อุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/10/07
โพสต์ที่ 61
รร.เจอวิกฤต คนขาด30%
โพสต์ทูเดย์ พาต้า เผยประเทศไทยขาดแคลนแรงงานด้านโรงแรมกว่า 30% ชี้ 2-3 ปีข้างหน้าเข้า ขั้นวิกฤต ปั้นคนไม่ทันโรงแรม
ม.ล.หทัยชนก กฤดากร เลขาธิการกิตติมศักดิ์ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประจำประเทศไทย (พาต้า) กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งระดับผู้บริหารสูง ราว 30% เมื่อเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโรงแรมใหม่ที่จะมีขึ้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่สามารถผลิตบุคลากรได้ทันต่อการเติบโตของภาคการลงทุนในธุรกิจนี้ได้ทัน เนื่องจากในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า จะมีนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศแห่ลงทุนภาคธุรกิจโรมแรมเพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มการลงทุนแต่ละโครงการมีขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ พร้อมสร้างชื่อเสียงให้กับเจ้าของ
นอกจากนี้ มีการประเมินว่าในช่วงเวลา 2-3 ปีนี้ พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีการเปิดตัวโรงแรมเชนอินเตอร์ไม่น้อยกว่า 10 แห่ง โดยมีจำนวนห้องเฉลี่ยที่ 350 ห้อง/แห่ง
การเพิ่มขึ้นของโรงแรมดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถผลิตบุคลากรได้ทันต่อความต้องการของตลาด อีกทั้งผู้ที่จบหลักสูตรของประเทศไทย ไม่มีความเชี่ยวชาญ พอที่จะลงมือปฏิบัติงานได้ทันที เนื่องจากหลักสูตรการเรียนการสอน ของไทยเน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ ทำให้ไม่สามารถแข่งกับบุคลากรต่างชาติได้
ภาคการโรงแรมกำลังเดือด ร้อนอย่างหนัก เพราะขาดแคลน แรงงานในทุกตำแหน่ง ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะยังไม่มีคนไทยสามารถไต่เต้าไปนั่งบริหารงานระดับผู้จัดการทั่วไปของแบรนด์ระดับอินเตอร์ได้ ม.ล.หทัยชนก กล่าว
นอกจากนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้บุคลากรภาคการโรงแรมสมองไหล เนื่องจากไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญให้คำ แนะนำในการวางแผนขั้นตอนการเติบโต เช่น การตั้งตำแหน่งงานไม่เหมาะสมกับฝีมือการทำงาน เช่น การตั้งอัตราเงินเดือนสูง แต่ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย ทำให้เกิดการย้ายงานบ่อย จนเป็นปัญหาการออกจากธุรกิจนี้
ม.ล.หทัยชนก กล่าวอีกว่า พาต้าเตรียมเสนอแนวคิดเรื่องการก่อตั้งหน่วยงานพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ในภาคธุรกิจการโรงแรม กับ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อใช้เป็นแนวทางด้านการพัฒนาบุคลากรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับรูปแบบการก่อตั้งหน่วยงาน อาจเป็นมูลนิธิที่บริหารงานโดยเจ้าของโรงแรม หรือผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้คอยให้ คำปรึกษา พร้อมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจนี้อย่างจริงจัง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198408
โพสต์ทูเดย์ พาต้า เผยประเทศไทยขาดแคลนแรงงานด้านโรงแรมกว่า 30% ชี้ 2-3 ปีข้างหน้าเข้า ขั้นวิกฤต ปั้นคนไม่ทันโรงแรม
ม.ล.หทัยชนก กฤดากร เลขาธิการกิตติมศักดิ์ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประจำประเทศไทย (พาต้า) กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งระดับผู้บริหารสูง ราว 30% เมื่อเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโรงแรมใหม่ที่จะมีขึ้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่สามารถผลิตบุคลากรได้ทันต่อการเติบโตของภาคการลงทุนในธุรกิจนี้ได้ทัน เนื่องจากในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า จะมีนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศแห่ลงทุนภาคธุรกิจโรมแรมเพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มการลงทุนแต่ละโครงการมีขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ พร้อมสร้างชื่อเสียงให้กับเจ้าของ
นอกจากนี้ มีการประเมินว่าในช่วงเวลา 2-3 ปีนี้ พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีการเปิดตัวโรงแรมเชนอินเตอร์ไม่น้อยกว่า 10 แห่ง โดยมีจำนวนห้องเฉลี่ยที่ 350 ห้อง/แห่ง
การเพิ่มขึ้นของโรงแรมดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถผลิตบุคลากรได้ทันต่อความต้องการของตลาด อีกทั้งผู้ที่จบหลักสูตรของประเทศไทย ไม่มีความเชี่ยวชาญ พอที่จะลงมือปฏิบัติงานได้ทันที เนื่องจากหลักสูตรการเรียนการสอน ของไทยเน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ ทำให้ไม่สามารถแข่งกับบุคลากรต่างชาติได้
ภาคการโรงแรมกำลังเดือด ร้อนอย่างหนัก เพราะขาดแคลน แรงงานในทุกตำแหน่ง ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะยังไม่มีคนไทยสามารถไต่เต้าไปนั่งบริหารงานระดับผู้จัดการทั่วไปของแบรนด์ระดับอินเตอร์ได้ ม.ล.หทัยชนก กล่าว
นอกจากนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้บุคลากรภาคการโรงแรมสมองไหล เนื่องจากไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญให้คำ แนะนำในการวางแผนขั้นตอนการเติบโต เช่น การตั้งตำแหน่งงานไม่เหมาะสมกับฝีมือการทำงาน เช่น การตั้งอัตราเงินเดือนสูง แต่ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย ทำให้เกิดการย้ายงานบ่อย จนเป็นปัญหาการออกจากธุรกิจนี้
ม.ล.หทัยชนก กล่าวอีกว่า พาต้าเตรียมเสนอแนวคิดเรื่องการก่อตั้งหน่วยงานพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ในภาคธุรกิจการโรงแรม กับ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อใช้เป็นแนวทางด้านการพัฒนาบุคลากรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับรูปแบบการก่อตั้งหน่วยงาน อาจเป็นมูลนิธิที่บริหารงานโดยเจ้าของโรงแรม หรือผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้คอยให้ คำปรึกษา พร้อมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจนี้อย่างจริงจัง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198408
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/10/07
โพสต์ที่ 62
ไทยกวาดเมืองน่าเที่ยวโลก
โดย เดลินิวส์ วัน อังคาร ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 11:49 น.
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับรางวัลจากนิตยสาร และสถาบันท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก ให้เป็นสุดยอดเมืองท่องเที่ยวของโลก และเอเชียประจำปีนี้ โดยผู้อ่านนิตยสาร คอนเด นาสต์ ทราเวเลอร์ จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำด้านการท่องเที่ยวที่มีผู้อ่านและสมาชิกทั่วโลก โหวตให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวที่สุดของเอเชีย โดยมีจังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับมาเป็นที่สาม รองจากฮ่องกงที่ได้อันดับสอง ส่วนการจัดอันดับโรงแรมพบว่า มีโรงแรม 9 แห่งของไทยที่ติด 1 ใน 75 อันดับยอดเยี่ยมของเอเชีย
ส่วนนิตยสาร สแตนด์ บาย ประเทศเดนมาร์ก ได้เผยผลโหวตจากนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว 2,000 คน ให้ไทยได้รับรางวัลประเทศน่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก โดยมีอังกฤษคว้าอันดับสอง นอกจากนี้ ททท. ยังได้รับรางวัล จากการคัดเลือกจากสมาคมนักเขียนบทความท่องเที่ยวของออสเตรเลีย เป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวดีเด่น จากทั้งหมด 31 ประเทศ
นางพรศิริ กล่าวต่อว่า ด้านนิตยสารท่องเที่ยว ทราเวล + เลเชอร์ จัดอันดับให้กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 1 ของเอเชีย ซึ่งได้รับรางวัลนี้เป็นปีที่สองติดต่อกัน รวมทั้งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 3 ของโลก รองจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่ได้อันดับหนึ่ง และบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
นอกจากนี้ ไทยได้รับโหวตรางวัลใหญ่อีก 3 รางวัล คือด้านโรงแรม ซึ่งเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ ถูกเลือกเป็นโรงแรมยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของโลก และโฟร์ซีซั่น รีสอร์ท เชียงใหม่ ได้รับรางวัลสปาท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเอเชีย ขณะที่ภูเก็ตได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 8 ของสุดยอด 1 ใน 10 เกาะที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝัน โดยมีเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนด้านการขนส่ง สายการบินไทย ได้รับโหวตให้เป็นสายการบินยอดนิยมอันดับ 5
ส่วนนิตยสาร ลิเบอร์ ในบรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย แลอินโดนีเซีย ได้เลือกกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติที่ดีที่สุดประจำปี 50.
http://news.sanook.com/economic/economic_197686.php
โดย เดลินิวส์ วัน อังคาร ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 11:49 น.
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับรางวัลจากนิตยสาร และสถาบันท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก ให้เป็นสุดยอดเมืองท่องเที่ยวของโลก และเอเชียประจำปีนี้ โดยผู้อ่านนิตยสาร คอนเด นาสต์ ทราเวเลอร์ จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำด้านการท่องเที่ยวที่มีผู้อ่านและสมาชิกทั่วโลก โหวตให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวที่สุดของเอเชีย โดยมีจังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับมาเป็นที่สาม รองจากฮ่องกงที่ได้อันดับสอง ส่วนการจัดอันดับโรงแรมพบว่า มีโรงแรม 9 แห่งของไทยที่ติด 1 ใน 75 อันดับยอดเยี่ยมของเอเชีย
ส่วนนิตยสาร สแตนด์ บาย ประเทศเดนมาร์ก ได้เผยผลโหวตจากนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว 2,000 คน ให้ไทยได้รับรางวัลประเทศน่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก โดยมีอังกฤษคว้าอันดับสอง นอกจากนี้ ททท. ยังได้รับรางวัล จากการคัดเลือกจากสมาคมนักเขียนบทความท่องเที่ยวของออสเตรเลีย เป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวดีเด่น จากทั้งหมด 31 ประเทศ
นางพรศิริ กล่าวต่อว่า ด้านนิตยสารท่องเที่ยว ทราเวล + เลเชอร์ จัดอันดับให้กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 1 ของเอเชีย ซึ่งได้รับรางวัลนี้เป็นปีที่สองติดต่อกัน รวมทั้งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 3 ของโลก รองจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่ได้อันดับหนึ่ง และบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
นอกจากนี้ ไทยได้รับโหวตรางวัลใหญ่อีก 3 รางวัล คือด้านโรงแรม ซึ่งเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ ถูกเลือกเป็นโรงแรมยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของโลก และโฟร์ซีซั่น รีสอร์ท เชียงใหม่ ได้รับรางวัลสปาท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเอเชีย ขณะที่ภูเก็ตได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 8 ของสุดยอด 1 ใน 10 เกาะที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝัน โดยมีเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนด้านการขนส่ง สายการบินไทย ได้รับโหวตให้เป็นสายการบินยอดนิยมอันดับ 5
ส่วนนิตยสาร ลิเบอร์ ในบรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย แลอินโดนีเซีย ได้เลือกกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติที่ดีที่สุดประจำปี 50.
http://news.sanook.com/economic/economic_197686.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/10/07
โพสต์ที่ 63
ปั้น บางแสน ทำศูนย์แข่งรถสากล [ ฉบับที่ 839 ประจำวันที่ 24-10-2007 ถึง 26-10-2007]
> สมานฉันท์รัฐ-เอกชนลงขันปั้นเทียบชั้นสนามแข่งโมนาโค
เปิดมิติใหม่ท่องเที่ยวตะวันออก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจับมือการกีฬาแห่งประเทศไทย ททท.จังหวัดชลบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และเทศบาลเมืองแสนสุข ตลอดจนภาคเอกชนเทงบ 50 ล้าน จัดงานนักแข่ง บาง แสน สปีด เฟสติวัล 2007 ระหว่างวันที่ 10-11 พฤศจิกายนศกนี้ หวังดูดเงิน 1,500 ล้าน จากกระเป๋านักท่องเที่ยวทั้งไทย-เทศ 1.5 แสนคน
ไม่แปลกที่ได้มีการจัดตั้งกระทรวงกีฬาและการท่องเที่ยวขึ้น เพราะทั้งสองกิจกรรมสามารถหนุนส่งกันและกันได้อย่างลงตัว เช่นเดียวกับการจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบขึ้นที่ชายหาดบางแสนในช่วงกลางเดือนพ.ย.นี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นกีฬาความเร็วที่ได้รับความนิยมอย่างสูงอยู่ในขณะนี้เท่านั้น แต่ผู้จัดงานและผู้เกี่ยวข้องมีเป้าหมายที่จะยกระดับกีฬาประเภทนี้สู่สากล และจะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาเที่ยวชม และจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น
> เปิดมิติใหม่ ปิดเมืองแข่งแรลลี่
นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะแม่งาน เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า การจัดงาน บางแสน สปีด เฟสติวัล 2007 ระหว่างวันที่ 10-11 พ.ย.ศกนี้ เป็นการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติด้านการกีฬาและท่องเที่ยวเป็นสำคัญ เพราะพื้นที่จัดงานเทศบาลเมืองแสนสุข ถือว่ามีศักยภาพความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสนามที่ใช้เพื่อการแข่งขัน สถานที่ท่องเที่ยวโดยรอบ ตลอดจนโรงแรม ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
เช่นเดียวกับในหลายประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย อาทิ โมนาโค โปรตุเกส อังกฤษ มาเก๊า มาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่ใช้กิจกรรมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ให้เป็นหนึ่งในจุดขายด้านการกีฬาและการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะสิงคโปร์ ที่ปีหน้าจะจัดการแข่งขัน F1 แบบปิดเมืองแข่ง แต่จะเป็นช่วงกลางคืน ขณะที่มาเลเซียก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสนามการแข่งขันเก็บคะแนนสะสมระดับโลกไปแล้ว เหล่านี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์ด้านนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ บางแสน สปีด เฟสติวัล จะเป็นการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ แบบปิดเมืองแข่งครั้งแรก ของไทย ลักษณะเดียวกับในหลายประเทศ บริเวณ ชายหาดบางแสน เขาสามมุข และแหลมแท่น ระยะ ทางรวม 3.7 กิโลเมตร โดยเส้นทางการแข่งขัน จะมีทั้งทางเรียบชายหาด ขึ้นเขา ทางโค้ง ซึ่งจัดเป็นสนามแข่งขันที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย
> ทุ่ม 50 ล.ดูดทัวริสต์ไทย/เทศ 1.5 แสนคน
โดยงานนี้ ใช้งบประมาณในการจัดประมาณ 50 ล้านบาท มีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดชลบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และเทศบาลเมืองแสนสุข ตลอดจนภาคเอกชน บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด บมจ.ทรู คอร์เปอเรชั่น และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ให้การสนับสนุน
ที่มาเก๊า กรังซ์ปรีด์ มีผู้ชมประมาณ 4 แสน คน และมีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาทระหว่าง การแข่งขัน ส่วนที่บางแสน สปีดฯ ททท.ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวไทยและเทศมาเที่ยวชมประมาณ 1-1.5 แสนคน เฉพาะรถที่เข้าแข่ง 150 คัน รวมทีมงานทั้งหมดก็น่าจะเกิน 1 พันคน และคาดว่าจะมีเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 250-270 ล้านบาท เฉลี่ยค่าใช้จ่าย 1.8 พันบาท/คน
นายสนธยา กล่าวว่า การแข่งขันข้างต้นที่จัดขึ้นเป็นปีแรก ทั้งยังจะนับรวมเป็นการเก็บคะแนนสะสม สนามสุดท้ายของรายการ โตโยต้า ซูเปอร์คาร์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นนักแข่งรถในประเทศ เป็นหลัก แต่สำหรับในปีหน้าจะยกระดับให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันระดับนานาชาติ หรือซูเปอร์ คาร์เอเชีย เพราะทีมงานได้ประสานความร่วมมือไปยัง FIA สถาบันการแข่งขันรถยนต์ระดับโลก เพื่อให้การรับรองมาตรฐานสนามและความพร้อมในเรื่องการจัดการแข่งขัน
เนื่องเพราะการปรับเปลี่ยนถนนหนทางบริเวณรอบชายหาดบางแสนให้เป็นสนามแข่งขันในปีนี้ ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นจุดให้บริการทีมงานรถแข่ง หรือจุดพิชแพทดอกซ์ ที่โดยปกติทุกสนามแข่งมาตรฐานจำเป็นจะต้องมีจุดนี้ติดตั้งไว้อย่างถาวร รวมอัฒจรรย์ผู้ชม ตลอดเส้นทางการแข่งขัน ที่ได้ติดตั้งชั่วคราวไว้ 9 จุด สะพานลอยคนข้าม 8 จุด สะพานลอยรถข้ามอีก 1 จุด แผงเหล็กและตะแกรงเหล็กกั้นตลอดแนวสนามแข่งขัน
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้าทีมงานและผู้เกี่ยวข้อง ได้เตรียมงานในเรื่องนี้มานานกว่า 2 ปี ผ่านการสำรวจความคิดเห็นของคนในพื้นที่ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการจัดการแข่งขันมาทั้งหมด 3 ครั้ง จาก 3 ชุมชน ครอบคลุมกว่า 500 คน
> คาดปลายปีเม็ดเงินในพื้นที่สะพัด1.5 พันล.
นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงช่วงเวลาที่จะจัดการแข่งขัน ที่เลือกในช่วงเดือนพ.ย. ส่วนหนึ่งเพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของบางแสน ซึ่งการนำกิจกรรมนี้เข้ามาเสริม เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดให้ทัวริสต์ไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวในพื้นที่มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บางแสนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่มาก นัก ราว 80 กิโลเมตร มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทั้ง ชายหาดบางแสน เขาสามมุข และอ่างศิลา เป็นอาทิ โดยทางพื้นที่ได้นิยามให้เป็นเมืองท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว
แต่จากการจัดการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตประจำปีในหลายรายการ อาทิ การแข่งรถโกลด์คาร์ท รวมถึงบางแสน ไบค์ วีค การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ ที่จัดมาแล้ว 2 ปี ในปีนี้จะจัดในวันที่ 27 ต.ค. และรายการ บางแสน สปีด เฟสติวัล ที่ในปีหน้าจะเปลี่ยนชื่อเป็น บางแสน กรังด์ปรีซ์ นั้น ทางพื้นที่จึงจะนำการแข่งขันกีฬาเหล่านี้มาเพิ่มเป็นอีกจุดขายให้กับเมืองภายใต้ชื่อ City of Motersport
เราอยู่ระหว่างเตรียมการที่จะจัดให้มีการแข่งขันกีฬาทางทะเลทุกประเภท ทั้งเจ็ตสกี วอลเลย์ บอลหรือฟุตบอลชายหาด ให้มีตลอดทั้งปีเป็นเทศกาล เช่นเดียวกับการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านการกีฬาและ การท่องเที่ยวให้กับพื้นที่อีกทางหนึ่ง สนธยา กล่าว
ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาเที่ยวในพื้นที่ราว 1.1 ล้านคน/ปี และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1.3 พันบาท/คน ซึ่งบางแสนยังเป็นพื้นที่ที่สามารถยกระดับและพัฒนาได้อีกมาก จากโครงการส่งเสริมด้านการกีฬาและท่องเที่ยวข้างต้น ทั้งนี้ประเมินว่าภายในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประมาณ 1.2 ล้านคน และมีเงินหมุนเวียนราว 1.5 พันล้านบาท
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
> สมานฉันท์รัฐ-เอกชนลงขันปั้นเทียบชั้นสนามแข่งโมนาโค
เปิดมิติใหม่ท่องเที่ยวตะวันออก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจับมือการกีฬาแห่งประเทศไทย ททท.จังหวัดชลบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และเทศบาลเมืองแสนสุข ตลอดจนภาคเอกชนเทงบ 50 ล้าน จัดงานนักแข่ง บาง แสน สปีด เฟสติวัล 2007 ระหว่างวันที่ 10-11 พฤศจิกายนศกนี้ หวังดูดเงิน 1,500 ล้าน จากกระเป๋านักท่องเที่ยวทั้งไทย-เทศ 1.5 แสนคน
ไม่แปลกที่ได้มีการจัดตั้งกระทรวงกีฬาและการท่องเที่ยวขึ้น เพราะทั้งสองกิจกรรมสามารถหนุนส่งกันและกันได้อย่างลงตัว เช่นเดียวกับการจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบขึ้นที่ชายหาดบางแสนในช่วงกลางเดือนพ.ย.นี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นกีฬาความเร็วที่ได้รับความนิยมอย่างสูงอยู่ในขณะนี้เท่านั้น แต่ผู้จัดงานและผู้เกี่ยวข้องมีเป้าหมายที่จะยกระดับกีฬาประเภทนี้สู่สากล และจะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาเที่ยวชม และจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น
> เปิดมิติใหม่ ปิดเมืองแข่งแรลลี่
นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะแม่งาน เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า การจัดงาน บางแสน สปีด เฟสติวัล 2007 ระหว่างวันที่ 10-11 พ.ย.ศกนี้ เป็นการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติด้านการกีฬาและท่องเที่ยวเป็นสำคัญ เพราะพื้นที่จัดงานเทศบาลเมืองแสนสุข ถือว่ามีศักยภาพความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสนามที่ใช้เพื่อการแข่งขัน สถานที่ท่องเที่ยวโดยรอบ ตลอดจนโรงแรม ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
เช่นเดียวกับในหลายประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย อาทิ โมนาโค โปรตุเกส อังกฤษ มาเก๊า มาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่ใช้กิจกรรมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ให้เป็นหนึ่งในจุดขายด้านการกีฬาและการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะสิงคโปร์ ที่ปีหน้าจะจัดการแข่งขัน F1 แบบปิดเมืองแข่ง แต่จะเป็นช่วงกลางคืน ขณะที่มาเลเซียก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสนามการแข่งขันเก็บคะแนนสะสมระดับโลกไปแล้ว เหล่านี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์ด้านนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ บางแสน สปีด เฟสติวัล จะเป็นการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ แบบปิดเมืองแข่งครั้งแรก ของไทย ลักษณะเดียวกับในหลายประเทศ บริเวณ ชายหาดบางแสน เขาสามมุข และแหลมแท่น ระยะ ทางรวม 3.7 กิโลเมตร โดยเส้นทางการแข่งขัน จะมีทั้งทางเรียบชายหาด ขึ้นเขา ทางโค้ง ซึ่งจัดเป็นสนามแข่งขันที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย
> ทุ่ม 50 ล.ดูดทัวริสต์ไทย/เทศ 1.5 แสนคน
โดยงานนี้ ใช้งบประมาณในการจัดประมาณ 50 ล้านบาท มีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดชลบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และเทศบาลเมืองแสนสุข ตลอดจนภาคเอกชน บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด บมจ.ทรู คอร์เปอเรชั่น และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ให้การสนับสนุน
ที่มาเก๊า กรังซ์ปรีด์ มีผู้ชมประมาณ 4 แสน คน และมีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาทระหว่าง การแข่งขัน ส่วนที่บางแสน สปีดฯ ททท.ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวไทยและเทศมาเที่ยวชมประมาณ 1-1.5 แสนคน เฉพาะรถที่เข้าแข่ง 150 คัน รวมทีมงานทั้งหมดก็น่าจะเกิน 1 พันคน และคาดว่าจะมีเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 250-270 ล้านบาท เฉลี่ยค่าใช้จ่าย 1.8 พันบาท/คน
นายสนธยา กล่าวว่า การแข่งขันข้างต้นที่จัดขึ้นเป็นปีแรก ทั้งยังจะนับรวมเป็นการเก็บคะแนนสะสม สนามสุดท้ายของรายการ โตโยต้า ซูเปอร์คาร์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นนักแข่งรถในประเทศ เป็นหลัก แต่สำหรับในปีหน้าจะยกระดับให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันระดับนานาชาติ หรือซูเปอร์ คาร์เอเชีย เพราะทีมงานได้ประสานความร่วมมือไปยัง FIA สถาบันการแข่งขันรถยนต์ระดับโลก เพื่อให้การรับรองมาตรฐานสนามและความพร้อมในเรื่องการจัดการแข่งขัน
เนื่องเพราะการปรับเปลี่ยนถนนหนทางบริเวณรอบชายหาดบางแสนให้เป็นสนามแข่งขันในปีนี้ ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นจุดให้บริการทีมงานรถแข่ง หรือจุดพิชแพทดอกซ์ ที่โดยปกติทุกสนามแข่งมาตรฐานจำเป็นจะต้องมีจุดนี้ติดตั้งไว้อย่างถาวร รวมอัฒจรรย์ผู้ชม ตลอดเส้นทางการแข่งขัน ที่ได้ติดตั้งชั่วคราวไว้ 9 จุด สะพานลอยคนข้าม 8 จุด สะพานลอยรถข้ามอีก 1 จุด แผงเหล็กและตะแกรงเหล็กกั้นตลอดแนวสนามแข่งขัน
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้าทีมงานและผู้เกี่ยวข้อง ได้เตรียมงานในเรื่องนี้มานานกว่า 2 ปี ผ่านการสำรวจความคิดเห็นของคนในพื้นที่ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการจัดการแข่งขันมาทั้งหมด 3 ครั้ง จาก 3 ชุมชน ครอบคลุมกว่า 500 คน
> คาดปลายปีเม็ดเงินในพื้นที่สะพัด1.5 พันล.
นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงช่วงเวลาที่จะจัดการแข่งขัน ที่เลือกในช่วงเดือนพ.ย. ส่วนหนึ่งเพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของบางแสน ซึ่งการนำกิจกรรมนี้เข้ามาเสริม เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดให้ทัวริสต์ไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวในพื้นที่มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บางแสนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่มาก นัก ราว 80 กิโลเมตร มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทั้ง ชายหาดบางแสน เขาสามมุข และอ่างศิลา เป็นอาทิ โดยทางพื้นที่ได้นิยามให้เป็นเมืองท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว
แต่จากการจัดการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตประจำปีในหลายรายการ อาทิ การแข่งรถโกลด์คาร์ท รวมถึงบางแสน ไบค์ วีค การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ ที่จัดมาแล้ว 2 ปี ในปีนี้จะจัดในวันที่ 27 ต.ค. และรายการ บางแสน สปีด เฟสติวัล ที่ในปีหน้าจะเปลี่ยนชื่อเป็น บางแสน กรังด์ปรีซ์ นั้น ทางพื้นที่จึงจะนำการแข่งขันกีฬาเหล่านี้มาเพิ่มเป็นอีกจุดขายให้กับเมืองภายใต้ชื่อ City of Motersport
เราอยู่ระหว่างเตรียมการที่จะจัดให้มีการแข่งขันกีฬาทางทะเลทุกประเภท ทั้งเจ็ตสกี วอลเลย์ บอลหรือฟุตบอลชายหาด ให้มีตลอดทั้งปีเป็นเทศกาล เช่นเดียวกับการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านการกีฬาและ การท่องเที่ยวให้กับพื้นที่อีกทางหนึ่ง สนธยา กล่าว
ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาเที่ยวในพื้นที่ราว 1.1 ล้านคน/ปี และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1.3 พันบาท/คน ซึ่งบางแสนยังเป็นพื้นที่ที่สามารถยกระดับและพัฒนาได้อีกมาก จากโครงการส่งเสริมด้านการกีฬาและท่องเที่ยวข้างต้น ทั้งนี้ประเมินว่าภายในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประมาณ 1.2 ล้านคน และมีเงินหมุนเวียนราว 1.5 พันล้านบาท
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/10/07
โพสต์ที่ 64
เดนมาร์กชูไทยยอดเมืองท่องเที่ยว ข่าว 11.00 น.
Posted on Thursday, October 25, 2007
นายชัยศิริ อะมาน เอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก รายงานว่า ประเทศไทยได้รับรางวัลประเทศท่องเที่ยวยอดเยี่ยมประจำปี 2550 จากการจัดลำดับของนิตยสาร Stand By นิตยสารท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งนับเป็นปีที่ 2 ที่ไทยได้รับรางวัลประเทศท่องเที่ยวยอดเยี่ยมของนิตยสาร Stand By หลังจากได้รับมาแล้วเมื่อปี 2548 นอกจากนี้ทางนิตยสารยังจัดอันดับให้บริษัท การบินไทย ได้รับรางวัลที่ 2 ประเภทสายการบินระหว่างประเทศด้วย
ทั้งนี้ นิตยสารฉบับดังกล่าวได้จัดลำดับความนิยมสถานที่ท่องเที่ยวของชาวเดนมาร์กมาเป็นปีที่ 12 โดยให้นักท่องเที่ยวและธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศเดนมาร์ก 2,000 ราย เป็นผู้ลงคะแนน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Thursday, October 25, 2007
นายชัยศิริ อะมาน เอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก รายงานว่า ประเทศไทยได้รับรางวัลประเทศท่องเที่ยวยอดเยี่ยมประจำปี 2550 จากการจัดลำดับของนิตยสาร Stand By นิตยสารท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งนับเป็นปีที่ 2 ที่ไทยได้รับรางวัลประเทศท่องเที่ยวยอดเยี่ยมของนิตยสาร Stand By หลังจากได้รับมาแล้วเมื่อปี 2548 นอกจากนี้ทางนิตยสารยังจัดอันดับให้บริษัท การบินไทย ได้รับรางวัลที่ 2 ประเภทสายการบินระหว่างประเทศด้วย
ทั้งนี้ นิตยสารฉบับดังกล่าวได้จัดลำดับความนิยมสถานที่ท่องเที่ยวของชาวเดนมาร์กมาเป็นปีที่ 12 โดยให้นักท่องเที่ยวและธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศเดนมาร์ก 2,000 ราย เป็นผู้ลงคะแนน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/10/07
โพสต์ที่ 65
สทน.สับททท.ทำนักเที่ยวสับสน จี้ฟื้นงานคอนซูเมอร์แฟร์ปีหน้า
โพสต์ทูเดย์ สทน. แนะ ททท.ฟื้น งาน คอนซูเมอร์ แฟร์ กระตุ้นท่องเที่ยวปี 2551 แทน เทศกาลเที่ยวเมืองไทย เชื่อดึงพี่ไทยเที่ยวเพิ่ม 10%
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า สทน.จะเสนอให้นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พิจารณานำโครงการเที่ยวไทยทั่วทิศ หรืองานคอนซูเมอร์ แฟร์ มาจัดอีกครั้งในปี 2551 หลังจากที่ในปีนี้ ททท.ได้ยกเลิกการจัดงานดังกล่าวไป
ทั้งนี้ เพื่อสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้เกิดความคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากการจัดงานคอนซูเมอร์ แฟร์ ด้านการท่องเที่ยว เป็นงานที่ได้รับความนิยมจากคนไทย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายแพ็กเกจทัวร์ภายในงานได้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ที่จัดงานขึ้นในปีนี้
นอกจากนี้ ยังสามารถชี้วัดได้ว่า งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย มีกระแสตอบรับจากคนไทยน้อยมาก เพราะรูปแบบการ จัดงานที่นำ 2 งาน ด้านตลาดในประเทศ และต่างประเทศมารวมไว้เป็นงานเดียวกัน ทำให้สร้างความสับสนให้กับนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน รูปแบบการจัดงาน ยังเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าทางการท่องเที่ยวของประเทศ มากกว่าการจำหน่ายแพ็กเกจทัวร์ โดยมุ่งให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากกว่าในประเทศ รวมถึงสถานที่จัดงานไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง
ส่วนแผนการจัด ททท.ควรจัดงานแฟร์ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือน มี.ค. และเดือน มิ.ย. หรือจัดเฉพาะเดือน มิ.ย. เพียงครั้งเดียว เนื่องจากเดือน มี.ค. ภาคเอกชนได้จัดงานไทยเที่ยวไทยเป็นประจำทุกปี
ททท.ยังควรหางบประมาณฉุกเฉิน สำหรับเพิ่มความถี่การโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้นด้วย ซึ่งเห็นว่าการตั้งงบ ด้านการตลาดของ ททท.ในปีหน้า อยู่ที่ 30 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยทำให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในปีหน้าเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับปีนี้ ที่การเดินทางจะลดลงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 5-10%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200219
โพสต์ทูเดย์ สทน. แนะ ททท.ฟื้น งาน คอนซูเมอร์ แฟร์ กระตุ้นท่องเที่ยวปี 2551 แทน เทศกาลเที่ยวเมืองไทย เชื่อดึงพี่ไทยเที่ยวเพิ่ม 10%
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า สทน.จะเสนอให้นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พิจารณานำโครงการเที่ยวไทยทั่วทิศ หรืองานคอนซูเมอร์ แฟร์ มาจัดอีกครั้งในปี 2551 หลังจากที่ในปีนี้ ททท.ได้ยกเลิกการจัดงานดังกล่าวไป
ทั้งนี้ เพื่อสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้เกิดความคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากการจัดงานคอนซูเมอร์ แฟร์ ด้านการท่องเที่ยว เป็นงานที่ได้รับความนิยมจากคนไทย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายแพ็กเกจทัวร์ภายในงานได้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ที่จัดงานขึ้นในปีนี้
นอกจากนี้ ยังสามารถชี้วัดได้ว่า งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย มีกระแสตอบรับจากคนไทยน้อยมาก เพราะรูปแบบการ จัดงานที่นำ 2 งาน ด้านตลาดในประเทศ และต่างประเทศมารวมไว้เป็นงานเดียวกัน ทำให้สร้างความสับสนให้กับนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน รูปแบบการจัดงาน ยังเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าทางการท่องเที่ยวของประเทศ มากกว่าการจำหน่ายแพ็กเกจทัวร์ โดยมุ่งให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากกว่าในประเทศ รวมถึงสถานที่จัดงานไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง
ส่วนแผนการจัด ททท.ควรจัดงานแฟร์ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือน มี.ค. และเดือน มิ.ย. หรือจัดเฉพาะเดือน มิ.ย. เพียงครั้งเดียว เนื่องจากเดือน มี.ค. ภาคเอกชนได้จัดงานไทยเที่ยวไทยเป็นประจำทุกปี
ททท.ยังควรหางบประมาณฉุกเฉิน สำหรับเพิ่มความถี่การโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้นด้วย ซึ่งเห็นว่าการตั้งงบ ด้านการตลาดของ ททท.ในปีหน้า อยู่ที่ 30 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยทำให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในปีหน้าเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับปีนี้ ที่การเดินทางจะลดลงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 5-10%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200219
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/10/07
โพสต์ที่ 66
ธุรกิจโรงแรม 8 เดือนชะลอตัว ข่าว 12.00 น.
Posted on Tuesday, October 30, 2007
นายนวพล วิริยะกุลกิจ หัวหน้าฝ่ายวิจัย ซีบี ริชาร์ด เอลลิส บอกว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรมของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ชะลอตัวลง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยว ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 9,590,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 2.3 % เท่านั้นจากปีก่อนที่โตประมาณ 10% เพราะกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองและมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ทำให้อัตราการเข้าพักลดลงเหลือ 70% จากปีก่อนที่มี 75% แต่เชื่อว่า ในช่วงปลายปี ธุรกิจโรงแรมจะปรับตัวดีขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากตะวันออกกลาง และอเมริกา เข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น ภาคใต้
ขณะที่แนวโน้มตลาดอสังหาในกลุ่มที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปีนี้ บ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์จะน่าจะปรับตัวที่ดีขึ้น หลังจากที่มีการตัดถนนใหม่และมีการสร้างถนนวงแหวนตามแหล่งชานเมืองมากขึ้น ส่วนตลาดคอนโดมีเนียมยังคงมีอัตราการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่อง ตามแนวและส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟฟ้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Tuesday, October 30, 2007
นายนวพล วิริยะกุลกิจ หัวหน้าฝ่ายวิจัย ซีบี ริชาร์ด เอลลิส บอกว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรมของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ชะลอตัวลง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยว ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 9,590,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 2.3 % เท่านั้นจากปีก่อนที่โตประมาณ 10% เพราะกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองและมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ทำให้อัตราการเข้าพักลดลงเหลือ 70% จากปีก่อนที่มี 75% แต่เชื่อว่า ในช่วงปลายปี ธุรกิจโรงแรมจะปรับตัวดีขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากตะวันออกกลาง และอเมริกา เข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น ภาคใต้
ขณะที่แนวโน้มตลาดอสังหาในกลุ่มที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปีนี้ บ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์จะน่าจะปรับตัวที่ดีขึ้น หลังจากที่มีการตัดถนนใหม่และมีการสร้างถนนวงแหวนตามแหล่งชานเมืองมากขึ้น ส่วนตลาดคอนโดมีเนียมยังคงมีอัตราการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่อง ตามแนวและส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟฟ้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 67
ดึงคนพิการเที่ยวไทย เผยรายได้-กำลังซื้อดี
โพสต์ทูเดย์ สพท. ชี้ตลาดท่องเที่ยวกลุ่มคนพิการกำลังซื้อสูง เหตุรัฐให้สวัสดิการดี ชูเวที ICAT 2007 โชว์ความพร้อมเมืองไทย
นางธนิฎฐา มณีโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว (สพท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มคนพิการและผู้สูงอายุเป็นตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจ เพราะรัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกได้ให้สวัสดิการการเลี้ยงดูที่ดี ทำให้เป็นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน
นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจุบันคนพิการยังเริ่มให้ความสนใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความเป็นมิตรที่ดีกับนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีหลากหลายและสวยงาม
ทั้งนี้ หากประเทศไทยเร่งปูความพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรและเป็นสากลให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เชื่อว่าในอนาคตจะส่งผลให้ไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กลุ่มคนพิการต้องการเดินทางมาเป็นจำนวนมาก
นางธนิฎฐา กล่าวอีกว่า ล่าสุด สพท.ร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จัดประชุมนานาชาติเรื่อง การท่องเที่ยวที่เอื้ออำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ หรือ International Conference for Accessible Tourism (ICAT 2007) ขึ้นในวันที่ 22-24 พ.ย. นี้ ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ
การประชุมครั้งนี้มีสมาคมที่ เกี่ยวกับคนพิการร่วมประชุมกว่า 20 ประเทศ ในโซนเอเชียและยุโรป โดยเนื้อหาการประชุมจะเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ รวมถึงความต้องการขั้นพื้นฐานด้วย
ขณะเดียวกัน เวทีการประชุมดังกล่าวยังจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะ ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เป็น ที่รู้จักในกลุ่มคนพิการ รวมถึงยัง เป็นการประกาศความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้อีกด้วย จึงคาดว่าหลังจากนี้จะเริ่มเห็นภาพ คนกลุ่มนี้เข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201197
โพสต์ทูเดย์ สพท. ชี้ตลาดท่องเที่ยวกลุ่มคนพิการกำลังซื้อสูง เหตุรัฐให้สวัสดิการดี ชูเวที ICAT 2007 โชว์ความพร้อมเมืองไทย
นางธนิฎฐา มณีโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว (สพท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มคนพิการและผู้สูงอายุเป็นตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจ เพราะรัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกได้ให้สวัสดิการการเลี้ยงดูที่ดี ทำให้เป็นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน
นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจุบันคนพิการยังเริ่มให้ความสนใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความเป็นมิตรที่ดีกับนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีหลากหลายและสวยงาม
ทั้งนี้ หากประเทศไทยเร่งปูความพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรและเป็นสากลให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เชื่อว่าในอนาคตจะส่งผลให้ไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กลุ่มคนพิการต้องการเดินทางมาเป็นจำนวนมาก
นางธนิฎฐา กล่าวอีกว่า ล่าสุด สพท.ร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จัดประชุมนานาชาติเรื่อง การท่องเที่ยวที่เอื้ออำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ หรือ International Conference for Accessible Tourism (ICAT 2007) ขึ้นในวันที่ 22-24 พ.ย. นี้ ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ
การประชุมครั้งนี้มีสมาคมที่ เกี่ยวกับคนพิการร่วมประชุมกว่า 20 ประเทศ ในโซนเอเชียและยุโรป โดยเนื้อหาการประชุมจะเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ รวมถึงความต้องการขั้นพื้นฐานด้วย
ขณะเดียวกัน เวทีการประชุมดังกล่าวยังจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะ ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เป็น ที่รู้จักในกลุ่มคนพิการ รวมถึงยัง เป็นการประกาศความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้อีกด้วย จึงคาดว่าหลังจากนี้จะเริ่มเห็นภาพ คนกลุ่มนี้เข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201197
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 68
ชูเที่ยวไทยก่อนไปโอลิมปิก
โดย เดลินิวส์ วัน ศุกร์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11:50 น.
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้นำผู้ประกอบการภาคเอกชน เดินทางไปร่วมงาน ไชน่า อินเตอร์เนชันแนล ทราเวล มาร์ท (ซีซีทีเอ็ม) 2007 ที่เมืองคุน หมิง ซึ่งเป็นงานส่งเสริมการขายสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน เพื่อนำผู้ประกอบการไทยไปพบปะ จำหน่ายบริการท่องเที่ยวแก่ชาวจีน มีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยเข้าร่วม 24 แห่ง
ทั้งนี้ ททท.ได้ชูกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวพิเศษ ด้วยการเชื่อมโยงกับการจัดกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพในปีหน้าเป็นหลัก เช่น ร่วมกับบัตรเครดิต วีซ่าจัดโครงการเชิญชวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยก่อนดูโอลิมปิก โดยเชิญชาวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยแล้วลุ้นรางวัลตั๋วดูกีฬาโอลิมปิกฟรี 1,080 ใบ รวมทั้งโครงการดูโอลิมปิกแล้วมาเที่ยวไทย โดยมีแพ็กเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษ 888 รางวัล คาดว่าการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ จะสามารถกระตุ้นให้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มคุณภาพเดินทางเข้ามาไทยจำนวนมากในปีหน้า
สำหรับงานซีซีทีเอ็ม มีองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐและธุรกิจท่องเที่ยวภาคเอกชนของจีนและต่างประเทศ เข้าร่วมออกคูหาประชาสัมพันธ์ และพบปะเจรจาซื้อขายสินค้า บริการการท่องเที่ยวกันถึง 2,000 คูหา มีผู้ซื้อต่างประเทศกว่า 1,400 ราย จาก 80 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ททท. ได้เชิญบริษัทนำเที่ยวจีนร่วมหารือแนวทางส่งเสริมการทำทัวร์ท่องเที่ยวคุณภาพ เป็นตลาดที่กำลังมีการเติบโตสูง.
http://news.sanook.com/economic/economic_206214.php
โดย เดลินิวส์ วัน ศุกร์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11:50 น.
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้นำผู้ประกอบการภาคเอกชน เดินทางไปร่วมงาน ไชน่า อินเตอร์เนชันแนล ทราเวล มาร์ท (ซีซีทีเอ็ม) 2007 ที่เมืองคุน หมิง ซึ่งเป็นงานส่งเสริมการขายสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน เพื่อนำผู้ประกอบการไทยไปพบปะ จำหน่ายบริการท่องเที่ยวแก่ชาวจีน มีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยเข้าร่วม 24 แห่ง
ทั้งนี้ ททท.ได้ชูกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวพิเศษ ด้วยการเชื่อมโยงกับการจัดกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพในปีหน้าเป็นหลัก เช่น ร่วมกับบัตรเครดิต วีซ่าจัดโครงการเชิญชวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยก่อนดูโอลิมปิก โดยเชิญชาวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยแล้วลุ้นรางวัลตั๋วดูกีฬาโอลิมปิกฟรี 1,080 ใบ รวมทั้งโครงการดูโอลิมปิกแล้วมาเที่ยวไทย โดยมีแพ็กเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษ 888 รางวัล คาดว่าการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ จะสามารถกระตุ้นให้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มคุณภาพเดินทางเข้ามาไทยจำนวนมากในปีหน้า
สำหรับงานซีซีทีเอ็ม มีองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐและธุรกิจท่องเที่ยวภาคเอกชนของจีนและต่างประเทศ เข้าร่วมออกคูหาประชาสัมพันธ์ และพบปะเจรจาซื้อขายสินค้า บริการการท่องเที่ยวกันถึง 2,000 คูหา มีผู้ซื้อต่างประเทศกว่า 1,400 ราย จาก 80 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ททท. ได้เชิญบริษัทนำเที่ยวจีนร่วมหารือแนวทางส่งเสริมการทำทัวร์ท่องเที่ยวคุณภาพ เป็นตลาดที่กำลังมีการเติบโตสูง.
http://news.sanook.com/economic/economic_206214.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 69
ไทยชูเมกะ-อีเวนต์ไมซ์ไล่บี้สิงคโปร์ หวัง"ไลออนโลก-ITU"ปั๊มเงินสะพัด
ไทยลุยจัดเมกะ-อีเวนต์ อินเตอร์ 2 ปี 4 งานรวด "ITCMA-ICCA" รอลุ้น "สมาชิกไลออนโลก-สหพันธ์เทเลคอมนานาชาติ" เดือนเดียว 6 หมื่นคน ส่วนปี" 50 บอร์ด ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล โล่งอกยอดรายได้ส่อเค้าตามเป้า 5.5 หมื่นล้านบาท ประมาทไม่ได้ MPI เจ้าตลาดบริการสมาชิกจัด ประชุมยึดสิงคโปร์ตั้งสำนักงานศูนย์กลางลุย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายในตุลาคม 2550 ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับอินเตอร์เนชั่นแนล 2 งานใหญ่ Incentive Travel Meeting Asia : IT&CMA ที่โรงแรมเซ็นทารา พลาซ่า กรุงเทพฯ และ International Congress & Convention Association : ICCA ที่ศูนย์ประชุมพีซ โรงแรมรอยัล คลิฟฟ์ บีช รีสอร์ต พัทยา รวมทั้งมีโปรแกรมจัดตลาดการประชุมขนาดใหญ่เมกะ- อีเวนต์ นานาชาติปี 2551 อีก 2 รายการ ตามที่กลุ่มเดินทางเชิงธุรกิจ Business Traveller เข้าร่วมงานละ 30,000 คนขึ้นไป ได้แก่ งานประชุมสมาชิกไลออนโลก 2008 ระหว่างมิถุนายน 2551 ที่กรุงเทพฯ และงานประชุมสหพันธ์เทเลคอมนานาชาติ (International Telecom Union : ITU)
นางมาลินี กิตะพาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน : สสปน.) เปิดเผยว่าหลังเสร็จสิ้นการจัดเมกะอีเวนต์ส่งท้ายปี 2550 ทั้ง IT& CMA และ ICCA สสปน. ประเมินสถานการณ์ว่าจะสามารถกระจายรายได้รวมจากตลาดไมซ์ (MICE : meeting-incentive-convention-exhibition) สู่เศรษฐกิจเมืองไทยตลอดปีได้ไม่ต่ำกว่า 55,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18%
เป็นผลมาจากอัตราการขยายตัวของนักเดินทางเชิงธุรกิจเติบโตเร็วและสูงที่สุดจากทั้งหมดเกิน 1.2 ล้านคน เพิ่มกว่าปีที่ผ่านมา 30% สามารถแยกได้ว่ามาจากกลุ่มผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานคอนเวนชั่น 7.72 แสนคน เพิ่มประมาณ 27 % และกลุ่มแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมไมซ์โดยภาพรวมอีก 20% ล้วนเป็นกำลังซื้อระดับไฮเอนด์
จากการสำรวจ สสปน.พบว่าตลาดเดินทางเชิงธุรกิจใช้จ่ายเงินระหว่างอยู่ในเมืองไทยมากถึง 10,000 บาท/คน/วัน พักเฉลี่ยราว 10 วัน/คน สูงกว่า ท่องเที่ยวที่เดินทางพักผ่อนทั่วไปถึง 1 เท่า ทั้ง 2 ส่วน ทั้งการใช้เงินเฉลี่ยเพียง 4,000 บาท/คน/วัน พักเฉลี่ยเพียง 6 วันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) สสปน.วางแผนปฏิบัติการพัฒนาตลาดไมซ์โดยตั้งเป้าไว้ว่าปี 2550 จะต้องกระตุ้นการเติบโตรายได้และกลุ่มลูกค้า เป้าหมายเพิ่มขั้นต่ำ 30% ขณะนี้ในช่วงรอยต่อที่นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการคนใหม่ช่วงที่เหลือ 3 เดือน จะปิดปีงบประมาณมีแนวโน้ม ที่ สสปน.จะเร่งยอดให้เป็นไปตามนโยบาย
นายไมเคิล เทย์ ผู้อำนวยการ สมาชิกนักพัฒนาการจัดงานมืออาชีพระดับสากล (Member of Professionals International : MPI) กล่าวว่า ได้ยึดสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางเปิดสำนักงานเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2550 เตรียมขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดให้บริการสมาชิก ซึ่งปัจจุบัน MPI เป็นผู้นำอุตสาหกรรมการจัดประชุมแบบไร้พรมแดนแก่สมาชิกที่สนใจจะจัดงานตามประเทศต่างๆ โดยมีสมาชิกร่วมอยู่ทั้งหมดกว่า 22,000 สมาชิก
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่ายุทธศาสตร์การต่อสู้กันระหว่างไทยเปรียบเทียบความเป็นมืออาชีพกับสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือแม้แต่น้องใหม่ มาเก๊า อาจจะเป็นรองได้ เนื่องจากยังขาดความพร้อมอีกหลายด้าน เช่น สถานที่ บุคลากร
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0208
ไทยลุยจัดเมกะ-อีเวนต์ อินเตอร์ 2 ปี 4 งานรวด "ITCMA-ICCA" รอลุ้น "สมาชิกไลออนโลก-สหพันธ์เทเลคอมนานาชาติ" เดือนเดียว 6 หมื่นคน ส่วนปี" 50 บอร์ด ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล โล่งอกยอดรายได้ส่อเค้าตามเป้า 5.5 หมื่นล้านบาท ประมาทไม่ได้ MPI เจ้าตลาดบริการสมาชิกจัด ประชุมยึดสิงคโปร์ตั้งสำนักงานศูนย์กลางลุย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายในตุลาคม 2550 ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับอินเตอร์เนชั่นแนล 2 งานใหญ่ Incentive Travel Meeting Asia : IT&CMA ที่โรงแรมเซ็นทารา พลาซ่า กรุงเทพฯ และ International Congress & Convention Association : ICCA ที่ศูนย์ประชุมพีซ โรงแรมรอยัล คลิฟฟ์ บีช รีสอร์ต พัทยา รวมทั้งมีโปรแกรมจัดตลาดการประชุมขนาดใหญ่เมกะ- อีเวนต์ นานาชาติปี 2551 อีก 2 รายการ ตามที่กลุ่มเดินทางเชิงธุรกิจ Business Traveller เข้าร่วมงานละ 30,000 คนขึ้นไป ได้แก่ งานประชุมสมาชิกไลออนโลก 2008 ระหว่างมิถุนายน 2551 ที่กรุงเทพฯ และงานประชุมสหพันธ์เทเลคอมนานาชาติ (International Telecom Union : ITU)
นางมาลินี กิตะพาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน : สสปน.) เปิดเผยว่าหลังเสร็จสิ้นการจัดเมกะอีเวนต์ส่งท้ายปี 2550 ทั้ง IT& CMA และ ICCA สสปน. ประเมินสถานการณ์ว่าจะสามารถกระจายรายได้รวมจากตลาดไมซ์ (MICE : meeting-incentive-convention-exhibition) สู่เศรษฐกิจเมืองไทยตลอดปีได้ไม่ต่ำกว่า 55,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18%
เป็นผลมาจากอัตราการขยายตัวของนักเดินทางเชิงธุรกิจเติบโตเร็วและสูงที่สุดจากทั้งหมดเกิน 1.2 ล้านคน เพิ่มกว่าปีที่ผ่านมา 30% สามารถแยกได้ว่ามาจากกลุ่มผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานคอนเวนชั่น 7.72 แสนคน เพิ่มประมาณ 27 % และกลุ่มแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมไมซ์โดยภาพรวมอีก 20% ล้วนเป็นกำลังซื้อระดับไฮเอนด์
จากการสำรวจ สสปน.พบว่าตลาดเดินทางเชิงธุรกิจใช้จ่ายเงินระหว่างอยู่ในเมืองไทยมากถึง 10,000 บาท/คน/วัน พักเฉลี่ยราว 10 วัน/คน สูงกว่า ท่องเที่ยวที่เดินทางพักผ่อนทั่วไปถึง 1 เท่า ทั้ง 2 ส่วน ทั้งการใช้เงินเฉลี่ยเพียง 4,000 บาท/คน/วัน พักเฉลี่ยเพียง 6 วันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) สสปน.วางแผนปฏิบัติการพัฒนาตลาดไมซ์โดยตั้งเป้าไว้ว่าปี 2550 จะต้องกระตุ้นการเติบโตรายได้และกลุ่มลูกค้า เป้าหมายเพิ่มขั้นต่ำ 30% ขณะนี้ในช่วงรอยต่อที่นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการคนใหม่ช่วงที่เหลือ 3 เดือน จะปิดปีงบประมาณมีแนวโน้ม ที่ สสปน.จะเร่งยอดให้เป็นไปตามนโยบาย
นายไมเคิล เทย์ ผู้อำนวยการ สมาชิกนักพัฒนาการจัดงานมืออาชีพระดับสากล (Member of Professionals International : MPI) กล่าวว่า ได้ยึดสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางเปิดสำนักงานเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2550 เตรียมขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดให้บริการสมาชิก ซึ่งปัจจุบัน MPI เป็นผู้นำอุตสาหกรรมการจัดประชุมแบบไร้พรมแดนแก่สมาชิกที่สนใจจะจัดงานตามประเทศต่างๆ โดยมีสมาชิกร่วมอยู่ทั้งหมดกว่า 22,000 สมาชิก
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่ายุทธศาสตร์การต่อสู้กันระหว่างไทยเปรียบเทียบความเป็นมืออาชีพกับสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือแม้แต่น้องใหม่ มาเก๊า อาจจะเป็นรองได้ เนื่องจากยังขาดความพร้อมอีกหลายด้าน เช่น สถานที่ บุคลากร
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0208
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/11/07
โพสต์ที่ 70
คนแห่รับลมหนาวรร.เหนือเต็ม
โพสต์ทูเดย์ ททท.กระหยิ่มรับอานิสงส์อากาศหนาวเย็น ชี้คนไทยแพ็กกระเป๋าแอ่วเหนือ ดันยอดจองโรงแรมพุ่ง 90%
นางธัญภา นิโครธานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานภาคเหนือเขต 2 เชียงราย แพร่ น่าน พะเยา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สภาพอากาศหนาวเย็นที่เริ่มปกคลุมในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือบริเวณยอดดอย ซึ่งส่งผลด้านจิตวิทยาให้คนไทยเกิดความต้องการเดินทางท่องเที่ยวรับฤดูหนาว
ทั้งนี้ เห็นได้จากการจองห้องพักที่ จ.เชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง มียอดการจองห้องพักตั้งแต่เดือนนี้จนถึงเดือน ม.ค. ปีหน้าเฉลี่ยถึง 90%
นอกจากนี้ แนวโน้มการ ท่องเที่ยวที่คึกคักช่วงหน้าหนาวของทุกปี ทำให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจโรงแรมยังคงลงทุนก่อสร้างโรงแรมที่พักระดับ 3-4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทุกปี
สำหรับปีนี้พบว่า ห้องพักใน จ.เชียงราย ได้เปิดตัวเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 พันห้อง หรือมีจำนวนห้องทั้งหมดราว 8 พันห้อง เทียบกับปีที่ผ่านมา 7 พันห้อง
ช่วงฤดูหนาวของทุกปี คนไทยจะแห่ขึ้นเหนือเป็นจำนวนมาก เพราะอากาศที่หนาวเย็น และความสวยงามของดอกไม้เป็นแรงจูงใจ ได้ดี นางธัญภา กล่าว
ขณะเดียวกัน ภาคเหนือยังได้รับอานิสงส์ช่วงที่ภาคใต้เกิดเหตุการณ์สึนามิ ทำให้คนไทยยังกลัวที่จะเดินทางไปเที่ยวทะเล และมีส่วนหนึ่งหันมาเที่ยวธรรมชาติที่เป็นภูเขาแทน
ส่วนแผนการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนนี้ ททท. ได้ร่วมกับภาคเอกชนจัดแคมเปญ เที่ยวเมืองเหนือ เหนือความคาดหมาย โดยนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวผ่านคู่มือแนะนำเส้นทางใหม่
ล่าสุด ได้เตรียมจัดงานท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยงเส้นทาง 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน พม่า และลาว ในงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มแม่น้ำโขง ระหว่างวันที่ 21-25 พ.ย. นี้ โดย ในปีนี้คาดว่าภาคเหนือจะมีรายได้หมุนเวียนกว่าหมื่นล้านบาท เทียบจากปีที่ผ่านมา 9.5 พันล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยว 1.3 ล้านคน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201402
โพสต์ทูเดย์ ททท.กระหยิ่มรับอานิสงส์อากาศหนาวเย็น ชี้คนไทยแพ็กกระเป๋าแอ่วเหนือ ดันยอดจองโรงแรมพุ่ง 90%
นางธัญภา นิโครธานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานภาคเหนือเขต 2 เชียงราย แพร่ น่าน พะเยา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สภาพอากาศหนาวเย็นที่เริ่มปกคลุมในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือบริเวณยอดดอย ซึ่งส่งผลด้านจิตวิทยาให้คนไทยเกิดความต้องการเดินทางท่องเที่ยวรับฤดูหนาว
ทั้งนี้ เห็นได้จากการจองห้องพักที่ จ.เชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง มียอดการจองห้องพักตั้งแต่เดือนนี้จนถึงเดือน ม.ค. ปีหน้าเฉลี่ยถึง 90%
นอกจากนี้ แนวโน้มการ ท่องเที่ยวที่คึกคักช่วงหน้าหนาวของทุกปี ทำให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจโรงแรมยังคงลงทุนก่อสร้างโรงแรมที่พักระดับ 3-4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทุกปี
สำหรับปีนี้พบว่า ห้องพักใน จ.เชียงราย ได้เปิดตัวเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 พันห้อง หรือมีจำนวนห้องทั้งหมดราว 8 พันห้อง เทียบกับปีที่ผ่านมา 7 พันห้อง
ช่วงฤดูหนาวของทุกปี คนไทยจะแห่ขึ้นเหนือเป็นจำนวนมาก เพราะอากาศที่หนาวเย็น และความสวยงามของดอกไม้เป็นแรงจูงใจ ได้ดี นางธัญภา กล่าว
ขณะเดียวกัน ภาคเหนือยังได้รับอานิสงส์ช่วงที่ภาคใต้เกิดเหตุการณ์สึนามิ ทำให้คนไทยยังกลัวที่จะเดินทางไปเที่ยวทะเล และมีส่วนหนึ่งหันมาเที่ยวธรรมชาติที่เป็นภูเขาแทน
ส่วนแผนการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนนี้ ททท. ได้ร่วมกับภาคเอกชนจัดแคมเปญ เที่ยวเมืองเหนือ เหนือความคาดหมาย โดยนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวผ่านคู่มือแนะนำเส้นทางใหม่
ล่าสุด ได้เตรียมจัดงานท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยงเส้นทาง 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน พม่า และลาว ในงานวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มแม่น้ำโขง ระหว่างวันที่ 21-25 พ.ย. นี้ โดย ในปีนี้คาดว่าภาคเหนือจะมีรายได้หมุนเวียนกว่าหมื่นล้านบาท เทียบจากปีที่ผ่านมา 9.5 พันล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยว 1.3 ล้านคน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201402
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/11/07
โพสต์ที่ 71
ธุงกิจโรงแรมไทยหืดจับ ปรับราคาได้แค่ 5%
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤศจิกายน 2550 09:21 น.
ธุรกิจโรงแรมซบต่อเนื่อง ทีเอชเอ เผยผู้ประกอบการไม่สามารถปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักได้ตามต้นทุนที่แท้จริง กระท่อนกระแท่นขึ้นได้แค่ 5% สวนทางคู่แข่ง สิงคโปร์ ฮ่องกง และ เวียดนาม เหตุ พิษเศรษฐกิจรุมเร้า คนไทยเปลี่ยนเป็นเที่ยวแบบไม่ค้างคืน แถม จำนวนห้องพักยังโอเวอร์ซัพพลาย วอนรัฐเร่งแก้ไข พร้อมคุมเข้มใบอนุญาต
นายประกิจ ชินอมรพงษ์ อุปนายก สมาคมโรงแรมไทย หรือ ทีเอชเอ เปิดเผยว่า ในปีนี้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมไม่สามารถปรับขึ้นราคาห้องพักได้ตามความเป็น โดยปรับได้เพียง 5-7% เท่านั้น จากทุกๆปีที่ผ่าน ทุกโรงแรมจะเฉลี่ยปรับขึ้นค่าห้องพักที่ 10-12% ที่เป็นเช่นนี้ มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ ปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย เนื่องจากมีกลุ่มนักธุรกิจ สนใจเข้ามาลงทุนเปิดโรงแรมจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร โดยปีนี้เพียงปีเดียว มีโรงแรมเปิดใหม่ในกรุงเทพมากกว่า 3,000 ห้อง ทั้งนี้ยังไม่นับรวมเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์
ส่วนสาเหตุที่ 2 คือปัญหาเศรษฐกิจ และ การเมืองของประเทศไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจหดตัว การเดินทางเพื่อมาเจรจาติดต่องาน หรือ มองหาลู่ทางการลงทุนลดน้อยลง ตรงนี้ จะส่งผลกระทบต่อโรงแรมที่อยู่ในกรุงเทพอย่างชัดเจน เพราะ หากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว หากไม่มั่นใจในความปลอดภัย ก็สามารถเลือกเดินทางไปเดสติเนชั่นที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวเลยก็ได้ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะสมุย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน โรงแรมที่อยู่ในต่างจังหวัดก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ จากตลาดของคนไทย โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 3-4 ดาว เนื่องจากคนไทยมีการเดินทางแบบค้างคืนลดลง เปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นเดินทางเป็นเช้าไปเย็นกลับ ในจังหวัดใกล้ๆ ส่วนตลาดประชุมสัมมนาก็ถูกตัดงบลงไปบ้างทั้งภาครัฐและเอกชน
ดังนั้นจึงต้องการให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วย เช่น การควบคุมการออกใบอนุญาตเปิดโรงแรม ให้อยู่ในจำนวนที่พอดี หรือ เรื่องของการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวของคนไทย โดยเฉพาะในช่วง ไตรมาสสุดท้าย นอกจากนั้น ยังควรให้ความสำคัญเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อสร้างบรรยากาศด้านการท่องเที่ยวให้เกิดมีขึ้น
ตอนนี้ยอมรับว่า การเดินทางท่องเที่ยวจะเงียบกว่าทุกปี โดยเฉพาะในตลาดคนไทย ที่ยังไม่กลับมาเดินทางท่องเที่ยวแบบค้างคืนเหมือนเดิม ซึ่งเพราะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ที่ทำให้ทุกคนต้องใช้จ่ายแบบประหยัด ทำให้ โรงแรมไม่สามารถปรับขึ้นราคาห้องพักได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต่างจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และเวียดนาม ที่เค้าปรับขึ้นราคาห้องพักได้ตามมาตรฐาน คือเฉลี่ย 10-15% และ ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปจำนวนมากอีกด้วย ซึ่งราคาโรงแรมในประเทศไทย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้แต่เวียดนาม ถือว่าเรามีราคาถูกกว่าเขามากอยู่แล้ว นายประกิจ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอัตราเข้าพักโรงแรมในกรุงเทพฯเฉพาะเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา เข้าพักเฉลี่ยที่ 68% ต่ำกว่าเดือนกันยายน 2550 ประมาณ 3% ซึ่งถือเป็นอัตราเข้าพักที่ต่ำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งที่เริ่มเข้าสู่ฤดูไฮน์ซีซั่นแล้ว ส่วนภาคเหนือ เฉพาะจังหวัดเชียงราย และ เชียงใหม่ เริ่มมีอัตราเข้าพักที่ดีขึ้น โดยที่เชียงราย อัตราเข้าพักเฉลี่ยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 70% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากสภาพอากาศที่เริ่มมีอุณหภูมิลดต่ำลง ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เริ่มเดินทางเข้าพื้นที่เร็วกว่าทุกปี
จากอัตราเข้าพัก ที่ลดลงเกือบทุกๆเดือน ของหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ภาคอีสาน และ ภาคเหนือ ทำให้มีแนวโน้มว่า ภาพรวมของอัตราเข้าพักเฉลี่ยโรงแรมทั้งประเทศในปีนี้ อาจลดลง 9-10% จากปกติ จะต้องเติบโตไม่น้อยกว่า 10%
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000130944
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤศจิกายน 2550 09:21 น.
ธุรกิจโรงแรมซบต่อเนื่อง ทีเอชเอ เผยผู้ประกอบการไม่สามารถปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักได้ตามต้นทุนที่แท้จริง กระท่อนกระแท่นขึ้นได้แค่ 5% สวนทางคู่แข่ง สิงคโปร์ ฮ่องกง และ เวียดนาม เหตุ พิษเศรษฐกิจรุมเร้า คนไทยเปลี่ยนเป็นเที่ยวแบบไม่ค้างคืน แถม จำนวนห้องพักยังโอเวอร์ซัพพลาย วอนรัฐเร่งแก้ไข พร้อมคุมเข้มใบอนุญาต
นายประกิจ ชินอมรพงษ์ อุปนายก สมาคมโรงแรมไทย หรือ ทีเอชเอ เปิดเผยว่า ในปีนี้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมไม่สามารถปรับขึ้นราคาห้องพักได้ตามความเป็น โดยปรับได้เพียง 5-7% เท่านั้น จากทุกๆปีที่ผ่าน ทุกโรงแรมจะเฉลี่ยปรับขึ้นค่าห้องพักที่ 10-12% ที่เป็นเช่นนี้ มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ ปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย เนื่องจากมีกลุ่มนักธุรกิจ สนใจเข้ามาลงทุนเปิดโรงแรมจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร โดยปีนี้เพียงปีเดียว มีโรงแรมเปิดใหม่ในกรุงเทพมากกว่า 3,000 ห้อง ทั้งนี้ยังไม่นับรวมเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์
ส่วนสาเหตุที่ 2 คือปัญหาเศรษฐกิจ และ การเมืองของประเทศไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจหดตัว การเดินทางเพื่อมาเจรจาติดต่องาน หรือ มองหาลู่ทางการลงทุนลดน้อยลง ตรงนี้ จะส่งผลกระทบต่อโรงแรมที่อยู่ในกรุงเทพอย่างชัดเจน เพราะ หากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว หากไม่มั่นใจในความปลอดภัย ก็สามารถเลือกเดินทางไปเดสติเนชั่นที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวเลยก็ได้ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะสมุย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน โรงแรมที่อยู่ในต่างจังหวัดก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ จากตลาดของคนไทย โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 3-4 ดาว เนื่องจากคนไทยมีการเดินทางแบบค้างคืนลดลง เปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นเดินทางเป็นเช้าไปเย็นกลับ ในจังหวัดใกล้ๆ ส่วนตลาดประชุมสัมมนาก็ถูกตัดงบลงไปบ้างทั้งภาครัฐและเอกชน
ดังนั้นจึงต้องการให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วย เช่น การควบคุมการออกใบอนุญาตเปิดโรงแรม ให้อยู่ในจำนวนที่พอดี หรือ เรื่องของการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวของคนไทย โดยเฉพาะในช่วง ไตรมาสสุดท้าย นอกจากนั้น ยังควรให้ความสำคัญเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อสร้างบรรยากาศด้านการท่องเที่ยวให้เกิดมีขึ้น
ตอนนี้ยอมรับว่า การเดินทางท่องเที่ยวจะเงียบกว่าทุกปี โดยเฉพาะในตลาดคนไทย ที่ยังไม่กลับมาเดินทางท่องเที่ยวแบบค้างคืนเหมือนเดิม ซึ่งเพราะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ที่ทำให้ทุกคนต้องใช้จ่ายแบบประหยัด ทำให้ โรงแรมไม่สามารถปรับขึ้นราคาห้องพักได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต่างจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และเวียดนาม ที่เค้าปรับขึ้นราคาห้องพักได้ตามมาตรฐาน คือเฉลี่ย 10-15% และ ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปจำนวนมากอีกด้วย ซึ่งราคาโรงแรมในประเทศไทย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้แต่เวียดนาม ถือว่าเรามีราคาถูกกว่าเขามากอยู่แล้ว นายประกิจ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอัตราเข้าพักโรงแรมในกรุงเทพฯเฉพาะเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา เข้าพักเฉลี่ยที่ 68% ต่ำกว่าเดือนกันยายน 2550 ประมาณ 3% ซึ่งถือเป็นอัตราเข้าพักที่ต่ำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งที่เริ่มเข้าสู่ฤดูไฮน์ซีซั่นแล้ว ส่วนภาคเหนือ เฉพาะจังหวัดเชียงราย และ เชียงใหม่ เริ่มมีอัตราเข้าพักที่ดีขึ้น โดยที่เชียงราย อัตราเข้าพักเฉลี่ยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 70% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากสภาพอากาศที่เริ่มมีอุณหภูมิลดต่ำลง ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เริ่มเดินทางเข้าพื้นที่เร็วกว่าทุกปี
จากอัตราเข้าพัก ที่ลดลงเกือบทุกๆเดือน ของหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ภาคอีสาน และ ภาคเหนือ ทำให้มีแนวโน้มว่า ภาพรวมของอัตราเข้าพักเฉลี่ยโรงแรมทั้งประเทศในปีนี้ อาจลดลง 9-10% จากปกติ จะต้องเติบโตไม่น้อยกว่า 10%
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000130944
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/11/07
โพสต์ที่ 72
ปลัดฯท่องเที่ยวปลื้ม ยกชั้นศูนย์ใน1เดือน
โพสต์ทูเดย์ ปลัดฯ ท่องเที่ยว โชว์ 1 เดือน ยกระดับศูนย์การท่องเที่ยวกีฬาฯ เป็นสำนักงานท่องเที่ยวฯ 31 จังหวัดแล้ว
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงผลการดำเนินงานหลังรับตำแหน่งช่วง 1 เดือนว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้อนุมัติให้กระทรวงยกระดับศูนย์การท่องเที่ยวและกีฬาและนันทนาการจังหวัด ขึ้นเป็นสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด โดยเบื้องต้นได้อนุมัติ 27 แห่ง เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต พังงา และชลบุรี รวมถึงเพิ่มจังหวัดเชิงยุทธศาสตร์ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสตูล รวม 31 จังหวัด จากศูนย์ทั่วประเทศ 76 จังหวัด
ทั้งนี้ การคัดเลือกดังกล่าว ก.พ.ร.ได้ใช้เกณฑ์การชี้วัด จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ สัดส่วน 60% เพราะการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับประเทศ และด้านการกีฬา 40% ซึ่งการอนุมัติครั้งนี้ ถือว่าเป็นการทดลองศักยภาพความพร้อมในการบริหารจัดการของกระทรวง โดยคาดว่าจะทยอย ยกระดับศูนย์ขึ้นเป็นสำนักงานฯ ได้ครบ 76 จังหวัด ภายในปี 2551 นี้
การยกระดับเป็นสำนักงานฯ ครั้งนี้ ช่วยให้การทำงานของบุคลากรมีอำนาจการตัดสินใจและดำเนินการได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯ ได้ยกฐานะทางราชการจากซี 8 ข้าราชการ เป็นซี 8 ฝ่ายบริหาร ขณะที่ภาระหน้าที่จะเพิ่มขึ้นตามหน่วยงานที่ เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ สำนักงานฯ ยังต้องขยายหน้าที่การทำงาน โดยเป็นผู้ดูแลพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เนื่องจากการเกลี่ยงบประมาณที่จะเข้าไปดูแลในแต่ละพื้นที่ จะลดหลั่นลำดับความสำคัญ เช่นศูนย์ใหญ่เฉลี่ยที่ 6 แสนบาท เป็นต้น ที่ผ่านมา นายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งเกษียณอายุเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ได้ผลักดันศูนย์ให้เป็นสำนักงานมากว่า 3 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202147
โพสต์ทูเดย์ ปลัดฯ ท่องเที่ยว โชว์ 1 เดือน ยกระดับศูนย์การท่องเที่ยวกีฬาฯ เป็นสำนักงานท่องเที่ยวฯ 31 จังหวัดแล้ว
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงผลการดำเนินงานหลังรับตำแหน่งช่วง 1 เดือนว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้อนุมัติให้กระทรวงยกระดับศูนย์การท่องเที่ยวและกีฬาและนันทนาการจังหวัด ขึ้นเป็นสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด โดยเบื้องต้นได้อนุมัติ 27 แห่ง เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต พังงา และชลบุรี รวมถึงเพิ่มจังหวัดเชิงยุทธศาสตร์ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสตูล รวม 31 จังหวัด จากศูนย์ทั่วประเทศ 76 จังหวัด
ทั้งนี้ การคัดเลือกดังกล่าว ก.พ.ร.ได้ใช้เกณฑ์การชี้วัด จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ สัดส่วน 60% เพราะการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับประเทศ และด้านการกีฬา 40% ซึ่งการอนุมัติครั้งนี้ ถือว่าเป็นการทดลองศักยภาพความพร้อมในการบริหารจัดการของกระทรวง โดยคาดว่าจะทยอย ยกระดับศูนย์ขึ้นเป็นสำนักงานฯ ได้ครบ 76 จังหวัด ภายในปี 2551 นี้
การยกระดับเป็นสำนักงานฯ ครั้งนี้ ช่วยให้การทำงานของบุคลากรมีอำนาจการตัดสินใจและดำเนินการได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯ ได้ยกฐานะทางราชการจากซี 8 ข้าราชการ เป็นซี 8 ฝ่ายบริหาร ขณะที่ภาระหน้าที่จะเพิ่มขึ้นตามหน่วยงานที่ เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ สำนักงานฯ ยังต้องขยายหน้าที่การทำงาน โดยเป็นผู้ดูแลพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เนื่องจากการเกลี่ยงบประมาณที่จะเข้าไปดูแลในแต่ละพื้นที่ จะลดหลั่นลำดับความสำคัญ เช่นศูนย์ใหญ่เฉลี่ยที่ 6 แสนบาท เป็นต้น ที่ผ่านมา นายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งเกษียณอายุเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ได้ผลักดันศูนย์ให้เป็นสำนักงานมากว่า 3 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202147
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/11/07
โพสต์ที่ 73
9เดือนนักท่องเที่ยววูบ
โพสต์ทูเดย์ หมดช่วงความฝัน ททท. เผยตัวเลขนักท่องเที่ยว 9 เดือนแรกยอดนักท่องเที่ยววูบ 15% หลังทัวร์จีนหดตัวต่อเนื่อง
นายสรรเสริญ เงารังษี ผอ.ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและ โอเชียเนีย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าผ่าน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระหว่างเดือน ม.ค-ก.ย. มีจำนวน 5.6 แสนคน ลดลง 15.34% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อัตราการที่ ลดลงนั้นถือว่าดีขึ้น เพราะหากเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี จะพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 22% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวยังลดลงเกิดจากปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่แม้ว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนจะเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่ยังไม่ดีขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีนยังเดินทางมาน้อยลง แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวต้องใช้เวลาในการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ จะดีขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ ประเทศไทยังประสบปัญหาเรื่องการแข่งขันของประเทศต่างๆ ที่พยายามจูงใจให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไป เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก และรัฐบาลจีนได้ส่งเสริมให้คนจีนเดินทางท่องเที่ยวยังต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้คู่แข่งที่ น่ากลัวของประเทศไทย คือ ญี่ปุ่น เกาหลี เพราะทั้ง 2 ประเทศ มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับจีน รวมถึงราคาค่าทัวร์ใกล้เคียงกับไทย ขณะที่แถบยุโรปไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะนักท่องเที่ยวจีนมีความรู้สึกถูกต้อนรับแบบชนชั้น 2
ททท.จะชูความเป็นมิตรไมตรี ที่ดีในการต้อนรับ ทำให้ชาวจีนนิยมมาไทยอย่างมาก แต่ในปีนี้ปัจจัยลบ ที่เกิดขึ้น อาจทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้พลาดเป้า โดย ททท.เน้นการออก โรดโชว์สร้างความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ล่าสุดได้จัดงานที่คุนหมิง ได้คุยกับบริษัท ไชน่า คอมฟอร์ด ซึ่งขายทัวร์คุณภาพ เล่าว่าคนจีนเริ่มนิยมทัวร์คุณภาพและให้การยอมรับ เห็นได้จากยอดขายปีนี้ 9 เดือน ขายได้ 8 หมื่นราย เพิ่มขึ้นกว่าปี 2549 ทั้งปี นายสรรเสริญ กล่าว
ในส่วนของตลาดกลุ่มอื่น อย่าง ญี่ปุ่น พบว่า 9 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 8.7 แสนคน เพิ่มขึ้น 2.49% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดญี่ปุ่นได้ฟื้นตัวมาจากช่วงต้นปีที่ลดลง 6%
นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า ททท.เตรียมเปิดตลาดใหม่ในญี่ปุ่น เป็นกลุ่มผู้หญิงที่ชื่นชอบการตีกอล์ฟ ให้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยการจัดแพ็กเกจทัวร์ เพราะปัจจุบันผู้หญิงญี่ปุ่นนิยมเล่นกีฬากอล์ฟเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มีสนามกอล์ฟรองรับ และถูกกันสิทธิ์โดยเลือกผู้ใช้บริการเป็นผู้ชายก่อน
นอกจากนี้ เตรียมฟื้นกลุ่มเยาวชนให้เลือกเป็นที่ทัศนศึกษา หลังจากช่วงเกิดการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งกลุ่มนี้ได้ชะลอการ เดินทาง เพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย รวมถึงจะร่วมมือกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ ทราเวล ฟอร์รัม ระหว่างวันที่ 4-6 ธ.ค.นี้ โดยเชิญบริษัททัวร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ให้เดินทางด้วยเที่ยวบินตรงมาลงที่เชียงใหม่ พร้อมโชว์ศักยภาพการรองรับของสนามบินนานาชาติ จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้นักท่องเที่ยว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202359
โพสต์ทูเดย์ หมดช่วงความฝัน ททท. เผยตัวเลขนักท่องเที่ยว 9 เดือนแรกยอดนักท่องเที่ยววูบ 15% หลังทัวร์จีนหดตัวต่อเนื่อง
นายสรรเสริญ เงารังษี ผอ.ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและ โอเชียเนีย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าผ่าน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระหว่างเดือน ม.ค-ก.ย. มีจำนวน 5.6 แสนคน ลดลง 15.34% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อัตราการที่ ลดลงนั้นถือว่าดีขึ้น เพราะหากเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี จะพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 22% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวยังลดลงเกิดจากปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่แม้ว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนจะเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่ยังไม่ดีขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีนยังเดินทางมาน้อยลง แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวต้องใช้เวลาในการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ จะดีขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ ประเทศไทยังประสบปัญหาเรื่องการแข่งขันของประเทศต่างๆ ที่พยายามจูงใจให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไป เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก และรัฐบาลจีนได้ส่งเสริมให้คนจีนเดินทางท่องเที่ยวยังต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้คู่แข่งที่ น่ากลัวของประเทศไทย คือ ญี่ปุ่น เกาหลี เพราะทั้ง 2 ประเทศ มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับจีน รวมถึงราคาค่าทัวร์ใกล้เคียงกับไทย ขณะที่แถบยุโรปไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะนักท่องเที่ยวจีนมีความรู้สึกถูกต้อนรับแบบชนชั้น 2
ททท.จะชูความเป็นมิตรไมตรี ที่ดีในการต้อนรับ ทำให้ชาวจีนนิยมมาไทยอย่างมาก แต่ในปีนี้ปัจจัยลบ ที่เกิดขึ้น อาจทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้พลาดเป้า โดย ททท.เน้นการออก โรดโชว์สร้างความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ล่าสุดได้จัดงานที่คุนหมิง ได้คุยกับบริษัท ไชน่า คอมฟอร์ด ซึ่งขายทัวร์คุณภาพ เล่าว่าคนจีนเริ่มนิยมทัวร์คุณภาพและให้การยอมรับ เห็นได้จากยอดขายปีนี้ 9 เดือน ขายได้ 8 หมื่นราย เพิ่มขึ้นกว่าปี 2549 ทั้งปี นายสรรเสริญ กล่าว
ในส่วนของตลาดกลุ่มอื่น อย่าง ญี่ปุ่น พบว่า 9 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 8.7 แสนคน เพิ่มขึ้น 2.49% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดญี่ปุ่นได้ฟื้นตัวมาจากช่วงต้นปีที่ลดลง 6%
นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า ททท.เตรียมเปิดตลาดใหม่ในญี่ปุ่น เป็นกลุ่มผู้หญิงที่ชื่นชอบการตีกอล์ฟ ให้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยการจัดแพ็กเกจทัวร์ เพราะปัจจุบันผู้หญิงญี่ปุ่นนิยมเล่นกีฬากอล์ฟเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มีสนามกอล์ฟรองรับ และถูกกันสิทธิ์โดยเลือกผู้ใช้บริการเป็นผู้ชายก่อน
นอกจากนี้ เตรียมฟื้นกลุ่มเยาวชนให้เลือกเป็นที่ทัศนศึกษา หลังจากช่วงเกิดการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งกลุ่มนี้ได้ชะลอการ เดินทาง เพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย รวมถึงจะร่วมมือกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ ทราเวล ฟอร์รัม ระหว่างวันที่ 4-6 ธ.ค.นี้ โดยเชิญบริษัททัวร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ให้เดินทางด้วยเที่ยวบินตรงมาลงที่เชียงใหม่ พร้อมโชว์ศักยภาพการรองรับของสนามบินนานาชาติ จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้นักท่องเที่ยว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202359
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/11/07
โพสต์ที่ 74
ท่องเที่ยวกระอักรับพิษน้ำมันแพง
Posted on Thursday, November 08, 2007
นายเอนก ศรีชีวะชาติ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า จากปัญญาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวไทยที่วางแผนการท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้า แต่จะเริ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงปลายไตรมาสที่ 1/2551 หากราคาน้ำมันยังไม่ลดลงและเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวต้องการเก็บเงินไว้เป็นทุนสำรอง
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คนไทยเดินทางไปเที่ยวประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะค่าใช้จ่ายในจีนจะถูกกว่าฮ่องกง และสิงคโปร์ อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมายังมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นถึงเกือบ 2 แสนคน แม้ว่าการไปเที่ยวญี่ปุ่นจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจีน แต่ผู้ที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ยังมีความสบายใจที่จะจ่ายเงินได้มากกว่า
ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยในปีนี้นั้น ยังคงมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาคือ 14 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นคนญี่ปุ่นถึง 1.4 ล้านคน หลังจากที่ก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นได้งดการเดินทางมาเที่ยวไทย เพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย ส่วนปี 2551 ถ้าหลังการเลือกตั้งไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น เชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะเดินทางมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 8 10% จากปีที่ผ่านมา
นายเอนกยังฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่า อยากให้หาจุดขายของการท่องเที่ยวของไทย รวมทั้งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย และชาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจว่า จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศด้วย
นายชูชาติ ทองคำ อุปนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศ กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมทั้งผู้ให้บริการรถนำเที่ยวเช่นกัน เพราะราคาน้ำมันคิดเป็น 60% ของค่าใช้จ่าย และมีผลให้นักท่องเที่ยวบางส่วนหันไปใช้บริการของสายการบินต้นทุนต่ำ ขณะที่บางส่วนก็เปลี่ยนไปเที่ยวที่ต่างประเทศแทน แต่เมื่อ บมจ.การบินไทยปรับขึ้นค่าภาษีน้ำมัน ก็ทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาใช้บริการรถนำเที่ยวเพื่อท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น
ที่ผ่านมา ได้เคยเสนอให้ภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการรถนำเที่ยวเรื่องราคาน้ำมัน และขอให้ระงับการจดทะเบียนรถนำเที่ยว เพื่อรอให้ตลาดรถนำเที่ยวฟื้นตัว และผู้ประกอบการก็จะสามารถอยู่รอดได้ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากภาครัฐ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้วยการลดต้นทุนของตนเอง และพยายามเพิ่มความถี่ในการให้บริการเป็นเดือนละ 20 22 วันจึงจะถึงจุดคุ้มทุน จากที่ปัจจุบันให้บริการได้เพียงเดือนละ 15 วัน
นายชูชาติบอกว่า ขณะนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ตั้งคณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติขึ้นมา โดยมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้ดูแล ซึ่งถ้าคณะกรรมการชุดนี้มีการทำงานกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้มากขึ้นด้วย
สำหรับการท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศร่วมกับสมาคมไทยบริการท่องเที่ยวและพันธมิตร จะเดินทางไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้กำลังใจแก่ธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Thursday, November 08, 2007
นายเอนก ศรีชีวะชาติ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า จากปัญญาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวไทยที่วางแผนการท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้า แต่จะเริ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงปลายไตรมาสที่ 1/2551 หากราคาน้ำมันยังไม่ลดลงและเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวต้องการเก็บเงินไว้เป็นทุนสำรอง
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คนไทยเดินทางไปเที่ยวประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะค่าใช้จ่ายในจีนจะถูกกว่าฮ่องกง และสิงคโปร์ อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมายังมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นถึงเกือบ 2 แสนคน แม้ว่าการไปเที่ยวญี่ปุ่นจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจีน แต่ผู้ที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ยังมีความสบายใจที่จะจ่ายเงินได้มากกว่า
ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยในปีนี้นั้น ยังคงมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาคือ 14 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นคนญี่ปุ่นถึง 1.4 ล้านคน หลังจากที่ก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นได้งดการเดินทางมาเที่ยวไทย เพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย ส่วนปี 2551 ถ้าหลังการเลือกตั้งไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น เชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะเดินทางมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 8 10% จากปีที่ผ่านมา
นายเอนกยังฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่า อยากให้หาจุดขายของการท่องเที่ยวของไทย รวมทั้งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย และชาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจว่า จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศด้วย
นายชูชาติ ทองคำ อุปนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศ กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมทั้งผู้ให้บริการรถนำเที่ยวเช่นกัน เพราะราคาน้ำมันคิดเป็น 60% ของค่าใช้จ่าย และมีผลให้นักท่องเที่ยวบางส่วนหันไปใช้บริการของสายการบินต้นทุนต่ำ ขณะที่บางส่วนก็เปลี่ยนไปเที่ยวที่ต่างประเทศแทน แต่เมื่อ บมจ.การบินไทยปรับขึ้นค่าภาษีน้ำมัน ก็ทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาใช้บริการรถนำเที่ยวเพื่อท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น
ที่ผ่านมา ได้เคยเสนอให้ภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการรถนำเที่ยวเรื่องราคาน้ำมัน และขอให้ระงับการจดทะเบียนรถนำเที่ยว เพื่อรอให้ตลาดรถนำเที่ยวฟื้นตัว และผู้ประกอบการก็จะสามารถอยู่รอดได้ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากภาครัฐ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้วยการลดต้นทุนของตนเอง และพยายามเพิ่มความถี่ในการให้บริการเป็นเดือนละ 20 22 วันจึงจะถึงจุดคุ้มทุน จากที่ปัจจุบันให้บริการได้เพียงเดือนละ 15 วัน
นายชูชาติบอกว่า ขณะนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ตั้งคณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติขึ้นมา โดยมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้ดูแล ซึ่งถ้าคณะกรรมการชุดนี้มีการทำงานกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้มากขึ้นด้วย
สำหรับการท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศร่วมกับสมาคมไทยบริการท่องเที่ยวและพันธมิตร จะเดินทางไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้กำลังใจแก่ธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/11/07
โพสต์ที่ 75
วีรันดาพร้อมรบโรงแรม5ดาว
โพสต์ทูเดย์ วีรันดา ลุยโรงแรม 5 ดาว พ่วงคอนโดมิเนียมหรู สยายปีกคลุมกรุงเทพฯ แหล่งท่องเที่ยว
นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ทแอนด์สปา กล่าวว่า แผนการลงทุนระยะ 1-2 ปีนี้ มีแผนรุกธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมร่วมทุนกับนักธุรกิจคนไทยก่อสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่าโครงการกว่า 1 พันล้านบาท เน้นย่านใจกลางเมืองอย่างถนนสีลม หรือสาทร โดยจะเริ่มก่อสร้างปลายปีหน้า พร้อมเปิดให้บริการปี 2553 ซึ่งจะมีโรงแรมเชนอินเตอร์เข้ามาบริหาร
การตัดสินใจลงทุนในกรุงเทพฯ เพราะมองว่าตลาดยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แม้ว่าจะชะลอตัวบ้าง เล็กน้อยเมื่อมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ แต่ไทยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต่าง ชาติให้ความนิยม อีกทั้งต้องการสร้างแบรนด์วีรันดาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากที่ผ่านมามีความแข็งแกร่งในตลาดต่างจังหวัดอย่างหัวหินแล้ว
ล่าสุด บริษัทใช้งบประมาณ 350 ล้านบาท สร้างวีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ท ที่ จ.เชียงใหม่ บนเนื้อที่ 30 ไร่ จำนวน 69 ห้อง รวมถึงใช้กลยุทธ์ด้านราคาถูกกว่าโรงแรมระดับ 5 ดาวอินเตอร์เชน เฉลี่ย 20-30% โดยเตรียมเปิดให้บริการในวันที่ 28 ธ.ค. ที่จะถึงนี้
การลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะคืนทุนภายใน 7-8 ปี โดยปีแรกตั้งเป้าอัตราการเข้าพักปีแรก 60% แบ่งเป็นลูกค้าคนไทย 60% ต่างชาติ 40% มีรายได้กว่า 100 ล้านบาท และได้ใช้งบกว่า 100 ล้านบาท สร้างคอนโดมิเนียม 33 ยูนิต และพูลวิลล่าอีก 3 ยูนิต บนเนื้อที่เดียวกัน
ในอนาคตบริษัทยังสนใจลงทุนโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เช่น ภูเก็ต ฯลฯ โดย เชื่อว่าภาพรวมเชื่อว่าการท่องเที่ยวของประเทศยังแข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราการเข้าพักในช่วง 10 เดือนแรกของวีรันดา หัวหิน ที่เติบโต 10%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202744
โพสต์ทูเดย์ วีรันดา ลุยโรงแรม 5 ดาว พ่วงคอนโดมิเนียมหรู สยายปีกคลุมกรุงเทพฯ แหล่งท่องเที่ยว
นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ทแอนด์สปา กล่าวว่า แผนการลงทุนระยะ 1-2 ปีนี้ มีแผนรุกธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมร่วมทุนกับนักธุรกิจคนไทยก่อสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่าโครงการกว่า 1 พันล้านบาท เน้นย่านใจกลางเมืองอย่างถนนสีลม หรือสาทร โดยจะเริ่มก่อสร้างปลายปีหน้า พร้อมเปิดให้บริการปี 2553 ซึ่งจะมีโรงแรมเชนอินเตอร์เข้ามาบริหาร
การตัดสินใจลงทุนในกรุงเทพฯ เพราะมองว่าตลาดยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แม้ว่าจะชะลอตัวบ้าง เล็กน้อยเมื่อมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ แต่ไทยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต่าง ชาติให้ความนิยม อีกทั้งต้องการสร้างแบรนด์วีรันดาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากที่ผ่านมามีความแข็งแกร่งในตลาดต่างจังหวัดอย่างหัวหินแล้ว
ล่าสุด บริษัทใช้งบประมาณ 350 ล้านบาท สร้างวีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ท ที่ จ.เชียงใหม่ บนเนื้อที่ 30 ไร่ จำนวน 69 ห้อง รวมถึงใช้กลยุทธ์ด้านราคาถูกกว่าโรงแรมระดับ 5 ดาวอินเตอร์เชน เฉลี่ย 20-30% โดยเตรียมเปิดให้บริการในวันที่ 28 ธ.ค. ที่จะถึงนี้
การลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะคืนทุนภายใน 7-8 ปี โดยปีแรกตั้งเป้าอัตราการเข้าพักปีแรก 60% แบ่งเป็นลูกค้าคนไทย 60% ต่างชาติ 40% มีรายได้กว่า 100 ล้านบาท และได้ใช้งบกว่า 100 ล้านบาท สร้างคอนโดมิเนียม 33 ยูนิต และพูลวิลล่าอีก 3 ยูนิต บนเนื้อที่เดียวกัน
ในอนาคตบริษัทยังสนใจลงทุนโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เช่น ภูเก็ต ฯลฯ โดย เชื่อว่าภาพรวมเชื่อว่าการท่องเที่ยวของประเทศยังแข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราการเข้าพักในช่วง 10 เดือนแรกของวีรันดา หัวหิน ที่เติบโต 10%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202744
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/11/07
โพสต์ที่ 76
ปั้นเขาค้อคอฟฟี่ ป้อนโรงแรมหรู ตั้งราคาไม่แพง
โพสต์ทูเดย์ เขาค้อฯ ลุยธุรกิจ ไร่กาแฟอาราบีก้า ปั้นแบรนด์ เขาค้อ คอฟฟี่ จับตลาดขายตรง-โรงแรม 5 ดาว
นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ และนายอาภรณ์ โทณวณิก ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท เขาค้อพัฒนาการเกษตร ผู้ดำเนินธุรกิจไร่กาแฟ เปิดเผยร่วมกันว่า ได้ก่อตั้งบริษัทตั้งแต่ 6 ปีที่ผ่านมา ใช้งบลงทุนกว่า 140 ล้านบาท จัดซื้อที่ดินและพัฒนา ธุรกิจไร่กาแฟ สายพันธุ์อาราบีก้า พร้อมแปรรูปคั่วบดใน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
นอกจากนี้ บริษัทมีแนวคิดจะพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งที่พัก รีสอร์ตเชิงอนุรักษ์การเกษตรผลิตด้านกาแฟสำหรับนักท่องเที่ยวในอนาคตด้วย
สำหรับผลผลิตกาแฟคั่วบดชุดแรกของไร่ คาดอยู่ที่ 5-6 ตัน โดยเตรียมเปิดตัวภายใต้แบรนด์ เขาค้อ คอฟฟี่ ปลายปี ทั้งในรูปแบบขายตรง ส่งป้อนร้านกาแฟ และขายปลีกเจาะกลุ่มเป้าหมายโรงแรมระดับ 5 ดาว
พร้อมกันนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ในการทำตลาดและกระจายสินค้าร่วมกันในอนาคตด้วย เพื่อรองรับผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 ตันในปีหน้า และ 20 ตันในปีถัดไป และภายใน 3 ปีนับจากนี้ คาดเพิ่มเป็น 100 ตัน
บริษัทวางตำแหน่งเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานคุณภาพระดับสากล แต่ราคาถูกกว่าเกือบ 50% หรืออยู่ที่ 800-1.2 พันบาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับสินค้าเมล็ดกาแฟสายพันธุ์เดียวกันจากต่างประเทศ มีราคาอยู่ที่ 2 พันบาทต่อกิโลกรัม
ทั้งนี้ ตั้งเป้ารายได้ปีแรกไว้ที่ 5 ล้านบาท เน้นแนวคิดพัฒนาจุดขายสินค้า หรือเอาต์เลตร้านกาแฟภายใต้แบรนด์ดังกล่าว รวมถึงพัฒนาที่ดิน 1.5 พันไร่ที่อยู่ติดกัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเชิงท่องเที่ยวด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203468
โพสต์ทูเดย์ เขาค้อฯ ลุยธุรกิจ ไร่กาแฟอาราบีก้า ปั้นแบรนด์ เขาค้อ คอฟฟี่ จับตลาดขายตรง-โรงแรม 5 ดาว
นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ และนายอาภรณ์ โทณวณิก ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท เขาค้อพัฒนาการเกษตร ผู้ดำเนินธุรกิจไร่กาแฟ เปิดเผยร่วมกันว่า ได้ก่อตั้งบริษัทตั้งแต่ 6 ปีที่ผ่านมา ใช้งบลงทุนกว่า 140 ล้านบาท จัดซื้อที่ดินและพัฒนา ธุรกิจไร่กาแฟ สายพันธุ์อาราบีก้า พร้อมแปรรูปคั่วบดใน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
นอกจากนี้ บริษัทมีแนวคิดจะพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งที่พัก รีสอร์ตเชิงอนุรักษ์การเกษตรผลิตด้านกาแฟสำหรับนักท่องเที่ยวในอนาคตด้วย
สำหรับผลผลิตกาแฟคั่วบดชุดแรกของไร่ คาดอยู่ที่ 5-6 ตัน โดยเตรียมเปิดตัวภายใต้แบรนด์ เขาค้อ คอฟฟี่ ปลายปี ทั้งในรูปแบบขายตรง ส่งป้อนร้านกาแฟ และขายปลีกเจาะกลุ่มเป้าหมายโรงแรมระดับ 5 ดาว
พร้อมกันนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ในการทำตลาดและกระจายสินค้าร่วมกันในอนาคตด้วย เพื่อรองรับผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 ตันในปีหน้า และ 20 ตันในปีถัดไป และภายใน 3 ปีนับจากนี้ คาดเพิ่มเป็น 100 ตัน
บริษัทวางตำแหน่งเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานคุณภาพระดับสากล แต่ราคาถูกกว่าเกือบ 50% หรืออยู่ที่ 800-1.2 พันบาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับสินค้าเมล็ดกาแฟสายพันธุ์เดียวกันจากต่างประเทศ มีราคาอยู่ที่ 2 พันบาทต่อกิโลกรัม
ทั้งนี้ ตั้งเป้ารายได้ปีแรกไว้ที่ 5 ล้านบาท เน้นแนวคิดพัฒนาจุดขายสินค้า หรือเอาต์เลตร้านกาแฟภายใต้แบรนด์ดังกล่าว รวมถึงพัฒนาที่ดิน 1.5 พันไร่ที่อยู่ติดกัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเชิงท่องเที่ยวด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203468
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/11/07
โพสต์ที่ 77
ท่องเที่ยวรับมือผวาบึ้มปีใหม่
โพสต์ทูเดย์ ท่องเที่ยวฯ วิตกบึ้ม ซ้ำรอยปีใหม่ ระดมอาสาสมัครกว่า 3 พัน เสริมงานตำรวจ สร้างความเชื่อมั่น
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ของบประมาณ 10 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย เพื่อทำโครงการอบรมอาสาสมัครช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจำนวน 2-3 พันคน ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติ เมื่อประสบเหตุ รวมถึงช่วยสอดส่องดูแลด้านความปลอดภัย
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ นักท่องเที่ยวที่จะออกเดินทางเที่ยวในเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะงานนับถอยหลังวันขึ้นปีใหม่หรือเคาต์ดาวน์ ซึ่งเตรียมจัดขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ บริเวณถนนราชดำริ หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ร่วมกับกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว รับผิดชอบดูแลเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
กระทรวงมีความกังวลว่านักท่องเที่ยวบางส่วนอาจไม่กล้าเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะปีใหม่ เพราะเมื่อ ต้นปีนี้เกิดเหตุการณ์ระเบิด กระทรวงจึงต้องหามาตรการเข้มงวด เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนไทยและต่างชาติ ออกมาเคาต์ดาวน์แบบไร้กังวล น.ส.ศศิธารา กล่าว
สำหรับอาสาสมัครที่ทำการอบรม เตรียมอบรมในกลุ่มแรกจำนวน 700-800 คน ก่อนทยอยอบรมจนครบ 3 พันคน เพื่อนำมาดำเนินการช่วงเทศกาลวันลอยกระทงช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งโครงการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ถือเป็นชุดเฉพาะกิจที่จะทำงานร่วมกับตำรวจทุกสังกัด
ด้านความคืบหน้าการเตรียมการจัดงานวันขึ้นปีใหม่ ในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ได้เรียกผู้ค้าย่านราชดำริหารือเพื่อวางแผนด้านการจัดงาน ซึ่งแบ่งเป็น 4 เรื่องหลัก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203691
โพสต์ทูเดย์ ท่องเที่ยวฯ วิตกบึ้ม ซ้ำรอยปีใหม่ ระดมอาสาสมัครกว่า 3 พัน เสริมงานตำรวจ สร้างความเชื่อมั่น
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ของบประมาณ 10 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย เพื่อทำโครงการอบรมอาสาสมัครช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจำนวน 2-3 พันคน ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติ เมื่อประสบเหตุ รวมถึงช่วยสอดส่องดูแลด้านความปลอดภัย
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ นักท่องเที่ยวที่จะออกเดินทางเที่ยวในเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะงานนับถอยหลังวันขึ้นปีใหม่หรือเคาต์ดาวน์ ซึ่งเตรียมจัดขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ บริเวณถนนราชดำริ หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ร่วมกับกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว รับผิดชอบดูแลเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
กระทรวงมีความกังวลว่านักท่องเที่ยวบางส่วนอาจไม่กล้าเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะปีใหม่ เพราะเมื่อ ต้นปีนี้เกิดเหตุการณ์ระเบิด กระทรวงจึงต้องหามาตรการเข้มงวด เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนไทยและต่างชาติ ออกมาเคาต์ดาวน์แบบไร้กังวล น.ส.ศศิธารา กล่าว
สำหรับอาสาสมัครที่ทำการอบรม เตรียมอบรมในกลุ่มแรกจำนวน 700-800 คน ก่อนทยอยอบรมจนครบ 3 พันคน เพื่อนำมาดำเนินการช่วงเทศกาลวันลอยกระทงช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งโครงการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ถือเป็นชุดเฉพาะกิจที่จะทำงานร่วมกับตำรวจทุกสังกัด
ด้านความคืบหน้าการเตรียมการจัดงานวันขึ้นปีใหม่ ในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ได้เรียกผู้ค้าย่านราชดำริหารือเพื่อวางแผนด้านการจัดงาน ซึ่งแบ่งเป็น 4 เรื่องหลัก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203691
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/11/07
โพสต์ที่ 78
เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ฮึดสู้โรงแรม
โพสต์ทูเดย์ ควอลิตี้ เฮ้าส์ ลุยธุรกิจโรงแรมเต็มตัว ปรับเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ในเครือทั้ง 7 โครงการรวมกว่า 2 พันหน่วยลงแข่งปีหน้า
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทจะนำโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ของบริษัท 5 โครงการ และที่บริหารให้บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อีก 2 โครงการ รวม 7 โครงการทั้งหมดกว่า 2 พันหน่วย มาจดทะเบียนเป็นโรงแรม หลังจากที่ล่าสุดได้นำโครงการแกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ ราชดำริ จะปรับเป็นโรงแรมรูปแบบใหม่แห่งแรก โดยมีทั้งห้องพักให้บริการใน รูปแบบโรงแรม และห้องพักระยะยาวหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์
การขยายธุรกิจสู่โรงแรมครั้งนี้ จะทำให้ฐานลูกค้าของบริษัทกว้าง ขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกับโรงแรมแล้วการให้บริการในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์จะมีบริการพร้อมและสมบูรณ์กว่า โดยโครงการที่ให้บริการห้องพักในระยะยาวหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่ต้องการจะรับลูกค้าที่พักระยะสั้นจะต้องจดทะเบียนเป็นโรงแรมตามกฎหมายที่ออกมาใหม่ด้วย
สำหรับแนวโน้มของธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์นั้น ในอนาคตการแข่งขันด้านราคาจะเกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากใน 3 ปีข้างหน้าจะมีเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เข้าสู่ตลาดอีก 8 พันหน่วย และโรงแรมอีก 4 พันห้อง ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า แต่พบว่ายังมีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี และอัตราเข้าพักเฉลี่ยจึงยังอยู่ที่ 80% แต่ราคาห้องอาจขยับขึ้นยาก
สำหรับโครงการแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ ถือเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัทที่จับกลุ่มลูกค้าระดับบน โดยเป็นของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เช่าที่ดินพระคลังข้างที่ในซอยมหาดเล็กหลวง 1 เนื้อที่โครงการ 30 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 50 ชั้น จำนวน 526 ห้อง มูลค่าโครงการ 2.7 พันล้านบาท โดยให้บริษัทเป็นผู้บริหารโครงการ คิดค่าบริการในอัตรา 2% ของรายได้จากค่าห้องพักและบริการ และ 5.5% จากกำไรการดำเนินการ คาดว่าในปี 2551 จะมีรายได้เกือบ 400 ล้านบาท
หลังเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการแล้ว 1 เดือน มีผู้เข้าพัก 100 ห้อง จากกว่า 500 ห้อง และคาดว่าจะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 85% ในปี หน้า นางสุวรรณา กล่าว
ปีหน้าบริษัทจะนำโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 3 โครงการ คือ เซ็นเตอร์พอยต์ เพชรบุรี สุขุมวิท และศาลาแดง และโครงการอาคารสำนักงาน 1 แห่ง เข้าระดมทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 3 พันล้านบาท เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจต่อเนื่อง และชำระหนี้เงินกู้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204954
โพสต์ทูเดย์ ควอลิตี้ เฮ้าส์ ลุยธุรกิจโรงแรมเต็มตัว ปรับเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ในเครือทั้ง 7 โครงการรวมกว่า 2 พันหน่วยลงแข่งปีหน้า
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทจะนำโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ของบริษัท 5 โครงการ และที่บริหารให้บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อีก 2 โครงการ รวม 7 โครงการทั้งหมดกว่า 2 พันหน่วย มาจดทะเบียนเป็นโรงแรม หลังจากที่ล่าสุดได้นำโครงการแกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ ราชดำริ จะปรับเป็นโรงแรมรูปแบบใหม่แห่งแรก โดยมีทั้งห้องพักให้บริการใน รูปแบบโรงแรม และห้องพักระยะยาวหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์
การขยายธุรกิจสู่โรงแรมครั้งนี้ จะทำให้ฐานลูกค้าของบริษัทกว้าง ขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกับโรงแรมแล้วการให้บริการในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์จะมีบริการพร้อมและสมบูรณ์กว่า โดยโครงการที่ให้บริการห้องพักในระยะยาวหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่ต้องการจะรับลูกค้าที่พักระยะสั้นจะต้องจดทะเบียนเป็นโรงแรมตามกฎหมายที่ออกมาใหม่ด้วย
สำหรับแนวโน้มของธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์นั้น ในอนาคตการแข่งขันด้านราคาจะเกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากใน 3 ปีข้างหน้าจะมีเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เข้าสู่ตลาดอีก 8 พันหน่วย และโรงแรมอีก 4 พันห้อง ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า แต่พบว่ายังมีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี และอัตราเข้าพักเฉลี่ยจึงยังอยู่ที่ 80% แต่ราคาห้องอาจขยับขึ้นยาก
สำหรับโครงการแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ ถือเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัทที่จับกลุ่มลูกค้าระดับบน โดยเป็นของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เช่าที่ดินพระคลังข้างที่ในซอยมหาดเล็กหลวง 1 เนื้อที่โครงการ 30 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 50 ชั้น จำนวน 526 ห้อง มูลค่าโครงการ 2.7 พันล้านบาท โดยให้บริษัทเป็นผู้บริหารโครงการ คิดค่าบริการในอัตรา 2% ของรายได้จากค่าห้องพักและบริการ และ 5.5% จากกำไรการดำเนินการ คาดว่าในปี 2551 จะมีรายได้เกือบ 400 ล้านบาท
หลังเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการแล้ว 1 เดือน มีผู้เข้าพัก 100 ห้อง จากกว่า 500 ห้อง และคาดว่าจะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 85% ในปี หน้า นางสุวรรณา กล่าว
ปีหน้าบริษัทจะนำโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 3 โครงการ คือ เซ็นเตอร์พอยต์ เพชรบุรี สุขุมวิท และศาลาแดง และโครงการอาคารสำนักงาน 1 แห่ง เข้าระดมทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 3 พันล้านบาท เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจต่อเนื่อง และชำระหนี้เงินกู้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204954
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/11/07
โพสต์ที่ 79
โอเชี่ยนเวิร์ลหันดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โพสต์ทูเดย์ สยาม โอเชี่ยนฯ ปรับกลยุทธ์รุกต่างชาติ แก้ปัญหาเที่ยวไทยซบ พร้อมขยายฐานวัยรุ่น
นางกันตพร ทองมั่น ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สยาม โอเชี่ยน เวิร์ล กรุงเทพฯ กล่าวว่า บริษัท ได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดรับมือกับสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วย การรุกตลาดต่างประเทศ รวมถึงกลุ่ม นักเรียนนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้ผลประกอบการในปีนี้สวนทางกับปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยมีรายได้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ได้เตรียมออกโรดโชว์ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมาย เช่น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย รัสเซีย เวียดนาม ฮ่องกง ซึ่งปีหน้าจะ เพิ่มความถี่ในการโรดโชว์ให้มาก กว่าปัจจุบัน เพราะต้องการรุกตลาดต่างประเทศ ทดแทนกลุ่มตลาด คนไทยที่มีกำลังซื้อลดลง
สำหรับสัดส่วนลูกค้าในปัจจุบันแบ่งเป็น ลูกค้าคนไทย 75% และต่างชาติ 25% ขณะที่ในปีหน้ามองว่าสัดส่วนชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ล่าสุด บริษัทได้ใช้งบประมาณจำนวน 30 ล้านบาท เปิดโซนใหม่ โซน มอนสเตอร์ส ออฟ เดอะ ดีฟ อสุรกายใต้น้ำ เป็นการนำปลาหมึกยักษ์มาแสดง รวมถึงโซน โอเชี่ยน วอล์กเกอร์ โดยเปิดให้บริการผู้ที่ เข้าชมและสนใจสัมผัสบรรยากาศใต้น้ำอย่างใกล้ชิด ช่วงแรกคาดว่า จะมีผู้ใช้บริการ 20 คน/วัน ทำให้ การใช้บริการเพิ่มขึ้น 10%
ทั้งนี้ โซนดังกล่าวจัดทำขึ้น เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและ ผู้รักการผจญภัยให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น จากที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าบริษัทจะเน้นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมประสบการณ์ รวมถึงปรับปรุงสถานที่ให้ผู้ชมได้เรียนรู้จากเสียงด้านเทคโนโลยีอินเตอร์แอ็กทีฟ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้าชม โดยปีนี้คาดจะมีผู้เข้าชมราว 9 แสนคน ขณะที่ปีหน้าตั้งเป้า มีผู้เข้าชมโซนต่างๆ กว่า 1 ล้านคน
บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ เพราะมีกลยุทธ์ที่รัดกุมเมื่อคนไทยกำลังซื้อหด จึงหันไป รุกตลาดต่างประเทศแทน แต่หลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ เชื่อว่าคนไทยจะกลับมาเที่ยวอีกครั้ง โดยปีหน้า จะหันมาให้ความสำคัญกับตลาด คนไทยไม่น้อยกว่าต่างชาติ นางกันตพร กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205206
โพสต์ทูเดย์ สยาม โอเชี่ยนฯ ปรับกลยุทธ์รุกต่างชาติ แก้ปัญหาเที่ยวไทยซบ พร้อมขยายฐานวัยรุ่น
นางกันตพร ทองมั่น ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สยาม โอเชี่ยน เวิร์ล กรุงเทพฯ กล่าวว่า บริษัท ได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดรับมือกับสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วย การรุกตลาดต่างประเทศ รวมถึงกลุ่ม นักเรียนนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้ผลประกอบการในปีนี้สวนทางกับปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยมีรายได้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ได้เตรียมออกโรดโชว์ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมาย เช่น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย รัสเซีย เวียดนาม ฮ่องกง ซึ่งปีหน้าจะ เพิ่มความถี่ในการโรดโชว์ให้มาก กว่าปัจจุบัน เพราะต้องการรุกตลาดต่างประเทศ ทดแทนกลุ่มตลาด คนไทยที่มีกำลังซื้อลดลง
สำหรับสัดส่วนลูกค้าในปัจจุบันแบ่งเป็น ลูกค้าคนไทย 75% และต่างชาติ 25% ขณะที่ในปีหน้ามองว่าสัดส่วนชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ล่าสุด บริษัทได้ใช้งบประมาณจำนวน 30 ล้านบาท เปิดโซนใหม่ โซน มอนสเตอร์ส ออฟ เดอะ ดีฟ อสุรกายใต้น้ำ เป็นการนำปลาหมึกยักษ์มาแสดง รวมถึงโซน โอเชี่ยน วอล์กเกอร์ โดยเปิดให้บริการผู้ที่ เข้าชมและสนใจสัมผัสบรรยากาศใต้น้ำอย่างใกล้ชิด ช่วงแรกคาดว่า จะมีผู้ใช้บริการ 20 คน/วัน ทำให้ การใช้บริการเพิ่มขึ้น 10%
ทั้งนี้ โซนดังกล่าวจัดทำขึ้น เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและ ผู้รักการผจญภัยให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น จากที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าบริษัทจะเน้นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมประสบการณ์ รวมถึงปรับปรุงสถานที่ให้ผู้ชมได้เรียนรู้จากเสียงด้านเทคโนโลยีอินเตอร์แอ็กทีฟ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้าชม โดยปีนี้คาดจะมีผู้เข้าชมราว 9 แสนคน ขณะที่ปีหน้าตั้งเป้า มีผู้เข้าชมโซนต่างๆ กว่า 1 ล้านคน
บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ เพราะมีกลยุทธ์ที่รัดกุมเมื่อคนไทยกำลังซื้อหด จึงหันไป รุกตลาดต่างประเทศแทน แต่หลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ เชื่อว่าคนไทยจะกลับมาเที่ยวอีกครั้ง โดยปีหน้า จะหันมาให้ความสำคัญกับตลาด คนไทยไม่น้อยกว่าต่างชาติ นางกันตพร กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205206
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/11/07
โพสต์ที่ 80
คาดรายได้ท่องเที่ยวปีนี้ 5 แสนล้านบาท - ข่าว 18.00 น.
Posted on Friday, November 23, 2007
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ จะมียอดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศประมาณ 14.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ก่อให้เกิดรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 500,000 ล้านบาท ตามกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 4 ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เช่น กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม
การจัดงานแสดงพลุดอกไม้ไฟเฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้ชื่อ เกริกฟ้า ก้องปฐพี สดุดีมหาราชา ระหว่างวันที่ 4-8 ธันวาคม , เทศกาลลอยกระทง ซึ่งจัดติดต่อกันมาหลายปีจนมีชื่อเสียงแพร่หลายไปในต่างประเทศ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาร่วมงานได้จำนวนมาก และปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนการท่องเที่ยวไทย ทั้งสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้น โดยมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอนในวันที่ 23 ธันวาคม ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวม 6.95 ล้านคน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Friday, November 23, 2007
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ จะมียอดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศประมาณ 14.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ก่อให้เกิดรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 500,000 ล้านบาท ตามกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 4 ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เช่น กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม
การจัดงานแสดงพลุดอกไม้ไฟเฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้ชื่อ เกริกฟ้า ก้องปฐพี สดุดีมหาราชา ระหว่างวันที่ 4-8 ธันวาคม , เทศกาลลอยกระทง ซึ่งจัดติดต่อกันมาหลายปีจนมีชื่อเสียงแพร่หลายไปในต่างประเทศ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาร่วมงานได้จำนวนมาก และปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนการท่องเที่ยวไทย ทั้งสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้น โดยมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอนในวันที่ 23 ธันวาคม ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวม 6.95 ล้านคน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/11/07
โพสต์ที่ 81
"พรศิริ-จุฑาพร" ผนึกทีม แอร์ไลน์ 11 ทัวร์ยักษ์ค้ำ ศก.ไทยปี"51
สถานการณ์ท้าทาย "พรศิริ มโนหาญ" ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับ "จุฑาพร เริงรณอาษา" รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ ททท.ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงการกอดคอกันจัดทำแผนดึงรายได้จากต่างประเทศเข้ามาค้ำยันเศรษฐกิจไทยจากปลายปีนี้ถึงปี 2551 ทำยอดขายสูงกว่าเป้า 5.3 แสนล้านบาท
- แผนตลาดการขายที่แตกต่างเพื่อดึงรายได้ ฉับพลันมีอย่างไร
พรศิริ : ททท.มีงบฯลงทุนไม่มากแต่ต้องใช้อย่างคุ้มค่าจากการใช้กระแสความนิยมเป็นประเทศปลายทางการท่องเที่ยวคุ้มค่าเงิน หรือ value for money ปลายพฤศจิกายนนี้ "ฟิวเจอร์ แบรนด์" สำรวจความเห็นจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกโหวตไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวคุ้มค่าเงินอันดับ 1 ของโลกเป็นปีที่ 2 และติดเมืองท่องเที่ยวชายทะเลและช็อปปิ้งอันดับ 8 ยังมีพลังดึงดูดกำลังซื้อได้ อีกมาก โดยเฉพาะตลาดยุโรป อินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ตะวันออกกลาง
ขณะนี้สำนักงาน ททท.แต่ละภูมิภาคโหมหนักกว่าทุกปีในการสร้างพันธมิตรเข้าถึงคู่ค้าบริษัทโฮลเซลรายใหญ่ สายการบินเช่าเหมาลำ และการให้คำปรึกษาจัดทำแพ็กเกจแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวหนุนตลาดการขายลูกค้า 2 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้าประจำเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป มีประมาณ 80% และลูกค้าใหม่นักท่องเที่ยวไฮเอนด์ จากยุโรปตะวันออก รัสเซีย อินเดีย จีน ตะวันออกกลาง อีก 20% ดึงค่าใช้เงินของนักท่องเที่ยวขยับเกิน 5,000 บาท/คน/วัน สูงกว่าเดิมคงที่มากว่า 10 ปี เฉลี่ย 4,400 บาท/คน/วัน
แผนการตลาดและการขายที่แตกต่าง โดยขณะนี้สามารถผนึกการค้ากับบริษัทค้าส่งท่องเที่ยวค่ายใหญ่ในสหภาพยุโรป เช่น THOMAS COOK, TUI-NORDIC, NECKEMANN, PEGASE, BEST TOUR และมีบริษัทร่วมผลิตแพ็กเกจขายเมืองไทย เช่น แควนตัส ฮอลิเดย์ส ครีเอทีฟทัวร์ I-XPO นาตาลีทัวร์ รัสเซีย
- เครือข่ายการบินที่จะเข้าไทยมีเพิ่มหรือไม่
พรศิริ-จุฑาพร : ช่วงฤดูท่องเที่ยว 5 เดือนนี้ พฤศจิกายน 2550-เมษายน 2551 เป็นที่รู้กันว่าบริษัทโฮลเซลท่องเที่ยวจากยุโรปจับมือกับ สายการบินทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) 3 จังหวัด กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ มากถึง 691 เที่ยว/ฤดู กว่า 7.8 แสนคน ไฮไลต์ จะมีชาร์เตอร์ไฟลต์จากยุโรปนำร่องบินช่วงฤดูร้อนเข้าไทยเป็นครั้งแรก 3 ค่าย
ประกอบด้วย 1) มาร์ตินแอร์จับมือโทมัสคุก เน็กคัมมานน์ ปีกาซัส เบสต์ทัวร์ ทำเช่าเหมาลำเบลเยียม-ภูเก็ต 28 ตุลาคม 2550-เมษายน 2551 นำลูกค้าเบลเยียม 14,248 คน จะสร้างเม็ดเงินได้ 770 ล้านบาท และ เนเธอร์แลนด์-ภูเก็ต ตั้งแต่ 3 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป สถิติ มกราคม-สิงหาคม 2550 สูงถึง 1.27 แสนคน เพิ่ม 10.29% เมื่อมาร์ตินเปิดบินพิเศษการเติบโตอีกเท่าตัว
2) สแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์สกับโฮลเซลใหญ่ TUI-NORDIC, MY TRAVEL, BEST TOUR เปิดเส้นทางบินใหม่ตรงเข้าสุราษฎร์ธานี จากสตอกโฮล์ม สวีเดน เริ่ม 13 ธันวาคมนี้ และเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ เริ่ม 21 ธันวาคมนี้ พร้อมจัดเที่ยวบินพิเศษจากเมือง Norrkoping เข้าภูเก็ต อีก 2 เที่ยว วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 กับ 21 กุมภาพันธ์ 2551 จะนำทัวร์เข้ากว่า 30,000 คน 3) เบลแอร์ บิน ซูริก-ภูเก็ต 1 เที่ยว/สัปดาห์ ช่วงกรกฎาคม-ตุลาคม 2551 ตั้งเป้า 4,000 คน
- ภาพรวมเป็นอย่างไร
ปลายปีนี้ถึงไตรมาส 1 ปี"51 มี 11 บริษัทโฮลเซลยุโรป Tui Fly, My Travel, Novair, Apollo, rimera Air, Solersor, Vulkan Resor, Thai Jet, Tyrkeit Experten, Aurinkomatkat, Matka Vekka, Finnmatkat ทำชาร์เตอร์ไฟลต์เข้าเฉพาะ 4 จังหวัด ภูเก็ต กระบี่ พัทยา สุราษฎร์ธานี 652 เที่ยว 233,000 คน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0208
สถานการณ์ท้าทาย "พรศิริ มโนหาญ" ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับ "จุฑาพร เริงรณอาษา" รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ ททท.ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงการกอดคอกันจัดทำแผนดึงรายได้จากต่างประเทศเข้ามาค้ำยันเศรษฐกิจไทยจากปลายปีนี้ถึงปี 2551 ทำยอดขายสูงกว่าเป้า 5.3 แสนล้านบาท
- แผนตลาดการขายที่แตกต่างเพื่อดึงรายได้ ฉับพลันมีอย่างไร
พรศิริ : ททท.มีงบฯลงทุนไม่มากแต่ต้องใช้อย่างคุ้มค่าจากการใช้กระแสความนิยมเป็นประเทศปลายทางการท่องเที่ยวคุ้มค่าเงิน หรือ value for money ปลายพฤศจิกายนนี้ "ฟิวเจอร์ แบรนด์" สำรวจความเห็นจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกโหวตไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวคุ้มค่าเงินอันดับ 1 ของโลกเป็นปีที่ 2 และติดเมืองท่องเที่ยวชายทะเลและช็อปปิ้งอันดับ 8 ยังมีพลังดึงดูดกำลังซื้อได้ อีกมาก โดยเฉพาะตลาดยุโรป อินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ตะวันออกกลาง
ขณะนี้สำนักงาน ททท.แต่ละภูมิภาคโหมหนักกว่าทุกปีในการสร้างพันธมิตรเข้าถึงคู่ค้าบริษัทโฮลเซลรายใหญ่ สายการบินเช่าเหมาลำ และการให้คำปรึกษาจัดทำแพ็กเกจแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวหนุนตลาดการขายลูกค้า 2 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้าประจำเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป มีประมาณ 80% และลูกค้าใหม่นักท่องเที่ยวไฮเอนด์ จากยุโรปตะวันออก รัสเซีย อินเดีย จีน ตะวันออกกลาง อีก 20% ดึงค่าใช้เงินของนักท่องเที่ยวขยับเกิน 5,000 บาท/คน/วัน สูงกว่าเดิมคงที่มากว่า 10 ปี เฉลี่ย 4,400 บาท/คน/วัน
แผนการตลาดและการขายที่แตกต่าง โดยขณะนี้สามารถผนึกการค้ากับบริษัทค้าส่งท่องเที่ยวค่ายใหญ่ในสหภาพยุโรป เช่น THOMAS COOK, TUI-NORDIC, NECKEMANN, PEGASE, BEST TOUR และมีบริษัทร่วมผลิตแพ็กเกจขายเมืองไทย เช่น แควนตัส ฮอลิเดย์ส ครีเอทีฟทัวร์ I-XPO นาตาลีทัวร์ รัสเซีย
- เครือข่ายการบินที่จะเข้าไทยมีเพิ่มหรือไม่
พรศิริ-จุฑาพร : ช่วงฤดูท่องเที่ยว 5 เดือนนี้ พฤศจิกายน 2550-เมษายน 2551 เป็นที่รู้กันว่าบริษัทโฮลเซลท่องเที่ยวจากยุโรปจับมือกับ สายการบินทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) 3 จังหวัด กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ มากถึง 691 เที่ยว/ฤดู กว่า 7.8 แสนคน ไฮไลต์ จะมีชาร์เตอร์ไฟลต์จากยุโรปนำร่องบินช่วงฤดูร้อนเข้าไทยเป็นครั้งแรก 3 ค่าย
ประกอบด้วย 1) มาร์ตินแอร์จับมือโทมัสคุก เน็กคัมมานน์ ปีกาซัส เบสต์ทัวร์ ทำเช่าเหมาลำเบลเยียม-ภูเก็ต 28 ตุลาคม 2550-เมษายน 2551 นำลูกค้าเบลเยียม 14,248 คน จะสร้างเม็ดเงินได้ 770 ล้านบาท และ เนเธอร์แลนด์-ภูเก็ต ตั้งแต่ 3 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป สถิติ มกราคม-สิงหาคม 2550 สูงถึง 1.27 แสนคน เพิ่ม 10.29% เมื่อมาร์ตินเปิดบินพิเศษการเติบโตอีกเท่าตัว
2) สแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์สกับโฮลเซลใหญ่ TUI-NORDIC, MY TRAVEL, BEST TOUR เปิดเส้นทางบินใหม่ตรงเข้าสุราษฎร์ธานี จากสตอกโฮล์ม สวีเดน เริ่ม 13 ธันวาคมนี้ และเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ เริ่ม 21 ธันวาคมนี้ พร้อมจัดเที่ยวบินพิเศษจากเมือง Norrkoping เข้าภูเก็ต อีก 2 เที่ยว วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 กับ 21 กุมภาพันธ์ 2551 จะนำทัวร์เข้ากว่า 30,000 คน 3) เบลแอร์ บิน ซูริก-ภูเก็ต 1 เที่ยว/สัปดาห์ ช่วงกรกฎาคม-ตุลาคม 2551 ตั้งเป้า 4,000 คน
- ภาพรวมเป็นอย่างไร
ปลายปีนี้ถึงไตรมาส 1 ปี"51 มี 11 บริษัทโฮลเซลยุโรป Tui Fly, My Travel, Novair, Apollo, rimera Air, Solersor, Vulkan Resor, Thai Jet, Tyrkeit Experten, Aurinkomatkat, Matka Vekka, Finnmatkat ทำชาร์เตอร์ไฟลต์เข้าเฉพาะ 4 จังหวัด ภูเก็ต กระบี่ พัทยา สุราษฎร์ธานี 652 เที่ยว 233,000 คน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0208
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/11/07
โพสต์ที่ 82
คนไทยเห่อมัลดีฟส์ คลับเมดยิ้มโตเท่าตัว
โพสต์ทูเดย์ คลับเมด ระบุ คนไทยเที่ยวนอกสวนกระแส หลังยอดขายมัลดีฟส์พุ่งกว่า 100% เปิดแผนปีหน้าเปิดตลาดใหม่เพียบ
นายชวาลิน รอดสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายการขายประจำประเทศไทย บริษัท วาคองซ์ สยาม (คลับเมด) เปิดเผยแผนการตลาดในปี 2551 ว่า จะเน้นการทำตลาดใน 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ภูเก็ต มัลดีฟส์ และบาหลี เนื่องจากคนไทยมีกระแสการตอบรับที่ดี มียอดจองเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะเส้นทางเกาะมัลดีฟส์ ยอดขายเติบโตกว่า 100% ส่วนบาหลี โต 20% และภูเก็ต โต 15% เทียบกับปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สาเหตุที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะมัลดีฟส์เพิ่มขึ้น เพราะสายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้เปิดเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ-มัลดีฟส์ ได้เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ประกอบกับลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้เส้นทางดังกล่าวฮันนีมูน 90% อีก 10% เป็นนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั่วไป
สำหรับเส้นทางบาหลีคนไทยเริ่มมั่นใจที่จะเดินทางกลับไปท่องเที่ยว เนื่องจากสนามบินได้เข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงคลับเมด ทั่วโลก 80 แห่ง มีมาตรการรักษาความปลอดภัยในมาตรฐานเดียวกัน ทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจที่จะเดินทางเข้าพัก
ในปีนี้บริษัทได้นำคนไทย เดินทางออกต่างประเทศ จำนวน 6 พันแพ็กเกจ โดยสัดส่วนมัลดีฟส์ 40% ภูเก็ต 35% บาหลี 20% และอื่น เช่น ยุโรป 5% มีรายได้ 250 ล้านบาท เทียบกับปีที่ผ่านมา 153 ล้านบาท โดยในปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 36% มีรายได้รวม 340 ล้านบาท
นายชวาลิน กล่าวว่าเดือน ก.พ. ปีหน้า เตรียมนำเสนอเส้นทางใหม่ คลับเมด ที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย รวมถึงเตรียมรุกตลาดไมซ์มากขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนเป็น 40% จากปีนี้ 30%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206496
โพสต์ทูเดย์ คลับเมด ระบุ คนไทยเที่ยวนอกสวนกระแส หลังยอดขายมัลดีฟส์พุ่งกว่า 100% เปิดแผนปีหน้าเปิดตลาดใหม่เพียบ
นายชวาลิน รอดสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายการขายประจำประเทศไทย บริษัท วาคองซ์ สยาม (คลับเมด) เปิดเผยแผนการตลาดในปี 2551 ว่า จะเน้นการทำตลาดใน 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ภูเก็ต มัลดีฟส์ และบาหลี เนื่องจากคนไทยมีกระแสการตอบรับที่ดี มียอดจองเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะเส้นทางเกาะมัลดีฟส์ ยอดขายเติบโตกว่า 100% ส่วนบาหลี โต 20% และภูเก็ต โต 15% เทียบกับปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สาเหตุที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะมัลดีฟส์เพิ่มขึ้น เพราะสายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้เปิดเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ-มัลดีฟส์ ได้เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ประกอบกับลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้เส้นทางดังกล่าวฮันนีมูน 90% อีก 10% เป็นนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั่วไป
สำหรับเส้นทางบาหลีคนไทยเริ่มมั่นใจที่จะเดินทางกลับไปท่องเที่ยว เนื่องจากสนามบินได้เข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงคลับเมด ทั่วโลก 80 แห่ง มีมาตรการรักษาความปลอดภัยในมาตรฐานเดียวกัน ทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจที่จะเดินทางเข้าพัก
ในปีนี้บริษัทได้นำคนไทย เดินทางออกต่างประเทศ จำนวน 6 พันแพ็กเกจ โดยสัดส่วนมัลดีฟส์ 40% ภูเก็ต 35% บาหลี 20% และอื่น เช่น ยุโรป 5% มีรายได้ 250 ล้านบาท เทียบกับปีที่ผ่านมา 153 ล้านบาท โดยในปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 36% มีรายได้รวม 340 ล้านบาท
นายชวาลิน กล่าวว่าเดือน ก.พ. ปีหน้า เตรียมนำเสนอเส้นทางใหม่ คลับเมด ที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย รวมถึงเตรียมรุกตลาดไมซ์มากขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนเป็น 40% จากปีนี้ 30%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206496
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/12/07
โพสต์ที่ 83
เร่งททท.อัดงบกระตุ้นตลาดจีน
โพสต์ทูเดย์ ดับฝัน ททท. เอกชนชี้ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยแค่ 9 แสนคน พลาดเป้ากว่า 3 แสนคน
นายวิชิต ประกอบโกศล อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทยจีน และรองนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า ภาพรวมตลาด นักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ยังติดลบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพราะความไม่สงบทางการเมือง ทำให้ นักท่องเที่ยวไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัย โดยปีนี้คาดว่าคนจีนจะเดินทางเข้ามาไทยราว 9 แสนคนต่ำกว่าเป้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้ 1.2 ล้านคน
ทั้งนี้ ททท.ต้องกระตุ้นให้คนจีนนิยมเดินทางมาเข้าไทยอย่างเร่งด่วน โดยวิธีการทำตลาด ควรมุ่งการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย เพราะปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านบุกตลาดนี้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ยังต้องอัดฉีดงบประมาณด้านการโฆษณา ภาพแหล่งท่องเที่ยวของไทยให้อยู่ในสายตาของชาวจีนทุกมณฑล
ประเทศจีนมีจำนวนประชากร 1.3 พันล้านคน และเศรษฐกิจ ภายในประเทศมีแนวโน้มการเติบโตสูง ทำให้ทุกประเทศเล็งไปที่ตลาดจีน ประเทศไทยจึงมีคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น และคู่แข่งมีความพร้อมที่จะทุ่มงบประมาณ นายวิชิต กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207320
โพสต์ทูเดย์ ดับฝัน ททท. เอกชนชี้ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยแค่ 9 แสนคน พลาดเป้ากว่า 3 แสนคน
นายวิชิต ประกอบโกศล อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทยจีน และรองนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า ภาพรวมตลาด นักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ยังติดลบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพราะความไม่สงบทางการเมือง ทำให้ นักท่องเที่ยวไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัย โดยปีนี้คาดว่าคนจีนจะเดินทางเข้ามาไทยราว 9 แสนคนต่ำกว่าเป้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้ 1.2 ล้านคน
ทั้งนี้ ททท.ต้องกระตุ้นให้คนจีนนิยมเดินทางมาเข้าไทยอย่างเร่งด่วน โดยวิธีการทำตลาด ควรมุ่งการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย เพราะปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านบุกตลาดนี้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ยังต้องอัดฉีดงบประมาณด้านการโฆษณา ภาพแหล่งท่องเที่ยวของไทยให้อยู่ในสายตาของชาวจีนทุกมณฑล
ประเทศจีนมีจำนวนประชากร 1.3 พันล้านคน และเศรษฐกิจ ภายในประเทศมีแนวโน้มการเติบโตสูง ทำให้ทุกประเทศเล็งไปที่ตลาดจีน ประเทศไทยจึงมีคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น และคู่แข่งมีความพร้อมที่จะทุ่มงบประมาณ นายวิชิต กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207320
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 84
ทัวร์"FIT-อินเซ็นทีฟ"ไทยแห่ไปนอก 3ยักษ์"ญี่ปุ่น-สหรัฐ-ออสซี่"ชิงตลาดดุ
การท่องเที่ยวต่างชาติในไทย 3 ยักษ์ใหญ่ "ญี่ปุ่น-สหรัฐ-ออสเตรเลีย" ซุ่มปรับแผนเปิดตลาดดูดกำลังซื้อ "ทัวร์เดี่ยว FIT-อินเซ็นทีฟ" ตลาดทัวร์ไทยขานรับสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจในประเทศซึม สร้างสารพัดแคมเปญ ปีท่องเที่ยวญี่ปุ่น เปิดเมืองใหม่ทั่วอเมริกา และพรีเมียร์ ออสซี่ สเปเชียล เอเย่นต์ ปั๊มยอดลูกค้าพุ่งไทยไปนอกเพิ่ม 30-53%
ญี่ปุ่นกระพือปีท่องเที่ยวดูด FIT ไทย
นายฮิโรชิ ยามาดะ ผู้อำนวยการบริหาร องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพ เปิดเผยว่ากำลังดำเนินกลยุทธ์ส่งเสริมตลาดและการขายโดยอยู่ระหว่างประชาสัมพันธ์ "Visit Japan campaign" ตั้งเป้าภายในปี 2553 จะเพิ่มนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ถึง 10 ล้านคน/ปี ดังนั้นปี 2551 เตรียมกลยุทธ์กระตุ้นตลาดไทย ขยายกลุ่มเป้าหมายจากปกติลูกค้าทัวร์ขนาดใหญ่เดินทางเป็นหมู่คณะ ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตนเอง (free individual travel : FIT) โดยการเลือกซื้อแพ็กเกจตามความนิยม
แผนนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวเน้นเป้าหมายสร้างการรับรู้ที่จะท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมากกว่าจะแนะนำเมืองยอดนิยมอย่าง โตเกียว และโอซากา ขณะนี้เตรียมเสนอใหม่ 2 พื้นที่ พื้นที่แรก ภาคใต้ ชูจุดขายเมืองท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวประมง เช่น เมืองฟูกูโอกะ เกาะคิวชิว มีบ่อน้ำพุร้อน ภูเขาไฟที่สงบแล้ว เมืองฮิโรชิมา ในจูโงกุ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและมรดกโลก
พื้นที่สอง ภาคกลาง นำเสนอเมืองท่องเที่ยววัฒนธรรมและเชิงประวัติศาสตร์ในแหล่งมรดกโลก ไฮไลต์ เมืองนาโงย่า 3 จังหวัด ไอจิ โทยาม่า และนากาโน่ แหล่งท่องเที่ยวเด่นบริเวณพื้นที่นี้คือหมู่บ้านชิราคาวะได้รับเลือกเป็นมรดกโลก
ตามแผนการขยายตลาดคนไทยจะนำจุดขายภาคกลางและภาคใต้ในญี่ปุ่น ซึ่งการเดินทางโดยเครื่องบินมีความพร้อม ทั้งของการบินไทย บางกอก แอร์เวย์ส แจแปนแอร์ไลน์ส และออลนิปปอนแอร์เวส์
สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าญี่ปุ่น 9 เดือน ระหว่าง มกราคม-กันยายน 2550 จำนวน 6,199,800 คน เพิ่ม 13.7% โดยมีนักท่องเที่ยวไทยเพิ่มสูงที่สุด 32.9% ผลสำเร็จมาจากส่วนหนึ่งของโครงการ Visit Japan Campaign แยกได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหลักเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นหมู่คณะผ่านบริษัททัวร์ ส่วนกลุ่มรอง เป็น FIT กลุ่มบริษัทและองค์กรที่ให้ผลตอบแทนพนักงานเป็นรางวัลท่องเที่ยวฟรีมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ใช้เวลาแต่ละทริป 5 วัน 4 คืน หรือ 6 วัน 7 คืน
ขณะที่ค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวนานาชาติในญี่ปุ่น นอกฤดูท่องเที่ยว (low season) เฉลี่ย 30,000 บาทขึ้นไป/คน/ทริป ฤดูท่องเที่ยว (high season) เฉลี่ย 40,000 บาทขึ้นไป/คน/ทริป โดยภาพรวมการใช้เงินจะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับการเลือกใช้โรงแรมที่พักและการซื้อรายการ ท่องเที่ยวเสริม
นายสมบัติ เจียรสีดำรงกุล หัวหน้าฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวญี่ปุ่น กล่าวว่า ปี 2550 เตรียมจัดเจแปน ทราเวล แฟร์ นำผู้ประกอบการญี่ปุ่นพบกับลูกค้าไทยอย่างน้อย 2 ครั้ง ช่วงต้นปีและปลายปี จะขยายงานให้ใหญ่กว่าทุกครั้งด้วยการเชิญบริษัททัวร์จากญี่ปุ่นเข้าร่วมกว่า 30 ราย
สหรัฐพุ่งเป้าทัวร์ ิเดี่ยว/อินเซ็นทีฟี ไฮเทค
นางสาวอรพรรณ บุญญลักษม์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพาณิชย์ ฝ่ายการพาณิชย์ สถานทูตสหรัฐ อเมริกาประจำประเทศไทย ทำหน้าที่วาง แผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวสหรัฐ กล่าวว่า กำลังเตรียมแผนการตลาดเปิดจุดขายท่องเที่ยวใหม่ปี 2551 ที่จะนำมาเสนอขายให้กับกลุ่มเป้าหมายตลาดคนไทย ตั้งเป้าเปลี่ยนแปลงการรับรู้เดิมกรณีสหรัฐ อเมริกามีแหล่งท่องเที่ยวไม่กี่แห่งและเมืองใหญ่ เช่น เทพีเสรีภาพ สะพานโกลเด้น พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจใหม่ถึงแหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่น่าสนใจ รัฐอะแลสกา รัฐโคโลราโด และ รัฐนิวออร์ลีนส์ ซึ่งรัฐบาลกำลังมีนโยบายฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังจากประสบภัยพายุเฮอร์ริเคน 2548
วางแผนส่งเสริมการพัฒนาตลาดพุ่งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยว FIT ประเภทคนทำงานและนักธุรกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมให้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยไปเที่ยวสหรัฐเดินทางซ้ำ ประเมินสถานการณ์แล้วกลุ่ม FIT จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวที่มีฐานะระดับกลางขึ้นไปนิยมใช้อินเทอร์เน็ตสืบค้นข้อมูล สามารถติดต่อจองโรงแรมที่พักด้วยตัวเอง นิยมเดินทางแบบอิสระ ประกอบกับสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าจึงเป็นปัจจัยบวกส่งเสริมให้กำลังซื้อตัดสินใจเดินทางเพิ่มขึ้น
"ปี 2550 สหรัฐอเมริกาใช้วิธีสร้างเครือข่ายกับบริษัทนำเที่ยวเพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวประเภทกรุ๊ปทัวร์ แต่ปี 2551 จะปรับแผนสื่อสารการตลาด ใช้กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อส่งสารไปยัง ผู้อ่านกลุ่ม End User ที่สนใจการท่องเที่ยว ต่างประเทศ คาดหวังกระตุ้นคนค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมและนำมาตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการท่องเที่ยวสหรัฐ" นางสาวอรพรรณ
นอกจากนี้มีแผนตอกย้ำภาพลักษณ์สหรัฐถึงความเหมาะสมกับการท่องเที่ยวเป็นรางวัล (incentiveX ตั้งเป้าเจาะกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มีผลตอบแทนสูงในกลุ่ม บริษัทประกันภัย บริษัทรถยนต์ เดินทางเป็นกลุ่ม 50-1,000 คน สามารถดีลกับฝ่ายการพาณิชย์ ประจำสถานทูตสหรัฐ อเมริกา ทำหน้าที่แทนองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ ช่วยติดต่อประสานงานหน่วยงานต่างๆ ในสหรัฐเพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น เครือข่ายสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ ลดเปอร์เซ็นต์ค่าตั๋วเครื่องบินกลุ่มเดินทางหมู่คณะ เพราะปัจจุบันสหรัฐไม่มีหน่วยงานกลางด้านท่องเที่ยวแต่ละรัฐมีสำนักงานการท่องเที่ยวแยกเป็นอิสระ
สถิตินักท่องเที่ยวไทยไปสหรัฐหลังสุด 3 ปี 2547-2549 เพิ่มต่อเนื่องจาก 66,287 คน เป็น 69,236 คน ระหว่าง 7 เดือนนี้ มกราคม-กรกฎาคม มีคนไทยไปสหรัฐสูงถึง 47,405 คน
แนวโน้มการเจาะกลุ่ม FIT ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ (National Tourism Organization : NTO) ต่างๆ โดยปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวสะท้อนผ่านการสร้างนวัตกรรมตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีรูปแบบการตัดสินใจเลือกหรือใช้เงินเดินทางท่ามกลางความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
ออสซี่ตลาดซึมบ่อทรายคนไทยเพิ่ม 53%
นายธงชัย วิบูลย์ศักดิ์สกุล ผู้จัดการองค์การ ส่งเสริมการท่องเที่ยวออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เตรียมยกระดับโครงการ Aussie Specialist Agents เป็น Premier Aussie Specialist Agents ให้ความรู้พัฒนาศักยภาพบุคลากรบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวรายย่อยในประเทศไทย เล็งเป้าหมายนำ Premier Aussie Specialist Agents สร้างความเชื่อมั่นแก่บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยว ให้มีสามารถจัดโปรแกรมท่องเที่ยวโดยออกแบบอย่างเหมาะสมกับนักท่องเที่ยวเดินทางเดี่ยว หรือกลุ่มย่อยกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวฟรี และเตรียมจัดทำ familiarization trip อบรมบุคลากร 160 คน สร้างความพร้อมบริการนักท่องเที่ยวซึ่งนิยมปรึกษาการวางแผนให้ประสบความสำเร็จสำหรับการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
แนวโน้มปัจจุบันคนไทยขยับสูงขึ้นทุกปี วัดได้จากสถิติเดือนกันยายน 2550 เพิ่มถึง 53.1% การท่องเที่ยวออสเตรเลียคาดการณ์ปี 2550 การท่องเที่ยวจะขยายตัว 4% คิดเป็นมูลค่า 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.4 แสนล้านบาท) ส่วนแนวโน้มปี 2551-2552 จะเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยอาศัยจุดขายค่าเงินออสเตรเลียมูลค่าแข็งขึ้นเมี่อเทียบกับสกุลเงินเยนญี่ปุ่นและดอลลาร์สหรัฐ
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0208
การท่องเที่ยวต่างชาติในไทย 3 ยักษ์ใหญ่ "ญี่ปุ่น-สหรัฐ-ออสเตรเลีย" ซุ่มปรับแผนเปิดตลาดดูดกำลังซื้อ "ทัวร์เดี่ยว FIT-อินเซ็นทีฟ" ตลาดทัวร์ไทยขานรับสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจในประเทศซึม สร้างสารพัดแคมเปญ ปีท่องเที่ยวญี่ปุ่น เปิดเมืองใหม่ทั่วอเมริกา และพรีเมียร์ ออสซี่ สเปเชียล เอเย่นต์ ปั๊มยอดลูกค้าพุ่งไทยไปนอกเพิ่ม 30-53%
ญี่ปุ่นกระพือปีท่องเที่ยวดูด FIT ไทย
นายฮิโรชิ ยามาดะ ผู้อำนวยการบริหาร องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพ เปิดเผยว่ากำลังดำเนินกลยุทธ์ส่งเสริมตลาดและการขายโดยอยู่ระหว่างประชาสัมพันธ์ "Visit Japan campaign" ตั้งเป้าภายในปี 2553 จะเพิ่มนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ถึง 10 ล้านคน/ปี ดังนั้นปี 2551 เตรียมกลยุทธ์กระตุ้นตลาดไทย ขยายกลุ่มเป้าหมายจากปกติลูกค้าทัวร์ขนาดใหญ่เดินทางเป็นหมู่คณะ ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตนเอง (free individual travel : FIT) โดยการเลือกซื้อแพ็กเกจตามความนิยม
แผนนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวเน้นเป้าหมายสร้างการรับรู้ที่จะท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมากกว่าจะแนะนำเมืองยอดนิยมอย่าง โตเกียว และโอซากา ขณะนี้เตรียมเสนอใหม่ 2 พื้นที่ พื้นที่แรก ภาคใต้ ชูจุดขายเมืองท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวประมง เช่น เมืองฟูกูโอกะ เกาะคิวชิว มีบ่อน้ำพุร้อน ภูเขาไฟที่สงบแล้ว เมืองฮิโรชิมา ในจูโงกุ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและมรดกโลก
พื้นที่สอง ภาคกลาง นำเสนอเมืองท่องเที่ยววัฒนธรรมและเชิงประวัติศาสตร์ในแหล่งมรดกโลก ไฮไลต์ เมืองนาโงย่า 3 จังหวัด ไอจิ โทยาม่า และนากาโน่ แหล่งท่องเที่ยวเด่นบริเวณพื้นที่นี้คือหมู่บ้านชิราคาวะได้รับเลือกเป็นมรดกโลก
ตามแผนการขยายตลาดคนไทยจะนำจุดขายภาคกลางและภาคใต้ในญี่ปุ่น ซึ่งการเดินทางโดยเครื่องบินมีความพร้อม ทั้งของการบินไทย บางกอก แอร์เวย์ส แจแปนแอร์ไลน์ส และออลนิปปอนแอร์เวส์
สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าญี่ปุ่น 9 เดือน ระหว่าง มกราคม-กันยายน 2550 จำนวน 6,199,800 คน เพิ่ม 13.7% โดยมีนักท่องเที่ยวไทยเพิ่มสูงที่สุด 32.9% ผลสำเร็จมาจากส่วนหนึ่งของโครงการ Visit Japan Campaign แยกได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหลักเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นหมู่คณะผ่านบริษัททัวร์ ส่วนกลุ่มรอง เป็น FIT กลุ่มบริษัทและองค์กรที่ให้ผลตอบแทนพนักงานเป็นรางวัลท่องเที่ยวฟรีมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ใช้เวลาแต่ละทริป 5 วัน 4 คืน หรือ 6 วัน 7 คืน
ขณะที่ค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวนานาชาติในญี่ปุ่น นอกฤดูท่องเที่ยว (low season) เฉลี่ย 30,000 บาทขึ้นไป/คน/ทริป ฤดูท่องเที่ยว (high season) เฉลี่ย 40,000 บาทขึ้นไป/คน/ทริป โดยภาพรวมการใช้เงินจะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับการเลือกใช้โรงแรมที่พักและการซื้อรายการ ท่องเที่ยวเสริม
นายสมบัติ เจียรสีดำรงกุล หัวหน้าฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวญี่ปุ่น กล่าวว่า ปี 2550 เตรียมจัดเจแปน ทราเวล แฟร์ นำผู้ประกอบการญี่ปุ่นพบกับลูกค้าไทยอย่างน้อย 2 ครั้ง ช่วงต้นปีและปลายปี จะขยายงานให้ใหญ่กว่าทุกครั้งด้วยการเชิญบริษัททัวร์จากญี่ปุ่นเข้าร่วมกว่า 30 ราย
สหรัฐพุ่งเป้าทัวร์ ิเดี่ยว/อินเซ็นทีฟี ไฮเทค
นางสาวอรพรรณ บุญญลักษม์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพาณิชย์ ฝ่ายการพาณิชย์ สถานทูตสหรัฐ อเมริกาประจำประเทศไทย ทำหน้าที่วาง แผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวสหรัฐ กล่าวว่า กำลังเตรียมแผนการตลาดเปิดจุดขายท่องเที่ยวใหม่ปี 2551 ที่จะนำมาเสนอขายให้กับกลุ่มเป้าหมายตลาดคนไทย ตั้งเป้าเปลี่ยนแปลงการรับรู้เดิมกรณีสหรัฐ อเมริกามีแหล่งท่องเที่ยวไม่กี่แห่งและเมืองใหญ่ เช่น เทพีเสรีภาพ สะพานโกลเด้น พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจใหม่ถึงแหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่น่าสนใจ รัฐอะแลสกา รัฐโคโลราโด และ รัฐนิวออร์ลีนส์ ซึ่งรัฐบาลกำลังมีนโยบายฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังจากประสบภัยพายุเฮอร์ริเคน 2548
วางแผนส่งเสริมการพัฒนาตลาดพุ่งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยว FIT ประเภทคนทำงานและนักธุรกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมให้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยไปเที่ยวสหรัฐเดินทางซ้ำ ประเมินสถานการณ์แล้วกลุ่ม FIT จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวที่มีฐานะระดับกลางขึ้นไปนิยมใช้อินเทอร์เน็ตสืบค้นข้อมูล สามารถติดต่อจองโรงแรมที่พักด้วยตัวเอง นิยมเดินทางแบบอิสระ ประกอบกับสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าจึงเป็นปัจจัยบวกส่งเสริมให้กำลังซื้อตัดสินใจเดินทางเพิ่มขึ้น
"ปี 2550 สหรัฐอเมริกาใช้วิธีสร้างเครือข่ายกับบริษัทนำเที่ยวเพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวประเภทกรุ๊ปทัวร์ แต่ปี 2551 จะปรับแผนสื่อสารการตลาด ใช้กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อส่งสารไปยัง ผู้อ่านกลุ่ม End User ที่สนใจการท่องเที่ยว ต่างประเทศ คาดหวังกระตุ้นคนค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมและนำมาตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการท่องเที่ยวสหรัฐ" นางสาวอรพรรณ
นอกจากนี้มีแผนตอกย้ำภาพลักษณ์สหรัฐถึงความเหมาะสมกับการท่องเที่ยวเป็นรางวัล (incentiveX ตั้งเป้าเจาะกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มีผลตอบแทนสูงในกลุ่ม บริษัทประกันภัย บริษัทรถยนต์ เดินทางเป็นกลุ่ม 50-1,000 คน สามารถดีลกับฝ่ายการพาณิชย์ ประจำสถานทูตสหรัฐ อเมริกา ทำหน้าที่แทนองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ ช่วยติดต่อประสานงานหน่วยงานต่างๆ ในสหรัฐเพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น เครือข่ายสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ ลดเปอร์เซ็นต์ค่าตั๋วเครื่องบินกลุ่มเดินทางหมู่คณะ เพราะปัจจุบันสหรัฐไม่มีหน่วยงานกลางด้านท่องเที่ยวแต่ละรัฐมีสำนักงานการท่องเที่ยวแยกเป็นอิสระ
สถิตินักท่องเที่ยวไทยไปสหรัฐหลังสุด 3 ปี 2547-2549 เพิ่มต่อเนื่องจาก 66,287 คน เป็น 69,236 คน ระหว่าง 7 เดือนนี้ มกราคม-กรกฎาคม มีคนไทยไปสหรัฐสูงถึง 47,405 คน
แนวโน้มการเจาะกลุ่ม FIT ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ (National Tourism Organization : NTO) ต่างๆ โดยปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวสะท้อนผ่านการสร้างนวัตกรรมตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีรูปแบบการตัดสินใจเลือกหรือใช้เงินเดินทางท่ามกลางความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
ออสซี่ตลาดซึมบ่อทรายคนไทยเพิ่ม 53%
นายธงชัย วิบูลย์ศักดิ์สกุล ผู้จัดการองค์การ ส่งเสริมการท่องเที่ยวออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เตรียมยกระดับโครงการ Aussie Specialist Agents เป็น Premier Aussie Specialist Agents ให้ความรู้พัฒนาศักยภาพบุคลากรบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวรายย่อยในประเทศไทย เล็งเป้าหมายนำ Premier Aussie Specialist Agents สร้างความเชื่อมั่นแก่บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยว ให้มีสามารถจัดโปรแกรมท่องเที่ยวโดยออกแบบอย่างเหมาะสมกับนักท่องเที่ยวเดินทางเดี่ยว หรือกลุ่มย่อยกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวฟรี และเตรียมจัดทำ familiarization trip อบรมบุคลากร 160 คน สร้างความพร้อมบริการนักท่องเที่ยวซึ่งนิยมปรึกษาการวางแผนให้ประสบความสำเร็จสำหรับการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
แนวโน้มปัจจุบันคนไทยขยับสูงขึ้นทุกปี วัดได้จากสถิติเดือนกันยายน 2550 เพิ่มถึง 53.1% การท่องเที่ยวออสเตรเลียคาดการณ์ปี 2550 การท่องเที่ยวจะขยายตัว 4% คิดเป็นมูลค่า 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.4 แสนล้านบาท) ส่วนแนวโน้มปี 2551-2552 จะเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยอาศัยจุดขายค่าเงินออสเตรเลียมูลค่าแข็งขึ้นเมี่อเทียบกับสกุลเงินเยนญี่ปุ่นและดอลลาร์สหรัฐ
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0208
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 85
สนามกอล์ฟคึกรับฤดูท่องเที่ยว
ลูกค้าต่างชาติเพิ่ม เหนือบูมช่วงหนาว ใต้แห่ตีเกือบทั้งปี
โพสต์ทูเดย์ ธุรกิจสนามกอล์ฟโต 100% นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ต่างชาติแห่ตีทั่วภาคเหนือ/ใต้
นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ประธานบริหารสนามกอล์ฟ เดอะรอยัล เชียงใหม่กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ต กล่าวว่า ธุรกิจสนามกอล์ฟในช่วงระหว่างเดือน พ.ย. 2550-ก.พ. 2551 ในภาคเหนือหลายสนามมีอัตราการ
เข้าใช้บริการสูงถึง 100% เนื่องจากเป็นช่วงภาคเหนือมีอากาศหนาว และถือเป็นช่วงฤดูเดียวที่สนามกอล์ฟมีรายได้ ขณะที่ช่วงหน้าฝนและหน้าร้อนอัตราการเข้าใช้บริการน้อยมาก
ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวสนามกอล์ฟในภาคเหนือแต่ละราย จะ มีรายได้จากค่ากรีนฟีประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อเดือน แต่ในช่วง หน้าท่องเที่ยวนั้นรายได้จะเพิ่มกว่า เท่าตัว บางรายสูงถึงเดือนละ 10 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากมี นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น และเกาหลี โดยเฉพาะเกาหลีจะมีสายการบิน ที่บินตรงมายังเชียงใหม่
ขณะที่ ค่ากรีนฟีและค่าใช้บริการในโรงแรมของไทยยังถือว่าต่ำกว่าประเทศของเขามาก นายวารินทร์ กล่าว
ปัจจุบันผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจสนามกอล์ฟ โดยเฉพาะใน ภาคเหนือผู้ประกอบการจะต้องมีสายป่านการทำธุรกิจยาว เนื่องจากหน้าไฮซีซันของธุรกิจสนามกอล์ฟ ภาคเหนือจะมีแค่ช่วงเดียว เพราะช่วงฤดูอื่นนักกอล์ฟจะไม่นิยมตี เพราะอากาศร้อนอบอ้าว ไม่เหมือนกับทางภาคใต้ที่จะได้รับความนิยมมากกว่า
นายวรนล สามโกเศศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ม่อนพญาพรหม ผู้พัฒนาโครงการเชียงใหม่ ไฮแลนด์กอล์ฟ แอนด์ สปารีสอร์ต กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวสนามกอล์ฟอย่างเป็นทางการหลังจากบริษัทได้ซื้อที่ดินมาในปี 2547 โดยได้ลงทุนไปแล้ว 1 พันล้านบาท
แบ่งเป็นการลงทุนสนามกอล์ฟบนพื้นที่ 450 ไร่ 800 ล้านบาท และสาธารณูปโภคสำหรับพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวอีก 200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมูลค่าโครงการอยู่ที่ 4 พันล้านบาท คาดว่าจะสามารถพัฒนาแล้วเสร็จทั้ง 700 ไร่ ภายในอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะทำให้มูลค่าเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ ภาพรวมธุรกิจสนามกอล์ฟในภูเก็ตปัจจุบันมีนักกอล์ฟจากทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยว และเล่นกอล์ฟในภูเก็ตไม่น้อยกว่าปีละ 2 แสนคน สร้างรายได้ให้กับเกาะภูเก็ตปีละประมาณ 2 พันล้านบาท โดยตลาดหลักอยู่ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวในเอเชียและยุโรป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208173
ลูกค้าต่างชาติเพิ่ม เหนือบูมช่วงหนาว ใต้แห่ตีเกือบทั้งปี
โพสต์ทูเดย์ ธุรกิจสนามกอล์ฟโต 100% นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ต่างชาติแห่ตีทั่วภาคเหนือ/ใต้
นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ประธานบริหารสนามกอล์ฟ เดอะรอยัล เชียงใหม่กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ต กล่าวว่า ธุรกิจสนามกอล์ฟในช่วงระหว่างเดือน พ.ย. 2550-ก.พ. 2551 ในภาคเหนือหลายสนามมีอัตราการ
เข้าใช้บริการสูงถึง 100% เนื่องจากเป็นช่วงภาคเหนือมีอากาศหนาว และถือเป็นช่วงฤดูเดียวที่สนามกอล์ฟมีรายได้ ขณะที่ช่วงหน้าฝนและหน้าร้อนอัตราการเข้าใช้บริการน้อยมาก
ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวสนามกอล์ฟในภาคเหนือแต่ละราย จะ มีรายได้จากค่ากรีนฟีประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อเดือน แต่ในช่วง หน้าท่องเที่ยวนั้นรายได้จะเพิ่มกว่า เท่าตัว บางรายสูงถึงเดือนละ 10 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากมี นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น และเกาหลี โดยเฉพาะเกาหลีจะมีสายการบิน ที่บินตรงมายังเชียงใหม่
ขณะที่ ค่ากรีนฟีและค่าใช้บริการในโรงแรมของไทยยังถือว่าต่ำกว่าประเทศของเขามาก นายวารินทร์ กล่าว
ปัจจุบันผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจสนามกอล์ฟ โดยเฉพาะใน ภาคเหนือผู้ประกอบการจะต้องมีสายป่านการทำธุรกิจยาว เนื่องจากหน้าไฮซีซันของธุรกิจสนามกอล์ฟ ภาคเหนือจะมีแค่ช่วงเดียว เพราะช่วงฤดูอื่นนักกอล์ฟจะไม่นิยมตี เพราะอากาศร้อนอบอ้าว ไม่เหมือนกับทางภาคใต้ที่จะได้รับความนิยมมากกว่า
นายวรนล สามโกเศศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ม่อนพญาพรหม ผู้พัฒนาโครงการเชียงใหม่ ไฮแลนด์กอล์ฟ แอนด์ สปารีสอร์ต กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวสนามกอล์ฟอย่างเป็นทางการหลังจากบริษัทได้ซื้อที่ดินมาในปี 2547 โดยได้ลงทุนไปแล้ว 1 พันล้านบาท
แบ่งเป็นการลงทุนสนามกอล์ฟบนพื้นที่ 450 ไร่ 800 ล้านบาท และสาธารณูปโภคสำหรับพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวอีก 200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมูลค่าโครงการอยู่ที่ 4 พันล้านบาท คาดว่าจะสามารถพัฒนาแล้วเสร็จทั้ง 700 ไร่ ภายในอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะทำให้มูลค่าเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ ภาพรวมธุรกิจสนามกอล์ฟในภูเก็ตปัจจุบันมีนักกอล์ฟจากทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยว และเล่นกอล์ฟในภูเก็ตไม่น้อยกว่าปีละ 2 แสนคน สร้างรายได้ให้กับเกาะภูเก็ตปีละประมาณ 2 พันล้านบาท โดยตลาดหลักอยู่ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวในเอเชียและยุโรป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208173
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 86
อ้อนททท.สานต่อ ทัวร์ริสซึ่มฟอรัม ฮับระดับไฮเอนด์
โพสต์ทูเดย์ เอกชนชูงาน เชียงใหม่ ทัวร์ริสซึ่ม ฟอรัม 2007 ดันไทยเป็นฮับท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มรายได้ 3 พันล้านบาท
นายทรงวิทย์ อิทธิพัฒนากุล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เตรียมเสนอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นเจ้าภาพจัดงาน เชียงใหม่ ทัวร์ริสซึ่ม ฟอรัม 2007 จัดงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่องทุกปี ในครั้งนี้เป็นเวทีประกาศศักยภาพความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ รวมถึงยกระดับสินค้าทางการท่องเที่ยวเพื่อจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ในภูมิภาคเอเชีย
เชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้ทำให้มีรายได้หมุนเวียนในปีหน้าเพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาท หรือรายได้รวม 5 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2550 คาดว่ามีรายได้ 4.6-4.7 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ มีแผนส่งเสริมให้ สายการบินต่างๆ บินตรงสู่ จ.เชียงใหม่ ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และขอให้ภาครัฐเร่งผลักดันการก่อสร้างศูนย์การประชุมนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะเป็นจุดขายในการกระตุ้นให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่ม จัดประชุมสัมมนาและนิทรรศการ (ตลาดไมซ์) เดินทางเข้ามา ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนี้มีสัดส่วน 10%
สถานการณ์การท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ ได้รับความนิยมจากกลุ่มยุโรป เช่น สหรัฐอเมริกา สแกนดิเนเวีย ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง โดยมีตัวชี้วัดจากการเปิดตัวของโรงแรมใหม่ส่วนใหญ่เป็นอินเตอร์เชนระดับ 5 ดาว
ด้านนางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า แผนการตลาดในปีหน้า ได้มุ่งเน้นให้ จ.เชียงใหม่ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดปี เช่น นอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซัน) เตรียมดึงคนไทยเที่ยว โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการในพื้นที่จัดแคมเปญราคาพิเศษ เป็นต้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208175
โพสต์ทูเดย์ เอกชนชูงาน เชียงใหม่ ทัวร์ริสซึ่ม ฟอรัม 2007 ดันไทยเป็นฮับท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มรายได้ 3 พันล้านบาท
นายทรงวิทย์ อิทธิพัฒนากุล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เตรียมเสนอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นเจ้าภาพจัดงาน เชียงใหม่ ทัวร์ริสซึ่ม ฟอรัม 2007 จัดงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่องทุกปี ในครั้งนี้เป็นเวทีประกาศศักยภาพความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ รวมถึงยกระดับสินค้าทางการท่องเที่ยวเพื่อจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ในภูมิภาคเอเชีย
เชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้ทำให้มีรายได้หมุนเวียนในปีหน้าเพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาท หรือรายได้รวม 5 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2550 คาดว่ามีรายได้ 4.6-4.7 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ มีแผนส่งเสริมให้ สายการบินต่างๆ บินตรงสู่ จ.เชียงใหม่ ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และขอให้ภาครัฐเร่งผลักดันการก่อสร้างศูนย์การประชุมนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะเป็นจุดขายในการกระตุ้นให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่ม จัดประชุมสัมมนาและนิทรรศการ (ตลาดไมซ์) เดินทางเข้ามา ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนี้มีสัดส่วน 10%
สถานการณ์การท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ ได้รับความนิยมจากกลุ่มยุโรป เช่น สหรัฐอเมริกา สแกนดิเนเวีย ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง โดยมีตัวชี้วัดจากการเปิดตัวของโรงแรมใหม่ส่วนใหญ่เป็นอินเตอร์เชนระดับ 5 ดาว
ด้านนางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า แผนการตลาดในปีหน้า ได้มุ่งเน้นให้ จ.เชียงใหม่ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดปี เช่น นอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซัน) เตรียมดึงคนไทยเที่ยว โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการในพื้นที่จัดแคมเปญราคาพิเศษ เป็นต้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208175
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 87
ไทย-กัมพูชา ลงนามข้อตกลงวีซ่าเดียวเที่ยวได้ 2 ประเทศ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2550 16:26 น.
นายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ เปิดเผยหลังลงนามในข้อตกลงกับนายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่กรุงพนมเปญ ว่า การทำข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวทั้งกัมพูชาและไทยได้ โดยสามารถทำวีซ่าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังต่างหวังว่าข้อตกลงนี้จะเป็นพื้นฐานให้ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว และเวียดนาม ดำเนินการตามแบบเดียวกัน เพื่อให้ 5 ประเทศในภูมิภาคนี้เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวประเภทมาครั้งเดียว เที่ยวได้ทั่วภูมิภาค
ทั้งนี้ ไทยตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศปีนี้ถึง 15 ล้านคน ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว กัมพูชามีนักท่องเที่ยว 1.7 ล้านคน
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews. ... 0000149509
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2550 16:26 น.
นายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ เปิดเผยหลังลงนามในข้อตกลงกับนายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่กรุงพนมเปญ ว่า การทำข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวทั้งกัมพูชาและไทยได้ โดยสามารถทำวีซ่าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังต่างหวังว่าข้อตกลงนี้จะเป็นพื้นฐานให้ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว และเวียดนาม ดำเนินการตามแบบเดียวกัน เพื่อให้ 5 ประเทศในภูมิภาคนี้เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวประเภทมาครั้งเดียว เที่ยวได้ทั่วภูมิภาค
ทั้งนี้ ไทยตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศปีนี้ถึง 15 ล้านคน ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว กัมพูชามีนักท่องเที่ยว 1.7 ล้านคน
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews. ... 0000149509
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 88
การท่องเที่ยวภาคใต้ตอนบนแรงจัด เกาะสมุย-เกาะเต่ากวาดรายได้หมื่นล.
การท่องเที่ยวภาคใต้ตอนบนขยายตัวต่อเนื่อง ผอ.ททท. เขต 5 เผยตัวเลขนักท่องเที่ยว 9 เดือน จังหวัดสุราษฎร์ธานีนำโด่ง มีนักท่องเที่ยวไทย-เทศเข้ามาเยือนสูงสุดเกือบ 2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.5% กวาดรายได้ไปแล้ว 16,000 ล้านบาท การลงทุนเฟื่องจัดมีห้องพักเพิ่มขึ้นรองรับได้ 25,196 ห้อง ส่วนที่ชุมพร ระนอง ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน ผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า รับทรัพย์ช่วงเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ ยอดจองห้องพักเกือบเต็ม 100%
นายภาณุ วรมิตร ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภาคใต้ เขต 5 ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวโดยรวมในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ตอนบนในช่วง 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2550) มีอัตราการขยายตัวเติบโตในทิศทางที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 1,998,731 คน เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.49 แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 918,755 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 1,079,976 คน ก่อให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 16,718.58 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เม็ดเงินรายได้ลดลงร้อยละ 0.76
สำหรับจังหวัดชุมพรมีปริมาณนักท่องเที่ยว ทั้งสิ้น 351,863 คน เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 303,827 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 48,036 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ร้อยละ 31.83 และมีรายได้จากการ ท่องเที่ยว 930.48 ล้านบาท
ในส่วนของจังหวัดระนอง มีปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 284,539 คน เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 261,347 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 23,192 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.91 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยร้อยละ 30.38 และมีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวน 810.47 ล้านบาท
นายภาณุกล่าวต่อว่า ปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีห้องพักรองรับนักท่องเที่ยวได้ 827 แห่ง จำนวน 25,196 ห้อง จังหวัดชุมพรจำนวน 48 แห่ง จำนวนห้องพัก 1,716 ห้อง และจังหวัดระนองมีห้องพัก 25 แห่ง จำนวน 1,105 ห้อง
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่นิยมเดินทางโดยพาหนะส่วนตัว และท่องเที่ยวในลักษณะครอบครัว หมู่คณะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการ พักผ่อน ประชุมสัมมนา ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศส่วนใหญ่จะเดินทางจากทวีปยุโรป เอเชีย สแกนดิเนเวีย ได้แก่ประเทศเยอรมนี อังกฤษ อเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ญี่ปุ่น และเดนมาร์ก โดยนิยมพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า อุทยานแห่งชาติ และการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ
สำหรับในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและต่อเนื่องยาวไปจนถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2550-2 มกราคม 2551 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง มีอัตราการจองห้องพักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในอัตราที่สูง โดยในตัวเมืองสุราษฎร์ธานีมีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยร้อยละ 65 เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า มีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยร้อยละ 95 จังหวัดชุมพร ในตัวเมืองเฉลี่ยร้อยละ 30 และตามชายหาดต่างๆ เฉลี่ยร้อยละ 90
ขณะเดียวกันที่จังหวัดระนองมีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยร้อยละ 50 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่จองห้องพักจะเป็นนักท่องเที่ยวจากทวีปยุโรปและสแกนดิเนเวีย อาทิ เยอรมนี อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เป็นต้น
สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่จังหวัดระนองจัดขึ้นในช่วงปีใหม่ ได้แก่ การจัดกิจกรรมถนนคนเดิน และงานส่งท้ายปีเก่า รื่นเริงปีใหม่ 2551 Countdown 2008 โดยจัดขึ้นที่บริเวณถนนเรืองราษฎร์ และหน้าพระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) มีการแสดงของนักร้องชื่อดัง นักเรียนและเยาวชน และกิจกรรมแจกของรางวัลของขวัญปีใหม่
ในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวหลัก อาทิ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ในสถานที่พักแรมต่างๆ ส่วนใหญ่ได้มีการขายห้องพักรวมกาลาดินเนอร์ (gala dinner) อยู่แล้ว ซึ่งราคาและแพ็กเกจของแต่ละโรงแรมจะแตกต่างกันไป โดยตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 599 บาท จนถึงราคา 5,999 บาท ซึ่งรูปแบบของกาลาดินเนอร์ประกอบด้วยอาหารค่ำ การแสดง แจกของที่ระลึก จุดพลุ ปล่อยโคมลอย เป็นต้น
ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานภาคใต้ เขต 5 เปิดเผยอีกว่า เมื่อถึงปลายปี 2550 นี้ คาดว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวโดยรวมน่าจะเติบโตไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เนื่องจากจังหวัด สุราษฎร์ธานีมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพพร้อมทุกประเภทที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่ม รวมทั้งมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางการ ท่องเที่ยวเกิดขึ้นจำนวนมาก
นอกจากนี้การคมนาคมก็มีความสะดวกสบายมากขึ้นในทุกช่องทาง โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งปีนี้มีเครื่องบินเช่าเหมาลำ หรือ ชาร์เตอร์ไฟลต์จากต่างประเทศเข้ามาโดยตรง และยังมีการเปิดเส้นทางบินของสายการบินต้นทุนต่ำ (low cost airline) อีกด้วย เช่น การบินไทย 4 เที่ยว/วัน, วัน ทู โก 2 เที่ยว/วัน และไทยแอร์เอเชีย 2 เที่ยว/วัน รวม 56 เที่ยว/สัปดาห์
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0211
การท่องเที่ยวภาคใต้ตอนบนขยายตัวต่อเนื่อง ผอ.ททท. เขต 5 เผยตัวเลขนักท่องเที่ยว 9 เดือน จังหวัดสุราษฎร์ธานีนำโด่ง มีนักท่องเที่ยวไทย-เทศเข้ามาเยือนสูงสุดเกือบ 2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.5% กวาดรายได้ไปแล้ว 16,000 ล้านบาท การลงทุนเฟื่องจัดมีห้องพักเพิ่มขึ้นรองรับได้ 25,196 ห้อง ส่วนที่ชุมพร ระนอง ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน ผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า รับทรัพย์ช่วงเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ ยอดจองห้องพักเกือบเต็ม 100%
นายภาณุ วรมิตร ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภาคใต้ เขต 5 ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวโดยรวมในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ตอนบนในช่วง 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2550) มีอัตราการขยายตัวเติบโตในทิศทางที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 1,998,731 คน เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.49 แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 918,755 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 1,079,976 คน ก่อให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 16,718.58 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เม็ดเงินรายได้ลดลงร้อยละ 0.76
สำหรับจังหวัดชุมพรมีปริมาณนักท่องเที่ยว ทั้งสิ้น 351,863 คน เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 303,827 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 48,036 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ร้อยละ 31.83 และมีรายได้จากการ ท่องเที่ยว 930.48 ล้านบาท
ในส่วนของจังหวัดระนอง มีปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 284,539 คน เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 261,347 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 23,192 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.91 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยร้อยละ 30.38 และมีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวน 810.47 ล้านบาท
นายภาณุกล่าวต่อว่า ปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีห้องพักรองรับนักท่องเที่ยวได้ 827 แห่ง จำนวน 25,196 ห้อง จังหวัดชุมพรจำนวน 48 แห่ง จำนวนห้องพัก 1,716 ห้อง และจังหวัดระนองมีห้องพัก 25 แห่ง จำนวน 1,105 ห้อง
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่นิยมเดินทางโดยพาหนะส่วนตัว และท่องเที่ยวในลักษณะครอบครัว หมู่คณะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการ พักผ่อน ประชุมสัมมนา ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศส่วนใหญ่จะเดินทางจากทวีปยุโรป เอเชีย สแกนดิเนเวีย ได้แก่ประเทศเยอรมนี อังกฤษ อเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ญี่ปุ่น และเดนมาร์ก โดยนิยมพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า อุทยานแห่งชาติ และการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ
สำหรับในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและต่อเนื่องยาวไปจนถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2550-2 มกราคม 2551 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง มีอัตราการจองห้องพักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในอัตราที่สูง โดยในตัวเมืองสุราษฎร์ธานีมีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยร้อยละ 65 เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า มีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยร้อยละ 95 จังหวัดชุมพร ในตัวเมืองเฉลี่ยร้อยละ 30 และตามชายหาดต่างๆ เฉลี่ยร้อยละ 90
ขณะเดียวกันที่จังหวัดระนองมีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยร้อยละ 50 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่จองห้องพักจะเป็นนักท่องเที่ยวจากทวีปยุโรปและสแกนดิเนเวีย อาทิ เยอรมนี อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เป็นต้น
สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่จังหวัดระนองจัดขึ้นในช่วงปีใหม่ ได้แก่ การจัดกิจกรรมถนนคนเดิน และงานส่งท้ายปีเก่า รื่นเริงปีใหม่ 2551 Countdown 2008 โดยจัดขึ้นที่บริเวณถนนเรืองราษฎร์ และหน้าพระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) มีการแสดงของนักร้องชื่อดัง นักเรียนและเยาวชน และกิจกรรมแจกของรางวัลของขวัญปีใหม่
ในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวหลัก อาทิ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ในสถานที่พักแรมต่างๆ ส่วนใหญ่ได้มีการขายห้องพักรวมกาลาดินเนอร์ (gala dinner) อยู่แล้ว ซึ่งราคาและแพ็กเกจของแต่ละโรงแรมจะแตกต่างกันไป โดยตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 599 บาท จนถึงราคา 5,999 บาท ซึ่งรูปแบบของกาลาดินเนอร์ประกอบด้วยอาหารค่ำ การแสดง แจกของที่ระลึก จุดพลุ ปล่อยโคมลอย เป็นต้น
ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานภาคใต้ เขต 5 เปิดเผยอีกว่า เมื่อถึงปลายปี 2550 นี้ คาดว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวโดยรวมน่าจะเติบโตไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เนื่องจากจังหวัด สุราษฎร์ธานีมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพพร้อมทุกประเภทที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่ม รวมทั้งมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางการ ท่องเที่ยวเกิดขึ้นจำนวนมาก
นอกจากนี้การคมนาคมก็มีความสะดวกสบายมากขึ้นในทุกช่องทาง โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งปีนี้มีเครื่องบินเช่าเหมาลำ หรือ ชาร์เตอร์ไฟลต์จากต่างประเทศเข้ามาโดยตรง และยังมีการเปิดเส้นทางบินของสายการบินต้นทุนต่ำ (low cost airline) อีกด้วย เช่น การบินไทย 4 เที่ยว/วัน, วัน ทู โก 2 เที่ยว/วัน และไทยแอร์เอเชีย 2 เที่ยว/วัน รวม 56 เที่ยว/สัปดาห์
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0211
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 89
สั่งเข้มสนามบินทั่วปท. รับคลื่นคนเที่ยวปีใหม่
โพสต์ทูเดย์ ทอท. สั่งตรวจ เข้มสนามบินทุกแห่ง รับมือคนแห่เดินทางปีใหม่
พล.อ.ท.ชนะ อยู่สถาพร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางมาใช้บริการสนามบินกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสายการบินต่างๆ ได้เพิ่มจำนวนเที่ยวบินเพื่อรองรับผู้โดยสารในช่วงนี้ ให้เพียงพอ กับความต้องการ ดังนั้นจะทำให้เกิดความคับคั่งภายในสนามบิน ทอท. จึงได้สั่งให้ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ใน สังกัด ทอท. มีการตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร
แม้ว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีผู้โดยสารคับคั่งในทุกท่าอากาศยานที่ ทอท.รับผิดชอบ แต่ผมมั่นใจว่าด้วยมาตรการดังกล่าวข้างต้น จะทำให้ผู้โดยสารสายการบินและผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการให้บริการของ ทอท. พล.อ.ท.ชนะ กล่าว
ด้าน ร.ท.อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการท่าอากาศยาน ดอนเมือง (ทดม.) กล่าวว่า การ เตรียมการรองรับการเดินทางของ ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 26 ธ.ค.25502 ม.ค. 2551 จะมีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นจำนวน 46 เที่ยวบิน แบ่งเป็นเที่ยวบินประจำ 42 เที่ยวบิน และเที่ยวบินเช่าเหมาจำนวน 4 เที่ยวบิน โดยทางสนามบินดอนเมืองได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ รถเข็นกระเป๋า การรักษาความสะอาดห้องสุขา ลานจอดรถยนต์ และเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211467
โพสต์ทูเดย์ ทอท. สั่งตรวจ เข้มสนามบินทุกแห่ง รับมือคนแห่เดินทางปีใหม่
พล.อ.ท.ชนะ อยู่สถาพร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางมาใช้บริการสนามบินกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสายการบินต่างๆ ได้เพิ่มจำนวนเที่ยวบินเพื่อรองรับผู้โดยสารในช่วงนี้ ให้เพียงพอ กับความต้องการ ดังนั้นจะทำให้เกิดความคับคั่งภายในสนามบิน ทอท. จึงได้สั่งให้ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ใน สังกัด ทอท. มีการตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร
แม้ว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีผู้โดยสารคับคั่งในทุกท่าอากาศยานที่ ทอท.รับผิดชอบ แต่ผมมั่นใจว่าด้วยมาตรการดังกล่าวข้างต้น จะทำให้ผู้โดยสารสายการบินและผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการให้บริการของ ทอท. พล.อ.ท.ชนะ กล่าว
ด้าน ร.ท.อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการท่าอากาศยาน ดอนเมือง (ทดม.) กล่าวว่า การ เตรียมการรองรับการเดินทางของ ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 26 ธ.ค.25502 ม.ค. 2551 จะมีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นจำนวน 46 เที่ยวบิน แบ่งเป็นเที่ยวบินประจำ 42 เที่ยวบิน และเที่ยวบินเช่าเหมาจำนวน 4 เที่ยวบิน โดยทางสนามบินดอนเมืองได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ รถเข็นกระเป๋า การรักษาความสะอาดห้องสุขา ลานจอดรถยนต์ และเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211467
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/12/07
โพสต์ที่ 90
ททท.ฝันหวาน ดึงมาเลย์เที่ยว 2ล้านคนปีหน้า
โพสต์ทูเดย์ ททท.กัวลาลัมเปอร์ จับมือแอร์เอเชีย บูมท่องเที่ยวเมืองเหนือ หวังปีหน้าดึงคนมาเลเซียเที่ยวไทยทะลุ 2 ล้านคน
นายวิวัฒน์ชัย บุณยภักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า แผนการส่งเสริมการตลาดในปีหน้า ททท.เตรียมจับมือกับพันธมิตรในธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศมาเลเซีย
ทั้งนี้ เตรียมร่วมกับสายการบินแอร์เอเชีย ประเทศมาเลเซีย โฆษณาประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อเพิ่มเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ให้กับคนมาเลเซีย
ททท.อยู่ระหว่างการเจรจาให้แอร์เอเชีย เปลี่ยนขนาดเครื่องบินให้มีความจุเพิ่มขึ้น เพราะสายการบินยังไม่พร้อมเพิ่มเที่ยวบิน จาก ปัจจุบันให้บริการวันละ 1 เที่ยวบิน นายวิวัฒน์ชัย กล่าว
นอกจากนั้น ยังประสานความร่วมมือ ททท.ภาคใต้ จัดส่งเสริม การขยายเส้นทางภาคใต้อย่างภูเก็ตและกระบี่ ฯลฯ เพื่อรองรับการขยายตัวของสายการบินต้นทุนต่ำ ให้บริการจากมาเลเซีย รัฐปีนัง บินตรงสู่ จ.ภูเก็ต
การร่วมมือกับภาคเอกชนใน ครั้งนี้ ททท.เชื่อว่าในปีหน้าจะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยอย่างน้อย 10% หรือประมาณ 1.8 ล้านคน เทียบกับปีนี้ราว 1.6 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ ส่งผลกระทบให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวลดลง 10% เพราะชาวมาเลเซียส่วนใหญ่นิยมเดินทางเข้าประเทศ โดยผ่านด่านสะเดา
นายวิวัฒน์ชัย กล่าวอีกว่า ช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ คาดว่าจะมี ชาวมาเลเซียเดินทางมาใช้จ่ายที่ อ.หาดใหญ่ กว่า 1 แสนคน รายได้สะพัด 150 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211466
โพสต์ทูเดย์ ททท.กัวลาลัมเปอร์ จับมือแอร์เอเชีย บูมท่องเที่ยวเมืองเหนือ หวังปีหน้าดึงคนมาเลเซียเที่ยวไทยทะลุ 2 ล้านคน
นายวิวัฒน์ชัย บุณยภักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า แผนการส่งเสริมการตลาดในปีหน้า ททท.เตรียมจับมือกับพันธมิตรในธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศมาเลเซีย
ทั้งนี้ เตรียมร่วมกับสายการบินแอร์เอเชีย ประเทศมาเลเซีย โฆษณาประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อเพิ่มเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ให้กับคนมาเลเซีย
ททท.อยู่ระหว่างการเจรจาให้แอร์เอเชีย เปลี่ยนขนาดเครื่องบินให้มีความจุเพิ่มขึ้น เพราะสายการบินยังไม่พร้อมเพิ่มเที่ยวบิน จาก ปัจจุบันให้บริการวันละ 1 เที่ยวบิน นายวิวัฒน์ชัย กล่าว
นอกจากนั้น ยังประสานความร่วมมือ ททท.ภาคใต้ จัดส่งเสริม การขยายเส้นทางภาคใต้อย่างภูเก็ตและกระบี่ ฯลฯ เพื่อรองรับการขยายตัวของสายการบินต้นทุนต่ำ ให้บริการจากมาเลเซีย รัฐปีนัง บินตรงสู่ จ.ภูเก็ต
การร่วมมือกับภาคเอกชนใน ครั้งนี้ ททท.เชื่อว่าในปีหน้าจะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยอย่างน้อย 10% หรือประมาณ 1.8 ล้านคน เทียบกับปีนี้ราว 1.6 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ ส่งผลกระทบให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวลดลง 10% เพราะชาวมาเลเซียส่วนใหญ่นิยมเดินทางเข้าประเทศ โดยผ่านด่านสะเดา
นายวิวัฒน์ชัย กล่าวอีกว่า ช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ คาดว่าจะมี ชาวมาเลเซียเดินทางมาใช้จ่ายที่ อ.หาดใหญ่ กว่า 1 แสนคน รายได้สะพัด 150 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211466