ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/11/07
โพสต์ที่ 421
คลังชี้ปี 51-53 ยังต้องทำงบขาดดุล ปลัดฯ "ศุภรัตน์" ปฎิเสธทิ้งเก้าอี้
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤศจิกายน 2550 12:23 น.
ปลัดคลัง เผยงบประมาณช่วงปี 51-53 ยังคงจัดทำเป็นงบขาดดุล สอดคล้องกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่ใช้นโยบายหาเสียงประชานิยม แม้จะมีความกังวลเรื่องเสถียรภาพการคลัง พร้อมปฏิเสธข่าวทิ้งเก้าอี้ เพื่อร่วมทีมเศรษฐกิจพรรคการเมือง ยืนยัน การย้ายรองอธิบดีกรมสรรพากรตามคำสั่งศาลปกครอง จะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 30 วัน
วันนี้(9 พ.ย.) นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง มั่นใจว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยนแปลงงบประมาณปี 2551 ที่ได้ประกาศใช้ไปแล้ว และเชื่อว่าในช่วงปีงบประมาณ 2551-2553 ทางการยังจำเป็นต้องใช้การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล
ขณะนี้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 51 ได้เสร็จสิ้นแล้วและเป็นงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นไม่ว่าพรรคการเมืองไหนจะได้เป็นรัฐบาลก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงงบประมาณปี 51 ได้ เพราะกว่าที่รัฐบาลใหม่จะจัดตั้งแล้วเสร็จก็คาดว่าจะเป็นเดือนก.พ-มี.ค.ถือว่าเริ่มเข้าครึ่งปีแรกของงบประมาณแล้ว และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณต่างๆ ก็ผ่านไปกว่าครึ่งปี
"แม้ว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะได้มีการวางนโยบายประชานิยมในการหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นในการมาเป็นรัฐบาลใหม่จะมีการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อวางนโยบายตามที่หาเสียงไว้ ส่วนจะมีการเพิ่มงบรายจ่ายเพิ่มอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบาย แต่เชื่อว่าทุกรัฐบาลไม่ว่าพรรคไหน ก็คำนึงถึงฐานะการคลังซึ่งต้องดูทั้งด้านรายจ่ายและรายได้ให้สอดคล้องกัน" ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า สำหรับปีงบประมาณ 2552-2553 ยังเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อไป ส่วนจะเป็นการขาดดุลในวงเงินมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยเชื่อว่าแม้จะเป็นการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องก็ไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยหากพิจารณาฐานะการคลังจะเห็นว่าปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ในระดับต่ำและเป็นการขาดดุลงบประมาณที่ไม่เกิน 2% ต่อจีดีพี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถรับได้
"เมื่อปี 40 รัฐบาลก็เคยจัดทำงบขาดดุลมาแล้วต่อเนื่องถึงปี 47 เพราะเป็นการขาดดุลแล้วเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้ดีขึ้น หลังจากนั้นรัฐบาลอาจลดความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินภาครัฐและนำไปสู่การจัดทำงบแบบสมดุลต่อไปในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลใหม่หากจะมีนโยบายใช้จ่ายเงินงบประมาณพิเศษเพิ่มขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม ควรจะต้องดูข้อจำกัดด้านรายได้ด้วย" ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ
นายศุภรัตน์ ยังเห็นว่า ขณะนี้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น โดยภาครัฐและเอกชนควรจะต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นเพื่อช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวไปได้ด้วยดี
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งบังคับให้ตำแหน่ง 4 รองอธิบดีกรมสรรพากร และตำแหน่งที่ได้มา หลังการเป็นรองอธิบดีฯ เป็นโมฆะ และให้กลับไปดำรงตำแหน่งเดิมก่อนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร ภายใน 30 วัน ว่า ยังอยู่ระหว่างการหาแนวทางแก้ไข โดยยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบที่สุด และมั่นใจว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ยังปฏิเสธข่าวการเตรียมลาออกเพื่อลงเล่นการเมือง โดยยืนยัน ยังไม่มีพรรคการเมืองใด มาทาบทามไปร่วมทีมเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการประจำต่อไป และยังไม่มีความคิดจะไปทำงานอย่างอื่น ส่วนกรณีที่มอบหมายให้นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่เป็นประธาน การลงทุนในกองทุนวายุภักษ์แทนนั้น เนื่องจากขณะนี้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากเกินไปเท่านั้น
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000133079
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤศจิกายน 2550 12:23 น.
ปลัดคลัง เผยงบประมาณช่วงปี 51-53 ยังคงจัดทำเป็นงบขาดดุล สอดคล้องกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่ใช้นโยบายหาเสียงประชานิยม แม้จะมีความกังวลเรื่องเสถียรภาพการคลัง พร้อมปฏิเสธข่าวทิ้งเก้าอี้ เพื่อร่วมทีมเศรษฐกิจพรรคการเมือง ยืนยัน การย้ายรองอธิบดีกรมสรรพากรตามคำสั่งศาลปกครอง จะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 30 วัน
วันนี้(9 พ.ย.) นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง มั่นใจว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยนแปลงงบประมาณปี 2551 ที่ได้ประกาศใช้ไปแล้ว และเชื่อว่าในช่วงปีงบประมาณ 2551-2553 ทางการยังจำเป็นต้องใช้การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล
ขณะนี้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 51 ได้เสร็จสิ้นแล้วและเป็นงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นไม่ว่าพรรคการเมืองไหนจะได้เป็นรัฐบาลก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงงบประมาณปี 51 ได้ เพราะกว่าที่รัฐบาลใหม่จะจัดตั้งแล้วเสร็จก็คาดว่าจะเป็นเดือนก.พ-มี.ค.ถือว่าเริ่มเข้าครึ่งปีแรกของงบประมาณแล้ว และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณต่างๆ ก็ผ่านไปกว่าครึ่งปี
"แม้ว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะได้มีการวางนโยบายประชานิยมในการหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นในการมาเป็นรัฐบาลใหม่จะมีการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อวางนโยบายตามที่หาเสียงไว้ ส่วนจะมีการเพิ่มงบรายจ่ายเพิ่มอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบาย แต่เชื่อว่าทุกรัฐบาลไม่ว่าพรรคไหน ก็คำนึงถึงฐานะการคลังซึ่งต้องดูทั้งด้านรายจ่ายและรายได้ให้สอดคล้องกัน" ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า สำหรับปีงบประมาณ 2552-2553 ยังเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อไป ส่วนจะเป็นการขาดดุลในวงเงินมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยเชื่อว่าแม้จะเป็นการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องก็ไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยหากพิจารณาฐานะการคลังจะเห็นว่าปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ในระดับต่ำและเป็นการขาดดุลงบประมาณที่ไม่เกิน 2% ต่อจีดีพี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถรับได้
"เมื่อปี 40 รัฐบาลก็เคยจัดทำงบขาดดุลมาแล้วต่อเนื่องถึงปี 47 เพราะเป็นการขาดดุลแล้วเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้ดีขึ้น หลังจากนั้นรัฐบาลอาจลดความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินภาครัฐและนำไปสู่การจัดทำงบแบบสมดุลต่อไปในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลใหม่หากจะมีนโยบายใช้จ่ายเงินงบประมาณพิเศษเพิ่มขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม ควรจะต้องดูข้อจำกัดด้านรายได้ด้วย" ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ
นายศุภรัตน์ ยังเห็นว่า ขณะนี้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น โดยภาครัฐและเอกชนควรจะต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นเพื่อช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวไปได้ด้วยดี
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งบังคับให้ตำแหน่ง 4 รองอธิบดีกรมสรรพากร และตำแหน่งที่ได้มา หลังการเป็นรองอธิบดีฯ เป็นโมฆะ และให้กลับไปดำรงตำแหน่งเดิมก่อนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร ภายใน 30 วัน ว่า ยังอยู่ระหว่างการหาแนวทางแก้ไข โดยยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบที่สุด และมั่นใจว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ยังปฏิเสธข่าวการเตรียมลาออกเพื่อลงเล่นการเมือง โดยยืนยัน ยังไม่มีพรรคการเมืองใด มาทาบทามไปร่วมทีมเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการประจำต่อไป และยังไม่มีความคิดจะไปทำงานอย่างอื่น ส่วนกรณีที่มอบหมายให้นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่เป็นประธาน การลงทุนในกองทุนวายุภักษ์แทนนั้น เนื่องจากขณะนี้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากเกินไปเท่านั้น
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000133079
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/11/07
โพสต์ที่ 422
ประธาน ส.อ.ท.เชื่อความมั่นใจนักลงทุนจะกลับมาหลังการเลือกตั้ง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤศจิกายน 2550 13:41 น.
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลที่มั่นคง ก็สามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งที่ผ่านมาสภาอุตสาหกรรมฯ ได้เสนอแผนการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้กับทุกรัฐบาล และได้รับการผลักดันไปสู่การปฏิบัติเสมอมา การที่ค่าเงินบาทแข็งตัว ภาคอุตสาหกรรมยังคงมีการส่งออกอย่างต่อเนื่อง ไม่กระทบมากนัก แม้จะมีการชะลอตัวในการอุปโภคบริโภคไปบ้างก็ตาม คาดว่าหลังการเลือกตั้งความเชื่อมั่นต่างๆ จะกลับคืนมาอย่างแน่นอน
ประธาน ส.อ.ท. กล่าวด้วยว่า จ.สตูล มีเสถียรภาพในด้านการประมง การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี ถ้าร่วมกันสามารถพัฒนาให้มีความเข้มแข็งได้ ซึ่งภาคอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เนื่องจาก จ.สตูล ได้สิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ภาษีนิติบุคคล ภาษีธุรกิจ ส่วนเรื่องน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีผลกระทบกับทุกฝ่ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะด้านการประมงชายฝั่ง ธุรกิจขนาดย่อม และระบบลอจิสติกส์
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews. ... 0000133487
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤศจิกายน 2550 13:41 น.
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลที่มั่นคง ก็สามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งที่ผ่านมาสภาอุตสาหกรรมฯ ได้เสนอแผนการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้กับทุกรัฐบาล และได้รับการผลักดันไปสู่การปฏิบัติเสมอมา การที่ค่าเงินบาทแข็งตัว ภาคอุตสาหกรรมยังคงมีการส่งออกอย่างต่อเนื่อง ไม่กระทบมากนัก แม้จะมีการชะลอตัวในการอุปโภคบริโภคไปบ้างก็ตาม คาดว่าหลังการเลือกตั้งความเชื่อมั่นต่างๆ จะกลับคืนมาอย่างแน่นอน
ประธาน ส.อ.ท. กล่าวด้วยว่า จ.สตูล มีเสถียรภาพในด้านการประมง การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี ถ้าร่วมกันสามารถพัฒนาให้มีความเข้มแข็งได้ ซึ่งภาคอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เนื่องจาก จ.สตูล ได้สิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ภาษีนิติบุคคล ภาษีธุรกิจ ส่วนเรื่องน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีผลกระทบกับทุกฝ่ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะด้านการประมงชายฝั่ง ธุรกิจขนาดย่อม และระบบลอจิสติกส์
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews. ... 0000133487
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/11/07
โพสต์ที่ 423
ธุรกิจผวา!ปี51สาหัส +ติดบ่วงเงินเฟ้อ-ดบ.ขาขึ้น/กูรูแนะตั้งรับปัจจัยลบ/หลังเลือกตั้งภาพศก.ไม่ชัด ฟันธงธุรกิจปี51สาหัส
"กูรู" ส่งสัญญาณเตือนภาคเอกชนตกที่นั่งลำบาก แนะรับมือบริหารต้นทุนปี 2551 เผชิญทั้งดอกเบี้ยเงินกู้และเงินเฟ้อขาขึ้น วิพากษ์ยับนโยบายเศรษฐกิจพรรคการเมืองเน้นกระตุ้นศก.ระยะสั้นมากกว่าสร้างเสถียรภาพระยะยาว ผู้ประกอบการ-ผู้บริโภคสาหัสสากัลล์ ประสารระบุเงินเฟ้อปีหน้าอาจพุ่งถึง 3.7% ขณะที่ ศุภวุฒิเตือนมี 3 ปัจจัยที่ต้องระวัง เสนอโจทย์เร่งด่วนรัฐบาลใหม่
กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มแพรนด้า สหพัฒน์ฯ และธุรกิจลิสซิ่ง หืดขึ้นคอ เริ่มรับเป้ารายได้ ยอดขายแล้ว
จากที่ "ฐานเศรษฐกิจ" เสนอข่าว "ตีกันถลุงเงินคงคลัง" ในฉบับที่2,267 ระหว่างวันที่ 4-7 พฤศจิกายน 2550 โดยได้สัมภาษณ์พิเศษนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ที่แสดงความเป็นห่วงต่อนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่ส่วนใหญ่ยังเน้นนโยบายประชานิยม จะมีผลต่อการดึงเงินคงคลังมาใช้
สอดรับกับแนวคิดของกูรูภาคเอกชนจากเวทีสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจไทย 2551: ความหวังจากการเลือกตั้ง" ซึ่งสมาคมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เห็นตรงกันว่า นโยบายเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งยังไม่มีความชัดเจน และปัจจัยเสี่ยงในปี 2551 มีมากกว่าปี 2550 เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ฯลฯ
++ธุรกิจหืดจับต้นทุนพุ่ง
"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สอบถามความเห็นของผู้ประกอบการและธุรกิจรายใหญ่ ในหลายธุรกิจ
เช่นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจค้าขายอัญมณี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจลิซซิ่ง พบว่าเริ่มมีสัญญาณการปรับเป้าการเติบโตด้านยอดขายและรายได้ในปี 2550 และตั้งเป้าการเติบโตในปี 2551 ในทิศทางที่ชะลอตัวลง
นางประพีร์ สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับปัญหาซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา มีผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าในสหรัฐฯที่ลดลงและกำลังลามถึงตลาดยุโรป โดยตลาดในประเทศไทยซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 15 % ของยอดขายของบริษัทถูกผลกระทบจากราคาน้ำมันและเงินเฟ้อ ทำให้กำลังซื้อลดลง ส่งผลให้ในปีนี้ยอดการเติบโตของบริษัท 10-12% ไม่น่าจะถึงเป้า ขณะที่ในปีหน้าบริษัทคงจะต้องขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่มากขึ้น เช่น อินเดีย เพื่อพยุงยอดขายไม่ให้ตกฮวบฮาบ
เช่นเดียวกับผู้ประกอบธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่คาดว่าในปี 2551 จะมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยนายวีรเทพ ฉัตรศิริวิชัยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด บริษัทกรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด ให้ความเห็นว่า ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กในปีหน้าจะเติบโตได้เพียง 4-5% เพราะธุรกิจจะลำบากขึ้นจาก สาเหตุเงินเฟ้อ น้ำมัน และวัตถุดิบที่ปรับขึ้นแล้ว 20% (อ่านต่อในรายละเอียดที่หน้า 33)
เช่นเดียวกับนายบุญชัย โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ที่เคยระบุว่า บริษัทได้ปรับเป้าอัตราการเจริญเติบโตช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยในสิ้นปีนี้ลงเหลือ 6% จากเดิมที่ได้ตั้งเป้ารายได้เติบโตช่วงสิ้นปีไว้ที่ 12% ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวต่อเนื่อง มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และต้นทุนราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการขนส่งปรับเพิ่มขึ้น ยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทอีกด้วย แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปลายปีนี้ก็ตาม
++เจอศึกหนักปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ายังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้านทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจยากขึ้น ที่สำคัญราคาน้ำมัน และภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า อัตราดอกเบี้ยที่ยังผันผวน และการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยชะลอตัว ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมายังถือว่าในปีหน้าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมกันทำงานกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้
นายภิญญาวัฒน์ จันทรกานตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคทีบี ลิสซิ่ง จำกัด บริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย ยอมรับว่า เป้าหมายการปล่อยกู้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 17,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะปล่อยได้เพียง 10,000 ล้านบาท เพราะเศรษฐกิจที่ชะลอซึ่งทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจใช้จ่าย โดยคาดว่าปีนี้ทั้งปีธุรกิจลิสซิ่งจะโต 2-3% และปี2551 เติบโต 3-5%
ทางด้าน นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัทบ้านกานดาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมัน ยังคงส่งผลทางอ้อมต่อภาคธุรกิจต่างๆ นอกเหนือจากที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ใช้น้ำมันในการดำเนินธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้ประกอบการมีต้นทุนจากการขนส่งสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นที่มีผลให้ดอกเบี้ยในระบบลดลงยาก โดยเฉพาะต้นทุนอัตราดอกเบี้ยที่จะมีผลทั้งต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ และผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายกลางมีการปรับตัวต่อเนื่อง เช่น ลดขนาดที่อยู่อาศัยเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ หรือผู้ประกอบการที่เน้นการบริหารจัดการโดยเน้นการควบคุมต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานฝีมือ ร่นระยะเวลาการก่อสร้างให้เร็วขึ้น เป็นต้น
อนึ่ง ก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปรับขึ้นทุก 1% จะมีผลให้ภาระการผ่อนชำระหนี้ของผู้ที่ต้องผ่อนชำระค่าบ้านเพิ่มขึ้นประมาณ 6%
++เงินเฟ้อปีหน้ามีโอกาสเฉียด4%
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีหน้าภาคธุรกิจยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น จากแนวโน้มของการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำที่เกิดประสิทธิภาพน้อยต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งความเชื่อมั่นที่ยังไม่กลับมา และปัญหาเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อค่าครองชีพสูง โดยปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อเนื่องไปถึงประชาชนและคนส่วนใหญ่ในระบบ ซึ่งเชื่อว่าภาคธุรกิจรับรู้ความไม่แน่นอนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้แต่ละภาคต้องโฟกัสการบริหารจัดการ และดูแลต้นทุนด้วยการที่ไม่ทำอะไรเกินตัว
นอกจากนี้ นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในขณะนี้คงจะมีประสิทธิผลค่อนข้างน้อย และโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยจากนี้ไปก็คงไม่เกิดผลในทางปฏิบัติน้อย เพราะมีข้อมูลที่ยืนยันว่าค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมทั้งการลงทุนที่มีการคาดว่าต้นทุนการเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีสำหรับผู้รับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจในปี 2551
ในส่วนของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จากตัวเลขที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เคยทำประมาณการไว้ ราคาน้ำมันดิบปี 2551 เฉลี่ย 77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะมีผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศอยู่ที่ 26.10 บาทต่อลิตร ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.7% แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ 87 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.7% และถ้าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าอยู่ที่ 3.7% แต่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ที่ระดับนี้ ก็จะมีผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบและส่งผลกระทบต่อการออม
ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ตั้งโจทย์เร่งด่วนสำหรับรัฐบาลใหม่ที่ต้องเข้ามาแก้ไข โดยเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะประสบปัญหาความสมดุลของสิ่งที่จะสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนในระยะสั้นและการสร้างโครงสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ซึ่งถ้าจะให้ดีจะต้องกำหนดเป้าหมายว่าระยะยาวอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร และในระยะสั้นก็ไม่ควรฉีกมุมหรือเสียหายออกไปจากเป้าหมายในระยะยาว
++กูรูชี้ธุรกิจปรับตัวยากขึ้น
สอดรับกับความเห็นของ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ในปีหน้าภาคเอกชนจะปรับตัวและวางแผนธุรกิจลำบากกว่าปีนี้ แต่ภาคเอกชนก็ควรจะปรับตัวด้วยการลงทุนให้มากขึ้น เพียงแต่ว่าภาครัฐบาลที่เข้ามาใหม่จะเอื้ออำนวยให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนได้โดยมีนโยบายที่ออกมาเป็นรูปธรรมได้มากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนคงจะต้องล็อบบี้รัฐบาลเอง หรือนโยบายของรัฐบางอย่าง ที่มีผลต่อการประเมินกำไรในอนาคตของธุรกิจ และอาจทำให้ไม่มีการผลิตสินค้าเพิ่ม เช่น หากภาคธุรกิจมีต้นทุนจากการผลิตสินค้าและคิดแล้วว่าจะต้องปรับราคาขึ้น แต่รัฐบาลบอกไม่ให้ขึ้นราคาอีก 6 เดือนหรือ 12 เดือนข้างหน้าค่อยมาว่ากันใหม่ ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ ยังกล่าวถึง 3 ปัจจัยที่ต้องระวังในปี 2551 คือ
1.นโยบายการเงินที่ต้องระวังความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการนำเข้าเงินเฟ้อ เห็นได้จากใน ขณะนี้ประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่มีจีดีพีประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ถือดอลลาร์สหรัฐไว้ถึง 40% ของจีดีพี หรือประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะสั้นอาจจะซื้อดอลลาร์มาเก็บไว้เพราะไม่ต้องการให้บาทแข็ง เพื่อจะได้ส่งออกต่อไป
"นี่คือความเสี่ยงของเราเองที่ดำเนินนโยบายแบบนี้ ถ้าทำไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อในประเทศจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"
ส่วนปัจจัยที่ต้องพึงระวังข้อที่2. คือนโยบายการคลัง ซึ่งมีโครงสร้างฐานภาษีแคบ แต่ความต้องการใช้เงินมาก และมีการบิดเบือนที่หลายคนรู้ว่าหลายคนอยากได้นโยบายประชานิยม เพราะไม่ต้องจ่าย
ข้อที่ 3. นโยบายการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่มีคุณภาพ โดยอิงภาคเอกชนมากๆ จะมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมอย่างไร เนื่องจากการเติบโตด้วยนโยบายประชานิยมนั้น มีผลในระยะสั้น เพราะหากรัฐมีนโยบายประชานิยม แต่หาเงินไม่ได้ ในที่สุดก็จะกลับมามีปัญหาอีก เนื่องจากมีทางออกอยู่ 3 ทาง คือ ยืมเงินหรือขาดดุลงบประมาณ สร้างเงินเฟ้อ หรือ สาม เก็บภาษีให้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีทั้ง 3 ทาง
นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ ยังได้เสนอโจทย์เร่งด่วนสำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ว่าต้องส่งเสริมให้เอกชนทั้งต่างประเทศและในประเทศต้องเร่งการลงทุนเพราะการลงทุนจะตอบคำถามเรื่องความสามารถของการแข่งขัน และการเพิ่มศักยภาพการผลิตในอนาคต ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนแทนการส่งออก โดยไม่จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์หรือวัตถุประสงค์ในการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ตามธรรมชาติ
++แนะรัฐเร่งเกิดเมกะโปรเจ็กต์
นายธรรมา ปิ่นสุกาญจนะ กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และกรรมการและเหรัญญิกพรรคชาติไทย กล่าวว่าปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นขณะนี้ ยอมรับว่ามีตัวแปรที่ฉุดความเชื่อมั่นหลายตัวแปร ทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ภาคเอกชนต้องบริหารธุรกิจไปด้วยความเหนื่อยล้ามากขึ้น ฉะนั้นการบริหารความเสี่ยงที่ดีได้ นอกจากเอกชนจะปรับตัวจนหัวหมุนฝ่ายเดียวแล้วภาครัฐบาลจำเป็นจะต้องช่วยผลักดันให้เกิดการลงทุนในเมกกะโปรเจ็กต์ให้เร็วกว่านี้ ก็จะเป็นการบริหารความเสี่ยงที่ดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้
"แม้ว่าปีนี้จะหมดหวัง แต่ก็ยังมีความหวังว่าปี2551 เศรษฐกิจจะทรงตัว เพราะรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ทำให้คนเกิดความเชื่อมั่น คนมีกำลังใจที่จะออกไปจับจ่ายมากขึ้นในขณะที่อีกหลายคนบอกว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะทรุดตัวลงไปอีก"
นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการ บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ต้องมอง 2 เรื่องควบคู่กันไปคือ การสร้างรายได้ของธุรกิจ และการสร้างคนในชาติให้แข็งแรง คือ ตกงานน้อยที่สุด เพื่อที่จะอาศัยกำลังซื้อจากคนในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อ แต่การทำให้กำลังซื้อกลับมาก็ต้องหาวิธีการที่ไม่กระทบต่อระบบ
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในเวลานี้สำหรับประเทศไทย คือ ปัญหาการเมืองที่ยังไม่มีการยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งราคาน้ำมันและราคาทองคำ โดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ำมันซึ่งจะกระทบต่อประเทศไทย
แน่นอนเพราะนำเข้าน้ำมันสูงถึงเกือบ 90% โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ใช้น้ำมันในการผลิตก็ต้องเหนื่อยหนักมากขึ้น
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2268
"กูรู" ส่งสัญญาณเตือนภาคเอกชนตกที่นั่งลำบาก แนะรับมือบริหารต้นทุนปี 2551 เผชิญทั้งดอกเบี้ยเงินกู้และเงินเฟ้อขาขึ้น วิพากษ์ยับนโยบายเศรษฐกิจพรรคการเมืองเน้นกระตุ้นศก.ระยะสั้นมากกว่าสร้างเสถียรภาพระยะยาว ผู้ประกอบการ-ผู้บริโภคสาหัสสากัลล์ ประสารระบุเงินเฟ้อปีหน้าอาจพุ่งถึง 3.7% ขณะที่ ศุภวุฒิเตือนมี 3 ปัจจัยที่ต้องระวัง เสนอโจทย์เร่งด่วนรัฐบาลใหม่
กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มแพรนด้า สหพัฒน์ฯ และธุรกิจลิสซิ่ง หืดขึ้นคอ เริ่มรับเป้ารายได้ ยอดขายแล้ว
จากที่ "ฐานเศรษฐกิจ" เสนอข่าว "ตีกันถลุงเงินคงคลัง" ในฉบับที่2,267 ระหว่างวันที่ 4-7 พฤศจิกายน 2550 โดยได้สัมภาษณ์พิเศษนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ที่แสดงความเป็นห่วงต่อนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่ส่วนใหญ่ยังเน้นนโยบายประชานิยม จะมีผลต่อการดึงเงินคงคลังมาใช้
สอดรับกับแนวคิดของกูรูภาคเอกชนจากเวทีสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจไทย 2551: ความหวังจากการเลือกตั้ง" ซึ่งสมาคมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เห็นตรงกันว่า นโยบายเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งยังไม่มีความชัดเจน และปัจจัยเสี่ยงในปี 2551 มีมากกว่าปี 2550 เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ฯลฯ
++ธุรกิจหืดจับต้นทุนพุ่ง
"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สอบถามความเห็นของผู้ประกอบการและธุรกิจรายใหญ่ ในหลายธุรกิจ
เช่นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจค้าขายอัญมณี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจลิซซิ่ง พบว่าเริ่มมีสัญญาณการปรับเป้าการเติบโตด้านยอดขายและรายได้ในปี 2550 และตั้งเป้าการเติบโตในปี 2551 ในทิศทางที่ชะลอตัวลง
นางประพีร์ สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับปัญหาซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา มีผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าในสหรัฐฯที่ลดลงและกำลังลามถึงตลาดยุโรป โดยตลาดในประเทศไทยซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 15 % ของยอดขายของบริษัทถูกผลกระทบจากราคาน้ำมันและเงินเฟ้อ ทำให้กำลังซื้อลดลง ส่งผลให้ในปีนี้ยอดการเติบโตของบริษัท 10-12% ไม่น่าจะถึงเป้า ขณะที่ในปีหน้าบริษัทคงจะต้องขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่มากขึ้น เช่น อินเดีย เพื่อพยุงยอดขายไม่ให้ตกฮวบฮาบ
เช่นเดียวกับผู้ประกอบธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่คาดว่าในปี 2551 จะมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยนายวีรเทพ ฉัตรศิริวิชัยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด บริษัทกรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด ให้ความเห็นว่า ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กในปีหน้าจะเติบโตได้เพียง 4-5% เพราะธุรกิจจะลำบากขึ้นจาก สาเหตุเงินเฟ้อ น้ำมัน และวัตถุดิบที่ปรับขึ้นแล้ว 20% (อ่านต่อในรายละเอียดที่หน้า 33)
เช่นเดียวกับนายบุญชัย โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ที่เคยระบุว่า บริษัทได้ปรับเป้าอัตราการเจริญเติบโตช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยในสิ้นปีนี้ลงเหลือ 6% จากเดิมที่ได้ตั้งเป้ารายได้เติบโตช่วงสิ้นปีไว้ที่ 12% ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวต่อเนื่อง มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และต้นทุนราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการขนส่งปรับเพิ่มขึ้น ยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทอีกด้วย แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปลายปีนี้ก็ตาม
++เจอศึกหนักปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ายังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้านทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจยากขึ้น ที่สำคัญราคาน้ำมัน และภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า อัตราดอกเบี้ยที่ยังผันผวน และการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยชะลอตัว ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมายังถือว่าในปีหน้าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมกันทำงานกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้
นายภิญญาวัฒน์ จันทรกานตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเคทีบี ลิสซิ่ง จำกัด บริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย ยอมรับว่า เป้าหมายการปล่อยกู้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 17,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะปล่อยได้เพียง 10,000 ล้านบาท เพราะเศรษฐกิจที่ชะลอซึ่งทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจใช้จ่าย โดยคาดว่าปีนี้ทั้งปีธุรกิจลิสซิ่งจะโต 2-3% และปี2551 เติบโต 3-5%
ทางด้าน นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัทบ้านกานดาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมัน ยังคงส่งผลทางอ้อมต่อภาคธุรกิจต่างๆ นอกเหนือจากที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ใช้น้ำมันในการดำเนินธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้ประกอบการมีต้นทุนจากการขนส่งสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นที่มีผลให้ดอกเบี้ยในระบบลดลงยาก โดยเฉพาะต้นทุนอัตราดอกเบี้ยที่จะมีผลทั้งต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ และผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายกลางมีการปรับตัวต่อเนื่อง เช่น ลดขนาดที่อยู่อาศัยเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ หรือผู้ประกอบการที่เน้นการบริหารจัดการโดยเน้นการควบคุมต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานฝีมือ ร่นระยะเวลาการก่อสร้างให้เร็วขึ้น เป็นต้น
อนึ่ง ก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปรับขึ้นทุก 1% จะมีผลให้ภาระการผ่อนชำระหนี้ของผู้ที่ต้องผ่อนชำระค่าบ้านเพิ่มขึ้นประมาณ 6%
++เงินเฟ้อปีหน้ามีโอกาสเฉียด4%
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีหน้าภาคธุรกิจยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น จากแนวโน้มของการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำที่เกิดประสิทธิภาพน้อยต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งความเชื่อมั่นที่ยังไม่กลับมา และปัญหาเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อค่าครองชีพสูง โดยปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อเนื่องไปถึงประชาชนและคนส่วนใหญ่ในระบบ ซึ่งเชื่อว่าภาคธุรกิจรับรู้ความไม่แน่นอนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้แต่ละภาคต้องโฟกัสการบริหารจัดการ และดูแลต้นทุนด้วยการที่ไม่ทำอะไรเกินตัว
นอกจากนี้ นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในขณะนี้คงจะมีประสิทธิผลค่อนข้างน้อย และโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยจากนี้ไปก็คงไม่เกิดผลในทางปฏิบัติน้อย เพราะมีข้อมูลที่ยืนยันว่าค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมทั้งการลงทุนที่มีการคาดว่าต้นทุนการเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีสำหรับผู้รับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจในปี 2551
ในส่วนของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จากตัวเลขที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เคยทำประมาณการไว้ ราคาน้ำมันดิบปี 2551 เฉลี่ย 77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะมีผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศอยู่ที่ 26.10 บาทต่อลิตร ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.7% แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ 87 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.7% และถ้าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าอยู่ที่ 3.7% แต่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ที่ระดับนี้ ก็จะมีผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบและส่งผลกระทบต่อการออม
ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ตั้งโจทย์เร่งด่วนสำหรับรัฐบาลใหม่ที่ต้องเข้ามาแก้ไข โดยเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะประสบปัญหาความสมดุลของสิ่งที่จะสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนในระยะสั้นและการสร้างโครงสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ซึ่งถ้าจะให้ดีจะต้องกำหนดเป้าหมายว่าระยะยาวอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร และในระยะสั้นก็ไม่ควรฉีกมุมหรือเสียหายออกไปจากเป้าหมายในระยะยาว
++กูรูชี้ธุรกิจปรับตัวยากขึ้น
สอดรับกับความเห็นของ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ในปีหน้าภาคเอกชนจะปรับตัวและวางแผนธุรกิจลำบากกว่าปีนี้ แต่ภาคเอกชนก็ควรจะปรับตัวด้วยการลงทุนให้มากขึ้น เพียงแต่ว่าภาครัฐบาลที่เข้ามาใหม่จะเอื้ออำนวยให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนได้โดยมีนโยบายที่ออกมาเป็นรูปธรรมได้มากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนคงจะต้องล็อบบี้รัฐบาลเอง หรือนโยบายของรัฐบางอย่าง ที่มีผลต่อการประเมินกำไรในอนาคตของธุรกิจ และอาจทำให้ไม่มีการผลิตสินค้าเพิ่ม เช่น หากภาคธุรกิจมีต้นทุนจากการผลิตสินค้าและคิดแล้วว่าจะต้องปรับราคาขึ้น แต่รัฐบาลบอกไม่ให้ขึ้นราคาอีก 6 เดือนหรือ 12 เดือนข้างหน้าค่อยมาว่ากันใหม่ ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ ยังกล่าวถึง 3 ปัจจัยที่ต้องระวังในปี 2551 คือ
1.นโยบายการเงินที่ต้องระวังความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการนำเข้าเงินเฟ้อ เห็นได้จากใน ขณะนี้ประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่มีจีดีพีประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ถือดอลลาร์สหรัฐไว้ถึง 40% ของจีดีพี หรือประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะสั้นอาจจะซื้อดอลลาร์มาเก็บไว้เพราะไม่ต้องการให้บาทแข็ง เพื่อจะได้ส่งออกต่อไป
"นี่คือความเสี่ยงของเราเองที่ดำเนินนโยบายแบบนี้ ถ้าทำไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อในประเทศจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"
ส่วนปัจจัยที่ต้องพึงระวังข้อที่2. คือนโยบายการคลัง ซึ่งมีโครงสร้างฐานภาษีแคบ แต่ความต้องการใช้เงินมาก และมีการบิดเบือนที่หลายคนรู้ว่าหลายคนอยากได้นโยบายประชานิยม เพราะไม่ต้องจ่าย
ข้อที่ 3. นโยบายการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่มีคุณภาพ โดยอิงภาคเอกชนมากๆ จะมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมอย่างไร เนื่องจากการเติบโตด้วยนโยบายประชานิยมนั้น มีผลในระยะสั้น เพราะหากรัฐมีนโยบายประชานิยม แต่หาเงินไม่ได้ ในที่สุดก็จะกลับมามีปัญหาอีก เนื่องจากมีทางออกอยู่ 3 ทาง คือ ยืมเงินหรือขาดดุลงบประมาณ สร้างเงินเฟ้อ หรือ สาม เก็บภาษีให้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีทั้ง 3 ทาง
นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ ยังได้เสนอโจทย์เร่งด่วนสำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ว่าต้องส่งเสริมให้เอกชนทั้งต่างประเทศและในประเทศต้องเร่งการลงทุนเพราะการลงทุนจะตอบคำถามเรื่องความสามารถของการแข่งขัน และการเพิ่มศักยภาพการผลิตในอนาคต ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนแทนการส่งออก โดยไม่จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์หรือวัตถุประสงค์ในการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ตามธรรมชาติ
++แนะรัฐเร่งเกิดเมกะโปรเจ็กต์
นายธรรมา ปิ่นสุกาญจนะ กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และกรรมการและเหรัญญิกพรรคชาติไทย กล่าวว่าปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นขณะนี้ ยอมรับว่ามีตัวแปรที่ฉุดความเชื่อมั่นหลายตัวแปร ทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ภาคเอกชนต้องบริหารธุรกิจไปด้วยความเหนื่อยล้ามากขึ้น ฉะนั้นการบริหารความเสี่ยงที่ดีได้ นอกจากเอกชนจะปรับตัวจนหัวหมุนฝ่ายเดียวแล้วภาครัฐบาลจำเป็นจะต้องช่วยผลักดันให้เกิดการลงทุนในเมกกะโปรเจ็กต์ให้เร็วกว่านี้ ก็จะเป็นการบริหารความเสี่ยงที่ดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้
"แม้ว่าปีนี้จะหมดหวัง แต่ก็ยังมีความหวังว่าปี2551 เศรษฐกิจจะทรงตัว เพราะรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ทำให้คนเกิดความเชื่อมั่น คนมีกำลังใจที่จะออกไปจับจ่ายมากขึ้นในขณะที่อีกหลายคนบอกว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะทรุดตัวลงไปอีก"
นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการ บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ต้องมอง 2 เรื่องควบคู่กันไปคือ การสร้างรายได้ของธุรกิจ และการสร้างคนในชาติให้แข็งแรง คือ ตกงานน้อยที่สุด เพื่อที่จะอาศัยกำลังซื้อจากคนในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อ แต่การทำให้กำลังซื้อกลับมาก็ต้องหาวิธีการที่ไม่กระทบต่อระบบ
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในเวลานี้สำหรับประเทศไทย คือ ปัญหาการเมืองที่ยังไม่มีการยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งราคาน้ำมันและราคาทองคำ โดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ำมันซึ่งจะกระทบต่อประเทศไทย
แน่นอนเพราะนำเข้าน้ำมันสูงถึงเกือบ 90% โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ใช้น้ำมันในการผลิตก็ต้องเหนื่อยหนักมากขึ้น
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2268
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/11/07
โพสต์ที่ 424
KGI แนะซื้อ TTA+PS+ATC+MAKRO ส่วน ASP แนะเก็บ PS+SPALI+CCET+HANA เชื่อ ลดความผันผวนตลาดหุ้น
Posted on Friday, November 09, 2007
ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มจากวันที่ดัชนีแตะจุดสูงสุด ที่ 915 จุด เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา และค่อย ๆ ปรับลดลงค่อนข้างเร็วและแรง จากปัญหาจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ปัญหาวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ (วิกฤตซับไพร์ม) กลับมาอีกครั้ง ทั้งการรายงานผลขาดทุนจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ของธนาคารขนาดใหญ่ ต่อเนื่องไปถึงการมองแนวโน้มปัญหาซับไพร์มยืดเยื้อไปถึงปีหน้า ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง 40 จุด หรือเกือบ ๆ 4.4% เมื่คิดถึงส่งท้ายสัปดาห์นี้ ซึ่งดัชนียืนบริเวณ 874 จุด
ล่าสุด ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (KGI) และ บล.เอเซีย พลัส (ASP) ได้ออกบทวิเคราะห์ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์หน้า
โดย KGI แนะนำให้นักลงทุน เริ่มให้ความสนใจหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบไปด้วย PSL PTTEP BANPU PTT TTA SCCC RRC PS ATC และ MAKRO
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบระหว่างราคาปัจจุบัน และราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน ใน 12 เดือนข้างหน้า KGI พบว่า มีหุ้น 5 รายที่มี upside สูงกว่า 20% ได้แก่ TTA PS ATC และ MAKRO
ซึ่ง TTA มีเหตุผลจากราคาปัจจุบันน่าสนใจด้วย PE ปีหน้าเพียง 7.8 เท่า และผลตอบแทนเงินปันผล 5% ส่วน PS ราคาปรับลงมามาก และพื้นฐานยังแข็งแกร่งเป็นตัวเล่นใหญ่อันดับสองในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ MAKRO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก ที่มีแนวโน้มการเติบโตของยอดขายในสาขาเดิมค่อนข้างสูงมาก
และ ATC โดยซื้อแล้วถือเพื่อรอแลกเป็นหุ้นบริษัทใหม่ (Merged Co.) ที่รวมกับ RRC เนื่องจากราคาหุ้น ATC ปัจจุบันยังได้เปรียบ
ขณะที่ ASP บอกว่า ควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเลือกหุ้นกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ เพราะสามารถคาดหวัง Dividend yield สูง ส่วนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดธุรกิจฟื้นตัว หลังการเมืองมีเสถียรภาพ
โดยกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ แม้ว่าเงินบาทจะแข็ง แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อเปรียบเทียบการแข็งค่าของค่าเงินในภูมิภาคแล้ว ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งกว่าเพื่อนบ้าน จึงคาดว่ากลุ่มผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ จากแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต PCBA (สำหรับ HDD) ในจังหวะที่ราคาหุ้นในตลาดมีการอ่อนตัวลง จึงเหมาะเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนระยะกลาง โดยคาดหวังการจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ Dividend yield อยู่ในระดับสูง
ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้น Top picks ASP แนะนำ CCET ซึ่งในครึ่งปีหลังปีนี้ เริ่มรับรู้รายได้ผลิตภัณฑ์มือถือ 2.5G (คำสั่งซื้อจากประเทศอินเดีย) อย่างเต็มที่ตั้งแต่งวด 3Q50 เป็นต้นไป รวมถึงการเซ็นสัญญายกระดับการเป็น supplier รายใหญ่ 1 ใน 3 ของ Seagate โดยเป็น supplier แบบ ODM (รับจ้างผลิตและรวมการออกแบบด้วย ช่วยเพิ่มกำไรขั้นต้น (margin) มากกว่าแบบ EMS ที่เป็นการรับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้าเท่านั้น) คาดว่าจะทำให้ Gross Margin ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
นอกเหนือจาก CCET แล้ว มีหุ้นในกลุ่มอีก 2 บริษัทคือ HANA และ DELTA ผลประกอบการในงวดครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นได้ตามผลของฤดูกาลและคาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ 5% ด้วยเช่นกัน โดย CCET มีราคาเหมาะสมที่ 8.62 บาท ขระที่ HANA มีมูลค่าเหมาะสม 28.42 บาท
ส้วนกลุ่มพัฒนาอสังหาริทมทรัพย์นั้น ASP ชี้ว่า การที่กระบวนการทางการเมืองกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามปกติ เพราะจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เกิดขึ้นได้ในต้นเดือนมกราคม จะฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เพื่อพิจารณาปัจจัยดอกเบี้ย จะพบว่า การที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ทรงตัวในระดับตํ่าต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นมา ประกอบกับตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง น่าจะมีผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในระดับปัจจุบันคือ 3.25% ไว้ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกปีหน้าเป็นอย่างน้อย จนกว่าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าจะเดินหน้า จึงทำให้ธุรกิเจน่าจะมียอดขายกระเตื้องขึ้นเห็นผลชัดเจน
สำหรับหุ้น Top picks ที่แนะนำให้ซื้อ คือ PS, SPALI ซึ่งเตรียมเปิดโครงการใหม่จำนวนกว่า 18 โครงการ และ 6 โครงการ ตามลำดับ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะมั่นใจว่า จะต่อยอดผลประกอบการให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้าได้ โดย PS มีราคาเหมาะสม ที่ 11.87 บาท ส่วน SPALI อยู่ที่ 4.44 บาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Friday, November 09, 2007
ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มจากวันที่ดัชนีแตะจุดสูงสุด ที่ 915 จุด เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา และค่อย ๆ ปรับลดลงค่อนข้างเร็วและแรง จากปัญหาจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ปัญหาวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ (วิกฤตซับไพร์ม) กลับมาอีกครั้ง ทั้งการรายงานผลขาดทุนจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ของธนาคารขนาดใหญ่ ต่อเนื่องไปถึงการมองแนวโน้มปัญหาซับไพร์มยืดเยื้อไปถึงปีหน้า ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง 40 จุด หรือเกือบ ๆ 4.4% เมื่คิดถึงส่งท้ายสัปดาห์นี้ ซึ่งดัชนียืนบริเวณ 874 จุด
ล่าสุด ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (KGI) และ บล.เอเซีย พลัส (ASP) ได้ออกบทวิเคราะห์ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์หน้า
โดย KGI แนะนำให้นักลงทุน เริ่มให้ความสนใจหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบไปด้วย PSL PTTEP BANPU PTT TTA SCCC RRC PS ATC และ MAKRO
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบระหว่างราคาปัจจุบัน และราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน ใน 12 เดือนข้างหน้า KGI พบว่า มีหุ้น 5 รายที่มี upside สูงกว่า 20% ได้แก่ TTA PS ATC และ MAKRO
ซึ่ง TTA มีเหตุผลจากราคาปัจจุบันน่าสนใจด้วย PE ปีหน้าเพียง 7.8 เท่า และผลตอบแทนเงินปันผล 5% ส่วน PS ราคาปรับลงมามาก และพื้นฐานยังแข็งแกร่งเป็นตัวเล่นใหญ่อันดับสองในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ MAKRO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก ที่มีแนวโน้มการเติบโตของยอดขายในสาขาเดิมค่อนข้างสูงมาก
และ ATC โดยซื้อแล้วถือเพื่อรอแลกเป็นหุ้นบริษัทใหม่ (Merged Co.) ที่รวมกับ RRC เนื่องจากราคาหุ้น ATC ปัจจุบันยังได้เปรียบ
ขณะที่ ASP บอกว่า ควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเลือกหุ้นกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ เพราะสามารถคาดหวัง Dividend yield สูง ส่วนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดธุรกิจฟื้นตัว หลังการเมืองมีเสถียรภาพ
โดยกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ แม้ว่าเงินบาทจะแข็ง แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อเปรียบเทียบการแข็งค่าของค่าเงินในภูมิภาคแล้ว ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งกว่าเพื่อนบ้าน จึงคาดว่ากลุ่มผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ จากแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต PCBA (สำหรับ HDD) ในจังหวะที่ราคาหุ้นในตลาดมีการอ่อนตัวลง จึงเหมาะเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนระยะกลาง โดยคาดหวังการจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ Dividend yield อยู่ในระดับสูง
ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้น Top picks ASP แนะนำ CCET ซึ่งในครึ่งปีหลังปีนี้ เริ่มรับรู้รายได้ผลิตภัณฑ์มือถือ 2.5G (คำสั่งซื้อจากประเทศอินเดีย) อย่างเต็มที่ตั้งแต่งวด 3Q50 เป็นต้นไป รวมถึงการเซ็นสัญญายกระดับการเป็น supplier รายใหญ่ 1 ใน 3 ของ Seagate โดยเป็น supplier แบบ ODM (รับจ้างผลิตและรวมการออกแบบด้วย ช่วยเพิ่มกำไรขั้นต้น (margin) มากกว่าแบบ EMS ที่เป็นการรับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้าเท่านั้น) คาดว่าจะทำให้ Gross Margin ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
นอกเหนือจาก CCET แล้ว มีหุ้นในกลุ่มอีก 2 บริษัทคือ HANA และ DELTA ผลประกอบการในงวดครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นได้ตามผลของฤดูกาลและคาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ 5% ด้วยเช่นกัน โดย CCET มีราคาเหมาะสมที่ 8.62 บาท ขระที่ HANA มีมูลค่าเหมาะสม 28.42 บาท
ส้วนกลุ่มพัฒนาอสังหาริทมทรัพย์นั้น ASP ชี้ว่า การที่กระบวนการทางการเมืองกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามปกติ เพราะจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เกิดขึ้นได้ในต้นเดือนมกราคม จะฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เพื่อพิจารณาปัจจัยดอกเบี้ย จะพบว่า การที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ทรงตัวในระดับตํ่าต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นมา ประกอบกับตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง น่าจะมีผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในระดับปัจจุบันคือ 3.25% ไว้ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกปีหน้าเป็นอย่างน้อย จนกว่าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าจะเดินหน้า จึงทำให้ธุรกิเจน่าจะมียอดขายกระเตื้องขึ้นเห็นผลชัดเจน
สำหรับหุ้น Top picks ที่แนะนำให้ซื้อ คือ PS, SPALI ซึ่งเตรียมเปิดโครงการใหม่จำนวนกว่า 18 โครงการ และ 6 โครงการ ตามลำดับ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะมั่นใจว่า จะต่อยอดผลประกอบการให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้าได้ โดย PS มีราคาเหมาะสม ที่ 11.87 บาท ส่วน SPALI อยู่ที่ 4.44 บาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/11/07
โพสต์ที่ 425
คลัง เล็งปรับตัวเลขเศรษฐกิจ หลังราคาน้ำมันป่วนดันเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยพุ่ง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง บอกว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. จะปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2550 เป็นครั้งสุดท้ายในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากอัตราขยายตัวที่ตั้งไว้เดิม 3.8-4.3% ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมา ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.25% จะกระทบการบริโภคและลงทุน
ด้านนายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง หรือ สวค.บอกว่า เศรษฐกิจในปี 2550 อาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 4.5% ส่วนปี 2551 จะขยายตัวไม่ถึง 5% จากราคาน้ำมัน
ขณะที่นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.บอก ว่า ส.อ.ท.ได้สำรวจผลกระทบราคาน้ำมันต่อภาคอุตสาหกรรมไทย จากสมาชิก 13 สาขา ในช่วงวันที่ 29 ตุลาคม -4 พฤศจิกายน 2550 พบว่า ผู้ประกอบการทุกรายระบุตรงกันว่าหากราคาน้ำมันดีเซลเกินระดับ 30 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กิจการขาดทุน ส่วนอีก 7.69% เห็นว่าหากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร ก็ขาดทุนแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 75% มีสัดส่วนต้นทุนน้ำมัน ต่อต้นทุนรวมน้อยกว่า 20% ผู้ประกอบการอีก 12.5% มีต้นทุนน้ำมัน 20-30% ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และปลาป่น ผู้ประกอบการ 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 30-50% ได้แก่ อาหารสัตว์และอาหารทะเลและผู้ประกอบการอีก 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 50-80% ได้แก่หัตถอุตสาหกรรม สำหรับข้อเสนอต่อภาครัฐ ส.อ.ท. เห็นว่า ควรตรึงราคาและลดการส่งเงินสมทบกองทุนน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร
ธปท.ลดถือดอลลาร์ส่งผลขาดทุนบาทเหลือ 7.5 หมื่นล้านบาท
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือสศค.บอกว่า การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในปี 2550 นี้ คาดจะมีผลการดำเนินงานขาดทุนจากการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนเงินถึง 75,000 ล้านบาท แม้จะค่อนข้างสูงแต่ถือว่าขาดทุนน้อยกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา
สาเหตุหลักมาจาก ธปท.มีการปรับโครงสร้างสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งเดิมมีสัดส่วนถือครองสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราที่สูง แต่ในปีนี้ได้ปรับลดสัดส่วนการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ลงมาเหลือประมาณ 55-58% แล้วหันมาเพิ่มสินทรัพย์ในรูปของเงินตราสกุลยูโรและเงินตราสกุลอื่นๆ แทน
ซึ่งคาดจะมีการถือครองเงินตราสกุลอื่นๆ นอกจากเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในสัดส่วนประมาณ 45% จึงทำให้ผลการขาดทุนจากเดิมที่คาดว่าจะมีการขาดทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท ก็มีแนวโน้มว่าผลการขาดทุนจะปรับลดลงมามาก โดยเป็นผลจากเงินสกุลยูโรและเงินสกุลอื่นๆ ทั่วโลกได้ปรับตัวแข็งค่ามากกว่าเงินเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน อยู่ที่ 82,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากสัปดาห์ก่อน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
นโยบายการลดการถือครองดอลลาร์ลงเป็นทิศทางของธนาคารกลางทั่วโลก ได้แก่ จีนที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศมหาศาล ได้ออกมายอมรับว่าต้นเดือน ตุลาคมที่ผ่านมาทยอยลดสัดส่วนเงินดอลลาร์ลง 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่นก็เทขายเงินสำรองในรูปเงินดอลลาร์ไปแล้วกว่า 2 แสนล้านเหรียญ เช่นเดียวกับเวียดนามที่มีการลดสัดส่วนการถือเงินดอลลาร์ลดให้เหลือไม่เกิน 50% ขณะที่ประเทศไทย ที่ผ่านมาเน้นการเข้าแทรกแซงและออกมาตรการ (30%) แต่เงินบาทตั้งแต่ปลายปี 49 แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รัฐคุมเงินเฟ้อปีหน้าไม่ให้เกิน 3 %
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการประเมินภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยและภาวะเศรษฐกิจโลก เพื่อนำมาประเมินภาพรวมนโยบายการค้าในปี 2551 ซึ่งกระทรวงจะมีการแถลงตัวเลขการส่งออกปีหน้าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้
โดยในการประเมินจะต้องดูปัจจัยหลายด้าน เช่น ภาวะการค้าของเศรษฐกิจโลกและการรักษาตลาดหลัก เช่น ตลาดสหภาพยุโรป หรือ อียู ตลาดญี่ปุ่น ให้สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐที่มีปัญหาหลายด้านอยู่ในขณะนี้ รวมถึงเร่งเจาะตลาดใหม่ ๆ เช่น จีน อินเดีย
นายเกริกไกร บอกด้วยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าขนส่งและการปรับขึ้นของราคาสินค้า น่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อในปีหน้ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าปีนี้
ซึ่งหากปีหน้าเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ระดับ 5 - 5.5 % และทำให้เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกิน 3 % ก็เป็นระดับที่น่าจะรับได้ ซึ่งเชื่อว่าภาครัฐจะสามารถควบคุมไม่ให้เงินเฟ้อปีหน้าสูงมากจนเกินไปได้ ขณะที่การส่งออกหากสามารถเติบโตได้ถึง 10 % เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
สำหรับการส่งออกในปีนี้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน แต่จะคาดว่าจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 12. 5 % โดยผู้ส่งออกทุกกลุ่มจะต้องปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับปัญหาที่เกิดขึ้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้บอกถึงนโยบายประชานิยมที่แต่ละพรรคการเมืองใช้หาเสียงกันอยู่ขณะนี้ว่า ประเทศชาติจะอยู่รอดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนที่จะต้องใช้ดุลพินิจเลือก ส.ส. และยังเชื่อว่ารัฐบาลใหม่น่าจะมีเสถียรภาพและทำให้การเมืองนิ่งได้ ซึ่งการที่พรรคการเมืองใช้นโยบายประชานิยมก็ถือว่าเป็นการเอาใจประชาชน ไม่ใช่เป็นสิ่งเลวร้าย แต่รัฐบาลใหม่ก็ต้องเข้ามาปรับปรุงระบบโครงสร้างของประเทศ เช่น ระบบขนส่งและระบบสาธารณูปโภคและอื่น ๆ การพัฒนาระบบการศึกษา รวมทั้งต้องระมัดระวังการใช้งบประมาณ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องรับภาระหนี้ในอนาคต
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง บอกว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. จะปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2550 เป็นครั้งสุดท้ายในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากอัตราขยายตัวที่ตั้งไว้เดิม 3.8-4.3% ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมา ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.25% จะกระทบการบริโภคและลงทุน
ด้านนายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง หรือ สวค.บอกว่า เศรษฐกิจในปี 2550 อาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 4.5% ส่วนปี 2551 จะขยายตัวไม่ถึง 5% จากราคาน้ำมัน
ขณะที่นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.บอก ว่า ส.อ.ท.ได้สำรวจผลกระทบราคาน้ำมันต่อภาคอุตสาหกรรมไทย จากสมาชิก 13 สาขา ในช่วงวันที่ 29 ตุลาคม -4 พฤศจิกายน 2550 พบว่า ผู้ประกอบการทุกรายระบุตรงกันว่าหากราคาน้ำมันดีเซลเกินระดับ 30 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กิจการขาดทุน ส่วนอีก 7.69% เห็นว่าหากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร ก็ขาดทุนแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 75% มีสัดส่วนต้นทุนน้ำมัน ต่อต้นทุนรวมน้อยกว่า 20% ผู้ประกอบการอีก 12.5% มีต้นทุนน้ำมัน 20-30% ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และปลาป่น ผู้ประกอบการ 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 30-50% ได้แก่ อาหารสัตว์และอาหารทะเลและผู้ประกอบการอีก 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 50-80% ได้แก่หัตถอุตสาหกรรม สำหรับข้อเสนอต่อภาครัฐ ส.อ.ท. เห็นว่า ควรตรึงราคาและลดการส่งเงินสมทบกองทุนน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร
ธปท.ลดถือดอลลาร์ส่งผลขาดทุนบาทเหลือ 7.5 หมื่นล้านบาท
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือสศค.บอกว่า การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในปี 2550 นี้ คาดจะมีผลการดำเนินงานขาดทุนจากการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนเงินถึง 75,000 ล้านบาท แม้จะค่อนข้างสูงแต่ถือว่าขาดทุนน้อยกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา
สาเหตุหลักมาจาก ธปท.มีการปรับโครงสร้างสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งเดิมมีสัดส่วนถือครองสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราที่สูง แต่ในปีนี้ได้ปรับลดสัดส่วนการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ลงมาเหลือประมาณ 55-58% แล้วหันมาเพิ่มสินทรัพย์ในรูปของเงินตราสกุลยูโรและเงินตราสกุลอื่นๆ แทน
ซึ่งคาดจะมีการถือครองเงินตราสกุลอื่นๆ นอกจากเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในสัดส่วนประมาณ 45% จึงทำให้ผลการขาดทุนจากเดิมที่คาดว่าจะมีการขาดทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท ก็มีแนวโน้มว่าผลการขาดทุนจะปรับลดลงมามาก โดยเป็นผลจากเงินสกุลยูโรและเงินสกุลอื่นๆ ทั่วโลกได้ปรับตัวแข็งค่ามากกว่าเงินเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน อยู่ที่ 82,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากสัปดาห์ก่อน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
นโยบายการลดการถือครองดอลลาร์ลงเป็นทิศทางของธนาคารกลางทั่วโลก ได้แก่ จีนที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศมหาศาล ได้ออกมายอมรับว่าต้นเดือน ตุลาคมที่ผ่านมาทยอยลดสัดส่วนเงินดอลลาร์ลง 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่นก็เทขายเงินสำรองในรูปเงินดอลลาร์ไปแล้วกว่า 2 แสนล้านเหรียญ เช่นเดียวกับเวียดนามที่มีการลดสัดส่วนการถือเงินดอลลาร์ลดให้เหลือไม่เกิน 50% ขณะที่ประเทศไทย ที่ผ่านมาเน้นการเข้าแทรกแซงและออกมาตรการ (30%) แต่เงินบาทตั้งแต่ปลายปี 49 แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รัฐคุมเงินเฟ้อปีหน้าไม่ให้เกิน 3 %
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการประเมินภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยและภาวะเศรษฐกิจโลก เพื่อนำมาประเมินภาพรวมนโยบายการค้าในปี 2551 ซึ่งกระทรวงจะมีการแถลงตัวเลขการส่งออกปีหน้าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้
โดยในการประเมินจะต้องดูปัจจัยหลายด้าน เช่น ภาวะการค้าของเศรษฐกิจโลกและการรักษาตลาดหลัก เช่น ตลาดสหภาพยุโรป หรือ อียู ตลาดญี่ปุ่น ให้สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐที่มีปัญหาหลายด้านอยู่ในขณะนี้ รวมถึงเร่งเจาะตลาดใหม่ ๆ เช่น จีน อินเดีย
นายเกริกไกร บอกด้วยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าขนส่งและการปรับขึ้นของราคาสินค้า น่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อในปีหน้ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าปีนี้
ซึ่งหากปีหน้าเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ระดับ 5 - 5.5 % และทำให้เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกิน 3 % ก็เป็นระดับที่น่าจะรับได้ ซึ่งเชื่อว่าภาครัฐจะสามารถควบคุมไม่ให้เงินเฟ้อปีหน้าสูงมากจนเกินไปได้ ขณะที่การส่งออกหากสามารถเติบโตได้ถึง 10 % เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
สำหรับการส่งออกในปีนี้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน แต่จะคาดว่าจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 12. 5 % โดยผู้ส่งออกทุกกลุ่มจะต้องปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับปัญหาที่เกิดขึ้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้บอกถึงนโยบายประชานิยมที่แต่ละพรรคการเมืองใช้หาเสียงกันอยู่ขณะนี้ว่า ประเทศชาติจะอยู่รอดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนที่จะต้องใช้ดุลพินิจเลือก ส.ส. และยังเชื่อว่ารัฐบาลใหม่น่าจะมีเสถียรภาพและทำให้การเมืองนิ่งได้ ซึ่งการที่พรรคการเมืองใช้นโยบายประชานิยมก็ถือว่าเป็นการเอาใจประชาชน ไม่ใช่เป็นสิ่งเลวร้าย แต่รัฐบาลใหม่ก็ต้องเข้ามาปรับปรุงระบบโครงสร้างของประเทศ เช่น ระบบขนส่งและระบบสาธารณูปโภคและอื่น ๆ การพัฒนาระบบการศึกษา รวมทั้งต้องระมัดระวังการใช้งบประมาณ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องรับภาระหนี้ในอนาคต
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/11/07
โพสต์ที่ 426
ไทยติดอันดับ 15 อำนวยความสะดวกทำธุรกิจ ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, November 12, 2007
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง บอกถึงผลสำรวจของธนาคารโลกเกี่ยวกับความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปี 2550 พบว่า ไทยติดอันดับที่ 15 ของโลก จากทั้งหมด 178 ประเทศ เลื่อนขึ้นจากเดิมที่อยู่ในอันดับที่ 17 โดยสิงคโปร์ยังครองอันดับ 1 ติดต่อกัน 2 ปี ฮ่องกงอยู่อันดับ 4 ญี่ปุ่นอันดับที่ 12 ส่วนมาเลเซียอันดับ 24 และเวียดนามอันดับ 19 โดยการสำรวจการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ จะวัดจากดัชนี 10 ตัว เช่น การขอใบอนุญาต การจดทะเบียน การจ้างงาน การได้รับสินเชื่อ การชำระภาษี การค้าระหว่างประเทศ
ด้านนายอาวุธ วรรณวงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) คาดการณ์ว่า ไทยจะก้าวขึ้นติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกได้ในปี 2551 หลังจากได้ร่วมปรับปรุงในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในการวัดผลในปีหน้า จะเพิ่มตัวชี้วัดอีก 2 ด้านเกี่ยวกับธรรมาภิบาล ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะทำให้ไทยขยับอันดับได้ดีขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, November 12, 2007
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง บอกถึงผลสำรวจของธนาคารโลกเกี่ยวกับความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปี 2550 พบว่า ไทยติดอันดับที่ 15 ของโลก จากทั้งหมด 178 ประเทศ เลื่อนขึ้นจากเดิมที่อยู่ในอันดับที่ 17 โดยสิงคโปร์ยังครองอันดับ 1 ติดต่อกัน 2 ปี ฮ่องกงอยู่อันดับ 4 ญี่ปุ่นอันดับที่ 12 ส่วนมาเลเซียอันดับ 24 และเวียดนามอันดับ 19 โดยการสำรวจการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ จะวัดจากดัชนี 10 ตัว เช่น การขอใบอนุญาต การจดทะเบียน การจ้างงาน การได้รับสินเชื่อ การชำระภาษี การค้าระหว่างประเทศ
ด้านนายอาวุธ วรรณวงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) คาดการณ์ว่า ไทยจะก้าวขึ้นติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกได้ในปี 2551 หลังจากได้ร่วมปรับปรุงในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในการวัดผลในปีหน้า จะเพิ่มตัวชี้วัดอีก 2 ด้านเกี่ยวกับธรรมาภิบาล ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะทำให้ไทยขยับอันดับได้ดีขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/11/07
โพสต์ที่ 427
ฉลองภพ เชื่อ ศก.ปี 50 โตได้ 4.5% ไม่วิตกน้ำมันพุ่ง-มั่นใจคุมเงินเฟ้ออยู่หมัด
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤศจิกายน 2550 14:14 น.
รมว.คลัง คาดเศรษฐกิจปี 50 ยังเติบโตได้ 4.5% ส่วนแนวโน้มปีหน้า มั่นใจเติบโตได้เกิน 5% แน่นอน พร้อมระบุพื้นฐานเงินเฟ้อไทยต่ำแค่ 1% จึงมีโอกาสรับมือปัญหาน้ำมันแพง ได้ดีกว่าประเทศอื่น ขณะที่ ปธ.ตลาดหุ้น ออกกมาแสดงความเป็นห่วง ปัญหาน้ำมันแพงดันเงินเฟ้อปรับตัวสูง กดดันการดำเนินนโยบายการเงิน ธปท.พร้อมเชื่อว่าระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล อาจเป็นแค่ช่วงสั้น
วันนี้ (12 พ.ย.) นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังขยายตัวได้ในระดับ 4.5% ขณะที่มองว่า ปี 2551 จะสามารถขยายตัวได้เกินกว่า 5% หากภาวะเศรษฐกิจไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และยังเชื่อว่า มาตรการของทางการที่ใช้อยู่สามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนข้างหน้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การเตรียมปรับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในเดือน พ.ย.นี้ เป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ต้องคาดการณ์กันตามสมมติฐาน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่ไม่มากขึ้นไปกว่านี้หรือปรับลดลงก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมากนัก
รมว.คลัง ยังคาดอีกว่า ในปีหน้าแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจะมาจากภาคการลงทุนเป็นหลักซึ่งจะเข้ามาช่วยทดแทนภาคการส่งออก แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่าภาคการส่งออกปีนี้จะโตได้ 14-15% ซึ่งอาจสูงกว่าเป้าที่คาดไว้ที่ 12.5% ส่วนปีหน้าหากการส่งออกโตได้ถึง 10% ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้
ส่วนภาวะราคาน้ำมันในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งโลก แต่ในส่วนของไทยที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1% กว่า ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสรับมือกับราคาน้ำมันได้ดีกว่าหลายประเทศ แต่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังจำเป็นต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ แต่ยังเชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันจะขยายตัวได้ไม่สูงมากนักซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมากได้
นายฉลองภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนโยบายการเงินที่ใช้ในปัจจุบันเชื่อว่ายังสามารถรับมือกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ในกรอบที่ 0-3.5% ได้ต่อไปอีก 6 เดือน ซึ่งทำให้ทางการไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากนัก และยิ่งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเช่นนี้ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมาก
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3% เนื่องจากผลพวงของราคาน้ำมันที่มีผลทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นทางการโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์จะต้องเขาไปดูแลไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น
ปธ.ตลาดหุ้น วิตกเงินเฟ้อ-กดดันนโยบายการเงิน
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องว่า เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองกับความต้องการใช้น้ำมันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น พายุเฮอร์ริเคน ความไม่สงบในตุรกี รวมทั้งการเข้าสู่ฤดูหนาวในแถบยุโรป ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเก็งกำไรของกองทุนเก็งกำไร หรือ เฮดจ์ฟันด์ ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นจนผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นใกล้ถึงระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น แต่ก็ต้องติดตามดูสถานการณ์ราคาน้ำมันต่อเนื่อง เพราะจะมีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเกรงว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นมาก และจะเป็นแรงกดดันในการดำเนินนโยบายทางการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แต่ก็เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000134065
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤศจิกายน 2550 14:14 น.
รมว.คลัง คาดเศรษฐกิจปี 50 ยังเติบโตได้ 4.5% ส่วนแนวโน้มปีหน้า มั่นใจเติบโตได้เกิน 5% แน่นอน พร้อมระบุพื้นฐานเงินเฟ้อไทยต่ำแค่ 1% จึงมีโอกาสรับมือปัญหาน้ำมันแพง ได้ดีกว่าประเทศอื่น ขณะที่ ปธ.ตลาดหุ้น ออกกมาแสดงความเป็นห่วง ปัญหาน้ำมันแพงดันเงินเฟ้อปรับตัวสูง กดดันการดำเนินนโยบายการเงิน ธปท.พร้อมเชื่อว่าระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล อาจเป็นแค่ช่วงสั้น
วันนี้ (12 พ.ย.) นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังขยายตัวได้ในระดับ 4.5% ขณะที่มองว่า ปี 2551 จะสามารถขยายตัวได้เกินกว่า 5% หากภาวะเศรษฐกิจไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และยังเชื่อว่า มาตรการของทางการที่ใช้อยู่สามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนข้างหน้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การเตรียมปรับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในเดือน พ.ย.นี้ เป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ต้องคาดการณ์กันตามสมมติฐาน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่ไม่มากขึ้นไปกว่านี้หรือปรับลดลงก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมากนัก
รมว.คลัง ยังคาดอีกว่า ในปีหน้าแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจะมาจากภาคการลงทุนเป็นหลักซึ่งจะเข้ามาช่วยทดแทนภาคการส่งออก แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่าภาคการส่งออกปีนี้จะโตได้ 14-15% ซึ่งอาจสูงกว่าเป้าที่คาดไว้ที่ 12.5% ส่วนปีหน้าหากการส่งออกโตได้ถึง 10% ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้
ส่วนภาวะราคาน้ำมันในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งโลก แต่ในส่วนของไทยที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1% กว่า ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสรับมือกับราคาน้ำมันได้ดีกว่าหลายประเทศ แต่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังจำเป็นต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ แต่ยังเชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันจะขยายตัวได้ไม่สูงมากนักซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมากได้
นายฉลองภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนโยบายการเงินที่ใช้ในปัจจุบันเชื่อว่ายังสามารถรับมือกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ในกรอบที่ 0-3.5% ได้ต่อไปอีก 6 เดือน ซึ่งทำให้ทางการไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากนัก และยิ่งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเช่นนี้ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมาก
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3% เนื่องจากผลพวงของราคาน้ำมันที่มีผลทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นทางการโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์จะต้องเขาไปดูแลไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น
ปธ.ตลาดหุ้น วิตกเงินเฟ้อ-กดดันนโยบายการเงิน
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องว่า เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองกับความต้องการใช้น้ำมันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น พายุเฮอร์ริเคน ความไม่สงบในตุรกี รวมทั้งการเข้าสู่ฤดูหนาวในแถบยุโรป ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเก็งกำไรของกองทุนเก็งกำไร หรือ เฮดจ์ฟันด์ ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นจนผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นใกล้ถึงระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น แต่ก็ต้องติดตามดูสถานการณ์ราคาน้ำมันต่อเนื่อง เพราะจะมีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเกรงว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นมาก และจะเป็นแรงกดดันในการดำเนินนโยบายทางการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แต่ก็เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000134065
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/11/07
โพสต์ที่ 428
"หม่อมเต่า" จวกมาตรการ 30% เพิ่มต้นทุนสินค้า-ทำลายบรรยากาศลงทุน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2550 14:07 น.
อดีตผู้ว่าฯ ธปท. จี้ผ่อนผันมาตรการ 30% กระทบต้นทุนผู้ประกอบการพุ่งสูงขึ้น เป็นอุปสรรคการค้าขาย และทำลายบรรยากาศการลงทุน
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่มีบางพรรคการเมือง เตรียมเสนอยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทันที หลังได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เรื่องดังกล่าว ตนเองเห็นว่า มาตรการ 30% ควรปรับปรุงแก้ไข เพื่อลดอุปสรรคต้นทุนทางการค้า เนื่องจากหลักในการค้าขายทุกประเภท เรื่องต้นทุนถือเป็นความจำเป็นอย่างมาก และมาตรการ 30% ก็เป็นต้นทุนประเภทหนึ่ง อีกทั้งการค้าจะต้องมีความคล่องตัวหากติดขัดอุปสรรคใดประเทศไทยซึ่งยังต้องพึ่งพานักลงทุนต่างชาติก็ต้องพยายามสร้างบรรยาการให้เกิดการลงทุนมากที่สุด
ทั้งนี้มาตรการกันสำรอง 30% ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งควรเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ในการบริหารถือเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อย่างไรก็ตาม ธปท. อาจเกี่ยงได้ว่ามาตรการกันสำรองดังกล่าว เป็นเรื่องการบริหารไม่ใช่นโยบาย
ส่วนกรณี พ.ร.บ.เงินตรา อดีตผู้ว่าฯ ธปท. มองว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา เนื่องจากก่อนหน้านี้ประเทศไม่มีเงินทุนสำรองจึงต้องพยายามเก็บเงินเข้าคลังหลวงมากๆ แต่ปัจจุบันปริมาณเงินทุนสำรองที่เพิ่มมากขึ้นจำเป็นต้องนำไปบริหารเพื่อหาผลตอบแทน โดยอาจมอบให้เป็นหน้าที่ของธปท. หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาดำเนินการ แต่ปัญหาคือขณะนี้ธปท.ยังขาดความเชื่อมั่นจากภายนอกเพราะมีปัญหาในคราววิกฤติ ปี 2540
สำหรับการขอขยายกรอบวงเงินออกพันธบัตรอีก 5 แสนล้านบาทเป็น 2 ล้านล้านบาทของ ธปท.นั้น ม.ร.ว.จัตุมงคล ระบุว่า อำนาจดังกล่าวนี้ควรเป็นของ ธปท. เพื่อความคล่องตัวในการออกพันธบัตร เนื่องจากการต้องขออนุญาต รมว.คลัง ทุกครั้งที่ต้องการออกพันธบัตร จะทำให้ล่าช้า อีกทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังซึ่งจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวอาจไม่มีความรู้เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและการบริหารเงินที่ดีพอ อีกทั้งการเซ็นอนุมัติถึง 5 แสนล้านบาทจะให้รวดเร็วเป็นตนก็คงไม่เซ็นเร่งด่วนให้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องนี้อาจจะต้องพิจารณาสถานการณ์ของต่างประเทศว่ามีมาตรฐานหรือแนวทางปฏิบัติอย่างไรเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000133647
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2550 14:07 น.
อดีตผู้ว่าฯ ธปท. จี้ผ่อนผันมาตรการ 30% กระทบต้นทุนผู้ประกอบการพุ่งสูงขึ้น เป็นอุปสรรคการค้าขาย และทำลายบรรยากาศการลงทุน
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่มีบางพรรคการเมือง เตรียมเสนอยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทันที หลังได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เรื่องดังกล่าว ตนเองเห็นว่า มาตรการ 30% ควรปรับปรุงแก้ไข เพื่อลดอุปสรรคต้นทุนทางการค้า เนื่องจากหลักในการค้าขายทุกประเภท เรื่องต้นทุนถือเป็นความจำเป็นอย่างมาก และมาตรการ 30% ก็เป็นต้นทุนประเภทหนึ่ง อีกทั้งการค้าจะต้องมีความคล่องตัวหากติดขัดอุปสรรคใดประเทศไทยซึ่งยังต้องพึ่งพานักลงทุนต่างชาติก็ต้องพยายามสร้างบรรยาการให้เกิดการลงทุนมากที่สุด
ทั้งนี้มาตรการกันสำรอง 30% ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งควรเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ในการบริหารถือเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อย่างไรก็ตาม ธปท. อาจเกี่ยงได้ว่ามาตรการกันสำรองดังกล่าว เป็นเรื่องการบริหารไม่ใช่นโยบาย
ส่วนกรณี พ.ร.บ.เงินตรา อดีตผู้ว่าฯ ธปท. มองว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา เนื่องจากก่อนหน้านี้ประเทศไม่มีเงินทุนสำรองจึงต้องพยายามเก็บเงินเข้าคลังหลวงมากๆ แต่ปัจจุบันปริมาณเงินทุนสำรองที่เพิ่มมากขึ้นจำเป็นต้องนำไปบริหารเพื่อหาผลตอบแทน โดยอาจมอบให้เป็นหน้าที่ของธปท. หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาดำเนินการ แต่ปัญหาคือขณะนี้ธปท.ยังขาดความเชื่อมั่นจากภายนอกเพราะมีปัญหาในคราววิกฤติ ปี 2540
สำหรับการขอขยายกรอบวงเงินออกพันธบัตรอีก 5 แสนล้านบาทเป็น 2 ล้านล้านบาทของ ธปท.นั้น ม.ร.ว.จัตุมงคล ระบุว่า อำนาจดังกล่าวนี้ควรเป็นของ ธปท. เพื่อความคล่องตัวในการออกพันธบัตร เนื่องจากการต้องขออนุญาต รมว.คลัง ทุกครั้งที่ต้องการออกพันธบัตร จะทำให้ล่าช้า อีกทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังซึ่งจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวอาจไม่มีความรู้เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและการบริหารเงินที่ดีพอ อีกทั้งการเซ็นอนุมัติถึง 5 แสนล้านบาทจะให้รวดเร็วเป็นตนก็คงไม่เซ็นเร่งด่วนให้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องนี้อาจจะต้องพิจารณาสถานการณ์ของต่างประเทศว่ามีมาตรฐานหรือแนวทางปฏิบัติอย่างไรเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000133647
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/11/07
โพสต์ที่ 429
งบลงทุนรัฐสวัสดิการพุ่ง4แสนล.
นางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า หากรัฐบาลจะผลักดันนโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าทั้งประเทศ จะต้องใช้งบประมาณขั้นต่ำ 4 แสนล้านบาท จนถึงสูงสุด 1.6 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันใช้งบประมาณ 1.8 แสนล้านบาท
รายได้จากภาษีอาจต้องสูงขึ้นหรือค่าใช้จ่ายบางประเภทของรัฐจะต้องลดลง นางวรวรรณ กล่าว
นางวรวรรณ กล่าวว่า สวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุในลักษณะเงินบำนาญ และสวัสดิการรักษาพยาบาลมีความสำคัญต่อการช่วยลดความยากจน โดยค่าใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการชราในปีก่อน อยู่ที่ 68,635 ล้านบาท ซึ่งไม่ถึง 1% ของจีดีพี และเกือบ 90% ของสวัสดิการเพื่อชราภาพเป็นผลประโยชน์ที่ให้กับข้าราชการ ไม่ใช่คนที่ยากจนอย่างแท้จริง
สวัสดิการประเภทหลักประกันด้านรายได้สำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทยนั้น ยังไม่เป็นแบบถ้วนหน้า มีประชาชนวัยทำงานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีหลักประกันเมื่อเข้าสู่วัยชรา นางวรวรรณ กล่าว
สำหรับค่าใช้จ่ายสวัสดิการที่สูงสุดคือสวัสดิการด้านสุขภาพ ซึ่งมีประมาณแสนล้านบาท แบ่งสวัสดิการ 3 กลุ่มหลักคือ สวัสดิการสำหรับข้าราชการประมาณ 37,004 ล้านบาท สวัสดิการสำหรับผู้ประกันตนประมาณ 16,812 ล้านบาท และสวัสดิการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศประมาณ 48,249 ล้านบาท
นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะเปิดเสรีการค้ามาก แต่การกระจายรายได้กลับแย่ลง ประชาชนนอกภาคเกษตร คือ กลุ่มคนในภาคอุตสาห กรรม และบริการ ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าคนในภาคเกษตร
กลายเป็นว่าคนในภาคเกษตรจะจนเท่าเทียมกันมากขึ้น ส่วนคนนอกภาคเกษตรกลับมีการกระจายรายได้หวือหวา ฉะนั้นการกระจายรายได้จึงต้องมีมาตรการคนละชุดกับการแก้ปัญหาความยากจน นายอดิศร์ กล่าว
ทั้งนี้ ผลการศึกษายังระบุว่า กระบวนการโลกาภิวัตน์ในรูปแบบต่างๆ ส่งผลต่อการกระจายรายได้ต่างกัน โดยการเปิดเสรีทางการเงินมีผลทำให้ปัญหากระจายรายได้แย่ลงมากที่สุด ขณะที่การขยายการส่งออกสินค้าเกษตรมีผลต่อการกระจายรายได้ในเชิงลบน้อยที่สุด
นอกจากนี้ ยังพบว่าสาเหตุที่การขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศไม่สามารถส่งผลทางบวกต่อครอบครัวที่มีรายได้น้อย เพราะประชากรไทยส่วนหนึ่งขาดการศึกษาที่จำเป็นต่อการสร้างรายได้ เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และการที่โครงสร้างตลาดในประเทศไทยมีการกระจุกตัวสูง ทำให้กำไรมีการกระจุกตัวในกลุ่มผู้ประกอบการบางรายเท่านั้น
การเปิดประเทศมากแม้เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวดี ปัญหาความยากจนน้อยลง แต่โลกาภิวัตน์กลับสร้างปัญหาการกระจายรายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความลึกซึ้งมากกว่า นายอดิศร์ กล่าว
นายอดิศร์ กล่าวว่า ปัญหาความยากจนของไทยลดลงจาก 45% เหลือ 10% ในปัจจุบัน โดยความยากจนที่เหลืออยู่ เป็นความยากจนเฉพาะทาง อาจต้องใช้มาตรการอื่น เช่น กรณีปัญหาสังคม พ่อและแม่เสียชีวิตจากโรคร้าย ทำให้ลูกต้องออกจากโรงเรียน เป็นต้น
นายอดิศร์ได้เสนอแนะทางออก 6 ข้อ คือ ประเทศต้องมีการพัฒนาด้านการศึกษา เงินไหลเข้าสู่คนควรมีการแข่งขันที่เป็นธรรม ต้องมีระบบประกันสังคมที่ดี มีนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่รักษาเสถียรภาพได้ เรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วควรเปิดเสรีการค้าโดยเฉพาะสินค้าเกษตรเพื่อช่วยประเทศที่ยากจน และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ควรมีนโยบายเอื้อต่อประเทศที่กำลังพัฒนา
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 178&ch=227
นางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า หากรัฐบาลจะผลักดันนโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าทั้งประเทศ จะต้องใช้งบประมาณขั้นต่ำ 4 แสนล้านบาท จนถึงสูงสุด 1.6 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันใช้งบประมาณ 1.8 แสนล้านบาท
รายได้จากภาษีอาจต้องสูงขึ้นหรือค่าใช้จ่ายบางประเภทของรัฐจะต้องลดลง นางวรวรรณ กล่าว
นางวรวรรณ กล่าวว่า สวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุในลักษณะเงินบำนาญ และสวัสดิการรักษาพยาบาลมีความสำคัญต่อการช่วยลดความยากจน โดยค่าใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการชราในปีก่อน อยู่ที่ 68,635 ล้านบาท ซึ่งไม่ถึง 1% ของจีดีพี และเกือบ 90% ของสวัสดิการเพื่อชราภาพเป็นผลประโยชน์ที่ให้กับข้าราชการ ไม่ใช่คนที่ยากจนอย่างแท้จริง
สวัสดิการประเภทหลักประกันด้านรายได้สำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทยนั้น ยังไม่เป็นแบบถ้วนหน้า มีประชาชนวัยทำงานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีหลักประกันเมื่อเข้าสู่วัยชรา นางวรวรรณ กล่าว
สำหรับค่าใช้จ่ายสวัสดิการที่สูงสุดคือสวัสดิการด้านสุขภาพ ซึ่งมีประมาณแสนล้านบาท แบ่งสวัสดิการ 3 กลุ่มหลักคือ สวัสดิการสำหรับข้าราชการประมาณ 37,004 ล้านบาท สวัสดิการสำหรับผู้ประกันตนประมาณ 16,812 ล้านบาท และสวัสดิการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศประมาณ 48,249 ล้านบาท
นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะเปิดเสรีการค้ามาก แต่การกระจายรายได้กลับแย่ลง ประชาชนนอกภาคเกษตร คือ กลุ่มคนในภาคอุตสาห กรรม และบริการ ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าคนในภาคเกษตร
กลายเป็นว่าคนในภาคเกษตรจะจนเท่าเทียมกันมากขึ้น ส่วนคนนอกภาคเกษตรกลับมีการกระจายรายได้หวือหวา ฉะนั้นการกระจายรายได้จึงต้องมีมาตรการคนละชุดกับการแก้ปัญหาความยากจน นายอดิศร์ กล่าว
ทั้งนี้ ผลการศึกษายังระบุว่า กระบวนการโลกาภิวัตน์ในรูปแบบต่างๆ ส่งผลต่อการกระจายรายได้ต่างกัน โดยการเปิดเสรีทางการเงินมีผลทำให้ปัญหากระจายรายได้แย่ลงมากที่สุด ขณะที่การขยายการส่งออกสินค้าเกษตรมีผลต่อการกระจายรายได้ในเชิงลบน้อยที่สุด
นอกจากนี้ ยังพบว่าสาเหตุที่การขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศไม่สามารถส่งผลทางบวกต่อครอบครัวที่มีรายได้น้อย เพราะประชากรไทยส่วนหนึ่งขาดการศึกษาที่จำเป็นต่อการสร้างรายได้ เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และการที่โครงสร้างตลาดในประเทศไทยมีการกระจุกตัวสูง ทำให้กำไรมีการกระจุกตัวในกลุ่มผู้ประกอบการบางรายเท่านั้น
การเปิดประเทศมากแม้เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวดี ปัญหาความยากจนน้อยลง แต่โลกาภิวัตน์กลับสร้างปัญหาการกระจายรายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความลึกซึ้งมากกว่า นายอดิศร์ กล่าว
นายอดิศร์ กล่าวว่า ปัญหาความยากจนของไทยลดลงจาก 45% เหลือ 10% ในปัจจุบัน โดยความยากจนที่เหลืออยู่ เป็นความยากจนเฉพาะทาง อาจต้องใช้มาตรการอื่น เช่น กรณีปัญหาสังคม พ่อและแม่เสียชีวิตจากโรคร้าย ทำให้ลูกต้องออกจากโรงเรียน เป็นต้น
นายอดิศร์ได้เสนอแนะทางออก 6 ข้อ คือ ประเทศต้องมีการพัฒนาด้านการศึกษา เงินไหลเข้าสู่คนควรมีการแข่งขันที่เป็นธรรม ต้องมีระบบประกันสังคมที่ดี มีนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่รักษาเสถียรภาพได้ เรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วควรเปิดเสรีการค้าโดยเฉพาะสินค้าเกษตรเพื่อช่วยประเทศที่ยากจน และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ควรมีนโยบายเอื้อต่อประเทศที่กำลังพัฒนา
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 178&ch=227
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/11/07
โพสต์ที่ 430
คลังรื้อตัวเลขศก.ยกแผง
คลังเล็งปรับตัวเลขเศรษฐกิจ หลังราคาน้ำมันป่วนดันเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยพุ่ง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2550 เป็นครั้งสุดท้ายในช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ เนื่องจากอัตราขยายตัวที่ตั้งไว้เดิม 3.8-4.3% ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมา
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.25% จะกระทบการบริโภคและลงทุน
นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กล่าวว่า เศรษฐกิจในปี 2550 อาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 4.5% ส่วนปี 2551 จะขยายตัวไม่ถึง 5% จากราคาน้ำมัน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้สำรวจผลกระทบราคาน้ำมันต่อภาคอุตสาหกรรมไทย จากสมาชิก 13 สาขา ในช่วงวันที่ 29 ต.ค.-4 พ.ย. 2550 พบว่า ผู้ประกอบการทุกรายระบุตรงกันว่าหากราคาน้ำมันดีเซลเกินระดับ 30 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กิจการขาดทุน ส่วนอีก 7.69% เห็นว่าหากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร ก็ขาดทุนแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 75% มีสัดส่วนต้นทุนน้ำมัน ต่อต้นทุนรวมน้อยกว่า 20% ผู้ประกอบการอีก 12.5% มีต้นทุนน้ำมัน 20-30% ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และปลาป่น ผู้ประกอบการ 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 30-50% ได้แก่ อาหารสัตว์และอาหารทะเลและผู้ประกอบการอีก 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 50-80% ได้แก่หัตถอุตสาหกรรม
สำหรับข้อเสนอต่อภาครัฐ ส.อ.ท. เห็นว่า ควรตรึงราคาและลดการส่งเงินสมทบกองทุนน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร
การสำรวจนี้เป็นการสำรวจทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย แต่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือราย ย่อย หรือเอสเอ็มอี ดังนั้น ส.อ.ท.จะมีการสำรวจอีกครั้งเจาะกลุ่มรายย่อยโดยเฉพาะการขนส่ง และประมง นายสันติ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาก ผู้ประกอบการควรมีมาตรการรับมือดังนี้ 1.ประหยัดการใช้พลังงาน 2.หันไปใช้พลังงานทดแทนอื่น 3.บริหารระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ 4.ขอขึ้นราคากับผู้ซื้อในคุณภาพเท่าเดิม แต่หากขอขึ้นราคาไม่ได้ก็ต่อรองขอลดคุณภาพสินค้าลง 5.ลดการผลิต เมื่อถึงจุดขาดทุน และ 6.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการลดคนงานลง
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. อุตสาหกรรม กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งเศรษฐกิจไทยจะฟื้น ตัวขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะแล้วเสร็จและพร้อมเข้ามาบริหารประเทศ
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 176&ch=222
คลังเล็งปรับตัวเลขเศรษฐกิจ หลังราคาน้ำมันป่วนดันเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยพุ่ง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2550 เป็นครั้งสุดท้ายในช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ เนื่องจากอัตราขยายตัวที่ตั้งไว้เดิม 3.8-4.3% ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมา
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.25% จะกระทบการบริโภคและลงทุน
นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กล่าวว่า เศรษฐกิจในปี 2550 อาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 4.5% ส่วนปี 2551 จะขยายตัวไม่ถึง 5% จากราคาน้ำมัน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้สำรวจผลกระทบราคาน้ำมันต่อภาคอุตสาหกรรมไทย จากสมาชิก 13 สาขา ในช่วงวันที่ 29 ต.ค.-4 พ.ย. 2550 พบว่า ผู้ประกอบการทุกรายระบุตรงกันว่าหากราคาน้ำมันดีเซลเกินระดับ 30 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กิจการขาดทุน ส่วนอีก 7.69% เห็นว่าหากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร ก็ขาดทุนแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 75% มีสัดส่วนต้นทุนน้ำมัน ต่อต้นทุนรวมน้อยกว่า 20% ผู้ประกอบการอีก 12.5% มีต้นทุนน้ำมัน 20-30% ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และปลาป่น ผู้ประกอบการ 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 30-50% ได้แก่ อาหารสัตว์และอาหารทะเลและผู้ประกอบการอีก 6.25% มีต้นทุนน้ำมัน 50-80% ได้แก่หัตถอุตสาหกรรม
สำหรับข้อเสนอต่อภาครัฐ ส.อ.ท. เห็นว่า ควรตรึงราคาและลดการส่งเงินสมทบกองทุนน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร
การสำรวจนี้เป็นการสำรวจทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย แต่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือราย ย่อย หรือเอสเอ็มอี ดังนั้น ส.อ.ท.จะมีการสำรวจอีกครั้งเจาะกลุ่มรายย่อยโดยเฉพาะการขนส่ง และประมง นายสันติ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาก ผู้ประกอบการควรมีมาตรการรับมือดังนี้ 1.ประหยัดการใช้พลังงาน 2.หันไปใช้พลังงานทดแทนอื่น 3.บริหารระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ 4.ขอขึ้นราคากับผู้ซื้อในคุณภาพเท่าเดิม แต่หากขอขึ้นราคาไม่ได้ก็ต่อรองขอลดคุณภาพสินค้าลง 5.ลดการผลิต เมื่อถึงจุดขาดทุน และ 6.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการลดคนงานลง
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. อุตสาหกรรม กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งเศรษฐกิจไทยจะฟื้น ตัวขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะแล้วเสร็จและพร้อมเข้ามาบริหารประเทศ
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 176&ch=222
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/11/07
โพสต์ที่ 431
ขุนคลังไม่สน แนวคิดมันเดลค่าบาทคงที่
โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ แย้ง มันเดล ย้ำนโยบายค่าเงินบาทคงที่เป็นไปได้ยาก
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า กรณีที่นายโรเบิร์ต มันเดล นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2542 เสนอให้ประเทศไทยกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่นั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะจากประสบการณ์ของประเทศไทยเมื่อ 10 ปีก่อน พบว่า เมื่อถึงเวลาต้องลดอัตราแลกเปลี่ยน จะมีข้อจำกัดเรื่องการเมือง เมื่อแต่ละรัฐบาลไม่ต้องการเป็นผู้ตัดสินใจลดค่าเงิน เนื่องจากกลัวจะกระทบกับการบริหารราชการแผ่นดินของตัวเอง แต่สำหรับกรณีการลดค่าเงินเมื่อปี 2540 ถือเป็นกรณีพิเศษ
ขณะเดียวกัน ความคิดที่ต้องการเห็นทั่วโลกใช้เงินสกุลเดียวกันนั้นก็คงเป็นไปได้ยาก มีข้อจำกัดเรื่องการเมืองเช่นกัน เพราะทุกประเทศต้องตกลงว่าจะยอมให้แต่ละประเทศขาดดุลได้มากน้อยเพียงใด
ยิ่งมหาอำนาจยิ่งให้ความสำคัญกับความมั่นคง อาจจะมากกว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจทางทหาร ทำให้มีค่าใช้จ่ายทางด้านความมั่นคงสูงมาก เป็นที่มาของการขาดดุลสูงสุด นายฉลองภพ กล่าว
ทั้งนี้ นายมันเดลกล่าวปาฐกถาหัวข้อ อัตราแลกเปลี่ยนเอเชีย และความไม่สมดุลและระบบการเงินโลก จัดโดยสมาคมนักเรียนเก่าโคลัมเบียแห่งประเทศไทยว่า ประเทศไทยไม่ควรปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าไปเรื่อยๆ เพราะค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าไปเลย อย่างในญี่ปุ่นที่ปล่อยให้ค่าเงินแข็งค่าจาก 200 เยนต่อเหรียญสหรัฐ ลงไปถึง 90 เยนต่อเหรียญสหรัฐ ก่อนจะกลับขึ้นมาเป็น 142 เยนต่อเหรียญสหรัฐอีกครั้ง ก็มีส่วนทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาเป็นเวลายาวนานถึง 10 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203452
โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ แย้ง มันเดล ย้ำนโยบายค่าเงินบาทคงที่เป็นไปได้ยาก
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า กรณีที่นายโรเบิร์ต มันเดล นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2542 เสนอให้ประเทศไทยกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่นั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะจากประสบการณ์ของประเทศไทยเมื่อ 10 ปีก่อน พบว่า เมื่อถึงเวลาต้องลดอัตราแลกเปลี่ยน จะมีข้อจำกัดเรื่องการเมือง เมื่อแต่ละรัฐบาลไม่ต้องการเป็นผู้ตัดสินใจลดค่าเงิน เนื่องจากกลัวจะกระทบกับการบริหารราชการแผ่นดินของตัวเอง แต่สำหรับกรณีการลดค่าเงินเมื่อปี 2540 ถือเป็นกรณีพิเศษ
ขณะเดียวกัน ความคิดที่ต้องการเห็นทั่วโลกใช้เงินสกุลเดียวกันนั้นก็คงเป็นไปได้ยาก มีข้อจำกัดเรื่องการเมืองเช่นกัน เพราะทุกประเทศต้องตกลงว่าจะยอมให้แต่ละประเทศขาดดุลได้มากน้อยเพียงใด
ยิ่งมหาอำนาจยิ่งให้ความสำคัญกับความมั่นคง อาจจะมากกว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจทางทหาร ทำให้มีค่าใช้จ่ายทางด้านความมั่นคงสูงมาก เป็นที่มาของการขาดดุลสูงสุด นายฉลองภพ กล่าว
ทั้งนี้ นายมันเดลกล่าวปาฐกถาหัวข้อ อัตราแลกเปลี่ยนเอเชีย และความไม่สมดุลและระบบการเงินโลก จัดโดยสมาคมนักเรียนเก่าโคลัมเบียแห่งประเทศไทยว่า ประเทศไทยไม่ควรปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าไปเรื่อยๆ เพราะค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าไปเลย อย่างในญี่ปุ่นที่ปล่อยให้ค่าเงินแข็งค่าจาก 200 เยนต่อเหรียญสหรัฐ ลงไปถึง 90 เยนต่อเหรียญสหรัฐ ก่อนจะกลับขึ้นมาเป็น 142 เยนต่อเหรียญสหรัฐอีกครั้ง ก็มีส่วนทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาเป็นเวลายาวนานถึง 10 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203452
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/11/07
โพสต์ที่ 432
ธปท.ชี้เศรษฐกิจฟื้นตัวชัด ปีหน้าไม่ต้องลดดอกเบี้ย
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการปาฐกถาเรื่อง "ทิศทางเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มปีหน้า" ว่า ดัชนีเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ แสดงทิศทางว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่ราคาน้ำมันยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าลดน้อยลง โดยเศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าในปีนี้อย่างแน่นอน ซึ่งปีนี้อัตราเติบโตน่าจะอยู่ที่ 4.3-4.8%
"ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ จะต้องเน้นไปที่การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนให้เข้ามาหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องจากการส่งออก หลังปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยพึ่งการส่งออกเป็นปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว" ผู้ว่าการ ธปท.ระบุ
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ดร.ธาริษา กล่าวว่า ยังเป็นการเคลื่อนไหวที่เกาะกลุ่มไปกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้ภาคธุรกิจไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จนเป็นผลลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า ดังนั้น จึงไม่น่าวิตกมากนัก แต่ทั้งนี้ ธปท.ก็ได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนั้นในส่วนของภาคการผลิต ยังพบว่ามีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากเดิมในปี 2548 มีโรงงานต่างๆ ปิดตัวไปกว่า 2,200 แห่ง แต่ในปี 2549 โรงงานที่ปิดกิจการลดลงเหลือ 2,000 แห่ง ส่วนระยะ 9 เดือนของปี 2550 มีโรงงานปิดตัวเพียง 1,400 แห่ง ซึ่งจำนวนคนว่างงานก็ลดลงกว่า 50% จากปี 2549 มีผู้ว่างงานกว่า 67,000 คน แต่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 จำนวนผู้ว่างงานลดลงเหลือเพียง 34,000 คน แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการปรับตัวดีขึ้น
ด้านนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนร่วมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) บอกว่า สหรัฐอเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขนาดใหญ่ หลายชาติในเอเชียสะสมทุนสำรองไว้มากเกินไป ทำให้สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาขาดดุลต่อเนื่อง
การปรับตัวปัจจุบันเป็นแบบทางเดียว โดยที่สหรัฐอเมริกาจะค่อยๆ ลดการบริโภค เพราะสินทรัพย์ราคาตกต้นทุนการเงินสูงขึ้น แต่เอเชียยังไม่ปรับตัว การใช้จ่ายภายในทั้งการบริโภค และการลงทุนยังไม่ฟื้น จึงมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะซบเซา ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจเกิดใหม่ ปัจจุบันจีนมีบทบาทสูงสุดต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่แต่เศรษฐกิจในเอเชียเท่านั้น จีน อินเดีย รัสเซีย รวมกันมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกถึง 50% ในปี 2549
จีนสำคัญต่อเศรษฐกิจเอเชียในฐานะที่เป็นศูนย์กลาง และในฐานะผู้บริโภคสำคัญในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าจีนจะมีนโยบายลดความร้อนแรงเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้น 11.5%
ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย ก็คือ การส่งออกมีความเสี่ยงมาจากปัญหาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจลามไปถึงการส่งออกให้ประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน คู่ค้าในเอเชีย หากมีปัญหาจะส่งผลกระทบตลอดปี 2551 ส่วนราคาน้ำมันที่สูงไม่น่าจะกระทบกำลังซื้อของประเทศคู่ค้ารุนแรงนัก
"ส่วนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และปัญหาของสหรัฐที่เกิดขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งผลกระทบต่อไทยจะไม่รุนแรงนัก แต่ต้องระวังแรงกดดันทางการเมืองในการให้พยุงราคาน้ำมันอีกรอบ ส่วนเงินเฟ้อจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน"
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการปาฐกถาเรื่อง "ทิศทางเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มปีหน้า" ว่า ดัชนีเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ แสดงทิศทางว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่ราคาน้ำมันยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าลดน้อยลง โดยเศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าในปีนี้อย่างแน่นอน ซึ่งปีนี้อัตราเติบโตน่าจะอยู่ที่ 4.3-4.8%
"ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ จะต้องเน้นไปที่การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนให้เข้ามาหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องจากการส่งออก หลังปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยพึ่งการส่งออกเป็นปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว" ผู้ว่าการ ธปท.ระบุ
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ดร.ธาริษา กล่าวว่า ยังเป็นการเคลื่อนไหวที่เกาะกลุ่มไปกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้ภาคธุรกิจไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จนเป็นผลลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า ดังนั้น จึงไม่น่าวิตกมากนัก แต่ทั้งนี้ ธปท.ก็ได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนั้นในส่วนของภาคการผลิต ยังพบว่ามีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากเดิมในปี 2548 มีโรงงานต่างๆ ปิดตัวไปกว่า 2,200 แห่ง แต่ในปี 2549 โรงงานที่ปิดกิจการลดลงเหลือ 2,000 แห่ง ส่วนระยะ 9 เดือนของปี 2550 มีโรงงานปิดตัวเพียง 1,400 แห่ง ซึ่งจำนวนคนว่างงานก็ลดลงกว่า 50% จากปี 2549 มีผู้ว่างงานกว่า 67,000 คน แต่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 จำนวนผู้ว่างงานลดลงเหลือเพียง 34,000 คน แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการปรับตัวดีขึ้น
ด้านนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนร่วมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) บอกว่า สหรัฐอเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขนาดใหญ่ หลายชาติในเอเชียสะสมทุนสำรองไว้มากเกินไป ทำให้สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาขาดดุลต่อเนื่อง
การปรับตัวปัจจุบันเป็นแบบทางเดียว โดยที่สหรัฐอเมริกาจะค่อยๆ ลดการบริโภค เพราะสินทรัพย์ราคาตกต้นทุนการเงินสูงขึ้น แต่เอเชียยังไม่ปรับตัว การใช้จ่ายภายในทั้งการบริโภค และการลงทุนยังไม่ฟื้น จึงมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะซบเซา ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจเกิดใหม่ ปัจจุบันจีนมีบทบาทสูงสุดต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่แต่เศรษฐกิจในเอเชียเท่านั้น จีน อินเดีย รัสเซีย รวมกันมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกถึง 50% ในปี 2549
จีนสำคัญต่อเศรษฐกิจเอเชียในฐานะที่เป็นศูนย์กลาง และในฐานะผู้บริโภคสำคัญในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าจีนจะมีนโยบายลดความร้อนแรงเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้น 11.5%
ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย ก็คือ การส่งออกมีความเสี่ยงมาจากปัญหาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจลามไปถึงการส่งออกให้ประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน คู่ค้าในเอเชีย หากมีปัญหาจะส่งผลกระทบตลอดปี 2551 ส่วนราคาน้ำมันที่สูงไม่น่าจะกระทบกำลังซื้อของประเทศคู่ค้ารุนแรงนัก
"ส่วนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และปัญหาของสหรัฐที่เกิดขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งผลกระทบต่อไทยจะไม่รุนแรงนัก แต่ต้องระวังแรงกดดันทางการเมืองในการให้พยุงราคาน้ำมันอีกรอบ ส่วนเงินเฟ้อจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน"
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 433
ศูนย์วิจัยกิสกรไทย ออกรายงาน แนะไทยดึงจีนร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจ เพราะจีนต้องการระบายเงินทุนล้นประเทศ
Posted on Thursday, November 15, 2007
เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,434 พันล้านดอลลาร์ จากจำนวน 1,333 พันล้านดอลลาร์เมื่อสิ้นปี 2549 และคาดว่าในช่วงสิ้นปี 2550 ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนจะมีจำนวนถึง 1,461 พันล้านดอลลาร์ ทุนสำรองของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น เป็นผลมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในอัตราสูง โดยคาดว่าในปี 2550 จีนจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณร้อยละ 9.8 ของ GDP คิดเป็นจำนวน 313 พันล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่มาจากการได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 261 พันล้านดอลลาร์ และการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้การส่งออกในปี 2550 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เป็นมูลค่า 1,212 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าอาจเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 20.5 คิดเป็นมูลค่า 953.9 พันล้านดอลลาร์
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประเมินว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมากส่งผลให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นตามลำดับ และเป็นแรงผลักดันให้สถาบันการเงินของจีนมุ่งขยายการลงทุนในต่างประเทศ ดังนี้
เงินสำรองกดดันค่าเงินหยวนแข็งค่า
ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ทางการจีนจะพยายามรักษาค่าเงินให้มีเสถียรภาพมากที่สุดเพื่อให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานดำเนินไปอย่างต่อเนื่องก็ตาม หลังการปรับเพิ่มค่าเงินหยวนร้อยละ 2 ในเดือนกรกฎาคม 2548 และหันมาใช้ระบบตะกร้าเงินรวมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นให้เงินหยวน จากนั้นค่าเงินหยวนได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยแข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.6 และ 3.2 ในปี 2548 และ 2549 ตามลำดับ โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ 7.82 หยวนต่อดอลลาร์เมื่อสิ้นปี 2549 เทียบกับก่อนการปรับค่าเงินหยวนที่มีค่าเท่ากับ 8.28 หยวนต่อดอลลาร์ และในช่วงต้นเดือนเดือนพฤศจิกายน 2550 เงินหยวนได้แข็งค่าขึ้นเป็น 7.51 หยวนต่อหนึ่งดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นแล้วประมาณร้อยละ 9 นับตั้งแต่มีการปรับค่าเงินหยวนในเดือนกรกฎาคม 2548 Consensus Forecast คาดว่าค่าเงินหยวนเมื่อสิ้นปี 2550 จะแข็งขึ้นเป็น 7.38 หยวนต่อดอลลาร์ หรือคิดเป็นอัตราการแข็งค่าที่ร้อยละ 5.9 ในปี 2550 และอาจแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 7 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2551 หรือแข็งค่าขึ้นอีกกว่าร้อยละ 5
จีนจัดตั้ง Sovereign-Wealth Fund
เนื่องจากธนาคารกลางจีนนำเงินสำรองระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไปถือครองสินทรัพย์ที่เป็นเงินดอลลาร์และเงินสกุลอื่น ๆ ในต่างประเทศในรูปของตราสารหนี้และพันธบัตรจำนวนมาก ทำให้มูลค่าทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ด้อยค่าลงตามค่าเงินดอลลาร์ที่เสื่อมค่าลงเรื่อย ๆ โดยประเมินกันว่าสินทรัพย์ดังกล่าวเสื่อมค่าลง 5 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน ในปีนี้ทางการจีนจึงหันมาเพิ่มรูปแบบการถือครองทรัพย์สินในต่างประเทศเพื่อแสวงหากำไรเพิ่มขึ้น โดยจัดตั้ง Sovereign-Wealth Fund ที่ชื่อว่า China Investment Corporation (CIC) ด้วยวงเงิน 200 พันล้านดอลลาร์ เพื่อนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดย CIC นับเป็น Sovereign-Wealth Fund ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากกองทุนในลักษณะเดียวกันของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์และนอร์เวย์
CIC ได้สร้างกระแสความสนใจในวงการเงินระหว่างประเทศ เมื่อเข้าซื้อหุ้นเกือบร้อยละ 10 ใน Blackstone Group L.P. ซึ่งเป็นกองทุนการเงินขนาดใหญ่เป็นเงินจำนวน 3 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือนพฤษภาคม ศกนี้ ก่อนที่ Blackstone จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (แต่หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าหุ้นของ Blackstone ได้ลดลงกว่าร้อยละ 30 จากภาวะปั่นป่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกอันเนื่องมาจากปัญหา Sub-prime Loans ในสหรัฐ) รวมทั้งอาจเข้าไปซื้อหุ้นใน Wal-Mart ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลก
อย่างไรก็ตาม คาดว่า CIC จะนำเงินจำนวน 67 พันล้านดอลลาร์ไปลงทุนใน Central Huijin Investment Co. ซึ่งเป็น Holding Company ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางของจีนที่เข้าถือหุ้นในวิสาหกิจขนาดใหญ่ของประเทศ รวมถึงธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น ICBC (Industrial & Commercial Bank of China) และ Bank of China รวมถึงนำเงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้กับธนาคารของจีนเองด้วย
และนอกเหนือจากการลงทุนของ CIC ทางการจีนยังได้สนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจ และสถาบันการเงินขนาดใหญ่เข้าไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศทั้งในลักษณะของ FDI และ Portfolio Investment ทำให้วิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีนเข้าไปลงทุนในภาคการผลิตต่าง ๆ รวมถึงการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง นิวยอร์กและเซี่ยงไฮ้ของธนาคารขนาดใหญ่ของจีนไม่ว่าจะเป็น Bank of China (BOC), China Construction Bank (CBC) และ ICBC ทำให้สามารถระดมทุนจำนวนมหาศาลซึ่งเอื้อต่อการเข้าไปลงทุนในลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจ (strategic partner) ในสถาบันการเงินต่างประเทศ กระแสการเข้าไปซื้อหุ้นในสถาบันการเงินต่างประเทศของจีนเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในปี 2006 เมื่อ ICBC เข้าไปซื้อหุ้นร้อยละ 90 ในธนาคาร PT Bank Halim ของอินโดนีเซีย
จากนั้นอีกหลายธนาคารก็ได้ดำเนินรอยตาม เช่น ในเดือนสิงหาคม 2550 China Development Bank ได้เข้าซื้อหุ้นใน Barclays Bank ของอังกฤษร้อยละ 3 เป็นวงเงิน 3 พันล้านดอลลาร์เพื่อหนุนการเข้าซื้อหุ้นธนาคาร ABN Amro ของ Barclays Bank จากนั้น กลุ่ม Citic Securities ของจีนและ Bear Stearns ของสหรัฐฯ ก็ได้เข้าซื้อหุ้นของกันและกันคิดเป็นวงเงินฝ่ายละ 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนร่วมกันในสหรัฐฯ และเอเชีย นอกจากนี้ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารอันดับหนึ่งของจีนก็ได้เข้าไปถือหุ้นร้อยละ 20 ใน Standard Bank ธนาคารอันดับหนึ่งของอัฟริกาใต้ด้วยมูลค่าการลงทุน 5.51 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการลงทุนในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยทั้ง 2 ธนาคารวางแผนจะลงทุนร่วมกันฝ่ายละ 250 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดตั้งกองทุนสำหรับลงทุนในกิจการเหมืองแร่และทรัพยากรในทวีปอัฟริกา ส่วน Minsheng Bank ซึ่งเป็นธนาคารขนาดย่อมของจีนก็ได้มีแผนลงทุน 200 ล้านดอลลาร์เพื่อถือหุ้นร้อยละ 9.9 ในธนาคาร UCBH ที่ซานฟรานซิสโก แม้แต่ในประเทศไทย ธนาคารของจีนก็ได้ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนด้วยเช่นกัน โดย ICBC อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อหุ้นธนาคารสินเอเชีย (ACL) ในสัดส่วนร้อยละ 19.3 จากธนาคารกรุงเทพฯ ผู้ถือหุ้นเดิม เป็นวงเงินประมาณ 55 ล้านดอลลาร์ และกำลังวางแผนเข้าไปลงทุนกิจการธนาคารในเวียดนาม ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อีกด้วย ทั้งนี้ Bank of China เป็นธนาคารจีนแห่งเดียวที่ประกอบธุรกิจธนาคารในประเทศไทยในปัจจุบัน
นอกเหนือจากการไปลงทุนในสถาบันการเงินต่างประเทศแล้ว สถาบันทางการเงินของจีนก็ได้ร่วมลงทุนกับสถาบันการเงินต่างประเทศในลักษณะของกิจการร่วมทุนในจีนเพื่อให้บริการทางการเงิน โดยเฉพาะธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งสถาบันทางการเงินของจีนเองขาดความชำนาญ โดยเลือกร่วมทุนกับสถาบันการเงินชั้นนำของโลก เช่น Morgan Stanley, Credit Lyonnais, BNP Paribas, Goldman Sachs, Merrill Lynch, UBS และ Bear Stearns เป็นต้น คาดว่าในอนาคตธุรกิจร่วมทุนดังกล่าวอาจขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศเอเชียอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น การร่วมทุนระหว่าง Bear Stearns และ Citic ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจของตนทั้งในจีนและประเทศเอเชียอื่น ๆ
ผลกระทบต่อไทย
นอกจากฐานะทุนสำรองและแนวโน้มในการเกินดุลของจีนจะส่งผลต่อค่าเงินหยวนและค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาค รวมทั้งเงินบาทของไทยแล้ว จีนยังมีบทบาทที่เด่นชัดขึ้นในเวทีตลาดเงิน และตลาดทุนโลก โดยกองทุน CIC ซึ่งเป็น Sovereign Fund อันดับ 4 ของโลกในปัจจุบัน น่าที่จะสามารถไต่ระดับขึ้นไปได้อีก ตามแนวโน้มการขยายตัวของฐานะทุนสำรองของจีน ทำให้ในอนาคตอันใกล้นี้ จีนจะไม่เป็นเพียงฐานอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ที่ส่งออกสินค้าไปขายทั่วโลก แต่จีนกำลังจะก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ลงทุนสำคัญในตลาดการเงินและตลาดทุนโลก
สถานะดังกล่าวจะทำให้จีนทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งทางด้านภาคการผลิต การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ประเทศไทยควรเร่งขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนอย่างรอบด้าน ไม่เพียงด้านการค้าซึ่งปัจจุบันจีนได้ทวีความสำคัญขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 และแหล่งนำเข้าอันดับ 2 ของไทยแล้ว แต่ควรรวมถึงมิติด้านการลงทุน โดยเพิ่มการลงทุนในประเทศจีนของนักธุรกิจไทย พร้อมกับกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อดึงดูดการลงทุนของจีนในประเทศไทยทั้งในภาคการผลิต การบริการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากจีนกำลังเติบโตขึ้นเป็นแหล่งทุนขนาดใหญ่ของโลกที่กำลังแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, November 15, 2007
เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,434 พันล้านดอลลาร์ จากจำนวน 1,333 พันล้านดอลลาร์เมื่อสิ้นปี 2549 และคาดว่าในช่วงสิ้นปี 2550 ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนจะมีจำนวนถึง 1,461 พันล้านดอลลาร์ ทุนสำรองของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น เป็นผลมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในอัตราสูง โดยคาดว่าในปี 2550 จีนจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณร้อยละ 9.8 ของ GDP คิดเป็นจำนวน 313 พันล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่มาจากการได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 261 พันล้านดอลลาร์ และการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้การส่งออกในปี 2550 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เป็นมูลค่า 1,212 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าอาจเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 20.5 คิดเป็นมูลค่า 953.9 พันล้านดอลลาร์
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประเมินว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมากส่งผลให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นตามลำดับ และเป็นแรงผลักดันให้สถาบันการเงินของจีนมุ่งขยายการลงทุนในต่างประเทศ ดังนี้
เงินสำรองกดดันค่าเงินหยวนแข็งค่า
ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ทางการจีนจะพยายามรักษาค่าเงินให้มีเสถียรภาพมากที่สุดเพื่อให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานดำเนินไปอย่างต่อเนื่องก็ตาม หลังการปรับเพิ่มค่าเงินหยวนร้อยละ 2 ในเดือนกรกฎาคม 2548 และหันมาใช้ระบบตะกร้าเงินรวมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นให้เงินหยวน จากนั้นค่าเงินหยวนได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยแข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.6 และ 3.2 ในปี 2548 และ 2549 ตามลำดับ โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ 7.82 หยวนต่อดอลลาร์เมื่อสิ้นปี 2549 เทียบกับก่อนการปรับค่าเงินหยวนที่มีค่าเท่ากับ 8.28 หยวนต่อดอลลาร์ และในช่วงต้นเดือนเดือนพฤศจิกายน 2550 เงินหยวนได้แข็งค่าขึ้นเป็น 7.51 หยวนต่อหนึ่งดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นแล้วประมาณร้อยละ 9 นับตั้งแต่มีการปรับค่าเงินหยวนในเดือนกรกฎาคม 2548 Consensus Forecast คาดว่าค่าเงินหยวนเมื่อสิ้นปี 2550 จะแข็งขึ้นเป็น 7.38 หยวนต่อดอลลาร์ หรือคิดเป็นอัตราการแข็งค่าที่ร้อยละ 5.9 ในปี 2550 และอาจแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 7 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2551 หรือแข็งค่าขึ้นอีกกว่าร้อยละ 5
จีนจัดตั้ง Sovereign-Wealth Fund
เนื่องจากธนาคารกลางจีนนำเงินสำรองระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไปถือครองสินทรัพย์ที่เป็นเงินดอลลาร์และเงินสกุลอื่น ๆ ในต่างประเทศในรูปของตราสารหนี้และพันธบัตรจำนวนมาก ทำให้มูลค่าทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ด้อยค่าลงตามค่าเงินดอลลาร์ที่เสื่อมค่าลงเรื่อย ๆ โดยประเมินกันว่าสินทรัพย์ดังกล่าวเสื่อมค่าลง 5 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน ในปีนี้ทางการจีนจึงหันมาเพิ่มรูปแบบการถือครองทรัพย์สินในต่างประเทศเพื่อแสวงหากำไรเพิ่มขึ้น โดยจัดตั้ง Sovereign-Wealth Fund ที่ชื่อว่า China Investment Corporation (CIC) ด้วยวงเงิน 200 พันล้านดอลลาร์ เพื่อนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดย CIC นับเป็น Sovereign-Wealth Fund ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากกองทุนในลักษณะเดียวกันของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์และนอร์เวย์
CIC ได้สร้างกระแสความสนใจในวงการเงินระหว่างประเทศ เมื่อเข้าซื้อหุ้นเกือบร้อยละ 10 ใน Blackstone Group L.P. ซึ่งเป็นกองทุนการเงินขนาดใหญ่เป็นเงินจำนวน 3 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือนพฤษภาคม ศกนี้ ก่อนที่ Blackstone จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (แต่หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าหุ้นของ Blackstone ได้ลดลงกว่าร้อยละ 30 จากภาวะปั่นป่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกอันเนื่องมาจากปัญหา Sub-prime Loans ในสหรัฐ) รวมทั้งอาจเข้าไปซื้อหุ้นใน Wal-Mart ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลก
อย่างไรก็ตาม คาดว่า CIC จะนำเงินจำนวน 67 พันล้านดอลลาร์ไปลงทุนใน Central Huijin Investment Co. ซึ่งเป็น Holding Company ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางของจีนที่เข้าถือหุ้นในวิสาหกิจขนาดใหญ่ของประเทศ รวมถึงธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น ICBC (Industrial & Commercial Bank of China) และ Bank of China รวมถึงนำเงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้กับธนาคารของจีนเองด้วย
และนอกเหนือจากการลงทุนของ CIC ทางการจีนยังได้สนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจ และสถาบันการเงินขนาดใหญ่เข้าไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศทั้งในลักษณะของ FDI และ Portfolio Investment ทำให้วิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีนเข้าไปลงทุนในภาคการผลิตต่าง ๆ รวมถึงการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง นิวยอร์กและเซี่ยงไฮ้ของธนาคารขนาดใหญ่ของจีนไม่ว่าจะเป็น Bank of China (BOC), China Construction Bank (CBC) และ ICBC ทำให้สามารถระดมทุนจำนวนมหาศาลซึ่งเอื้อต่อการเข้าไปลงทุนในลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจ (strategic partner) ในสถาบันการเงินต่างประเทศ กระแสการเข้าไปซื้อหุ้นในสถาบันการเงินต่างประเทศของจีนเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในปี 2006 เมื่อ ICBC เข้าไปซื้อหุ้นร้อยละ 90 ในธนาคาร PT Bank Halim ของอินโดนีเซีย
จากนั้นอีกหลายธนาคารก็ได้ดำเนินรอยตาม เช่น ในเดือนสิงหาคม 2550 China Development Bank ได้เข้าซื้อหุ้นใน Barclays Bank ของอังกฤษร้อยละ 3 เป็นวงเงิน 3 พันล้านดอลลาร์เพื่อหนุนการเข้าซื้อหุ้นธนาคาร ABN Amro ของ Barclays Bank จากนั้น กลุ่ม Citic Securities ของจีนและ Bear Stearns ของสหรัฐฯ ก็ได้เข้าซื้อหุ้นของกันและกันคิดเป็นวงเงินฝ่ายละ 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนร่วมกันในสหรัฐฯ และเอเชีย นอกจากนี้ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารอันดับหนึ่งของจีนก็ได้เข้าไปถือหุ้นร้อยละ 20 ใน Standard Bank ธนาคารอันดับหนึ่งของอัฟริกาใต้ด้วยมูลค่าการลงทุน 5.51 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการลงทุนในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยทั้ง 2 ธนาคารวางแผนจะลงทุนร่วมกันฝ่ายละ 250 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดตั้งกองทุนสำหรับลงทุนในกิจการเหมืองแร่และทรัพยากรในทวีปอัฟริกา ส่วน Minsheng Bank ซึ่งเป็นธนาคารขนาดย่อมของจีนก็ได้มีแผนลงทุน 200 ล้านดอลลาร์เพื่อถือหุ้นร้อยละ 9.9 ในธนาคาร UCBH ที่ซานฟรานซิสโก แม้แต่ในประเทศไทย ธนาคารของจีนก็ได้ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนด้วยเช่นกัน โดย ICBC อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อหุ้นธนาคารสินเอเชีย (ACL) ในสัดส่วนร้อยละ 19.3 จากธนาคารกรุงเทพฯ ผู้ถือหุ้นเดิม เป็นวงเงินประมาณ 55 ล้านดอลลาร์ และกำลังวางแผนเข้าไปลงทุนกิจการธนาคารในเวียดนาม ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อีกด้วย ทั้งนี้ Bank of China เป็นธนาคารจีนแห่งเดียวที่ประกอบธุรกิจธนาคารในประเทศไทยในปัจจุบัน
นอกเหนือจากการไปลงทุนในสถาบันการเงินต่างประเทศแล้ว สถาบันทางการเงินของจีนก็ได้ร่วมลงทุนกับสถาบันการเงินต่างประเทศในลักษณะของกิจการร่วมทุนในจีนเพื่อให้บริการทางการเงิน โดยเฉพาะธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งสถาบันทางการเงินของจีนเองขาดความชำนาญ โดยเลือกร่วมทุนกับสถาบันการเงินชั้นนำของโลก เช่น Morgan Stanley, Credit Lyonnais, BNP Paribas, Goldman Sachs, Merrill Lynch, UBS และ Bear Stearns เป็นต้น คาดว่าในอนาคตธุรกิจร่วมทุนดังกล่าวอาจขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศเอเชียอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น การร่วมทุนระหว่าง Bear Stearns และ Citic ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจของตนทั้งในจีนและประเทศเอเชียอื่น ๆ
ผลกระทบต่อไทย
นอกจากฐานะทุนสำรองและแนวโน้มในการเกินดุลของจีนจะส่งผลต่อค่าเงินหยวนและค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาค รวมทั้งเงินบาทของไทยแล้ว จีนยังมีบทบาทที่เด่นชัดขึ้นในเวทีตลาดเงิน และตลาดทุนโลก โดยกองทุน CIC ซึ่งเป็น Sovereign Fund อันดับ 4 ของโลกในปัจจุบัน น่าที่จะสามารถไต่ระดับขึ้นไปได้อีก ตามแนวโน้มการขยายตัวของฐานะทุนสำรองของจีน ทำให้ในอนาคตอันใกล้นี้ จีนจะไม่เป็นเพียงฐานอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ที่ส่งออกสินค้าไปขายทั่วโลก แต่จีนกำลังจะก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ลงทุนสำคัญในตลาดการเงินและตลาดทุนโลก
สถานะดังกล่าวจะทำให้จีนทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งทางด้านภาคการผลิต การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ประเทศไทยควรเร่งขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนอย่างรอบด้าน ไม่เพียงด้านการค้าซึ่งปัจจุบันจีนได้ทวีความสำคัญขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 และแหล่งนำเข้าอันดับ 2 ของไทยแล้ว แต่ควรรวมถึงมิติด้านการลงทุน โดยเพิ่มการลงทุนในประเทศจีนของนักธุรกิจไทย พร้อมกับกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อดึงดูดการลงทุนของจีนในประเทศไทยทั้งในภาคการผลิต การบริการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากจีนกำลังเติบโตขึ้นเป็นแหล่งทุนขนาดใหญ่ของโลกที่กำลังแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 434
กองทุนยักษ์ใหญ่เชียร์ลงทุนหุ้นไทย บอกเศรษฐกิจกำลังฟื้น+ราคาหุ้นถูก สวนทางธนาคารโลก
Posted on Thursday, November 15, 2007
วีพี แบงก์ บริษัทจัดการลงทุน ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และให้บริการด้านธนบดี มีสำนักงานใหญ่ในประเทศลิคเตนสไตน์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในทศวรรษข้างหน้า นับจากปี 2551 - 2560 ตลาดหุ้นเกิดใหม่ จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงกว่าตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว และหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าใสนใจ คือ ตลาดหุ้นไทย เพราะเหตุผลสองประการ ประการแรก เศรษฐกิจกำลังปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และประการที่สอง หุ้นไทยมีราคาต่ำกว่าหุ้นในภูมิภาค เมื่อพิจารณาจากค่า P/E หรือสัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไร เพียง 12.5 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับต่ำ
ทั้งนี้ วีพี แบงก์ ประเมินอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 9.0 % ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นยุโรป น่าจะทำได้เฉลี่ยปีละ 7.0% และ 7.5% ตามลำดับ ในทศวรรษข้างหน้า
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, November 15, 2007
วีพี แบงก์ บริษัทจัดการลงทุน ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และให้บริการด้านธนบดี มีสำนักงานใหญ่ในประเทศลิคเตนสไตน์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในทศวรรษข้างหน้า นับจากปี 2551 - 2560 ตลาดหุ้นเกิดใหม่ จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงกว่าตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว และหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าใสนใจ คือ ตลาดหุ้นไทย เพราะเหตุผลสองประการ ประการแรก เศรษฐกิจกำลังปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และประการที่สอง หุ้นไทยมีราคาต่ำกว่าหุ้นในภูมิภาค เมื่อพิจารณาจากค่า P/E หรือสัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไร เพียง 12.5 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับต่ำ
ทั้งนี้ วีพี แบงก์ ประเมินอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 9.0 % ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นยุโรป น่าจะทำได้เฉลี่ยปีละ 7.0% และ 7.5% ตามลำดับ ในทศวรรษข้างหน้า
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 435
ธนาคารโลกเตือนรัฐบาลใหม่ เร่งฟื้นความเชื่อมั่น+เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ป้องกันเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ
Posted on Thursday, November 15, 2007
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารโลก ได้ออกมาเปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด นำเสนอรายงานวิเคราะห์สถานการณ์ทาเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกและหมู่เกาะแปซิฟิก ควบคู่ไปกับการเจาะลึกถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเอเชียจากวิกฤติการณ์ซับไพรม์ของสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดสำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญในภูมิภาคนี้ รวมทั้งปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยจะเน้นตอบคำถามที่ว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นนี้ได้หรือไม่ สรุปสาระสำคัญได้ว่า แม้การส่งออกสินค้าจากเอเชียตะวันออกไปสหรัฐ จะชะลอตัวลง แต่การลงทุนและการบริโภคที่เฟื่องฟูขึ้นในจีน และประเทศอื่น ๆ มีส่วนช่วยให้การเติบโตในภูมิภาคนี้ยังคงแข็งแกร่ง และน่าจะขยายตัวดีขึ้น โดยคาดว่า อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน จะยังประคองตัวในอัตราเลขสองหลัก ระดับ 11.0 - 11.5% เหมือนในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากงบลงทุนที่พุ่งสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี รายงานชิ้นล่าสุดของธนาคารโลกเตือนว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งจะเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก และเศรษฐกิจทั่วโลก ในปีหน้า โดยผลการประเมิน พบว่า หากราคาน้ำมันเฉลี่ย อยู่ที่ บาร์เรลละ 90 ดอลลาร์สหรัฐ จะกระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออก กว่า 1%
พร้อมกันนี้ นางสาวกิริฎา ยังได้กล่าวลงรายละเอียดถึงเรื่องเศรษฐกิจไทยด้วย โดยจากงานวิจัยฉบับล่าสุด ชื่อ " ตามติดเศรษฐกิจไทย (Thailand Economic Monitor) สรุปได้ว่า ธนาคารโลกประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ปีนี้ไว้ที่ 4.3% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคนี้ และตำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนในประเทศชะลอตัวลงมาก
ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้านั้น ธนาคารโลก ประเมินว่า จะขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อย เป็น 4.6% เพราะมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น โดยน่าจะประคองตัวในระดับ3% การชะลอตัวของการส่งออก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดน้อยถอยลง และอีกส่วนจากผลกระทบของเงินบาทแข็งค่าขึ้นมายืนในระดับ 34 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับทุกฝ่ายต่างก็รอกำลังรอดูนโยบายของรัฐบาลใหม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน และจับจ่ายใช้สอย
ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่ ไม่สามารถสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับแนวนโยบายได้ จะทำให้การฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นไปได้ยาก และจะกระทบเศรษฐกิจมาก เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชน ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นในการฟื้นเศรษฐกิจไทยปีหน้า
สำหรับแนวนโยบายที่สำคัญ ซึ่งธนาคารดลกอยากเสนอแนะรัฐบาลใหม่ ประกอบไปด้วย การสานต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) การสร้างความชัดเจนในการแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การผ่อนปรนมาตรการกันสำรองเงินทุน ในอัตรา 30% ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน ตลอดจนเร่งเปิดเสรีภาคบริการในบางอุตสาหกรรม และพัฒนาทักษะแรงงานไทย เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขัน
โดยในประเด็นขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเงินบาทแข็งค่า จะกดดันให้การส่งออกในปีหน้า ขยายตัวได้เพียง 7.2% ในขณะที่รายได้จากการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐจะชะอลตัวลงจากในปีนี้ ขณะที่การนำเข้า น่าจะเร่งตัวขึ้นเป็น 10.5% หลังจากหดตัวในปีนี้ ส่งผลทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปีหน้า เกินดุลลดลงเหลือประมาณ 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, November 15, 2007
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารโลก ได้ออกมาเปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด นำเสนอรายงานวิเคราะห์สถานการณ์ทาเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกและหมู่เกาะแปซิฟิก ควบคู่ไปกับการเจาะลึกถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเอเชียจากวิกฤติการณ์ซับไพรม์ของสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดสำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญในภูมิภาคนี้ รวมทั้งปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยจะเน้นตอบคำถามที่ว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นนี้ได้หรือไม่ สรุปสาระสำคัญได้ว่า แม้การส่งออกสินค้าจากเอเชียตะวันออกไปสหรัฐ จะชะลอตัวลง แต่การลงทุนและการบริโภคที่เฟื่องฟูขึ้นในจีน และประเทศอื่น ๆ มีส่วนช่วยให้การเติบโตในภูมิภาคนี้ยังคงแข็งแกร่ง และน่าจะขยายตัวดีขึ้น โดยคาดว่า อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน จะยังประคองตัวในอัตราเลขสองหลัก ระดับ 11.0 - 11.5% เหมือนในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากงบลงทุนที่พุ่งสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี รายงานชิ้นล่าสุดของธนาคารโลกเตือนว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งจะเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก และเศรษฐกิจทั่วโลก ในปีหน้า โดยผลการประเมิน พบว่า หากราคาน้ำมันเฉลี่ย อยู่ที่ บาร์เรลละ 90 ดอลลาร์สหรัฐ จะกระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออก กว่า 1%
พร้อมกันนี้ นางสาวกิริฎา ยังได้กล่าวลงรายละเอียดถึงเรื่องเศรษฐกิจไทยด้วย โดยจากงานวิจัยฉบับล่าสุด ชื่อ " ตามติดเศรษฐกิจไทย (Thailand Economic Monitor) สรุปได้ว่า ธนาคารโลกประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ปีนี้ไว้ที่ 4.3% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคนี้ และตำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนในประเทศชะลอตัวลงมาก
ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้านั้น ธนาคารโลก ประเมินว่า จะขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อย เป็น 4.6% เพราะมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น โดยน่าจะประคองตัวในระดับ3% การชะลอตัวของการส่งออก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดน้อยถอยลง และอีกส่วนจากผลกระทบของเงินบาทแข็งค่าขึ้นมายืนในระดับ 34 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับทุกฝ่ายต่างก็รอกำลังรอดูนโยบายของรัฐบาลใหม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน และจับจ่ายใช้สอย
ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่ ไม่สามารถสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับแนวนโยบายได้ จะทำให้การฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นไปได้ยาก และจะกระทบเศรษฐกิจมาก เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชน ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นในการฟื้นเศรษฐกิจไทยปีหน้า
สำหรับแนวนโยบายที่สำคัญ ซึ่งธนาคารดลกอยากเสนอแนะรัฐบาลใหม่ ประกอบไปด้วย การสานต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) การสร้างความชัดเจนในการแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การผ่อนปรนมาตรการกันสำรองเงินทุน ในอัตรา 30% ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน ตลอดจนเร่งเปิดเสรีภาคบริการในบางอุตสาหกรรม และพัฒนาทักษะแรงงานไทย เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขัน
โดยในประเด็นขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเงินบาทแข็งค่า จะกดดันให้การส่งออกในปีหน้า ขยายตัวได้เพียง 7.2% ในขณะที่รายได้จากการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐจะชะอลตัวลงจากในปีนี้ ขณะที่การนำเข้า น่าจะเร่งตัวขึ้นเป็น 10.5% หลังจากหดตัวในปีนี้ ส่งผลทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปีหน้า เกินดุลลดลงเหลือประมาณ 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 436
ธปท.เร่งรัฐบาลใหม่ฟื้นลงทุน
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ชี้ความไม่แน่นอนในนโยบายการลงทุนของรัฐบาล ฉุดความเชื่อมั่นและการลงทุนไทยหด
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และแนวโน้มการลงทุน จัดโดยธนาคารสินเอเชีย ว่า เศรษฐกิจไทยช่วงนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลว่าจะลงทุนต่อเนื่องหรือไม่ ทำให้ภาคธุรกิจยังไม่กล้าลงทุน เพราะต้องรอดูความชัดเจนนโยบายการลงทุนของรัฐบาลใหม่ก่อน
นอกจากนั้น ต้องรอดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศว่าการบริโภคภาคและการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นมาชดเชยการชะลอตัวของภาคการส่งออกหรือไม่ ซึ่งหากทันเศรษฐกิจไทยก็น่าจะขยายตัวต่อไปได้ เพราะโดยโครงสร้างไม่ได้มีปัญหา
นางอัจนา กล่าวว่า ขณะนี้ทุกอย่างเอื้อให้เกิดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดที่ 7% การใช้กำลังการผลิตก็สูงถึง 75-76%
นักลงทุนพร้อมลงทุนอยู่แล้ว แต่นักลงทุนขาดแต่ความเชื่อมั่น ซึ่งเรื่องความเชื่อมั่นเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ถ้ารัฐบาลทำให้กลับมาดีได้ทุกอย่างก็กลับมาดีได้เร็วขึ้น การที่ทุกอย่างเอื้อแต่การลงทุนก็ไม่ฟื้นสักที เราเองก็ไม่เข้าใจ ซึ่งต้องดูต่อไป ตอนนี้ ธปท.จับตาดูการนำเข้ามากกว่าข้อมูลอื่นๆ เพราะถ้านำเข้าฟื้น แสดงว่าลงทุนฟื้นด้วย นางอัจนา กล่าว
สำหรับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่าต่อไปหรือไม่นั้น นางอัจนา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการลงทุนในระยะต่อไปว่าจะฟื้นหรือไม่ เพราะ ถ้าลงทุนเพิ่มก็จะมีการนำเข้าสินค้าทุนและเครื่องจักร ทำให้ความต้องการเงินเหรียญสหรัฐเพิ่ม และลดแรงกดดันเงินบาท
นอกจากนั้น ยังขึ้นกับปริมาณเงินทุนไหลเข้าที่ถูกผลักมาจากตลาดสหรัฐมาลงในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกปีหน้าคงจะยังเป็นช่วงสุญญากาศทางการเงินต่อไป รัฐบาลใหม่ต้องประคับประคองให้ดี เพราะเศรษฐกิจภายในยังไม่ฟื้นนโยบายการลงทุนรัฐไม่ชัดเจน ซึ่งภาวะดังกล่าวคาดว่าจะยังคงต่อเนื่องไปยังไตรมาส 2 ที่การลงทุนก็อาจยังไม่ฟื้นตัว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203639
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ชี้ความไม่แน่นอนในนโยบายการลงทุนของรัฐบาล ฉุดความเชื่อมั่นและการลงทุนไทยหด
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และแนวโน้มการลงทุน จัดโดยธนาคารสินเอเชีย ว่า เศรษฐกิจไทยช่วงนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลว่าจะลงทุนต่อเนื่องหรือไม่ ทำให้ภาคธุรกิจยังไม่กล้าลงทุน เพราะต้องรอดูความชัดเจนนโยบายการลงทุนของรัฐบาลใหม่ก่อน
นอกจากนั้น ต้องรอดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศว่าการบริโภคภาคและการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นมาชดเชยการชะลอตัวของภาคการส่งออกหรือไม่ ซึ่งหากทันเศรษฐกิจไทยก็น่าจะขยายตัวต่อไปได้ เพราะโดยโครงสร้างไม่ได้มีปัญหา
นางอัจนา กล่าวว่า ขณะนี้ทุกอย่างเอื้อให้เกิดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดที่ 7% การใช้กำลังการผลิตก็สูงถึง 75-76%
นักลงทุนพร้อมลงทุนอยู่แล้ว แต่นักลงทุนขาดแต่ความเชื่อมั่น ซึ่งเรื่องความเชื่อมั่นเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ถ้ารัฐบาลทำให้กลับมาดีได้ทุกอย่างก็กลับมาดีได้เร็วขึ้น การที่ทุกอย่างเอื้อแต่การลงทุนก็ไม่ฟื้นสักที เราเองก็ไม่เข้าใจ ซึ่งต้องดูต่อไป ตอนนี้ ธปท.จับตาดูการนำเข้ามากกว่าข้อมูลอื่นๆ เพราะถ้านำเข้าฟื้น แสดงว่าลงทุนฟื้นด้วย นางอัจนา กล่าว
สำหรับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่าต่อไปหรือไม่นั้น นางอัจนา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการลงทุนในระยะต่อไปว่าจะฟื้นหรือไม่ เพราะ ถ้าลงทุนเพิ่มก็จะมีการนำเข้าสินค้าทุนและเครื่องจักร ทำให้ความต้องการเงินเหรียญสหรัฐเพิ่ม และลดแรงกดดันเงินบาท
นอกจากนั้น ยังขึ้นกับปริมาณเงินทุนไหลเข้าที่ถูกผลักมาจากตลาดสหรัฐมาลงในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกปีหน้าคงจะยังเป็นช่วงสุญญากาศทางการเงินต่อไป รัฐบาลใหม่ต้องประคับประคองให้ดี เพราะเศรษฐกิจภายในยังไม่ฟื้นนโยบายการลงทุนรัฐไม่ชัดเจน ซึ่งภาวะดังกล่าวคาดว่าจะยังคงต่อเนื่องไปยังไตรมาส 2 ที่การลงทุนก็อาจยังไม่ฟื้นตัว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203639
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 437
สินเชื่อทรุดตัว การผลิตชอร์ต ราชการกู้หนัก
โพสต์ทูเดย์ มึนตึ้บสินเชื่อการผลิต ก่อสร้าง ขนส่งลด ภาคป้องกันประเทศพุ่งขึ้นถึง 52.38%
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานเงินให้สินเชื่อแยกตามประเภทธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ในสิ้นเดือน ก.ย. พบ ว่า ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ ทั้งสิ้น 6,073,702 ล้านบาท เพิ่ม ขึ้น 93,544 ล้านบาท หรือ 1.56% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการปล่อยสินเชื่อรายภาคธุรกิจพบว่า สินเชื่อภาคการผลิต 1,564,270 ล้านบาท ลดลง 18,693 ล้านบาท, สินเชื่อภาคการก่อสร้าง 193,079 ล้านบาท ลดลง 3,613 ล้านบาท, สินเชื่อที่ให้กับธุรกิจภาคการขนส่ง สถานที่เก็บสินค้า และการคมนาคม มีทั้งสิ้น 197,890 ล้านบาท ลดลง 21,568 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรลดลงทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดทั้งสิ้น 1,342,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 47,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.71%
สำหรับสินเชื่อสำหรับธุรกิจโรงแรมและภัตตาคารเพิ่มขึ้น 6,521 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อธุรกิจการขายส่ง การขายปลีก และซ่อมแซมยานยนต์ ของใช้ในส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน เพิ่มขึ้น 573 ล้านบาท หรือ 0.05% จากไตรมาสก่อน มียอดทั้งสิ้น 971,729 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่ายอดสินเชื่อเพื่อการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ มียอดเพิ่มมากถึง 12,528 ล้านบาท หรือ 52.38% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้น 456,814 ล้านบาท
ขณะที่สินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกจ้างในครัวเรือนส่วนบุคคลมีสัดส่วนลดลงมากที่สุด 20.58%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203850
โพสต์ทูเดย์ มึนตึ้บสินเชื่อการผลิต ก่อสร้าง ขนส่งลด ภาคป้องกันประเทศพุ่งขึ้นถึง 52.38%
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานเงินให้สินเชื่อแยกตามประเภทธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ในสิ้นเดือน ก.ย. พบ ว่า ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ ทั้งสิ้น 6,073,702 ล้านบาท เพิ่ม ขึ้น 93,544 ล้านบาท หรือ 1.56% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการปล่อยสินเชื่อรายภาคธุรกิจพบว่า สินเชื่อภาคการผลิต 1,564,270 ล้านบาท ลดลง 18,693 ล้านบาท, สินเชื่อภาคการก่อสร้าง 193,079 ล้านบาท ลดลง 3,613 ล้านบาท, สินเชื่อที่ให้กับธุรกิจภาคการขนส่ง สถานที่เก็บสินค้า และการคมนาคม มีทั้งสิ้น 197,890 ล้านบาท ลดลง 21,568 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรลดลงทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดทั้งสิ้น 1,342,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 47,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.71%
สำหรับสินเชื่อสำหรับธุรกิจโรงแรมและภัตตาคารเพิ่มขึ้น 6,521 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อธุรกิจการขายส่ง การขายปลีก และซ่อมแซมยานยนต์ ของใช้ในส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน เพิ่มขึ้น 573 ล้านบาท หรือ 0.05% จากไตรมาสก่อน มียอดทั้งสิ้น 971,729 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่ายอดสินเชื่อเพื่อการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ มียอดเพิ่มมากถึง 12,528 ล้านบาท หรือ 52.38% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้น 456,814 ล้านบาท
ขณะที่สินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกจ้างในครัวเรือนส่วนบุคคลมีสัดส่วนลดลงมากที่สุด 20.58%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203850
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 438
เบิกจ่ายทะลุเป้าขาดดุล6หมื่นล.
โพสต์ทูเดย์ รัฐเร่งอัดฉีดเงินเข้าเศรษฐกิจ ทำขาดดุลเดือนแรกปีงบ 2551 กว่า 5.92 หมื่นล้านบาท
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ฐานะการคลังในเดือน ต.ค. 2550 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 5.92 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณจำนวน 3.57 หมื่นล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณจำนวน 2.34 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลชดเชยการขาดดุลโดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 1.15 หมื่นล้านบาท, การไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท, การจ่ายเงินเหลื่อมจ่ายสุทธิจำนวน 3.2 พันล้านบาท และใช้เงินคงคลัง จำนวน 4.77 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การขาดดุลเงินสดเกิดจากรายรับของรัฐบาลในเดือน ต.ค. มีจำนวน 1.19 แสนล้านบาท แต่มีรายจ่ายถึง 1.55 แสนล้านบาท ทำให้เงินคงคลังมีไม่เพียงพอ
นโยบายการคลังแบบขาดดุลของรัฐบาลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวว่า การเบิกจ่ายที่สำคัญได้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.2 หมื่นล้านบาท รายจ่ายให้กับกองทุนประกันสังคม 6.04 พันล้านบาท รายจ่ายให้สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 5.56 พันล้านบาท รายจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ 2.3 พันล้านบาท และการเบิกจ่ายงบลงทุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 7.45 พันล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 10.1%
สำหรับรายได้นำส่งคลัง 1.19 แสนล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 8.5% โดยมีรายได้จากภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเบียร์ ภาษีรถยนต์ และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203847
โพสต์ทูเดย์ รัฐเร่งอัดฉีดเงินเข้าเศรษฐกิจ ทำขาดดุลเดือนแรกปีงบ 2551 กว่า 5.92 หมื่นล้านบาท
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ฐานะการคลังในเดือน ต.ค. 2550 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 5.92 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณจำนวน 3.57 หมื่นล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณจำนวน 2.34 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลชดเชยการขาดดุลโดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 1.15 หมื่นล้านบาท, การไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท, การจ่ายเงินเหลื่อมจ่ายสุทธิจำนวน 3.2 พันล้านบาท และใช้เงินคงคลัง จำนวน 4.77 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การขาดดุลเงินสดเกิดจากรายรับของรัฐบาลในเดือน ต.ค. มีจำนวน 1.19 แสนล้านบาท แต่มีรายจ่ายถึง 1.55 แสนล้านบาท ทำให้เงินคงคลังมีไม่เพียงพอ
นโยบายการคลังแบบขาดดุลของรัฐบาลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวว่า การเบิกจ่ายที่สำคัญได้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.2 หมื่นล้านบาท รายจ่ายให้กับกองทุนประกันสังคม 6.04 พันล้านบาท รายจ่ายให้สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 5.56 พันล้านบาท รายจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ 2.3 พันล้านบาท และการเบิกจ่ายงบลงทุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 7.45 พันล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 10.1%
สำหรับรายได้นำส่งคลัง 1.19 แสนล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 8.5% โดยมีรายได้จากภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเบียร์ ภาษีรถยนต์ และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203847
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 439
ต่างชาติขายหุ้นไม่เลิก วันนี้อีก1.7 พันล้านบาท เพิ่มยอดขายเดือนนี้ใกล้ทะลุ 2.3 หมื่นล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 16, 2007
รายย่อยรับเหมาซื้อหุ้นอีก 2,253 ล้านบาท ปล่อยให้สถาบันในประเทศ และต่างชาติ ขายปรับพอร์ต เฉพาะต่างชาติ วันนี้ขายอีก 1,701 ล้านบาท ทำให้ยอดขายสุทธิเดือนนี้ ใกล้ทะลุ 2.3 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วนบยอดสะสมทั้งปี วูบเหลือ 8.5 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 8,103.72 ขาย 5,849.92 รวม ซื้อสุทธิ 2,253.80
สถาบันในประเทศ ซื้อ 2,199.13 ขาย 2,751.08 รวม ขายสุทธิ 551.95
ต่างประเทศ ซื้อ 3,656.61 ขาย 5,358.47 รวม ขายสุทธิ 1,701.85
ยอดสะสม ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 121,234.21 ขาย 102,050.92 รวม ซื้อสุทธิ 19,183.29
สถาบันในประเทศ ซื้อ 41,980.96 ขาย 38,167.11 รวม ซื้อสุทธิ 3,813.85
ต่างประเทศ ซื้อ 53,179.04 ขาย 76,176.18 รวม ขายสุทธิ 22,997.14
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 1,920,683.21 ขาย 1,991,576.37 รวม ขายสุทธิ 70,893.16
สถาบันในประเทศ ซื้อ 524,146.62 ขาย 539,207.78 รวม ขายสุทธิ 15,061.16
ต่างประเทศ ซื้อ 1,289,349.30 ขาย 1,203,394.98 รวม ซื้อสุทธิ 85,954.32
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, November 16, 2007
รายย่อยรับเหมาซื้อหุ้นอีก 2,253 ล้านบาท ปล่อยให้สถาบันในประเทศ และต่างชาติ ขายปรับพอร์ต เฉพาะต่างชาติ วันนี้ขายอีก 1,701 ล้านบาท ทำให้ยอดขายสุทธิเดือนนี้ ใกล้ทะลุ 2.3 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วนบยอดสะสมทั้งปี วูบเหลือ 8.5 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 8,103.72 ขาย 5,849.92 รวม ซื้อสุทธิ 2,253.80
สถาบันในประเทศ ซื้อ 2,199.13 ขาย 2,751.08 รวม ขายสุทธิ 551.95
ต่างประเทศ ซื้อ 3,656.61 ขาย 5,358.47 รวม ขายสุทธิ 1,701.85
ยอดสะสม ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 121,234.21 ขาย 102,050.92 รวม ซื้อสุทธิ 19,183.29
สถาบันในประเทศ ซื้อ 41,980.96 ขาย 38,167.11 รวม ซื้อสุทธิ 3,813.85
ต่างประเทศ ซื้อ 53,179.04 ขาย 76,176.18 รวม ขายสุทธิ 22,997.14
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 1,920,683.21 ขาย 1,991,576.37 รวม ขายสุทธิ 70,893.16
สถาบันในประเทศ ซื้อ 524,146.62 ขาย 539,207.78 รวม ขายสุทธิ 15,061.16
ต่างประเทศ ซื้อ 1,289,349.30 ขาย 1,203,394.98 รวม ซื้อสุทธิ 85,954.32
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 440
บลจ.ไทยพาณิชย์คาด ปี 51 กำไรของบริษัทจดทะเบียนพุ่ง 15 - 16%
Posted on Friday, November 16, 2007
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า ปี 2551 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) จะขยายตัว 5.3% เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 1 1.5% เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมงาน 3 4 เดือนก่อนที่จะลงมือบริหารจริง ทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่บัดนี้จนถึงไตรมาสที่ 1/2551 เชื่อว่าคงจะไม่สูงกว่า 920 จุดมากนัก เนื่องจากตลาดหุ้นได้รับข่าวไปล่วงหน้าแล้ว และจากสถิติการเลือกตั้งย้อนหลัง 9 ครั้ง พบว่า ดัชนีหลังการเลือกตั้งจะปรับตัวลดลง เพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลชุดใหม่
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ยังคงต้องรอดูความชัดเจนทั้งปัจจัยภายใน เช่น การเมืองไทย และปัจจัยภายนอก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เช่นกัน
ส่วนกองทุนรวมที่มีนโยบายออกไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักลงทุน เพราะนอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยง รวมทั้งยังได้เรียนรู้กลไกการลงทุนของประเทศที่ไปลงทุนด้วย
ปัจจุบันทุกคนคาดหวังให้รัฐบาลชุดใหม่กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มที่จะเป็นรัฐบาลผสม ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ อย่างไรก็ตามถ้าการบริโภคและการลงทุนของไทยฟื้นตัวขึ้นมา ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน อินเดีย และยุโรป ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็กำลังฟื้นตัวขึ้นมา ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการส่งออก และเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะมีผลให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 15 16%
นายวิชชุยังแนะนำนักลงทุนด้วยว่า ให้ดูผลประกอบการของบริษัทที่ต้องการเข้าไปลงทุนด้วย โดยบริษัทใดที่มีต้นทุนการผลิตเกี่ยวกับโลหะ และพลังงาน จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากราคาโลหะและเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นมาก
นายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เชื่อว่า การจัดการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจจะทรงตัวไปอีก 2 3 เดือน เพื่อรอการจัดตั้งรัฐบาล และความชัดเจนเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ
สำหรับ GDP ของไทยปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวจากปี 2550 เล็กน้อย โดยการส่งออกยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ (Subprime) อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้ดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีของผู้ส่งออกไทยด้วย
นายมังกรบอกว่า อยากให้ภาครัฐเร่งลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยเฉพาะโครงการที่ได้มีการศึกษาเรียบร้อยแล้ว เพราะจะทำให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกล้าที่จะลงทุน ขณะที่ประชาชนก็มีรายได้และกล้าที่จะใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นตามมาด้วย
นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาลงทุนทางตรงของนักลงทุนต่างชาติ เช่น กฎหมายค้าปลีก และกฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งควรมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน เพื่อป้องกันการย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ การเพิ่มนักลงทุนรายใหม่ และการส่งเสริมให้ออกไปลงทุนต่างประเทศ
นายมังกรบอกว่า ขณะนี้เป็นห่วงผลประกอบการของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากมีความเสียเปรียบเรื่องเทคโนโลยีที่นำมาใช้ และยังต้องแข่งขันกับบริษัทต่างชาติด้วย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารด้วยเช่นกัน ถ้าผู้บริหารสามารถบริหารจัดการได้ดี ธุรกิจก็ไม่น่าจะมีปัญหา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Friday, November 16, 2007
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า ปี 2551 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) จะขยายตัว 5.3% เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 1 1.5% เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมงาน 3 4 เดือนก่อนที่จะลงมือบริหารจริง ทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่บัดนี้จนถึงไตรมาสที่ 1/2551 เชื่อว่าคงจะไม่สูงกว่า 920 จุดมากนัก เนื่องจากตลาดหุ้นได้รับข่าวไปล่วงหน้าแล้ว และจากสถิติการเลือกตั้งย้อนหลัง 9 ครั้ง พบว่า ดัชนีหลังการเลือกตั้งจะปรับตัวลดลง เพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลชุดใหม่
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ยังคงต้องรอดูความชัดเจนทั้งปัจจัยภายใน เช่น การเมืองไทย และปัจจัยภายนอก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เช่นกัน
ส่วนกองทุนรวมที่มีนโยบายออกไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักลงทุน เพราะนอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยง รวมทั้งยังได้เรียนรู้กลไกการลงทุนของประเทศที่ไปลงทุนด้วย
ปัจจุบันทุกคนคาดหวังให้รัฐบาลชุดใหม่กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มที่จะเป็นรัฐบาลผสม ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ อย่างไรก็ตามถ้าการบริโภคและการลงทุนของไทยฟื้นตัวขึ้นมา ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน อินเดีย และยุโรป ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็กำลังฟื้นตัวขึ้นมา ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการส่งออก และเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะมีผลให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 15 16%
นายวิชชุยังแนะนำนักลงทุนด้วยว่า ให้ดูผลประกอบการของบริษัทที่ต้องการเข้าไปลงทุนด้วย โดยบริษัทใดที่มีต้นทุนการผลิตเกี่ยวกับโลหะ และพลังงาน จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากราคาโลหะและเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นมาก
นายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เชื่อว่า การจัดการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจจะทรงตัวไปอีก 2 3 เดือน เพื่อรอการจัดตั้งรัฐบาล และความชัดเจนเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ
สำหรับ GDP ของไทยปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวจากปี 2550 เล็กน้อย โดยการส่งออกยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ (Subprime) อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้ดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีของผู้ส่งออกไทยด้วย
นายมังกรบอกว่า อยากให้ภาครัฐเร่งลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยเฉพาะโครงการที่ได้มีการศึกษาเรียบร้อยแล้ว เพราะจะทำให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกล้าที่จะลงทุน ขณะที่ประชาชนก็มีรายได้และกล้าที่จะใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นตามมาด้วย
นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาลงทุนทางตรงของนักลงทุนต่างชาติ เช่น กฎหมายค้าปลีก และกฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งควรมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน เพื่อป้องกันการย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ การเพิ่มนักลงทุนรายใหม่ และการส่งเสริมให้ออกไปลงทุนต่างประเทศ
นายมังกรบอกว่า ขณะนี้เป็นห่วงผลประกอบการของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากมีความเสียเปรียบเรื่องเทคโนโลยีที่นำมาใช้ และยังต้องแข่งขันกับบริษัทต่างชาติด้วย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารด้วยเช่นกัน ถ้าผู้บริหารสามารถบริหารจัดการได้ดี ธุรกิจก็ไม่น่าจะมีปัญหา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 441
ซิตี้กรุ๊ป ประเมินตลาดหุ้นเอเชีย สัปดาห์หน้าร่วงต่อ ศก.สหรัฐฯชะลอตัวกระทบส่งออก
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤศจิกายน 2550 14:48 น.
นักวิเคราะห์ ซิตี้กรุ๊ป คาดตลาดหุ้นเอเชียร่วงสัปดาห์หน้า ชี้ วิกฤต ศก.สหรัฐฯชะลอตัว กระทบการส่งออก เนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดใหฐ่ที่สุด 70% ของประเทศย่านเอเชีย
(16 พ.ย.) นายฉั่ว ฮัค บิน นักวิเคราะห์ ซิตี้กรุ๊ป กล่าวถึงภาพนักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียจะร่วงลงต่อในสัปดาห์หน้า เนื่องจากความกังวลที่ว่าวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อของสหรัฐอาจทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อน้อยลงในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีของสหรัฐฯ
สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเอเชีย ซึ่งหากตัวเลขใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐฯ (CPI) ซบเซาลง ก็จะส่งผลกระทบถึงภาคส่งออกในเอเชียด้วย
ทั้งนี้ แม้ความต้องการสินค้าในจีนที่ขยายตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชียและอาจช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่เราคาดว่าเศรษฐกิจคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯได้
สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียล รายงานโดยอ้างบทวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) พบว่า ตัวเลขส่งออกกว่า 70% ของการค้าในภูมิภาคเอเชียประกอบไปด้วยสินค้าที่ใช้สำหรับกลุ่มผู้ผลิตที่นำเข้าสินค้าเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ และยุโรป อีกทอดหนึ่ง ดังนั้น เมื่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐฯชะลอตัวลง อุตสาหกรรมส่งออกในเอเชียก็ย่อมถูกกระทบด้วย
ความวิตกกังวลเรื่องตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคในสหรัฐฯเริ่มคุกรุ่นขึ้น เมื่อบริษัท วอล-มาร์ท ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของโลก และบริษัท เจซี เพนนี ผู้ค้าปลีกรายใหญ่อีกรายหนึ่ง ได้ออกมาส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกัน โดย วอล-มาร์ท ได้ประกาศเพิ่มคาดการณ์ยอดขายประจำไตรมาส 4 หลังจากผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่บริษัท เจซี เพนนี ประกาศลดคาดการณ์ยอดขายประจำไตรมาส 4 หลังจากผลประกอบการไตรมาส 3 ร่วงลง 9%
ทั้งนี้ ภูมิภาคเอเชีย และสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่มีเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกันเท่านั้น แต่ตลาดการเงินใน 2 ภูมิภาคยังเกี่ยวโยงกันอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า ความเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อสหรัฐก็จะเป็นปัจจัยชี้นำภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียด้วย แม้นักวิเคราะห์บางรายมองว่าสถาบันการเงินในเอเชียมีตัวเลขขาดทุนในตลาดซับไพรม์ไม่มากนักก็ตาม
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000136208
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤศจิกายน 2550 14:48 น.
นักวิเคราะห์ ซิตี้กรุ๊ป คาดตลาดหุ้นเอเชียร่วงสัปดาห์หน้า ชี้ วิกฤต ศก.สหรัฐฯชะลอตัว กระทบการส่งออก เนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดใหฐ่ที่สุด 70% ของประเทศย่านเอเชีย
(16 พ.ย.) นายฉั่ว ฮัค บิน นักวิเคราะห์ ซิตี้กรุ๊ป กล่าวถึงภาพนักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียจะร่วงลงต่อในสัปดาห์หน้า เนื่องจากความกังวลที่ว่าวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อของสหรัฐอาจทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อน้อยลงในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีของสหรัฐฯ
สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเอเชีย ซึ่งหากตัวเลขใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐฯ (CPI) ซบเซาลง ก็จะส่งผลกระทบถึงภาคส่งออกในเอเชียด้วย
ทั้งนี้ แม้ความต้องการสินค้าในจีนที่ขยายตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชียและอาจช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่เราคาดว่าเศรษฐกิจคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯได้
สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียล รายงานโดยอ้างบทวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) พบว่า ตัวเลขส่งออกกว่า 70% ของการค้าในภูมิภาคเอเชียประกอบไปด้วยสินค้าที่ใช้สำหรับกลุ่มผู้ผลิตที่นำเข้าสินค้าเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ และยุโรป อีกทอดหนึ่ง ดังนั้น เมื่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐฯชะลอตัวลง อุตสาหกรรมส่งออกในเอเชียก็ย่อมถูกกระทบด้วย
ความวิตกกังวลเรื่องตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคในสหรัฐฯเริ่มคุกรุ่นขึ้น เมื่อบริษัท วอล-มาร์ท ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของโลก และบริษัท เจซี เพนนี ผู้ค้าปลีกรายใหญ่อีกรายหนึ่ง ได้ออกมาส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกัน โดย วอล-มาร์ท ได้ประกาศเพิ่มคาดการณ์ยอดขายประจำไตรมาส 4 หลังจากผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่บริษัท เจซี เพนนี ประกาศลดคาดการณ์ยอดขายประจำไตรมาส 4 หลังจากผลประกอบการไตรมาส 3 ร่วงลง 9%
ทั้งนี้ ภูมิภาคเอเชีย และสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่มีเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกันเท่านั้น แต่ตลาดการเงินใน 2 ภูมิภาคยังเกี่ยวโยงกันอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า ความเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อสหรัฐก็จะเป็นปัจจัยชี้นำภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียด้วย แม้นักวิเคราะห์บางรายมองว่าสถาบันการเงินในเอเชียมีตัวเลขขาดทุนในตลาดซับไพรม์ไม่มากนักก็ตาม
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000136208
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 442
ผลสำรวจการขึ้นเงินเดือน-โบนัสปี 2551 'อสังหาฯ รถยนต์ ปิโตรเคมี เหล็ก' มาแรง
เปิดผลสำรวจการขึ้นเงินเดือน-จ่ายโบนัส 350 บริษัทในไทย พบธุรกิจอสังหาฯ พัฒนาที่ดินขึ้นเงินเดือนมากสุด ขณะที่ 'อุตสาหกรรมรถยน ปิโตรเคมี เหล็ก' มาแรง จ่ายโบนัสสูงสุด
จากรายงานการขึ้นเงินเดือน การจ่ายโบนัส และแนวโน้มการบริหารงานบุคคลของประเทศไทยในปี 2551 ซึ่งทาง "ทายาท ศรีปลั่ง" กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัทสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้แสดงข้อมูลการสำรวจบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยกว่า 350 บริษัท พบว่า 96% ของบริษัทที่เข้าร่วมสำรวจมีนโยบายขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงาน ขณะที่อีกบางบริษัทมีนโยบายไม่ขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานประมาณ 3% ส่วนอีก 1% ยังไม่แน่ใจว่าจะขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานหรือไม่นอกจากนั้น ผลสำรวจยังเปรียบเทียบการขึ้นเงินเดือนในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการขึ้นเงินเดือนมากที่สุด 3 อุตสาหกรรมแรกคือ อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบริษัทที่พัฒนา และบริหารอสังหาฯ (7.0%) กลุ่มบริษัทที่ประกอบวิชาชีพเฉพาะ (6.89%) และกลุ่มผู้บริโภคพื้นฐานในครัวเรือน (6.83%)
ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคกึ่งสูง กึ่งกลางได้รับผลกระทบในเชิงลบอย่างชัดเจน ส่วนกลุ่มอุปโภคบริโภคพื้นฐานที่ทุกครัวเรือนต้องใช้ มีอัตราการขึ้นเงินเดือนเป็นที่น่าพอใจค่อนข้างสูง
ในทางเดียวกัน การจ่ายโบนัสในประเทศไทยนั้นมี 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือจ่ายโบนัสให้พนักงานทุกคนเท่ากัน กับจ่ายโบนัสให้พนักงานตามผลงาน ซึ่งอาจจะไม่เท่ากันในแต่ละปี
สำหรับการจ่ายโบนัสพนักงานให้พนักงานเท่ากัน ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ หนึ่ง โบนัสที่จ่ายเป็นจำนวนเดือนที่ระบุไว้ในคู่มือพนักงาน ซึ่งเป็นข้อผูกมัดที่บริษัทต้องจ่ายให้พนักงานทุกๆ ปี ไม่ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการดี หรือขาดทุนก็ตาม
สอง บริษัทอาจจ่ายเป็นจำนวนเดือนที่ต่างกันในแต่ละปี แต่พนักงานทุกคนจะได้เท่ากัน ซึ่งในบางบริษัทเรียกการจ่ายโบนัสแบบนี้ว่า fixed bonus ซึ่งโบนัสประเภทนี้นิยมมากในกลุ่มของพนักงานปฏิบัติการ หรือกลุ่มพนักงานที่มีการประเมินผลงานรายบุคคล
ซึ่งการจ่ายโบนัสที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกปี คือการจ่ายโบนัสที่ขึ้นอยู่กับผลงาน ทั้งของบริษัท หรือของพนักงาน โดยในปี 2551 การจ่ายโบนัสแบบ variable bonus จะอยู่ที่ 2.25 เดือน
ส่วนการจ่ายแบบ fixed และ guaranteed จะอยู่ที่ 1.42 เดือน ดังจะเห็นได้ว่าการจ่ายโบนัสแบบ variable เริ่มมีมูลค่าสูงกว่าการจ่ายโบนัสแบบ fixed และ guaranteed และเริ่มเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา
นอกจากนั้น ผลการสำรวจข้อมูลของบริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) จำกัด ยังพบอีกว่าการจ่ายโบนัสในปี 2551 บริษัทมีการจ่ายโบนัสทั้งที่เป็นการจ่ายแบบ fixed หรือ guaranteed bonus และ variable อย่างเดียวหรือจ่ายทั้ง fixed หรือ guaranteed bonus และ variable bonus
สำหรับบริษัทที่มีการจ่ายโบนัสทั้ง 2 แบบ คือ fixed หรือ guaranteed และ variable bonus นั้น มีอย่างกว้างขวางในทุกๆ อุตสาหกรรมที่มีการจ่ายเป็น 3 อันดับแรก ได้แก่บริษัทที่ประกอบอาชีพเฉพาะ เช่น ธนาคารและสถาบันการเงิน และบริษัทที่ทำการเดินเรือ และการบิน
โดยภาคอุตสาหกรรมที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ จะมีการจ่ายโบนัสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่มีการจ่ายโบนัสสูงสุด 3 กลุ่มแรกได้แก่ car, maker petrochemical และ steel
เช่นเดียวกัน สำหรับอัตราการเปลี่ยนงานของพนักงานคนไทยในปี 2551 บริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) จำกัด ก็สำรวจพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ถ้าเปรียบเทียบการเปลี่ยนงานของคนไทย กับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วในสหภาพยุโรป พบว่าอัตราการเปลี่ยนงานของคนไทยจะสูงมาก และติดต่อกันทุกๆ ปี
ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ถึงความขาดเสถียรภาพของภาคเศรษฐกิจในประเทศไทยแบบหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนงานนั้น หมายถึงว่าบริษัทได้ลงทุนในด้านการฝึกอบรมเวลาในการพัฒนาบุคลากร ความรู้ ความชำนาญที่บริษัทได้ถ่ายทอดให้กับพนักงานได้สูญเสียไป จึงทำให้บริษัทต้องมีการว่าจ้างงานใหม่ แล้วเริ่มต้นลงทุนพัฒนาพนักงานใหม่ ทั้งในรูปตัวเงินและเวลา ถ้าวงจรเหล่านี้ยังเป็นอยู่เรื่อยๆ ในอัตราที่สูง (11.75% คือค่าเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนงานของคนในประเทศไทย) ก็เท่ากับว่าในทุกๆ 10 คน มีพนักงานออก 1 คน และใน 1 คนนี้ จากการสำรวจพบว่าเป็นพนักงานในทุกระดับด้วย
แทนที่บริษัทจะใช้เงินและการลงทุนนั้น ไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น หลายๆ บริษัทได้มีการเปลี่ยนวิธีการจัดจ้างพนักงานใหม่ รวมถึงการจัดทำโครงการดึงพนักงานให้อยู่กับองค์กร (employee retention program) รวมถึง employee engagement survey เพื่อลดอัตราการเปลี่ยนงานของพนักงานลงในประเทศที่พัฒนาแล้ว อัตราการเปลี่ยนงานจะอยู่ที่ประมาณ 5% หรือต่ำกว่านอกจากนั้น จากการสำรวจยังพบตัวเลขที่น่าตกใจเกี่ยวกับอัตราการลาออก โดยจากการสำรวจบริษัทกว่า 195 บริษัท พบว่าอัตราการลาออกของพนักงานในบริษัทต่างๆ มีมากกว่า 50%
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัทในประเทศไทยขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาบุคลากร และการสะสม รักษาองค์ความรู้ขององค์กร ซึ่งทำให้ยากที่บริษัทไทยและประเทศไทยจะเข้าไปสู่เวทีการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ซึ่งหากมองในภาคอุตสาหกรรมหลัก จะพบว่าพนักงานที่ไม่มีความผูกพันกับองค์กร มีความคิดที่จะเปลี่ยนงานอยู่เรื่อยๆ เช่นพวกกลุ่มสิ่งทอ กลุ่มพลาสติก กลุ่มเคมี และกลุ่มเหล็ก ตามลำดับ
คิดเป็นกลุ่มสิ่งทอมีอัตราการลาออกคิดเป็น 19.73% กลุ่มพลาสติก 11.63% กลุ่มเคมี 7.71% กลุ่มเหล็ก 6.25% ซึ่งมีกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ลาออกน้อยที่สุด คือคิดเป็น 3.90% เท่านั้นเอง
ฉะนั้น จะเห็นว่าแนวโน้มการขึ้นเงินเดือน การจ่ายโบนัส และแนวโน้มในการบริหารงานบุคคลของประเทศไทยในปี 2551 องค์กรและบริษัทต่างๆ ใช้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ และผลประกอบการในปีปัจจุบัน เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ
ดังนั้น การกำหนดอัตราการขึ้นเงินเดือนและการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน โดยภาพรวมแล้วในปี 2550 ตัวเลขทางเศรษฐกิจอยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรงนัก ถึงแม้ว่ามูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว แต่กำไรอันเกิดจากการส่งออกกลับลดต่ำลง
ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัด ที่ชี้ให้เห็นว่าในปี 2551 ยังเป็นปีที่ยังเหนื่อย เป็นปีที่ต้องทำงานหนัก และทุ่มเทเช่นเดิม หาไม่เช่นนั้น การขึ้นเงินเดือน หรือการจ่ายโบนัสให้กับพนักงานในปี 2552 อาจต่ำกว่าปี 2551 ก็เป็นไปได้
โปรดลองพิจารณาดู ?
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 54&catid=2
เปิดผลสำรวจการขึ้นเงินเดือน-จ่ายโบนัส 350 บริษัทในไทย พบธุรกิจอสังหาฯ พัฒนาที่ดินขึ้นเงินเดือนมากสุด ขณะที่ 'อุตสาหกรรมรถยน ปิโตรเคมี เหล็ก' มาแรง จ่ายโบนัสสูงสุด
จากรายงานการขึ้นเงินเดือน การจ่ายโบนัส และแนวโน้มการบริหารงานบุคคลของประเทศไทยในปี 2551 ซึ่งทาง "ทายาท ศรีปลั่ง" กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัทสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้แสดงข้อมูลการสำรวจบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยกว่า 350 บริษัท พบว่า 96% ของบริษัทที่เข้าร่วมสำรวจมีนโยบายขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงาน ขณะที่อีกบางบริษัทมีนโยบายไม่ขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานประมาณ 3% ส่วนอีก 1% ยังไม่แน่ใจว่าจะขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานหรือไม่นอกจากนั้น ผลสำรวจยังเปรียบเทียบการขึ้นเงินเดือนในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการขึ้นเงินเดือนมากที่สุด 3 อุตสาหกรรมแรกคือ อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบริษัทที่พัฒนา และบริหารอสังหาฯ (7.0%) กลุ่มบริษัทที่ประกอบวิชาชีพเฉพาะ (6.89%) และกลุ่มผู้บริโภคพื้นฐานในครัวเรือน (6.83%)
ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคกึ่งสูง กึ่งกลางได้รับผลกระทบในเชิงลบอย่างชัดเจน ส่วนกลุ่มอุปโภคบริโภคพื้นฐานที่ทุกครัวเรือนต้องใช้ มีอัตราการขึ้นเงินเดือนเป็นที่น่าพอใจค่อนข้างสูง
ในทางเดียวกัน การจ่ายโบนัสในประเทศไทยนั้นมี 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือจ่ายโบนัสให้พนักงานทุกคนเท่ากัน กับจ่ายโบนัสให้พนักงานตามผลงาน ซึ่งอาจจะไม่เท่ากันในแต่ละปี
สำหรับการจ่ายโบนัสพนักงานให้พนักงานเท่ากัน ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ หนึ่ง โบนัสที่จ่ายเป็นจำนวนเดือนที่ระบุไว้ในคู่มือพนักงาน ซึ่งเป็นข้อผูกมัดที่บริษัทต้องจ่ายให้พนักงานทุกๆ ปี ไม่ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการดี หรือขาดทุนก็ตาม
สอง บริษัทอาจจ่ายเป็นจำนวนเดือนที่ต่างกันในแต่ละปี แต่พนักงานทุกคนจะได้เท่ากัน ซึ่งในบางบริษัทเรียกการจ่ายโบนัสแบบนี้ว่า fixed bonus ซึ่งโบนัสประเภทนี้นิยมมากในกลุ่มของพนักงานปฏิบัติการ หรือกลุ่มพนักงานที่มีการประเมินผลงานรายบุคคล
ซึ่งการจ่ายโบนัสที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกปี คือการจ่ายโบนัสที่ขึ้นอยู่กับผลงาน ทั้งของบริษัท หรือของพนักงาน โดยในปี 2551 การจ่ายโบนัสแบบ variable bonus จะอยู่ที่ 2.25 เดือน
ส่วนการจ่ายแบบ fixed และ guaranteed จะอยู่ที่ 1.42 เดือน ดังจะเห็นได้ว่าการจ่ายโบนัสแบบ variable เริ่มมีมูลค่าสูงกว่าการจ่ายโบนัสแบบ fixed และ guaranteed และเริ่มเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา
นอกจากนั้น ผลการสำรวจข้อมูลของบริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) จำกัด ยังพบอีกว่าการจ่ายโบนัสในปี 2551 บริษัทมีการจ่ายโบนัสทั้งที่เป็นการจ่ายแบบ fixed หรือ guaranteed bonus และ variable อย่างเดียวหรือจ่ายทั้ง fixed หรือ guaranteed bonus และ variable bonus
สำหรับบริษัทที่มีการจ่ายโบนัสทั้ง 2 แบบ คือ fixed หรือ guaranteed และ variable bonus นั้น มีอย่างกว้างขวางในทุกๆ อุตสาหกรรมที่มีการจ่ายเป็น 3 อันดับแรก ได้แก่บริษัทที่ประกอบอาชีพเฉพาะ เช่น ธนาคารและสถาบันการเงิน และบริษัทที่ทำการเดินเรือ และการบิน
โดยภาคอุตสาหกรรมที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ จะมีการจ่ายโบนัสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่มีการจ่ายโบนัสสูงสุด 3 กลุ่มแรกได้แก่ car, maker petrochemical และ steel
เช่นเดียวกัน สำหรับอัตราการเปลี่ยนงานของพนักงานคนไทยในปี 2551 บริษัท วัทสัน ไวแอท (ประเทศไทย) จำกัด ก็สำรวจพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ถ้าเปรียบเทียบการเปลี่ยนงานของคนไทย กับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วในสหภาพยุโรป พบว่าอัตราการเปลี่ยนงานของคนไทยจะสูงมาก และติดต่อกันทุกๆ ปี
ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ถึงความขาดเสถียรภาพของภาคเศรษฐกิจในประเทศไทยแบบหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนงานนั้น หมายถึงว่าบริษัทได้ลงทุนในด้านการฝึกอบรมเวลาในการพัฒนาบุคลากร ความรู้ ความชำนาญที่บริษัทได้ถ่ายทอดให้กับพนักงานได้สูญเสียไป จึงทำให้บริษัทต้องมีการว่าจ้างงานใหม่ แล้วเริ่มต้นลงทุนพัฒนาพนักงานใหม่ ทั้งในรูปตัวเงินและเวลา ถ้าวงจรเหล่านี้ยังเป็นอยู่เรื่อยๆ ในอัตราที่สูง (11.75% คือค่าเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนงานของคนในประเทศไทย) ก็เท่ากับว่าในทุกๆ 10 คน มีพนักงานออก 1 คน และใน 1 คนนี้ จากการสำรวจพบว่าเป็นพนักงานในทุกระดับด้วย
แทนที่บริษัทจะใช้เงินและการลงทุนนั้น ไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น หลายๆ บริษัทได้มีการเปลี่ยนวิธีการจัดจ้างพนักงานใหม่ รวมถึงการจัดทำโครงการดึงพนักงานให้อยู่กับองค์กร (employee retention program) รวมถึง employee engagement survey เพื่อลดอัตราการเปลี่ยนงานของพนักงานลงในประเทศที่พัฒนาแล้ว อัตราการเปลี่ยนงานจะอยู่ที่ประมาณ 5% หรือต่ำกว่านอกจากนั้น จากการสำรวจยังพบตัวเลขที่น่าตกใจเกี่ยวกับอัตราการลาออก โดยจากการสำรวจบริษัทกว่า 195 บริษัท พบว่าอัตราการลาออกของพนักงานในบริษัทต่างๆ มีมากกว่า 50%
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัทในประเทศไทยขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาบุคลากร และการสะสม รักษาองค์ความรู้ขององค์กร ซึ่งทำให้ยากที่บริษัทไทยและประเทศไทยจะเข้าไปสู่เวทีการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ซึ่งหากมองในภาคอุตสาหกรรมหลัก จะพบว่าพนักงานที่ไม่มีความผูกพันกับองค์กร มีความคิดที่จะเปลี่ยนงานอยู่เรื่อยๆ เช่นพวกกลุ่มสิ่งทอ กลุ่มพลาสติก กลุ่มเคมี และกลุ่มเหล็ก ตามลำดับ
คิดเป็นกลุ่มสิ่งทอมีอัตราการลาออกคิดเป็น 19.73% กลุ่มพลาสติก 11.63% กลุ่มเคมี 7.71% กลุ่มเหล็ก 6.25% ซึ่งมีกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ลาออกน้อยที่สุด คือคิดเป็น 3.90% เท่านั้นเอง
ฉะนั้น จะเห็นว่าแนวโน้มการขึ้นเงินเดือน การจ่ายโบนัส และแนวโน้มในการบริหารงานบุคคลของประเทศไทยในปี 2551 องค์กรและบริษัทต่างๆ ใช้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ และผลประกอบการในปีปัจจุบัน เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ
ดังนั้น การกำหนดอัตราการขึ้นเงินเดือนและการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน โดยภาพรวมแล้วในปี 2550 ตัวเลขทางเศรษฐกิจอยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรงนัก ถึงแม้ว่ามูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว แต่กำไรอันเกิดจากการส่งออกกลับลดต่ำลง
ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัด ที่ชี้ให้เห็นว่าในปี 2551 ยังเป็นปีที่ยังเหนื่อย เป็นปีที่ต้องทำงานหนัก และทุ่มเทเช่นเดิม หาไม่เช่นนั้น การขึ้นเงินเดือน หรือการจ่ายโบนัสให้กับพนักงานในปี 2552 อาจต่ำกว่าปี 2551 ก็เป็นไปได้
โปรดลองพิจารณาดู ?
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 54&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 443
"ดร.โกร่ง"ฟันธง การเมือง น้ำมันแพง ศก.สหรัฐชะลอตัว ฉุดเศรษฐกิจไทยซึมยาว5ปี
"ดร.โกร่ง"ฟันธงไทยกำลังเผชิญปัญหา Stagflation จากภาวะเงินเฟ้อสูง แต่จีดีพีลดต่ำ ห่วงรัฐบาลหลังเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจที่เปราะบาง ลากยาวเป็นปัญหาต่อเนื่อง 4-5 ปี
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเรื่อง "ไทยพึ่งไทย ทางรอดเศรษฐกิจไทย" ที่จัดโดย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมกับมูลนิธิไทยพึ่งไทย โดยนายวีรพงษ์ระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเกิดภาวะที่เรียกว่า Stagflation เพราะราคาสินค้ามีการปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เงินเฟ้อขยายตัวในอัตราที่สูง แต่กำลังซื้อไม่มี เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ต่ำ
"เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะที่น่าห่วง แม้ว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะขยายตัวในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับสหรัฐและยุโรป แต่ปรากฏว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะรั้งท้าย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้าและคู่แข่ง" นายวีรพงษ์กล่าว
เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาหรือกึ่งพัฒนาอย่างไทย นายวีรพงษ์เห็นว่า ถ้าเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่า 5% จะเกิดปัญหาเพราะการขยายตัวของแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจต่างๆ มีอัตราสูงกว่า 5% โดยเฉพาะเงินทุนที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมอยู่สูงกว่า 5% และการที่เศรษฐกิจของไทยขยายตัวประมาณ 4% ติดต่อเป็นเวลา 2 ปีแล้ว แสดงว่าปัญหาเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยภายนอกประเทศซึ่งควบคุมไม่ได้ และปัจจัยภายในประเทศที่เราทำกันขึ้นมาเอง
โดยปัจจัยภายนอกประเทศเรื่องสำคัญคือปัญหาราคาน้ำมันแพง และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในระยะสั้นคาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูเม็ก (เวสเท็กซัส) คงจะทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล จากนั้นคงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ระหว่าง 85-100 ดอลลาร์/บารเรล โอกาสที่ราคาน้ำมันจะลดลงเหลือ 50-60 ดอลลาร์/บาร์เรลคงมีความเป็นไปได้น้อย ดังนั้นหากราคาน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 90-100 ดอลลาร์/บาร์เรลติดต่อกันเป็นระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากในประเทศไทยจะเป็นปัญหา เช่นอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ซีเมนต์ กระเบื้อง และการใช้โลหะต่างๆ เพราะความต้องการใช้สินค้าเหล่านี้อาจไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำลง ขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ในข้างหน้าอาจจะเห็นบริษัทปูนซิเมนต์ทยอยปิดโรงงานเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่เริ่มเห็นแล้ว ซึ่งเป็นอาการของเศรษฐกิจขาลง
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญอีกเรื่องคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปโดยเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะอยู่ในช่วงขาลง จากปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ (ซัพไพร์ม) ของสหรัฐ สถานการณ์ต่างๆคงไม่ยุติลงก่อนปีใหม่นี้ โดยเชื่อว่าจะยืดเยื้อต่อไปข้างหน้าอีกหลายปี อย่างน้อยก็ 2 ปี
"การที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเลื่อนไหลลง และดึงให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงตามด้วย ขบวนการต่างๆ จะทำให้เกิดความผันผวนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกมากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยคงได้รับผลกระทบด้วย เพราะทั้งสหรัฐและยุโรปมีความสำคัญต่อตลาดส่งออกของไทยอย่างมาก" นายวีรพงษ์กล่าว
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ นายวีรพงษ์ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไปข้างหน้าซึ่งจะทำลายความเชื่อมั่นนักลงทุนภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศที่ทำให้เกิดการชะงักงัน เพราะไม่มีใครกล้าลงทุน ขณะที่การลงทุนของภาครัฐก็ไม่มีการตัดสินใจทำให้โครงการที่วางแผนไว้ชะงักงัน
"ค่าเงินบาทยังเป็นปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนทางนโยบายว่าจะปล่อยให้เงินบาทค่อยๆ แข็งค่าขึ้น หรือควรมีทิศทางอย่างไร แต่ขณะนี้เงินบาทค่อนข้างคงที่อยู่ประมาณ 34 บาท/ดอลลาร์ ส่วนค่าเงินบาทในตลาดสิงคโปร์ อยู่ที่ 31.20 บาท/ดอลลาร์ เป็นการชี้นำว่าทิศทางค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อไป และค่าดว่ากลางปีหน้าจะอ่อนค่าลง เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวลงย่ำแย่ เพราะว่าเศรษฐกิจจะมีปัญหาเงินเฟ้อสูง แต่การขยายตัวถดถอย อาจทำให้เกิด STAGFLATION" นายวีรพงษ์ระบุ
นายวีรพงษ์ยังระบุอีกว่า การเมืองหลังเลือกตั้งน่าจะสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่เข้มแข็ง เป็นรัฐบาลผสม และรัฐธรรมนูญก็ออกแบบไว้ให้รัฐบาลไม่เข้มแข็ง เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนแปลงได้ง่ายก็น่าจะเชื่อว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ นอกจากนี้ระบบดังกล่าวจะทำให้ข้าราชการไม่ทำงาน เพราะมีการตรวจสอบที่เข้มงวด ขณะที่การแก้กฎหมายต่างๆก็เข้มงวดยิ่งขึ้น ทำให้ไม่มีใครกล้าทำงาน
"สิ่งที่ห่วงใยอย่างยิ่งคือการยอมรับของนานาประเทศว่าการเลือกตั้งของไทยจะอิสระและยุติธรรมหรือไม่ ถ้าหลังการเลือกตั้งปรากฏว่านานาประเทศวิพากษ์วิจารณ์มาตรฐานการเลือกตั้งของไทยไม่ถึงมาตรฐานของนานาชาติ ปัญหาเรื่องการยอมรับรัฐบาลหลังเลือกตั้งจะเกิดขึ้น เหมือนกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่" นายวีรพงษ์กล่าว
อีกปัจจัยหนึ่งที่นายวีรพงษ์กล่าวว่ายังไม่แน่ใจคือ หลังการเลือกตั้งแล้วระบบต่างๆ จะเข้าสู่ปกติหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบการใช้กฎหมาย ระบบความยุติธรรม รวมไปถึงทหารจะกลับเข้าสู่กรมกองหรือไม่ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่เปราะบาง และมีแนวโน้มชะงักงันและชะลอตัว มีปัญหาเงินเฟ้อเกิดภาวะเลิกจ้างแรงงาน
"ผมมีความเป็นห่วงและค่อนข้างวิตกกังวลเป็นอย่างมากว่าสิ่งต่างๆ ดังกล่าวจะอยู่กับเศรษฐกิจไทยไปอีกอย่างน้อย 4-5 ปี" นายวีรพงษ์กล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=381
"ดร.โกร่ง"ฟันธงไทยกำลังเผชิญปัญหา Stagflation จากภาวะเงินเฟ้อสูง แต่จีดีพีลดต่ำ ห่วงรัฐบาลหลังเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจที่เปราะบาง ลากยาวเป็นปัญหาต่อเนื่อง 4-5 ปี
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเรื่อง "ไทยพึ่งไทย ทางรอดเศรษฐกิจไทย" ที่จัดโดย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมกับมูลนิธิไทยพึ่งไทย โดยนายวีรพงษ์ระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเกิดภาวะที่เรียกว่า Stagflation เพราะราคาสินค้ามีการปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เงินเฟ้อขยายตัวในอัตราที่สูง แต่กำลังซื้อไม่มี เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ต่ำ
"เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะที่น่าห่วง แม้ว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะขยายตัวในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับสหรัฐและยุโรป แต่ปรากฏว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะรั้งท้าย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้าและคู่แข่ง" นายวีรพงษ์กล่าว
เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาหรือกึ่งพัฒนาอย่างไทย นายวีรพงษ์เห็นว่า ถ้าเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่า 5% จะเกิดปัญหาเพราะการขยายตัวของแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจต่างๆ มีอัตราสูงกว่า 5% โดยเฉพาะเงินทุนที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมอยู่สูงกว่า 5% และการที่เศรษฐกิจของไทยขยายตัวประมาณ 4% ติดต่อเป็นเวลา 2 ปีแล้ว แสดงว่าปัญหาเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยภายนอกประเทศซึ่งควบคุมไม่ได้ และปัจจัยภายในประเทศที่เราทำกันขึ้นมาเอง
โดยปัจจัยภายนอกประเทศเรื่องสำคัญคือปัญหาราคาน้ำมันแพง และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในระยะสั้นคาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูเม็ก (เวสเท็กซัส) คงจะทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล จากนั้นคงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ระหว่าง 85-100 ดอลลาร์/บารเรล โอกาสที่ราคาน้ำมันจะลดลงเหลือ 50-60 ดอลลาร์/บาร์เรลคงมีความเป็นไปได้น้อย ดังนั้นหากราคาน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 90-100 ดอลลาร์/บาร์เรลติดต่อกันเป็นระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากในประเทศไทยจะเป็นปัญหา เช่นอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ซีเมนต์ กระเบื้อง และการใช้โลหะต่างๆ เพราะความต้องการใช้สินค้าเหล่านี้อาจไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำลง ขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ในข้างหน้าอาจจะเห็นบริษัทปูนซิเมนต์ทยอยปิดโรงงานเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่เริ่มเห็นแล้ว ซึ่งเป็นอาการของเศรษฐกิจขาลง
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญอีกเรื่องคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปโดยเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะอยู่ในช่วงขาลง จากปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ (ซัพไพร์ม) ของสหรัฐ สถานการณ์ต่างๆคงไม่ยุติลงก่อนปีใหม่นี้ โดยเชื่อว่าจะยืดเยื้อต่อไปข้างหน้าอีกหลายปี อย่างน้อยก็ 2 ปี
"การที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเลื่อนไหลลง และดึงให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงตามด้วย ขบวนการต่างๆ จะทำให้เกิดความผันผวนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกมากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยคงได้รับผลกระทบด้วย เพราะทั้งสหรัฐและยุโรปมีความสำคัญต่อตลาดส่งออกของไทยอย่างมาก" นายวีรพงษ์กล่าว
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ นายวีรพงษ์ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไปข้างหน้าซึ่งจะทำลายความเชื่อมั่นนักลงทุนภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศที่ทำให้เกิดการชะงักงัน เพราะไม่มีใครกล้าลงทุน ขณะที่การลงทุนของภาครัฐก็ไม่มีการตัดสินใจทำให้โครงการที่วางแผนไว้ชะงักงัน
"ค่าเงินบาทยังเป็นปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนทางนโยบายว่าจะปล่อยให้เงินบาทค่อยๆ แข็งค่าขึ้น หรือควรมีทิศทางอย่างไร แต่ขณะนี้เงินบาทค่อนข้างคงที่อยู่ประมาณ 34 บาท/ดอลลาร์ ส่วนค่าเงินบาทในตลาดสิงคโปร์ อยู่ที่ 31.20 บาท/ดอลลาร์ เป็นการชี้นำว่าทิศทางค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อไป และค่าดว่ากลางปีหน้าจะอ่อนค่าลง เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวลงย่ำแย่ เพราะว่าเศรษฐกิจจะมีปัญหาเงินเฟ้อสูง แต่การขยายตัวถดถอย อาจทำให้เกิด STAGFLATION" นายวีรพงษ์ระบุ
นายวีรพงษ์ยังระบุอีกว่า การเมืองหลังเลือกตั้งน่าจะสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่เข้มแข็ง เป็นรัฐบาลผสม และรัฐธรรมนูญก็ออกแบบไว้ให้รัฐบาลไม่เข้มแข็ง เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนแปลงได้ง่ายก็น่าจะเชื่อว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ นอกจากนี้ระบบดังกล่าวจะทำให้ข้าราชการไม่ทำงาน เพราะมีการตรวจสอบที่เข้มงวด ขณะที่การแก้กฎหมายต่างๆก็เข้มงวดยิ่งขึ้น ทำให้ไม่มีใครกล้าทำงาน
"สิ่งที่ห่วงใยอย่างยิ่งคือการยอมรับของนานาประเทศว่าการเลือกตั้งของไทยจะอิสระและยุติธรรมหรือไม่ ถ้าหลังการเลือกตั้งปรากฏว่านานาประเทศวิพากษ์วิจารณ์มาตรฐานการเลือกตั้งของไทยไม่ถึงมาตรฐานของนานาชาติ ปัญหาเรื่องการยอมรับรัฐบาลหลังเลือกตั้งจะเกิดขึ้น เหมือนกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่" นายวีรพงษ์กล่าว
อีกปัจจัยหนึ่งที่นายวีรพงษ์กล่าวว่ายังไม่แน่ใจคือ หลังการเลือกตั้งแล้วระบบต่างๆ จะเข้าสู่ปกติหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบการใช้กฎหมาย ระบบความยุติธรรม รวมไปถึงทหารจะกลับเข้าสู่กรมกองหรือไม่ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่เปราะบาง และมีแนวโน้มชะงักงันและชะลอตัว มีปัญหาเงินเฟ้อเกิดภาวะเลิกจ้างแรงงาน
"ผมมีความเป็นห่วงและค่อนข้างวิตกกังวลเป็นอย่างมากว่าสิ่งต่างๆ ดังกล่าวจะอยู่กับเศรษฐกิจไทยไปอีกอย่างน้อย 4-5 ปี" นายวีรพงษ์กล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=381
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/11/07
โพสต์ที่ 444
ธปท.เตือนปวดหัวค่าเงินบาทอีก3ปี
โพสต์ทูเดย์ ธปท.เตือนเอกชน รับมือค่าบาทผันผวนยาว 3 ปี ยอมรับจำเป็นต้องแทรกแซงต่อ
นายยรรยงค์ ไทยเจริญ ผู้บริหารทีมนโยบายเงินทุนและดุลการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มที่จะเผชิญความผันผวนต่อไปอีกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ
สำหรับในปี 2550 ยังมีแนวโน้มแข็งค่าเนื่องจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคต ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวจาก ปัญหาสินเชื่ออสังหาด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) แต่แรงกดดันจะลดน้อยลงจากปีนี้ เพราะการลงทุนในประเทศจะฟื้นตัวขึ้นหลังมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้มีความเชื่อมั่นกลับมา
แม้ว่าอาจมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในประเทศ แต่การนำเข้าเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลง นายยรรยงค์ กล่าว
นายยรรยงค์ กล่าวว่า นโยบายดูแลค่าเงินของ ธปท.คงจะใช้การแทรกแซง เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งค่าเกินไป แต่การแทรกแซงก็ทำให้เกิดต้นทุน และเมื่อมีสภาพคล่องมากเกินไปส่งผลให้เงินเฟ้อ สูงขึ้น ดังนั้น ธปท.จำเป็นต้องออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่อง ซึ่งทำให้ ธปท.เสียดอกเบี้ย
นอกจากนั้น การที่ภาครัฐเข้ามาดูแลค่าเงินบาทมากเกินไปจะทำให้ ผู้ประกอบการไม่ปรับตัว แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องปรับตัวก็จะเกิดผลกระทบรุนแรง ทางการจึงต้องอาศัยมาตรการอื่นเข้ามาช่วยเสริม เช่น มาตรการกันสำรอง 30% หรือมาตรการที่ออกมาก่อนหน้านี้ 6-7 มาตรการ ถือเป็นมาตรการเสริมของทางการด้วย
นายยรรยงค์ กล่าวว่า อยากให้ ผู้ประกอบการปรับตัวโดยใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น การป้องกันความเสี่ยงหรือซื้อขายล่วงหน้า หรือการเปิดบัญชีเงินฝากต่างประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
นักบริหารเงินจากธนาคารไทยธนาคารเปิดเผยว่า เงินบาทวันที่ 16 พ.ย. ปิดที่ระดับ 33.86/88 บาท ต่อเหรียญสหรัฐ ทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับเปิดตลาดช่วงเช้า
สำหรับเงินเยนปรับตัวอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 110.16/18 เยน ต่อเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เงินยูโร แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.4605/09 เหรียญสหรัฐต่อยูโร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204025
โพสต์ทูเดย์ ธปท.เตือนเอกชน รับมือค่าบาทผันผวนยาว 3 ปี ยอมรับจำเป็นต้องแทรกแซงต่อ
นายยรรยงค์ ไทยเจริญ ผู้บริหารทีมนโยบายเงินทุนและดุลการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มที่จะเผชิญความผันผวนต่อไปอีกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ
สำหรับในปี 2550 ยังมีแนวโน้มแข็งค่าเนื่องจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคต ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวจาก ปัญหาสินเชื่ออสังหาด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) แต่แรงกดดันจะลดน้อยลงจากปีนี้ เพราะการลงทุนในประเทศจะฟื้นตัวขึ้นหลังมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้มีความเชื่อมั่นกลับมา
แม้ว่าอาจมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในประเทศ แต่การนำเข้าเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลง นายยรรยงค์ กล่าว
นายยรรยงค์ กล่าวว่า นโยบายดูแลค่าเงินของ ธปท.คงจะใช้การแทรกแซง เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งค่าเกินไป แต่การแทรกแซงก็ทำให้เกิดต้นทุน และเมื่อมีสภาพคล่องมากเกินไปส่งผลให้เงินเฟ้อ สูงขึ้น ดังนั้น ธปท.จำเป็นต้องออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่อง ซึ่งทำให้ ธปท.เสียดอกเบี้ย
นอกจากนั้น การที่ภาครัฐเข้ามาดูแลค่าเงินบาทมากเกินไปจะทำให้ ผู้ประกอบการไม่ปรับตัว แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องปรับตัวก็จะเกิดผลกระทบรุนแรง ทางการจึงต้องอาศัยมาตรการอื่นเข้ามาช่วยเสริม เช่น มาตรการกันสำรอง 30% หรือมาตรการที่ออกมาก่อนหน้านี้ 6-7 มาตรการ ถือเป็นมาตรการเสริมของทางการด้วย
นายยรรยงค์ กล่าวว่า อยากให้ ผู้ประกอบการปรับตัวโดยใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น การป้องกันความเสี่ยงหรือซื้อขายล่วงหน้า หรือการเปิดบัญชีเงินฝากต่างประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
นักบริหารเงินจากธนาคารไทยธนาคารเปิดเผยว่า เงินบาทวันที่ 16 พ.ย. ปิดที่ระดับ 33.86/88 บาท ต่อเหรียญสหรัฐ ทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับเปิดตลาดช่วงเช้า
สำหรับเงินเยนปรับตัวอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 110.16/18 เยน ต่อเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เงินยูโร แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.4605/09 เหรียญสหรัฐต่อยูโร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204025
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/11/07
โพสต์ที่ 445
อเบอร์ดีนชี้หุ้นยุ่ง6เดือน
โพสต์ทูเดย์ ผู้จัดการกองทุนอังกฤษ ชี้ซับไพรม์ป่วนหุ้นโลกต่อเนื่องอีก 6-9 เดือน แถมเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจโลกหดตัว เตือนทำใจหุ้นปั่นปวน
ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงแดงเถือกถ้วนหน้าตามดัชนีดาวโจนส์ที่ร่วงหนักกว่า 120 จุด โดยดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 849.07 จุด ลดลง 6.45 จุด หรือ 0.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 13,959.39 ล้านบาท ซึ่ง ตลาดหุ้นไทยปรับตัวไม่มากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้
ด้านต่างชาติขายสุทธิ 1,701.86 ล้านบาท และสถาบันขาย 551.95 ล้านบาท ส่วนรายย่อยซื้อ 2,253.80 ล้านบาท
นายสตีเฟน ด็อคเคอร์ตี หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุนโลก บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศอังกฤษ) กล่าวว่า กลุ่มอเบอร์ดีนมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงผันผวนอย่างน้อยอีก 6 เดือน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวลงจากปัญหาซับไพรม์ที่ยังคงสร้างปัญหาต่อเนื่องอีก 6-9 เดือน
ทั้งนี้ เนื่องจากในเดือน มี.ค. 2551 สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นใหม่ ทำให้ผู้กู้มีภาระผ่อนเพิ่มขึ้น
ขณะที่ราคาบ้านในสหรัฐลดลงมามาก ส่งผลให้บ้านซึ่งเป็นหลัก ทรัพย์ค้ำประกันด้อยค่าลงด้วย ถึงแม้เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.5% เพื่อ แก้ปัญหาแต่การที่น้ำมันและปัญหาเงินเฟ้อจะสูงตาม ซึ่งจะทำให้การ ลดดอกเบี้ยจะทำได้ไม่มากแล้ว
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ จะชะลอตัวลงจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ ชะลอตัวตามด้วย และสุดท้ายจะทำให้แนวโน้มผลตอบแทนของตลาดหุ้นลดลงด้วย
สำหรับจีนยังเชื่อว่าน่าจะยังคงเติบโตได้ดีในระดับที่เกิน 10% ต่อปี ตลาดหุ้นเอเชียยังเติบโตดีและไม่คิดว่าเงินทุนจะไหลออก เพราะนักลงทุนสหรัฐและยุโรปยังคงแสวงหาผลตอบแทนนอกประเทศอยู่
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ หัวหน้าฝ่ายกองทุนตราสารทุน บลจ. อเบอร์ดีน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2551 น่าจะดีขึ้นเพราะรัฐบาลใหม่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชนทั่วไป
ส่วนกลุ่มที่น่าจะได้รับผลดีจากการเลือกตั้งได้แก่ อุปโภคบริโภค พาณิชย์ ยานยนต์ ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ยังเชื่อว่าก่อนการเลือกตั้งหุ้นจะดีขึ้น และจังหวะนี้แนะนำเลือกซื้อหุ้นพลังงานที่ปรับตัวลดลงมากและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ด้วย เพราะจะได้ดีจากเศรษฐกิจฟื้นตัว
ด้าน บล.ทรีนีตี้ เพิ่มราคา PTT จาก 416 บาท เป็น 436 บาท เพราะประเมินว่าไตรมาส 4 จะมีกำไรสุทธิ 2.4 หมื่นล้านบาท แต่หากดูกำไรจากธุรกิจจริงๆ จะอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เพราะกำไรไทยออยล์ (TOP) และอะโรเมติกส์ (ATC) เป็นตัวถ่วงหลังปิดซ่อมโรงงาน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204093
โพสต์ทูเดย์ ผู้จัดการกองทุนอังกฤษ ชี้ซับไพรม์ป่วนหุ้นโลกต่อเนื่องอีก 6-9 เดือน แถมเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจโลกหดตัว เตือนทำใจหุ้นปั่นปวน
ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงแดงเถือกถ้วนหน้าตามดัชนีดาวโจนส์ที่ร่วงหนักกว่า 120 จุด โดยดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 849.07 จุด ลดลง 6.45 จุด หรือ 0.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 13,959.39 ล้านบาท ซึ่ง ตลาดหุ้นไทยปรับตัวไม่มากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้
ด้านต่างชาติขายสุทธิ 1,701.86 ล้านบาท และสถาบันขาย 551.95 ล้านบาท ส่วนรายย่อยซื้อ 2,253.80 ล้านบาท
นายสตีเฟน ด็อคเคอร์ตี หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุนโลก บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศอังกฤษ) กล่าวว่า กลุ่มอเบอร์ดีนมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงผันผวนอย่างน้อยอีก 6 เดือน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวลงจากปัญหาซับไพรม์ที่ยังคงสร้างปัญหาต่อเนื่องอีก 6-9 เดือน
ทั้งนี้ เนื่องจากในเดือน มี.ค. 2551 สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นใหม่ ทำให้ผู้กู้มีภาระผ่อนเพิ่มขึ้น
ขณะที่ราคาบ้านในสหรัฐลดลงมามาก ส่งผลให้บ้านซึ่งเป็นหลัก ทรัพย์ค้ำประกันด้อยค่าลงด้วย ถึงแม้เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.5% เพื่อ แก้ปัญหาแต่การที่น้ำมันและปัญหาเงินเฟ้อจะสูงตาม ซึ่งจะทำให้การ ลดดอกเบี้ยจะทำได้ไม่มากแล้ว
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ จะชะลอตัวลงจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ ชะลอตัวตามด้วย และสุดท้ายจะทำให้แนวโน้มผลตอบแทนของตลาดหุ้นลดลงด้วย
สำหรับจีนยังเชื่อว่าน่าจะยังคงเติบโตได้ดีในระดับที่เกิน 10% ต่อปี ตลาดหุ้นเอเชียยังเติบโตดีและไม่คิดว่าเงินทุนจะไหลออก เพราะนักลงทุนสหรัฐและยุโรปยังคงแสวงหาผลตอบแทนนอกประเทศอยู่
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ หัวหน้าฝ่ายกองทุนตราสารทุน บลจ. อเบอร์ดีน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2551 น่าจะดีขึ้นเพราะรัฐบาลใหม่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชนทั่วไป
ส่วนกลุ่มที่น่าจะได้รับผลดีจากการเลือกตั้งได้แก่ อุปโภคบริโภค พาณิชย์ ยานยนต์ ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ยังเชื่อว่าก่อนการเลือกตั้งหุ้นจะดีขึ้น และจังหวะนี้แนะนำเลือกซื้อหุ้นพลังงานที่ปรับตัวลดลงมากและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ด้วย เพราะจะได้ดีจากเศรษฐกิจฟื้นตัว
ด้าน บล.ทรีนีตี้ เพิ่มราคา PTT จาก 416 บาท เป็น 436 บาท เพราะประเมินว่าไตรมาส 4 จะมีกำไรสุทธิ 2.4 หมื่นล้านบาท แต่หากดูกำไรจากธุรกิจจริงๆ จะอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เพราะกำไรไทยออยล์ (TOP) และอะโรเมติกส์ (ATC) เป็นตัวถ่วงหลังปิดซ่อมโรงงาน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204093
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/11/07
โพสต์ที่ 446
ชี้บาทอ่อน-หุ้นดิ่งต่อเนื่อง
โดย Post Digital 17 พฤศจิกายน 2550 17:21 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย ค่าเงินบาทสุดสัปดาห์อ่อนค่าเล็กน้อย จากแรงเทขายหุ้นต่อเนื่อง และแรงซื้อดอลลาร์ สัปดาห์นี้จับตาการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (12-16 พ.ย.) เงินบาทในประเทศ (Onshore) อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างแข็งค่า โดยเงินบาทแข็งค่าสูงสุดขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ที่ 33.82 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแรงขายเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เงินบาทต้องลดช่วงบวกลงในช่วงต่อมาตามแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ จากธนาคารต่างชาติ และการเทขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่การอ่อนค่าลงของสกุลเงินในภูมิภาคในช่วงปลายสัปดาห์ ตลอดจนความกังวลต่อการเข้าแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นปัจจัยกดดันเงินบาทด้วยเช่นกัน สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวที่ระดับประมาณ 33.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 33.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (9 พ.ย.)
ส่วนเงินบาทในประเทศสัปดาห์นี้ (19-23 พ.ย.) อาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.75-33.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยที่ควรจับตา ได้แก่ การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ แรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออก และสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ ประกอบด้วย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (ขั้นสุดท้าย) จัดทำโดยรอยเตอร์/ม.มิชิแกน และดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยจัดทำโดยสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ในเดือน พ.ย.50 ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือน ต.ค. และรายงานการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดเมื่อวันที่ 30-31 ต.ค. ทั้งนี้ ตลาดการเงินและหน่วยงานราชการของสหรัฐจะปิดทำการวันที่ 22 พ.ย.นี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
ส่วนดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 849.07 จุด ขยับลงร้อยละ 2.92 จากระดับปิดที่ 874.64 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.89 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลงร้อยละ 12.24 จาก 89,445.43 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 78,493.98 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดจาก 17,889.09 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 15,698.80 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 270.39 จุด ปรับตัวลงร้อยละ 6.54 จาก 289.32 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.79 จากสิ้นปีก่อน
โดยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 9,413.60 ล้านบาท และ 1,282.21 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 10,695.82 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติตลอดสัปดาห์ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น ดัชนีร่วงลงถึงร้อยละ 1.45 ไปปิดที่ 861.93 จุด โดยตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ สืบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ประกอบกับ มีแรงขายหุ้นพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งผลประกอบการต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยดัชนียังคงปิดตลาดลดลงต่อเนื่องในวันอังคาร ก่อนที่จะสามารถพุ่งขึ้นในแดนบวก นับจากเปิดตลาดในวันพุธ หลังจากตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ต่างพากันฟื้นตัวขึ้นได้ตามทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ แต่แรงขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จำกัดให้ดัชนีลดช่วงบวกลงในช่วงท้ายตลาด ส่วนในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการปรับตัวที่ย่ำแย่ของตลาดหุ้นต่างประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงไม่หมดไป ขณะที่ไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ มาช่วยกระตุ้นการซื้อขาย ส่งผลให้ยังคงมีแรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงาน วัสดุก่อสร้างและธนาคาร ถ่วงให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปปิดที่ 849.07 จุด อันเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (19-23 พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ดัชนีมีแนวโน้มที่จะปรับฐานต่อเนื่องอีก แต่มีความเป็นไปได้ที่น่าจะเป็นระดับต่ำสุดของรอบการปรับตัวนี้ โดยปัจจัยยภายในประเทศ นักลงทุนคงจะจับตามองรายงานตัวเลขดุลการค้าประจำเดือน ต.ค.จากกระทรวงพาณิชย์ในสัปดาห์หน้า ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขในภาคอสังหาริมทรัพย์หลายตัวในสัปดาห์หน้า รวมถึง การเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด ซึ่งจะส่งผลต่อการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และรายงานสตอกน้ำมันของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางของหุ้นในกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดดัชนีจะมีแนวรับที่ 810 และ 795 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 857-862 จุด ตามลำดับ
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=204174
โดย Post Digital 17 พฤศจิกายน 2550 17:21 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย ค่าเงินบาทสุดสัปดาห์อ่อนค่าเล็กน้อย จากแรงเทขายหุ้นต่อเนื่อง และแรงซื้อดอลลาร์ สัปดาห์นี้จับตาการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (12-16 พ.ย.) เงินบาทในประเทศ (Onshore) อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างแข็งค่า โดยเงินบาทแข็งค่าสูงสุดขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ที่ 33.82 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแรงขายเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เงินบาทต้องลดช่วงบวกลงในช่วงต่อมาตามแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ จากธนาคารต่างชาติ และการเทขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่การอ่อนค่าลงของสกุลเงินในภูมิภาคในช่วงปลายสัปดาห์ ตลอดจนความกังวลต่อการเข้าแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นปัจจัยกดดันเงินบาทด้วยเช่นกัน สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวที่ระดับประมาณ 33.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 33.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (9 พ.ย.)
ส่วนเงินบาทในประเทศสัปดาห์นี้ (19-23 พ.ย.) อาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.75-33.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยที่ควรจับตา ได้แก่ การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ แรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออก และสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ ประกอบด้วย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (ขั้นสุดท้าย) จัดทำโดยรอยเตอร์/ม.มิชิแกน และดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยจัดทำโดยสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ในเดือน พ.ย.50 ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือน ต.ค. และรายงานการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดเมื่อวันที่ 30-31 ต.ค. ทั้งนี้ ตลาดการเงินและหน่วยงานราชการของสหรัฐจะปิดทำการวันที่ 22 พ.ย.นี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
ส่วนดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 849.07 จุด ขยับลงร้อยละ 2.92 จากระดับปิดที่ 874.64 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.89 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลงร้อยละ 12.24 จาก 89,445.43 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 78,493.98 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดจาก 17,889.09 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 15,698.80 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 270.39 จุด ปรับตัวลงร้อยละ 6.54 จาก 289.32 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.79 จากสิ้นปีก่อน
โดยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 9,413.60 ล้านบาท และ 1,282.21 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 10,695.82 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติตลอดสัปดาห์ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น ดัชนีร่วงลงถึงร้อยละ 1.45 ไปปิดที่ 861.93 จุด โดยตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ สืบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ประกอบกับ มีแรงขายหุ้นพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งผลประกอบการต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยดัชนียังคงปิดตลาดลดลงต่อเนื่องในวันอังคาร ก่อนที่จะสามารถพุ่งขึ้นในแดนบวก นับจากเปิดตลาดในวันพุธ หลังจากตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ต่างพากันฟื้นตัวขึ้นได้ตามทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ แต่แรงขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จำกัดให้ดัชนีลดช่วงบวกลงในช่วงท้ายตลาด ส่วนในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการปรับตัวที่ย่ำแย่ของตลาดหุ้นต่างประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงไม่หมดไป ขณะที่ไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ มาช่วยกระตุ้นการซื้อขาย ส่งผลให้ยังคงมีแรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงาน วัสดุก่อสร้างและธนาคาร ถ่วงให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปปิดที่ 849.07 จุด อันเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (19-23 พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ดัชนีมีแนวโน้มที่จะปรับฐานต่อเนื่องอีก แต่มีความเป็นไปได้ที่น่าจะเป็นระดับต่ำสุดของรอบการปรับตัวนี้ โดยปัจจัยยภายในประเทศ นักลงทุนคงจะจับตามองรายงานตัวเลขดุลการค้าประจำเดือน ต.ค.จากกระทรวงพาณิชย์ในสัปดาห์หน้า ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขในภาคอสังหาริมทรัพย์หลายตัวในสัปดาห์หน้า รวมถึง การเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด ซึ่งจะส่งผลต่อการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และรายงานสตอกน้ำมันของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางของหุ้นในกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดดัชนีจะมีแนวรับที่ 810 และ 795 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 857-862 จุด ตามลำดับ
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=204174
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/11/07
โพสต์ที่ 447
ม.หอการค้าชี้น้ำมัน-การเมืองฉุดศก.
โดย Post Digital 17 พฤศจิกายน 2550 11:10 น.
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยอมรับปัญหาน้ำมันแพง-การเมืองป่วน! ฉุดเศรษฐกิจโต เชื่อสถานการณ์หลังเลือกตั้งจะดีขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยอมรับว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยขณะนี้ เริ่มที่จะมีฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังคงมีปัจจัยด้านต่างๆ เช่น ปัญหาราคาน้ำมันและสถานการณ์ด้านการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจสามารถควบคุมได้ เพราะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจและกระทบต่อรายจ่ายของประชาชน และทำให้อัตราค่าครองชีพของประชาชนไม่สมดุลกับรายได้ที่ได้รับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า หลังการเลือกตั้งทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ในระยะของก่อนการเลือกตั้งได้เริ่มมีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้น ทั้งการใช้จ่ายในการรณรงค์การเลือกตั้ง รวมถึงการรณรงค์หาเสียง และเชื่อว่าหลังจากที่รัฐบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้งแล้ว ภาคธุรกิจจะเริ่มมั่นใจในการผลิตสินค้าและกล้าลงทุนมากขึ้น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของไทยจะฟื้นตัวได้ดีในครึ่งปีหลัง เนื่องจากภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องติดตามท่าทีของนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ตั้งแต่สาธารณูโภคขั้นพื้นฐานไปจนถึงการกระตุ้นค่าใช้จ่ายในโครงใหญ่ เช่น การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งนี้เชื่อว่าหากการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะเป็นรัฐบาลผสมก็ตาม แต่จะสามารถทำให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้มากขึ้นถึงร้อยละ 4.5 แม้ว่าเมืองไทยจะมีรัฐบาลผสม ที่มาจากการเลือกตั้ง
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=204159
โดย Post Digital 17 พฤศจิกายน 2550 11:10 น.
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยอมรับปัญหาน้ำมันแพง-การเมืองป่วน! ฉุดเศรษฐกิจโต เชื่อสถานการณ์หลังเลือกตั้งจะดีขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยอมรับว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยขณะนี้ เริ่มที่จะมีฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังคงมีปัจจัยด้านต่างๆ เช่น ปัญหาราคาน้ำมันและสถานการณ์ด้านการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจสามารถควบคุมได้ เพราะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจและกระทบต่อรายจ่ายของประชาชน และทำให้อัตราค่าครองชีพของประชาชนไม่สมดุลกับรายได้ที่ได้รับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า หลังการเลือกตั้งทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ในระยะของก่อนการเลือกตั้งได้เริ่มมีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้น ทั้งการใช้จ่ายในการรณรงค์การเลือกตั้ง รวมถึงการรณรงค์หาเสียง และเชื่อว่าหลังจากที่รัฐบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้งแล้ว ภาคธุรกิจจะเริ่มมั่นใจในการผลิตสินค้าและกล้าลงทุนมากขึ้น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของไทยจะฟื้นตัวได้ดีในครึ่งปีหลัง เนื่องจากภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องติดตามท่าทีของนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ตั้งแต่สาธารณูโภคขั้นพื้นฐานไปจนถึงการกระตุ้นค่าใช้จ่ายในโครงใหญ่ เช่น การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งนี้เชื่อว่าหากการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะเป็นรัฐบาลผสมก็ตาม แต่จะสามารถทำให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้มากขึ้นถึงร้อยละ 4.5 แม้ว่าเมืองไทยจะมีรัฐบาลผสม ที่มาจากการเลือกตั้ง
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=204159
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/11/07
โพสต์ที่ 448
ส่งออกปีนี้ทะลุ 14% - ข่าว 18.00 น.
Posted on Monday, November 19, 2007
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก บอกว่า การส่งออกของไทยในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 14% คิดเป็นมูลค่าราว 146,000 - 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 12.5% แม้ว่าจะมีปัญหาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ก็ถือว่าทุกประเทศ รวมถึงคู่แข่งทางการค้า จะได้รับผลกระทบเช่นกันทั้งหมด เพราะต้องซื้อน้ำมันจากแหล่งเดียวกัน ทำให้มีต้นทุนการประกอบธุรกิจสูงขึ้นเช่นกัน
สำหรับส่งออกในปี 2551 ขณะนี้อยู่ในช่วงการหารือกับทางภาคเอกชน เพื่อคาดการณ์การส่งออก คาดว่าจะใช้เวลาอีก 2 - 3 สัปดาห์ในการศึกษาข้อมูล โดยจะนำปัจจัยลบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ชะลอตัวลงมาพิจารณาด้วย
นายราเชนทร์บอกว่า กรมการส่งเสริมการส่งออกได้พยายามผลักดันการให้ภาคเอกชนส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น และมีแผนผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้ได้มากที่สุด
อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกบอกอีกว่า ได้มีการจัดงานเมดอินไทยแลนด์ 2550 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 10 ธันวาคม 2550 ที่อาคาร 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยจะมีสินค้าต่าง ๆ มาจัดแสดงร่วมกันภายในงานถึง 1,500 คูหา และภายในงานยังได้เปิดโอกาสให้มีการเจรจาธุรกิจ ตลอดจนการจัดเจ้าหน้าที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่ต้องการส่งออกสินค้าต่าง ๆ ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้คนไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ได้รับรู้ว่าไทยมีสินค้าอะไรบ้าง และคาดว่าจะมีเงินสะพัดภายในงานสูงจากปีก่อนที่มีประมาณ 500 ล้านบาท และเชื่อว่า ในระยะ 2 เดือนนี้จากนี้ไป ประชาชนจะมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น เพราะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Monday, November 19, 2007
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก บอกว่า การส่งออกของไทยในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 14% คิดเป็นมูลค่าราว 146,000 - 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 12.5% แม้ว่าจะมีปัญหาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ก็ถือว่าทุกประเทศ รวมถึงคู่แข่งทางการค้า จะได้รับผลกระทบเช่นกันทั้งหมด เพราะต้องซื้อน้ำมันจากแหล่งเดียวกัน ทำให้มีต้นทุนการประกอบธุรกิจสูงขึ้นเช่นกัน
สำหรับส่งออกในปี 2551 ขณะนี้อยู่ในช่วงการหารือกับทางภาคเอกชน เพื่อคาดการณ์การส่งออก คาดว่าจะใช้เวลาอีก 2 - 3 สัปดาห์ในการศึกษาข้อมูล โดยจะนำปัจจัยลบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ชะลอตัวลงมาพิจารณาด้วย
นายราเชนทร์บอกว่า กรมการส่งเสริมการส่งออกได้พยายามผลักดันการให้ภาคเอกชนส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น และมีแผนผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้ได้มากที่สุด
อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกบอกอีกว่า ได้มีการจัดงานเมดอินไทยแลนด์ 2550 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 10 ธันวาคม 2550 ที่อาคาร 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยจะมีสินค้าต่าง ๆ มาจัดแสดงร่วมกันภายในงานถึง 1,500 คูหา และภายในงานยังได้เปิดโอกาสให้มีการเจรจาธุรกิจ ตลอดจนการจัดเจ้าหน้าที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่ต้องการส่งออกสินค้าต่าง ๆ ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้คนไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ได้รับรู้ว่าไทยมีสินค้าอะไรบ้าง และคาดว่าจะมีเงินสะพัดภายในงานสูงจากปีก่อนที่มีประมาณ 500 ล้านบาท และเชื่อว่า ในระยะ 2 เดือนนี้จากนี้ไป ประชาชนจะมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น เพราะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/11/07
โพสต์ที่ 449
นักลงทุนหันมาถือเงินสดลดความเสี่ยง กดดัชนี mai ปิดลบต่อเนื่อง คาดพรุ่งนี้แกว่งต่อ ขาดปัจจัยหนุน
Posted on Monday, November 19, 2007
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ประเดิมสัปดาห์ใหม่ ไม่สดใสต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน เพราะนักลงทุนตื่นตระหนกกับปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ (Subprime) ทำให้ชะลอการลงทุน และหันมาถือเงินสดลดความเสี่ยงมากขึ้น
โดยหลังจากเปิดตลาดแดนบวก บริเวณ 270 - 272 จุด ได้ 30 นาที ก็เริ่มเจอแรงขายกระจายตัวออกมา นำโดยหุ้น บมจ.ยูนิมิต เอ็นจีเนียริ่ง (UEC) และ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ก่อนจะค่อย ๆ ขยายวงไปในหุ้นตัวอื่น ๆ ยกเว้น บมจ.สยามทูยู (S2Y) บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น (TRC) และ บมจ.ดราก้อนวัน (D1) ที่มีแรงซื้อหนุนเข้ามาเป็นระยะ ๆ ดันราคาให้ยืนแดนบวกได้ตลอดวัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหุ้นที่ถูกขาย ทั้ง UMS และ UEC มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในตลาด mai จึงมีผลให้ดัชนี mai ยืนแดนลบเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะปิดตลาดทำจุดต่ำสุดของวัน ที่ 267.36 จุด อ่อนตัวลง 3.03 จุด หรือ 1.12% จากปริมาณการซื้อขาย 534 ล้านบาท ลดลงจากวันศุกร์ประมาณ 39 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มตลาด mai ในวันพรุ่งนี้ นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก คิดตรงกันว่า การที่ตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ น่าจะมีผลให้ทิศทางตลาดแกว่งตัวตามแรงซื้อและแรงขาย ที่เกิดขึ้นในหุ้นรายตัว ต่อไปเหมือนเดิม โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี ไว้ระหว่าง 260 - 270 จุด
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
ต่างชาติขายหุ้นไม่เลิก วันนี้อีก 2.3 พันล้านบาท เพิ่มยอดขายเดือนนี้ทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาท
Posted on Monday, November 19, 2007
รายย่อยรับเหมาซื้อหุ้นอีก 2,256 ล้านบาท ปล่อยให้ต่างชาติ ขายปรับพอร์ต อีก 2,391 ล้านบาท หนุนยอดขายสุทธิเดือนนี้ ทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะที่ยอดซื้อสะสมทั้งปี วูบเหลือ 8.3 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 9,512.52 ขาย 7,255.87 รวม ซื้อสุทธิ 2,256.65
สถาบันในประเทศ ซื้อ 2,587.21 ขาย 2,452.19 รวม ซื้อสุทธิ 135.03
ต่างประเทศ ซื้อ 3,962.36 ขาย 6,354.04 รวม ขายสุทธิ 2,391.68
ยอดสะสม ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 130,746.72 ขาย 109,306.78 รวม ซื้อสุทธิ 21,439.94
สถาบันในประเทศ ซื้อ 44,568.18 ขาย 40,619.30 รวม ซื้อสุทธิ 3,948.88
ต่างประเทศ ซื้อ 57,141.40 ขาย 82,530.22 รวม ขายสุทธิ 25,388.82
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 1,930,195.73 ขาย 1,998,832.23 รวม ขายสุทธิ 68,636.50
สถาบันในประเทศ ซื้อ 526,733.83 ขาย 541,659.97 รวม ขายสุทธิ 14,926.14
ต่างประเทศ ซื้อ 1,293,311.66 ขาย 1,209,749.02 รวม ซื้อสุทธิ 83,562.64
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, November 19, 2007
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ประเดิมสัปดาห์ใหม่ ไม่สดใสต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน เพราะนักลงทุนตื่นตระหนกกับปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ (Subprime) ทำให้ชะลอการลงทุน และหันมาถือเงินสดลดความเสี่ยงมากขึ้น
โดยหลังจากเปิดตลาดแดนบวก บริเวณ 270 - 272 จุด ได้ 30 นาที ก็เริ่มเจอแรงขายกระจายตัวออกมา นำโดยหุ้น บมจ.ยูนิมิต เอ็นจีเนียริ่ง (UEC) และ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ก่อนจะค่อย ๆ ขยายวงไปในหุ้นตัวอื่น ๆ ยกเว้น บมจ.สยามทูยู (S2Y) บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น (TRC) และ บมจ.ดราก้อนวัน (D1) ที่มีแรงซื้อหนุนเข้ามาเป็นระยะ ๆ ดันราคาให้ยืนแดนบวกได้ตลอดวัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหุ้นที่ถูกขาย ทั้ง UMS และ UEC มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในตลาด mai จึงมีผลให้ดัชนี mai ยืนแดนลบเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะปิดตลาดทำจุดต่ำสุดของวัน ที่ 267.36 จุด อ่อนตัวลง 3.03 จุด หรือ 1.12% จากปริมาณการซื้อขาย 534 ล้านบาท ลดลงจากวันศุกร์ประมาณ 39 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มตลาด mai ในวันพรุ่งนี้ นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก คิดตรงกันว่า การที่ตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ น่าจะมีผลให้ทิศทางตลาดแกว่งตัวตามแรงซื้อและแรงขาย ที่เกิดขึ้นในหุ้นรายตัว ต่อไปเหมือนเดิม โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี ไว้ระหว่าง 260 - 270 จุด
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
ต่างชาติขายหุ้นไม่เลิก วันนี้อีก 2.3 พันล้านบาท เพิ่มยอดขายเดือนนี้ทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาท
Posted on Monday, November 19, 2007
รายย่อยรับเหมาซื้อหุ้นอีก 2,256 ล้านบาท ปล่อยให้ต่างชาติ ขายปรับพอร์ต อีก 2,391 ล้านบาท หนุนยอดขายสุทธิเดือนนี้ ทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะที่ยอดซื้อสะสมทั้งปี วูบเหลือ 8.3 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2550
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 9,512.52 ขาย 7,255.87 รวม ซื้อสุทธิ 2,256.65
สถาบันในประเทศ ซื้อ 2,587.21 ขาย 2,452.19 รวม ซื้อสุทธิ 135.03
ต่างประเทศ ซื้อ 3,962.36 ขาย 6,354.04 รวม ขายสุทธิ 2,391.68
ยอดสะสม ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 130,746.72 ขาย 109,306.78 รวม ซื้อสุทธิ 21,439.94
สถาบันในประเทศ ซื้อ 44,568.18 ขาย 40,619.30 รวม ซื้อสุทธิ 3,948.88
ต่างประเทศ ซื้อ 57,141.40 ขาย 82,530.22 รวม ขายสุทธิ 25,388.82
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 1,930,195.73 ขาย 1,998,832.23 รวม ขายสุทธิ 68,636.50
สถาบันในประเทศ ซื้อ 526,733.83 ขาย 541,659.97 รวม ขายสุทธิ 14,926.14
ต่างประเทศ ซื้อ 1,293,311.66 ขาย 1,209,749.02 รวม ซื้อสุทธิ 83,562.64
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/11/07
โพสต์ที่ 450
กูรูเศรษฐศาสตร์ไทย ศุภวุฒิ สายเชื้อ เตือนทุกฝ่ายทำใจ ดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่อง 1 - 2 ปีข้างหน้า
Posted on Monday, November 19, 2007
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ และประธานสายงานวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ภัทร (PHATRA) ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับสถานการณ์เงินดอลลาร์ในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ผ่านงานเขียนคอลัมน์ เศรษฐศาสตร์จานร้อน ระบุว่า เงินดอลลาร์จะยังน่าเป็นห่วงไปอีกนาน หมายความว่า คงจะอ่อนตัวลงมากกว่าแข็งค่าขึ้นในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า เพราะในขณะนี้ดูเสมือนว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะให้ความสำคัญกับปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังแพร่ขยายออกไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคการเงินและตลาดทุน ดังนั้นนักลงทุนสหรัฐรวมทั้งนักการเมืองสหรัฐจึงจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งเห็นตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนตัวลงก็จะยิ่งกดดันให้เพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่สภาวะถดถอยในปีหน้า
ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐนั้น จะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเพราะขณะนี้มีบ้านที่รอขาย แต่ขายยังไม่ได้ถึงกว่า 5 ล้านหลังและมีการคาดการณ์ว่ามีบ้านที่คงจะต้องถูกยึดโดยสถาบันการเงินสหรัฐ เพื่อนำออกไปขายทอดตลาดประมาณ 2 ล้านหลัง ทั้งนี้กระบวนการยึดบ้านกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้ถึงจุดสูงสุด และธนาคารกลางสหรัฐพยายามส่งเสริมให้ธนาคารเจรจาคืนหนี้ให้กับลูกหนี้ แทนการเข้ายึดทรัพย์สินแต่ไม่ได้มีมาตรการอื่นใด
ในส่วนของนักการเมืองสหรัฐนั้นก็คงจะต้องนำเสนอมาตรการเพื่อช่วยลูกหนี้ในปีหน้า ซึ่งเป็นปีแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่มาตรการที่จะทำให้สามารถหาเสียงทางการเมืองได้นั้นมักจะเป็นมาตรการที่ให้โทษมากกว่าให้คุณ และน่าจะทำให้การปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ นั้นเกิดขึ้นได้ยากและยืดเยื้อยาวนานขึ้น นอกจากนั้นน่าจะเป็นมาตรการที่มุ่งจะลงโทษเจ้าหนี้เพราะจะเป็นฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่หลอกลวงลูกหนี้ให้กู้เงินเกินตัว
หากเป็นเช่นนั้นผลที่จะตามมาคือ สถานะของสถาบันการเงินสหรัฐจะยิ่งสั่นคลอนมากขึ้น และที่สำคัญความกลัวความเสี่ยงจะทำให้การปล่อยกู้ต้องชะงักงันลงไปอีกนานเป็นปี ที่น่าเป็นห่วงคือ การออกอนุพันธ์ต่างๆ เช่น CDOs ที่อาศัยอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวจนกระทบภาคการเงินโดยรวมอย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยเฉพาะการปล่อยกู้ระยะสั้น และความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ
ดังนั้น นักลงทุนจึงเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าแถลงการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐจะเน้นความสมดุลในการประเมินความเสี่ยงของเงินเฟ้อและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แต่ดูเหมือนว่าตลาดจะเชื่อว่า นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ จะกลัวความชะงักงันของภาคการเงินมากกว่ากลัวปัญหาเงินเฟ้อ
นายเบอร์นันเก้ เป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่งของสหรัฐที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเกี่ยวกับปัญหาการตึงตัวของสภาวะทางการเงิน เมื่อสหรัฐเผชิญกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 70 ปีก่อนหน้า และเขาเคยพูดว่าหากมีความเสี่ยงว่าสหรัฐเผชิญกับปัญหาเงินฝืด เขาก็พร้อมที่จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบการเงินในทุกๆ ทางรวมทั้งการโปรยเงินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ด้วย (จึงถูกล้อเลียนว่าเขามีชื่อเล่นว่า helicopter Ben)
หากสหรัฐกลัวปัญหาภายในประเทศของตนเป็นหลักดังกล่าวข้างต้น ก็จะต้องสรุปได้ว่าเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์น่าจะไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือมีความสำคัญมากนัก หมายความว่าสหรัฐจะให้ความสำคัญกับการกอบกู้เศรษฐกิจของตัวเอง และหากจะต้องลดดอกเบี้ยลงไปมากๆ คงพร้อมที่จะทำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ ก็คงจะไม่กล่าวถึงมากนัก ดังเช่น ปัจจุบันที่ดูเสมือนว่ารัฐบาลสหรัฐมิได้แสดงท่าทีอะไรที่จะบ่งบอกว่าการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์เป็นปัญหากังวลใจแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามการปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยการส่งออก และลดการนำเข้าของสหรัฐแล้วยังเป็นการลดหนี้สินของสหรัฐอย่างง่ายๆ อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ขณะนี้สหรัฐน่าจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในต่างประเทศ ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันสหรัฐน่าจะเป็นหนี้ประเทศต่างๆ ในโลกประมาณ 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แปลว่าสหรัฐเป็นหนี้สุทธิประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 30% ของจีดีพีสหรัฐ
ขณะที่กูรูด้านเศรษศาสตร์อีกคน นายพอล ครูกแมน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า สินทรัพย์ของสหรัฐในต่างประเทศนั้น 70% เป็นสินทรัพย์ที่ตีมูลค่าโดยเงินสกุลต่างประเทศ และ 30% เป็นสกุลดอลลาร์ แต่หนี้สินของสหรัฐนั้นเป็นดอลลาร์ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อสหรัฐปล่อยให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไป 10% ผลคือ สินทรัพย์ของสหรัฐเพิ่มค่าจาก 7.0 ล้านล้านดอลลาร์เป็น 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าหนี้สินไม่เพิ่มขึ้น แปลว่าสหรัฐสามารถลดหนี้สุทธิได้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี หากปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนตัวไป 10% ต่อปี
กล่าวโดยสรุปคือ ธนาคารกลางสหรัฐน่าจะมีความพร้อมที่จะพิมพ์ดอลลาร์ออกมาอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อช่วยลดดอกเบี้ย และเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินของสหรัฐ ทั้งนี้เพื่อช่วยภาคการเงินและหลีกเลี่ยงความตกต่ำของเศรษฐกิจในปีเลือกตั้ง ในขณะเดียวกันหากดอลลาร์อ่อนตัวลงก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะจะช่วยผู้ส่งออกและลดการนำเข้า นอกจากนั้นจะยังช่วยลดหนี้ต่างประเทศของสหรัฐเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการ "เบี้ยวนิ่ม" ที่ประเทศเจ้าหนี้พูดไม่ออกอีกด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ ธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วจึงไม่นิยมซื้อเงินดอลลาร์ สำหรับไทยนั้นก็รีบบอกว่าลดสัดส่วนการถือดอลลาร์นั้นจะลงเหลือประมาณ 45% ต่ำกว่าเฉลี่ยของโลกที่ถือดอลลาร์ 60% แต่ผมสงสัยอย่างมากว่าหากทุกประเทศคิดเหมือนกัน และต่างคนต่างพยายามลดการถือดอลลาร์ของตนให้ต่ำกว่าเฉลี่ยแล้วอะไรจะเกิดขึ้น สรุปคือ การถือหรือซื้อเงินดอลลาร์น่าจะเป็นธุรกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งครับ
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, November 19, 2007
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ และประธานสายงานวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ภัทร (PHATRA) ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับสถานการณ์เงินดอลลาร์ในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ผ่านงานเขียนคอลัมน์ เศรษฐศาสตร์จานร้อน ระบุว่า เงินดอลลาร์จะยังน่าเป็นห่วงไปอีกนาน หมายความว่า คงจะอ่อนตัวลงมากกว่าแข็งค่าขึ้นในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า เพราะในขณะนี้ดูเสมือนว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะให้ความสำคัญกับปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังแพร่ขยายออกไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคการเงินและตลาดทุน ดังนั้นนักลงทุนสหรัฐรวมทั้งนักการเมืองสหรัฐจึงจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งเห็นตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนตัวลงก็จะยิ่งกดดันให้เพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่สภาวะถดถอยในปีหน้า
ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐนั้น จะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเพราะขณะนี้มีบ้านที่รอขาย แต่ขายยังไม่ได้ถึงกว่า 5 ล้านหลังและมีการคาดการณ์ว่ามีบ้านที่คงจะต้องถูกยึดโดยสถาบันการเงินสหรัฐ เพื่อนำออกไปขายทอดตลาดประมาณ 2 ล้านหลัง ทั้งนี้กระบวนการยึดบ้านกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้ถึงจุดสูงสุด และธนาคารกลางสหรัฐพยายามส่งเสริมให้ธนาคารเจรจาคืนหนี้ให้กับลูกหนี้ แทนการเข้ายึดทรัพย์สินแต่ไม่ได้มีมาตรการอื่นใด
ในส่วนของนักการเมืองสหรัฐนั้นก็คงจะต้องนำเสนอมาตรการเพื่อช่วยลูกหนี้ในปีหน้า ซึ่งเป็นปีแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่มาตรการที่จะทำให้สามารถหาเสียงทางการเมืองได้นั้นมักจะเป็นมาตรการที่ให้โทษมากกว่าให้คุณ และน่าจะทำให้การปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ นั้นเกิดขึ้นได้ยากและยืดเยื้อยาวนานขึ้น นอกจากนั้นน่าจะเป็นมาตรการที่มุ่งจะลงโทษเจ้าหนี้เพราะจะเป็นฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่หลอกลวงลูกหนี้ให้กู้เงินเกินตัว
หากเป็นเช่นนั้นผลที่จะตามมาคือ สถานะของสถาบันการเงินสหรัฐจะยิ่งสั่นคลอนมากขึ้น และที่สำคัญความกลัวความเสี่ยงจะทำให้การปล่อยกู้ต้องชะงักงันลงไปอีกนานเป็นปี ที่น่าเป็นห่วงคือ การออกอนุพันธ์ต่างๆ เช่น CDOs ที่อาศัยอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวจนกระทบภาคการเงินโดยรวมอย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยเฉพาะการปล่อยกู้ระยะสั้น และความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ
ดังนั้น นักลงทุนจึงเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าแถลงการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐจะเน้นความสมดุลในการประเมินความเสี่ยงของเงินเฟ้อและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แต่ดูเหมือนว่าตลาดจะเชื่อว่า นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ จะกลัวความชะงักงันของภาคการเงินมากกว่ากลัวปัญหาเงินเฟ้อ
นายเบอร์นันเก้ เป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่งของสหรัฐที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเกี่ยวกับปัญหาการตึงตัวของสภาวะทางการเงิน เมื่อสหรัฐเผชิญกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 70 ปีก่อนหน้า และเขาเคยพูดว่าหากมีความเสี่ยงว่าสหรัฐเผชิญกับปัญหาเงินฝืด เขาก็พร้อมที่จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบการเงินในทุกๆ ทางรวมทั้งการโปรยเงินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ด้วย (จึงถูกล้อเลียนว่าเขามีชื่อเล่นว่า helicopter Ben)
หากสหรัฐกลัวปัญหาภายในประเทศของตนเป็นหลักดังกล่าวข้างต้น ก็จะต้องสรุปได้ว่าเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์น่าจะไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือมีความสำคัญมากนัก หมายความว่าสหรัฐจะให้ความสำคัญกับการกอบกู้เศรษฐกิจของตัวเอง และหากจะต้องลดดอกเบี้ยลงไปมากๆ คงพร้อมที่จะทำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ ก็คงจะไม่กล่าวถึงมากนัก ดังเช่น ปัจจุบันที่ดูเสมือนว่ารัฐบาลสหรัฐมิได้แสดงท่าทีอะไรที่จะบ่งบอกว่าการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์เป็นปัญหากังวลใจแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามการปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยการส่งออก และลดการนำเข้าของสหรัฐแล้วยังเป็นการลดหนี้สินของสหรัฐอย่างง่ายๆ อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ขณะนี้สหรัฐน่าจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในต่างประเทศ ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันสหรัฐน่าจะเป็นหนี้ประเทศต่างๆ ในโลกประมาณ 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แปลว่าสหรัฐเป็นหนี้สุทธิประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 30% ของจีดีพีสหรัฐ
ขณะที่กูรูด้านเศรษศาสตร์อีกคน นายพอล ครูกแมน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า สินทรัพย์ของสหรัฐในต่างประเทศนั้น 70% เป็นสินทรัพย์ที่ตีมูลค่าโดยเงินสกุลต่างประเทศ และ 30% เป็นสกุลดอลลาร์ แต่หนี้สินของสหรัฐนั้นเป็นดอลลาร์ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อสหรัฐปล่อยให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไป 10% ผลคือ สินทรัพย์ของสหรัฐเพิ่มค่าจาก 7.0 ล้านล้านดอลลาร์เป็น 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าหนี้สินไม่เพิ่มขึ้น แปลว่าสหรัฐสามารถลดหนี้สุทธิได้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี หากปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนตัวไป 10% ต่อปี
กล่าวโดยสรุปคือ ธนาคารกลางสหรัฐน่าจะมีความพร้อมที่จะพิมพ์ดอลลาร์ออกมาอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อช่วยลดดอกเบี้ย และเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินของสหรัฐ ทั้งนี้เพื่อช่วยภาคการเงินและหลีกเลี่ยงความตกต่ำของเศรษฐกิจในปีเลือกตั้ง ในขณะเดียวกันหากดอลลาร์อ่อนตัวลงก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะจะช่วยผู้ส่งออกและลดการนำเข้า นอกจากนั้นจะยังช่วยลดหนี้ต่างประเทศของสหรัฐเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการ "เบี้ยวนิ่ม" ที่ประเทศเจ้าหนี้พูดไม่ออกอีกด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ ธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วจึงไม่นิยมซื้อเงินดอลลาร์ สำหรับไทยนั้นก็รีบบอกว่าลดสัดส่วนการถือดอลลาร์นั้นจะลงเหลือประมาณ 45% ต่ำกว่าเฉลี่ยของโลกที่ถือดอลลาร์ 60% แต่ผมสงสัยอย่างมากว่าหากทุกประเทศคิดเหมือนกัน และต่างคนต่างพยายามลดการถือดอลลาร์ของตนให้ต่ำกว่าเฉลี่ยแล้วอะไรจะเกิดขึ้น สรุปคือ การถือหรือซื้อเงินดอลลาร์น่าจะเป็นธุรกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งครับ
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx