subprime crisis monitor

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 61

โพสต์

"ไอเอ็มเอฟ" ประกาศหนุนเฟดปรับลด ดบ. บรรเทผลกระทบวิกฤติสินเชื่อ

โดย ผู้จัดการออนไลน์
21 กันยายน 2550 13:03 น.

 IMF หนุนเฟดปรับลดดอกเบี้ย ชี้ช่วยบรรเทาสถานการณ์เลวร้ายจากวิกฤตกาณ์สินเชื่อเชื่อด้อยคุณภาพ หรือซับไพรม์ ระบุ เป็นการสกัดปัญหาลุกลามไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ
     
      วันนี้(21 ก.ย.) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมากล่าวสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในที่ประชุมครั้งล่าสุดเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ที่เลวร้ายในตลาดสินเชื่อ(ซับไพรม์) ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินทั่วโลก
     
      นายมาซุด อาห์เม็ด โฆษกของ IMF กล่าวว่า การประกาศลดดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยป้องกันมิให้วิกฤติสินเชื่อที่ตึงตัวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาค
     
      สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เฟดได้ประกาศลดดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% ลงมาอยู่ที่ระดับ 4.75%
     
      "ธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางในประเทศอื่นๆออกมาเน้นย้ำว่า พวกเขาพร้อมที่จะดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อควบคุมผลกระทบที่เลวร้ายในเศรษฐกิจอันเป็นผลพวงจากสถานการณ์ความวุ่นวายในตลาดเงิน"
     
      ทั้งนี้ เฟดได้ชี้แจงถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการช่วยป้องกันมิให้ผลกระทบที่เลวร้ายจากความผันผวนในตลาดเงินอันเกี่ยวเนื่องจากปัญหาในตลาดซับไพรม์สหรัฐนั้น บั่นทอนเศรษฐกิจในวงกว้างมากขึ้น
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000111787
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 62

โพสต์

ธปท.จับตาซับไพร์มกระทบศก. [ ฉบับที่ 830 ประจำวันที่ 22-9-2007 ถึง 25-9-2007]  
> เชื่อเฟดใช้ยาแรงไม่กดดันไทยลดดอกเบี้ยตาม

ผู้ว่าการแบงก์ชาติยันเฟดลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ไม่เป็นแรงกดดันให้ไทยต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตาม เผยแค่เอามาประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศในการ ประชุม กนง. 10 ต.ค.นี้ ระบุจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ดูที่อัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ ด้าน ขุนคลัง มั่นใจหลังเฟดลดดอกเบี้ยจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ หยุดวิกฤติ ซับไพร์ม ไม่ให้ลุกลาม ต่อไป ขณะที่ โฆสิต ชี้ไทยต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาย หลังการเข้าหารือเรื่องภาวะเศรษฐกิจระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.อุตสาหกรรม และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่า การธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กว่า 2 ชั่วโมงนั้น

นายโฆสิต เปิดเผยภายหลังการหารือดังกล่าวว่า มีการ หารือปัญหาค่าเงินบาท รวมทั้งกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจต่างประเทศเกิดความผันผวน จึงต้องระมัดระวังตัว ในส่วนของกระทรวงการคลัง ได้พูดคุยกันว่าจะต้องเดินตามแนวนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่วางไว้ โดยเฉพาะการดูแลความพร้อมการลงทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยนายกรัฐมนตรีสอบถามถึงการลงทุนต่างๆ ขณะนี้ ซึ่งได้ราย งานว่า การลงทุนที่ผ่านสำนัก งานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปีนี้มีปริมาณมาก กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนในประเทศมีการประสานกับกลุ่มลงทุนรายใหญ่สำคัญๆ เช่น นิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด มีการทำ งานร่วมกัน เช่น บริษัทปูนซิเมนต์ ไทยฯ เสนอโครงการมายังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้อนุมัติแล้ว 11 โครงการ ค้างอยู่ 7 โครงการ เป็นต้น

> ขุนคลัง เชื่อ ไทยดูแลสถานการณ์ได้

ด้านดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ตาม ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.50 ไม่อาจสรุปได้ว่าจะทำให้ค่า เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เพราะในช่วงก่อนที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้ปรับลดลงมากที่สุดเป็น ประวัติการณ์อยู่แล้ว ที่จริงมาตรการของเฟดที่ออกมา อาจ มองในทิศทางตรงกันข้ามได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้ปัญหาซับไพร์มลุกลามไป ซึ่งก็อาจมีส่วนช่วยให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นได้

ในส่วนของประเทศไทย เมื่อความเชื่อมั่นมีมากขึ้นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่ถูกกระทบ มากไปกว่านี้ โดยจะเห็นได้ชัดจากตลาดหุ้นได้พุ่งขึ้นค่อนข้างแรงและได้ส่งผลต่อไปยังตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นๆ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย โดยช่วงเช้าดัชนีราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไปพอสมควร เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นจุดที่ทำให้มีการมองว่า ปัญหาซับไพร์มคงไม่รุนแรงไปกว่านี้อีก และการที่ทางการสหรัฐฯ มีมาตรการที่ค่อนข้างเข้มข้นที่พอช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็อาจจะทำให้ความเชื่อมั่นกลับขึ้นมาได้เร็ว

ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า ตนมองว่าในระยะหลัง ตลาดต่างๆ มีความผันผวนเป็นช่วงๆ โดยบางช่วงปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ปรับทิศลดลงต่อเนื่องค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้น ส่วนที่ได้เห็นในช่วงที่ผ่านมาคือ ตลาดหุ้นทั้งโลกปรับลดลงค่อนข้างมากต่อเนื่องมานาน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ตลาดต่างๆ จะกลับมาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีก ซึ่งเป็นปกติของแนวทางตลาดทุน เพราะหากตลาดนิ่งก็ไม่มีใครทำกำไรอะไรได้ จึงจะเห็นวัฏจักรของตลาดเหล่านี้ ไม่ว่าตลาดหลัก ทรัพย์ฯ ตลาดเงินตรา แม้กระทั่งตลาดเกี่ยวข้องกับราคาของสินค้าต่างๆ ที่มักจะขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา เช่น น้ำมัน ปัจจุบันราคาน้ำมันปรับ ขึ้นสูงมาก เพราะฉะนั้น เมื่อเงินเริ่มไหลไปลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ เงินที่จะเก็งกำไรน้ำมัน อาจลดลง ซึ่งในที่สุดอาจเห็นราคาน้ำมันเริ่มลดลงได้

> จับตากนง.ประชุมดบ.อาร์พี 10 ต.ค.นี้

ส่วนอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยจะปรับลดลงหรือไม่ เป็นเรื่องที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะพิจารณา ซึ่งการประชุม กนง.จะมีขึ้น ในวันที่ 10 ตุลาคม 2550 นี้ ก็จะต้องพิจารณา ปัจจัยต่าง ๆ

ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความสามารถในการรองรับความผันผวน โดยเฉพาะความผันผวนที่อาจจะกระทบอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ในระดับเป็นที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นเชื่อว่า ถึงแม้จะมีความผันผวนเกิดขึ้น ในอนาคตประเทศไทยก็ยังสามารถดูแลสถานการณ์ได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร สำหรับเครื่องมือในการดูแลรองรับความผันผวนทั้งในส่วนของ ธปท. และในส่วนของกระทรวงการคลัง ซึ่งในเดือนหน้าเดือนตุลาคม 2550 จะเริ่มเข้าสู่ปีงบประมาณ 2551 เพราะฉะนั้นเครื่องมือในการบริหารหนี้จะสามารถใช้ได้เต็มที่ก็จะสามารถนำมาช่วยดูแลสถานการณ์ได้หากมีความจำเป็น

> เชื่อช่วยแก้ปัญหาซับไพร์มได้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า การลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้พอสมควร เพราะเฟดต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ซึ่งนักวิเคราะห์และหลายฝ่ายก็มองว่า การลดดอกเบี้ยดังกล่าว น่าจะทำให้ปัญหาซับไพร์มๆ ไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีก สำหรับการลดดอกเบี้ยลงของเฟดครั้งนี้ อาจส่งผลต่อตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงมาถึงไทยด้วย แต่สำหรับค่าเงินบาทนั้น ต้อง รอดูสภาพตลาดอีกครั้ง

> ธปท.ชี้ลดดบ.หรือไม่อยู่ที่ตัวเลขเงินเฟ้อ

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงกรณีที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 ว่า ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ ธปท.จะนำมาประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ แต่จะไม่เป็นแรงกดดันให้ไทยปรับลดดอกเบี้ยในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการตัดสินใจทั้งหมดจะอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีการประชุมในครั้งต่อไป วันที่ 10 ตุลาคมนี้

นางธาริษา กล่าวว่า ในส่วนของ ธปท. หวังว่าเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัดส่วนที่มากครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงได้ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความสำคัญ หากเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐฯ ชะลอตัว ก็จะส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าสินค้า และท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐฯ ส่วนปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพร์ม) นั้น ในส่วนผลกระทบทางตรงที่ไปลงทุนในสินเชื่อดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.1 ถือว่าน้อยมาก จึงไม่น่าจะมีผลกระทบทางตรง ส่วนผลกระทบทางอ้อมจะต้องไปพิจารณาว่าจะมีผลกระทบในทางใดบ้าง

สำหรับปัจจัยที่จะเป็นตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปนั้น นางธาริษา กล่าวว่า นโยบายการเงินของไทยที่ใช้นโยบายการกำหนด เงินเฟ้อเป้าหมายนั้น จะใช้ตัวเลขเงินเฟ้อ ค่าเงินบาท และอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ เป็นตัวชี้วัด เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย

> ออมสิน เผยยังไม่ลดดอกเบี้ย

นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี รองผู้อำนวย การธนาคารออมสินอาวุโส กล่าวถึงกรณีที่เฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง ร้อยละ 0.50 ว่า ธนาคารออมสินยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ โดยจะรอการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในเดือนตุลาคมนี้อีกครั้ง ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตรา ดอกเบี้ยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ซึ่งธนาคาร พาณิชย์หลายแห่งยังมีการแข่งขันระดมเงินฝาก และธนาคารพาณิชย์บางแห่งก็มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ด้วยซ้ำไป ซึ่งเชื่อว่าจนถึงสิ้นปีนี้ ธนาคารพาณิชย์คงจะปรับลดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 0.25

> ธอส.ขึ้นดบ.เงินฝาก 0.25%

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าว ว่า ในวันจันทร์ที่ 24 ก.ย.นี้ ธอส.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ร้อยละ 0.25 เพื่อเป็น การรักษาฐานลูกค้าเงินฝากไว้ เนื่องจากขณะนี้มีการแข่งขันระดมเงินฝากจากสถาบันการเงิน โดยมีธนาคารพาณิชย์บางแห่งให้เงินฝากประจำ 18 เดือน สูงถึงร้อยละ 3.75 ประกอบกับสภาพ คล่องของระบบลดลงกว่า 80,000 ล้านบาท หลัง จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งหาก ธอส.ไม่ต้องการเสียลูกค้าเงินฝาก ก็จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นายขรรค์ กล่าวว่า การที่ธนาคารตัด สินใจขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับไทยไม่มีความสัมพันธ์กัน เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงร้อยละ 0.5 เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาซับไพร์มลุกลามมาถึงลูกค้าชั้นดี และเชื่อ ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.5 ก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ อยู่ที่ร้อยละ 1.50 ดังนั้น แนวโน้มที่ไทยจะลดดอกเบี้ยลงคงยังไม่มี เพราะ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=6856
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 63

โพสต์

ประธานเฟด ชี้ จับตามมองเงินเฟ้อใกล้ชิด และควบคุมได้ หลังลดดอกเบี้ยลง 0.5%
เบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด แถลงชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการเงิน อสังหาริมทรัพย์ รัฐสภาสหรัฐ เมื่อคืนที่ผ่านมา จากคำถามที่ว่า การลดดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภท อย่างละ 0.5% จะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อของสหรัฐอนาคต โดยประธานเฟด กล่าวว่า ยังเฝ้าจับตามองเงินเฟ้อในสหรัฐอย่างใกล้ชิด และไม่เชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐขณะนี้ จะไม่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้ว่าล่าสุดอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในสหรัฐจะอยู่สูงกว่าระดับ 2% เพียงเล็กน้อย ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของรัฐมนตรีคลังสหรัฐ

ประธานเฟด มอง ตราสารการเงินที่ซับซ้อน เป็นปัญหาของวิกฤติ
ประธานเฟด กล่าวต่อไปว่า ผลิตภัณท์ทางการเงินในปัจจุบัน ที่มีโครงสร้างออกแบบอย่างซับซ้อน และยากต่อการประเมินมูลค่าที่ถูกต้องอย่างแท้จริง กลายเป็นปัญหามากกว่า ท่ามกลางบทบาทของกองทุนประกันความเสี่ยง หรือเฮ็ดจ์ฟันด์ ที่ไม่ได้มีน้ำหนักสำคัญมากนักในการเกิดวิกฤติสภาพคล่อง ซึ่งเป็นผลจากวิกฤติตราสารหนี้ ที่ค้ำประกันโดยหลากหลายประเภทสินเชื่อ นอกจากนี้ ประธานเฟด เห็นด้วย ที่รัฐสภาสหรัฐจะผ่านกฎหมาย เพื่อบังคับให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต้องปรับปรุงกฎเกณฑ์ในการจัดอันดับ

ประธานเฟด ย้ำ ลดดอกเบี้ยเพื่อป้องกันสินเชื่อตึงตัว ฉุดเศรษฐกิจภาพรวม
เบน เบอร์นันกี้ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เป้าหมายสำคัญของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่ตัดสินในลดดอกเบี้ยระยะสั้น และดอกเบี้ยกู้ยืมให้กับธนาคารพาณิชย์ ลงอย่างละ 0.5% นั้น เพื่อต้องการสร้างความมั่นใจว่า ภาวะตลาดสินเชื่อที่ตึงตัว จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของทั้งประเทศ เนื่องจาก ภาวะที่ตึงตัวดังกล่าว ทำให้เกิดการปรับตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างหนัก และรุนแรงมากขึ้น ทำให้การตัดสินในการประชุมที่ผ่านมา ต้องการป้องกันไม่ให้พบกับภาวะดังกล่าว นอกจากนี้ ยังต้องการให้ภาวะจ้างงาน และเงินเฟ้อนิ่ง

เหรียญสหรัฐ มีค่าเท่ากับเหรียญแคนาดา ครั้งแรกในรอบ 31 ปี
ตลาดเงินสุดผันผวนเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยค่าเงินเหรียญสหรัฐ มีค่าเท่ากับค่าเงินเหรียญแคนาดา ที่ระดับ 99.93 เหรียญแคนาดาต่อเหรียญสหรัฐ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 31 ปี ที่ค่าเงินเหรียญทั้ง 2 สกุลมีค่าเท่ากัน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 1976 หรือในปี 2519 นับเป็นวันที่ค่าเงินเหรียญแคนาดา มีค่าสูงกว่า 1 เหรียญสหรัฐไม่เพียงเท่านั้น นับตั้งแต่ในปี 2002 หรือในปี 2545 จนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา ค่าเงินเหรียญแคนาดาปรับแข็งค่าสูงขึ้นถึง 62% หรือในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สาเหตุจาก การลดดอกเบี้ยระยะสั้นของ แบงก์ชาติสหรัฐมากถึง 0.5%

เหรียญสหรัฐอ่อนค่ากับ 6 สกุล เงินสำคัญในรอบ 15 ปี เป็นวันที่ 2 ติดกัน
ในขณะเดียวกัน ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ตลาดนิวยอร์ก ยังอ่อนค่าลงทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ระดับ 1.4094 ก่อนที่จะปิดที่รับ 1.40 เหรียญสหรัฐต่อเหรียญยูโร ไม่เพียงเท่านั้น ค่าเงินเหรียญสหรัฐ ยังปรับอ่อนค่าลงกับ 6 สกุลเงินอื่นๆ เช่น เยนญี่ปุ่น ทำสถิติอ่อนค่าในรอบ 15 ปี ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ภาวะดังกล่าว ทำให้รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส คริสตีน แล๊กการ์ด ชี้ว่า รัฐมนตรีคลังทั้งหมดในกลุ่มสหภาพยุโรป หรืออียู ต้องพิจารณาแนวโน้มเงินเหรียญยูโรอย่างจริงจัง

ผู้ว่าแบงก์ชาติอังกฤษ โต้ ปล่อยเงินกู้ให้ แบงก์นอร์ทเทิร์น ร๊อค เป็นหน้าที่
นายเมอร์วิน คิงส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า การตัดสินใจเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคารพาณิชย์ โดยให้ไปยังธนาคารนอร์ทเทิร์น ร๊อค ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของ แบงก์ชาติอังกฤษ ในฐานะแหล่งเงินกู้ยืมสุดท้ายของระบบการเงิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผู้ว่า แบงก์ชาติอังกฤษดังกล่าว ได้ออกมาตำหนิมาตรการของผู้ว่าการ แบงก์ชาติทั่วโลก ที่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินอย่างมากมายและต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือบรรดาสถาบันการเงินสำคัญขนาดใหญ่ ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/09/07

โพสต์ที่ 64

โพสต์

วิกฤติสินเชื่อ Subprime : ปัญหาร้อนของตลาดการเงินโลก

25 กันยายน พ.ศ. 2550 06:51:00

ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา คงไม่มีข่าวเศรษฐกิจโลกข่าวใดที่จะเป็นประเด็นร้อนเท่ากับข่าวภาวะวิกฤติในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภท Subprime ของสหรัฐ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้สถาบันการเงินหรือธนาคารที่เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ประสบปัญหาอย่างหนักแล้ว ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างหนักตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหา Subprime ซึ่งโยงไปถึงการทรุดตัวของราคาหุ้นทั่วโลกนั้น มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งผ่านของผลกระทบระหว่างทางจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ไปยังตลาดการเงินนั้นมีเรื่องของการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำ Securitization เพื่อออกตราสารที่หนุนหลังโดยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์หรือสินทรัพย์ (Mortgage-Backed Securities: MBS และ Asset-Backed Securities: ABS) และทำการแปลงตราสารเหล่านั้นผ่านกระบวนการ Securitization อีกชั้นหนึ่งให้เป็นตราสารอนุพันธ์ที่เรียกว่า CDO (Collateralized Debt Obligation) ตลอดจนถึงการใช้ตราสารอนุพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยง เช่น Credit Default Swaps (CDS) สำหรับ CDO บางประเภท

แนวโน้มในอนาคต

ในส่วนของตลาดสินเชื่อ Subprime มีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์จะทรุดตัวมากกว่าเดิมในปี 2551-2552 เนื่องจากผู้กู้ส่วนใหญ่ในตลาดนี้นิยมกู้แบบปรับอัตราดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะมีช่วงเวลาหนึ่งอาจจะ 2 หรือ 3 ปีที่ผู้กู้มีภาระในการชำระเงินค่างวดที่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วอัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับใหม่ และเนื่องจากการกู้ยืมในตลาด Subprime มีจำนวนมากในช่วงปี 2548-2549 ดังนั้น ในปี 2551- 2552 จึงน่าจะเป็นปีที่ผู้กู้ Subprime ส่วนใหญ่จะมีภาระในการผ่อนชำระมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก นอกจากนั้น สิ่งที่ต้องจับตามองก็คือ การลุกลามขยายวงของปัญหาไปยังตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ทั้งประเภท Near-Prime และ Prime

เนื่องจากมีนักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่าปัญหาจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้กู้เป็น Subprime หรือ Prime แต่เป็นเรื่องของประเภทของอัตราดอกเบี้ยระหว่างแบบที่ปรับตัวได้กับแบบคงที่ (Fixed-Rate Mortgage-FRM) กล่าวคือ ผู้ที่กู้แบบ ARM ไม่ว่าจะเป็น Prime หรือ Subprime ต่างก็จะต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับตัวสูงขึ้นและราคาบ้านปรับตัวลดลง อัตราการผิดนัดชำระหนี้จะปรับตัวสูงขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

จนถึงปัจจุบัน ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยยังจำกัดอยู่เพียงแค่ตลาดหุ้นและสถาบันการเงินที่มีการลงทุนในตราสาร CDO โดยในส่วนของตลาดหุ้นนั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรงถึง 15% ปัจจัยหลักมาจากการถอนการลงทุนของกองทุนของต่างชาติซึ่งกำลังประสบปัญหาทางการเงินจึงต้องถอนการลงทุนจากตลาดหุ้น ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นไปโดยทั่วถึงทั้งภูมิภาคตลอดจนตลาดเกิดใหม่ทั้งหลายด้วย ในส่วนของผลกระทบต่อสถาบันการเงินนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่ามีอยู่ 4 แห่งที่มีการลงทุนในตลาดสาร CDO แต่มีวงเงินลงทุนไม่มากเพียงประมาณ 715 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.6% ของสินทรัพย์รวมของสถาบันการเงินทั้ง 4 แห่ง โดยที่คาดว่าในตราสาร CDO เหล่านั้น มีส่วนที่หนุนหลังโดยสินทรัพย์ประเภท Subprime เพียงประมาณร้อยละ 0.1 ของสินทรัพย์รวมของทั้ง 4 แห่ง

ดังนั้น หากมองในภาพรวมของทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยแล้ว ผลกระทบจากปัญหา Subprime ถือว่าไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลทำให้ความเสี่ยงจากการถือครองสินทรัพย์ในรูปของพันธบัตรและตราสารอนุพันธ์ทั้งหมดของสถาบันการเงินในประเทศไทย เพิ่มสูงขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งอาจเป็นภาระที่สถาบันการเงินเหล่านั้นจะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ดังกล่าว

ผลกระทบที่มีต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้น ในปัจจุบันอาจจะยังไม่เห็นอย่างเด่นชัด แต่หากปัญหายืดเยื้อ และขยายวงกว้างออกไปจนส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐ ชะลอตัวอย่างรุนแรง ก็จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จะฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจในส่วนอื่นๆ ของโลกซึ่งส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาสหรัฐ ในการส่งออกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป ญี่ปุ่นหรือจีน ให้ชะลอตัวลงตามไปด้วย ทำให้การส่งออกของไทยจะชะลอตัวลง

นอกจากนั้น หากราคาหุ้นยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อไปอีกจะส่งผลกระทบต่อทั้งความมั่งคั่งของประชาชนบางส่วน และบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ลดต่ำลงไปอีก ซึ่งก็จะทำให้การบริโภคของภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะต่อไป

ผลดีที่อาจมีต่อเศรษฐกิจไทยก็คือ การถอนการลงทุนของกองทุนต่างชาติในตลาดหุ้น และนำเงินออกไปเพื่อเสริมสภาพคล่องจะทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนลงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ของผู้ส่งออกที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

โดย พงศ์พัฒน์ คุโรวาท  ธนาคารกรุงเทพ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=185697
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 65

โพสต์

เฟด สาขา ฟิลาเดลเฟีย ชี้ ลดดอกเบี้ยลง 2 ประเภท กดดันเงินเฟ้อมากขึ้น

นายชาร์ล พรอสเซอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาฟิลลาเดลเฟีย กล่าวว่า การตัดสินในปรับลดดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภทของคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟดในสัปดาห์ที่ผ่านมา กำลังเป็นตัวเร่งปัจจัยเสี่ยงของเงินเฟ้อ และส่งผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคตของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากมองเฉพาะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งปรับลดลงมากถึง 0.5% ส่งผลให้ลงมาอยู่ที่ 4.75% นั้น ถือว่าเหมาะสม ทั้งนี้ ข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการปรับลดดอกเบี้ยมาจาก การว่างงานที่ลดลงมาก การฟื้นตัวอสังหาริมทรัพย์สหรัฐที่ล่าช้าไปถึงปีหน้า

กองทุน Hedge Fund ส่วนใหญ่เชื่อ เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยปีหน้า

ร๊อทสไตน์ คาสส์ บริษัทให้บริการตรวจสอบ และภาษีสำหรับกองทุนทั่วไป ซึ่งมีชื่อเสียงชั้นนำในสหรัฐ ได้เปิดเผยผลสำรวจผู้จัดการกองทุนประกันความเสี่ยงในสหรัฐจำนวน 239 แห่ง รวมมูลค่ากองทุนประมาณ 492 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.72 หมื่นล้านบาท พบว่า ส่วนใหญ่ หรือคิดเป็น 61% ของกองทุนที่ทำการสำรวจในครั้งนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในปีหน้า ในขณะที่ 17% เชื่อว่า ผลจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง กระทบต่อผลประกอบการของกองทุน

เงินเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าต่ำสุดรอบ 15 ปีครั้งใหม่ เหตุตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐร่วงหนัก

ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญทั่วโลก ปรับอ่อนค่าลงสร้างสถิติต่ำสุดในรอบ 15 ปี เป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เมื่อคืนที่ผ่านมาที่ศูนย์กลางการค้าเงินนิวยอร์ก สหรัฐ หลังจากนักลงทุนต้องผิดหวังกับตัวเลขยอดขายบ้านมือสองในตลาดเดือนสิงหาคม ยังคงทรุดตัวต่อเนื่องถึง 6 เดือน และทำสถิติลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี ตามด้วยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ร่วงลงต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี และแนวโน้มที่เฟด จะตัดลดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีกครั้งในการประชุมช่วงสิ้นเดือนตุลาคม มีความเป็นไปได้สูงขึ้น

แบงก์นอร์ทเทิร์น ร๊อค ชี้ อาจเจรจาควบรวมกิจการ หลังมีวิกฤติสภาพคล่อง

ธนาคารพาณิชย์ใหญ่อันดับ 5 ในอังกฤษที่มีชื่อว่า นอร์ทเทิร์น ร๊อค ซึ่งได้รับการอัดฉีดเม็ดเงินจากธนาคารกลางอังกฤษในช่วงกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากชาวอังกฤษถอนเงินสดออกจากธนาคารเป็นจำนวนมากนั้น เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาในเบื้องต้น เกี่ยวกับการซื้อขายเพื่อควบรวมกิจการกับนักลงทุนที่สนใจ แต่ปฎิเสธว่า ยังไม่ได้มีการพูดถึงราคา ทั้งนี้ ราคาหุ้นของธนาคารนอร์ทเทิร์น ร๊อค ร่วงงลงมากถึง 74% นับตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน และยกเลิกจ่ายเงินปันผลช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งกำหนดจะจ่ายเดือนหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 66

โพสต์

แบงก์ชาติอังกฤษชี้เงินเฟ้ออนาคตผันผวนสูงขึ้น

นายแอนดริว เซ็นแทนซ์ กรรมการอิสระ ซึ่งในในตำแหน่งกรรมการของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ก่อนถึงที่จะเกิดวิกฤติสภาพคล่องทั่วโลกนั้น ยังคงส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในอนาคต และจากสาเหตุของราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขยายตัวต่อเนื่องยืนเหนือกว่า 80 เหรียญสหรัฐ อาจทำให้เงินเฟ้อในอนาคตมีความผันผวนสูงขึ้น

BIS ชี้ปริวรรตเงินตราต่างประเทศทั่วโลก พุ่ง 65% ช่วง 3 ปีผ่านมา

ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ หรือ BIS เปิดเผยว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีธุรกรรมด้านอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นถึง 65% ด้วยมูลค่าเฉลี่ยการซื้อขายทะลุ 3.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน ซึ่งนำโดยกองทุนประกันความเสี่ยง หรือกองทุนเฮ็ดจ์ฟันด์ เป็นหลัก ทั้งนี้ มูลค่าเฉลี่ยที่พุ่งสูงขึ้นดังกล่าวนับตั้งแต่ในปี 2004 หรือปี 2547 กลายเป็นสถิติธุรกรรมซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนสูงสุดในรอบ 18 ปีที่ผ่านมา และสัดส่วนตลาดสกุลเงินเกิดใหม่ เพิ่มขึ้นเป็น 20% ขณะที่หากคิดในแง่เงินแข็งค่า มีธุรกรรมเพิ่มขึ้น 71%

BIS มองเศรษฐกิจเอเชีย พุ่ง หนุนปริวรรตเงินตรา

BIS ชี้ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ ธุรกรรมด้านซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกเพิ่มสูงมากขึ้น เกิดจาก การขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับการจัดให้เป็นประเทศเกิดใหม่ ทำให้อัตราซื้อขายดังกล่าวพุ่งขึ้นถึง 3 เท่าสูงสุดในรอบ 15 ปี นอกจากนี้ มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนเฮ็ดจ์ฟันด์ทั่วโลก ทะยานขึ้นถึง 1.76 ล้านๆเหรียญสหรัฐ จากธุรกรรมดังกล่าวที่คึกคัก ทำให้ธนาคาร และสถาบันการเงินทั่วโลก ต้องจ้างพนักงานในส่วนบริการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปีที่ผ่านมา

BIS ชี้เงินหยวน เงินรูปี ขยายตัวมากที่สุดในโลกช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

BIS กล่าวต่อไปว่า ในช่วงระหว่าง 2547 - 2549 หรือช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินหยวนจีน และค่าเงินรูปีของอินเดีย คือ 2 สกุลเงินสำคัญของโลกที่มีอัตราการขยายตัวเร็วที่สุดในโลก สาเหตุจาก มูลค่าเศรษฐกิจของจีน และอินเดีย มีอัตราการขยายตัวมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในโลก ทั้งนี้ ธุรกรรมซื้อขายเงินรูปีเฉลี่ยต่อวัน รวมทั้งอนุพันธ์สกุลเงินของรูปี พุ่งขึ้นถึงเกือบ 5 เท่า ด้วยมูลค่ามากถึง 3.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท จากเดิมเฉลี่ย 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.45 แสนล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 67

โพสต์

ธ.กลางมาเลเซียเชื่อปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐไม่กระทบศก.ในประเทศปีนี้มากนัก

นางเซติ อัคตาร์ อาซิส ผู้ว่าการธนาคารกลางมาเลเซียกล่าวว่า อาจต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เพื่อดูให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ แต่สถานการณ์ดังกล่าวไม่มีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบด้านลบต่อมาเลเซียในปีนี้มากนัก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเศรษฐกิจของมาเลเซียมีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยอัตราการอุปโภคบริโภคและกิจกรรมด้านการลงทุนต่างๆเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น กิจกรรมภายในประเทศเหล่านั้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 68

โพสต์

แนะรัฐเร่งลงทุน เพื่อป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจจากเงินทุนไหลเข้าประเทศ
Posted on Wednesday, September 26, 2007
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการกลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บล.ไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยเชื่อว่า ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าที่มีเครดิตต่ำกว่ามาตรฐานของสหรัฐฯ (Subprime Mortgage Loan) ยังไม่จบ ถึงแม้ว่าธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ได้เร่งให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบแล้วก็ตาม เนื่องจากสถาบันการเงินของสหรัฐฯ จะปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากในช่วง 2 ปีแรก หลังจากนั้นจะคิดอัตราปกติ ซึ่งในปี 2551 ผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ จะต้องจ่ายดอกเบี้ยอัตราปกติเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก ซึ่งจะมีผลสถาบันการเงินของสหรัฐฯ มีสินเชื่อค้างชำระมากขึ้น รวมทั้งยังจะมีผลให้สินทรัพย์หนุนหลังด้อยค่าลงไปด้วย

นอกจากปัญหา Subprime จะส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนแล้ว ยังจะมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วย โดยผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะจับตามมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะชะลอตัวมากน้อยเพียงใด เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทย เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ทั้งของโลกและของไทย

ดร.เศรษฐพุฒิบอกว่า ปัญหา Subprime ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะนักลงทุนจะย้ายเงินมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทย ฉะนั้น ภาครัฐควรจะเร่งลงทุนโครงการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าสินค้าทุน ซึ่งจะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ นอกจากนี้ยังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย ทั้งนี้ คาดว่าปี 2551 ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

ดร.เศรษฐพุฒิยังกล่าวถึงเศรษฐกิจจีนด้วยว่า หลังการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2551 ที่กรุงปักกิ่ง เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวลดลง แต่เชื่อว่าจะไม่ก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมา ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็ยังขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็ควรติดตามตลาดหุ้นจีนอย่างใกล้ชิด

ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ก็เห็นด้วยกับดร.เศรษฐพุฒิ ที่ระบุว่า ปัญหา Subprime ยังไม่จบ แต่เชื่อว่าปัญหาจะไม่รุนแรงจนก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ เพราะธนาคารกลางของแต่ละประเทศก็ให้ความใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหานี้

อย่างไรก็ตามปัญหา Subprime ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงด้วย และมีผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ และน้ำมัน รวมถึงลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยจะได้ประโยชน์จากจุดนี้ แต่การที่มีเงินทุนเข้าไทยมาก ก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นกัน

ดร.เวทางค์บอกว่า ความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับภาคเศรษฐกิจ เช่น ปัญหา Subprime , อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทย ก็เป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่ง และในอนาคตก็มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเหล่านี้อีก ดังนั้น จึงอยากให้ไทยศึกษาปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นระบบ เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจริง ก็จะสามารถระบุผลที่เกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/09/07

โพสต์ที่ 69

โพสต์

ชี้ซับไพร์มตัวถ่วงส่งออกไทย  
 
โดย เดลินิวส์
วัน เสาร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550 11:50 น.

รายงานข่าวจากบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงปัญหาซับไพร์มในสหรัฐอเมริกา ว่า แม้เริ่มผ่อนคลาย จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ลดดอกเบี้ยลง แต่ภาคส่งออกของไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากแนวโน้มการชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว อาจส่งผลทำให้เงินบาท และสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคปรับตัวอย่างผันผวนระยะถัดไป
มีความเป็นไปได้ถึง 88% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องในการประชุมเดือน ต.ค. อีก 0.25% และคาดว่าจะลดอีก 0.25% ในเดือน ธ.ค. ทำให้ดอกเบี้ยเฟดอยู่ที่ 4.25% ช่วงสิ้นปี และอาจจะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในสหรัฐ นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ยังเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และนักลงทุนสถาบันอื่น ๆ หันไปเก็งกำไรผ่านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งในส่วนของน้ำมัน และทองคำ โดยราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นอาจส่งผลกระทบกลับมาสร้างแรงกดดันครั้งใหม่.
http://news.sanook.com/economic/economic_188119.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/09/07

โพสต์ที่ 70

โพสต์

อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย เข้าใกล้ 50%
นายลอเร้นซ์ ซัมเมอร์ อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ และในปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ กล่าวว่า โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดภาวะถดถอยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวต่อเนื่องในช่วงเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา แม้ว่า โอกาสถดถอยยังไม่ถึง 50% แต่ก็ไม่ห่างจากตัวเลขดังกล่าวมากนัก ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 3.8% ในไตรมาสที่ 2 จากที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4% นอกจากนี้ ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐเดือนสิงหาคมล่าสุด ทรุดต่ำกว่าที่คาดไว้ และราคาบ้านใหม่ตกต่ำหนักที่สุดตั้งแต่ปี 2513

เฟด เผย แบงก์พาณิชย์สหรัฐกู้เงินเสริมสภาพคล่องน้อยลง
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด รายงานเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า สิ้นสุดเมื่อวานนี้ เฟดไม่ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ ส่งผลให้มูลค่าเงินกู้เมื่อเทียบกับสิ้นสุดวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,115 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 40,250 ล้านบาท อาจสะท้อนได้ว่า ปัญหาสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจของบรรดาธนาคารพาณิชย์เริ่มมีสัญญาณในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เงินกู้เฉลี่ยต่อสัปดาห์สิ้นสุด 26 ก.ย.อยู่ที่ 88 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจาก 2 ,179 ล้านเหรียญสหรัฐสิ้นสุดวันที่ 19 ก.ย. 50

แบงก์ชาติอียู ชี้ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน กระทบเศรษฐกิจ
นายฌอง คล๊อด ทริเช่ต์ ประธานธนาคารกลางกลุ่มสหภาพยุโรป 13 ประเทศสมาชิกที่ใช้เงินเหรียญยูโรร่วมกัน หรือ ECB กล่าวว่า ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่เกิดบ่อยขึ้น กลายเป็นปัจจัยลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม วิกฤติความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังไม่สิ้นสุด แต่เศรษฐกิจในภาพรวมของกลุ่มอียู ยังคงแข็งแกร่งพอ ในขณะเดียวกัน ECB ตัดสินใจเพื่มสภาพคล่องครั้งใหม่เข้าสู่ระบบด้วยมูลค่ามากถึง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.92 แสนล้านบาทวานนี้

กลุ่มอียู เพิ่มความเข้มงวดกองทุนรัฐบาลจากเอเชีย
นายแจ๊คควิน อัลมูเนีย ประธานคณะกรรมาธิการนโยบายการเงิน และเศรษฐกิจ กลุ่มสหภาพยุโรป กล่าวว่า กลุ่มอียูต้องใช้มาตรการเข้มงวดมากขึ้น กับการเข้ามาลงทุนของกองทุนรัฐบาลเพื่อการลงทุนข้ามชาติ โดยกลุ่มอียูควรกำหนดกฎเกณฑ์ในการตรวจสอบกองทุนเหล่านี้ เช่น กองทุนเหล่านี้ต้องเปิดเผยชัดเจนว่าต้องการลงทุนสินทรัพย์อะไรบ้าง ใช้กฎเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจลงทุน และกระจายการลงทุนอย่างไรบ้าง ทั้งนี้กองทุนรัฐบาลที่มาจากจีน ตะวันออกกลาง และเอเชีย มูลค่ารวมกันสูงถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/10/07

โพสต์ที่ 71

โพสต์

อลัน กรีนสแปน ชี้วิกฤติสภาพคล่องอาจมีสัญญาณสิ้นสุด
อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด วัย 81 ปี ให้สัมภาษณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า วิกฤติสภาพคล่องในระบบทั่วโลก กำลังเริ่มมีสัญญาณในทางที่ดีขึ้น อาจหมายถึงวิกฤติดังกล่าวเข้าใกล้จุดสิ้นสุด อย่างไรก็ตาม อดีตประธานเฟดย้ำว่า ภาวะเศรษฐกิจโลก ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับแนวโน้มราคาบ้านในสหรัฐ ทั้งนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูง ที่ราคาบ้านในสหรัฐจะยังคงตำต่ำต่อไป กรีนสแปนยอมรับว่า ผลกระทบดังกล่าวเกิดชัดเจนในยุโรป และกระทบเล็กน้อยในเอเชีย

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ชี้ ต้องปฏิรูประบบการเงิน หวั่นเกิดวิกฤติซ้ำ
นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า ยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องปฏิรูประบบการเงินโลก เพื่อป้องกันไม่ให้เปิดภาวะวิกฤติสภาพคล่องอีกครั้งในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งที่ดี หากจะไม่มีการแก้ไขกฎระเบียบทางการเงินในปัจจุบัน ที่หลายคนมองว่า มีขั้นตอนมากมาย ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มโอกาสในการเกิดวิกฤติสภาพคล่องในอนาคต นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังสนับสนุนการเข้าไปช่วยเหลือสภาพคล่องให้กับธนาคารนอร์ทเทิร์น ร๊อค ของแบงก์ชาติอังกฤษอีกด้วย

ซิตี้กรุ๊ป และยูบีเอส 2 แบงก์ยักษ์ใหญ่ของโลก ขาดทุนร่วม 60% จาก Subprime
วิกฤติสภาพคล่องทั่วโลก ที่เกิดขึ้นจากวิกฤติตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสินเชื่อ Subprime ทำให้ผลประกอบการของ 2 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และยุโรป ได้แก่ ซิตี้กรุ๊ป และยูบีเอส เอจี ตามลำดับขาดทุนอย่างมากมาย โดยธนาคารซิตี้กรุ๊ปเตือนว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 จะทรุดลงถึง 60% ในขณะที่ราคาหุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลงไป 14% และต้องตัดหนี้สูญ ตั้งแต่ต้นปี ด้านธนาคารยูบีเอส อาจตัดสินใจตัดหนี้สูญมูลค่า 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.19 แสนล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นทรุดลงถึง 13%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/10/07

โพสต์ที่ 72

โพสต์

รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ย้ำมีอำนาจปรับปรุงบริษัทจัดอันดับ
นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดพิเศษที่กำลังจัดตั้งขึ้น เพื่อเป้าหมายในการตรวจสอบ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบรรดาสถาบัน หรือบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ โดยเฉพาะการปรับปรุงมาตรการผลการตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และการคัดเลือกบุคลากรที่มีความชำนาญ ในธุรกิจดังกล่าวเข้าร่วมงานมากขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการที่ปรึกษาชุดดังกล่าว จะเน้นการสร้างระบบจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างยั่งยืนด้วย

ตลาดจัดการการลงทุน มองปัญหาของวิกฤติยังไม่จบสิ้น
นายรอน โอ ฮันลี่ย์ ประธานและเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีเอ็นวาย เมลลอน แอสเส็ท แมเนจเม้นท์ กล่าวว่า ท่ามกลางสัญญาณในทางที่เริ่มดีขึ้น สำหรับวิกฤติสภาพคล่องที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดทุนของโลก แต่ปัญหายังคงมีอยู่ในระบบ โดยเฉพาะขนาดของความเสียหาย ที่ไม่สามารถประเมินได้อย่างใกล้เคียงว่าเป็นเท่าไหร่ ขณะเดียวกัน มีความเห็นสอดคล้องกับอดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐว่า หลังการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากนี้ไป เป็นช่วงที่ต้องระวังการถดถอย

ยอดขายบ้านมือสองในตลาดสิงหาคม ทรุดต่ำสุดรอบ 6 ปี
สมาคมผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติสหรัฐ เปิดเผยผลสำรวจล่าสุด เกี่ยวกับดัชนีบ้านมือสองรอการขายในตลาดสหรัฐประจำเดือนสิงหาคม พบว่า ค่าดัชนีดังกล่าวทรุดตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 85.5 จุด เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลชุดดังกล่าวในเดือนมกราคมปี 2001 หรือในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา สะท้อนปัญหาความตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ที่ยังไม่มีสัญญาณที่ฟื้นตัวแต่อย่างใด ทั้งนี้ ครั้งสุดท้ายที่ดัชนีดังกล่าวทรุดมากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อกันยายนในปี 2001 ซึ่งมีค่าเพียง 89.8 จุดในช่วงวินาศกรรมก่อการร้าย 11 ก.ย.

อลัน กรีนสแปน ชี้ สิ้นสุดยุคเงินเฟ้อต่ำ หมดยุคเศรษฐกิจขยายตัว
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ให้สัมภาษณ์ที่กรุงลอนดอนว่า ภาวะเงินเฟ้อต่ำ ควบคู่กับเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กำลังถึงจุดสิ้นสุด ทำให้หน้าที่สำคัญของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก ต้องกลับมาให้ความสำคัญกับแรงกดดันของเงินเฟ้อมากที่สุด หากไม่มีการบริหารจัดการนโยบายการเงินเชิงรุกมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา อาจทำให้ภาวะเงินเฟ้อขยายตัวสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้ อลัน กรีนสแปน มองว่า ภาระกิจของประธานเฟด เบน เบอร์นันเก้ จะมีความยากลำบากมากขึ้น

ผู้ว่าการเฟด สาขาดัลลัส มอง โลกาภิวัฒน์กระทบนโยบาย การเงิน
ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาดัลลัส ริชาร์ด ฟิชเชอร์ กล่าวในที่ประชุมร่วมกับหอการค้าดัลลัสว่า ระบบการค้าที่ไร้พรมแดน หรือโลกาภิวัฒน์ กลายเป็นปัญหาสำคัญของบรรดาผู้ว่าการแบ็งค์ชาติสำคัญทั่วโลก สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินให้มีความแม่นยำมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี่ ที่ทำให้บริษัทชั้นนำสามารถลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จากส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก เป็นผลบวกในแง่ควบคุมเงินเฟ้อ แต่เป็นสิ่งท้าทายสำหรับการบริหารนโยบาย

ไอเอ็มเอฟ หวั่น ใช้นโยบายติดตามอัตราแลกเปลี่ยนใหม่
กรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เปิดเผยว่า มีข้อจำกัด และปัญหาหลายอย่าง หากจะมีการตัดสินใจใช้นโยบายเฝ้าติดตามอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินแบบใหม่ เนื่องจาก ความยุ่งยากในการกำหนดหาจุดสมดุลย์ของอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นจริงนอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการไอเอ็มเอฟ ล้วนสนับสนุนการศึกษาเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างเงินทุนเคลื่อนไหวทั่วโลก กับระบบอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า นโยบายดังกล่าวจะสามารถนำมาใช้ได้อย่างเร็วที่สุดในต้นปี 2552 กับสมาชิกทั้งหมด

4 สถาบันการเงินชั้นนำ ปลดพนักงานกว่า 2,500 คน
4 สถาบันการเงินชั้นนำของโลก ตัดสินใจปลดพนักงานรวมกันกว่า 2,500 คน หลังวิกฤติสภาพคล่องในระบบทั่วโลกยังไม่ฟื้นตัว เริ่มจากสถาบันการเงินที่มีชื่อว่า มอร์แกน สแตนลี่ย์ กล่าวว่า จะตัดสินใจปรับโครงสร้างหน่วยธุรกิจสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ใหม่ และต้องปลดพนักงานในหน่วยดังกล่าวออก 600 คน โดย 500 คนในสหรัฐ และ 100 คนในยุโรป เลห์แมน บราเดอร์ ประกาศลดพนักงาน 850 คน เอชเอสบีซี ปลด 750 คน เครดิตสวิส ธนาคารพาณิชย์ใหญ่อันดับ 2 ในสวิสเซอร์แลนด์ สั่งปลดอีก 170 คน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/10/07

โพสต์ที่ 73

โพสต์

มอร์แกน สแตนเลย์ ลดพนักงานอีก 600 คน ผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม

Posted on Wednesday, October 03, 2007

มอร์แกน สแตนลีย์ วาณิชธนกิจชื่อดังของโลก ประกาศลดขนาดธุรกิจจำนองบ้านและลดจำนวนพนักงานลงอีก 600 อัตรา หลังเกิดวิกฤติการณ์สินเชื่อซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการปล่อยกู้เพื่อซื้อบ้าน จนทำให้วาณิชธนกิจหลายแห่งต้องตัดสินใจลดพนักงานเช่นกัน

เพื่อรวมธุรกิจจำนองบ้าน 3 ธุรกิจเข้าด้วยกันที่เมืองเออร์วิง รัฐเท็กซัส ผุ้บริหารมอร์แกน สแตนลีย์ จึงตัดสินใจปิดสำนักงานลงหลายแห่ง และลดพนักงานกว่า 500 อัตราในสหรัฐ และอีก 100 อัตราในยุโรป โดยให้เหตุผลว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง จะช่วยให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีโอกาสมากขึ้นในการทำกำไร เมื่อตลาดฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ

การปลดพนักงานของวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่สหรัฐครั้งนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดแปลกใจแต่อย่างใด โดยนายแบรด ฮินท์ซ นักวิเคราะห์จากสแตนฟอร์ด ซี เบอร์สเตน แอนด์ โค กล่าวว่า วาณิชธนกิจในวอลล์สตรีทเองก็คาดการณ์ว่า ตลาดปล่อยกู้จะไม่ฟื้นตัวในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้น การคุมต้นทุนให้เหมาะสมกับแนวโน้มการหารายได้ จึงเป็นทางเลือกที่ผู้บริหารธุรกิจต้องนำมาใช้ในการบริหารงาน ส่งผลให้การปลดพนักงานเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ เพราะตลาดการปล่อยกู้เพื่อซื้อบ้านเกิดความเสียหายอย่างหนักเนื่องจากผู้กู้ยืมไม่ยอมจ่ายหนี้ตามกำหนด ส่งผลให้ธุรกิจปล่อยกู้หลายแห่งต้องปิดตัวลง

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/10/07

โพสต์ที่ 74

โพสต์

สภาพคล่องในสหรัฐส่งสัญญาณดีขึ้น มูลค่าตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่ม

Posted on Friday, October 05, 2007
เฟดชี้ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นเพิ่มขึ้นครั้งแรกรอบ 8 สัปดาห์
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เผย ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นในช่วง 3 เดือนหรือน้อยกว่านั้น กลับเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีนี้หรือในรอบ 8 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากถึง 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 157,500 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าตั๋วสัญญาใช้เงินในระบบการเงินสหรัฐอยู่ที่ 1.859 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สะท้อนภาวะฟื้นตัวของสภาพคล่องมากขึ้น ทั้งนี้ มูลค่าตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น หายจากระบบมากถึง 12.8 ล้านล้านบาท หรือทรุดลง 18% ตั้งแต่เกิดวิกฤติสภาพคล่องต้นเดือน ส.ค.

เฟดชี้ปริมาณเงินกู้ให้แบงก์กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด รายงานเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ปริมาณเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องกับธนาคารพาณิชย์รายสัปดาห์ สิ้นสุดเมื่อวานนี้ กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ด้วยมูลค่า 26 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 910 ล้านบาท หากเปรียบเทียบกับเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงของสัปดาห์นั้น ไม่มีการขอกู้ยืมเงินกู้ดังกล่าวจากเฟดแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากมองในแง่มูลค่ากู้ยืมเฉลี่ยต่อวันในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า มีปริมาณลดลงเช่นเดียวกัน เหลือเพียงวันละ 27 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 945 ล้านบาท

รัฐสภาสหรัฐ ผ่านกฎหมาย ยกเลิกภาษีผู้ซื้อบ้านหลังแรก
รัฐสภาสหรัฐ ลงมิติเสียงข้างมากด้วยคะแนนเสียง 386 ต่อ 27 เสียง ผ่านกฎหมายยกเลิกการเก็บภาษีจากชาวอเมริกัน ที่ขอเงินกู้ซื้อบ้านหลังแรก หากสินเชื่อซื้อบ้านดังกล่าวดังกล่าวได้รับการยกเลิก หรือบอกเลิกจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้ชาวอเมริกันในปัจจุบัน ไม่ต้องแบกรับภาระการเสียภาษีดังกล่าว เนื่องจากวิกฤติสภาพคล่องที่เกิดขึ้นจากการตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในการซื้อหาบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่เตรียมนำเข้าสู่สภาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตสินเชื่อบ้านสหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/10/07

โพสต์ที่ 75

โพสต์

ECB และแบงก์ชาติอังกฤษ คงดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไป
ธนาคารกลางกลุ่มสหภาพยุโรป ทั้ง 13 ชาติสมาชิกที่ร่วมใช้เงินเหรียญยูโร (ECB) ตัดสินใจตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4% สอดรับกับ ธนาคารกลางอังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 5.75% โดยประธาน ECB กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า ECB ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เร่งรีบในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอีกระยะหนึ่ง และมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาข้อมูลรอบด้าน รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลใหม่อๆ เพื่อประกอบการประชุมนโยบายการเงิน ทั้งนี้ ECB ขึ้นดอกเบี้ย 8 ครั้ง ส่วน BOE ขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 5 ครั้ง

จีอี ลดพนักงานในบราซิล และสหรัฐร่วมกว่า 1 พันคน
เจนเนอรัล อิเลคทริคส์ หรือจีอี ประกาศปิดโรงงานผลิตหลอดไฟฟ้าทั้งในบราซิล และสหรัฐเป็นจำนวนหลายแห่ง และตัดสินลดพนักงานเป็นจำนวน 1,400 คน สำหรับมาตรการดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทจีอี โดยเฉพาะหน่วยธุรกิจสินค้าผู้บริโภค และสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เฉพาะโรงงานที่กรุงริโอเดอจานิโร ในบราซิล จะส่งผลให้พนักงานจำนวน 900 คนต้องตกงาน นอกจากนี้ จะมีการโยกย้ายพนักงานเป็นจำนวน 80 คน ระหว่างเม็กซิโก และบราซิล
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/10/07

โพสต์ที่ 76

โพสต์

ธนาคารดอยช์แบงก์ คาดกำไรสุทธิ Q3 เพิ่มขึ้น แม้ได้รับปัจจัยลบจากปัญหา Subprime
ธนาคารดอยช์แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมันนี คาดการณ์ว่า ผลกำไรสุทธิของธนาคารจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1.4 พันล้านยูโร หรือ 2 พันล้านดอลลาร์ ใน Q3 และประกาศคงเป้าหมายในปี 2008 แม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหา Subprime ซึ่งหนุนให้ราคาหุ้นของธนาคารดีดตัวขึ้นทันที โดยก่อนหน้านี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า จะมีการตัดหนี้สูญครั้งใหญ่ หลังจากที่ธนาคารคู่แข่งรายใหญ่ เปิดเผยเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงการขาดทุนในผลิตภัณฑ์การเงินหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินกู้เพื่อการจำนองที่มีความเสี่ยงสูงของสหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/10/07

โพสต์ที่ 77

โพสต์

Subprime สร้างความเสียหายกว่า 7 แสนล้านบาท

มูลค่าความเสียหายของวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ล่าสุดมีประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7 แสนล้านบาท ประเมินได้จาก การตัดสินใจตัดเป็นหนี้สูญของสถาบันการเงินหลายแห่งในสหรัฐ เมอร์ลิน ลินช์ ประกาศอาจตัดหนี้สูญมากถึง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.9 แสนล้านบาท ซิตี้กรุ๊ป และธนาคารดอยช์แบงก์ ขาดทุนสูงถึง 9.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 3.4 แสนล้านบาท ในเดือนที่ผ่านมา แบร์สเติร์น เลห์แมน บราเธอร์ โกลด์แมนแซ็ค และมอร์แกน สแตนลี่ย์ ขาดทุนรวมกันมากถึง 4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/10/07

โพสต์ที่ 78

โพสต์

ซิตี้กรุ๊ป อาจเสนอซื้อกิจการธนาคารนอร์ทเทิร์น ร๊อค

ซิตี้กรุ๊ป ธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เปิดเผยว่า ธนาคารอาจตัดสินใจเข้าไปเสนอแผนลงทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการทั้งหมด ในรูปแบบร่วมลงทุนกับสถาบันการเงินอื่นๆ ด้วยมูลค่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท หรืออาจดำเนินการปล่อยสินเชื่อ ให้กับธนาคารพาณิชย์รายใหญ่อันดับ 5 ในอังกฤษ ที่มีชื่อว่า ธนาคารนอร์ทเทิร์น ร๊อค ซึ่งประสบปัญหาวิกฤติสภาพคล่องนับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ธนาคารกลางอังกฤษ ต้องเพื่อสภาพคล่องให้กับธนาคารดังกล่าว หลังชาวอังกฤษแห่ถอนเงินสดออก

อลัน กรีนสแปน ชี้ ตลาดทุนเริ่มฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป

อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ให้สัมภาษณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง ในขณะที่ความปั่นป่วนในตลาดเงิน และตลาดทุนสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นจากวิกฤตตราสารหนี้สินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime นั้น เริ่มผ่อนคลายแล้ว และตลาดการลงทุน เริ่มกลับไปสู่สภาวะเดิม โดยการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย ยังคงอยู่ต่ำกว่า 50% ทั้งนี้ อลัน กรีนสแปน ชี้ว่า ชาวอเมริกันควรจะระวัง แต่ไม่ควรตื่นกลัวมากเกินไป

รัฐมนตรีคลังอียู 27 ประเทศ ประชุมเศรษฐกิจสหรัฐชะลอ

รัฐมนตรีคลังกลุ่มสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศสมาชิก ได้เริ่มต้นประชุมถึง 2 วัน รวมทั้งในวันนี้ กับวาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลงเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง และภาวะขาดดุลแฝดที่เรื้อรังของสหรัฐ ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นปัจจัยคุกคามอย่างหนักต่อเศรษฐกิจกลุ่มอียู และทั้งประเทศทั้งหมดที่เหลือ นอกจากนี้ เฉพาะทั้ง 13 ประเทศสมาชิกในกลุ่มยูโร กล่าวเสริมว่า ปัญหาของจีนแผ่นดินใหญ่ในแง่ค่าเงินหยวน เป็นอีก 1 ปัจจัย ที่กดดันความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มยูโรด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/10/07

โพสต์ที่ 79

โพสต์

กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ ชี้เงินเหรียญสหรัฐ อ่อนค่ากว่าจริง

โรดิโก้ ราโต้ กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ซึ่งกำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งในสิ้นเดือนนี้ กล่าวว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐในปัจจุบันเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญทั่วโลก มีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หลังจากเกิดวิกฤติสภาพคล่องในตลาดทุนทั่วโลก นายราโต้ กล่าวต่อไปว่า ผลพวงจากวิกฤติสภาพคล่อง ทำให้เกิดพัฒนาการด้านการเงิน และเศรษฐกิจ ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดภาวะเสียสมดุล ทั้งนี้ ในช่วงกว่าปลายปีที่ผ่านมา กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ กล่าวเสมอว่าเงินเหรียญสหรัฐ แข็งค่าเกินความเป็นจริง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/10/07

โพสต์ที่ 80

โพสต์

ผู้ว่าแบงก์ชาติอังกฤษ ย้ำ ไม่ลดดอกเบี้ย ช่วยเหลือภาคการเงิน
นายเมอร์วิน คิงส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวย้ำว่า แบงก์ชาติอังกฤษ จะไม่ตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นเพียงเพื่อที่จะช่วยเหลือภาคการเงินเท่านั้น ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤติสภาพคล่อง จะสร้างความเสียหายให้กับระบบ และผลกระทบดังกล่าวยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้ หลักสำคัญในการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของแบ็งค์ชาติอังกฤษ อยู่ที่การเฝ้าจับตามองปัจจัยเสี่ยง ที่เกิดขึ้นภาวะเงินเฟ้อที่ผันผวนในอนาคต การดำเนินงานของภาคเอกชน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

รัฐมนตรีคลังอังกฤษ หนุนเพิ่มปริมาณบ้าน 3 ล้านหน่วยในอังกฤษ
นายอลิสแตร์ ดาร์ลิ่ง รัฐมนตรีคลังอังกฤษ เปิดเผยว่า รัฐบาลอังกฤษให้สัญญาอย่างชัดเจน เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นภาวะอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษครั้งสำคัญ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในอังกฤษจำนวน 3 ล้านหน่วยภายในสิ้นปี 2020 หรือปี 2563 อีก 13 ปีข้างหน้า คาดหวังว่าจะเพิ่มจำนวนบ้านให้ได้ปีละ 2.4 แสนหน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากทุกวันนี้ที่ 2 แสนหน่วยต่อปี หลังภาคอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ ต้องชะลอตัวลง จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตตราสารหนี้ซีดีโอประเภท Subprime จากสหรัฐปีนี้

S&P ชี้ วิกฤต Subprime ถึงจุดสูงสุดปี 2552 เสียหายกว่า 5 ล้านล้านบาท
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ เปิดเผยว่า วิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อ Subprime ในสหรัฐ จะยังไม่ถึงจุดสูงสุด จนกระทั่งในปี 2009 หรือปี 2552 ด้วยมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากวิกฤติดังกล่าว อาจพุ่งขึ้นไปถึง 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.25 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำมากที่สุดใสรอบ 16 ปีของสหรัฐจะยังคงอยู่ต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณบางอย่างที่ดีขึ้นบ้าง และยังเชื่อว่าภาวะดังกล่าวจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงปลายฤดูหนาวนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/10/07

โพสต์ที่ 81

โพสต์

IMFเตือนศก.โลกอาจชะลอตัวจากวิกฤตซับไพรม์

โดย Post Digital 11 ตุลาคม 2550 12:07 น.

ไอเอ็มเอฟ เตือน เศรษฐกิจทั่วโลกอาจจะชะลอ จากวิกฤติการณ์ซับไพร์มในสหรัฐ

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า นายไซม่อน จอห์นสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้แถลงข่าว พร้อมเตือนว่า เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวเนื่องจากตลาดการเงินทั่วโลกได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ซับไพรม์ในสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการทดสอบศักยภาพของเศรษฐกิจโลกว่าจะขยายตัวในอัตราเดิมได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงสามารถต้านทานปัญหาที่เกิดขึ้นได้

"ตอนนี้การเงินทั่วโลกยังคงอยู่ในสภาพดีและเม็ดเงินไหลเวียนในภาคเอกชนก็มีเสถียรภาพ แต่ก็ไม่ควรทึกทักเอาว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างรวดเร็วแบบนี้ตลอดไป เศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวต่อไป แต่ในอัตราที่ช้าลงกว่าเดิม"

นายจอห์นสันกล่าวเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่ไอเอ็มเอฟจะแนะนำได้ว่าแต่ละประเทศควรใช้มาตรการใดในการรับมือกับปัญหาสินเชื่อที่เกิดขึ้น "เราต้องรอดูจนกว่าสถานการณ์จะชัดเจนกว่านี้ เพื่อทำความเข้าใจและเลือกใช้มาตรการที่จะรับมือกับมัน"
ในรายงานเดือนก.ค. ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกในปีนี้เป็น 5.2% จากเดิมที่ 4.9% นอกจากนั้นยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะขยายตัว 5.2% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์เมื่อเดือนเม.ย. 0.3%

อย่างไรก็ตาม สื่อบางแห่งอ้างแหล่งข่าวจากวงในของไอเอ็มเอฟว่า ตอนนี้ทางไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจในปีหน้าเหลือเพียง 4.8%

นอกจากนั้นไอเอ็มเอฟยังปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐในปีหน้าลงเหลือ 1.9% จากเดิมที่ 2.8%, แคนาดาเหลือ 2.3% จากเดิมที่ 2.8% และเขตยูโรโซนเหลือ 2.1% จากเดิมที่ 2.5%
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=196854
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/10/07

โพสต์ที่ 82

โพสต์

ผู้ว่าการเฟดสาขาบอสตัน ชี้ ธุรกิจแปลงสินทรัพย์เป็นทุนยังย่ำแย่

นายอิริค โรเซ็นเกร็น ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สาขาบอสตัน กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะตลาดทุนและตลาดเงินของสหรัฐฯที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงที่ผ่านมานั้น ยังคงมีผลให้ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจแปลงสินทรัพย์เป็นทุนประกอบธุรกิจได้อย่างยากลำบาก จนกว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับมาดีขึ้น ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ และตลาดตราสารหนี้ ในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market) ได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

IMF วิกฤติสภาพคล่องกระทบในวงจำกัด

นายไซม่อน จอห์นสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า ผลกระทบที่สะสมและขยายตัวในวงกว้างมากขึ้นจากวิกฤตสภาพคล่องทั่วโลกจะอยู่ในวงจำกัด คือ เฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วหรือชาติตะวันตกส่วนใหญ่เท่านั้น ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในเขตเกิดใหม่ยังขยายตัวตามปกติ ซึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการทดสอบศักยภาพของตลาดทุนโลก

อลัน กรีนสแปน ชี้ ราคาบ้านสหรัฐฯตกต่ำต่อเนื่อง

นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) กล่าวเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯจะยังคงตกต่ำต่อเนื่อง หลังชาวอเมริกันได้ลดการใช้จ่ายลง ซึ่งมูลค่าการใช้จ่ายของชาวอเมริกันมีสัดส่วนสูงถึง 60% ของมูลค่าเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม อลัน กรีนสแปน มองว่า ราคาหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นกระวัติการณ์ในช่วงต้นไตรมาส 4/50 ที่ผ่านมา สามารถชดเชยมูลค่าหุ้นในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/10/07

โพสต์ที่ 83

โพสต์

โกลด์แมน แซ็ค เผยผลประกอบการ Q3/50 อาจขาดทุนจากตราสารหนี้

บริษัท โกลด์แมน แซ็ค ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ของโลก ยอมรับว่า การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ที่นำสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ มาค้ำประกัน (CDO: Collateralized Debt Obligation) นั้น มีผลตอบแทนร่วงลงมากถึง 53% ในไตรมาส 3/50 ซึ่งเกิดจากวิกฤติสภาพคล่องทั่วโลกที่เกิดขึ้น โดยมูลค่าเงินต้นในการลงทุน ลดลงจาก 1.302 แสนล้านบาท เหลือเพียง 6.19 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาส 3 /50 แต่ยังถือว่าโกลด์แมน แซ๊ค ขาดทุนน้อยกว่าบริษัทอื่น

มอร์แกน สแตนลี่ย์ เผยขาดทุนไตรมาส 3/50 กว่า 1 หมื่นล้านบาท

บริษัท มอร์แกน สแตนลี่ย์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ 2 เปิดเผยว่า คว้อนท์ฟันด์ หรือหน่วยธุรกิจกองทุนที่เน้นการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ได้มีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนภายใน 1 วันทำการที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาสูงถึง 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.36 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังต้องขาดทุนจากการลงทุนถึง 13 วันในเดือนดังกล่าว สรุปในไตรมาส 3/50 บริษัทขาดทุนสูงถึง 1.68 หมื่นล้านบาท สาเหตุจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan)
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/10/07

โพสต์ที่ 84

โพสต์

"เจพีมอร์แกน" เตรียมโละพนักงาน หลังตลาดตราสารหนี้พัง

โดย ผู้จัดการออนไลน์
12 ตุลาคม 2550 15:56 น.

 เจพีมอร์แกน ธนาคารและวาณิชธนกิจชื่อก้องโลก เตรียมปลดคนงานในแผนกวาณิชธนกิจ หลังรายได้ตราสารหนี้หด เผยธุรกิจด้านสินเชื่อเสียหายหนัก
     
      วันนี้(12 ต.ค.) เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา เตรียมปลดคนงานในแผนกวาณิชธนกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวลงของตลาดปล่อยกู้
     
      ธนาคารวางแผนปรับลดคนงานในแผนกสินเชื่อโครงสร้างและธุรกิจการเงิน โดยทั้ง 2 แผนกได้รับความเสียหายจากนักลงทุนที่หยุดการลงทุนซื้อตราสารหนี้เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทไพรเวท อีควิตี้ใช้ตราสารหนี้อย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมาเพื่ออัดฉีดเงินเข้าซื้อหุ้นรายใหญ่
     
      "เราจะลดพนักงานลงจำนวนหนึ่ง ในสาขาที่เราคาดว่าจะมีรายได้ลดน้อยลงในอนาคต" ไบรอัน มาร์ชิโอนี่ โฆษกเจพีมอร์แกน กล่าว โดยที่เขาไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนว่าจะมีพนักงานต้องตกงานจำนวนเท่าไร
     
      ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า การปรับลดพนักงานจะคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของธุรกิจทั้งสองประเภท และไม่นับรวมตำแหน่งผู้บริหารระดับอาวุโส
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000121151
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/10/07

โพสต์ที่ 85

โพสต์

วิกฤตสินเชื่อยังลุกลาม ทำหนี้สูญในวงการบ้านสหรัฐฯพุ่งขึ้น 2 เท่า
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, October 12, 2007
หนี้สูญบ้านสหรัฐ กันยายนลด 8% จากสิงหาคม แต่พุ่งขึ้น 2 เท่าเทียบปีที่แล้ว

หนี้สูญสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายนปรับลดลง 8% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่หนี้สูญสินเชื่อบ้านพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 32 ปี โดยมีจำนวนรายการหนี้สูญกว่า 2.23 แสนรายการ นั่นหมายถึงทุก 557 ครัวเรือนในสหรัฐฯ จะมีหนี้สูญเกิดขึ้น 1 รายการ จากรายงานดังกล่าว ซึ่งเปิดเผยโดยเรียลลิตี้ แทร็ค บริษัทวิจัยภาคอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในสหรัฐฯ พบว่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ครองอันดับ 1 ที่มีหนี้สูญสินเชื่อบ้านมากที่สุดในสหรัฐฯ ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ รัฐฟลอริดา

เฟดยอมรับ การลดดอกเบี้ย 0.5% เกิดจากมาตรการก่อนหน้าล้มเหลว

นายแรนดัล ครอสเนอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) กล่าวยอมรับว่า การตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดลงถึง 0.5% เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นจากมาตรการของเฟดที่ประกาศใช้ออกไปเพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพคล่องไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ เช่น การปรับลดดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างเฟด กับธนาคารพาณิชย์ลงครั้งแรก เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม มากถึง 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 5.75% ในครั้งนั้น เป็นเพียงแก้ไขข้อจำกัดบางอย่าง แต่ไม่สามารถแก้ไขระบบการทำงานของสินเชื่อ  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/10/07

โพสต์ที่ 86

โพสต์

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เน้น นโยบายเหรียญสหรัฐแข็งค่า

นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า นโยบายหนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯให้แข็งค่า ยังคงเป็นจุดยืนสำคัญของสหรัฐฯ ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะเป็นเท่าไร ก็จะขึ้นอยู่กับกลไกของตลาดเงินโดยเสรีที่อาศัยปัจจัยพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ยังกังวลต่อค่าเงินยูโร ที่ปรับแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจกลุ่มยูโรทั้ง 13 ประเทศ และนายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ จะเข้าร่วมประชุมกลุ่มจี 7 ในวันที่ 19 ต.ค.นี้

คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล ปลดพนักงานอีก 5 พันคน

บริษัท คันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล สถาบันการเงินที่ครองตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ประกาศปลดพนักงานออกอีก 5 พันคน หลังผลการปล่อยสินเชื่อในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทรุดตัวลงอย่างมากถึง 44% มูลค่าสินเชื่อบ้านปล่อยได้เพียง 7.42 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ทำได้ถึง 1.3 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ อัตราการผลัดชำระหนี้ และอัตราหนี้สูญพุ่งสูงขึ้นทั้ง 2 ด้าน สำหรับสินเชื่อบ้านปล่อยเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ร่วงลงมากถึง 76% ทั้งนี้ การปลดพนักงานรวมกันล่าสุดมีถึง 1.2 หมื่นคน

เจพี มอร์แกน ปลดพนักงานอีก 10% เหตุขาดทุนตราสารหนี้

เจพี มอร์แกน ธนาคารพาณิชย์ใหญ่อันดับ 3 ในสหรัฐฯ ประกาศปลดพนักงานในส่วนธุรกิจตราสารหนี้ รวมถึงธุรกิจสินเชื่อเพื่อการซื้อขายควบรวมกิจการ ออกจากธนาคาร ถึงแม้ว่า เจพี มอร์แกน จะไม่ได้ระบุจำนวนที่ชัดเจน แต่คาดว่าจำนวนพนักงานที่ปรับลดลงในครั้งนี้อาจมีเกือบ 10% ในหน่วยธุรกิจดังกล่าว ทั้งนี้ ธนาคารเจพี มอร์แกน ได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 3/50 ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมีผลขาดทุนจากการลงทุน ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติสภาพคล่อง ทำให้ต้องตัดหนี้สูญ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/10/07

โพสต์ที่ 87

โพสต์

ชี้เฟดต้องยืดหยุ่นสูงกับนโยบายดอกเบี้ยระยะสั้น

นายโดนัล โคห์น รองประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะต้องมีความยืดหยุ่นสูง ในการตัดสินใจกับนโยบายดอกเบี้ยระยะสั้น เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการขยายตัวของเศรษฐกิจ และควบคุมเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุด มากกว่าเงินเฟ้อทั่วไป ทั้งนี้ นายโดนัล โคห์น เป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเป็นหลักในการบริหาร

อัตราการก่อสร้างบ้านในสหรัฐฯอาจตกต่ำมากสุดในรอบ 12 ปี

อัตราการเริ่มก่อสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัยในสหรัฐฯ อาจตกต่ำมากที่สุดในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา หลังผ่านการสำรวจในเบื้องต้น ซึ่งคาดว่าอาจมีตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 1.28 ล้านหน่วย หรือทรุดลงมากถึง 3.6% สาเหตุสำคัญมาจาก ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านมากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่คิดในสินเชื่อประเภทดังกล่าวมีต้นทุนสูงขึ้น ทั้งนี้ ผลจากความตกต่ำในวงการอสังหาริมทรัพย์ อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 1.8% ในไตรมาส 3/50 ส่วนไตรมาส 2/50 อยู่ที่ 2.7%

วิกฤติสภาพคล่องกดดันให้ผู้บริหารระดับสูงของซิตี้กรุ๊ปลาออก

นายโทมัส มาร์เฮอรัส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการซื้อขาย และนาย แรนดี้ บาร์กเกอร์ หัวหน้าร่วมบริหาร ฝ่ายตราสารหนี้ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของซิตี้กรุ๊ป คอร์ปปอเรชั่น ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เตรียมตัดสินใจลาออกจากซิตี้กรุ๊ป ท่ามกลางผลประกอบการของ ซิตี้กรุ๊ป ที่ได้รับการคาดการณ์ว่า อาจจะขาดทุนสูงมากถึง 60% ในไตรมาส 3/50 ซึ่งจะประกาศวันจันทร์สัปดาห์นี้ ด้วยสาเหตุจากวิกฤตสภาพคล่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ นายโรเบิร์ต รูบิน ซึ่งเป็น 1 ในผู้บริหารระดับสูงสุดของซิตี้กรุ๊ป ได้รับการมองว่า ควรจะแสดงความรับผิดชอบในผลเสียหายครั้งนี้

เครดิต สวิส ชี้ หลังวิกฤติสภาพคล่อง ธนาคารจะควบรวมมากขึ้น
นายวอลเตอร์ ไคล์ฮอลส์ ประธานกลุ่มธนาคารเครดิตสวิส ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ในลำดับต้นของยุโรป กล่าวว่า หลังวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกในกว่า 2 ถึง 3 เดือนที่ผ่านมา อาจทำให้เกิดความเคลื่อนไหว ในการซื้อขายควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินชั้นนำมากขึ้นทั่วโลก แต่ในส่วนของธนาคาร เครดิตสวิส จะไม่เป็นผู้นำในการซื้อขายควบรวมกิจการดังกล่าวอย่างแน่นอน เนื่องจาก การควบรวมกิจการขนาดใหญ่ โดยมุ่งไปที่ทั้งองค์กรนั้น ไม่ได้สร้างประโยชน์มากนัก ยกเว้นเฉพาะหน่วยธุรกิจที่เป็นเป้า

ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนในสหรัฐฯพุ่งสูงในรอบอย่างน้อย 25 ปี

กรมสรรพากร กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนยากจนในสหรัฐฯขยายตัวมากขึ้นอย่างน้อยในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา โดยชาวอเมริกันที่ร่ำรวยมากที่สุดราว 1% ของทั้งประเทศ มีรายได้สูงถึง 21.2% ของรายได้ชาวอเมริกันทั้งหมดในปี 2548 ซึ่งเพิ่มสูงมากกว่าในปี 2547 อย่างมาก โดยในปีดังกล่าวเพิ่มขึ้นเพียง 19% สาเหตุมาจา ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วง 3 ปีดังกล่าวขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นของเศรษฐีอเมริกัน จากภาวะตลาดทุนในสหรัฐที่เพิ่มสูงมากขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/10/07

โพสต์ที่ 88

โพสต์

ประธานเฟดชี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แน่นอน พร้อมใช้มาตรการเพิ่มหากจำเป็น

นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอน และในฐานะผู้กำกับนโยบายเศรษฐกิจ พร้อมเสมอที่จะดำเนินมาตรการเท่าที่จำเป็น ที่จะสร้างความมีเสถียรภาพในการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันสามาระรักษาภาวะเงินเฟ้อได้ ทั้งนี้ ประธานเฟดยังยอมรับว่า ภาวะตกต่ำอย่างหนักที่สุดของวงการอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯจะต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีหน้า ด้านตลาดสินเชื่อเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้าง แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ โดย FED จะประชุมในวันที่ 30 และ 31 ตุลาคม นี้

IMF ชี้ วิกฤตสภาพคล่องเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก

นายโรดริโก้ ราโต้ กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงของการปรับตัวเศรษฐกิจโลกที่เสียสมดุลย์กำลังเพิ่มสูงขึ้น หลังจากวิกฤติสภาพคล่องที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา แต่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้ยังมีค่าสูงเกินความเป็นจริง ซึ่งทำให้มีโอกาสสูงที่จะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังเตือนว่า เศรษฐกิจกลุ่มอียู และญี่ปุ่น ที่ขยายตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อาจมีสัญญาณชะลอตัวลง จากสาเหตุของสภาพคล่องที่ตึงตัว

S&P ชี้ เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีอิทธิพลกับทั่วโลก

บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ เรตติ้ง เซอร์วิส (S&P) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือการลงทุนชั้นนำของโลกจากสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินสำคัญในตลาดการเงินระหว่างประเทศทั่วโลก ซึ่งทำให้ตราสารหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้รับการจัดอันดับระดับสูงสุดที่ AAA ท่ามกลางการอ่อนค่าลงอย่างหนักของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เอสแอนด์พี เซอร์วิส ยืนยันข้อมูลดังกล่าวจากการรวบรวมของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ธนาคารกลางสหรัฐฯ และ IMF

S&P ชี้ ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนุนเงินดอลลาร์ฟื้นได้

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากมูลค่าของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงเป็นอันดับ 1 ตลอดกาล ความยืนหยุ่นของแรงงานอเมริกัน แนวโน้มประสิทธิภาพในภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม เอสแอนด์พี เซอร์วิส เตือนว่า สหรัฐฯมีความเสี่ยงในเรื่องเจ้าหนี้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่จะถือครองสินทรัพย์ และตราสารหนี้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมากถึง 2 ใน 3 ของหนี้ทั้งหมด

ซิตี้กรุ๊ป เผยรายได้สุทธิตกต่ำ57% ร่วงลงมากที่สุดรอบ 3 ปี

ซิตี้กรุ๊ป อินคอร์ปอเรชั่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ประกาศผลกำไรไตรมาส 3/50 ร่วงลงอย่างหนักถึง 57% ซึ่งตกต่ำมากที่สุดในรอบ 3 ปี เกิดขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Subprime) และสินเชื่อเพื่อการซื้อขายควบรวมกิจการ โดยเฉพาะรายได้สุทธิร่วงลงเหลือเพียง 2.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8.3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เคยมีสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.92 แสน ล้านบาท กระทบราคาหุ้นตกต่ำถึง 17% ปีนี้

AOL ยักษ์สื่ออินเทอร์เน็ตปลดพนักงาน 2 พันคนทั่วโลก

นายแรนดี้ ฟอลโก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ บริษัท เอโอแอล ยักษ์ใหญ่ด้านสื่ออินเทอร์เน็ต และอิเล็กโทรนิกส์ของสหรัฐฯ และของโลก ประกาศปลดพนักงานลงถึง 2 พันคนทั่วโลก หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของพนักงานทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทครั้งใหญ่ที่ต้องการเน้นไปยังหัวใจของการทำธุรกิจหลัก คือ การเพิ่มรายได้จากการขายโฆษณาระบบออนไลน์ ทั้งนี้ การปลดพนักงานจำนวนดังกล่าวมีผลทันที และยังคงรักษาการทำธุรกิจใน 30 ประเทศทั่วโลกในปีหน้าต่อเนื่อง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/10/07

โพสต์ที่ 89

โพสต์

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ชี้ วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องปีหน้า

นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงได้รับความเสียหายต่อไป จากภาวะตกต่ำของวงการอสังหาริมทรัพย์ในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และยังตำหนิหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯย้ำว่า การแก้ไขวิกฤติที่ยังไม่สิ้นสุดในครั้งนี้ ต้องอาศัยกลไกของผู้กำกับระดับชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวยอมรับว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯจะตกต่ำต่อเนื่องถึงปีหน้า

ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจก่อสร้างบ้านสหรัฐฯ ต่ำสุดรอบ 23 ปี

สมาคมธุรกิจก่อสร้างบ้านแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มธุรกิจก่อสร้างบ้านในสหรัฐฯเดือนตุลาคม ทรุดต่ำลงต่อเนื่อง และยังตกต่ำมากที่สุดในรอบ 23 ปีที่ผ่านมา ด้วยค่าดัชนีดังกล่าวลงมาเหลือเพียง 18 จุด สาเหตุสำคัญมาจาก แหล่งสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan) เข้าถึงได้ยากมากขึ้น จำนวนบ้านสร้างใหม่ที่ไม่สามารถขายได้ในตลาด และราคาบ้านที่ยังทรุดต่ำลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของกลุ่มธุรกิจก่อสร้างบ้านในอีก 6 เดือนข้างหน้า ยังคงตกต่ำใกล้เคียงกลับในเดือนกันยายน

บันทึกการประชุมเฟด 18 ก.ย. ระบุ เสียงแตกเรื่องลดดอกเบี้ย

บันทึกการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กันยายน ซึ่งมีมติลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.5% พบว่า ความคิดเห็นของกรรมการมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในแง่ความเหมาะสมในปรับลด และจะลดลงเท่าใด โดยผู้ว่าเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ไม่เห็นด้วยในการปรับลด ขณะที่เฟดสาขาชิคาโก้ ดัลลัส แอตแลนต้า และริชมอนด์ เห็นควรให้ลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ด้านเฟด สาขาบอสตั้น ครีฟแลนด์ แคนซัสซิตี้ มินาโพลิส นิวยอร์ก เซนต์หลุยส์ และซานฟรานซิสโก เสนอลดดอกเบี้ย 0.5%

นักลงทุนต่างชาติ ลดลงทุนในสหรัฐฯ มากที่สุดรอบ 17 ปี

รายงานตลาดทุนระหว่างประเทศ (TIC) เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนสหรัฐฯลง ในเดือนสิงหาคมเป็นจำนวนมาก จากสาเหตุวิกฤติสภาพคล่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงอย่างหนัก โดย TIC รายงานว่า ยอดขายสุทธิทั้งหมด ได้แก่ พันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น และหุ้น มีมูลค่าสูงถึง 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นการขายสุทธิที่มากที่สุดในรอบกว่า 17 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคมในปี 1990 หรือในปี 2533
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news18/10/07

โพสต์ที่ 90

โพสต์

รัฐมนตรีคลังกลุ่มจี 7 ประชุมวิกฤติสภาพคล่องทั่วโลก
รัฐมนตรีคลังจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือกลุ่มจี 7 พร้อมกระทบต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ กลุ่มจี 7 ยังเตรียมหารือเกี่ยวกับความเคลื่อนไหว และบทบาทสำคัญของกองทุนเพื่อการลงทุนแห่งชาติ ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากจากประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ และยังเน้นเกี่ยวกับการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของทั้งกลุ่มจี 7 เพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจโลกในปีหน้า ที่จะประชุมในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยจะเน้นวาระวิกฤติสภาพคล่องที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผล

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทรุดมากที่สุดในรอบ 1 เดือน
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระดับมาตรฐาน ปรับลดลงอย่างหนัก และมากที่สุดในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา สาเหตุจาก นักลงทุนสะท้อนความกังวลกับโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดการถดถอยมากขึ้น โดยผลตอบแทนดังกล่าวระยะสั้น 3 เดือน ทรุดลงมากถึง 0.25% ลงมาเหลือเพียง 3.99% และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ทรุดลง 0.14% เหลือเพียง 3.98% นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินชั้นนำที่มีชื่อว่า เลห์แมน บราเธอร์ กล่าวว่า โอกาสที่แบงก์ชาติสหรัฐ จะปรับลดดอกเบี้ยในสิ้นเดือนนี้ ย้อนกลับเพิ่มสูงขึ้นอีก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx