผ้าสำเร็จรูปขยายตัว 2.1% และ 4.อุตสาหกรรมอาหาร ภาพรวมการส่ง ออกสินค้าอาหารทั้งหมด เช่น ข้าว ปาล์มน้ำมัน ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาลฯ มีมูลค่าส่งออก 1.9 หมื่น ล้านบาท ขยายตัว 10%
เชื่อว่าหลังการเลือกตั้ง จะ เห็นภาพชัดเจนของรัฐบาลใหม่ ซึ่ง จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่น กับภาคเอกชน รวมทั้งจะเริ่มมี เม็ดเงินจากเมกะโปรเจกต์เข้าสู่ระบบในปี 2551 แต่ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยง เช่นราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่องแตะ 85-90 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรล ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงปีหน้า นางอรรชกา กล่าว
ดัชนีอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ดัชนีผลผลิตอุตฯขยายตัว 11.4% เทียบเดือน ก.ย. ที่ระดับ 10.3%
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 297&ch=227
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวถึง สถานการณ์อุตสาหกรรมไทยหลัง จัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า อัตราการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม (จีดีพี) ในปี 2551 จะโตต่อเนื่อง 5.1 % เพิ่มจากปีก่อน 0.6 % หรือประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท
ขณะดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม คาดจะขยาย 8% เพิ่มจากปี 2550 ที่อยู่ระดับ 7.7% ปัจจัยสำคัญที่ส่งผล ให้อุตสาหกรรมดีขึ้น คือการบริโภคและการลงทุนในประเทศคาดจะเพิ่มขึ้น สามารถชดเชยในการส่งออกที่ มีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อยได้
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้จีดีพีอุตสาหกรรมโต ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งออกเพิ่มเฉลี่ย 10-12% จากความต้องการสินค้าเทคโนโลยีตลาดทั่วโลกเพิ่ม 2.อุตสาหกรรมรถยนต์ คาดจะผลิต 1.4 ล้านคัน ขยายตัว 12% แยกเป็นส่งออก 7 แสนคันและขายในประเทศ 7 แสนคัน 3.อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่มห่ม ในกลุ่มของด้ายและ ผ้าผืนคาดเพิ่ม 8.8% ส่วนส่งออกขยายตัว 10% กลุ่มเครื่องนุ่งห่มหรือเสื้อผ้าสำเร็จรูปขยายตัว 2.1% และ 4.อุตสาหกรรมอาหาร ภาพรวมการส่ง ออกสินค้าอาหารทั้งหมด เช่น ข้าว ปาล์มน้ำมัน ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาลฯ มีมูลค่าส่งออก 1.9 หมื่น ล้านบาท ขยายตัว 10%
เชื่อว่าหลังการเลือกตั้ง จะ เห็นภาพชัดเจนของรัฐบาลใหม่ ซึ่ง จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่น กับภาคเอกชน รวมทั้งจะเริ่มมี เม็ดเงินจากเมกะโปรเจกต์เข้าสู่ระบบในปี 2551 แต่ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยง เช่นราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่องแตะ 85-90 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรล ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงปีหน้า นางอรรชกา กล่าว
ดัชนีอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ดัชนีผลผลิตอุตฯขยายตัว 11.4% เทียบเดือน ก.ย. ที่ระดับ 10.3%
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 297&ch=227
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/12/07
โพสต์ที่ 503
กสิกรไทยชี้แนวโน้มการลงทุนปีหน้าขยายตัว 4.8-8.2%
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 ธันวาคม 2550 17:21 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ ราคาน้ำมันและการเมืองจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของการลงทุนในปี 2551 ซึ่งเป็นที่คาดหวังกันว่าการลงทุนในปีข้างหน้าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.8-8.2
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่าการลงทุนโดยรวมของประเทศในปี 2551 มีโอกาสขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 4.8-8.2 โดยการลงทุนของภาคเอกชนจะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0-7.4 ขณะที่การลงทุนของภาครัฐ จะขยายตัวประมาณร้อยละ 6.9-10.7
จากในปี 2550 การลงทุนจะมีอัตราการขยายตัว (ณ ราคาคงที่) ประมาณร้อยละ 1.1 ชะลอตัวลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 ในปี 2549 โดยคาดว่าการลงทุนของภาคเอกชนจะอยู่ในระดับคงที่ (ขยายตัวร้อยละ 0.0) ชะลอตัวลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 ในปีก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนของภาครัฐจะขยายตัวร้อยละ 4.6 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 ในปีก่อนหน้า
แนวโน้มการลงทุนในปี 2551 ในกรณีพื้นฐาน (Base Case) คาดว่า ภายหลังจากมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งการลงทุนมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ข้อสมมติในกรณีพื้นฐาน ที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปี 2551 จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 78.9 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล ในกรณีนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะยังไม่สูงนัก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังสามารถรักษาระดับที่ต่ำไปได้อย่างต่อเนื่อง ในกรณีพื้นฐาน
สำหรับในกรณีเลวร้ายที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นรวดเร็วในปี 2551 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุน เป็นสองกรณีคือ กรณีเลวร้าย (Worse Case) คือราคาน้ำมันดิบเบรนท์สูงขึ้นมามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 88.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คาดว่าการเติบโตของการลงทุนในปี 2551 จะต่ำลงมาอยู่ในช่วงร้อยละ 3.0-6.0 และกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) คือราคาสูงขึ้นมาที่ 98.9 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล คาดว่าการลงทุนอาจจะต่ำลงมาอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0-4.0
ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการลงทุนภาคเอกชนที่คงจะมีการขยายตัวต่ำลงค่อนข้างมาก จากผลกระทบราคาน้ำมันที่จะมีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวภาครัฐน่าจะยังคงรักษาบทบาทที่จะเป็นแกนหลักในการผลักดันให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งในภาวะที่แนวโน้มราคาน้ำมันจะยังคงสูงขึ้นน่าจะทำให้โครงการลงทุนด้านพลังงานและโลจิสติกส์ถูกกำหนดให้มีความสำคัญเร่งด่วน จึงคาดว่าการลงทุนของภาครัฐแม้จะขยายตัวต่ำลงกว่ากรณีพื้นฐานแต่ก็น่าจะเติบโตในอัตราที่สูงกว่าการลงทุนของภาคเอกชน
ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยในปี 2551 นี้นับเป็นปัญหาในระยะสั้น แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือปัจจุบัน ปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่และจะมีผลถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว นั่นคือปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่ภาคธุรกิจเอกชนของไทยจะต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดต่างประเทศที่รุนแรงกับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า ขณะที่การเปิดเสรีการค้าสินค้าและบริการจะทำธุรกิจต่างชาติรุกเข้ามาในตลาดภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
นับจากเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 จนถึงปัจจุบันนี้ เวลาผ่านไป 10 ปี แต่พัฒนาการของผู้ประกอบการไทยยังเป็นไปอย่างล่าช้า เศรษฐกิจยังคงพึ่งพาการส่งออกสูง รวมทั้งการส่งออกที่เติบโตสูงในระยะที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งอาศัยประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการลงทุนที่เข้ามาจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ท่ามกลางสภาวการณ์การแข่งขันที่รุนแรงและปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบที่นับวันจะยิ่งปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ ธุรกิจจำเป็นต้องหาแนวทางปรับตัวเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตรวมถึงความพยายามในการลดต้นทุนในองค์กรอย่างจริงจัง กระบวนการดังกล่าวจำเป็นต้องมีการลงทุน เช่น การปรับระบบการผลิตโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทดแทนแรงงาน หรือการปรับผลิตภัณฑ์มุ่งตลาด Niche ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนา
ในช่วงที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงปีข้างหน้า (และจะค่อยๆกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเศรษฐกิจกลับมาสู่โครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมที่ประเทศมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด) ในด้านหนึ่งนับว่าเป็นช่วงจังหวะที่ผู้ประกอบการที่ต้องมีการลงทุนขยายธุรกิจ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือการลงทุนเพื่อปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันในด้านต่างๆ ที่ต้องอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศ จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนการนำเข้าที่ลดลงจากค่าเงินบาทที่แข็งเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ฯ
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000144396
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 ธันวาคม 2550 17:21 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ ราคาน้ำมันและการเมืองจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของการลงทุนในปี 2551 ซึ่งเป็นที่คาดหวังกันว่าการลงทุนในปีข้างหน้าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.8-8.2
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่าการลงทุนโดยรวมของประเทศในปี 2551 มีโอกาสขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 4.8-8.2 โดยการลงทุนของภาคเอกชนจะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0-7.4 ขณะที่การลงทุนของภาครัฐ จะขยายตัวประมาณร้อยละ 6.9-10.7
จากในปี 2550 การลงทุนจะมีอัตราการขยายตัว (ณ ราคาคงที่) ประมาณร้อยละ 1.1 ชะลอตัวลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 ในปี 2549 โดยคาดว่าการลงทุนของภาคเอกชนจะอยู่ในระดับคงที่ (ขยายตัวร้อยละ 0.0) ชะลอตัวลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 ในปีก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนของภาครัฐจะขยายตัวร้อยละ 4.6 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 ในปีก่อนหน้า
แนวโน้มการลงทุนในปี 2551 ในกรณีพื้นฐาน (Base Case) คาดว่า ภายหลังจากมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งการลงทุนมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ข้อสมมติในกรณีพื้นฐาน ที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปี 2551 จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 78.9 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล ในกรณีนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะยังไม่สูงนัก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังสามารถรักษาระดับที่ต่ำไปได้อย่างต่อเนื่อง ในกรณีพื้นฐาน
สำหรับในกรณีเลวร้ายที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นรวดเร็วในปี 2551 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุน เป็นสองกรณีคือ กรณีเลวร้าย (Worse Case) คือราคาน้ำมันดิบเบรนท์สูงขึ้นมามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 88.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คาดว่าการเติบโตของการลงทุนในปี 2551 จะต่ำลงมาอยู่ในช่วงร้อยละ 3.0-6.0 และกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) คือราคาสูงขึ้นมาที่ 98.9 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล คาดว่าการลงทุนอาจจะต่ำลงมาอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0-4.0
ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการลงทุนภาคเอกชนที่คงจะมีการขยายตัวต่ำลงค่อนข้างมาก จากผลกระทบราคาน้ำมันที่จะมีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวภาครัฐน่าจะยังคงรักษาบทบาทที่จะเป็นแกนหลักในการผลักดันให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งในภาวะที่แนวโน้มราคาน้ำมันจะยังคงสูงขึ้นน่าจะทำให้โครงการลงทุนด้านพลังงานและโลจิสติกส์ถูกกำหนดให้มีความสำคัญเร่งด่วน จึงคาดว่าการลงทุนของภาครัฐแม้จะขยายตัวต่ำลงกว่ากรณีพื้นฐานแต่ก็น่าจะเติบโตในอัตราที่สูงกว่าการลงทุนของภาคเอกชน
ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยในปี 2551 นี้นับเป็นปัญหาในระยะสั้น แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือปัจจุบัน ปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่และจะมีผลถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว นั่นคือปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่ภาคธุรกิจเอกชนของไทยจะต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดต่างประเทศที่รุนแรงกับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า ขณะที่การเปิดเสรีการค้าสินค้าและบริการจะทำธุรกิจต่างชาติรุกเข้ามาในตลาดภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
นับจากเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 จนถึงปัจจุบันนี้ เวลาผ่านไป 10 ปี แต่พัฒนาการของผู้ประกอบการไทยยังเป็นไปอย่างล่าช้า เศรษฐกิจยังคงพึ่งพาการส่งออกสูง รวมทั้งการส่งออกที่เติบโตสูงในระยะที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งอาศัยประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการลงทุนที่เข้ามาจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ท่ามกลางสภาวการณ์การแข่งขันที่รุนแรงและปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบที่นับวันจะยิ่งปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ ธุรกิจจำเป็นต้องหาแนวทางปรับตัวเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตรวมถึงความพยายามในการลดต้นทุนในองค์กรอย่างจริงจัง กระบวนการดังกล่าวจำเป็นต้องมีการลงทุน เช่น การปรับระบบการผลิตโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทดแทนแรงงาน หรือการปรับผลิตภัณฑ์มุ่งตลาด Niche ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนา
ในช่วงที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงปีข้างหน้า (และจะค่อยๆกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเศรษฐกิจกลับมาสู่โครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมที่ประเทศมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด) ในด้านหนึ่งนับว่าเป็นช่วงจังหวะที่ผู้ประกอบการที่ต้องมีการลงทุนขยายธุรกิจ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือการลงทุนเพื่อปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันในด้านต่างๆ ที่ต้องอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศ จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนการนำเข้าที่ลดลงจากค่าเงินบาทที่แข็งเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ฯ
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000144396
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/12/07
โพสต์ที่ 504
หวั่นซับไพรม์-น้ำมันฉุดหุ้นปีชวด ลุ้นกำไรบจ.ดันดัชนีทะลุเกินพันจุด
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 ธันวาคม 2550 07:41 น.
นักวิเคราะห์ยังห่วงปัญหาซับไพรม์-ราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อ กระทบตลาดหุ้นปีหน้า ระบุยังมีปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้นการลงทุน โดยเฉพาะการเติบโตของกำไรบจ. ที่เฉลี่ยสูงถึง 18.4% ขณะที่ยังเชื่อจะมีเงินไหลเข้ามาเอเชียเพิ่ม ด้านสมบัติ โชว์ผลสำรวจดัชนีรอบล่าสุดมองดัชนีสิ้นปี 885 จุด ขณะที่สิ้นปีหน้า 1,030 จุด ส่วนจีดีพีโต 4.9%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงหลังจากนี้ 1 ปีปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุน คือ ปัจจัยทางการด้านการเมืองเนื่องจากคาดว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งปลายปีและสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อย รวมถึงกระแสเงินไหลเข้าที่ยังมีแนวโน้มที่เงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วเอเชียได้อีก
นอกจากนี้แนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ซึ่งค่าเฉลี่ยนักวิเคราะห์คาดว่าในปีหน้าอัตราการเติบโตกำไรต่อหุ้นของบจ.เฉลี่ยอยู่ที่ 18.4% โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 126.4% เนื่องจากไม่ต้องมีการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ ในขณะที่อุตสาหกรรมที่จะฟื้นตัวจากพื้นฐานเศรษฐกิจจริง คือ อสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 16.6% ตามมาด้วยกลุ่มปิโตรเคมี 13.8% กลุ่มพลังงาน 11.2% กลุ่มเดินเรือ 8.1% เป็นต้น
"ค่าเฉลี่ยการเติบโตของ EPS อยู่ที่ 18.4% แต่ตัวเลขสูงสุดที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อยู่ที่ 35% ขณะที่ต่ำสุดที่คาดการณ์อยู่ที่เพียง 4.5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่างกัน แต่การคาดการณ์ที่ต่างกันเกิดขึ้นได้หลายปัจจัยโดยเฉพาะการตั้งสมมติฐานที่ต่างกัน เช่น มุมมองต่อกำไรของบริษัทในกลุ่มพลังงานซึ่งมีสัดส่วนถึง 40% ของกำไรทั้งตลาด " นายสมบัติกล่าว
สำหรับปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อการลงทุน ส่วนใหญ่ยังมองว่าปัจจัยจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวได้อีก จากผลกระทบที่เกิดจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมถึงราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกจากปัจจุบัน ส่วนปัจจัยลบอื่นๆ ที่นักวิเคราะห์ยังค่อข้างกังวลไม่ว่าจะเป็น ความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง การเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับของนักลงทุนต่างชาติ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนแปลและค่าเงินซึ่งจะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐานได้
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการสำรวจการคาดการณ์เป้าหมายดัชนีสิ้นปีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 885 จุด จากเดิมอยู่ที่ 871 จุด ในขณะที่ดัชนีสิ้นปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,030 จุดจากเดิมอยู่ที่ 1,000 จุด ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจีดีพีจะเติบโตอยู่ในระดับเฉลี่ย 4.9% โดยนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์สูงสุดคาดว่าจะเติบโต 5.6% ส่วนนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ต่ำสุดคาดว่าจะเติบโต 4.9%
สำหรับในส่วนของค่าเงินบาทค่าเฉลี่ยในปีหน้าคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 32.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราดอกเบี้ย RP 1 วันเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 3.4% โดยนักวิเคราะห์ที่คาดสูงสุดอยู่ที่ 4.1% และต่ำสุดอยู่ที่ 2.5%
สำหรับมาตรการที่นักวิเคราะห์ต้องการเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งดำเนินการ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือ การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนในและการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภค ขนส่งมวลชนและระบบขนส่งตามมาด้วยเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการจัดการด้านกฎหมายและมาตรการสำคัญ โดยเฉพาะการเร่งความชัดเจนและใช้ความรอบคอบในการพิจารณากฎหมายสำคัญ เช่น พรบ.ค้าปลีกค้าส่ง พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รวมถึงมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นต้น
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000144049
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 ธันวาคม 2550 07:41 น.
นักวิเคราะห์ยังห่วงปัญหาซับไพรม์-ราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อ กระทบตลาดหุ้นปีหน้า ระบุยังมีปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้นการลงทุน โดยเฉพาะการเติบโตของกำไรบจ. ที่เฉลี่ยสูงถึง 18.4% ขณะที่ยังเชื่อจะมีเงินไหลเข้ามาเอเชียเพิ่ม ด้านสมบัติ โชว์ผลสำรวจดัชนีรอบล่าสุดมองดัชนีสิ้นปี 885 จุด ขณะที่สิ้นปีหน้า 1,030 จุด ส่วนจีดีพีโต 4.9%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงหลังจากนี้ 1 ปีปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุน คือ ปัจจัยทางการด้านการเมืองเนื่องจากคาดว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งปลายปีและสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อย รวมถึงกระแสเงินไหลเข้าที่ยังมีแนวโน้มที่เงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วเอเชียได้อีก
นอกจากนี้แนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ซึ่งค่าเฉลี่ยนักวิเคราะห์คาดว่าในปีหน้าอัตราการเติบโตกำไรต่อหุ้นของบจ.เฉลี่ยอยู่ที่ 18.4% โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 126.4% เนื่องจากไม่ต้องมีการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ ในขณะที่อุตสาหกรรมที่จะฟื้นตัวจากพื้นฐานเศรษฐกิจจริง คือ อสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 16.6% ตามมาด้วยกลุ่มปิโตรเคมี 13.8% กลุ่มพลังงาน 11.2% กลุ่มเดินเรือ 8.1% เป็นต้น
"ค่าเฉลี่ยการเติบโตของ EPS อยู่ที่ 18.4% แต่ตัวเลขสูงสุดที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อยู่ที่ 35% ขณะที่ต่ำสุดที่คาดการณ์อยู่ที่เพียง 4.5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่างกัน แต่การคาดการณ์ที่ต่างกันเกิดขึ้นได้หลายปัจจัยโดยเฉพาะการตั้งสมมติฐานที่ต่างกัน เช่น มุมมองต่อกำไรของบริษัทในกลุ่มพลังงานซึ่งมีสัดส่วนถึง 40% ของกำไรทั้งตลาด " นายสมบัติกล่าว
สำหรับปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อการลงทุน ส่วนใหญ่ยังมองว่าปัจจัยจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวได้อีก จากผลกระทบที่เกิดจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมถึงราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกจากปัจจุบัน ส่วนปัจจัยลบอื่นๆ ที่นักวิเคราะห์ยังค่อข้างกังวลไม่ว่าจะเป็น ความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง การเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับของนักลงทุนต่างชาติ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนแปลและค่าเงินซึ่งจะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐานได้
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการสำรวจการคาดการณ์เป้าหมายดัชนีสิ้นปีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 885 จุด จากเดิมอยู่ที่ 871 จุด ในขณะที่ดัชนีสิ้นปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,030 จุดจากเดิมอยู่ที่ 1,000 จุด ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจีดีพีจะเติบโตอยู่ในระดับเฉลี่ย 4.9% โดยนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์สูงสุดคาดว่าจะเติบโต 5.6% ส่วนนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ต่ำสุดคาดว่าจะเติบโต 4.9%
สำหรับในส่วนของค่าเงินบาทค่าเฉลี่ยในปีหน้าคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 32.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราดอกเบี้ย RP 1 วันเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 3.4% โดยนักวิเคราะห์ที่คาดสูงสุดอยู่ที่ 4.1% และต่ำสุดอยู่ที่ 2.5%
สำหรับมาตรการที่นักวิเคราะห์ต้องการเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งดำเนินการ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือ การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนในและการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภค ขนส่งมวลชนและระบบขนส่งตามมาด้วยเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการจัดการด้านกฎหมายและมาตรการสำคัญ โดยเฉพาะการเร่งความชัดเจนและใช้ความรอบคอบในการพิจารณากฎหมายสำคัญ เช่น พรบ.ค้าปลีกค้าส่ง พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รวมถึงมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นต้น
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000144049
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/12/07
โพสต์ที่ 505
ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อ 744 ล้านบาท แต่เบ็ดเสร็จสองวันทำการ ยอดขายสุทธิเพิ่มเป็น 2.4 พันล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, December 04, 2007
แม้จะมีแรงซื้อหุ้นโถมเข้ามาในภาคบ่าย แต่สุดท้าย ต่างชาติยังคงขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง วันนี้ขายอีก 744 ล้านบาท ปล่อยให้รายย่อย และสถาบันในประเทศ เก็บหุ้นเข้าพอร์ตต่อ และมีผลให้ตัวเลขซื้อสุทธิเดือนธันวาคม ขายสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ส่วนยอดซื้อสุทธิ 11 เดือน กับอีก 2 วันทำการ ปรับลดจาก 7.0 หมื่นล้านบาท ลงมาเหลือ 6.8 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 7,335.63 ขาย 6,598.20 รวม ซื้อสุทธิ 737.43
สถาบันในประเทศ 2,341.02 ขาย 2,334.23 รวม ซื้อสุทธิ 6.79
ต่างประเทศ ซื้อ 4,551.42 ขาย 5,295.64 รวม ขายสุทธิ 744.22
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 15,511.82 ขาย 13,712.32 รวม ซื้อสุทธิ 1,799.50
สถาบันในประเทศ ซื้อ 5,016.60 ขาย 4,391.04 รวม ซื้อสุทธิ 625.56
ต่างประเทศ ซื้อ 10,639.55 ขาย 13,064.59 รวม ขายสุทธิ 2,425.06
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,038,518.90 ขาย 2,099,114.17 รวม ขายสุทธิ 60,595.27
สถาบันในประเทศ ซื้อ 566,393.20 ขาย 574,100.76 รวม ขายสุทธิ 7,707.56
ต่างประเทศ ซื้อ 1,346,723.77 ขาย 1,278,420.94 รวม ซื้อสุทธิ 68,302.83
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, December 04, 2007
แม้จะมีแรงซื้อหุ้นโถมเข้ามาในภาคบ่าย แต่สุดท้าย ต่างชาติยังคงขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง วันนี้ขายอีก 744 ล้านบาท ปล่อยให้รายย่อย และสถาบันในประเทศ เก็บหุ้นเข้าพอร์ตต่อ และมีผลให้ตัวเลขซื้อสุทธิเดือนธันวาคม ขายสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ส่วนยอดซื้อสุทธิ 11 เดือน กับอีก 2 วันทำการ ปรับลดจาก 7.0 หมื่นล้านบาท ลงมาเหลือ 6.8 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 7,335.63 ขาย 6,598.20 รวม ซื้อสุทธิ 737.43
สถาบันในประเทศ 2,341.02 ขาย 2,334.23 รวม ซื้อสุทธิ 6.79
ต่างประเทศ ซื้อ 4,551.42 ขาย 5,295.64 รวม ขายสุทธิ 744.22
ยอดสะสม ตลอดเดือนธันวาคม 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 15,511.82 ขาย 13,712.32 รวม ซื้อสุทธิ 1,799.50
สถาบันในประเทศ ซื้อ 5,016.60 ขาย 4,391.04 รวม ซื้อสุทธิ 625.56
ต่างประเทศ ซื้อ 10,639.55 ขาย 13,064.59 รวม ขายสุทธิ 2,425.06
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 2,038,518.90 ขาย 2,099,114.17 รวม ขายสุทธิ 60,595.27
สถาบันในประเทศ ซื้อ 566,393.20 ขาย 574,100.76 รวม ขายสุทธิ 7,707.56
ต่างประเทศ ซื้อ 1,346,723.77 ขาย 1,278,420.94 รวม ซื้อสุทธิ 68,302.83
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 506
ลุ้นเลือกตั้ง ดึงเชื่อมั่นฟื้น ดันศก.โต5%
โพสต์ทูเดย์ ปลัดคลัง ลุ้นเลือกตั้งเรียกความเชื่อมั่น ผู้บริโภค และนักลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้าโตตามเป้า 5%
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุน เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2551 ที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายตัว 5% ซึ่งขณะนี้ยังไม่มั่นใจว่าความเชื่อมั่นจะเป็นปัจจัยบวก หรือลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ หากรัฐบาลจัดการเลือกตั้งให้ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีความวุ่นวาย ความเชื่อมั่นน่าจะกลับมาได้เร็ว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังต้องดูแลความผันผวนด้านการเงินระหว่างประเทศ ที่กระทบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุน และสินค้ามีราคาสูง
นอกจากนี้ ยังต้องดูแลความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งถือเป็นปัญหาระยะยาว หากไม่ได้รับการ ดูแล อาจไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า ปัจจัยบวกของเศรษฐกิจในปีหน้า มาจากการทำงบประมาณขาดดุล 1.65 แสนล้านบาท เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาคเอกชน ที่คาดว่าจะกลับมาดีขึ้น หลังจากที่ชะลอการลงทุนมานาน เนื่องจากปัญหาทางการเมือง รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ และลงทุนจากภาครัฐบาล ที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้
สำหรับการส่งออกในปีหน้า คาดว่าจะมีปริมาณการขยายตัว 5-6% ลดลงจากปี 2549 ที่ขยายตัวประมาณ 6.4% อย่างไรก็ตาม การกระจายปริมาณการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศใหม่ๆ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และประเทศในภูมิภาคอาเซียน จะช่วยทดแทนการส่งออกไปยังสหรัฐ ที่คาดว่าจะลดลง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207486
โพสต์ทูเดย์ ปลัดคลัง ลุ้นเลือกตั้งเรียกความเชื่อมั่น ผู้บริโภค และนักลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้าโตตามเป้า 5%
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุน เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2551 ที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายตัว 5% ซึ่งขณะนี้ยังไม่มั่นใจว่าความเชื่อมั่นจะเป็นปัจจัยบวก หรือลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ หากรัฐบาลจัดการเลือกตั้งให้ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีความวุ่นวาย ความเชื่อมั่นน่าจะกลับมาได้เร็ว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังต้องดูแลความผันผวนด้านการเงินระหว่างประเทศ ที่กระทบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุน และสินค้ามีราคาสูง
นอกจากนี้ ยังต้องดูแลความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งถือเป็นปัญหาระยะยาว หากไม่ได้รับการ ดูแล อาจไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า ปัจจัยบวกของเศรษฐกิจในปีหน้า มาจากการทำงบประมาณขาดดุล 1.65 แสนล้านบาท เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาคเอกชน ที่คาดว่าจะกลับมาดีขึ้น หลังจากที่ชะลอการลงทุนมานาน เนื่องจากปัญหาทางการเมือง รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ และลงทุนจากภาครัฐบาล ที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้
สำหรับการส่งออกในปีหน้า คาดว่าจะมีปริมาณการขยายตัว 5-6% ลดลงจากปี 2549 ที่ขยายตัวประมาณ 6.4% อย่างไรก็ตาม การกระจายปริมาณการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศใหม่ๆ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และประเทศในภูมิภาคอาเซียน จะช่วยทดแทนการส่งออกไปยังสหรัฐ ที่คาดว่าจะลดลง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207486
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 507
10 เดือนแรก มูลค่าการลงทุนจากญี่ปุ่นเพิ่ม 56%
สถิติการลงทุนจากต่างชาติในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2550 (มกราคม-ตุลาคม) มีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 679 โครงการ ลดลง 2.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 ที่มี่จำนวนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 697 โครงการ ส่วนมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ 10 เดือนแรก มีมูลค่า 378,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 ที่มูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุน 242,607 ล้านบาท
โดยประเทศที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุดคือ ประเทศญี่ปุ่น ช่วง 10 เดือนแรกมีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 262 โครงการ มูลค่าการลงทุน 88,812 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับ ปี 2549 ทั้งจำนวน และมูลค่าโครงการลดลง 12.4% และ 4.2% ตามลำดับ โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนญี่ปุ่นยื่นขอส่งเสริมการลงทุนสูงสุดคือ อุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วน ยานยนต์
ส่วนแผนการเดินทางไปชักจูงการลงทุน (โรดโชว์) จากญี่ปุ่น ในปี 2551 รวมจำนวนทั้งสิ้น 11 ครั้ง อาทิ โตเกียว, นาโกยา, ฟูกูโอกะ, ไซตามะ, นากาโน, อิชิกาวา, ฮิโรชิมา กิจกรรมจะมีทั้งการจัดสัมมนา เดินทางไปพบปะเจรจากับนักลงทุน เป้าหมายเจรจารายบริษัท นอกจากนั้นยังจะมีการนำคณะนักลงทุนจากญี่ปุ่นเดินทางมาประเทศไทยเพื่อดูลู่ทางการลงทุนด้วย อุตสาหกรรมเป้าหมายได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ แม่พิมพ์ และอาหารแปรรูป
ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะเผชิญกับปัจจัยภายนอกประเทศ "มากกว่า" ปัจจัยภายใน อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าที่ขยายตัวลดลง ปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวเศรษฐกิจของสหรัฐ แนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยสนับสนุนด้านการลงทุนมาจากอัตราดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นดีขึ้นจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์สำคัญในปีหน้าอีกหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า หลังจากที่รัฐชะลอการลงทุนจากปี 2549 จาก 4.5% เหลือ 3% ในปีนี้มี
ข้อน่าสังเกตว่า การขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 10 เดือนแรก ปี 2550 (ม.ค.-ต.ค.50) มีขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น 1,062 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 498,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมี 1,088 โครงการ รวมเงินลงทุน 414,500 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จำนวนโครงการที่ยื่นขอในช่วง 10 เดือนของปีนี้จะน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่มูลค่าเงินลงทุนกลับสูงกว่า แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศไทย จึงขยายการลงทุนมากกว่าเดิม
อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนของโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุด คือ กลุ่มสาธารณูปโภคและบริการ 145,000 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 114,000 ล้านบาท อันดับสาม คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 79,000 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรม ยานยนต์และชิ้นส่วน 70,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเกษตร 43,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ foreign direct investment : FDI ช่วง 10 เดือน ปี 2007 (2550) มีโครงการลงทุนจากต่างประเทศยื่นขอรับการส่งเสริม 679 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 378,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2006 ที่ผ่านมา ถึงร้อยละ 56 ซึ่งมี 697 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 242,606 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าต่างชาติยังเชื่อมั่นประเทศไทย
ญี่ปุ่นยังเป็นชาติที่ลงทุนในไทยมากที่สุด โดยในช่วง 10 เดือนมีโครงการลงทุนจากญี่ปุ่น ขอรับการส่งเสริมถึง 262 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 88,800 ล้านบาท รองลงมาเป็นสหรัฐอเมริกา 34 โครงการ มูลค่า 63,960 ล้านบาท อันดับ 3 คือ สิงคโปร์ 74 โครงการ มูลค่า 32,380 ล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0203
สถิติการลงทุนจากต่างชาติในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2550 (มกราคม-ตุลาคม) มีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 679 โครงการ ลดลง 2.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 ที่มี่จำนวนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 697 โครงการ ส่วนมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ 10 เดือนแรก มีมูลค่า 378,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 ที่มูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุน 242,607 ล้านบาท
โดยประเทศที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุดคือ ประเทศญี่ปุ่น ช่วง 10 เดือนแรกมีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 262 โครงการ มูลค่าการลงทุน 88,812 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับ ปี 2549 ทั้งจำนวน และมูลค่าโครงการลดลง 12.4% และ 4.2% ตามลำดับ โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนญี่ปุ่นยื่นขอส่งเสริมการลงทุนสูงสุดคือ อุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วน ยานยนต์
ส่วนแผนการเดินทางไปชักจูงการลงทุน (โรดโชว์) จากญี่ปุ่น ในปี 2551 รวมจำนวนทั้งสิ้น 11 ครั้ง อาทิ โตเกียว, นาโกยา, ฟูกูโอกะ, ไซตามะ, นากาโน, อิชิกาวา, ฮิโรชิมา กิจกรรมจะมีทั้งการจัดสัมมนา เดินทางไปพบปะเจรจากับนักลงทุน เป้าหมายเจรจารายบริษัท นอกจากนั้นยังจะมีการนำคณะนักลงทุนจากญี่ปุ่นเดินทางมาประเทศไทยเพื่อดูลู่ทางการลงทุนด้วย อุตสาหกรรมเป้าหมายได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ แม่พิมพ์ และอาหารแปรรูป
ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะเผชิญกับปัจจัยภายนอกประเทศ "มากกว่า" ปัจจัยภายใน อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าที่ขยายตัวลดลง ปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวเศรษฐกิจของสหรัฐ แนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยสนับสนุนด้านการลงทุนมาจากอัตราดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นดีขึ้นจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์สำคัญในปีหน้าอีกหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า หลังจากที่รัฐชะลอการลงทุนจากปี 2549 จาก 4.5% เหลือ 3% ในปีนี้มี
ข้อน่าสังเกตว่า การขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 10 เดือนแรก ปี 2550 (ม.ค.-ต.ค.50) มีขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น 1,062 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 498,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมี 1,088 โครงการ รวมเงินลงทุน 414,500 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จำนวนโครงการที่ยื่นขอในช่วง 10 เดือนของปีนี้จะน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่มูลค่าเงินลงทุนกลับสูงกว่า แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศไทย จึงขยายการลงทุนมากกว่าเดิม
อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนของโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุด คือ กลุ่มสาธารณูปโภคและบริการ 145,000 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 114,000 ล้านบาท อันดับสาม คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 79,000 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรม ยานยนต์และชิ้นส่วน 70,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเกษตร 43,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ foreign direct investment : FDI ช่วง 10 เดือน ปี 2007 (2550) มีโครงการลงทุนจากต่างประเทศยื่นขอรับการส่งเสริม 679 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 378,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2006 ที่ผ่านมา ถึงร้อยละ 56 ซึ่งมี 697 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 242,606 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าต่างชาติยังเชื่อมั่นประเทศไทย
ญี่ปุ่นยังเป็นชาติที่ลงทุนในไทยมากที่สุด โดยในช่วง 10 เดือนมีโครงการลงทุนจากญี่ปุ่น ขอรับการส่งเสริมถึง 262 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 88,800 ล้านบาท รองลงมาเป็นสหรัฐอเมริกา 34 โครงการ มูลค่า 63,960 ล้านบาท อันดับ 3 คือ สิงคโปร์ 74 โครงการ มูลค่า 32,380 ล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0203
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 508
คลังชงตั้งงบขาดดุล2ปี
โพสต์ทูเดย์ รมช.คลังเสนอตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มเป็น 2.5-3% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง 2 ปี เร่งใช้เงินในยามที่ค่าเงินบาทแข็งค่า
นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศมีจำนวนมากถึง 8.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทุนไหลเข้ายังมีต่อเนื่อง รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2552-2553 รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้นกว่าเดิม ให้อยู่ใน ช่วง 2.5-3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งขณะนี้ อยู่ที่ 8.4 ล้านล้านบาท
รมช.คลัง กล่าวว่า ถ้าตั้งงบขาดดุล 2.5-3% หมายถึงว่ารัฐบาลสามารถตั้งงบประมาณขาดดุลได้ 1.7-2.5 แสนล้านบาท จากเดิมในปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลจัดงบประมาณแบบขาดดุลไว้แค่ 1.65 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1.5-2% ของจีดีพี
นายสมหมาย กล่าวว่า ในการตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นนั้น รัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์และต้องมีการระบุวงเงินที่ใช้ให้ชัดเจน ว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเงินงบประมาณที่ตั้งแบบขาดดุลต้อง นำไปใช้เพื่อการลงทุน เพราะเป็น สิ่งสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะทั้งนี้สัดส่วนเงินลงทุนปัจจุบันอยู่ที่ 24-25% ของงบประมาณรายจ่าย แต่ถือว่ายังน้อยมาก ส่วนที่เหลือจึงจะนำไปใช้เพื่อการบริหารประเทศในด้านอื่นๆ
นายสมหมาย กล่าวว่า การเพิ่มการลงทุนในช่วงที่บาทแข็งทำให้รัฐบาลและผู้ลงทุนได้ประโยชน์ เพราะในการซื้อสินค้าทุนเครื่องจักร ก็ใช้เงินบาทไปแลกเงินเหรียญสหรัฐมาซื้อสินค้าทำให้มีภาระที่เป็นเงินบาทน้อยลง ทำให้ต้นทุนต่ำ ซึ่งเศรษฐกิจในช่วงต่อไปต้องพึ่งการใช้จ่ายภาครัฐ แทนการส่งออกที่ชะลอตัวลดลง
ตอนนี้เราพึ่งการส่งออกมากอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อน และค่าเงินบาทที่แข็งอยู่ในระดับนี้ ก็เหมาะสมดีอยู่แล้ว และเท่าที่ประเมินค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าไปอย่างนี้อีก 1-2 ปี จากเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง และทุนสำรองที่มากขึ้น ดังนั้นเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งการใช้จ่ายจากภาครัฐที่นำไปลงทุนมากขึ้น นายสมหมาย กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายสมหมาย กล่าวว่า ในช่วงที่รัฐทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้น รัฐบาลก็ควรอธิบายให้ประชาชนเกิดความเข้าใจถึงภาระการใช้จ่ายที่มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การใช้จ่ายเพื่อสาธารณสุข และการศึกษา เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ
ด้านผลข้างเคียงของการทำงบ ประมาณแบบขาดดุลอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ รัฐบาลจำเป็นต้องเก็บภาษีเพิ่ม โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มที่อาจจะต้องปรับขึ้นปีละ 1% จากเดิมที่เก็บอยู่ 7% ซึ่งจะทำให้รัฐได้เงินเพิ่มขึ้นมาใช้ในงบ ประมาณเพิ่มปีละ 4 หมื่นล้านบาท สามารถนำไปใช้จ่ายเพื่อการลงทุนต่างๆ ได้มากขึ้น และต้องกำหนดเป้าหมายว่ามีแผนงานที่จะลด การขาดดุลงบประมาณลงในปีงบ ประมาณ 2554
นายสมหมาย กล่าวว่า ในภาวะ ที่ค่าเงินบาทแข็งที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เร่งการใช้จ่ายเงิน เช่น การคืนหนี้ต่างประเทศ ซึ่งหนี้ดีๆ ก้อนใหญ่ได้มีการขึ้นไปหมดแล้ว มีการเร่งการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าซึ่งเป็นการลงทุนที่สำคัญ มีประโยชน์ ลดต้นทุนการเดินทางและการใช้น้ำมันของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ มีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ ในรูปของการนำไปฝากต่างประเทศ การไปซื้อหลักทรัพย์ และการซื้อทรัพย์สิน
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว ประเทศญี่ปุ่นใช้ในยามที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นก็มีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศในด้านต่างๆ และเวลาที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง ก็จะขายทรัพย์สินต่างๆ ที่ไปลงทุน ซึ่งก็ทำให้ได้กำไรจากค่าเงิน และทำให้ค่าเงินเยนมีเสถียรภาพ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207634
โพสต์ทูเดย์ รมช.คลังเสนอตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มเป็น 2.5-3% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง 2 ปี เร่งใช้เงินในยามที่ค่าเงินบาทแข็งค่า
นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศมีจำนวนมากถึง 8.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทุนไหลเข้ายังมีต่อเนื่อง รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2552-2553 รัฐบาลควรทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้นกว่าเดิม ให้อยู่ใน ช่วง 2.5-3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งขณะนี้ อยู่ที่ 8.4 ล้านล้านบาท
รมช.คลัง กล่าวว่า ถ้าตั้งงบขาดดุล 2.5-3% หมายถึงว่ารัฐบาลสามารถตั้งงบประมาณขาดดุลได้ 1.7-2.5 แสนล้านบาท จากเดิมในปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลจัดงบประมาณแบบขาดดุลไว้แค่ 1.65 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1.5-2% ของจีดีพี
นายสมหมาย กล่าวว่า ในการตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นนั้น รัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์และต้องมีการระบุวงเงินที่ใช้ให้ชัดเจน ว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเงินงบประมาณที่ตั้งแบบขาดดุลต้อง นำไปใช้เพื่อการลงทุน เพราะเป็น สิ่งสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะทั้งนี้สัดส่วนเงินลงทุนปัจจุบันอยู่ที่ 24-25% ของงบประมาณรายจ่าย แต่ถือว่ายังน้อยมาก ส่วนที่เหลือจึงจะนำไปใช้เพื่อการบริหารประเทศในด้านอื่นๆ
นายสมหมาย กล่าวว่า การเพิ่มการลงทุนในช่วงที่บาทแข็งทำให้รัฐบาลและผู้ลงทุนได้ประโยชน์ เพราะในการซื้อสินค้าทุนเครื่องจักร ก็ใช้เงินบาทไปแลกเงินเหรียญสหรัฐมาซื้อสินค้าทำให้มีภาระที่เป็นเงินบาทน้อยลง ทำให้ต้นทุนต่ำ ซึ่งเศรษฐกิจในช่วงต่อไปต้องพึ่งการใช้จ่ายภาครัฐ แทนการส่งออกที่ชะลอตัวลดลง
ตอนนี้เราพึ่งการส่งออกมากอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อน และค่าเงินบาทที่แข็งอยู่ในระดับนี้ ก็เหมาะสมดีอยู่แล้ว และเท่าที่ประเมินค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าไปอย่างนี้อีก 1-2 ปี จากเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง และทุนสำรองที่มากขึ้น ดังนั้นเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งการใช้จ่ายจากภาครัฐที่นำไปลงทุนมากขึ้น นายสมหมาย กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายสมหมาย กล่าวว่า ในช่วงที่รัฐทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้น รัฐบาลก็ควรอธิบายให้ประชาชนเกิดความเข้าใจถึงภาระการใช้จ่ายที่มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การใช้จ่ายเพื่อสาธารณสุข และการศึกษา เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ
ด้านผลข้างเคียงของการทำงบ ประมาณแบบขาดดุลอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ รัฐบาลจำเป็นต้องเก็บภาษีเพิ่ม โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มที่อาจจะต้องปรับขึ้นปีละ 1% จากเดิมที่เก็บอยู่ 7% ซึ่งจะทำให้รัฐได้เงินเพิ่มขึ้นมาใช้ในงบ ประมาณเพิ่มปีละ 4 หมื่นล้านบาท สามารถนำไปใช้จ่ายเพื่อการลงทุนต่างๆ ได้มากขึ้น และต้องกำหนดเป้าหมายว่ามีแผนงานที่จะลด การขาดดุลงบประมาณลงในปีงบ ประมาณ 2554
นายสมหมาย กล่าวว่า ในภาวะ ที่ค่าเงินบาทแข็งที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เร่งการใช้จ่ายเงิน เช่น การคืนหนี้ต่างประเทศ ซึ่งหนี้ดีๆ ก้อนใหญ่ได้มีการขึ้นไปหมดแล้ว มีการเร่งการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าซึ่งเป็นการลงทุนที่สำคัญ มีประโยชน์ ลดต้นทุนการเดินทางและการใช้น้ำมันของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ มีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ ในรูปของการนำไปฝากต่างประเทศ การไปซื้อหลักทรัพย์ และการซื้อทรัพย์สิน
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว ประเทศญี่ปุ่นใช้ในยามที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นก็มีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศในด้านต่างๆ และเวลาที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง ก็จะขายทรัพย์สินต่างๆ ที่ไปลงทุน ซึ่งก็ทำให้ได้กำไรจากค่าเงิน และทำให้ค่าเงินเยนมีเสถียรภาพ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207634
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 509
"ฉลองภพ" คาดศก.ไทย ไตรมาส 4 โตเกิน 5% เผยงบขาดดุล-ส่งออกหนุน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 ธันวาคม 2550 12:34 น.
"ฉลองภพ" คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 โตเกิน 5% เนื่องจากมีแรงกระตุ้นจากการทำงบประมาณแบบขาดดุล และการส่งออกในเดือน ต.ค. ที่ขยายตัวได้ถึง 26.7% ส่วนแนวโน้มปีหน้า คาดโตได้กระฉูดจากโครงการลงทุนด้านพลังงานทดแทนครบวงจร ทั้งรถยนต์-น้ำมัน ช่วยกระตุ้นการบริโภค เชื่อการค้า-การลงทุน คึกคัก
วันนี้(7 ธ.ค.) นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทน ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ เชื่อว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% โดยมีปัจจัยหนุนจากการส่งออกเป็นตัวเลขถึง 2 หลัก เนื่องจากตลาดหลักในสหรัฐ เริ่มฟื้นตัวจากมาตรการแก้ไขปัญหาซับไพรม์ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ตัวเลขทางการค้าดีขึ้น
นายฉลองภพ ระบุว่า สำหรับปี 50 คาดว่าเศรษฐกิจจะโตได้ 4.5% โดยในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจีดีพีจะโตเกิน 5% เนื่องจากมีแรงกระตุ้นจากการทำงบประมาณแบบขาดดุล และการส่งออกในเดือน ต.ค. ที่ขยายตัวได้ถึง 26.7% โดยจากข้อมูล 3 ไตรมาสแรก พบว่า จีดีพีเฉลี่ยโตถึง 4.5%
นายฉลองภพ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยปี 51 มั่นใจว่าจะโตได้เกิน 5% เพราะเศรษฐกิจในปี 50 มีฐานการบริโภคและการลงทุนที่ขยายตัวในอัตราต่ำ แต่ปี 51 การบริโภคและการลงทุนน่าจะขยายตัวได้ดี
"คาดว่า ไตรมาสแรกปีหน้า การบริโภคน่าขยายตัวได้ในระดับสูง โดยเฉพาะการซื้อขายรถยนต์เพราะรัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ประหยัดพลังงานซึ่งจะมีรถยนต์ที่ใช้ E20 ออกมาใช้ในตลาด โดยรัฐลดภาษีให้คันละ 5 หมื่นบาท และราคาของ E20 มีราคาถูกกว่าน้ำมันถึงลิตรละ 5 บาท จูงใจให้ประชาชนซื้อรถยนต์ประเภทนี้มากขึ้นและช่วยกระตุ้นการบริโภค ขณะที่การส่งออกยังขยายตัวได้ดี การลงทุนภาคเอกชนเริ่มขยายตัวจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งต่างชาติเริ่มขยายฐานการลงทุนมากขึ้น"
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่หลายฝ่ายมองว่าจะเป็นภาวะข้าวยากหมากแพงนั้น ยอมรับว่าเงินเฟ้ออาจปรับตัวสูงขึ้นบ้างซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน แต่ก็ไม่ควรตื่นตระหนกมากเกินไปเพราะตลาดน้ำมันขณะนี้มีการเก็งกำไรสูง ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นไปถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และได้ปรับลดลงอีก ประกอบกับตลาดเงินและตลาดทุนโลกต่างมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา เพราะมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจึงเห็นว่าไม่ควรจะตื่นตระหนกกับภาวะดังกล่าวมากเกินไป
ส่วนปัจจัยการเมืองมองว่าแม้หลังการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสม แต่คงไม่มีปัญหาต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเชื่อว่าการวางแนวนโยบายไม่ได้ต่างจากอดีตมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะวางแนวนโยบายดูแลเศรษฐกิจเป็นแบบเศรษฐกิจเสรี และมีการแทรกแซงจากภาครัฐบ้าง จึงเชื่อว่าไม่ใช่ความขัดแย้งในการวางนโยบายเศรษฐกิจ
นายฉลองภพ ระบุอีกว่า รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะอยู่ในวาระเพียง 1 หรือ 2 ปีก็ตาม หากดูและเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมได้ จึงเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงหลังการเลือกตั้งคือการกลับไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงเหมือนช่วงก่อนการปฏิวัติ ซึ่งสะท้อนได้ว่า 1 ปีที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ได้ผล แต่เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งแล้วประเทศไทยไม่น่าจะกลับไปสู่จุดนั้นอีก
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000145123
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 ธันวาคม 2550 12:34 น.
"ฉลองภพ" คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 โตเกิน 5% เนื่องจากมีแรงกระตุ้นจากการทำงบประมาณแบบขาดดุล และการส่งออกในเดือน ต.ค. ที่ขยายตัวได้ถึง 26.7% ส่วนแนวโน้มปีหน้า คาดโตได้กระฉูดจากโครงการลงทุนด้านพลังงานทดแทนครบวงจร ทั้งรถยนต์-น้ำมัน ช่วยกระตุ้นการบริโภค เชื่อการค้า-การลงทุน คึกคัก
วันนี้(7 ธ.ค.) นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทน ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ เชื่อว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% โดยมีปัจจัยหนุนจากการส่งออกเป็นตัวเลขถึง 2 หลัก เนื่องจากตลาดหลักในสหรัฐ เริ่มฟื้นตัวจากมาตรการแก้ไขปัญหาซับไพรม์ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ตัวเลขทางการค้าดีขึ้น
นายฉลองภพ ระบุว่า สำหรับปี 50 คาดว่าเศรษฐกิจจะโตได้ 4.5% โดยในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจีดีพีจะโตเกิน 5% เนื่องจากมีแรงกระตุ้นจากการทำงบประมาณแบบขาดดุล และการส่งออกในเดือน ต.ค. ที่ขยายตัวได้ถึง 26.7% โดยจากข้อมูล 3 ไตรมาสแรก พบว่า จีดีพีเฉลี่ยโตถึง 4.5%
นายฉลองภพ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยปี 51 มั่นใจว่าจะโตได้เกิน 5% เพราะเศรษฐกิจในปี 50 มีฐานการบริโภคและการลงทุนที่ขยายตัวในอัตราต่ำ แต่ปี 51 การบริโภคและการลงทุนน่าจะขยายตัวได้ดี
"คาดว่า ไตรมาสแรกปีหน้า การบริโภคน่าขยายตัวได้ในระดับสูง โดยเฉพาะการซื้อขายรถยนต์เพราะรัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ประหยัดพลังงานซึ่งจะมีรถยนต์ที่ใช้ E20 ออกมาใช้ในตลาด โดยรัฐลดภาษีให้คันละ 5 หมื่นบาท และราคาของ E20 มีราคาถูกกว่าน้ำมันถึงลิตรละ 5 บาท จูงใจให้ประชาชนซื้อรถยนต์ประเภทนี้มากขึ้นและช่วยกระตุ้นการบริโภค ขณะที่การส่งออกยังขยายตัวได้ดี การลงทุนภาคเอกชนเริ่มขยายตัวจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งต่างชาติเริ่มขยายฐานการลงทุนมากขึ้น"
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่หลายฝ่ายมองว่าจะเป็นภาวะข้าวยากหมากแพงนั้น ยอมรับว่าเงินเฟ้ออาจปรับตัวสูงขึ้นบ้างซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน แต่ก็ไม่ควรตื่นตระหนกมากเกินไปเพราะตลาดน้ำมันขณะนี้มีการเก็งกำไรสูง ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นไปถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และได้ปรับลดลงอีก ประกอบกับตลาดเงินและตลาดทุนโลกต่างมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา เพราะมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจึงเห็นว่าไม่ควรจะตื่นตระหนกกับภาวะดังกล่าวมากเกินไป
ส่วนปัจจัยการเมืองมองว่าแม้หลังการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสม แต่คงไม่มีปัญหาต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเชื่อว่าการวางแนวนโยบายไม่ได้ต่างจากอดีตมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะวางแนวนโยบายดูแลเศรษฐกิจเป็นแบบเศรษฐกิจเสรี และมีการแทรกแซงจากภาครัฐบ้าง จึงเชื่อว่าไม่ใช่ความขัดแย้งในการวางนโยบายเศรษฐกิจ
นายฉลองภพ ระบุอีกว่า รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะอยู่ในวาระเพียง 1 หรือ 2 ปีก็ตาม หากดูและเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมได้ จึงเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงหลังการเลือกตั้งคือการกลับไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงเหมือนช่วงก่อนการปฏิวัติ ซึ่งสะท้อนได้ว่า 1 ปีที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ได้ผล แต่เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งแล้วประเทศไทยไม่น่าจะกลับไปสู่จุดนั้นอีก
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000145123
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/12/07
โพสต์ที่ 510
แรงขายทำไรระยะสั้นฉุดหุ้นไทยร่วง3จุด แนวโน้มสัปดาห์หน้าขาขึ้น
7 ธันวาคม พ.ศ. 2550 17:22:00
แรงเทขายทำกำไรระยะสั้น ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วง 3 จุด นักวิเคราะห์คาดแนวโน้มสัปดาห์หน้าดัชนีปรับตัวขึ้นต่อ คาดแนวรับที่ 840 และ 835 แนวต้านที่ 860 และ 865 จุด จับตาผลประชุมเฟด
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีค่อนข้างผันผวน มีแรงเทขายทำกำไรสลับออกมาในช่วงท้ายตลาด ปิดตลาดดัชนีลบ 3.80 จุด มาที่ 841.39 หลังดัชนีสูงสุดที่ 855.58 และต่ำสุดที่ 838.62 ด้วยมูลค่าซื้อขาย 19,641.54 ล้านบาท
ขณะที่พอร์ตลงทุนต่างชาติวันนี้ ซื้อสุทธิ 405.04 ล้านบาท
"หุ้นปรับลง เพราะเราจะมีวันหยุดหลายวัน คนก็เลย Take Profit เพื่อลดความเสี่ยงออกไปก่อน" นายเกียรติก้อง เดโช ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าว
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่หุ้นไทยปรับลง ก็เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า นายก้องเกียรติให้ความเห็นว่า มีทิศทางปรับขึ้น จากความคาดหวังเชิงบวกว่า ในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในวันที่ 11 ธ.ค.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ขณะที่ในปลายสัปดาห์หน้า ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินคดีแปรรูปบริษัท ปตท. (PTT) ด้วย ซึ่งคาดว่าผลน่าจะออกมาในบวก
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าจะมีการซื้อขายเก็งกำไรกันล่วงหน้า ก่อนที่บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) (ATC) กับบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง(RRC) จะถูกพักการซื้อขายชั่วคราวในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ด้วย ตามขั้นตอนการรวมกิจการกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่ามีแนวต้านที่ 860 และ 865 ส่วนแนวรับที่ 840 และ 835 จุด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/0 ... sid=209459
7 ธันวาคม พ.ศ. 2550 17:22:00
แรงเทขายทำกำไรระยะสั้น ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วง 3 จุด นักวิเคราะห์คาดแนวโน้มสัปดาห์หน้าดัชนีปรับตัวขึ้นต่อ คาดแนวรับที่ 840 และ 835 แนวต้านที่ 860 และ 865 จุด จับตาผลประชุมเฟด
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีค่อนข้างผันผวน มีแรงเทขายทำกำไรสลับออกมาในช่วงท้ายตลาด ปิดตลาดดัชนีลบ 3.80 จุด มาที่ 841.39 หลังดัชนีสูงสุดที่ 855.58 และต่ำสุดที่ 838.62 ด้วยมูลค่าซื้อขาย 19,641.54 ล้านบาท
ขณะที่พอร์ตลงทุนต่างชาติวันนี้ ซื้อสุทธิ 405.04 ล้านบาท
"หุ้นปรับลง เพราะเราจะมีวันหยุดหลายวัน คนก็เลย Take Profit เพื่อลดความเสี่ยงออกไปก่อน" นายเกียรติก้อง เดโช ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าว
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่หุ้นไทยปรับลง ก็เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า นายก้องเกียรติให้ความเห็นว่า มีทิศทางปรับขึ้น จากความคาดหวังเชิงบวกว่า ในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในวันที่ 11 ธ.ค.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ขณะที่ในปลายสัปดาห์หน้า ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินคดีแปรรูปบริษัท ปตท. (PTT) ด้วย ซึ่งคาดว่าผลน่าจะออกมาในบวก
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าจะมีการซื้อขายเก็งกำไรกันล่วงหน้า ก่อนที่บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) (ATC) กับบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง(RRC) จะถูกพักการซื้อขายชั่วคราวในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ด้วย ตามขั้นตอนการรวมกิจการกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่ามีแนวต้านที่ 860 และ 865 ส่วนแนวรับที่ 840 และ 835 จุด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/0 ... sid=209459