กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 1
ผมคิดว่านักลงทุนกำลังพยายามทุ่มเทศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างมาก โดยการศึกษา
1. สภาพเศรษฐกิจโดยรวม ค่าเงิน น้ำมัน ดอกเบี้ย เป็นต้น
2. สภาพอุตสาหกรรมโดยรวม ว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร
3. หุ้นที่กำลังสนใจ ว่าผลประกอบการณ์เป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร
4. ราคาที่ควรซื้อ ถือ และควรขายเมื่อไร เพราะอะไร
สรุปคือเราศึกษากันทุกอย่างที่ควรจะศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
แต่ถ้ามาสังเกต ตัวเลข เล็กน้อย โดยการเปรียบเทียบ นักลงทุนคนหนึ่งลงทุน 10 ล้าน กำไร 10 % ก็ได้กำไร 1 ล้าน ซึ่งกำไร 10 % เป็นกำไร ที่สามารถทำได้ คือคนธรรมดา สามารถทำได้
ในขณะ ที่นักลงทุนอีกคนหนึ่ง ลงทุน 1 ล้าน หากจะทำกำไรให้ได้ 1 ล้าน ต้องกำไร 100 % ซึ่งบางปีอาจจะทำได้ แต่ถ้าจะทำให้ได้ทุกปี หลายๆปีติดต่อกัน ยังไม่มีใครในโลกแม้แต่ วอเรน บัพเฟต ก็ไม่สามารถทำได้
ประเด็นที่ผมคิดคือ กำไรธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา เกิดจากอะไรกันแน่
หากว่าความสำเร็จในการลงทุนเกิดจาก
1. มีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานที่ประสบความสำเร็จจริงในการลงทุน
2. มีเงินมากพอ ที่จะทำให้ได้กำไร เป็นเม็ดเงินก้อนโต
ผมคิดว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ทุ่มเทไปทำข้อ 1.
และอาจจะละเลยข้อ 2.
หากเราให้น้ำหนักความสำคัญ ระหว่างข้อ 1 กับข้อ 2 ผมคิดว่า น่าจะ 50 : 50
หรือเอามารวมกันเป็นว่า มีเงินมากพอ และมีความสามารถในการลงทุนให้ได้กำไร โดยหวังกำไรอย่างธรรมดา เช่น 10 - 20 % ต่อปี
แทนที่จะตั้งเป้าให้ได้กำไรเยอะๆ ต่อปี แต่เปลี่ยนเป็น ตั้งเป้า ว่า ในช่วงแรกๆของการลงทุน ห้ามนำเงินกำไร ไปใช้จ่าย เพราะว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ กำลังจะออกลูก ออกหลานเป็นเงินต่อไป
แล้วจะเอาผลกำไรไปใช้ได้เมื่อไร ก็ต้องรอให้พอร์ทใหญ่มากพอ เหมือนต้นไม้ใหญ่มากพอ เราจะเด็ดกินผล กินใบอ่อนบ้าง ต้นไม้ใหญ่ ก็ยังเติบโตต่อไป
การทำกำไร ต่อปี นักลงทุนมักจะคิดเป็น % กำไรของพอร์ท ว่าปีนี้กำไร กี่ %
แต่ถ้ามาคิดอีกแบบ คือเมื่อเรามีเงินมากพอเช่น 10 ล้านบาท เงิน 10 ล้านบาท กับประสบการณ์ในการทำกำไร ทำให้เราสามารถเอามาหาเงินต่อได้ เช่นปีละ 20 % เราก็จะได้กำไรขึ้นมาปีละ 2 ล้านบาท
ไม่ช้าไม่นาน เงิน 10 ล้านบาท จะกลายเป็น 20 ล้าน และเมื่อเราทำกำไรปีต่อไปได้ 20 % เราก็จะได้มาปีละ 4 ล้านบาท
ผมคิดว่า นักลงทุนที่ร่ำรวยหลายๆคน ไม่ได้คิด % กำไรของพอร์ท แต่เขาคิดว่า ปีนี้ เขารวยขึ้นมาประมาณเท่าไร
% ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป หากใครมีเงิน 3000 ล้าน แล้วได้กำไรต่อปี ในปีนั้นเพียง 5 % เขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาสูงถึง 150 ล้านบาท
ที่สำคัญคือ นักลงทุนหน้าใหม่ที่มีเงินน้อยๆ ควรจะเน้น ไปที่ข้อ 1 หรือ ข้อ 2
ก็ลองให้น้ำหนักกันเองนะครับ
และถ้าเราให้น้ำหนักข้อ 2 มากพอควร ปัจจุบัน เราคิด วางแผน และลงมือทำ เพื่อให้ข้อ 2 เป็นจริงขี้นมาจริงๆหรือเปล่าครับ
1. สภาพเศรษฐกิจโดยรวม ค่าเงิน น้ำมัน ดอกเบี้ย เป็นต้น
2. สภาพอุตสาหกรรมโดยรวม ว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร
3. หุ้นที่กำลังสนใจ ว่าผลประกอบการณ์เป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร
4. ราคาที่ควรซื้อ ถือ และควรขายเมื่อไร เพราะอะไร
สรุปคือเราศึกษากันทุกอย่างที่ควรจะศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
แต่ถ้ามาสังเกต ตัวเลข เล็กน้อย โดยการเปรียบเทียบ นักลงทุนคนหนึ่งลงทุน 10 ล้าน กำไร 10 % ก็ได้กำไร 1 ล้าน ซึ่งกำไร 10 % เป็นกำไร ที่สามารถทำได้ คือคนธรรมดา สามารถทำได้
ในขณะ ที่นักลงทุนอีกคนหนึ่ง ลงทุน 1 ล้าน หากจะทำกำไรให้ได้ 1 ล้าน ต้องกำไร 100 % ซึ่งบางปีอาจจะทำได้ แต่ถ้าจะทำให้ได้ทุกปี หลายๆปีติดต่อกัน ยังไม่มีใครในโลกแม้แต่ วอเรน บัพเฟต ก็ไม่สามารถทำได้
ประเด็นที่ผมคิดคือ กำไรธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา เกิดจากอะไรกันแน่
หากว่าความสำเร็จในการลงทุนเกิดจาก
1. มีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานที่ประสบความสำเร็จจริงในการลงทุน
2. มีเงินมากพอ ที่จะทำให้ได้กำไร เป็นเม็ดเงินก้อนโต
ผมคิดว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ทุ่มเทไปทำข้อ 1.
และอาจจะละเลยข้อ 2.
หากเราให้น้ำหนักความสำคัญ ระหว่างข้อ 1 กับข้อ 2 ผมคิดว่า น่าจะ 50 : 50
หรือเอามารวมกันเป็นว่า มีเงินมากพอ และมีความสามารถในการลงทุนให้ได้กำไร โดยหวังกำไรอย่างธรรมดา เช่น 10 - 20 % ต่อปี
แทนที่จะตั้งเป้าให้ได้กำไรเยอะๆ ต่อปี แต่เปลี่ยนเป็น ตั้งเป้า ว่า ในช่วงแรกๆของการลงทุน ห้ามนำเงินกำไร ไปใช้จ่าย เพราะว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ กำลังจะออกลูก ออกหลานเป็นเงินต่อไป
แล้วจะเอาผลกำไรไปใช้ได้เมื่อไร ก็ต้องรอให้พอร์ทใหญ่มากพอ เหมือนต้นไม้ใหญ่มากพอ เราจะเด็ดกินผล กินใบอ่อนบ้าง ต้นไม้ใหญ่ ก็ยังเติบโตต่อไป
การทำกำไร ต่อปี นักลงทุนมักจะคิดเป็น % กำไรของพอร์ท ว่าปีนี้กำไร กี่ %
แต่ถ้ามาคิดอีกแบบ คือเมื่อเรามีเงินมากพอเช่น 10 ล้านบาท เงิน 10 ล้านบาท กับประสบการณ์ในการทำกำไร ทำให้เราสามารถเอามาหาเงินต่อได้ เช่นปีละ 20 % เราก็จะได้กำไรขึ้นมาปีละ 2 ล้านบาท
ไม่ช้าไม่นาน เงิน 10 ล้านบาท จะกลายเป็น 20 ล้าน และเมื่อเราทำกำไรปีต่อไปได้ 20 % เราก็จะได้มาปีละ 4 ล้านบาท
ผมคิดว่า นักลงทุนที่ร่ำรวยหลายๆคน ไม่ได้คิด % กำไรของพอร์ท แต่เขาคิดว่า ปีนี้ เขารวยขึ้นมาประมาณเท่าไร
% ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป หากใครมีเงิน 3000 ล้าน แล้วได้กำไรต่อปี ในปีนั้นเพียง 5 % เขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาสูงถึง 150 ล้านบาท
ที่สำคัญคือ นักลงทุนหน้าใหม่ที่มีเงินน้อยๆ ควรจะเน้น ไปที่ข้อ 1 หรือ ข้อ 2
ก็ลองให้น้ำหนักกันเองนะครับ
และถ้าเราให้น้ำหนักข้อ 2 มากพอควร ปัจจุบัน เราคิด วางแผน และลงมือทำ เพื่อให้ข้อ 2 เป็นจริงขี้นมาจริงๆหรือเปล่าครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 2
นักลงทุนหน้าใหม่ ที่มีเงินน้อย และได้กำไร 10-20 % ต่อปี หากลงทุน 1 แสนบาท ได้กำไร 10000-20000 บาท อาจจะรู้สึกว่า อีกไกล กว่าจะร่ำรวย
หากคิดให้ดีๆ การทำกำไร 10-20 % นั้น เป็นกำไรธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา เพราะเมื่อมีเงินมากพอ กำไรตรงนี้ ก็จะมากมหาศาล
เพราะฉะนั้น หากเริ่มตั้งแต่วันนี้
ค่อยๆลงทุนไป ทำกำไรไป 10-20 % ต่อปี ถือว่า ยอดเยี่ยมแล้ว
และ
1. อย่าไปใช้เงินที่ได้กำไรมา
2. ประหยัด แล้วเหลือเงินไว้ลงทุนเพิ่ม
วิธีประหยัด
1. ลองวิเคราะห์รายจ่ายดูครับ ว่าใน 1 เดือนรายจ่ายเรามีอะไรบ้าง แล้วถ้าตัดรายการนั้น รายการนี้ เราจะเหลือเงินมาลงทุนเพิ่มเท่าไร
2. อย่ารีบซื้อ บ้าน รถยนต์
เงินที่มากพอ เปรียบเสมือน อวนในการหาปลา เราจะไม่เหนื่อย แต่เงินน้อยๆ เปรียบเสมือนเบ็ดที่ใช้ตกปลาที่ละตัว ถึงจะเก่งกาจแค่ไหนก็ได้ปลาที่ละตัว
หากคิดให้ดีๆ การทำกำไร 10-20 % นั้น เป็นกำไรธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา เพราะเมื่อมีเงินมากพอ กำไรตรงนี้ ก็จะมากมหาศาล
เพราะฉะนั้น หากเริ่มตั้งแต่วันนี้
ค่อยๆลงทุนไป ทำกำไรไป 10-20 % ต่อปี ถือว่า ยอดเยี่ยมแล้ว
และ
1. อย่าไปใช้เงินที่ได้กำไรมา
2. ประหยัด แล้วเหลือเงินไว้ลงทุนเพิ่ม
วิธีประหยัด
1. ลองวิเคราะห์รายจ่ายดูครับ ว่าใน 1 เดือนรายจ่ายเรามีอะไรบ้าง แล้วถ้าตัดรายการนั้น รายการนี้ เราจะเหลือเงินมาลงทุนเพิ่มเท่าไร
2. อย่ารีบซื้อ บ้าน รถยนต์
เงินที่มากพอ เปรียบเสมือน อวนในการหาปลา เราจะไม่เหนื่อย แต่เงินน้อยๆ เปรียบเสมือนเบ็ดที่ใช้ตกปลาที่ละตัว ถึงจะเก่งกาจแค่ไหนก็ได้ปลาที่ละตัว
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 3
8) สำหรับผม
criteriaที่น่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในตลาดการลงทุนนี้
ข้อ..1..เรื่องความรู้ความสามารถ..ขาดไม่ได้ จำเป็นอย่างยิ่ง
แต่ข้อนี้เรียนทันกันได้
ข้อ..2..ต้องกล้า
ข้อ..3..ต้องอึด
ข้อ2กับ3นี่ฝึกยากกส์..มักมาจากบุคลิกที่สั่งสมมา...
criteriaที่น่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในตลาดการลงทุนนี้
ข้อ..1..เรื่องความรู้ความสามารถ..ขาดไม่ได้ จำเป็นอย่างยิ่ง
แต่ข้อนี้เรียนทันกันได้
ข้อ..2..ต้องกล้า
ข้อ..3..ต้องอึด
ข้อ2กับ3นี่ฝึกยากกส์..มักมาจากบุคลิกที่สั่งสมมา...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 6
สิ่งที่ต้องมี
1. ความรู้+ ความสามารถ ประจำแต่ละคน
2. ความอึดของแต่ละคน
3. สภาพจิตใจของแต่ละคน ที่ทนกับทุกสภาพการณ์ได้
ขาดทุนหนักก็ไม่คิดสั้นกระโดดตึก
กำไรมาก ก็สติแตกเข้าโรงพยาบาลบ้า
พวกนี้ต้องรู้ทันใจ
4. โชค วาสนา อันนี้เฉพาะตัวบุคคล ที่ได้สะสมมาตั้งแต่อดีต ส่งผลต่อปัจจุบัน และไปยังอนาคต (เฉพาะตัวจริงๆๆ)
5. มิตรและเพื่อน อันนี้ค่อยชี้แนะ ในตอนที่เดินออกนอกลู่นอกทาง
หรือไม่มีอะไรทำแล้วช่วยชี้แนะหน่อยจะได้ไปใช้ความรู้และความสามารถ
ไปแสวงหาต่อไป
ส่วนกำลังเงิน ไม่ตายก็หาได้ แต่ว่า หามาได้แล้ว เก็บอย่างไงให้มันอยู่กับเรานาน สิ่งนี้สิ่งน่าคิดต่อ
ทำอะไรให้มันสุดๆๆ ไม่ใช่ทำครึ่งกลางๆ
แต่สิ่งที่รู้แล้วมันทำ อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

1. ความรู้+ ความสามารถ ประจำแต่ละคน
2. ความอึดของแต่ละคน
3. สภาพจิตใจของแต่ละคน ที่ทนกับทุกสภาพการณ์ได้
ขาดทุนหนักก็ไม่คิดสั้นกระโดดตึก
กำไรมาก ก็สติแตกเข้าโรงพยาบาลบ้า
พวกนี้ต้องรู้ทันใจ
4. โชค วาสนา อันนี้เฉพาะตัวบุคคล ที่ได้สะสมมาตั้งแต่อดีต ส่งผลต่อปัจจุบัน และไปยังอนาคต (เฉพาะตัวจริงๆๆ)
5. มิตรและเพื่อน อันนี้ค่อยชี้แนะ ในตอนที่เดินออกนอกลู่นอกทาง
หรือไม่มีอะไรทำแล้วช่วยชี้แนะหน่อยจะได้ไปใช้ความรู้และความสามารถ
ไปแสวงหาต่อไป
ส่วนกำลังเงิน ไม่ตายก็หาได้ แต่ว่า หามาได้แล้ว เก็บอย่างไงให้มันอยู่กับเรานาน สิ่งนี้สิ่งน่าคิดต่อ
ทำอะไรให้มันสุดๆๆ ไม่ใช่ทำครึ่งกลางๆ
แต่สิ่งที่รู้แล้วมันทำ อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


- path2544
- Verified User
- โพสต์: 543
- ผู้ติดตาม: 0
ผมว่า..
โพสต์ที่ 7
ผมว่ามองด้านเดี่ยวไปหรือเปล่าครับ
มองแต่ด้านผลกำไร มองแบบนี้ถูกครับ เงินเยอะได้เปรียบครับ
แต่หากมอง ด้านความเสี่ยงมั่งล่ะครับ เงินเยอะก็เป็นความเสี่ยงนะครับ
เงิน 3000 ล้าน ขาดทุน 1% ก็มหาศาลนะ :D :D :D :D
มองแต่ด้านผลกำไร มองแบบนี้ถูกครับ เงินเยอะได้เปรียบครับ
แต่หากมอง ด้านความเสี่ยงมั่งล่ะครับ เงินเยอะก็เป็นความเสี่ยงนะครับ
เงิน 3000 ล้าน ขาดทุน 1% ก็มหาศาลนะ :D :D :D :D
ไม่เก่งทั้งวิเคราะห์เทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน แต่เราก็ยังรั้นที่จะรวยเพราะหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 8
รู้สึกเหมือนกันครับพี่ เจ๋ง
ตอนมีเงินลงทุนแรกๆ กำไรเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไม่เท่าตอนนี้ได้ 30% เลย
ดังนั้นต้องเก็บเงินเพิ่มเรื่อยๆ
ผมมองว่าถ้าเก็บมากเกินไปจนไม่ได้ใช้เลย ก็ลำบากนะ
เพราะมองแต่ข้างหน้า จนลืมปัจจุบัน เดี๋ยวเวลาที่จะหาความสุขได้ก็จะลดน้อยลงไป :?:
ตอนมีเงินลงทุนแรกๆ กำไรเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไม่เท่าตอนนี้ได้ 30% เลย
ดังนั้นต้องเก็บเงินเพิ่มเรื่อยๆ
ผมมองว่าถ้าเก็บมากเกินไปจนไม่ได้ใช้เลย ก็ลำบากนะ
เพราะมองแต่ข้างหน้า จนลืมปัจจุบัน เดี๋ยวเวลาที่จะหาความสุขได้ก็จะลดน้อยลงไป :?:
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 269
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 10
ผมคิดว่า คล้ายๆการชกมวยรึเปลาครับ
1)ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเปรียบได้กับ ชั้นเชิงมวย คือถ้าเรามีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์หรืออะไรก็แล้วแต่ จะทำให้เราชกเก่งขึ้น ชกโดนคู่ต่อสู้มากขึ้น โดนต่อยน้อยลง ถ้าเทียบการลงทุนก็คือเราอาจได้กำไร เกินกว่าปกติ เช่น ได้ซัก 20 up ได้
2)ปริมาณเงิน เปรียบกับ ความหนักของหมัด คือถ้าเงินเยอะก็หมัดหนักขึ้น
บางคนแม้มี ข้อ 1 มาก แต่เงินน้อย หมัดก็ดู เบาเบา แต่บางคนแม้ความรู้ไม่มากนัก ทำกำไรได้ 2-3 เท่านั้นเอง แต่ว่ามีพอร์ตใหญ่ มันก็ดูเยอะ
ผมคิดว่าที่ พี่ JENG พูดก็มีเหตุผล นะครับ คล้ายๆฝึกวิชาก็ต้องฝึกพลังด้วย
ถึงจะเจ๋ง
1)ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเปรียบได้กับ ชั้นเชิงมวย คือถ้าเรามีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์หรืออะไรก็แล้วแต่ จะทำให้เราชกเก่งขึ้น ชกโดนคู่ต่อสู้มากขึ้น โดนต่อยน้อยลง ถ้าเทียบการลงทุนก็คือเราอาจได้กำไร เกินกว่าปกติ เช่น ได้ซัก 20 up ได้
2)ปริมาณเงิน เปรียบกับ ความหนักของหมัด คือถ้าเงินเยอะก็หมัดหนักขึ้น
บางคนแม้มี ข้อ 1 มาก แต่เงินน้อย หมัดก็ดู เบาเบา แต่บางคนแม้ความรู้ไม่มากนัก ทำกำไรได้ 2-3 เท่านั้นเอง แต่ว่ามีพอร์ตใหญ่ มันก็ดูเยอะ
ผมคิดว่าที่ พี่ JENG พูดก็มีเหตุผล นะครับ คล้ายๆฝึกวิชาก็ต้องฝึกพลังด้วย
ถึงจะเจ๋ง
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 12
จริงอย่างที่พี่เจ๋งว่า ... มันสำคัญทั้ง 2 อย่างจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปนี่ไม่ได้
แต่ถ้าให้ผมเลือกจริงๆ ผมว่าข้อ 1 ต้องมาก่อนครับ ...
เพราะถ้ามีเงินเยอะๆ ความรู้ไม่ค่อยมีสุดท้ายไอ้เงินเยอะๆนี่ก็อาจจะหดไปได้เรื่อยๆเหมือนกัน เพราะงั้นต้องมีความรู้ก่อน แล้วเงินค่อยตามมา
- สรุปแล้วในช่วงแรกๆผมว่าต้องหาความรู้ด้านการลงทุนเยอะๆ อาจจะให้สัดส่วน 70 30
- แล้วพอถึงจุดที่ความรู้เรามันมากขึ้นๆ จนกลายเป็น vi ที่มีวินัยแล้ว ความสำคัญจะมาอยู่ที่การเพิ่มเงินต้นมากขึ้น เป็น 30 70
- และสุดท้ายที่เรามีความรู้มากขึ้นอีก เงินก็มีเยอะแล้ว ถึงเวลานั้นเราอาจจะเป็นอิสระทางการเงินได้ เป็นนักลงทุน full time เพราะฉะนั้นเงินต้นก็ไม่ต้องใส่เข้าไปแล้ว (เพราะไม่ได้ทำงาน) แล้วเวลาที่เหลือก็มาทุ่มเทให้กับการศึกษาใหม่อีกรอบ เป็น 100 0
แต่ถ้าให้ผมเลือกจริงๆ ผมว่าข้อ 1 ต้องมาก่อนครับ ...
เพราะถ้ามีเงินเยอะๆ ความรู้ไม่ค่อยมีสุดท้ายไอ้เงินเยอะๆนี่ก็อาจจะหดไปได้เรื่อยๆเหมือนกัน เพราะงั้นต้องมีความรู้ก่อน แล้วเงินค่อยตามมา
- สรุปแล้วในช่วงแรกๆผมว่าต้องหาความรู้ด้านการลงทุนเยอะๆ อาจจะให้สัดส่วน 70 30
- แล้วพอถึงจุดที่ความรู้เรามันมากขึ้นๆ จนกลายเป็น vi ที่มีวินัยแล้ว ความสำคัญจะมาอยู่ที่การเพิ่มเงินต้นมากขึ้น เป็น 30 70
- และสุดท้ายที่เรามีความรู้มากขึ้นอีก เงินก็มีเยอะแล้ว ถึงเวลานั้นเราอาจจะเป็นอิสระทางการเงินได้ เป็นนักลงทุน full time เพราะฉะนั้นเงินต้นก็ไม่ต้องใส่เข้าไปแล้ว (เพราะไม่ได้ทำงาน) แล้วเวลาที่เหลือก็มาทุ่มเทให้กับการศึกษาใหม่อีกรอบ เป็น 100 0
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- jung_oh
- Verified User
- โพสต์: 734
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 15
เห็นด้วยกับ หลายๆท่านครับ
ตอนนี้ เริ่มด้วย เงินน้อยๆก่อน (แต่ก็ เป็นเงินเก็บเยอะของผมเหมือนกัน) เพื่อสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ตอนนี้ ก็ลอกๆ แล้วก็ อ่านๆ ถ้าชอบก้ซื้อตาม ในราคาที่คิดว่า โอเค
ไว้เก่งเมื่อไหร่ คงขยาย Port ให้โตขึ้น
ตั้งเป้าหมายไว้ว่า มี port ให้ได้สัก 20-25 ล้าน ก็คงแบ่งเป็นสัดส่วน สัก 80 อยู่ในหุ้นปันผล หรือ หุ้นแข็งแรง ขอสัก 10% ต่อปี อีก 20 ก็หาหุ้นโตเร็วมาเล่น ให้ฉูบฉีด(แต่ไม่รู้จะโดนสูบหรือป่าว 555)
แล้วก็คงหยุดงาน มาใช้ ชีวิตตามใจชอบล่ะคับ
ตอนนี้ เริ่มด้วย เงินน้อยๆก่อน (แต่ก็ เป็นเงินเก็บเยอะของผมเหมือนกัน) เพื่อสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ตอนนี้ ก็ลอกๆ แล้วก็ อ่านๆ ถ้าชอบก้ซื้อตาม ในราคาที่คิดว่า โอเค
ไว้เก่งเมื่อไหร่ คงขยาย Port ให้โตขึ้น
ตั้งเป้าหมายไว้ว่า มี port ให้ได้สัก 20-25 ล้าน ก็คงแบ่งเป็นสัดส่วน สัก 80 อยู่ในหุ้นปันผล หรือ หุ้นแข็งแรง ขอสัก 10% ต่อปี อีก 20 ก็หาหุ้นโตเร็วมาเล่น ให้ฉูบฉีด(แต่ไม่รู้จะโดนสูบหรือป่าว 555)
แล้วก็คงหยุดงาน มาใช้ ชีวิตตามใจชอบล่ะคับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 17
8) พอดีพี่มิ มาโพสmiracle เขียน:4. โชค วาสนา อันนี้เฉพาะตัวบุคคล ที่ได้สะสมมาตั้งแต่อดีต ส่งผลต่อปัจจุบัน และไปยังอนาคต (เฉพาะตัวจริงๆๆ)
5. มิตรและเพื่อน อันนี้ค่อยชี้แนะ ในตอนที่เดินออกนอกลู่นอกทาง
หรือไม่มีอะไรทำแล้วช่วยชี้แนะหน่อยจะได้ไปใช้ความรู้และความสามารถ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 678
- ผู้ติดตาม: 0
กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์ที่ 18
เห็นด้วยกับหลายๆความคิดครับ
แต่ไม่ค่อยชอบคำว่าเงินต่อเงินเลย (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)
เมื่อเงินเยอะแล้วหวังกำไร 10-20% ก็เพียงพอแล้ว
ทำให้คิดได้ว่า งั้น เงินน้อยก็ต้องหวังกำไรมากๆเกินกว่า 20 %ก็ไม่น่าจะผิด แต่ไม่รู้จะทำได้รึเปล่าเนี้ยสิ
แต่ไม่ค่อยชอบคำว่าเงินต่อเงินเลย (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)
เมื่อเงินเยอะแล้วหวังกำไร 10-20% ก็เพียงพอแล้ว
ทำให้คิดได้ว่า งั้น เงินน้อยก็ต้องหวังกำไรมากๆเกินกว่า 20 %ก็ไม่น่าจะผิด แต่ไม่รู้จะทำได้รึเปล่าเนี้ยสิ