ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/09/07
โพสต์ที่ 301
ธปท.ฟันธงศก.ไทยผ่านจุดต่ำสุด
โดย มติชน วัน เสาร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550 11:18 น.
ดัชนีเชื่อมั่นเกิน50ครั้งแรกรอบ6เดือน นำเข้าพุ่ง-รัฐเร่งงบฯดันจีดีพีโต4-5%แน่
ธปท.โชว์เศรษฐกิจสิงหาคมฟื้นตัวแล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นเกิน 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ชี้เหตุบรรยากาศการเมืองดีขึ้น มั่นใจปีนี้จีดีพีขยายตัว 4-5% แน่นอน เผยหลายปัจจัยหนุน ทั้งนำเข้าเพิ่มพรวด การบริโภค-ลงทุนฟื้น แถมภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบฯ
นางอัมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า ดัชนีทางเศรษฐกิจทุกตัวปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจนหลังจากที่มีแนวโน้มตั้งแต่ไตรมาส 2 โดยพบว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 10.2% เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 7.5% ซึ่งสินค้าที่มีการผลิตยังอยู่ในหมวดที่มีสัดส่วนส่งออกในปริมาณสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า ยานยนต์ อย่างไรก็ดี หมวดเครื่องหนังมีผลผลิตลดลงเนื่องจากหมดช่วงคำสั่งซื้อพิเศษ และหมวดสิ่งทอที่ผู้ประกอบการไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
นางอัมรากล่าวว่า ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 1.4% เร่งตัวขึ้นจากที่ขยายตัวเพียง 0.1% ในเดือนก่อน นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจอยู่ที่ 43.4 ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.7 ในเดือนก่อน โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบทั้งการผลิตที่ดีขึ้นตามคำสั่งซื้อในประเทศ ต้นทุนที่ลดลง และผลประกอบการที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งยังเนื่องจากการเมืองเริ่มมีความชัดเจน จนทำให้การลงทุนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ปรับขึ้นมาอยู่ระดับ 50.2 สูงกว่าระดับ 50 เป็นเดือนแรกในรอบ 6 เดือน
ที่ผ่านมาถามกันบ่อยว่าเศรษฐกิจไทยถึงจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยัง แต่เราก็ตอบไม่ได้เพราะต้องการรอดูอีกระยะหนึ่ง แต่ตอนนี้เราบอกได้ว่าเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 และเราเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 และ 3 แต่การฟื้นตัวคงมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 27 กันยายน แต่ก็ยังต่ำกว่าประมาณการกรณีเลวร้ายที่สุดของ ธปท. เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจปีนี้ยังสามารถขยายตัวได้ 4-5% แน่นอน
สำหรับภาคต่างประเทศ พบว่าในเดือนนี้การส่งออกมีมูลค่าถึง 13,818 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 18.4% เร่งตัวจากที่ขยายตัว 6.6% ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ เช่นเดียวกับการนำเข้าที่มีมูลค่า 12,845 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 12.1% เร่งตัวจากที่ขยายตัวเพียง 3.8% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งการนำเข้าเร่งตัวในทุกหมวด โดยเฉพาะการนำสินค้าทุนที่ขยายตัว 11.4% สอดคล้องกับการลงทุนที่ดีขึ้น ทำให้ในเดือนนี้ดุลการค้าเกินดุล 973 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เนื่องจากดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุล 239 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 735 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมแล้วในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เกินดุลบัญชีเดินสะพัดแล้ว 7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่น่าสนใจคือ การนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นการลงทุนที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อจากนี้จะมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก ตลอดจนการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีการเร่งเบิกจ่ายอย่างมากจากข้อมูลเงินฝากกับสถาบันการเงิน รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และบรรยากาศทางการเมือง ที่จะช่วยให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนกลับมาดีขึ้น
http://news.sanook.com/economic/economic_188099.php
โดย มติชน วัน เสาร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550 11:18 น.
ดัชนีเชื่อมั่นเกิน50ครั้งแรกรอบ6เดือน นำเข้าพุ่ง-รัฐเร่งงบฯดันจีดีพีโต4-5%แน่
ธปท.โชว์เศรษฐกิจสิงหาคมฟื้นตัวแล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นเกิน 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ชี้เหตุบรรยากาศการเมืองดีขึ้น มั่นใจปีนี้จีดีพีขยายตัว 4-5% แน่นอน เผยหลายปัจจัยหนุน ทั้งนำเข้าเพิ่มพรวด การบริโภค-ลงทุนฟื้น แถมภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบฯ
นางอัมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า ดัชนีทางเศรษฐกิจทุกตัวปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจนหลังจากที่มีแนวโน้มตั้งแต่ไตรมาส 2 โดยพบว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 10.2% เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 7.5% ซึ่งสินค้าที่มีการผลิตยังอยู่ในหมวดที่มีสัดส่วนส่งออกในปริมาณสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า ยานยนต์ อย่างไรก็ดี หมวดเครื่องหนังมีผลผลิตลดลงเนื่องจากหมดช่วงคำสั่งซื้อพิเศษ และหมวดสิ่งทอที่ผู้ประกอบการไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
นางอัมรากล่าวว่า ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 1.4% เร่งตัวขึ้นจากที่ขยายตัวเพียง 0.1% ในเดือนก่อน นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจอยู่ที่ 43.4 ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.7 ในเดือนก่อน โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบทั้งการผลิตที่ดีขึ้นตามคำสั่งซื้อในประเทศ ต้นทุนที่ลดลง และผลประกอบการที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งยังเนื่องจากการเมืองเริ่มมีความชัดเจน จนทำให้การลงทุนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ปรับขึ้นมาอยู่ระดับ 50.2 สูงกว่าระดับ 50 เป็นเดือนแรกในรอบ 6 เดือน
ที่ผ่านมาถามกันบ่อยว่าเศรษฐกิจไทยถึงจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยัง แต่เราก็ตอบไม่ได้เพราะต้องการรอดูอีกระยะหนึ่ง แต่ตอนนี้เราบอกได้ว่าเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 และเราเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 และ 3 แต่การฟื้นตัวคงมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 27 กันยายน แต่ก็ยังต่ำกว่าประมาณการกรณีเลวร้ายที่สุดของ ธปท. เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจปีนี้ยังสามารถขยายตัวได้ 4-5% แน่นอน
สำหรับภาคต่างประเทศ พบว่าในเดือนนี้การส่งออกมีมูลค่าถึง 13,818 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 18.4% เร่งตัวจากที่ขยายตัว 6.6% ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ เช่นเดียวกับการนำเข้าที่มีมูลค่า 12,845 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 12.1% เร่งตัวจากที่ขยายตัวเพียง 3.8% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งการนำเข้าเร่งตัวในทุกหมวด โดยเฉพาะการนำสินค้าทุนที่ขยายตัว 11.4% สอดคล้องกับการลงทุนที่ดีขึ้น ทำให้ในเดือนนี้ดุลการค้าเกินดุล 973 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เนื่องจากดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุล 239 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 735 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมแล้วในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เกินดุลบัญชีเดินสะพัดแล้ว 7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่น่าสนใจคือ การนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นการลงทุนที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อจากนี้จะมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก ตลอดจนการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีการเร่งเบิกจ่ายอย่างมากจากข้อมูลเงินฝากกับสถาบันการเงิน รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และบรรยากาศทางการเมือง ที่จะช่วยให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนกลับมาดีขึ้น
http://news.sanook.com/economic/economic_188099.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/10/07
โพสต์ที่ 302
เข้าโค้งสุดท้ายQ4หุ้นไทยคึก
ฝรั่งกลับลำซื้อดันสภาพคล่อง
เปิดฉากไตรมาส 4/2550 ตลาดหุ้นไทยมีแรงฮึดท้ายปีสู่เป้าดัชนี 900 จุด แนวโน้มสดใสฉลองทิ้งท้ายส่งไม้ต่อปี 2551 รับกระแสเงินทุนไหลเข้ารอบใหม่หนุนบรรยากาศการลงทุนเติมเต็มสภาพคล่อง คาดเฟดปรับดอกเบี้ยอีกรอบ 0.25-0.50%จับตาหุ้นใหญ่โดดเด่นนำทีม ส่วนกลุ่มแบงก์ราคาหุ้นยังเหลืออัพไซต์อื้อ ตามติดด้วยอสังหาริมทรัพย์รับผลพวงดอกเบี้ยหด และหุ้นไฮซีซั่นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ , ท่องเที่ยว ,โรงแรม และบันเทิง
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดฉากไตรมาส 3/2550 (28ก.ย.) ที่ระดับ 845.50 จุด เพิ่มขึ้น 2.45 จุด หรือ 0.29% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 21,785.73 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิส่งท้ายสัปดาห์ 956.64 ล้านบาท ขณะที่การซื้อขายของนักลงทุนตลอดทั้งเดือนกันยายน 2550 ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,217.61 ล้านบาท ส่วนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิไปแล้ว 94,650.62 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2550 คาดว่าจะยังสดใสจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้นทั้งจากการเลือกตั้งมีความชัดเจนในปลายปี และปัญหาซับไพร์มที่คลี่คลาย โดยังคงมองว่าภายในสิ้นปีมีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 900 จุด และในปี2551 จะขึ้นไปถึง 1,000 จุด
คาดว่าภายในไตรมาส 4 สถานการณ์ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกจะเริ่มดีขึ้นจากปัญหาซับไพร์มคลี่คลาย และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ 0.25-0.50% ดังนั้นจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงสดใสซึ่งจะหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในไตรมาส 4 นี้นายไพบูลย์กล่าว
ส่วนคำแนะนำยังมองหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าสนใจจากการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ย และกลุ่มพลังงานที่ยังได้รับผลดีจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดหุ้นยังถือว่าถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
Q4สภาพคล่องดีขึ้น
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2550 ยังคงมีมุมมองเป็นบวก จากสภาพคล่องที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามกระแสฟันด์โฟร์ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังความกังวลในเรื่องปัญหาซับไพร์มได้คลี่คลายลงไปพอสมควร ประกอบกับแนวโน้มการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีจะกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
ตลาดหุ้นไตรมาสนี้เรามองว่าสภาพคล่องจะดีขึ้น เห็นได้จากกระแสฟันด์โฟร์ที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3/2550 ที่ผ่านมาจากปัญหาเรื่องซับไพร์มที่ตลาดเริ่มคลายความกังวลลงไปเยอะ ซึ่งถึงแม้ราคาหุ้นอาจจะยังผันผวนบ้างแต่ก็ถือเป็นเรื่องปกตินายสุกิจกล่าว
ขณะเดียวกันหากพิจารณาผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 3 ถึง ไตรมาส 4/2550 คาดว่าจะปรับตัวดีกว่าในช่วงครึ่งแรก และคาดว่าจะดีต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปี 2551 ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทย ส่วนเรื่องการเมืองไทยนั้นมองว่าตลาดคาดหวังในเรื่องของการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้จากสภาพคล่องที่ดีขึ้นคาดว่าดัชนีในช่วงปลายปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 900 จุดส่วนจะถึง 1,000 จุดในปี 2551 หรือไม่นั้นคงต้องพิจารณาปัจจัยภายนอกประเทศโดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐด้วย ส่วนคำแนะนำ ยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นในกลุ่มใหญ่ เช่นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ , อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นในกลุ่มที่ถือเป็นช่วงไฮซีซั่น ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ , ท่องเที่ยว ,โรงแรม และบันเทิง
เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุด
นางอัมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3/2550 เริ่มเห็นแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของการบริโภคและการลงทุน ภายหลังจากการเมืองมีความชัดเจนขึ้นตามลำดับเมื่อมีการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการเร่งใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ รวมทั้งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง แต่มองว่าภายในปีนี้การลงทุนคงยังเร่งตัวขึ้นไม่มาก เชื่อว่าจะไปเห็นเร่งตัวมากจริง ๆ ในปีหน้า
"ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และแนวโน้มการลงทุนและการบริโภคดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ไม่มากไปกว่าที่คิดไว้ คิดว่าไตรมาส 3-4 น่าจะเร่งตัวดีขึ้นแต่คงยังไม่เห็นว่าจะเร่งมากปีนี้ ปีหน้าการลงทุนจะเร่งเร็วขึ้น"นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ นางอมรากล่าว
ส่วนภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคม 2550 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนจากการส่งออกที่กลับมาขยายตัวดี และอุปสงค์ภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น ด้านอุปทาน ผลผลิตพืชผลหลักชะลอลง ส่งผลให้รายได้เกษตรกรชะลอลงเล็กน้อย แม้ว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดีโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก
ทั้งนี้เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง โดยเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและอัตราเงินเฟ้อลดลง ซึ่งหากครึ่งปีหลังการส่งออกขยายตัวได้ในระดับนี้ การส่งออกทั้งปีก็น่าจะยังเป็นไปตามที่ธปท.คาดการณ์ไว้ และเศรษฐกิจโดยรวมในปี 2550 ก็น่าจะขยายตัวได้ในระดับ 4-5%
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 927&ch=225
ฝรั่งกลับลำซื้อดันสภาพคล่อง
เปิดฉากไตรมาส 4/2550 ตลาดหุ้นไทยมีแรงฮึดท้ายปีสู่เป้าดัชนี 900 จุด แนวโน้มสดใสฉลองทิ้งท้ายส่งไม้ต่อปี 2551 รับกระแสเงินทุนไหลเข้ารอบใหม่หนุนบรรยากาศการลงทุนเติมเต็มสภาพคล่อง คาดเฟดปรับดอกเบี้ยอีกรอบ 0.25-0.50%จับตาหุ้นใหญ่โดดเด่นนำทีม ส่วนกลุ่มแบงก์ราคาหุ้นยังเหลืออัพไซต์อื้อ ตามติดด้วยอสังหาริมทรัพย์รับผลพวงดอกเบี้ยหด และหุ้นไฮซีซั่นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ , ท่องเที่ยว ,โรงแรม และบันเทิง
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดฉากไตรมาส 3/2550 (28ก.ย.) ที่ระดับ 845.50 จุด เพิ่มขึ้น 2.45 จุด หรือ 0.29% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 21,785.73 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิส่งท้ายสัปดาห์ 956.64 ล้านบาท ขณะที่การซื้อขายของนักลงทุนตลอดทั้งเดือนกันยายน 2550 ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,217.61 ล้านบาท ส่วนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิไปแล้ว 94,650.62 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2550 คาดว่าจะยังสดใสจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้นทั้งจากการเลือกตั้งมีความชัดเจนในปลายปี และปัญหาซับไพร์มที่คลี่คลาย โดยังคงมองว่าภายในสิ้นปีมีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 900 จุด และในปี2551 จะขึ้นไปถึง 1,000 จุด
คาดว่าภายในไตรมาส 4 สถานการณ์ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกจะเริ่มดีขึ้นจากปัญหาซับไพร์มคลี่คลาย และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ 0.25-0.50% ดังนั้นจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงสดใสซึ่งจะหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในไตรมาส 4 นี้นายไพบูลย์กล่าว
ส่วนคำแนะนำยังมองหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าสนใจจากการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ย และกลุ่มพลังงานที่ยังได้รับผลดีจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดหุ้นยังถือว่าถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
Q4สภาพคล่องดีขึ้น
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2550 ยังคงมีมุมมองเป็นบวก จากสภาพคล่องที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามกระแสฟันด์โฟร์ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังความกังวลในเรื่องปัญหาซับไพร์มได้คลี่คลายลงไปพอสมควร ประกอบกับแนวโน้มการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีจะกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
ตลาดหุ้นไตรมาสนี้เรามองว่าสภาพคล่องจะดีขึ้น เห็นได้จากกระแสฟันด์โฟร์ที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3/2550 ที่ผ่านมาจากปัญหาเรื่องซับไพร์มที่ตลาดเริ่มคลายความกังวลลงไปเยอะ ซึ่งถึงแม้ราคาหุ้นอาจจะยังผันผวนบ้างแต่ก็ถือเป็นเรื่องปกตินายสุกิจกล่าว
ขณะเดียวกันหากพิจารณาผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 3 ถึง ไตรมาส 4/2550 คาดว่าจะปรับตัวดีกว่าในช่วงครึ่งแรก และคาดว่าจะดีต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปี 2551 ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทย ส่วนเรื่องการเมืองไทยนั้นมองว่าตลาดคาดหวังในเรื่องของการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้จากสภาพคล่องที่ดีขึ้นคาดว่าดัชนีในช่วงปลายปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 900 จุดส่วนจะถึง 1,000 จุดในปี 2551 หรือไม่นั้นคงต้องพิจารณาปัจจัยภายนอกประเทศโดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐด้วย ส่วนคำแนะนำ ยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นในกลุ่มใหญ่ เช่นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ , อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นในกลุ่มที่ถือเป็นช่วงไฮซีซั่น ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ , ท่องเที่ยว ,โรงแรม และบันเทิง
เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุด
นางอัมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3/2550 เริ่มเห็นแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของการบริโภคและการลงทุน ภายหลังจากการเมืองมีความชัดเจนขึ้นตามลำดับเมื่อมีการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการเร่งใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ รวมทั้งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง แต่มองว่าภายในปีนี้การลงทุนคงยังเร่งตัวขึ้นไม่มาก เชื่อว่าจะไปเห็นเร่งตัวมากจริง ๆ ในปีหน้า
"ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และแนวโน้มการลงทุนและการบริโภคดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ไม่มากไปกว่าที่คิดไว้ คิดว่าไตรมาส 3-4 น่าจะเร่งตัวดีขึ้นแต่คงยังไม่เห็นว่าจะเร่งมากปีนี้ ปีหน้าการลงทุนจะเร่งเร็วขึ้น"นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ นางอมรากล่าว
ส่วนภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคม 2550 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนจากการส่งออกที่กลับมาขยายตัวดี และอุปสงค์ภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น ด้านอุปทาน ผลผลิตพืชผลหลักชะลอลง ส่งผลให้รายได้เกษตรกรชะลอลงเล็กน้อย แม้ว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดีโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก
ทั้งนี้เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง โดยเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและอัตราเงินเฟ้อลดลง ซึ่งหากครึ่งปีหลังการส่งออกขยายตัวได้ในระดับนี้ การส่งออกทั้งปีก็น่าจะยังเป็นไปตามที่ธปท.คาดการณ์ไว้ และเศรษฐกิจโดยรวมในปี 2550 ก็น่าจะขยายตัวได้ในระดับ 4-5%
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 927&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/10/07
โพสต์ที่ 303
โหมโรงขบวนหุ้นเลือกตั้ง
เซียนหุ้นชวนจัดขบวนหุ้นร้อนเลือกตั้งกันให้เหมาะตรงเผงกับจังหวะลงทุน เริ่มจากก่อนเลือกตั้งระหว่างยังอยู่ในช่วงการผสมกลมเกลียวขึ้นมาเป็นพรรค และหาพันธมิตรทางการเมือง ช่วงนี้กลุ่มพลังงานขึ้นทัพหน้านำขบวน พี่เบิ้ม PTT และ PTTEP-PTTCH-TOP-BANPU-EGCO-RATCH-TPIPL-IRPC ตามทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ถ่านหิน จูงมือพร้อมใจวิ่งไปข้างหน้า ส่วนกลุ่มถัดมาให้เล่นเก็งกำไรช่วงหาเสียงระดมเงินหาเลี้ยงพรรค หนีไม่พ้นหุ้นไซด์เล็ก HEMRAJ-GEN-APURE-BEC-SAMART-EWC-MILINK และหลังเลือกตั้งสนองนโยบายรัฐเต็มพิกัดออกตัวท้ายสุดปิดขบวนต้องกลุ่มรับเหมา CK- STEC-ITD-SEAFCO-PLE ฉลองรถไฟฟ้าเกิด
นายนันทวัฒน์ ช่วยส่ง ผู้จัดการกลุ่มลูกค้ารายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาติ จำกัด ประเมินว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้าก่อนจะมีการการเลือกตั้ง มีโอกาสที่จะมีการแรงเก็งกำไรในหุ้นเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ผลประกอบการที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลงจะยิ่งสร้างความน่าสนใจด้านการลงทุนมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ด้านการเมืองคลี่คลายไปได้ด้วยดี โดยจะสามารถเลือกตั้งได้ในช่วงปลายปีนี้จะสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากพลิกเป็นซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่องในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา 3,500 ล้านบาท จากขายสุทธิ 3.5 หมื่นล้านบาทในเดือนสิงหาคม โดยวานนี้ (1 ต.ค.)ซื้อสุทธิ 477.461 ล้านบาท และส่งผลให้ยอดซื้อสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 95,784 ล้านบาท
TPIPL-IRPCหุ้นต่างค่าย
ส่วนหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวก่อนการเลือกตั้งได้ คือ TPIPL เพราะทิศทางของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเริ่มมีอฃแนวโน้มสดใสขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่ในปี 2551 ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน ประกอบกับโครงการรถไฟฟ้าที่คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูล และก่อสร้างได้
นอกจากนี้ TPIPL ยังมีความเกี่ยวโยงด้านการเมืองพรรคประชาราช ซึ่งมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์เป็นประธานกรรมการบริหารพรรค ซึ่งหากพรรคประชาชนได้รับเลือกคะแนนเสียงสูงจนสามารถเป็นหนึ่งในทีมการจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นปัจจัยบวกกับ TPIPL ในระยะยามได้ โดยมองกรอบแนวต้านที่ 15.80-18.00 บาท
ส่วนอีกบริษัทหนึ่งที่คาดว่าราคาหุ้นจะมีการขยับตัวได้ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี คือ IRPC ซึ่งฐานะทางการเงินเริ่มมีการฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลได้ในปีนี้ อีกทั้งยังเป็นบริษัทในเครือของ PTT โดยปัจจุบันแนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจุบันบวกกับ IRPC โดยมองว่ากรอบแนวต้าน 6.65-7.00 บาท
หลังเลือกตั้งต้องหุ้นรับเหมา
นายนันทวัฒน์ กล่าวต่อว่า หุ้นที่มีแนวโน้มปรับตัวหลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้วเสร็จ คือกลุ่มรับเหมาซึ่งจะได้รับอานิสงค์การเปิดประมูลงานที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมารายใหญ่ CK โดยให้กรอบแนวต้าน 8.50-11.50 บาท ITD ให้กรอบแนวต้าน 8.00-8.20 บาท STEC ให้กรอบแนวต้าน 7.50-9.00 บาท และ PLE ให้กรอบแนวต้าน 5.50-6.50 บาท
นอกจากนี้ผู้รับเหมาเหล่านี้ยังมีการรุกงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นประเมินว่าปี 2551 จะเป็นปีทองของหุ้นกลุ่มนี้ จากงานที่หลั่งไหลเข้ามา ผลักดันใหม่มูลค่างานในมือขยับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อรายได้เติบโตตามไปด้วย
ก่อนเลือกตั้งเน้นบิ๊กแคป
ด้านนายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนมองว่าจะมีการเข้ามาเก็งกำไร และทยอยสะสมลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น PTT ให้ราคาเป้าหมาย 392.77 บาท PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 165.77 บาท PTTCH ให้ราคาเป้าหมาย 136 บาท และ TOP ให้ราคาเป้าหมาย 98.8 บาท เพราะทิศทางของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลาดช่วงที่ผ่านมา เช่น ราคาน้ำมัน ราคาถ่านหุ้น ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของหุ้นในกลุ่มนี้ให่เติบโตเพิ่มมากขึ้น
จับหุ้นเล็กน่าลุ้น
ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะมีการเก็งกำไรร้อนแรงในช่วงก่อนเลือกตั้งและน่าสนใจไม่แพ้กลุ่มพลังงาน คือหุ้นขนาดเล็ก เช่น HEMRAJ ให้กรอบแนวต้าน 1.50 บาท GEN ให้กรอบแนวต้าน1.30 บาท APURE ให้กรอบแนวต้าน11.00 บาท BEC ให้กรอบแนวต้าน 24.00 บาท SAMART ให้กรอบแนวต้าน 8.50 บาท EWC ให้กรอบแนวต้าน 9.50 บาท MLINK ให้กรอบแนวต้าน 1.00 บาท และ PLE ให้กรอบแนวต้าน5.80 บาท เพราะราคาหุ้นในทางเทคนิคของหุ้นดังกล่าวอยุ่ในช่วงสร้างฐานเพื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะกลาง
หุ้นรับเหมาออกตัวท้ายสุด
ขณะที่หุ้นกลุ่มรับเหมามองว่าจะเป็นกลุ่มที่มีการปรับตัวร้อนแรงเมื่อการเลือกตั้งแล้วเสร็จ และมีการกำหนดนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน เพราะภาคเอกชน และภาครัฐจะเริ่มเร่งเครืองเปิดเประมูลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ชะลอการเปิดโครงการไปในนี้
สำหรับหุ้นกลุ่มรับเหมาที่น่าสนใจ คือผู้รับเหมารายใหญ่ เช่น CK ให้ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท STEC ให้ราคาเป้าหมาย 8.71 บาท ITD ให้ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท เพราะได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งรับเหมาขนาดเล็ก SEAFCO ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านฐานได้รับอานิสงค์ไปด้วย โดยที่ไม่จำเป็นต้องประมูลงาน เพราะสามารถรับงานช่วงต่อจากผู้รับเหมาจากการครอมาร์เก็ตแชร์ในตลาดที่สูงถึง 40% ให้ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 937&ch=223
เซียนหุ้นชวนจัดขบวนหุ้นร้อนเลือกตั้งกันให้เหมาะตรงเผงกับจังหวะลงทุน เริ่มจากก่อนเลือกตั้งระหว่างยังอยู่ในช่วงการผสมกลมเกลียวขึ้นมาเป็นพรรค และหาพันธมิตรทางการเมือง ช่วงนี้กลุ่มพลังงานขึ้นทัพหน้านำขบวน พี่เบิ้ม PTT และ PTTEP-PTTCH-TOP-BANPU-EGCO-RATCH-TPIPL-IRPC ตามทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ถ่านหิน จูงมือพร้อมใจวิ่งไปข้างหน้า ส่วนกลุ่มถัดมาให้เล่นเก็งกำไรช่วงหาเสียงระดมเงินหาเลี้ยงพรรค หนีไม่พ้นหุ้นไซด์เล็ก HEMRAJ-GEN-APURE-BEC-SAMART-EWC-MILINK และหลังเลือกตั้งสนองนโยบายรัฐเต็มพิกัดออกตัวท้ายสุดปิดขบวนต้องกลุ่มรับเหมา CK- STEC-ITD-SEAFCO-PLE ฉลองรถไฟฟ้าเกิด
นายนันทวัฒน์ ช่วยส่ง ผู้จัดการกลุ่มลูกค้ารายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาติ จำกัด ประเมินว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้าก่อนจะมีการการเลือกตั้ง มีโอกาสที่จะมีการแรงเก็งกำไรในหุ้นเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ผลประกอบการที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลงจะยิ่งสร้างความน่าสนใจด้านการลงทุนมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ด้านการเมืองคลี่คลายไปได้ด้วยดี โดยจะสามารถเลือกตั้งได้ในช่วงปลายปีนี้จะสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากพลิกเป็นซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่องในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา 3,500 ล้านบาท จากขายสุทธิ 3.5 หมื่นล้านบาทในเดือนสิงหาคม โดยวานนี้ (1 ต.ค.)ซื้อสุทธิ 477.461 ล้านบาท และส่งผลให้ยอดซื้อสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 95,784 ล้านบาท
TPIPL-IRPCหุ้นต่างค่าย
ส่วนหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวก่อนการเลือกตั้งได้ คือ TPIPL เพราะทิศทางของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเริ่มมีอฃแนวโน้มสดใสขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่ในปี 2551 ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน ประกอบกับโครงการรถไฟฟ้าที่คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูล และก่อสร้างได้
นอกจากนี้ TPIPL ยังมีความเกี่ยวโยงด้านการเมืองพรรคประชาราช ซึ่งมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์เป็นประธานกรรมการบริหารพรรค ซึ่งหากพรรคประชาชนได้รับเลือกคะแนนเสียงสูงจนสามารถเป็นหนึ่งในทีมการจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นปัจจัยบวกกับ TPIPL ในระยะยามได้ โดยมองกรอบแนวต้านที่ 15.80-18.00 บาท
ส่วนอีกบริษัทหนึ่งที่คาดว่าราคาหุ้นจะมีการขยับตัวได้ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี คือ IRPC ซึ่งฐานะทางการเงินเริ่มมีการฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลได้ในปีนี้ อีกทั้งยังเป็นบริษัทในเครือของ PTT โดยปัจจุบันแนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจุบันบวกกับ IRPC โดยมองว่ากรอบแนวต้าน 6.65-7.00 บาท
หลังเลือกตั้งต้องหุ้นรับเหมา
นายนันทวัฒน์ กล่าวต่อว่า หุ้นที่มีแนวโน้มปรับตัวหลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้วเสร็จ คือกลุ่มรับเหมาซึ่งจะได้รับอานิสงค์การเปิดประมูลงานที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมารายใหญ่ CK โดยให้กรอบแนวต้าน 8.50-11.50 บาท ITD ให้กรอบแนวต้าน 8.00-8.20 บาท STEC ให้กรอบแนวต้าน 7.50-9.00 บาท และ PLE ให้กรอบแนวต้าน 5.50-6.50 บาท
นอกจากนี้ผู้รับเหมาเหล่านี้ยังมีการรุกงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นประเมินว่าปี 2551 จะเป็นปีทองของหุ้นกลุ่มนี้ จากงานที่หลั่งไหลเข้ามา ผลักดันใหม่มูลค่างานในมือขยับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อรายได้เติบโตตามไปด้วย
ก่อนเลือกตั้งเน้นบิ๊กแคป
ด้านนายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนมองว่าจะมีการเข้ามาเก็งกำไร และทยอยสะสมลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น PTT ให้ราคาเป้าหมาย 392.77 บาท PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 165.77 บาท PTTCH ให้ราคาเป้าหมาย 136 บาท และ TOP ให้ราคาเป้าหมาย 98.8 บาท เพราะทิศทางของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลาดช่วงที่ผ่านมา เช่น ราคาน้ำมัน ราคาถ่านหุ้น ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของหุ้นในกลุ่มนี้ให่เติบโตเพิ่มมากขึ้น
จับหุ้นเล็กน่าลุ้น
ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะมีการเก็งกำไรร้อนแรงในช่วงก่อนเลือกตั้งและน่าสนใจไม่แพ้กลุ่มพลังงาน คือหุ้นขนาดเล็ก เช่น HEMRAJ ให้กรอบแนวต้าน 1.50 บาท GEN ให้กรอบแนวต้าน1.30 บาท APURE ให้กรอบแนวต้าน11.00 บาท BEC ให้กรอบแนวต้าน 24.00 บาท SAMART ให้กรอบแนวต้าน 8.50 บาท EWC ให้กรอบแนวต้าน 9.50 บาท MLINK ให้กรอบแนวต้าน 1.00 บาท และ PLE ให้กรอบแนวต้าน5.80 บาท เพราะราคาหุ้นในทางเทคนิคของหุ้นดังกล่าวอยุ่ในช่วงสร้างฐานเพื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะกลาง
หุ้นรับเหมาออกตัวท้ายสุด
ขณะที่หุ้นกลุ่มรับเหมามองว่าจะเป็นกลุ่มที่มีการปรับตัวร้อนแรงเมื่อการเลือกตั้งแล้วเสร็จ และมีการกำหนดนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน เพราะภาคเอกชน และภาครัฐจะเริ่มเร่งเครืองเปิดเประมูลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ชะลอการเปิดโครงการไปในนี้
สำหรับหุ้นกลุ่มรับเหมาที่น่าสนใจ คือผู้รับเหมารายใหญ่ เช่น CK ให้ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท STEC ให้ราคาเป้าหมาย 8.71 บาท ITD ให้ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท เพราะได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งรับเหมาขนาดเล็ก SEAFCO ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านฐานได้รับอานิสงค์ไปด้วย โดยที่ไม่จำเป็นต้องประมูลงาน เพราะสามารถรับงานช่วงต่อจากผู้รับเหมาจากการครอมาร์เก็ตแชร์ในตลาดที่สูงถึง 40% ให้ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 937&ch=223
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/10/07
โพสต์ที่ 304
ร่วมทีมกรมส่งเสริมการส่งออก สำรวจตลาดและความต้องการของคนญี่ปุ่น เตรียมพร้อมลุยหลังเจเทปาสำแดงฤทธิ์
โดย มติชน วัน อังคาร ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550 10:32 น.
โดย นวลนิตย์ บัวด้วง
นับจากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ความตกลงการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น หรือที่เรียกย่อว่า เจเทปา (JTEPA) จะมีผลบังคับอย่างเป็นทางการ กรมส่งเสริมการส่งออก คือหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันการใช้ประโยชน์ของเจเทปาอย่างแท้จริงและยั่งยืน ได้จัดคณะสื่อมวลชนไทยไปกรุงโตกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 22-29 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อสำรวจและเห็นถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการไทยในตลาดญี่ปุ่น
ภาพรวมบรรยากาศในกรุงโตเกียวไม่แพ้กรุงเทพฯ ทั้งประชากรที่หนาแน่น การจราจรที่ติดขัด เดินทางแต่ละครั้งก็ต้องเผื่อเวลาไว้เช่นกัน แถมยังมีความกังวลเหมือนกันอีก
ผู้บริโภคญี่ปุ่นกังวลต่อปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในทุกระบบ กังวลต่อปัญหาค่าครองชีพสูงจากราคาน้ำมันแพง แนวโน้มการแข็งค่าของเงินเยนในปีหน้ายังมีสูง จึงสะท้อนให้เห็นถึงสินค้าราคาถูกครองตลาดผู้ซื้อของคนญี่ปุ่นในขณะนี้
ด้วยปัญหาที่รุมเร้าญี่ปุ่นดังกล่าว น่าจะเป็นการบ้านใหญ่ที่ผู้ประกอบการไทยต้องคำนึงและหาทางออกที่จะแทรกตัวเข้าไปชิงตลาดในญี่ปุ่น โดยใช้ประโยชน์เต็มที่กับเจเทปา
ในกลุ่มเครื่องนุ่งห่มและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผู้นำเข้ารายใหญ่อย่าง ซูมิโตโมหรือมิตชูบิชิ ให้ข้อมูลว่าญี่ปุ่นพึ่งพาการนำเข้าเสื้อผ้าและเครื่องนุ่มห่มจากประเทศจีนสูงถึงกว่า 90% เพราะจีนตอบสนองได้ทั้งเรื่องราคา รูปแบบ ระยะเวลาส่งมอบ และปริมาณตามออเดอร์ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยด้วย
พฤติกรรมการซื้อของคนญี่ปุ่นก็ไม่สนใจว่าผลิตจากประเทศใด สนใจแต่เรื่องราคาถูก จากสถิติชี้ให้เห็นว่าครอบครัวญี่ปุ่นซื้อเสื้อผ้าลดลงและถูกลง ปี 2543 ครอบครัวหนึ่งใช้เงินซื้อเสื้อผ้า 309,000 เยน เหลือ 295,000 เยนในปี 2549 แต่ทางสว่างในกลุ่มนี้ใช่จะไม่มี เพราะจีนกำลังประสบปัญหาคุณภาพที่ไม่สอดคล้องกับสุขอนามัย ปลอดสารพิษ และไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้การแสวงหาฐานผลิตใหม่แทนจีนมีมากขึ้น
กลุ่มเครื่องประดับและอัญมณี ผู้ค้ารายใหญ่ของไทยส่วนหนึ่งมั่นใจต่อการใช้ประโยชน์จากเจเทปามาก เพราะนอกจากภาษีลดทันทีเหลือ 0% แล้ว จะเป็นการเปิดตลาดขายตรงกับเจ้าของร้านโดยไม่ผ่านตัวแทนจำหน่าย จึงเป็นกลุ่มแรกที่ประกาศตัวว่าจากที่เคยเป็นตลาดส่งออกที่ถดถอยจะกลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ถึง 35% ในปีแรกของการใช้เจเทปา แต่ก็ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติที่ยังต้องปรับปรุง ตัวอย่างเช่น ผู้สั่งซื้อเครื่องประดับส่วนใหญ่ของโลกต่างมุ่งหน้าไปงานแสดงสินค้าเครื่องประดับระดับภูมิภาคในฮ่องกง แต่ไทยกลับจัดคณะผู้ขายมาโรดโชว์ ทำให้ไม่มีผู้ซื้อเท่าที่ควร
กลุ่มอาหารเป็นอีกกลุ่มที่ประกาศว่าการส่งออกอาหารไทยจะได้ส่วนแบ่งตลาดญี่ปุ่นเพิ่มอย่างรวดเร็วจาก 10-20% เป็น 30-35% ในเวลาเพียงปีเดียว และดูเหมือนโชคเข้าข้างเพราะผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างจีนกำลังมีปัญหา ถูกบอยคอตเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยในการบริโภค
ภาคธุรกิจบริการ สำหรับญี่ปุ่นกำลังเป็นตลาดที่มีการขยายตัวและมีความต้องการอย่างไม่หยุดยั้ง พฤติกรรมคนญี่ปุ่น หันมากินข้าวนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในความนิยมคือการกินอาหารไทย ฉะนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ร้านอาหารไทยจึงเปิดตัวอย่างรวดเร็วรวมได้กว่า 3,000 แห่ง แต่ก็ไปไม่รอดเพียงไม่กี่ปีเช่นกันต้องปิดกิจการเพราะเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานพ่อครัวแม่ครัว และการคงความเป็นรสชาติอาหารไทยแท้จริง จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งสถาบันไทยศึกษาและวัฒนธรรมไทย ณ กรุงโตเกียว ซึ่งได้อาศัยความช่ำชองของเจ้าของร้านอาหารไทยซึ่งเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นคือร้านแก้วใจ กับสถาบันราชภัฏสวนดุสิต จัดหลักสูตรอบรมคนไทยเพื่อประกอบธุรกิจอาหารไทยรสชาติต้นตำรับไทย
คุณพิมใจ มัตสึโมโต ผู้บริหารสถาบันฯ กล่าวว่าภายใน 3-5 ปี กำหนดว่าจะผลิตกุ๊กอาหารไทยที่มีฝีมือและปลุกการเปิดร้านอาหารไทยอย่างน้อย 3,000 แห่ง พร้อมย้ำถึงเทคนิคการรักษาความยั่งยืนในการทำร้านอาหารไทยว่า ต้องทำให้อาหารไทยเป็นโซ่คล้องใจ ซึ่งจะเป็นการซึมซับเอกลักษณ์และความนิยมชมชอบความเป็นไทย
ที่ผ่านมามักเชื่อกันว่าการเปิดเสรีของไทยกับนานาชาติจะก่อผลดีกับไทยเพียงระยะสั้น สุดท้ายไทยต้องสูญเสียมูลค่าส่งออกและเสียดุลการค้า นายเดช พัฒนะเศรษฐพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กลับเห็นว่า อยากให้มองเจเทปาคือใบเบิกทางเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค เข้าถึงตลาดได้ก่อน แต่จะรักษาอย่างไรเพื่อครองพื้นที่ส่วนแบ่งตลาดได้มากที่สุดนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการใช้ประโยชน์ที่แท้จริงจากเจเทปา
http://news.sanook.com/economic/economic_189129.php
โดย มติชน วัน อังคาร ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550 10:32 น.
โดย นวลนิตย์ บัวด้วง
นับจากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ความตกลงการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น หรือที่เรียกย่อว่า เจเทปา (JTEPA) จะมีผลบังคับอย่างเป็นทางการ กรมส่งเสริมการส่งออก คือหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันการใช้ประโยชน์ของเจเทปาอย่างแท้จริงและยั่งยืน ได้จัดคณะสื่อมวลชนไทยไปกรุงโตกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 22-29 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อสำรวจและเห็นถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการไทยในตลาดญี่ปุ่น
ภาพรวมบรรยากาศในกรุงโตเกียวไม่แพ้กรุงเทพฯ ทั้งประชากรที่หนาแน่น การจราจรที่ติดขัด เดินทางแต่ละครั้งก็ต้องเผื่อเวลาไว้เช่นกัน แถมยังมีความกังวลเหมือนกันอีก
ผู้บริโภคญี่ปุ่นกังวลต่อปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในทุกระบบ กังวลต่อปัญหาค่าครองชีพสูงจากราคาน้ำมันแพง แนวโน้มการแข็งค่าของเงินเยนในปีหน้ายังมีสูง จึงสะท้อนให้เห็นถึงสินค้าราคาถูกครองตลาดผู้ซื้อของคนญี่ปุ่นในขณะนี้
ด้วยปัญหาที่รุมเร้าญี่ปุ่นดังกล่าว น่าจะเป็นการบ้านใหญ่ที่ผู้ประกอบการไทยต้องคำนึงและหาทางออกที่จะแทรกตัวเข้าไปชิงตลาดในญี่ปุ่น โดยใช้ประโยชน์เต็มที่กับเจเทปา
ในกลุ่มเครื่องนุ่งห่มและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผู้นำเข้ารายใหญ่อย่าง ซูมิโตโมหรือมิตชูบิชิ ให้ข้อมูลว่าญี่ปุ่นพึ่งพาการนำเข้าเสื้อผ้าและเครื่องนุ่มห่มจากประเทศจีนสูงถึงกว่า 90% เพราะจีนตอบสนองได้ทั้งเรื่องราคา รูปแบบ ระยะเวลาส่งมอบ และปริมาณตามออเดอร์ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยด้วย
พฤติกรรมการซื้อของคนญี่ปุ่นก็ไม่สนใจว่าผลิตจากประเทศใด สนใจแต่เรื่องราคาถูก จากสถิติชี้ให้เห็นว่าครอบครัวญี่ปุ่นซื้อเสื้อผ้าลดลงและถูกลง ปี 2543 ครอบครัวหนึ่งใช้เงินซื้อเสื้อผ้า 309,000 เยน เหลือ 295,000 เยนในปี 2549 แต่ทางสว่างในกลุ่มนี้ใช่จะไม่มี เพราะจีนกำลังประสบปัญหาคุณภาพที่ไม่สอดคล้องกับสุขอนามัย ปลอดสารพิษ และไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้การแสวงหาฐานผลิตใหม่แทนจีนมีมากขึ้น
กลุ่มเครื่องประดับและอัญมณี ผู้ค้ารายใหญ่ของไทยส่วนหนึ่งมั่นใจต่อการใช้ประโยชน์จากเจเทปามาก เพราะนอกจากภาษีลดทันทีเหลือ 0% แล้ว จะเป็นการเปิดตลาดขายตรงกับเจ้าของร้านโดยไม่ผ่านตัวแทนจำหน่าย จึงเป็นกลุ่มแรกที่ประกาศตัวว่าจากที่เคยเป็นตลาดส่งออกที่ถดถอยจะกลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ถึง 35% ในปีแรกของการใช้เจเทปา แต่ก็ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติที่ยังต้องปรับปรุง ตัวอย่างเช่น ผู้สั่งซื้อเครื่องประดับส่วนใหญ่ของโลกต่างมุ่งหน้าไปงานแสดงสินค้าเครื่องประดับระดับภูมิภาคในฮ่องกง แต่ไทยกลับจัดคณะผู้ขายมาโรดโชว์ ทำให้ไม่มีผู้ซื้อเท่าที่ควร
กลุ่มอาหารเป็นอีกกลุ่มที่ประกาศว่าการส่งออกอาหารไทยจะได้ส่วนแบ่งตลาดญี่ปุ่นเพิ่มอย่างรวดเร็วจาก 10-20% เป็น 30-35% ในเวลาเพียงปีเดียว และดูเหมือนโชคเข้าข้างเพราะผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างจีนกำลังมีปัญหา ถูกบอยคอตเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยในการบริโภค
ภาคธุรกิจบริการ สำหรับญี่ปุ่นกำลังเป็นตลาดที่มีการขยายตัวและมีความต้องการอย่างไม่หยุดยั้ง พฤติกรรมคนญี่ปุ่น หันมากินข้าวนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในความนิยมคือการกินอาหารไทย ฉะนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ร้านอาหารไทยจึงเปิดตัวอย่างรวดเร็วรวมได้กว่า 3,000 แห่ง แต่ก็ไปไม่รอดเพียงไม่กี่ปีเช่นกันต้องปิดกิจการเพราะเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานพ่อครัวแม่ครัว และการคงความเป็นรสชาติอาหารไทยแท้จริง จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งสถาบันไทยศึกษาและวัฒนธรรมไทย ณ กรุงโตเกียว ซึ่งได้อาศัยความช่ำชองของเจ้าของร้านอาหารไทยซึ่งเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นคือร้านแก้วใจ กับสถาบันราชภัฏสวนดุสิต จัดหลักสูตรอบรมคนไทยเพื่อประกอบธุรกิจอาหารไทยรสชาติต้นตำรับไทย
คุณพิมใจ มัตสึโมโต ผู้บริหารสถาบันฯ กล่าวว่าภายใน 3-5 ปี กำหนดว่าจะผลิตกุ๊กอาหารไทยที่มีฝีมือและปลุกการเปิดร้านอาหารไทยอย่างน้อย 3,000 แห่ง พร้อมย้ำถึงเทคนิคการรักษาความยั่งยืนในการทำร้านอาหารไทยว่า ต้องทำให้อาหารไทยเป็นโซ่คล้องใจ ซึ่งจะเป็นการซึมซับเอกลักษณ์และความนิยมชมชอบความเป็นไทย
ที่ผ่านมามักเชื่อกันว่าการเปิดเสรีของไทยกับนานาชาติจะก่อผลดีกับไทยเพียงระยะสั้น สุดท้ายไทยต้องสูญเสียมูลค่าส่งออกและเสียดุลการค้า นายเดช พัฒนะเศรษฐพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กลับเห็นว่า อยากให้มองเจเทปาคือใบเบิกทางเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค เข้าถึงตลาดได้ก่อน แต่จะรักษาอย่างไรเพื่อครองพื้นที่ส่วนแบ่งตลาดได้มากที่สุดนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการใช้ประโยชน์ที่แท้จริงจากเจเทปา
http://news.sanook.com/economic/economic_189129.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/10/07
โพสต์ที่ 305
เบิกงบทะลุเป้ายอด1.4ล้านล. ชี้ลดดอกได้อีก
โพสต์ทูเดย์ ผลการเบิกจ่ายงบประมาณสิ้นปี 2550 ทะลุ 93.91% เกินเป้าเล็กน้อย โฆสิตหนุนลดดอกเบี้ย
นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2550 ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากกระทรวงการคลังทั้งสิ้น 1,470,839 ล้านบาท หรือ 93.91% ของวงเงิน 1,566,200 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 0.91%
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า เป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้คือ 93% แต่เบิกได้สูงกว่า ถือว่าดีมาก และรายงานลงทุนเบิกจ่ายได้ 80.45% จากเป้าหมาย 73% ซึ่งมีผลจากมาตรการต่างๆ ที่ได้พยายามเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายเงิน และด้วยความพยายามของส่วนราชการที่เร่งดำเนินงาน ทำให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ หน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่ายในภาพรวมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 99.74% กระทรวงศึกษาธิการ 99.08% กระทรวงแรงงาน 98.48% กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 92.10% กระทรวงมหาดไทย 89.07% และกระทรวงคมนาคม 86.49%
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี 1 วัน) ยังมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีก เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมกันในวันที่ 10 ต.ค.นี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=194829
โพสต์ทูเดย์ ผลการเบิกจ่ายงบประมาณสิ้นปี 2550 ทะลุ 93.91% เกินเป้าเล็กน้อย โฆสิตหนุนลดดอกเบี้ย
นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2550 ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากกระทรวงการคลังทั้งสิ้น 1,470,839 ล้านบาท หรือ 93.91% ของวงเงิน 1,566,200 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 0.91%
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า เป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้คือ 93% แต่เบิกได้สูงกว่า ถือว่าดีมาก และรายงานลงทุนเบิกจ่ายได้ 80.45% จากเป้าหมาย 73% ซึ่งมีผลจากมาตรการต่างๆ ที่ได้พยายามเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายเงิน และด้วยความพยายามของส่วนราชการที่เร่งดำเนินงาน ทำให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ หน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่ายในภาพรวมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 99.74% กระทรวงศึกษาธิการ 99.08% กระทรวงแรงงาน 98.48% กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 92.10% กระทรวงมหาดไทย 89.07% และกระทรวงคมนาคม 86.49%
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี 1 วัน) ยังมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีก เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมกันในวันที่ 10 ต.ค.นี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=194829
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/10/07
โพสต์ที่ 306
เงินเฟ้อก.ย.พุ่งทะลุ 2.1%สูงสุดรอบ 7 เดือน
มติชน: นางนทีทิพย์ ทองเขาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือนกันยายน 2550 เท่ากับ 117.4 สูงขึ้น 2.1% เทียบเดือนกันยายน 2549 และสูงขึ้น 0.6% จากเดือนสิงหาคม 2550 เป็นตัวเลขที่กลับขึ้นมาสูงขึ้นอีกครั้งและเกิน 2% นับจากเดือนมีนาคม 2550 หรือในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาสินค้าสูงขึ้น ที่สำคัญราคาข้าวเหนียว ผลไม้สด ผักสด ไข่ เนื้อสุกร ราคาสูงขึ้น และการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นม กาแฟผงสำเร็จรูป 2.8% น้ำปลา บุหรี่ สุรา รวมถึงราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง 4-5 ครั้ง แต่สินค้าของใช้ส่วนบุคคลราคาลดลง โดยเฉลี่ย 9 เดือนแรกของปีนี้เงินเฟ้อสูงขึ้นแล้ว 2% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเท่ากับ 105.8 สูงขึ้น 0.8% เทียบเดือนกันยายน 2549 และสูงขึ้น 0.2% จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เฉลี่ย 9 เดือนสูงขึ้น 1%
สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิตเท่ากับ 138.1 สูงขึ้น 3.1% เทียบเดือนกันยายน 2549 และสูงขึ้น 1% จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เฉลี่ย 9 เดือนสูงขึ้น 1.9% โดยดัชนีราคาผู้ผลิตกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังลดลงต่อเดือนมาแล้ว 3 เดือน เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น และเนื้อสัตว์มีปริมาณการผลิตลดลง น้ำมันเชื้อเพลิงและทองคำมีราคาสูงขึ้นจากภาวะตลาด เช่นเดียวกับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนกันยายนเท่ากับ 134.4 เพิ่มขึ้น 3.2% เทียบเดือนกันยายน 2549 และเพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนสิงหาคม 2550 เฉลี่ย 9 เดือนเพิ่มขึ้น 4.7% เดือนกันยายนเป็นเดือนที่ปรับขึ้นหลังจากลดลงติดกัน 2 เดือน เนื่องจากการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์เหล็ก ไม้ อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา เป็นต้น
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์การขยายตัวของเงินเฟ้อทั้งปี 2550 ไว้ไม่เกิน 2.5% เนื่องจากปัจจัยกระทบไม่เกินสมมติฐาน 1.ราคาน้ำมันไม่เกิน 65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนค่าเฉลี่ย 9 เดือนอยู่ที่ 63.5 เหรียญสหรัฐ และน้ำมันขายปลีกในประเทศเฉลี่ย 26.90 บาท/ลิตร 2.อัตราแลกเปลี่ยนระดับ 35 บาท/เหรียญสหรัฐ เฉลี่ย 9 เดือนอยู่ที่ 34.7 บาท/เหรียญสหรัฐ 3.ดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ระดับ 3.5-4% และ 4.ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ยังไม่มีการปรับขึ้นราคา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
มติชน: นางนทีทิพย์ ทองเขาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือนกันยายน 2550 เท่ากับ 117.4 สูงขึ้น 2.1% เทียบเดือนกันยายน 2549 และสูงขึ้น 0.6% จากเดือนสิงหาคม 2550 เป็นตัวเลขที่กลับขึ้นมาสูงขึ้นอีกครั้งและเกิน 2% นับจากเดือนมีนาคม 2550 หรือในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาสินค้าสูงขึ้น ที่สำคัญราคาข้าวเหนียว ผลไม้สด ผักสด ไข่ เนื้อสุกร ราคาสูงขึ้น และการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นม กาแฟผงสำเร็จรูป 2.8% น้ำปลา บุหรี่ สุรา รวมถึงราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง 4-5 ครั้ง แต่สินค้าของใช้ส่วนบุคคลราคาลดลง โดยเฉลี่ย 9 เดือนแรกของปีนี้เงินเฟ้อสูงขึ้นแล้ว 2% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเท่ากับ 105.8 สูงขึ้น 0.8% เทียบเดือนกันยายน 2549 และสูงขึ้น 0.2% จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เฉลี่ย 9 เดือนสูงขึ้น 1%
สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิตเท่ากับ 138.1 สูงขึ้น 3.1% เทียบเดือนกันยายน 2549 และสูงขึ้น 1% จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เฉลี่ย 9 เดือนสูงขึ้น 1.9% โดยดัชนีราคาผู้ผลิตกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังลดลงต่อเดือนมาแล้ว 3 เดือน เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น และเนื้อสัตว์มีปริมาณการผลิตลดลง น้ำมันเชื้อเพลิงและทองคำมีราคาสูงขึ้นจากภาวะตลาด เช่นเดียวกับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนกันยายนเท่ากับ 134.4 เพิ่มขึ้น 3.2% เทียบเดือนกันยายน 2549 และเพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนสิงหาคม 2550 เฉลี่ย 9 เดือนเพิ่มขึ้น 4.7% เดือนกันยายนเป็นเดือนที่ปรับขึ้นหลังจากลดลงติดกัน 2 เดือน เนื่องจากการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์เหล็ก ไม้ อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา เป็นต้น
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์การขยายตัวของเงินเฟ้อทั้งปี 2550 ไว้ไม่เกิน 2.5% เนื่องจากปัจจัยกระทบไม่เกินสมมติฐาน 1.ราคาน้ำมันไม่เกิน 65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนค่าเฉลี่ย 9 เดือนอยู่ที่ 63.5 เหรียญสหรัฐ และน้ำมันขายปลีกในประเทศเฉลี่ย 26.90 บาท/ลิตร 2.อัตราแลกเปลี่ยนระดับ 35 บาท/เหรียญสหรัฐ เฉลี่ย 9 เดือนอยู่ที่ 34.7 บาท/เหรียญสหรัฐ 3.ดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ระดับ 3.5-4% และ 4.ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ยังไม่มีการปรับขึ้นราคา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/10/07
โพสต์ที่ 307
กัดฟันขึ้นเงินเดือนรสก.
โดย ข่าวสด วัน พุธ ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:17 น.
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ต.ค. มีมติเห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจขึ้นไม่เกิน 4% ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ โดยใช้งบประมาณของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป และมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปศึกษาโครงสร้างการกำหนดค่าจ้าง/ค่าตอบแทนต่างๆ ภาพรวมในระยะต่อไปให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังตั้งข้อสังเกตว่า ระหว่างปี 47-49 มีการขึ้นเงินเดือนสองครั้งรวมประมาณ 20% ซึ่งมากกว่าเมื่อเทียบกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการในช่วงเวลาเดียวกันรวมประมาณ 6% ทำให้มีความลักลั่นกันค่อนข้างมาก ขณะที่ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐวิสาหกิจกลับไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ขณะเดียวกันภาพรวมรัฐวิสาหกิจยังมีกำไรลดลงต่อเนื่องในปี 47-49 ลดลง 8.26%, 6.75% และ 7.08% ตามลำดับ เนื่องจากค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มขึ้น ทำให้ประสบปัญหาการเงิน ซึ่งการปรับขึ้นเงินเดือนครั้งนี้ทำให้รัฐวิสาหกิจ 56 แห่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นรวมกันทั้งสิ้น 3,639 ล้านบาท
การขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจไม่เกิน 4% ให้ขึ้นอยู่กับบอร์ดรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะพิจารณาว่าจะขึ้นระดับที่เท่าไหร่ โดยขอให้คำนึงถึงประสิทธิภาพและคุณภาพการทำงานเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนและกลายเป็นภาระแก่ประชาชน เช่น การขึ้นเงินเดือนพนักงานการไฟฟ้าที่จะทำให้มีค่าใช้จ่ายเงินเดือนเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องขึ้นค่าเอฟทีที่เก็บกับประชาชนตามไปด้วย นายโชติชัยกล่าว
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังตั้งข้อสังเกตว่าฐานเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจระดับล่าง-กลางค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับฐานเงินตลาดจ้างงานเอกชนในระดับเดียวกัน เพราะเงินเดือนรัฐวิสาหกิจบางแห่งใกล้เคียงกับเงินเดือนของเอกชนแล้ว
http://news.sanook.com/economic/economic_189498.php
โดย ข่าวสด วัน พุธ ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:17 น.
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ต.ค. มีมติเห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจขึ้นไม่เกิน 4% ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ โดยใช้งบประมาณของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป และมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปศึกษาโครงสร้างการกำหนดค่าจ้าง/ค่าตอบแทนต่างๆ ภาพรวมในระยะต่อไปให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังตั้งข้อสังเกตว่า ระหว่างปี 47-49 มีการขึ้นเงินเดือนสองครั้งรวมประมาณ 20% ซึ่งมากกว่าเมื่อเทียบกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการในช่วงเวลาเดียวกันรวมประมาณ 6% ทำให้มีความลักลั่นกันค่อนข้างมาก ขณะที่ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐวิสาหกิจกลับไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ขณะเดียวกันภาพรวมรัฐวิสาหกิจยังมีกำไรลดลงต่อเนื่องในปี 47-49 ลดลง 8.26%, 6.75% และ 7.08% ตามลำดับ เนื่องจากค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มขึ้น ทำให้ประสบปัญหาการเงิน ซึ่งการปรับขึ้นเงินเดือนครั้งนี้ทำให้รัฐวิสาหกิจ 56 แห่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นรวมกันทั้งสิ้น 3,639 ล้านบาท
การขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจไม่เกิน 4% ให้ขึ้นอยู่กับบอร์ดรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะพิจารณาว่าจะขึ้นระดับที่เท่าไหร่ โดยขอให้คำนึงถึงประสิทธิภาพและคุณภาพการทำงานเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนและกลายเป็นภาระแก่ประชาชน เช่น การขึ้นเงินเดือนพนักงานการไฟฟ้าที่จะทำให้มีค่าใช้จ่ายเงินเดือนเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องขึ้นค่าเอฟทีที่เก็บกับประชาชนตามไปด้วย นายโชติชัยกล่าว
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังตั้งข้อสังเกตว่าฐานเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจระดับล่าง-กลางค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับฐานเงินตลาดจ้างงานเอกชนในระดับเดียวกัน เพราะเงินเดือนรัฐวิสาหกิจบางแห่งใกล้เคียงกับเงินเดือนของเอกชนแล้ว
http://news.sanook.com/economic/economic_189498.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/10/07
โพสต์ที่ 308
16 หุ้นแจ็กพ็อตรถไฟฟ้า ก่อสร้าง-วัสดุ-ที่ดินมาแรง โดย กระแสหุ้น
16 หุ้นบจ. รับอานิสงส์รถไฟฟ้าสายสีม่วง แดง วานนี้ค.ร.ม.ไฟเขียวเพิ่ม ทำบางซื่อ บางใหญ่ กลุ่มก่อสร้าง แบงก์ อสังหาฯ ได้ดียกโขยง อสังหาฯจับตา PF PS คอนโดฯตามเส้นทางรถไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง ทาทาสตีล ปูนซีเมนส์ไทยเฮงสุด คมนาคมจ่อชงสายสีแดงระยะ 2 เข้าค.ร.ม.ปลายเดือนตุลาคม ส่วนวันนี้รัฐเปิดขายซองเส้นสีแดง เฟส 1 อิตัลไทย ยูนิค ลั่นชิงดำแน่
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ กิมเอ็งจำกัด กล่าวว่า การที่ค.ร.ม. อนุมัติรูปแบบลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ระยะทาง 23 กิโลเมตร ด้วยเงินลงทุน 59,997 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนในระบบรางและสถานีกว่า 31,000 ล้านบาท ออกมานั้น จะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มก่อสร้าง แบงก์ และ อสังหาริมทรัพย์ ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ทางตรง คือ กลุ่มผู้รับเหมาขนาดใหญ่ ที่จะเข้าร่วมประมูลงานในเดือน พ.ย.นี้ ทั้งบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK และ STEC โดยหุ้นที่เด่นที่สุดคือบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีค่าพีอีต่ำสุดในบรรดาบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่น่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปล่อยกู้ให้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เนื่องจากเป็นธนาคารของภาครัฐ ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนโครงการจากทางภาครัฐอยู่แล้ว
ด้านนักวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ธนาคารที่มีโอกาสปล่อยกู้ให้กับรถไฟฟ้าคือ ธนาคารกรุงไทยและธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB แต่ในส่วนของทหารไทยอาจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง โดยหากการเพิ่มทุนยังไม่เรียบร้อยก็อาจเป็นธนาคารแห่งอื่นที่ได้รับโอกาสไปแทน เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เป็นต้น
นายธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในส่วนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน สำหรับโครงการรถไฟฟ้าที่ยังเหลืออยู่อีกทั้งหมด รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้ที่ประชุม ค.ร.ม.อนุมัติกรอบการลงทุนรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 สาย คือสายสีแดง ระยะที่ 2 (บางซื่อ-รังสิต) โดยคมนาคมจะดำเนินการสรุปแผนและนำเข้าสู่การพิจารณาของ ค.ร.ม.ให้ได้ภายในปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON เปิดเผยกับว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) อนุมัติให้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริษัทได้เตรียมที่จะร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศเยอรมนี เข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีประสบการณ์ในการก่อสร้างรถไฟฟ้ามาแล้ว ประกอบกับมีฐานะเงินทุนที่แข็งแกร่งและมีบุคลากรที่มีศักยภาพอีกด้วย
นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ระบุว่า บริษัทจะซื้อซองประมูลสายสีแดง เพราะเตรียมพร้อมเข้าร่วมประมูลเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเข้าประมูลเองหรือต้องหาพันมิตรเข้าร่วมประมูล เพราะต้องรอดูเงื่อนไขการประมูลก่อนว่าเงื่อนไขได้กำหนดเอาไว้ยังไงบ้าง ทั้งนี้ UNIQ มีอุปกรณ์การก่อสร้างอย่างพร้อมเพรียงและยังมีบุคลากรที่มีความชำนาญงานรอบรับโครงการดังกล่าวแล้ว
นายชาติชาย ชุติมา รองประธานบริหารฝ่ายการเงิน ITD กล่าวว่า บริษัทซื้อซองประมูลสายสีแดงแน่ เตรียมพร้อมเกิน 100% ที่จะเข้าร่วมประมูลเส้นบางซื่อ-ตลิ่งชัน มูลค่า 8.75 พันล้านบาท และสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ มูลค่า 29,160 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ITD ได้มีการเตรียมการเข้าร่วมการประมูลโครงการมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมารัฐไม่มีความชัดเจนเรื่องการประมูลและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งมีแน้วโน้มที่จะเข้าประมูลเองโดยไม่จำเป็นต้องหาพันธมิตร
นายพงศ์พันธุ์กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้รับประโยชน์ในด้านของผู้พัฒนาที่ดินที่อยู่บริเวณรถไฟฟ้าหลายบริษัท แต่บริษัทที่โดดเด่นสุดในขณะนี้คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เนื่องจากยังมีราคาที่ยังต่ำอยู่
เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะได้รับผลจากวงจรเศรษฐกิจที่จะเติบโตขึ้นมา โดยมองว่าช่วงนี้ควรเก็บหุ้น บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เนื่องจากเป็นหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ รวมถึงธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK หรือ บริษัท ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)หรือ SCB
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัดกล่าวว่า บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF จะมีความโดดเด่นมากจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงบางซื่อ-บางใหญ่นี้
นอกจากนี้ PF ยังมีที่ดินที่อยู่ในบริเวณรถไฟฟ้าสายนี้ค่อนข้างมาก และเป็นที่ดินขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้น จะทำให้ PF สามารถสร้างสรรรูปแบบในการพัฒนาโครงการได้ง่ายขึ้นมากขึ้น เช่น การสร้างคอนโดมิเนียม แทนการสร้าง บ้านเดี่ยว หรือ ทาวน์เฮ้าส์
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่กำลังเปิดขายโครงการเกาะแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน อาทิ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI รวมไปถึง บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH
นายเทิดศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ITD เด่นมากมีประสบการณ์ที่สุด แต่บริษัทที่จะได้รับผลประโยชน์มากแม้จะไม่ได้เข้าประมูลคือ บริษัท ชีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เนื่องจากเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ ทำเสาเข็ม และในการดำเนินโครงการไม่ว่าบริษัทใดจะเป้นผู้ชนะประมูลก็ต้องมีการส่งงานเสาเข็มมาให้กับ SEAFCO เช่นกัน
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่รัฐบาลเปิดประมูลรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกสายหนึ่ง จะเป็นผลดีต่อบริษัท เนื่องจากในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าจะต้องใช้เสาเข็มเจาะค่อนข้างเยอะ
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้างนั้นอาจจะได้รับผลดีในเชิงจิตวิทยา จากการที่ ค.ร.ม. อนุมัติ ก่อสร้าง รถไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มเหล็กที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการก่อสร้างรถไฟฟ้า
ทั้งนี้แนะนำหุ้นพื้นฐานสำหรับกลุ่มก่อสร้าง บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH ซึ่งมีพื้นฐานการเงินที่แข็งแกร่งและมีเครือข่ายของบริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่ในอินเดีย รวมถึงมีลูกค้าโดยตลอดเวลา และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเช่นกัน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบเกี่ยวกับแนวทางการให้เอกชนเป็นผู้ร่วมดำเนินการสำหรับการบริการระบบเดินรถ PPP (Public Private Partnership) เนื่องจากเป็นรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการเดินรถไฟฟ้า รวมทั้งจะช่วยลดต้นทุนและลดการอุดหนุนจากภาครัฐ การดำเนินการของเอกชนจะมีความคล่องตัว ส่วนรายละเอียดมอบหมายให้ รฟม.ไปศึกษาเพิ่มเติม รวมทั้งระบบเชื่อมต่อรถไฟฟ้ากับเส้นทางอื่น โดยเฉพาะสายสีน้ำเงิน
นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่ามีการประกาศเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลการก่อสร้างภายในเดือนตุลาคมนี้ ทั้งจะสามารถกำหนดการยื่นซองประมูลประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาการก่อสร้างได้ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2551 ซึ่งในส่วนของเงินกู้คลังจะเป็นผู้พิจารณา
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังจะเดินหน้าเจรจากับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) ในการนำเงินมาก่อสร้างรถไฟฟ้า แต่หากว่าเจบิคไม่อนุมัติทางกระทรวงการคลังจะพิจารณาจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศต่อไป ซึ่งเรื่องงบประมาณที่จะนำมาก่อสร้างนั้นไม่มีปัญหา ส่วนกรณีการจ่ายค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือการเวนคืนที่ดิน ที่หลายฝ่ายมองว่ามีมูลค่าสูงถึง 9,300 ล้านบาทนั้นเป็นราคาที่เหมาะสมที่กรมธนารักษ์เป็นผู้ประเมินตามหลักเกณฑ์ของกรมทางหลวงกำหนดซึ่งเป็นราคาที่ประชาชนก็พอใจ
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ค.ร.ม.อนุมัติให้มีการก่อสร้างแล้ว คลังจะเดินหน้าโครงการทันที แต่แนวทางในการดำเนินงาน ร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนจะเป็นในส่วนใดบ้างนั้น ต้องพิจารณากันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
ด้านนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ยอมรับว่าในขณะนี้กระทรวงการคลังได้เจรจากับทางประเทศจีนเพื่อขอกู้เงินมาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงอยู่ ซึ่งจะกู้เป็นเงินสกุลดอลลาร์โดยทางประเทศจีนจะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ซึ่งมีระยะเวลาในการชำระหนี้ 15 ปี
โดยขณะนี้ทางสถานทูตจีนได้นำธนาคารเพี่อการส่งออกและนำเข้า(เอ็กซิมแบงก์)ของประเทศจีนมาหารือในการให้เงินกู้แก่ประเทศไทย สำหรับโครงก่อสร้างพื้นฐานต่างๆทั้งการขนส่งและโทรคมนาคม ในวงเงินรวม 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งวงเงินนนี้อาจใช้ลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ประมูลด้วยว่าเป็นรายใด โดยกระทรวงการคลังจะเสนอกรอบวงเงินดังกล่าวให้ค.ร.ม.พิจารณาภายในเดือนนี้
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
16 หุ้นบจ. รับอานิสงส์รถไฟฟ้าสายสีม่วง แดง วานนี้ค.ร.ม.ไฟเขียวเพิ่ม ทำบางซื่อ บางใหญ่ กลุ่มก่อสร้าง แบงก์ อสังหาฯ ได้ดียกโขยง อสังหาฯจับตา PF PS คอนโดฯตามเส้นทางรถไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง ทาทาสตีล ปูนซีเมนส์ไทยเฮงสุด คมนาคมจ่อชงสายสีแดงระยะ 2 เข้าค.ร.ม.ปลายเดือนตุลาคม ส่วนวันนี้รัฐเปิดขายซองเส้นสีแดง เฟส 1 อิตัลไทย ยูนิค ลั่นชิงดำแน่
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ กิมเอ็งจำกัด กล่าวว่า การที่ค.ร.ม. อนุมัติรูปแบบลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ระยะทาง 23 กิโลเมตร ด้วยเงินลงทุน 59,997 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนในระบบรางและสถานีกว่า 31,000 ล้านบาท ออกมานั้น จะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มก่อสร้าง แบงก์ และ อสังหาริมทรัพย์ ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ทางตรง คือ กลุ่มผู้รับเหมาขนาดใหญ่ ที่จะเข้าร่วมประมูลงานในเดือน พ.ย.นี้ ทั้งบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK และ STEC โดยหุ้นที่เด่นที่สุดคือบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีค่าพีอีต่ำสุดในบรรดาบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่น่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปล่อยกู้ให้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เนื่องจากเป็นธนาคารของภาครัฐ ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนโครงการจากทางภาครัฐอยู่แล้ว
ด้านนักวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ธนาคารที่มีโอกาสปล่อยกู้ให้กับรถไฟฟ้าคือ ธนาคารกรุงไทยและธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB แต่ในส่วนของทหารไทยอาจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง โดยหากการเพิ่มทุนยังไม่เรียบร้อยก็อาจเป็นธนาคารแห่งอื่นที่ได้รับโอกาสไปแทน เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เป็นต้น
นายธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในส่วนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน สำหรับโครงการรถไฟฟ้าที่ยังเหลืออยู่อีกทั้งหมด รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้ที่ประชุม ค.ร.ม.อนุมัติกรอบการลงทุนรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 สาย คือสายสีแดง ระยะที่ 2 (บางซื่อ-รังสิต) โดยคมนาคมจะดำเนินการสรุปแผนและนำเข้าสู่การพิจารณาของ ค.ร.ม.ให้ได้ภายในปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON เปิดเผยกับว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) อนุมัติให้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริษัทได้เตรียมที่จะร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศเยอรมนี เข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีประสบการณ์ในการก่อสร้างรถไฟฟ้ามาแล้ว ประกอบกับมีฐานะเงินทุนที่แข็งแกร่งและมีบุคลากรที่มีศักยภาพอีกด้วย
นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ระบุว่า บริษัทจะซื้อซองประมูลสายสีแดง เพราะเตรียมพร้อมเข้าร่วมประมูลเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเข้าประมูลเองหรือต้องหาพันมิตรเข้าร่วมประมูล เพราะต้องรอดูเงื่อนไขการประมูลก่อนว่าเงื่อนไขได้กำหนดเอาไว้ยังไงบ้าง ทั้งนี้ UNIQ มีอุปกรณ์การก่อสร้างอย่างพร้อมเพรียงและยังมีบุคลากรที่มีความชำนาญงานรอบรับโครงการดังกล่าวแล้ว
นายชาติชาย ชุติมา รองประธานบริหารฝ่ายการเงิน ITD กล่าวว่า บริษัทซื้อซองประมูลสายสีแดงแน่ เตรียมพร้อมเกิน 100% ที่จะเข้าร่วมประมูลเส้นบางซื่อ-ตลิ่งชัน มูลค่า 8.75 พันล้านบาท และสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ มูลค่า 29,160 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ITD ได้มีการเตรียมการเข้าร่วมการประมูลโครงการมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมารัฐไม่มีความชัดเจนเรื่องการประมูลและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งมีแน้วโน้มที่จะเข้าประมูลเองโดยไม่จำเป็นต้องหาพันธมิตร
นายพงศ์พันธุ์กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้รับประโยชน์ในด้านของผู้พัฒนาที่ดินที่อยู่บริเวณรถไฟฟ้าหลายบริษัท แต่บริษัทที่โดดเด่นสุดในขณะนี้คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เนื่องจากยังมีราคาที่ยังต่ำอยู่
เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะได้รับผลจากวงจรเศรษฐกิจที่จะเติบโตขึ้นมา โดยมองว่าช่วงนี้ควรเก็บหุ้น บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เนื่องจากเป็นหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ รวมถึงธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK หรือ บริษัท ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)หรือ SCB
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัดกล่าวว่า บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF จะมีความโดดเด่นมากจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงบางซื่อ-บางใหญ่นี้
นอกจากนี้ PF ยังมีที่ดินที่อยู่ในบริเวณรถไฟฟ้าสายนี้ค่อนข้างมาก และเป็นที่ดินขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้น จะทำให้ PF สามารถสร้างสรรรูปแบบในการพัฒนาโครงการได้ง่ายขึ้นมากขึ้น เช่น การสร้างคอนโดมิเนียม แทนการสร้าง บ้านเดี่ยว หรือ ทาวน์เฮ้าส์
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่กำลังเปิดขายโครงการเกาะแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน อาทิ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI รวมไปถึง บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH
นายเทิดศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ITD เด่นมากมีประสบการณ์ที่สุด แต่บริษัทที่จะได้รับผลประโยชน์มากแม้จะไม่ได้เข้าประมูลคือ บริษัท ชีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เนื่องจากเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ ทำเสาเข็ม และในการดำเนินโครงการไม่ว่าบริษัทใดจะเป้นผู้ชนะประมูลก็ต้องมีการส่งงานเสาเข็มมาให้กับ SEAFCO เช่นกัน
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่รัฐบาลเปิดประมูลรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกสายหนึ่ง จะเป็นผลดีต่อบริษัท เนื่องจากในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าจะต้องใช้เสาเข็มเจาะค่อนข้างเยอะ
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้างนั้นอาจจะได้รับผลดีในเชิงจิตวิทยา จากการที่ ค.ร.ม. อนุมัติ ก่อสร้าง รถไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มเหล็กที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการก่อสร้างรถไฟฟ้า
ทั้งนี้แนะนำหุ้นพื้นฐานสำหรับกลุ่มก่อสร้าง บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH ซึ่งมีพื้นฐานการเงินที่แข็งแกร่งและมีเครือข่ายของบริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่ในอินเดีย รวมถึงมีลูกค้าโดยตลอดเวลา และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเช่นกัน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบเกี่ยวกับแนวทางการให้เอกชนเป็นผู้ร่วมดำเนินการสำหรับการบริการระบบเดินรถ PPP (Public Private Partnership) เนื่องจากเป็นรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการเดินรถไฟฟ้า รวมทั้งจะช่วยลดต้นทุนและลดการอุดหนุนจากภาครัฐ การดำเนินการของเอกชนจะมีความคล่องตัว ส่วนรายละเอียดมอบหมายให้ รฟม.ไปศึกษาเพิ่มเติม รวมทั้งระบบเชื่อมต่อรถไฟฟ้ากับเส้นทางอื่น โดยเฉพาะสายสีน้ำเงิน
นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่ามีการประกาศเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลการก่อสร้างภายในเดือนตุลาคมนี้ ทั้งจะสามารถกำหนดการยื่นซองประมูลประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาการก่อสร้างได้ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2551 ซึ่งในส่วนของเงินกู้คลังจะเป็นผู้พิจารณา
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังจะเดินหน้าเจรจากับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) ในการนำเงินมาก่อสร้างรถไฟฟ้า แต่หากว่าเจบิคไม่อนุมัติทางกระทรวงการคลังจะพิจารณาจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศต่อไป ซึ่งเรื่องงบประมาณที่จะนำมาก่อสร้างนั้นไม่มีปัญหา ส่วนกรณีการจ่ายค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือการเวนคืนที่ดิน ที่หลายฝ่ายมองว่ามีมูลค่าสูงถึง 9,300 ล้านบาทนั้นเป็นราคาที่เหมาะสมที่กรมธนารักษ์เป็นผู้ประเมินตามหลักเกณฑ์ของกรมทางหลวงกำหนดซึ่งเป็นราคาที่ประชาชนก็พอใจ
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ค.ร.ม.อนุมัติให้มีการก่อสร้างแล้ว คลังจะเดินหน้าโครงการทันที แต่แนวทางในการดำเนินงาน ร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนจะเป็นในส่วนใดบ้างนั้น ต้องพิจารณากันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
ด้านนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ยอมรับว่าในขณะนี้กระทรวงการคลังได้เจรจากับทางประเทศจีนเพื่อขอกู้เงินมาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงอยู่ ซึ่งจะกู้เป็นเงินสกุลดอลลาร์โดยทางประเทศจีนจะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ซึ่งมีระยะเวลาในการชำระหนี้ 15 ปี
โดยขณะนี้ทางสถานทูตจีนได้นำธนาคารเพี่อการส่งออกและนำเข้า(เอ็กซิมแบงก์)ของประเทศจีนมาหารือในการให้เงินกู้แก่ประเทศไทย สำหรับโครงก่อสร้างพื้นฐานต่างๆทั้งการขนส่งและโทรคมนาคม ในวงเงินรวม 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งวงเงินนนี้อาจใช้ลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ประมูลด้วยว่าเป็นรายใด โดยกระทรวงการคลังจะเสนอกรอบวงเงินดังกล่าวให้ค.ร.ม.พิจารณาภายในเดือนนี้
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/10/07
โพสต์ที่ 309
เหตุการณ์ประท้วงในพม่า ผลกระทบต่อธุรกิจไทยในพม่า
3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 10:22:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การประท้วงของพระสงฆ์และประชาชนชาวพม่าที่เกิดขึ้นหลังจากทางการพม่าประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในวันที่ 15 ส.ค.2550 จนทางการพม่าประกาศเคอร์ฟิวในกรุงย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ ในวันที่ 25 ก.ย.2550 เป็นเวลา 60 วัน เหตุการณ์ประท้วงครั้งนี้ส่งผลให้มีพระสงฆ์และประชาชนพม่าเสียชีวิต คาดว่าหากเหตุการณ์ความไม่สงบในพม่าครั้งนี้ยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในพม่าในด้านภาคการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอการเดินทางท่องเที่ยวเข้าไปในพม่า นอกจากนี้ ธุรกิจในภาคการผลิตของไทยที่ผลิตสินค้าในพม่าเพื่อส่งออก อาจได้รับผลกระทบจากการถูกมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติเพิ่มเติม ทั้งนี้ ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในพม่าหลายสาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต (ที่สำคัญ ได้แก่ โรงงานน้ำตาล ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า และไม้แปรรูป) โรงแรมและท่องเที่ยว ประมง เหมืองแร่ การขนส่ง การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเกษตรกรรม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าหากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่าในครั้งนี้ยืดเยื้อต่อเนื่อง พม่าอาจจะถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในพม่า ดังนี้
ธุรกิจโรงแรม-ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจชะลอการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่า เนื่องจากความไม่แน่ใจในความปลอดภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมและบริษัทนำเที่ยวของไทยที่ดำเนินธุรกิจในพม่า การลงทุนของนักลงทุนไทยในโครงการด้านโรงแรมและท่องเที่ยวในพม่ามีมูลค่ารวมราว 228.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2531 ที่พม่าเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน คิดเป็นสัดส่วนราว 3.1% ของมูลค่าโครงการลงทุนต่างชาติทั้งหมดในพม่าที่ได้รับอนุมัติการลงทุนจากทางการพม่าในช่วงเดียวกัน ปัจจุบันธุรกิจด้านโรงแรมและท่องเที่ยวของไทยเข้าไปลงทุนในพม่าทั้งในลักษณะจัดตั้งบริษัทโดยถือหุ้นเอง 100% และเข้าไปร่วมลงทุนกับนักลงทุนชาวพม่า ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่าจำนวนเฉลี่ยปีละราว 650,000 คน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2547-2549)
ธุรกิจผลิตสินค้า ธุรกิจไทยที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตสินค้าในพม่าเพื่อส่งออกอาจเสี่ยงต่อการถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากนานาชาติ ซึ่งอาจออกมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าต่างๆ จากพม่า ซึ่งปัจจุบันนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนผลิตสินค้าในพม่าทั้งสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง น้ำตาล ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า และไม้แปรรูป นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในพม่าในอุตสาหกรรมการผลิตมีมูลค่าโครงการสะสมทั้งสิ้น 614.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2531 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2550 คิดเป็นสัดส่วน 8.3% ของมูลค่าโครงการลงทุนสะสมทั้งหมดของไทยในช่วงเดียวกัน ส่วนโครงการลงทุนด้านประมงในช่วงเดียวกันมีมูลค่ารวม 171 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการด้านเกษตรกรรมมีมูลค่ารวม 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกของพม่าถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ ในปี 2546 จากปัญหาสิทธิมนุษยชนในพม่า หลังจากที่สหรัฐฯ ที่ออกกฎหมาย The Burmese Freedom and Democracy Act ในปี 2546 ห้ามบริษัทสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าทุกชนิดจากพม่า ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมของพม่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของพม่าหดตัวลง จากก่อนหน้านี้ที่เคยขยายตัวได้ดี โดยส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของการส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอทั้งหมดของพม่า ในช่วงก่อนปี 2546
สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าของไทยในพม่าที่มีมูลค่า 6,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้รับอนุมัติการลงทุนจากทางการพม่าในเดือนมีนาคม 2549 คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นโครงการลงทุนระยะยาว โดยเป็นการก่อสร้างเขื่อนท่าสางกั้นแม่น้ำสาละวินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 6 ปี การลงทุนของไทยในโครงการก่อสร้างเขื่อนดังกล่าวทำให้มูลค่าการลงทุนของไทยสะสมในพม่าตั้งแต่ปี 2531 ที่พม่าเปิดรับเงินลงทุนจากต่างประเทศจนถึงปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็น 7,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในพม่ามากเป็นอันดับ 1 ในบรรดาประเทศทั้งหมดที่เข้าไปลงทุนในพม่า และเป็นอันดับ 1 ในบรรดาประเทศอาเซียน รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
สำหรับการค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่า หากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่าจากเหตุการณ์การประท้วงครั้งนี้ไม่รุนแรงมากขึ้นจนทางการพม่าต้องสั่งปิดด่านชายแดน โดยเฉพาะด่านการค้าชายแดนไทย-พม่า ที่สำคัญ ได้แก่ ด่านท่าขี้เหล็กตรงข้ามอำเภอแม่สาย ด่านเมียวดีตรงข้ามอำเภอแม่สอด และด่านเกาะสองตรงข้ามจังหวัดระนอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดจะส่งผลให้การค้าชายแดนไทย-พม่าซบเซาลงในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่งออก-นำเข้าชะลอการค้าขายเพื่อรอดูสถานการณ์ในพม่า โดยการค้าชายแดนไทย-พม่าทั้งปี 2550 คาดว่าจะมีมูลค่ารวมราว 109,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากมูลค่า 104,000 ล้านบาทในปี 2549 เนื่องจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติของไทยจากพม่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2550 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกเหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติกของไทยไปพม่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่หากสถานการณ์ดังกล่าวในพม่ารุนแรงมากขึ้น และพม่าสั่งปิดด่านชายแดนไทย-พม่าอาจส่งผลให้การค้าชายแดนไทย-พม่าในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ซบเซาลง จากปัจจุบันที่มูลค่าการค้าชายแดนไทย-พม่า (ส่งออก+นำเข้า) มีมูลค่าเดือนละราว 9,000 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปพม่าราว 1,650 ล้านบาท และนำเข้าจากพม่าทางชายแดนราว 7,500 ล้านบาท
สำหรับการค้าชายแดนไทย-พม่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2550 ไทยส่งออกไปพม่ามูลค่า 14,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 และการนำเข้าของไทยจากพม่ามีมูลค่า 47,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าชายแดนกับพม่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มูลค่า 32,937 ล้านบาท โดยไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่ามากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึงราว 90% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากพม่า
ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/0 ... sid=188432
3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 10:22:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การประท้วงของพระสงฆ์และประชาชนชาวพม่าที่เกิดขึ้นหลังจากทางการพม่าประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในวันที่ 15 ส.ค.2550 จนทางการพม่าประกาศเคอร์ฟิวในกรุงย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ ในวันที่ 25 ก.ย.2550 เป็นเวลา 60 วัน เหตุการณ์ประท้วงครั้งนี้ส่งผลให้มีพระสงฆ์และประชาชนพม่าเสียชีวิต คาดว่าหากเหตุการณ์ความไม่สงบในพม่าครั้งนี้ยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในพม่าในด้านภาคการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอการเดินทางท่องเที่ยวเข้าไปในพม่า นอกจากนี้ ธุรกิจในภาคการผลิตของไทยที่ผลิตสินค้าในพม่าเพื่อส่งออก อาจได้รับผลกระทบจากการถูกมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติเพิ่มเติม ทั้งนี้ ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในพม่าหลายสาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต (ที่สำคัญ ได้แก่ โรงงานน้ำตาล ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า และไม้แปรรูป) โรงแรมและท่องเที่ยว ประมง เหมืองแร่ การขนส่ง การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเกษตรกรรม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าหากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่าในครั้งนี้ยืดเยื้อต่อเนื่อง พม่าอาจจะถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในพม่า ดังนี้
ธุรกิจโรงแรม-ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจชะลอการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่า เนื่องจากความไม่แน่ใจในความปลอดภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมและบริษัทนำเที่ยวของไทยที่ดำเนินธุรกิจในพม่า การลงทุนของนักลงทุนไทยในโครงการด้านโรงแรมและท่องเที่ยวในพม่ามีมูลค่ารวมราว 228.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2531 ที่พม่าเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน คิดเป็นสัดส่วนราว 3.1% ของมูลค่าโครงการลงทุนต่างชาติทั้งหมดในพม่าที่ได้รับอนุมัติการลงทุนจากทางการพม่าในช่วงเดียวกัน ปัจจุบันธุรกิจด้านโรงแรมและท่องเที่ยวของไทยเข้าไปลงทุนในพม่าทั้งในลักษณะจัดตั้งบริษัทโดยถือหุ้นเอง 100% และเข้าไปร่วมลงทุนกับนักลงทุนชาวพม่า ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่าจำนวนเฉลี่ยปีละราว 650,000 คน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2547-2549)
ธุรกิจผลิตสินค้า ธุรกิจไทยที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตสินค้าในพม่าเพื่อส่งออกอาจเสี่ยงต่อการถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากนานาชาติ ซึ่งอาจออกมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าต่างๆ จากพม่า ซึ่งปัจจุบันนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนผลิตสินค้าในพม่าทั้งสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง น้ำตาล ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า และไม้แปรรูป นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในพม่าในอุตสาหกรรมการผลิตมีมูลค่าโครงการสะสมทั้งสิ้น 614.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2531 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2550 คิดเป็นสัดส่วน 8.3% ของมูลค่าโครงการลงทุนสะสมทั้งหมดของไทยในช่วงเดียวกัน ส่วนโครงการลงทุนด้านประมงในช่วงเดียวกันมีมูลค่ารวม 171 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการด้านเกษตรกรรมมีมูลค่ารวม 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกของพม่าถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ ในปี 2546 จากปัญหาสิทธิมนุษยชนในพม่า หลังจากที่สหรัฐฯ ที่ออกกฎหมาย The Burmese Freedom and Democracy Act ในปี 2546 ห้ามบริษัทสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าทุกชนิดจากพม่า ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมของพม่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของพม่าหดตัวลง จากก่อนหน้านี้ที่เคยขยายตัวได้ดี โดยส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของการส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอทั้งหมดของพม่า ในช่วงก่อนปี 2546
สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าของไทยในพม่าที่มีมูลค่า 6,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้รับอนุมัติการลงทุนจากทางการพม่าในเดือนมีนาคม 2549 คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นโครงการลงทุนระยะยาว โดยเป็นการก่อสร้างเขื่อนท่าสางกั้นแม่น้ำสาละวินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 6 ปี การลงทุนของไทยในโครงการก่อสร้างเขื่อนดังกล่าวทำให้มูลค่าการลงทุนของไทยสะสมในพม่าตั้งแต่ปี 2531 ที่พม่าเปิดรับเงินลงทุนจากต่างประเทศจนถึงปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็น 7,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในพม่ามากเป็นอันดับ 1 ในบรรดาประเทศทั้งหมดที่เข้าไปลงทุนในพม่า และเป็นอันดับ 1 ในบรรดาประเทศอาเซียน รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
สำหรับการค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่า หากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่าจากเหตุการณ์การประท้วงครั้งนี้ไม่รุนแรงมากขึ้นจนทางการพม่าต้องสั่งปิดด่านชายแดน โดยเฉพาะด่านการค้าชายแดนไทย-พม่า ที่สำคัญ ได้แก่ ด่านท่าขี้เหล็กตรงข้ามอำเภอแม่สาย ด่านเมียวดีตรงข้ามอำเภอแม่สอด และด่านเกาะสองตรงข้ามจังหวัดระนอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดจะส่งผลให้การค้าชายแดนไทย-พม่าซบเซาลงในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่งออก-นำเข้าชะลอการค้าขายเพื่อรอดูสถานการณ์ในพม่า โดยการค้าชายแดนไทย-พม่าทั้งปี 2550 คาดว่าจะมีมูลค่ารวมราว 109,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากมูลค่า 104,000 ล้านบาทในปี 2549 เนื่องจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติของไทยจากพม่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2550 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกเหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติกของไทยไปพม่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่หากสถานการณ์ดังกล่าวในพม่ารุนแรงมากขึ้น และพม่าสั่งปิดด่านชายแดนไทย-พม่าอาจส่งผลให้การค้าชายแดนไทย-พม่าในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ซบเซาลง จากปัจจุบันที่มูลค่าการค้าชายแดนไทย-พม่า (ส่งออก+นำเข้า) มีมูลค่าเดือนละราว 9,000 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปพม่าราว 1,650 ล้านบาท และนำเข้าจากพม่าทางชายแดนราว 7,500 ล้านบาท
สำหรับการค้าชายแดนไทย-พม่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2550 ไทยส่งออกไปพม่ามูลค่า 14,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 และการนำเข้าของไทยจากพม่ามีมูลค่า 47,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าชายแดนกับพม่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มูลค่า 32,937 ล้านบาท โดยไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่ามากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึงราว 90% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากพม่า
ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/0 ... sid=188432
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/10/07
โพสต์ที่ 310
นักวิเคราะห์คงเป้า 871 จุด- พลังงาน-แบงก์-อสังหาฯน่าลงทุน โดย กระแสหุ้น
สมาคมนักวิเคราะห์คงเป้าดัชนีปีนี้ที่ 871 จุด แต่เตรียมประเมินใหม่พ.ย.นี้ หลังสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป แนะลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ เหตุพื้นฐานแข็งแกร่ง รับผลดีราคาน้ำมันพุ่ง ดอกเบี้ยลด ภาระสำรองลดลง เชื่อ กนง.ลดอาร์พีอีก 0.25% ส่วนเฟดลงอีก 0.5% สยบปัญหาซับไพร์ม
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมยังคงประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ระดับ 871 จุด ส่วนจะมีการพิจารณาปรับเป้าดัชนีใหม่หรือไม่นั้นสมาคมจะทำการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์อีกครั้งในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งน่าจะมีการสอบถามความเห็นทั้งในเรื่องสถานการณ์การเมืองรวมทั้งภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย
ถึงแม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยจะคึกคัก แต่ทางสมาคมนักวิเคราะห์ก็ยังคงเป้าดัชนีปีนี้ไว้ที่ 871 จุด เพราะคงจะต้องรอดูสถานการณ์การเมืองก่อนเลือกตั้งก่อนว่าจะเป็นอย่างไร จึงจะมีการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์แล้วจะพิจารณาอีกทีว่าจะปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหรือไม่ นายสมบัติกล่าว
สำหรับสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคักในช่วงนี้ เป็นเพราะนักลงทุนเข้ามาเล่นเก็งกำไร เพื่อรับข่าวดีก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้ ซึ่งทำให้มูลค่าซื้อขาย (วอลุ่ม) เฉลี่ยต่อวันเข้ามาอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ตามต้องจับตาปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากไม่มีความรุนแรงมากกว่าช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่น่ากังวลว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า หลักทรัพย์ที่มีความน่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง รวมทั้งยังให้ผลตอบแทนในระดับที่ดีอีกด้วย
หุ้นพลังงานที่ผ่านมาก็ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับสูง ส่วนแบงก์หลายแห่งก็มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ไปหมดแล้ว จึงน่าจะทำให้ผลประกอบการออกมาดีและน่าลงทุน ส่วนกลุ่มที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง นายสมบัติ กล่าว
ทั้งนี้ สมาคมคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (R/P1 วัน) ลงอีก 0.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกันยายน 50 ไม่ได้สูงมากนัก ส่วนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ในการประชุมครั้งหน้า เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สมาคมนักวิเคราะห์คาดการณ์ด้วยว่าดัชนีหุ้นไทยในปีหน้ามีโอกาสไปถึงระดับ 1033 จุด เนื่องจากปัจจัยลบด้านการเมืองในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาหมดไป และที่ระดับดัชนีดังกล่าวได้รวมผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มไปแล้ว
นอกจากคาดว่าในปี 51 จะเป็นปีที่อัตราผลกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 12-15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3% เนื่องจากในปีนี้กำไร บจ.ได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารซึ่งจะสะท้อนเป็นผลบวกไปยังปีถัดไป อีกทั้งในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ก็จะยังได้รับผลบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
สมาคมนักวิเคราะห์คงเป้าดัชนีปีนี้ที่ 871 จุด แต่เตรียมประเมินใหม่พ.ย.นี้ หลังสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป แนะลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ เหตุพื้นฐานแข็งแกร่ง รับผลดีราคาน้ำมันพุ่ง ดอกเบี้ยลด ภาระสำรองลดลง เชื่อ กนง.ลดอาร์พีอีก 0.25% ส่วนเฟดลงอีก 0.5% สยบปัญหาซับไพร์ม
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมยังคงประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ระดับ 871 จุด ส่วนจะมีการพิจารณาปรับเป้าดัชนีใหม่หรือไม่นั้นสมาคมจะทำการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์อีกครั้งในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งน่าจะมีการสอบถามความเห็นทั้งในเรื่องสถานการณ์การเมืองรวมทั้งภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย
ถึงแม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยจะคึกคัก แต่ทางสมาคมนักวิเคราะห์ก็ยังคงเป้าดัชนีปีนี้ไว้ที่ 871 จุด เพราะคงจะต้องรอดูสถานการณ์การเมืองก่อนเลือกตั้งก่อนว่าจะเป็นอย่างไร จึงจะมีการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์แล้วจะพิจารณาอีกทีว่าจะปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหรือไม่ นายสมบัติกล่าว
สำหรับสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคักในช่วงนี้ เป็นเพราะนักลงทุนเข้ามาเล่นเก็งกำไร เพื่อรับข่าวดีก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้ ซึ่งทำให้มูลค่าซื้อขาย (วอลุ่ม) เฉลี่ยต่อวันเข้ามาอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ตามต้องจับตาปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากไม่มีความรุนแรงมากกว่าช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่น่ากังวลว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า หลักทรัพย์ที่มีความน่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง รวมทั้งยังให้ผลตอบแทนในระดับที่ดีอีกด้วย
หุ้นพลังงานที่ผ่านมาก็ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับสูง ส่วนแบงก์หลายแห่งก็มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ไปหมดแล้ว จึงน่าจะทำให้ผลประกอบการออกมาดีและน่าลงทุน ส่วนกลุ่มที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง นายสมบัติ กล่าว
ทั้งนี้ สมาคมคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (R/P1 วัน) ลงอีก 0.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกันยายน 50 ไม่ได้สูงมากนัก ส่วนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ในการประชุมครั้งหน้า เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สมาคมนักวิเคราะห์คาดการณ์ด้วยว่าดัชนีหุ้นไทยในปีหน้ามีโอกาสไปถึงระดับ 1033 จุด เนื่องจากปัจจัยลบด้านการเมืองในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาหมดไป และที่ระดับดัชนีดังกล่าวได้รวมผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มไปแล้ว
นอกจากคาดว่าในปี 51 จะเป็นปีที่อัตราผลกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 12-15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3% เนื่องจากในปีนี้กำไร บจ.ได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารซึ่งจะสะท้อนเป็นผลบวกไปยังปีถัดไป อีกทั้งในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ก็จะยังได้รับผลบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/10/07
โพสต์ที่ 311
ธปท.ผวา!อีก40ปีประกันสังคมเจ๊ง
โดย ข่าวสด วัน ศุกร์ ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:17 น.
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารส่วน ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนา ทางรอดของระบบประกันสังคมของไทย:แนวทางปฏิบัติสู่ความยั่งยืน ว่า ปัจจุบันไทยมีผู้เข้าสู่วัยเกษียณอายุ 5.7 ล้านคน คิดเป็น 9.4% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอีก 13 ปีข้างหน้าเป็น 9.5 ล้านคน สอดคล้องกับการคาดการณ์ของสหประชาชาติที่ระบุว่าในปี 2593 จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน คิดเป็น 28% ขณะที่ผู้สูงอายุของไทยที่มีอายุมากกว่า 80 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.7 ล้านคน จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.8 ล้านคน ขณะเดียวกันมีความกังวลว่าแนวโน้มสัดส่วนความเสี่ยงที่ผู้สูงอายุจะประสบปัญหาความยากจนจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ จากปัจจุบันกองทุนประกันสังคมมีเงินกองทุนมากกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ในอีก 40-50 ปีข้างหน้ากองทุนดังกล่าวจะมีเงินไม่เพียงพอต่อการจ่ายสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับสมาชิก หากสำนักงานประกันสังคมไม่มีการเตรียมการที่จะรองรับปัญหาไว้
ปัญหาผู้สูงอายุเป็นภาระและความเสี่ยงด้านการคลัง จึงต้องมีแนวทางการแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยในระยะสั้นควรขยายฐานสมาชิกไปสู่คนนอกระบบเช่น ภาคเกษตรให้มากขึ้น ทำให้กองทุนมีเงินเก็บสะสมเพียงพอ ส่วนระยะปานกลาง ควรขยายเวลาคนเกษียณอายุให้มีช่วงหารายได้นานขึ้นเป็น 65 ปี จาก 60 ปี และในระยะยาวควรจัดทำบัญชีการออมของผู้สูงอายุเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเริ่มการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดาเป็น 5% และ 6% ให้มีบทบาทช่วยแก้ปัญหา ดีกว่าปล่อยให้ล่วงเลยไปถึง 40 ปี และต้องคิดภาษีสูงถึงอัตรา 19% ซึ่งเราต้องเริ่มทำให้ได้ภายใน 6 ปี ก่อนจะถึงเวลาจ่ายผลตอบแทนแก่กองทุนชราภาพ 3 แสนล้านบาท คิดเป็น 4-5% ใกล้เคียงกับกองทุนระบบ 4.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.31% นายกอบศักดิ์ กล่าว
http://news.sanook.com/economic/economic_190435.php
โดย ข่าวสด วัน ศุกร์ ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:17 น.
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารส่วน ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนา ทางรอดของระบบประกันสังคมของไทย:แนวทางปฏิบัติสู่ความยั่งยืน ว่า ปัจจุบันไทยมีผู้เข้าสู่วัยเกษียณอายุ 5.7 ล้านคน คิดเป็น 9.4% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอีก 13 ปีข้างหน้าเป็น 9.5 ล้านคน สอดคล้องกับการคาดการณ์ของสหประชาชาติที่ระบุว่าในปี 2593 จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน คิดเป็น 28% ขณะที่ผู้สูงอายุของไทยที่มีอายุมากกว่า 80 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.7 ล้านคน จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.8 ล้านคน ขณะเดียวกันมีความกังวลว่าแนวโน้มสัดส่วนความเสี่ยงที่ผู้สูงอายุจะประสบปัญหาความยากจนจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ จากปัจจุบันกองทุนประกันสังคมมีเงินกองทุนมากกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ในอีก 40-50 ปีข้างหน้ากองทุนดังกล่าวจะมีเงินไม่เพียงพอต่อการจ่ายสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับสมาชิก หากสำนักงานประกันสังคมไม่มีการเตรียมการที่จะรองรับปัญหาไว้
ปัญหาผู้สูงอายุเป็นภาระและความเสี่ยงด้านการคลัง จึงต้องมีแนวทางการแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยในระยะสั้นควรขยายฐานสมาชิกไปสู่คนนอกระบบเช่น ภาคเกษตรให้มากขึ้น ทำให้กองทุนมีเงินเก็บสะสมเพียงพอ ส่วนระยะปานกลาง ควรขยายเวลาคนเกษียณอายุให้มีช่วงหารายได้นานขึ้นเป็น 65 ปี จาก 60 ปี และในระยะยาวควรจัดทำบัญชีการออมของผู้สูงอายุเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเริ่มการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดาเป็น 5% และ 6% ให้มีบทบาทช่วยแก้ปัญหา ดีกว่าปล่อยให้ล่วงเลยไปถึง 40 ปี และต้องคิดภาษีสูงถึงอัตรา 19% ซึ่งเราต้องเริ่มทำให้ได้ภายใน 6 ปี ก่อนจะถึงเวลาจ่ายผลตอบแทนแก่กองทุนชราภาพ 3 แสนล้านบาท คิดเป็น 4-5% ใกล้เคียงกับกองทุนระบบ 4.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.31% นายกอบศักดิ์ กล่าว
http://news.sanook.com/economic/economic_190435.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/10/07
โพสต์ที่ 312
กองทุนฝันหุ้นทะลุ 1,700 จุดการเมืองจบดันดัชนีทำนิวไฮ โดย กระแสหุ้น
บลจ.แมนูไลฟ์เชื่อตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทะลุ 1,700 จุดภายใน 2 ปี ทุบสถิติสูงสุด เหตุปัจจัยลบการเมืองคลี่คลาย พื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งให้ผลตอบแทนสูง สวนทางราคาหุ้นที่ยังไม่ถึงจุดพีคเหมือนตลาดเพื่อบ้าน ชี้ลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจกว่าตราสารอื่น เพราะได้ยีลด์สูงกว่า
นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในระยะยาวดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นสูงเกิน 1,700 จุดเหมือนกับที่ดัชนีตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านได้ทำจุดสูงสุดไปแล้วเกือบทุกที่ ขณะที่ประเทศไทยยังถูกกดดันด้วยปัจจัยลบด้านการเมืองในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ประเมินว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนในระดับสูงได้ จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง โดยมีแนวโน้มพลิกกลับเป็นบวกอย่างชัดเจนในช่วง 2 ปีนับจากนี้ หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นและมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
ตลาดทั่วโลกทำ New High หมดแล้ว ซึ่งจุดสูงสุดของดัชนีฯไทยเมื่อปี 93 คือ 1,700 จุด ดังนั้น จาก ณ จุดนี้ เรายังมีรูมอีกมาก ถ้าปัญหาภายในจบ ก็เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะ New High บ้าง แต่ช่วงเวลาคงไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้ นายสุขวัฒน์ กล่าว
นายสุขวัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งในปลายปีนี้คาดว่าจะมีการออกกองทุนประเภทลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อีก 1 กองหลังจากที่เพิ่งเปิดตัวกองทุนแมนูไลฟ์ อิเมอร์จิ้ง อิสเทอร์น ยุโรป (คลาสเอ) ไปแล้ว ทั้งนี้ กองทุนที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นหรือ หน่วยลงทุนของประเทศที่มีศักยภาพการขยายตัวสูง และแม้ว่าจะมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวลดลง แต่เชื่อว่ายังมีหลายบริษัทที่มีความสามารถทำผลกำไรได้ดีอยู่อีกมาก
สำหรับการลงทุนในประเทศปัจจุบันการลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจมากกว่าในตราสารประเภทอื่น เช่น พันธบัตร เนื่องจากอัตราผลตอบแทนต่อปีต่ำเกินไปประมาณ 2-3% เท่านั้น ส่วนการลงทุนผ่าน FIF ถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีเงินและพร้อมจะลงทุนในระยะยาว โดยมองว่าภาพรวม FIF ที่เน้นประเทศแถบในเอเชีย และยุโรปตะวันออกยังมีความโดดเด่นจากทั่วโลก
ด้านนายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิเมอร์จิ้ง อิสเทอร์น ยุโรป เอฟไอเอฟนี้ นับเป็นกองทุนที่ 5 ของปี หรือนับตั้งแต่บริษัทเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยนโยบายลงทุนในกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนและซื้อขายของภูมิภาคยุโรปตอนกลางและตะวันออกในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศรัสเซีย โปแลนด์ ตรุกี ฮังการีและสาธารณรัฐเชค
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวไม่มีระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ มีมูลค่าที่ 1,700 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นเชื่อว่าจะค่อยๆได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสูงขึ้นเป็นลำดับ จึงแนะนะให้ผู้ที่สนใจซื้อหน่วยลงทุนนี้ควรลงทุนระยะยาวประมาณ 2 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนระยะสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาของบริษัทพบว่ากองทุนที่ลงทุนในยุโรปกองนี้เป็นกองทุนที่มีผลประกอบการดีมีผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีสูงถึงร้อยละ 422.78 เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่อยู่ร้อยละ 299.53 จึงถือว่ามีความสนใจน่าลงทุน
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
บลจ.แมนูไลฟ์เชื่อตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทะลุ 1,700 จุดภายใน 2 ปี ทุบสถิติสูงสุด เหตุปัจจัยลบการเมืองคลี่คลาย พื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งให้ผลตอบแทนสูง สวนทางราคาหุ้นที่ยังไม่ถึงจุดพีคเหมือนตลาดเพื่อบ้าน ชี้ลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจกว่าตราสารอื่น เพราะได้ยีลด์สูงกว่า
นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในระยะยาวดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นสูงเกิน 1,700 จุดเหมือนกับที่ดัชนีตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านได้ทำจุดสูงสุดไปแล้วเกือบทุกที่ ขณะที่ประเทศไทยยังถูกกดดันด้วยปัจจัยลบด้านการเมืองในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ประเมินว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนในระดับสูงได้ จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง โดยมีแนวโน้มพลิกกลับเป็นบวกอย่างชัดเจนในช่วง 2 ปีนับจากนี้ หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นและมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
ตลาดทั่วโลกทำ New High หมดแล้ว ซึ่งจุดสูงสุดของดัชนีฯไทยเมื่อปี 93 คือ 1,700 จุด ดังนั้น จาก ณ จุดนี้ เรายังมีรูมอีกมาก ถ้าปัญหาภายในจบ ก็เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะ New High บ้าง แต่ช่วงเวลาคงไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้ นายสุขวัฒน์ กล่าว
นายสุขวัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งในปลายปีนี้คาดว่าจะมีการออกกองทุนประเภทลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อีก 1 กองหลังจากที่เพิ่งเปิดตัวกองทุนแมนูไลฟ์ อิเมอร์จิ้ง อิสเทอร์น ยุโรป (คลาสเอ) ไปแล้ว ทั้งนี้ กองทุนที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นหรือ หน่วยลงทุนของประเทศที่มีศักยภาพการขยายตัวสูง และแม้ว่าจะมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวลดลง แต่เชื่อว่ายังมีหลายบริษัทที่มีความสามารถทำผลกำไรได้ดีอยู่อีกมาก
สำหรับการลงทุนในประเทศปัจจุบันการลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจมากกว่าในตราสารประเภทอื่น เช่น พันธบัตร เนื่องจากอัตราผลตอบแทนต่อปีต่ำเกินไปประมาณ 2-3% เท่านั้น ส่วนการลงทุนผ่าน FIF ถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีเงินและพร้อมจะลงทุนในระยะยาว โดยมองว่าภาพรวม FIF ที่เน้นประเทศแถบในเอเชีย และยุโรปตะวันออกยังมีความโดดเด่นจากทั่วโลก
ด้านนายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิเมอร์จิ้ง อิสเทอร์น ยุโรป เอฟไอเอฟนี้ นับเป็นกองทุนที่ 5 ของปี หรือนับตั้งแต่บริษัทเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยนโยบายลงทุนในกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนและซื้อขายของภูมิภาคยุโรปตอนกลางและตะวันออกในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศรัสเซีย โปแลนด์ ตรุกี ฮังการีและสาธารณรัฐเชค
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวไม่มีระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ มีมูลค่าที่ 1,700 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นเชื่อว่าจะค่อยๆได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสูงขึ้นเป็นลำดับ จึงแนะนะให้ผู้ที่สนใจซื้อหน่วยลงทุนนี้ควรลงทุนระยะยาวประมาณ 2 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนระยะสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาของบริษัทพบว่ากองทุนที่ลงทุนในยุโรปกองนี้เป็นกองทุนที่มีผลประกอบการดีมีผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีสูงถึงร้อยละ 422.78 เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่อยู่ร้อยละ 299.53 จึงถือว่ามีความสนใจน่าลงทุน
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/10/07
โพสต์ที่ 313
ม.หอการค้าไทยเชื่อ Q4/50 เศรษฐกิจยังชะลอตัว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในในไตรมาส 4 จะยังคงชะลอตัวและการบริโภคของประชาชนก็จะชะลอตัวตามไปด้วย แม้ว่าจะเป็นช่วงการเลือกตั้ง เนื่องจากจะมีเม็ดเงินสะพัดในช่วงเลือกตั้งลดลง จากพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้มีระยะเวลาในการรณรงค์หาเสียงน้อยลง
โดยคาดว่าช่วงการเลือกตั้งจะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.1-0.2 % จากเดิมที่คาดว่า จะมีเม็ดเงินสะพัด 30,000-40,000 ล้านบาทและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.5 %
นอกจากนี้ ยังคาดว่าการบริโภคจะกลับมาฟื้นตัวได้ หลังจากที่มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้ว โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 4.1 % หรืออยู่ในกรอบ 3.8-4.3 % ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้
นายธวรรธน์ บอกด้วยว่า แม้จะมีการลอยตัวก๊าชหุ้งต้ม และการปรับขึ้นเงินเดือนลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ และปรับขึ้นราคาสินค้าแต่ไม่ทำให้เงินเฟ้อในปีนี้เกิน 2.5 % ตามเป้าหมาย เพราะประชาชนยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย แต่การลอยตัวก๊าซหุงต้ม น่าจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในปีหน้า เพราะจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และมีโอกาสที่เงินเฟ้อจะขึ้นไปถึง 3-3.5 % ในช่วงครึ่งหลังของปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในในไตรมาส 4 จะยังคงชะลอตัวและการบริโภคของประชาชนก็จะชะลอตัวตามไปด้วย แม้ว่าจะเป็นช่วงการเลือกตั้ง เนื่องจากจะมีเม็ดเงินสะพัดในช่วงเลือกตั้งลดลง จากพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้มีระยะเวลาในการรณรงค์หาเสียงน้อยลง
โดยคาดว่าช่วงการเลือกตั้งจะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.1-0.2 % จากเดิมที่คาดว่า จะมีเม็ดเงินสะพัด 30,000-40,000 ล้านบาทและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.5 %
นอกจากนี้ ยังคาดว่าการบริโภคจะกลับมาฟื้นตัวได้ หลังจากที่มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้ว โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 4.1 % หรืออยู่ในกรอบ 3.8-4.3 % ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้
นายธวรรธน์ บอกด้วยว่า แม้จะมีการลอยตัวก๊าชหุ้งต้ม และการปรับขึ้นเงินเดือนลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ และปรับขึ้นราคาสินค้าแต่ไม่ทำให้เงินเฟ้อในปีนี้เกิน 2.5 % ตามเป้าหมาย เพราะประชาชนยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย แต่การลอยตัวก๊าซหุงต้ม น่าจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในปีหน้า เพราะจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และมีโอกาสที่เงินเฟ้อจะขึ้นไปถึง 3-3.5 % ในช่วงครึ่งหลังของปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/10/07
โพสต์ที่ 314
กนง.ส่อตรึงอัตราดอกเบี้ย ขึงไว้ที่ 3.25%
โดย Posttoday วันที่ 6 ตุลาคม 2550
หมายเหตุ-ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกบทวิเคราะห์ แนวโน้วการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะประชุมในวันที่10 คุลาคมนี้ มีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
แม้ว่าสถานการณ์ความเสี่ยงเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาสินเชื่อของลูกหนี้จำนองที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์) ของสหรัฐ และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศที่ยังคงมีอยู่ อาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีความยืดหยุ่นหากจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในช่วงที่เหลือของปี 2550
แต่ประเมินว่า กนง.อาจมีความโน้มเอียงที่จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมที่ 3.25% ในการประชุมรอบที่ 7 ของปี ในวันที่ 10 ต.ค. 2550 นี้ หลังจากที่ กนง.ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาแล้วตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ก.ค. รวม 1.75% ก่อนที่จะให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา
ปัจจัยสนับสนุน
เครื่องชี้เศรษฐกิจมีสัญญาณการปรับตัวในเชิงบวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับในการประชุมรอบก่อนหน้า
เมื่อพิจารณาการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้น ตลอดจนความผันผวนของทิศทางตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจยังคงมาจากภาคการส่งออก ซึ่งในเดือน ส.ค. 2550 สามารถกลับมาขยายตัวได้ในอัตราสูงถึง 18.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน จากที่ขยายตัว 6.6% ในเดือน ก.ค.
ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ก็มีสัญญาณที่ฟื้นตัวดีขึ้นในเดือน ส.ค. ดังจะเห็นได้จากดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากเครื่องชี้ส่วนใหญ่ที่ปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และยอดจำหน่ายรถ จักรยานยนต์
แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะยังคงลดลง เล็กน้อยในเดือน ส.ค. อีกทั้งดัชนีการลงทุน ภาคเอกชนที่หดตัวลงในอัตราที่น้อยลง โดยเครื่องชี้สำคัญที่กลับมาขยายตัวได้ คือ การ นำเข้าสินค้าทุน
ทั้งนี้ การปรับตัวในทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้นของเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญๆ กอปรกับความคาดหวังว่าการใช้จ่ายภายในประเทศอาจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดๆ ไป เมื่อปัญหาการเมืองคลี่คลายลง และประชาชนมีความเชื่อมั่นที่จะใช้จ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง.อาจมีความจำเป็นน้อยลงที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. เพื่อดูแลเสถียรภาพทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีน้ำหนัก
จากทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.ย. ที่ขยับเพิ่มขึ้นมาที่ 2.1% จาก 1.1% ในเดือน ส.ค. ประกอบกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี 2550 ที่คาดว่าอาจจะมีระดับใกล้เคียงกับระดับในเดือน ก.ย. อันเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับฐานการคำนวณระดับต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังผันผวนอยู่ในระดับสูง และราคาผักผลไม้ที่อาจมีแนวโน้มปรับขึ้นในช่วงเทศกาลกินเจ รวมทั้งการที่สินค้าอีกหลายรายการอยู่ระหว่างการรออนุมัติการปรับขึ้นราคาในระยะถัดไป
ดังนั้น จึงประเมินว่าแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ กนง.เลือกที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพทางด้านราคา ตลอดจนการที่ กนง.อาจจะไม่ต้องการให้ระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงปรับตัวลดลงไปจนส่งผลกระทบต่อการออมในระบบด้วย
ผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์
แม้ว่าปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐอาจเป็นปัจจัยที่นำมาสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าคาดของธนาคารกลางสหรัฐในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังมีจำกัด สะท้อนได้จากการที่ค่าเงินบาทยังคงมี ทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัวในกรอบ 34.2-34.3 บาท/เหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่การประชุม กนง. รอบที่แล้วจนถึงขณะนี้
ถึงแม้ว่าเงินดอลลาร์ฯ จะร่วงลงไปแตะระดับอ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินยูโร
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยก็คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในอัตราที่ทางการได้ตั้งเป้าหมายไว้ในปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงก็ตาม
ทั้งนี้ ผลกระทบที่ยังมีจำกัดดังกล่าว ทำให้มองว่า กนง.ยังมีความยืดหยุ่นที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. และรอประเมินความคืบหน้าของประเด็นปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในระยะถัดๆ ไป ซึ่งคาดว่าจะปรากฏชัดเจนมากขึ้นในปี 2551
โดยสรุปแล้ว จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญโดยเฉพาะการใช้จ่ายภายในประเทศเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นในเดือน ส.ค. และอาจจะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในระยะถัดๆ ไป เมื่อปัญหาการเมืองคลี่คลายลง กอปรกับการส่งออกที่กลับมาขยายตัวในอัตราสูงในเดือน ส.ค. สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ
ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบก่อนหน้าในวันที่ 29 ส.ค. อันเป็นผลส่วนหนึ่งจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังผันผวนอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อ จำนองของลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ หรือ ซับไพรม์ของสหรัฐที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัด
จึงเห็นว่า กนง.อาจมีความโน้มเอียงที่จะให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 3.25 ในการประชุมรอบที่ 7 ของปีในวันที่ 10 ต.ค. 2550 นี้ และรอประเมินทิศทางการปรับตัวของความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายภายในประเทศ ตลอดจนราคาน้ำมันตลาดโลกและความคืบหน้าของปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในระยะถัดๆ ไป
หากเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยสามารถยืนระยะการขยายตัวไว้ได้อย่างต่อเนื่องตามที่คาดหวังไว้ กนง.ก็อาจมีความจำเป็นน้อยลงสำหรับการผ่อนคลายนโยบายอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะที่เหลือของปี 2550 แต่หากไม่เป็นไปตามคาด กนง.ก็น่าจะยังมีความยืดหยุ่นที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกในการประชุมรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 4 ธ.ค. เพื่อดูแลความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ฉะนั้น อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันของไทยจึงน่าจะปิด ณ ปลายปี 2550 ที่ 3.00-3.25%
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=195877
โดย Posttoday วันที่ 6 ตุลาคม 2550
หมายเหตุ-ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกบทวิเคราะห์ แนวโน้วการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะประชุมในวันที่10 คุลาคมนี้ มีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
แม้ว่าสถานการณ์ความเสี่ยงเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาสินเชื่อของลูกหนี้จำนองที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์) ของสหรัฐ และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศที่ยังคงมีอยู่ อาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีความยืดหยุ่นหากจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในช่วงที่เหลือของปี 2550
แต่ประเมินว่า กนง.อาจมีความโน้มเอียงที่จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมที่ 3.25% ในการประชุมรอบที่ 7 ของปี ในวันที่ 10 ต.ค. 2550 นี้ หลังจากที่ กนง.ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาแล้วตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ก.ค. รวม 1.75% ก่อนที่จะให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา
ปัจจัยสนับสนุน
เครื่องชี้เศรษฐกิจมีสัญญาณการปรับตัวในเชิงบวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับในการประชุมรอบก่อนหน้า
เมื่อพิจารณาการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้น ตลอดจนความผันผวนของทิศทางตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจยังคงมาจากภาคการส่งออก ซึ่งในเดือน ส.ค. 2550 สามารถกลับมาขยายตัวได้ในอัตราสูงถึง 18.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน จากที่ขยายตัว 6.6% ในเดือน ก.ค.
ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ก็มีสัญญาณที่ฟื้นตัวดีขึ้นในเดือน ส.ค. ดังจะเห็นได้จากดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากเครื่องชี้ส่วนใหญ่ที่ปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และยอดจำหน่ายรถ จักรยานยนต์
แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะยังคงลดลง เล็กน้อยในเดือน ส.ค. อีกทั้งดัชนีการลงทุน ภาคเอกชนที่หดตัวลงในอัตราที่น้อยลง โดยเครื่องชี้สำคัญที่กลับมาขยายตัวได้ คือ การ นำเข้าสินค้าทุน
ทั้งนี้ การปรับตัวในทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้นของเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญๆ กอปรกับความคาดหวังว่าการใช้จ่ายภายในประเทศอาจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดๆ ไป เมื่อปัญหาการเมืองคลี่คลายลง และประชาชนมีความเชื่อมั่นที่จะใช้จ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง.อาจมีความจำเป็นน้อยลงที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. เพื่อดูแลเสถียรภาพทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีน้ำหนัก
จากทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.ย. ที่ขยับเพิ่มขึ้นมาที่ 2.1% จาก 1.1% ในเดือน ส.ค. ประกอบกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี 2550 ที่คาดว่าอาจจะมีระดับใกล้เคียงกับระดับในเดือน ก.ย. อันเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับฐานการคำนวณระดับต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังผันผวนอยู่ในระดับสูง และราคาผักผลไม้ที่อาจมีแนวโน้มปรับขึ้นในช่วงเทศกาลกินเจ รวมทั้งการที่สินค้าอีกหลายรายการอยู่ระหว่างการรออนุมัติการปรับขึ้นราคาในระยะถัดไป
ดังนั้น จึงประเมินว่าแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ กนง.เลือกที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพทางด้านราคา ตลอดจนการที่ กนง.อาจจะไม่ต้องการให้ระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงปรับตัวลดลงไปจนส่งผลกระทบต่อการออมในระบบด้วย
ผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์
แม้ว่าปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐอาจเป็นปัจจัยที่นำมาสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าคาดของธนาคารกลางสหรัฐในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังมีจำกัด สะท้อนได้จากการที่ค่าเงินบาทยังคงมี ทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัวในกรอบ 34.2-34.3 บาท/เหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่การประชุม กนง. รอบที่แล้วจนถึงขณะนี้
ถึงแม้ว่าเงินดอลลาร์ฯ จะร่วงลงไปแตะระดับอ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินยูโร
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยก็คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในอัตราที่ทางการได้ตั้งเป้าหมายไว้ในปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงก็ตาม
ทั้งนี้ ผลกระทบที่ยังมีจำกัดดังกล่าว ทำให้มองว่า กนง.ยังมีความยืดหยุ่นที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. และรอประเมินความคืบหน้าของประเด็นปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในระยะถัดๆ ไป ซึ่งคาดว่าจะปรากฏชัดเจนมากขึ้นในปี 2551
โดยสรุปแล้ว จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญโดยเฉพาะการใช้จ่ายภายในประเทศเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นในเดือน ส.ค. และอาจจะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในระยะถัดๆ ไป เมื่อปัญหาการเมืองคลี่คลายลง กอปรกับการส่งออกที่กลับมาขยายตัวในอัตราสูงในเดือน ส.ค. สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ
ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบก่อนหน้าในวันที่ 29 ส.ค. อันเป็นผลส่วนหนึ่งจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังผันผวนอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อ จำนองของลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ หรือ ซับไพรม์ของสหรัฐที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัด
จึงเห็นว่า กนง.อาจมีความโน้มเอียงที่จะให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 3.25 ในการประชุมรอบที่ 7 ของปีในวันที่ 10 ต.ค. 2550 นี้ และรอประเมินทิศทางการปรับตัวของความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายภายในประเทศ ตลอดจนราคาน้ำมันตลาดโลกและความคืบหน้าของปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในระยะถัดๆ ไป
หากเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยสามารถยืนระยะการขยายตัวไว้ได้อย่างต่อเนื่องตามที่คาดหวังไว้ กนง.ก็อาจมีความจำเป็นน้อยลงสำหรับการผ่อนคลายนโยบายอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะที่เหลือของปี 2550 แต่หากไม่เป็นไปตามคาด กนง.ก็น่าจะยังมีความยืดหยุ่นที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกในการประชุมรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 4 ธ.ค. เพื่อดูแลความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ฉะนั้น อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันของไทยจึงน่าจะปิด ณ ปลายปี 2550 ที่ 3.00-3.25%
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=195877
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/10/07
โพสต์ที่ 315
เชื่อศก.โตเกิน4.5%ฉีดเงินลงฐานรากอื้อ
โพสต์ทูเดย์ คลังเชื่อเศรษฐกิจปีนี้โตเกิน 4.5% แน่ หลังอัดเงินลงในระบบเพียบทั้งงบประมาณ-ขึ้นเงินเดือนขรก.-บำเหน็จตกทอด
นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การเบิกจ่ายเงินของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 2550 ถือว่ามีประสิทธิภาพมาทะลุ 1.47 ล้านล้านบาท คิดเป็น 93.91% ของงบประมาณที่ตั้งไว้ 1.56 ล้านล้านบาท และเป็นการเบิกงบลงทุนถึง 2.62 แสนล้านบาท สูงถึง 80.45% จากวงเงินที่ตั้งไว้ 3.62 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้เดิม 73%
ผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ทำให้มั่นใจว่าการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้จะมากกว่า 4.5% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 4% ก่อนหน้านี้แน่นอน
นายปิยพันธุ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจใน 3 เดือนสุดท้ายจะดีขึ้นแน่ เพราะเม็ดเงินที่รัฐบาลพยายามอัดฉีดลงสู่ฐานรากในหลายๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และบำเหน็จดำรงชีพ ซึ่งถึงสิ้นเดือน ต.ค. ได้จ่ายเงินให้กับข้าราชการไปแล้ว 3 หมื่นราย เป็นเงินกว่า 5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ในช่วงปลายปียังมีเงินเดือนข้าราชการที่เพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินจากการเลือกตั้งที่ประมาณว่าจะมี 3 หมื่นล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เกิดการจ้างงานและการบริโภคฟื้นตัวได้ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญในปลายปีนี้และปีหน้า
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2551 ที่ตั้งไว้ 1.66 ล้านล้านบาทนั้น ได้ตั้งเป้าเบิกจ่ายไว้ 94% และเพื่อให้การเบิกจ่ายมีประสิทธิภาพจึงกำหนดให้นำผลงานเบิกจ่ายเป็นตัวชี้วัดการทำงานของราชการและรัฐวิสาหกิจด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195782
โพสต์ทูเดย์ คลังเชื่อเศรษฐกิจปีนี้โตเกิน 4.5% แน่ หลังอัดเงินลงในระบบเพียบทั้งงบประมาณ-ขึ้นเงินเดือนขรก.-บำเหน็จตกทอด
นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การเบิกจ่ายเงินของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 2550 ถือว่ามีประสิทธิภาพมาทะลุ 1.47 ล้านล้านบาท คิดเป็น 93.91% ของงบประมาณที่ตั้งไว้ 1.56 ล้านล้านบาท และเป็นการเบิกงบลงทุนถึง 2.62 แสนล้านบาท สูงถึง 80.45% จากวงเงินที่ตั้งไว้ 3.62 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้เดิม 73%
ผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ทำให้มั่นใจว่าการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้จะมากกว่า 4.5% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 4% ก่อนหน้านี้แน่นอน
นายปิยพันธุ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจใน 3 เดือนสุดท้ายจะดีขึ้นแน่ เพราะเม็ดเงินที่รัฐบาลพยายามอัดฉีดลงสู่ฐานรากในหลายๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และบำเหน็จดำรงชีพ ซึ่งถึงสิ้นเดือน ต.ค. ได้จ่ายเงินให้กับข้าราชการไปแล้ว 3 หมื่นราย เป็นเงินกว่า 5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ในช่วงปลายปียังมีเงินเดือนข้าราชการที่เพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินจากการเลือกตั้งที่ประมาณว่าจะมี 3 หมื่นล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เกิดการจ้างงานและการบริโภคฟื้นตัวได้ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญในปลายปีนี้และปีหน้า
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2551 ที่ตั้งไว้ 1.66 ล้านล้านบาทนั้น ได้ตั้งเป้าเบิกจ่ายไว้ 94% และเพื่อให้การเบิกจ่ายมีประสิทธิภาพจึงกำหนดให้นำผลงานเบิกจ่ายเป็นตัวชี้วัดการทำงานของราชการและรัฐวิสาหกิจด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195782
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/10/07
โพสต์ที่ 316
หวั่นศก.ซบยาวถึงปี51-จี้รัฐบาลใหม่แก้ ส.อ.ท.จับตาโค้งสุดท้ายศก.โลก-น้ำมัน-การเมืองถ่วง
โดย ข่าวสด วัน จันทร์ ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:17 น.
นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการ สายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ประเมินปัจจัยต่อการชะลอตัวและการผันผวนต่อเศรษฐกิจของไทยในช่วง 3 เดือนหลังของปีจนไปถึงปีหน้า โดยปัจจัยเสี่ยงซึ่งมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 51 คงต้องจับตาความเชื่อมั่นทางการเมืองและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ต่อการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นปัญหาที่ท้าทายเพื่อรอรับการแก้ไขจากรัฐบาลที่จะมาจากภายหลังการเลือกตั้ง นอกจากนี้คงต้องจับตาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก น้ำมันแพง และความกังวลกับปัญหาสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐ (ซัพไพรม์) ว่าจะขยายตัวต่อการบริโภคของประชาชนสหรัฐหรือไม่
ความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่และภาคการเมืองที่ไม่นิ่งจะส่งผลต่อความไม่ต่อเนื่องของนโยบายของรัฐบาลใหม่ เช่น การเร่งรัดโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ได้แก่ รถไฟฟ้า โครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โครงการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ มาตรการลดความผันผวนของค่าเงินบาท รวมทั้งมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันทำร่วมกับภาคเอกชนอาจหยุดชะงัก โดยหลายโครงการยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน ขณะที่เวลาของรัฐบาลชุดปัจจุบันเหลือเพียงอีก 3 เดือน จะไม่เหลือเวลามากนักในการแก้ปัญหาซึ่งเป็นเศรษฐกิจระยะยาว นายธนิตกล่าว
ส่วนความกังวลกับปัญหาซัพไพรม์หากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ย่อมส่งผลต่อการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ลดลงและเป็นปัจจัยต่อการแข่งขันด้านราคา ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยที่อาจชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปีจนไปถึงปี 51 ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและระบบการเงินของโลก อันเกิดจากการอ่อนค่าของเงินสหรัฐอาจจะทำให้มีการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท จะส่งผลให้เงินบาทของไทยแข็งค่าและผันผวนส่งผลกระทบต่อการส่งออกมาก ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรมีเครื่องมือใหม่ๆ ที่ยืดหยุ่นกว่าที่เป็นอยู่ออกมารับมือความผันผวนทางการเงิน เพราะหากเงินบาทผันผวนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประเมินเศรษฐกิจของไทยว่าในปี 50 เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตได้ไม่เกิน 4-4.20% ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจเอเชีย ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 8.3% โดยการเติบโตของประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับรั้งท้ายกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น กว่าที่เอดีบีคาดไว้ โดยเอดีบีคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่าในปี 51 จะขยายตัวได้ในระดับ 5%
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ธปท. ประมาณการว่าเศรษฐกิจของไทยในปี 50 จะเติบโต 4.0-4.5% ไตรมาสแรกโต 4.2% ไตรมาสที่ 2 โต 4.4% และในปี 51 เศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 4.5%-6.0%
http://news.sanook.com/economic/economic_191568.php
โดย ข่าวสด วัน จันทร์ ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:17 น.
นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการ สายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ประเมินปัจจัยต่อการชะลอตัวและการผันผวนต่อเศรษฐกิจของไทยในช่วง 3 เดือนหลังของปีจนไปถึงปีหน้า โดยปัจจัยเสี่ยงซึ่งมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 51 คงต้องจับตาความเชื่อมั่นทางการเมืองและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ต่อการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นปัญหาที่ท้าทายเพื่อรอรับการแก้ไขจากรัฐบาลที่จะมาจากภายหลังการเลือกตั้ง นอกจากนี้คงต้องจับตาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก น้ำมันแพง และความกังวลกับปัญหาสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐ (ซัพไพรม์) ว่าจะขยายตัวต่อการบริโภคของประชาชนสหรัฐหรือไม่
ความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่และภาคการเมืองที่ไม่นิ่งจะส่งผลต่อความไม่ต่อเนื่องของนโยบายของรัฐบาลใหม่ เช่น การเร่งรัดโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ได้แก่ รถไฟฟ้า โครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โครงการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ มาตรการลดความผันผวนของค่าเงินบาท รวมทั้งมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันทำร่วมกับภาคเอกชนอาจหยุดชะงัก โดยหลายโครงการยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน ขณะที่เวลาของรัฐบาลชุดปัจจุบันเหลือเพียงอีก 3 เดือน จะไม่เหลือเวลามากนักในการแก้ปัญหาซึ่งเป็นเศรษฐกิจระยะยาว นายธนิตกล่าว
ส่วนความกังวลกับปัญหาซัพไพรม์หากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ย่อมส่งผลต่อการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ลดลงและเป็นปัจจัยต่อการแข่งขันด้านราคา ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยที่อาจชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปีจนไปถึงปี 51 ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและระบบการเงินของโลก อันเกิดจากการอ่อนค่าของเงินสหรัฐอาจจะทำให้มีการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท จะส่งผลให้เงินบาทของไทยแข็งค่าและผันผวนส่งผลกระทบต่อการส่งออกมาก ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรมีเครื่องมือใหม่ๆ ที่ยืดหยุ่นกว่าที่เป็นอยู่ออกมารับมือความผันผวนทางการเงิน เพราะหากเงินบาทผันผวนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประเมินเศรษฐกิจของไทยว่าในปี 50 เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตได้ไม่เกิน 4-4.20% ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจเอเชีย ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 8.3% โดยการเติบโตของประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับรั้งท้ายกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น กว่าที่เอดีบีคาดไว้ โดยเอดีบีคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่าในปี 51 จะขยายตัวได้ในระดับ 5%
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ธปท. ประมาณการว่าเศรษฐกิจของไทยในปี 50 จะเติบโต 4.0-4.5% ไตรมาสแรกโต 4.2% ไตรมาสที่ 2 โต 4.4% และในปี 51 เศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 4.5%-6.0%
http://news.sanook.com/economic/economic_191568.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/10/07
โพสต์ที่ 317
คาดดัชนีเคลื่อนไหวช่วงแคบแนะนำหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศรับการเลือกตั้ง
8 ตุลาคม พ.ศ. 2550 14:02:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับภาวะถดถอย จนกระทบต่อการเติบโตต่อเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายลง หลังตัวเลขการจ้างงานกลับมาแข็งแกร่ง แต่ดัชนีอาจดีดตัวขานรับไม่มาก (แนวต้าน 855 860 จุด) เพราะแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ดี การอ่อนตัวของดัชนีระยะนี้ เรามองว่าเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้น ดัชนียังมีโอกาสดีดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ความชัดเจนที่จะมีการเลือกตั้งในเดือน ธ.ค. (กฎหมายลูก 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้แล้ว กำหนดการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญไม่เกิน 7 ม.ค. 51) ดูจะเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการปรับขึ้นของดัชนีตามผลของฤดูกาล (ข้อมูลในอดีต ดัชนีในช่วงไตรมาสสุดท้าย มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และต่อเนื่องไปจนถึงเดือน ม.ค. ปีถัดไป)
แนวโน้มราคาน้ำมันที่มีวัฏจักรการอ่อนตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จะเป็นแรงกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวดีกว่าตลาดมาโดยตลอด (นับจากต้นปี ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับขึ้นถึง 44% เทียบกับดัชนีตลาด 25%) จึงน่าจะเป็นจังหวะของการทยอยขายทำกำไร แล้วเปลี่ยนเข้าสู่หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ จากความคาดหวังนโยบายเศรษฐกิจเชิงรุก หลังการเลือกตั้ง อาทิ กลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL) ซึ่งมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากผลประกอบการ 3Q50 ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์หน้าต่อเนื่อง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ITD, SYNTEC) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC, TSTH) จากการเดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ กลุ่มสื่อ (BEC) จากการใช้จ่ายช่วงการเลือกตั้ง กลุ่มที่พักอาศัย (PS, QH) จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, HANA, CCET) เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลส่งออกในไตรมาส 4
ตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. ช่วยลดความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 1.1 แสนตำแหน่ง รวมทั้งปรับตัวเลขเดือน ส.ค. เป็นเพิ่มขึ้น 8.9 หมื่นตำแหน่ง จากลดลง 4 พันตำแหน่ง จนเป็นเหตุให้ดัชนีดาวโจนส์ลดลงในวันเดียวถึงกว่า 250 จุด และกระตุ้นให้เฟดต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แม้ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดดูเหมือนจะลดโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นต่อเนื่องในการประชุม 31 ต.ค. นี้ แต่ก็ลดความเสี่ยงที่สหรัฐจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และกระตุ้นการคาดการณ์เชิงบวกต่อผลกำไรของบริษัทเอกชน เป็นผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 91.70 จุด เป็น 14,066.01 จุด (ระหว่างวันขึ้นแตะระดับจุดสูงสุดใหม่ที่ 14,124.54 จุด)
ราคาน้ำมันอ่อนตัว....ตลาดไม่เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งพอที่จะหนุนอุปสงค์น้ำมัน แม้การเปิดเผยความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน จะช่วยลดความกังวลที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ดูจะไม่มากพอที่จะเชื่อได้ว่าเศรษฐกิจจะแข้งแกร่ง จนหนุนให้อุปสงค์ด้านพลังงานขยายตัวสูงขึ้นมาก กอปรกับเงินสกุลดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญ และความกังวลเรื่องพายุลดลง เนื่องจากศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติแถลงไม่คาดว่าจะเกิดพายุไซโคลนเขตร้อนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กดให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง โดยราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน พ.ย. ของ NYMEX อ่อนลง 0.3% มาปิดที่ 81.22 ดอลลาร์สหัฐ/บาร์เรล ฝ่ายวิจัยฯมีความเห็นว่าราคาน้ำมันยังมีโอกาสอ่อนตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีตามผลกระทบตามฤดูกาล ดังนั้น การเก็งกำไรควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และแนะนำเพียงแค่ PTT PTTEP เท่านั้น
ที่มา : บล.ซีมิโก้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/0 ... sid=189903
8 ตุลาคม พ.ศ. 2550 14:02:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับภาวะถดถอย จนกระทบต่อการเติบโตต่อเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายลง หลังตัวเลขการจ้างงานกลับมาแข็งแกร่ง แต่ดัชนีอาจดีดตัวขานรับไม่มาก (แนวต้าน 855 860 จุด) เพราะแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ดี การอ่อนตัวของดัชนีระยะนี้ เรามองว่าเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้น ดัชนียังมีโอกาสดีดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ความชัดเจนที่จะมีการเลือกตั้งในเดือน ธ.ค. (กฎหมายลูก 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้แล้ว กำหนดการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญไม่เกิน 7 ม.ค. 51) ดูจะเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการปรับขึ้นของดัชนีตามผลของฤดูกาล (ข้อมูลในอดีต ดัชนีในช่วงไตรมาสสุดท้าย มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และต่อเนื่องไปจนถึงเดือน ม.ค. ปีถัดไป)
แนวโน้มราคาน้ำมันที่มีวัฏจักรการอ่อนตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จะเป็นแรงกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวดีกว่าตลาดมาโดยตลอด (นับจากต้นปี ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับขึ้นถึง 44% เทียบกับดัชนีตลาด 25%) จึงน่าจะเป็นจังหวะของการทยอยขายทำกำไร แล้วเปลี่ยนเข้าสู่หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ จากความคาดหวังนโยบายเศรษฐกิจเชิงรุก หลังการเลือกตั้ง อาทิ กลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL) ซึ่งมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากผลประกอบการ 3Q50 ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์หน้าต่อเนื่อง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ITD, SYNTEC) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC, TSTH) จากการเดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ กลุ่มสื่อ (BEC) จากการใช้จ่ายช่วงการเลือกตั้ง กลุ่มที่พักอาศัย (PS, QH) จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, HANA, CCET) เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลส่งออกในไตรมาส 4
ตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. ช่วยลดความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 1.1 แสนตำแหน่ง รวมทั้งปรับตัวเลขเดือน ส.ค. เป็นเพิ่มขึ้น 8.9 หมื่นตำแหน่ง จากลดลง 4 พันตำแหน่ง จนเป็นเหตุให้ดัชนีดาวโจนส์ลดลงในวันเดียวถึงกว่า 250 จุด และกระตุ้นให้เฟดต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แม้ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดดูเหมือนจะลดโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นต่อเนื่องในการประชุม 31 ต.ค. นี้ แต่ก็ลดความเสี่ยงที่สหรัฐจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และกระตุ้นการคาดการณ์เชิงบวกต่อผลกำไรของบริษัทเอกชน เป็นผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 91.70 จุด เป็น 14,066.01 จุด (ระหว่างวันขึ้นแตะระดับจุดสูงสุดใหม่ที่ 14,124.54 จุด)
ราคาน้ำมันอ่อนตัว....ตลาดไม่เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งพอที่จะหนุนอุปสงค์น้ำมัน แม้การเปิดเผยความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน จะช่วยลดความกังวลที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ดูจะไม่มากพอที่จะเชื่อได้ว่าเศรษฐกิจจะแข้งแกร่ง จนหนุนให้อุปสงค์ด้านพลังงานขยายตัวสูงขึ้นมาก กอปรกับเงินสกุลดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญ และความกังวลเรื่องพายุลดลง เนื่องจากศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติแถลงไม่คาดว่าจะเกิดพายุไซโคลนเขตร้อนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กดให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง โดยราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน พ.ย. ของ NYMEX อ่อนลง 0.3% มาปิดที่ 81.22 ดอลลาร์สหัฐ/บาร์เรล ฝ่ายวิจัยฯมีความเห็นว่าราคาน้ำมันยังมีโอกาสอ่อนตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีตามผลกระทบตามฤดูกาล ดังนั้น การเก็งกำไรควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และแนะนำเพียงแค่ PTT PTTEP เท่านั้น
ที่มา : บล.ซีมิโก้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/0 ... sid=189903
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 318
ร้องตลาดแยกไส้ในพอร์ต
โพสต์ทูเดย์ นักลงทุน-สถาบัน เรียกร้องตลาดแยกประเภทข้อมูลสถาบันซื้อขายหุ้นชัดเจน เสนอเปิดตัวเลขรายกลุ่มช่วงปิดตลาดภาคเช้า แก้รายย่อยตกเป็นเหยื่อ
แหล่งข่าวจากนักลงทุนเปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ควรรับพิจารณาคำเรียกร้องของนักลงทุน ที่ต้องการให้เปิดเผยประเภทนักลงทุนสถาบัน (Institutions) ออกมาให้ชัดเจนว่า เป็นสถาบันประเภทกองทุน ประกันชีวิต-ประกันภัย พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ (พอร์ตโบรกเกอร์) หรือกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
เนื่องจากการรวมอยู่ในประเภทสถาบันในประเทศทั้งหมด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่า เป็นการซื้อหรือขายของกองทุนอย่างเดียว ซึ่งมี อิทธิพลกับการลงทุนไม่น้อย
ขณะเดียวกัน มีโบรกเกอร์ไม่น้อย ที่มีพอร์ตลงทุนของบริษัท และเป็นพอร์ตที่ซื้อขายเร็ว หรือเป็นประเภทพอร์ตเก็งกำไร ไม่ต้องเสียค่านายหน้าซื้อขาย (คอมมิชชัน) ให้กับบริษัทตัวเอง
น่าตกใจกับตัวเลขพอร์ต โบรกเกอร์ ซึ่งบางโบรกเกอร์มีขนาดใหญ่ จนบางบริษัทผลประกอบการส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน แต่มาจากการเทรดดิงหุ้น ฉะนั้นลูกค้าที่เล่นเก็งกำไรต้องระวัง เพราะพอร์ตโบรกเกอร์พวกนี้ ซื้อแล้ววางขายเลย เพราะไม่มีต้นทุน รายย่อยจะเสียเปรียบ แหล่งข่าวเปิดเผย
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ควรจะเปิดตัวเลขการซื้อขายรายกลุ่มในช่วงปิดซื้อขายภาคเช้า หรือก่อนเปิดตลาดซื้อขายภาคบ่าย เพิ่มเติมจากที่เปิดเผยในช่วงเย็นหลังปิดการซื้อขาย เนื่องจากแต่ละวัน นักลงทุนส่วนใหญ่ จะสอบถามไปตามโบรกเกอร์ ว่าครึ่งวันต่างชาติซื้อหรือขายเท่าไร โดยการซื้อขายของต่างชาติ จะมีอิทธิพลกับตลาดในแต่ละวัน
นอกจากนี้ ข้อมูลการซื้อขาย ต่างชาติที่สอบถามไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวเลขที่ชัดเจนจากตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นตัวเลขที่โบรกเกอร์คาดเดา จึงอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ และเกิดความเสียหายต่อการลงทุนได้
การเปิดเผยข้อมูล เป็นการแก้ความเหลื่อมล้ำของข้อมูล บางคนรู้ บางคนไม่รู้ หากเปิดการซื้อขายของ ต่างชาติ ตอนเที่ยง ก็ไม่มีใครได้-เสียเปรียบ ไม่ต้องไปเดาไปถามโบรกเกอร์ บางครั้งก็ได้ตัวเลขจริงบ้างผิดบ้าง แหล่งข่าวเปิดเผย
ก่อนหน้านี้ นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า บริษัทมี พอร์ตลงทุนในหุ้นประมาณ 3-4 พันล้านบาท โดยงวดครึ่งแรกปี 2550 สามารถสร้างผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท
ขณะที่ บล.ภัทร มีพอร์ตลงทุนอยู่ประมาณ 600 ล้านบาท และจะเพิ่มขนาดเงินลงทุนเป็น 1 พันล้านบาท
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) มีพอร์ตลงทุน 1.5 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าในปีนี้รายได้ของบริษัทประมาณ 20% จะเป็นกำไรจากพอร์ตการลงทุน สำหรับ บล.ไซรัส มีพอร์ตลงประมาณ 50-100 ล้านบาท
ขณะที่นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส กล่าวว่า พอร์ตของบริษัท จัดตั้งในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ขนาด 100-150 ล้านบาท ซึ่ง มีทั้งลงทุนระยะยาวและเทรดดิง ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนผ่านบริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ด้วย โดยพอร์ตลงทุนผ่าน บลจ. ได้ปรับ เพิ่มจาก 40 ล้านบาท มาอยู่ที่ 120 ล้านบาทในปัจจุบัน
การจัดการพอร์ตลงทุนมีกฎเกณฑ์ที่ละเอียดและชัดเจนในการบริหารให้เกิดความคล่องตัวมากที่สุด นายสมภพ กล่าว
ด้านตลาดหุ้นวันที่ 8 ต.ค. ดัชนีบวกแรงตามตลาดต่างประเทศ และปิดที่ระดับ 863.16 จุด เพิ่มขึ้น 10.83 จุด หรือ 1.27% มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 19,161.85 ล้านบาท โดยต่างชาติซื้อสุทธิ 1,172 ล้านบาท และสถาบันซื้อ 345 ล้านบาท ทั้งนี้ หุ้นธนาคาร กสิกรไทย ในกระดานต่างประเทศ (KBANK) มีการซื้อขายรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) สูงถึง 4.05 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 86.51 บาท มูลค่ารวม 350.35 ล้านบาท และSHIN-F มีบิ๊กล็อต 1.85 ล้านหุ้น ราคา 29 บาทต่อหุ้น มูลค่า 53.65 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196309
โพสต์ทูเดย์ นักลงทุน-สถาบัน เรียกร้องตลาดแยกประเภทข้อมูลสถาบันซื้อขายหุ้นชัดเจน เสนอเปิดตัวเลขรายกลุ่มช่วงปิดตลาดภาคเช้า แก้รายย่อยตกเป็นเหยื่อ
แหล่งข่าวจากนักลงทุนเปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ควรรับพิจารณาคำเรียกร้องของนักลงทุน ที่ต้องการให้เปิดเผยประเภทนักลงทุนสถาบัน (Institutions) ออกมาให้ชัดเจนว่า เป็นสถาบันประเภทกองทุน ประกันชีวิต-ประกันภัย พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ (พอร์ตโบรกเกอร์) หรือกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
เนื่องจากการรวมอยู่ในประเภทสถาบันในประเทศทั้งหมด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่า เป็นการซื้อหรือขายของกองทุนอย่างเดียว ซึ่งมี อิทธิพลกับการลงทุนไม่น้อย
ขณะเดียวกัน มีโบรกเกอร์ไม่น้อย ที่มีพอร์ตลงทุนของบริษัท และเป็นพอร์ตที่ซื้อขายเร็ว หรือเป็นประเภทพอร์ตเก็งกำไร ไม่ต้องเสียค่านายหน้าซื้อขาย (คอมมิชชัน) ให้กับบริษัทตัวเอง
น่าตกใจกับตัวเลขพอร์ต โบรกเกอร์ ซึ่งบางโบรกเกอร์มีขนาดใหญ่ จนบางบริษัทผลประกอบการส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน แต่มาจากการเทรดดิงหุ้น ฉะนั้นลูกค้าที่เล่นเก็งกำไรต้องระวัง เพราะพอร์ตโบรกเกอร์พวกนี้ ซื้อแล้ววางขายเลย เพราะไม่มีต้นทุน รายย่อยจะเสียเปรียบ แหล่งข่าวเปิดเผย
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ควรจะเปิดตัวเลขการซื้อขายรายกลุ่มในช่วงปิดซื้อขายภาคเช้า หรือก่อนเปิดตลาดซื้อขายภาคบ่าย เพิ่มเติมจากที่เปิดเผยในช่วงเย็นหลังปิดการซื้อขาย เนื่องจากแต่ละวัน นักลงทุนส่วนใหญ่ จะสอบถามไปตามโบรกเกอร์ ว่าครึ่งวันต่างชาติซื้อหรือขายเท่าไร โดยการซื้อขายของต่างชาติ จะมีอิทธิพลกับตลาดในแต่ละวัน
นอกจากนี้ ข้อมูลการซื้อขาย ต่างชาติที่สอบถามไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวเลขที่ชัดเจนจากตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นตัวเลขที่โบรกเกอร์คาดเดา จึงอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ และเกิดความเสียหายต่อการลงทุนได้
การเปิดเผยข้อมูล เป็นการแก้ความเหลื่อมล้ำของข้อมูล บางคนรู้ บางคนไม่รู้ หากเปิดการซื้อขายของ ต่างชาติ ตอนเที่ยง ก็ไม่มีใครได้-เสียเปรียบ ไม่ต้องไปเดาไปถามโบรกเกอร์ บางครั้งก็ได้ตัวเลขจริงบ้างผิดบ้าง แหล่งข่าวเปิดเผย
ก่อนหน้านี้ นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า บริษัทมี พอร์ตลงทุนในหุ้นประมาณ 3-4 พันล้านบาท โดยงวดครึ่งแรกปี 2550 สามารถสร้างผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท
ขณะที่ บล.ภัทร มีพอร์ตลงทุนอยู่ประมาณ 600 ล้านบาท และจะเพิ่มขนาดเงินลงทุนเป็น 1 พันล้านบาท
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) มีพอร์ตลงทุน 1.5 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าในปีนี้รายได้ของบริษัทประมาณ 20% จะเป็นกำไรจากพอร์ตการลงทุน สำหรับ บล.ไซรัส มีพอร์ตลงประมาณ 50-100 ล้านบาท
ขณะที่นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส กล่าวว่า พอร์ตของบริษัท จัดตั้งในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ขนาด 100-150 ล้านบาท ซึ่ง มีทั้งลงทุนระยะยาวและเทรดดิง ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนผ่านบริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ด้วย โดยพอร์ตลงทุนผ่าน บลจ. ได้ปรับ เพิ่มจาก 40 ล้านบาท มาอยู่ที่ 120 ล้านบาทในปัจจุบัน
การจัดการพอร์ตลงทุนมีกฎเกณฑ์ที่ละเอียดและชัดเจนในการบริหารให้เกิดความคล่องตัวมากที่สุด นายสมภพ กล่าว
ด้านตลาดหุ้นวันที่ 8 ต.ค. ดัชนีบวกแรงตามตลาดต่างประเทศ และปิดที่ระดับ 863.16 จุด เพิ่มขึ้น 10.83 จุด หรือ 1.27% มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 19,161.85 ล้านบาท โดยต่างชาติซื้อสุทธิ 1,172 ล้านบาท และสถาบันซื้อ 345 ล้านบาท ทั้งนี้ หุ้นธนาคาร กสิกรไทย ในกระดานต่างประเทศ (KBANK) มีการซื้อขายรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) สูงถึง 4.05 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 86.51 บาท มูลค่ารวม 350.35 ล้านบาท และSHIN-F มีบิ๊กล็อต 1.85 ล้านหุ้น ราคา 29 บาทต่อหุ้น มูลค่า 53.65 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196309
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 319
สปส.ควักเพิ่ม ประกันชราภาพ 20%ต่อเดือน
โพสต์ทูเดย์ ประกันสังคมเพิ่ม จ่ายทดแทนกรณีชราภาพ จาก 15% เป็น 20%
นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ได้ปรับสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ โดยให้มีการปรับเพิ่มเงินบำนาญจากอัตรา 15% เป็น 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
นอกจากนั้น ยังเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพที่จ่ายเกิน 15 ปี จาก 1% เป็น 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุกๆ ปี เช่น ถ้าส่งเงินสมทบ 20 ปี จะได้เงินบำนาญรายเดือนเป็น 27.5% ของค่าจ้าง เช่น ลูกจ้างเงินเดือนเฉลี่ย 1 หมื่นบาท จะได้รับบำนาญ ชราภาพรายเดือนเดือนละ 2,750 บาท ไปตลอดชีวิต
ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ 1 ใน 7 กรณีที่ผู้ประกันตนได้รับจากกองทุนประกันสังคม จากเงินสมทบ 5% ที่ผู้ประกันตนสมทบเข้ากองทุน เป็นเงินออมกรณีชราภาพ 3% เช่น ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างเดือนละ 1 หมื่นบาท จ่ายสมทบ 500 บาทต่อเดือน ในจำนวนนี้เงินสมทบ 300 บาท เป็นเงินออมที่เก็บออมไว้ใช้ยามเกษียณ เมื่ออายุครบ 55 ปี
นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า การปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินบำนาญชราภาพในครั้งนี้ ได้มีการประกาศออกเป็นกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค. 2550 เพื่อเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพ แก่ผู้ประกันตนให้เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ผู้ประกันตน ต้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น อีกทั้งอัตราผลตอบแทนอื่นๆ เช่นเงินฝากก็ลดลงด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196241
โพสต์ทูเดย์ ประกันสังคมเพิ่ม จ่ายทดแทนกรณีชราภาพ จาก 15% เป็น 20%
นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ได้ปรับสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ โดยให้มีการปรับเพิ่มเงินบำนาญจากอัตรา 15% เป็น 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
นอกจากนั้น ยังเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพที่จ่ายเกิน 15 ปี จาก 1% เป็น 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุกๆ ปี เช่น ถ้าส่งเงินสมทบ 20 ปี จะได้เงินบำนาญรายเดือนเป็น 27.5% ของค่าจ้าง เช่น ลูกจ้างเงินเดือนเฉลี่ย 1 หมื่นบาท จะได้รับบำนาญ ชราภาพรายเดือนเดือนละ 2,750 บาท ไปตลอดชีวิต
ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ 1 ใน 7 กรณีที่ผู้ประกันตนได้รับจากกองทุนประกันสังคม จากเงินสมทบ 5% ที่ผู้ประกันตนสมทบเข้ากองทุน เป็นเงินออมกรณีชราภาพ 3% เช่น ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างเดือนละ 1 หมื่นบาท จ่ายสมทบ 500 บาทต่อเดือน ในจำนวนนี้เงินสมทบ 300 บาท เป็นเงินออมที่เก็บออมไว้ใช้ยามเกษียณ เมื่ออายุครบ 55 ปี
นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า การปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินบำนาญชราภาพในครั้งนี้ ได้มีการประกาศออกเป็นกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค. 2550 เพื่อเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพ แก่ผู้ประกันตนให้เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ผู้ประกันตน ต้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น อีกทั้งอัตราผลตอบแทนอื่นๆ เช่นเงินฝากก็ลดลงด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196241
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 320
คลังการันตีรีดภาษีปีหน้า1.49ล้านล.
โพสต์ทูเดย์ คลังคุยรีดรายได้ปีงบฯ 2551 ไม่พลาด 1.49 ล้านล้านบาท กระตุ้นภาคเอกชนเร่งฉวยโอกาสลงทุน
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2551 จะสามารถทำได้ตามเป้า 1.49 ล้านล้านบาท สูงกว่าจัดเก็บจริงในปีงบประมาณที่ผ่านมา 6.1% เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัว 5% อัตราเงินเฟ้อ 3%
ปัจจัยเสี่ยงในปี 2550 ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคและนักลงทุนกลับคืนมา ดังนั้น หากไม่มีปัจจัยนอกเหนือความคาดหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงแล้ว ก็คาด ว่าด้านการจัดหารายได้ของรัฐบาลคงเป็นไปตามประมาณการ นายศุภรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทที่แข็ง อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่สูง ก็จะปรับตัวดีขึ้น ทำให้การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็วขึ้น
สำหรับฐานะเงินคงคลังของประเทศ สิ้นเดือน ก.ย. 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.32 แสนล้านบาท สูงกว่าเวลาเดียวกันของปีก่อนประมาณ 2.8 พันล้านบาท
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า นักลงทุนควรจะใช้จังหวะนี้ตัดสินใจการลงทุนหลังจากที่ชะลอมานาน เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยลบต่างๆ กำลังหมดไป และยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรไปลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับการเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2550 มีจำนวน 1.44 ล้านล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2.56 หมื่นล้านบาท หรือ 1.8% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากได้รับรายได้พิเศษจากการยุบเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน 3.69 หมื่น ล้านบาท
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า การเก็บรายได้ปี 2550 สะท้อนให้เห็นว่า ภาวะการจ้างงานของประเทศก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยพิจารณาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บจากเงินเดือน (ภ.ง.ด. 1) ที่ขยายตัว 8.5% การทำธุรกิจค้าขายระหว่างกันโดยดูจากภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากการรับจ้างทำของ และการให้บริการระหว่างภาคธุรกิจยังมีการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ประมาณ 5.9% และการจับจ่ายใช้สอยในประเทศก็ยังถือว่าขยายตัวดีแม้จะไม่สูงเหมือนในปีก่อน
ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากผลการจัดเก็บภาษีการบริโภคโดยรวม ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าประเภทต่างๆ ยังมีการขยายตัวในระดับหนึ่ง ยกเว้นกรณีภาษีรถยนต์ที่มีการชะลอตัว
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีปีนี้ ได้แก่ การแข็งค่าของเงินบาท ความไม่แน่นอนทางการเมือง ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงกระทบต่อการลงทุน และการบริโภคสินค้าและการกันสำรองของสถาบันการเงินเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชี IAS 39 ทำให้กำไรที่ต้องเสียภาษีของระบบสถาบันการเงินลดลง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196270
โพสต์ทูเดย์ คลังคุยรีดรายได้ปีงบฯ 2551 ไม่พลาด 1.49 ล้านล้านบาท กระตุ้นภาคเอกชนเร่งฉวยโอกาสลงทุน
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2551 จะสามารถทำได้ตามเป้า 1.49 ล้านล้านบาท สูงกว่าจัดเก็บจริงในปีงบประมาณที่ผ่านมา 6.1% เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัว 5% อัตราเงินเฟ้อ 3%
ปัจจัยเสี่ยงในปี 2550 ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคและนักลงทุนกลับคืนมา ดังนั้น หากไม่มีปัจจัยนอกเหนือความคาดหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงแล้ว ก็คาด ว่าด้านการจัดหารายได้ของรัฐบาลคงเป็นไปตามประมาณการ นายศุภรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทที่แข็ง อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่สูง ก็จะปรับตัวดีขึ้น ทำให้การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็วขึ้น
สำหรับฐานะเงินคงคลังของประเทศ สิ้นเดือน ก.ย. 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.32 แสนล้านบาท สูงกว่าเวลาเดียวกันของปีก่อนประมาณ 2.8 พันล้านบาท
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า นักลงทุนควรจะใช้จังหวะนี้ตัดสินใจการลงทุนหลังจากที่ชะลอมานาน เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยลบต่างๆ กำลังหมดไป และยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรไปลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับการเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2550 มีจำนวน 1.44 ล้านล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2.56 หมื่นล้านบาท หรือ 1.8% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากได้รับรายได้พิเศษจากการยุบเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน 3.69 หมื่น ล้านบาท
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า การเก็บรายได้ปี 2550 สะท้อนให้เห็นว่า ภาวะการจ้างงานของประเทศก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยพิจารณาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บจากเงินเดือน (ภ.ง.ด. 1) ที่ขยายตัว 8.5% การทำธุรกิจค้าขายระหว่างกันโดยดูจากภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากการรับจ้างทำของ และการให้บริการระหว่างภาคธุรกิจยังมีการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ประมาณ 5.9% และการจับจ่ายใช้สอยในประเทศก็ยังถือว่าขยายตัวดีแม้จะไม่สูงเหมือนในปีก่อน
ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากผลการจัดเก็บภาษีการบริโภคโดยรวม ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าประเภทต่างๆ ยังมีการขยายตัวในระดับหนึ่ง ยกเว้นกรณีภาษีรถยนต์ที่มีการชะลอตัว
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีปีนี้ ได้แก่ การแข็งค่าของเงินบาท ความไม่แน่นอนทางการเมือง ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงกระทบต่อการลงทุน และการบริโภคสินค้าและการกันสำรองของสถาบันการเงินเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชี IAS 39 ทำให้กำไรที่ต้องเสียภาษีของระบบสถาบันการเงินลดลง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196270
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 321
เตือนรัฐบาลรับมือซับไพร์มรอบ 2 เร่งปล่อยกู้-ลงทุนแก้ไขส่งออกฝืด
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เตือนรัฐบาลชุดใหม่ รับมือเศรษฐกิจผันผวนที่เกี่ยวเนื่องจากซับไพร์มรอบ 2 ของสหรัฐฯ ชี้การส่งออกชะลออย่างหนัก แนะต้องกระตุ้นการปล่อยกู้-ลงทุนเมกะโปรเจกต์ และต้องยกเลิกมาตรการฯร้อยละ 30 สำหรับตลาดพันธบัตร หลังแนวโน้มต้นทุนการลงทุนจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นายฮุย เช็ง ไท หัวหน้างานวิจัยเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และ น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ร่วมแถลงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปี 2551 ว่า ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือซับไพร์มของสหรัฐฯนั้น ยังมีแนวโน้มจะเกิดรอบ 2 ในรอบ 6 เดือนข้างหน้านี้ เพราะทิศทางราคาบ้านในสหรัฐฯยังลดลงและจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคของสหรัฐฯให้ลดลง ส่งผลต่อตลาดหุ้น จากปัญหานี้จึงเป็นที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง ในเดือนตุลาคมและเดือนธันวาคมนี้ และส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลงจากร้อยละ 4.75 มาเหลือร้อยละ 4.25 โดยคาดว่าสหรัฐฯต้องหามาตรการอื่นมาช่วยแก้ไขปัญหาด้วย และอาจทำให้ปัญหาซับไพร์มคลี่คลายใน 18 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้เฟดจะลดดอกเบี้ย แต่ธนาคารกลางของประเทศในเอเชียจะมีทั้งลดและขึ้นดอกเบี้ยแล้วแต่นโยบายของแต่ละประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ มีทิศทางที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย เพราะมีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากราคาอาหาร น้ำมัน และสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ส่วนมาเลเซียคงไม่ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย มีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อาจจะลดหรือคงดอกเบี้ยเช่นเดิม โดยปัญหาซับไพร์มจะกระทบต่อประเทศในเอเชียมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปริมาณการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน
ทั้งนี้ ในปี 2551 คาดว่าจีนจะพยายามลดความร้อนแรงด้านเศรษฐกิจ เรื่องฟองสบู่ โดยใช้นโยบายดอกเบี้ย-การเงิน มากกว่าการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น และจากภาพรวมเศรษฐกิจโลก จึงคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนปีหน้าขยายตัวร้อยละ 10.8 เงินเฟ้อร้อยละ 3 ส่วนปีนี้คาดจีดีพีขยายตัวร้อยละ 11.5 และเงินเฟ้อร้อยละ 4.2
ด้านน.ส.อุสรา กล่าวว่า จากภาพรวมดังกล่าว โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัวลงและแนวโน้มดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนจะเข้าไปลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯมากขึ้นหลังเฟดลดดอกเบี้ย จึงส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ทำให้การส่งออกชะลอลงเหลือร้อยละ 8 ในปีหน้าจากที่ปีนี้คาดการส่งออกขยายตัวร้อยละ 10-12 เพราะการส่งออกมีผลกระทบทั้งที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯโดยตรงและการส่งวัตถุดิบไปประเทศอื่นๆ เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เช่น จีน และญี่ปุ่น โดยคาดจะมีผลกระทบรวมเป็นปริมาณส่งออกถึงร้อยละ 35 แม้สหรัฐฯจะเป็นตลาดส่งออกเพียงร้อยละ 15 ก็ตาม ในขณะที่ไทยมีการลงทุนเมกะโปรเจกต์และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จึงทำให้คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปีหน้าจะติดลบถึง 2,500 ล้านดอลลาร์ จากปีนี้ที่ยังเป็นบวก ส่วนเงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงจากปลายปีนี้ที่คาดว่าเงินบาทจะอ่อนตัวใกล้ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ เป็นอ่อนลงไปที่ระดับ 36.5 บาท/ดอลลาร์ ส่วนตลาดหุ้นจะผันผวน ซึ่งในเร็วๆนี้ คาดหุ้นไทยจะมีดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 900 จุด แต่จะรักษาระดับนี้ไว้ได้ยาก เพราะความผันผวนของตลาดทุนโลก นักลงทุนตลาดหุ้นจึงควรปรับลดพอร์ตลงทุน ส่วนผู้ส่งออกควรชะลอการเทขายดอลลาร์และควรทยอยซื้อเยน/ดอลลาร์ ที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นสวนทางกับเงินยูโรที่มีทิศทางอ่อนค่าลง
นับเป็นความท้าทายรัฐบาลชุดใหม่ สำหรับผลกระทบทั้งจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งออกลดลง ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องดำเนินนโยบายเร่งการบริโภค การลงทุนในประเทศทดแทน โดยเฉพาะเมกะโปรเจกต์ รวมทั้งควรยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 สำหรับตลาดพันธบัตรด้วย เพื่อกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนพันธบัตร เพราะทิศทางในขณะนี้ต้นทุนการลงทุนจะอยู่ในระดับสูง โดยจะเห็นได้จากดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 5 ปีขึ้นไป มีผลตอบแทนที่สูง น.ส.อุสรา กล่าว
นอกจากนี้ น.ส.อุสรา ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวแล้วคาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 ตุลาคมนี้ คงจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 3.0 และคงจะเป็นการปรับครั้งสุดท้ายในรอบนี้ เพราะการปรับในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องไม่สามารถส่งผ่านนโยบายการเงินไปให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้เพิ่มขึ้นมากนัก โดยการปล่อยกู้ปีนี้ขยายตัวเพียงร้อยละ 2-3 จากปีที่แล้วขยายตัวร้อยละ 8 และดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ได้ปรับลดมากนัก โดยดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) ลดลงเพียงร้อยละ 0.875 ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายลดลงร้อยละ 1.75 และดอกเบี้ยเงินฝากลดลงร้อยละ 1.5-1.75
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เตือนรัฐบาลชุดใหม่ รับมือเศรษฐกิจผันผวนที่เกี่ยวเนื่องจากซับไพร์มรอบ 2 ของสหรัฐฯ ชี้การส่งออกชะลออย่างหนัก แนะต้องกระตุ้นการปล่อยกู้-ลงทุนเมกะโปรเจกต์ และต้องยกเลิกมาตรการฯร้อยละ 30 สำหรับตลาดพันธบัตร หลังแนวโน้มต้นทุนการลงทุนจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นายฮุย เช็ง ไท หัวหน้างานวิจัยเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และ น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ร่วมแถลงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปี 2551 ว่า ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือซับไพร์มของสหรัฐฯนั้น ยังมีแนวโน้มจะเกิดรอบ 2 ในรอบ 6 เดือนข้างหน้านี้ เพราะทิศทางราคาบ้านในสหรัฐฯยังลดลงและจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคของสหรัฐฯให้ลดลง ส่งผลต่อตลาดหุ้น จากปัญหานี้จึงเป็นที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง ในเดือนตุลาคมและเดือนธันวาคมนี้ และส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลงจากร้อยละ 4.75 มาเหลือร้อยละ 4.25 โดยคาดว่าสหรัฐฯต้องหามาตรการอื่นมาช่วยแก้ไขปัญหาด้วย และอาจทำให้ปัญหาซับไพร์มคลี่คลายใน 18 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้เฟดจะลดดอกเบี้ย แต่ธนาคารกลางของประเทศในเอเชียจะมีทั้งลดและขึ้นดอกเบี้ยแล้วแต่นโยบายของแต่ละประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ มีทิศทางที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย เพราะมีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากราคาอาหาร น้ำมัน และสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ส่วนมาเลเซียคงไม่ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย มีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อาจจะลดหรือคงดอกเบี้ยเช่นเดิม โดยปัญหาซับไพร์มจะกระทบต่อประเทศในเอเชียมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปริมาณการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน
ทั้งนี้ ในปี 2551 คาดว่าจีนจะพยายามลดความร้อนแรงด้านเศรษฐกิจ เรื่องฟองสบู่ โดยใช้นโยบายดอกเบี้ย-การเงิน มากกว่าการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น และจากภาพรวมเศรษฐกิจโลก จึงคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนปีหน้าขยายตัวร้อยละ 10.8 เงินเฟ้อร้อยละ 3 ส่วนปีนี้คาดจีดีพีขยายตัวร้อยละ 11.5 และเงินเฟ้อร้อยละ 4.2
ด้านน.ส.อุสรา กล่าวว่า จากภาพรวมดังกล่าว โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัวลงและแนวโน้มดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนจะเข้าไปลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯมากขึ้นหลังเฟดลดดอกเบี้ย จึงส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ทำให้การส่งออกชะลอลงเหลือร้อยละ 8 ในปีหน้าจากที่ปีนี้คาดการส่งออกขยายตัวร้อยละ 10-12 เพราะการส่งออกมีผลกระทบทั้งที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯโดยตรงและการส่งวัตถุดิบไปประเทศอื่นๆ เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เช่น จีน และญี่ปุ่น โดยคาดจะมีผลกระทบรวมเป็นปริมาณส่งออกถึงร้อยละ 35 แม้สหรัฐฯจะเป็นตลาดส่งออกเพียงร้อยละ 15 ก็ตาม ในขณะที่ไทยมีการลงทุนเมกะโปรเจกต์และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จึงทำให้คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปีหน้าจะติดลบถึง 2,500 ล้านดอลลาร์ จากปีนี้ที่ยังเป็นบวก ส่วนเงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงจากปลายปีนี้ที่คาดว่าเงินบาทจะอ่อนตัวใกล้ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ เป็นอ่อนลงไปที่ระดับ 36.5 บาท/ดอลลาร์ ส่วนตลาดหุ้นจะผันผวน ซึ่งในเร็วๆนี้ คาดหุ้นไทยจะมีดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 900 จุด แต่จะรักษาระดับนี้ไว้ได้ยาก เพราะความผันผวนของตลาดทุนโลก นักลงทุนตลาดหุ้นจึงควรปรับลดพอร์ตลงทุน ส่วนผู้ส่งออกควรชะลอการเทขายดอลลาร์และควรทยอยซื้อเยน/ดอลลาร์ ที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นสวนทางกับเงินยูโรที่มีทิศทางอ่อนค่าลง
นับเป็นความท้าทายรัฐบาลชุดใหม่ สำหรับผลกระทบทั้งจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งออกลดลง ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องดำเนินนโยบายเร่งการบริโภค การลงทุนในประเทศทดแทน โดยเฉพาะเมกะโปรเจกต์ รวมทั้งควรยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 สำหรับตลาดพันธบัตรด้วย เพื่อกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนพันธบัตร เพราะทิศทางในขณะนี้ต้นทุนการลงทุนจะอยู่ในระดับสูง โดยจะเห็นได้จากดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 5 ปีขึ้นไป มีผลตอบแทนที่สูง น.ส.อุสรา กล่าว
นอกจากนี้ น.ส.อุสรา ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวแล้วคาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 ตุลาคมนี้ คงจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 3.0 และคงจะเป็นการปรับครั้งสุดท้ายในรอบนี้ เพราะการปรับในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องไม่สามารถส่งผ่านนโยบายการเงินไปให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้เพิ่มขึ้นมากนัก โดยการปล่อยกู้ปีนี้ขยายตัวเพียงร้อยละ 2-3 จากปีที่แล้วขยายตัวร้อยละ 8 และดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ได้ปรับลดมากนัก โดยดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) ลดลงเพียงร้อยละ 0.875 ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายลดลงร้อยละ 1.75 และดอกเบี้ยเงินฝากลดลงร้อยละ 1.5-1.75
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 322
พาณิชย์ เตือนภาคเอกชนรับมือผลกระทบ JTEPA มีผล 1 พ.ย.นี้
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 ตุลาคม 2550 12:58 น.
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ชี้ทางภาคเอกชนใช้กรอบข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่จะมีผลบังคับใช้ 1 พ.ย.นี้ ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ระบุ อัตราภาษีสินค้าหลายตัวลดลงเหลือ 0% ทันที
วันนี้(9 ต.ค.) นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา เรื่อง รุกตลาดญี่ปุ่นภายใต้ JTEPA โดยระบุว่า จากการที่รัฐบาลได้กำหนดให้การทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ เป็นนโยบายเชิงรุกที่จะใช้เป็นประตูการค้าไปสู่ประเทศต่าง ๆ รักษาตลาดดั้งเดิมและขยายการค้ากับประเทศคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ซึ่งไทยได้ทำความตกลงเอฟทีเอที่มีผลบังคับใช้แล้วหลายประเทศ เช่น อาเซียน-จีน ไทย-ออสเตรเลีย ไทย-นิวซีแลนด์ และ JTEPA จึงเป็นอีกความตกลงหนึ่งที่ประเทศไทยทำกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้า และเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนไปยังประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคใกล้เคียง
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตมาเป็นระยะเวลายาวนาน และจะฉลองครบรอบ 120 ปีในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในปี 2549 มีมูลค่าประมาณ 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่นเป็นชาติที่ลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 และเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารมากกว่าร้อยละ 60 ของความต้องการบริโภค ดังนั้น การเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น จึงน่าจะเป็นการขยายโอกาสให้แก่เกษตรกรไทยโดยตรง เมื่อความตกลง JTEPA มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า ความตกลง JTEPA จะทำให้สินค้าและบริการได้รับประโยชน์ทันที ประกอบด้วยสินค้า 4 กลุ่มที่ได้ลดภาษีเป็นร้อยละ 0 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอาหารทะเล สิ่งทอและรองเท้า อัญมณีและเครื่องประดับ ปิโตรเคมีและพลาสติก ขณะเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่นจะผ่อนคลายกฎระเบียบให้กับกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจสปา พ่อครัว แม่ครัวไทย ครูสอนภาษาไทย ตลอดจนเกิดความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เช่น โครงการส่งเสริมการค้าการลงทุนภายใต้ ครัวไทยสู่ครัวโลก โครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โครงการหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทยด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์พยายามที่จะเสริมความรู้ โดยการจัดสัมมนาเพื่อให้ผู้ประกอบการสาขาต่าง ๆ ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับความตกลง JTEPA อย่างต่อเนื่อง จะได้ทราบถึงกฎแหล่งกำเนิดสินค้าและการขอใช้สิทธิพิเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จาก JTEPA ให้ได้มากที่สุด ซึ่งก่อนที่ JTEPA จะเริ่มขึ้น ผู้ประกอบการไทยน่าจะได้ปรับตัว และเชื่อว่าน่าจะผลักดันให้ยอดการส่งออกโดยรวมของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000119424
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 ตุลาคม 2550 12:58 น.
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ชี้ทางภาคเอกชนใช้กรอบข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่จะมีผลบังคับใช้ 1 พ.ย.นี้ ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ระบุ อัตราภาษีสินค้าหลายตัวลดลงเหลือ 0% ทันที
วันนี้(9 ต.ค.) นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา เรื่อง รุกตลาดญี่ปุ่นภายใต้ JTEPA โดยระบุว่า จากการที่รัฐบาลได้กำหนดให้การทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ เป็นนโยบายเชิงรุกที่จะใช้เป็นประตูการค้าไปสู่ประเทศต่าง ๆ รักษาตลาดดั้งเดิมและขยายการค้ากับประเทศคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ซึ่งไทยได้ทำความตกลงเอฟทีเอที่มีผลบังคับใช้แล้วหลายประเทศ เช่น อาเซียน-จีน ไทย-ออสเตรเลีย ไทย-นิวซีแลนด์ และ JTEPA จึงเป็นอีกความตกลงหนึ่งที่ประเทศไทยทำกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้า และเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนไปยังประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคใกล้เคียง
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตมาเป็นระยะเวลายาวนาน และจะฉลองครบรอบ 120 ปีในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในปี 2549 มีมูลค่าประมาณ 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่นเป็นชาติที่ลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 และเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารมากกว่าร้อยละ 60 ของความต้องการบริโภค ดังนั้น การเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น จึงน่าจะเป็นการขยายโอกาสให้แก่เกษตรกรไทยโดยตรง เมื่อความตกลง JTEPA มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า ความตกลง JTEPA จะทำให้สินค้าและบริการได้รับประโยชน์ทันที ประกอบด้วยสินค้า 4 กลุ่มที่ได้ลดภาษีเป็นร้อยละ 0 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอาหารทะเล สิ่งทอและรองเท้า อัญมณีและเครื่องประดับ ปิโตรเคมีและพลาสติก ขณะเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่นจะผ่อนคลายกฎระเบียบให้กับกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจสปา พ่อครัว แม่ครัวไทย ครูสอนภาษาไทย ตลอดจนเกิดความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เช่น โครงการส่งเสริมการค้าการลงทุนภายใต้ ครัวไทยสู่ครัวโลก โครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โครงการหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทยด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์พยายามที่จะเสริมความรู้ โดยการจัดสัมมนาเพื่อให้ผู้ประกอบการสาขาต่าง ๆ ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับความตกลง JTEPA อย่างต่อเนื่อง จะได้ทราบถึงกฎแหล่งกำเนิดสินค้าและการขอใช้สิทธิพิเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จาก JTEPA ให้ได้มากที่สุด ซึ่งก่อนที่ JTEPA จะเริ่มขึ้น ผู้ประกอบการไทยน่าจะได้ปรับตัว และเชื่อว่าน่าจะผลักดันให้ยอดการส่งออกโดยรวมของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000119424
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/10/07
โพสต์ที่ 323
ทุนนอกเข้า-ทุนไทยเผ่น
ต่างชาติเริ่มทยอย หอบเงินเข้ามาลงทุนในไทย ในขณะที่เอกชนไทยกลับฮิตขนเงินไปลงทุนต่างชาติ
เมื่อวานนี้ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี และมาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ร่วมกันแถลงว่า ฟอร์ด ต้องการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยล่าสุดจะลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 1.7 หมื่นล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานออโตอัลลายแอนซ์ (เอเอที) ทำให้การลงทุนรวมในประเทศไทยของฟอร์ด-มาสด้า มีมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 5.1 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน
นายจอห์น จี. ปาร์กเกอร์ รองประธานบริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ กล่าวว่า การลงทุนล่าสุดจะเพื่อการผลิตรถยนต์นั่งในระดับบี-เซ็กเมนต์ ประกอบด้วยฟอร์ด ฟิเอสต้า และมาสด้า 2 โดยจะเริ่มต้นผลิตได้ในปี 2552 ด้วยกำลังการผลิต 1 แสนคัน เป็นการผลิตรถฟอร์ดและมาสด้าเท่าๆ กัน ซึ่งจะส่งออก 80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
การลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้กำลังการผลิตในโรงงานเอเอทีที่มีอยู่ 1.75 แสนคันต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 2.75 แสนคันต่อปี นายปาร์กเกอร์ กล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมเหล็กเปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ผู้บริหารสูงสุดของบริษัท นิปปอนสตีล จากประเทศญี่ปุ่น จะเดินทางเข้าพบนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม ทั้งนี้บริษัท นิปปอนสตีล ต้องการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เพื่อป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่กำลังขยายตัว ซึ่งหากเข้ามาลงทุนคาดว่าจะใช้เงิน 1 หมื่นล้านบาทอาจจะตั้งโรงงานได้ 2 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท เจเอฟอี คอร์ปอเรชั่น จากญี่ปุ่น สนใจเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตเหล็กรีดเย็น เนื่องจากไทยมีความต้องการใช้ในประเทศอีกปีละ 1 ล้านตัน ขณะนี้ประเทศไทยผลิตได้ปีละ 2 ล้านตัน ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 2 โรง คือ บริษัท สยามยูไนเต็ดสตีล และบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี
ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลสำรวจการลงทุนระหว่างประเทศของบริษัทเอกชนในประเทศไทย 7,982 ราย ณ เดือน ธ.ค. 2549 พบว่า คนไทยนำเงินไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศทั้งสิ้น 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากปีก่อน 8.9% โดยการเพิ่มขึ้นมีทั้งใส่เงินใหม่และใช้กำไรสะสมลงทุนต่อ
ทั้งนี้ ประเทศที่นิยมไปลงทุนมากที่สุดคือ สิงคโปร์ คิดเป็น 21.7% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือ 880 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือ พม่า ลงทุน 12.9% หรือ 520 ล้านเหรียญสหรัฐ และในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน 12.7% หรือ 510 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธปท.รายงานว่า ธุรกิจที่ คนไทยเลือกลงทุนมากที่สุดคือ ภาคอุตสาหกรรม 55.7% ของเงินที่ไปลงทุนทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มีสัดส่วนการลงทุน 23.2% อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า 11.7% รองลงมาเป็นการลงทุนในธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร สัดส่วน 11.5%
อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ส่งเงินมาลงทุนในไทยมากที่สุดก็คืออังกฤษ คิดเป็นสัดส่วน 31.3% รองลงมาเป็นสหรัฐ 20.1% และสิงคโปร์ 11.1%
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 958&ch=227
ต่างชาติเริ่มทยอย หอบเงินเข้ามาลงทุนในไทย ในขณะที่เอกชนไทยกลับฮิตขนเงินไปลงทุนต่างชาติ
เมื่อวานนี้ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี และมาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ร่วมกันแถลงว่า ฟอร์ด ต้องการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยล่าสุดจะลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 1.7 หมื่นล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานออโตอัลลายแอนซ์ (เอเอที) ทำให้การลงทุนรวมในประเทศไทยของฟอร์ด-มาสด้า มีมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 5.1 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน
นายจอห์น จี. ปาร์กเกอร์ รองประธานบริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ กล่าวว่า การลงทุนล่าสุดจะเพื่อการผลิตรถยนต์นั่งในระดับบี-เซ็กเมนต์ ประกอบด้วยฟอร์ด ฟิเอสต้า และมาสด้า 2 โดยจะเริ่มต้นผลิตได้ในปี 2552 ด้วยกำลังการผลิต 1 แสนคัน เป็นการผลิตรถฟอร์ดและมาสด้าเท่าๆ กัน ซึ่งจะส่งออก 80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
การลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้กำลังการผลิตในโรงงานเอเอทีที่มีอยู่ 1.75 แสนคันต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 2.75 แสนคันต่อปี นายปาร์กเกอร์ กล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมเหล็กเปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ผู้บริหารสูงสุดของบริษัท นิปปอนสตีล จากประเทศญี่ปุ่น จะเดินทางเข้าพบนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม ทั้งนี้บริษัท นิปปอนสตีล ต้องการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เพื่อป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่กำลังขยายตัว ซึ่งหากเข้ามาลงทุนคาดว่าจะใช้เงิน 1 หมื่นล้านบาทอาจจะตั้งโรงงานได้ 2 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท เจเอฟอี คอร์ปอเรชั่น จากญี่ปุ่น สนใจเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตเหล็กรีดเย็น เนื่องจากไทยมีความต้องการใช้ในประเทศอีกปีละ 1 ล้านตัน ขณะนี้ประเทศไทยผลิตได้ปีละ 2 ล้านตัน ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 2 โรง คือ บริษัท สยามยูไนเต็ดสตีล และบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี
ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลสำรวจการลงทุนระหว่างประเทศของบริษัทเอกชนในประเทศไทย 7,982 ราย ณ เดือน ธ.ค. 2549 พบว่า คนไทยนำเงินไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศทั้งสิ้น 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากปีก่อน 8.9% โดยการเพิ่มขึ้นมีทั้งใส่เงินใหม่และใช้กำไรสะสมลงทุนต่อ
ทั้งนี้ ประเทศที่นิยมไปลงทุนมากที่สุดคือ สิงคโปร์ คิดเป็น 21.7% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือ 880 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือ พม่า ลงทุน 12.9% หรือ 520 ล้านเหรียญสหรัฐ และในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน 12.7% หรือ 510 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธปท.รายงานว่า ธุรกิจที่ คนไทยเลือกลงทุนมากที่สุดคือ ภาคอุตสาหกรรม 55.7% ของเงินที่ไปลงทุนทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มีสัดส่วนการลงทุน 23.2% อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า 11.7% รองลงมาเป็นการลงทุนในธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร สัดส่วน 11.5%
อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ส่งเงินมาลงทุนในไทยมากที่สุดก็คืออังกฤษ คิดเป็นสัดส่วน 31.3% รองลงมาเป็นสหรัฐ 20.1% และสิงคโปร์ 11.1%
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 958&ch=227
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/10/07
โพสต์ที่ 324
คาดส่งออกไตรมาส4ดิ่งเหวโตแค่4.3% ทุบสถิติต่ำสุดรอบ5ปี6เดือน-โดนสารพัดปัจจัยลบรุม
โดย ข่าวสด วัน พุธ ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:18 น.
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการคาดการณ์ภาวะส่งออก-นำเข้าสินค้าของไทย ไตรมาส 4/50 ว่า มูลค่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 4 คาดจะขยายตัวต่ำสุดในรอบ 22 ไตรมาส โดยขยายตัว 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี49 คิดเป็นมูลค่า 35,905 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม การส่งออกทั้งปี50 คาดว่าจะมีมูลค่า 146,021 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12.6% จากที่ขยายตัว 16.9% ในปี49 ทั้งนี้ ในตลาดสหรัฐ การส่งออกลดต่ำสุดรอบ 23 ไตรมาส มูลค่าการส่งออกลดลง 14.75% ในขณะที่ตลาดหลักสำคัญอย่าง ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน ออสเตรเลีย และจีน มีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงเช่นกัน
ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะมีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยขยายตัว 9.24% คิดเป็นมูลค่า 35,833 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้ารวมของปี50 มีมูลค่า 138,945 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.90% ชะลอลงจากปี49 ที่ขยายตัว 8.95% โดยสินค้าทุนจะมีมูลค่านำเข้า 9,149 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.59% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าในกลุ่มน้ำมันคาดว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 76.39% และสินค้าอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.44% คิดเป็นมูลค่า 2,890 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปี50 คาดว่าไทยจะเกินดุลการค้ามูลค่า 6,652 ล้านเหรียญสหรัฐ และดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีที่ 9,986 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับปัจจัยลบที่ส่งผลต่อภาคการส่งออกไตรมาส 4 คือ 1.การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของตลาดหลักส่งออกของไทย 2.การตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ในสินค้าเครื่องประดับที่ทำจากทอง และเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต และเครื่องรับโทรทัศน์สีจอแบน 3.การชะลอการสั่งซื้อจากตลาดใหญ่สหรัฐ และสหภาพยุโรปในไตรมาส 4 เนื่องจากเตรียมรองรับเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ 4.ภาคเอกชนชะลอการขยายการลงทุนเพื่อรอดูการทำงานของรัฐบาลใหม่ 5.มาตรการของประเทศนำเข้าที่สหภาพยุโรปบังคับใช้ระเบียบการจดทะเบียนและให้อนุญาตการใช้สารเคมีอันตราย 6 ชนิดในเครื่องใช้ไฟฟ้า 6.ทิศทางค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายอัทธ์ กล่าวถึงทิศทางการส่งออกของไทยปี51 ว่า คาดว่าจะขยายตัวเพียง 10.37% คิดเป็นมูลค่า 161,169 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.52 บาท/เหรียญสหรัฐ ส่วนอัตราการเติบโตของจีดีพีปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวอยู่ระหว่าง 4.5-4.7%
ทั้งนี้ จากสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการส่งออก 154 ราย พบว่า ความคิดเห็นของผู้ส่งออกต่อปัจจัยเสี่ยงปลายปี 55.19% ยังกังวลในเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 33.12% กังวลเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน และปัจจัยเสี่ยงในปี51 มาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 51.97% เรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน 28.95%
นายชัยนันท์ อุไชยกุล ประธานคณะอนุกรรมการการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกของไทยช่วงไตรมาส 4 /50 ยังน่าเป็นห่วงหลายเรื่อง เช่น ปัญหาซับไพรม์ที่มีผลกระทบแบบลูกโซ่ต่อโครงสร้างการผลิตทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐต่ำลง และสหรัฐชะลอการนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยด้วย นอกจากนี้ราคาน้ำมันคาดจะส่งผลในปี50 ถึง ปี51 โดยราคาอาจจะขยับไปแตะถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลได้
http://news.sanook.com/economic/economic_192492.php
โดย ข่าวสด วัน พุธ ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:18 น.
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการคาดการณ์ภาวะส่งออก-นำเข้าสินค้าของไทย ไตรมาส 4/50 ว่า มูลค่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 4 คาดจะขยายตัวต่ำสุดในรอบ 22 ไตรมาส โดยขยายตัว 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี49 คิดเป็นมูลค่า 35,905 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม การส่งออกทั้งปี50 คาดว่าจะมีมูลค่า 146,021 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12.6% จากที่ขยายตัว 16.9% ในปี49 ทั้งนี้ ในตลาดสหรัฐ การส่งออกลดต่ำสุดรอบ 23 ไตรมาส มูลค่าการส่งออกลดลง 14.75% ในขณะที่ตลาดหลักสำคัญอย่าง ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน ออสเตรเลีย และจีน มีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงเช่นกัน
ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะมีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยขยายตัว 9.24% คิดเป็นมูลค่า 35,833 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้ารวมของปี50 มีมูลค่า 138,945 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.90% ชะลอลงจากปี49 ที่ขยายตัว 8.95% โดยสินค้าทุนจะมีมูลค่านำเข้า 9,149 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.59% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าในกลุ่มน้ำมันคาดว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 76.39% และสินค้าอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.44% คิดเป็นมูลค่า 2,890 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปี50 คาดว่าไทยจะเกินดุลการค้ามูลค่า 6,652 ล้านเหรียญสหรัฐ และดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีที่ 9,986 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับปัจจัยลบที่ส่งผลต่อภาคการส่งออกไตรมาส 4 คือ 1.การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของตลาดหลักส่งออกของไทย 2.การตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ในสินค้าเครื่องประดับที่ทำจากทอง และเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต และเครื่องรับโทรทัศน์สีจอแบน 3.การชะลอการสั่งซื้อจากตลาดใหญ่สหรัฐ และสหภาพยุโรปในไตรมาส 4 เนื่องจากเตรียมรองรับเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ 4.ภาคเอกชนชะลอการขยายการลงทุนเพื่อรอดูการทำงานของรัฐบาลใหม่ 5.มาตรการของประเทศนำเข้าที่สหภาพยุโรปบังคับใช้ระเบียบการจดทะเบียนและให้อนุญาตการใช้สารเคมีอันตราย 6 ชนิดในเครื่องใช้ไฟฟ้า 6.ทิศทางค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายอัทธ์ กล่าวถึงทิศทางการส่งออกของไทยปี51 ว่า คาดว่าจะขยายตัวเพียง 10.37% คิดเป็นมูลค่า 161,169 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.52 บาท/เหรียญสหรัฐ ส่วนอัตราการเติบโตของจีดีพีปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวอยู่ระหว่าง 4.5-4.7%
ทั้งนี้ จากสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการส่งออก 154 ราย พบว่า ความคิดเห็นของผู้ส่งออกต่อปัจจัยเสี่ยงปลายปี 55.19% ยังกังวลในเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 33.12% กังวลเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน และปัจจัยเสี่ยงในปี51 มาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 51.97% เรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน 28.95%
นายชัยนันท์ อุไชยกุล ประธานคณะอนุกรรมการการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกของไทยช่วงไตรมาส 4 /50 ยังน่าเป็นห่วงหลายเรื่อง เช่น ปัญหาซับไพรม์ที่มีผลกระทบแบบลูกโซ่ต่อโครงสร้างการผลิตทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐต่ำลง และสหรัฐชะลอการนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยด้วย นอกจากนี้ราคาน้ำมันคาดจะส่งผลในปี50 ถึง ปี51 โดยราคาอาจจะขยับไปแตะถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลได้
http://news.sanook.com/economic/economic_192492.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/10/07
โพสต์ที่ 325
หุ้นโลกฮอตน้อยลงปี51 ดัชนีไทยมีลุ้นแตะพันจุด
โพสต์ทูเดย์ ก้องเกียรติ ฟันธงหุ้นโลกปีหน้าลดความร้อนแรง อย่างเก่งดัชนีเพิ่มขึ้น 20-30% หลังปีนี้ กระทิงขวิดแรง ส่วนดัชนีไทย แตะ 1 พันจุด
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส (ASP) กล่าวในงานเสวนา โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ของ บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า ยังมีโอกาสทำกำไร แต่แนวโน้มในปีหน้า ดัชนีหุ้นทั่วโลกคงจะปรับตัวขึ้นได้ไม่มากเหมือนปีนี้ โดยคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 20-25%
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากผลประกอบการของโลก ตลาดมีสัดส่วนราคาต่อกำไร หรือพี/อี เฉลี่ย 14 เท่า และราคาหุ้นคิดกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี ซึ่งถือว่ายังไม่แพง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ในต้นปีหน้ามีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1 พันจุด โดยจะเริ่มเห็นสัญญาที่ชัดเจนได้หลังจากเกิดการเลือกตั้ง แม้ระหว่างทางดัชนีอาจจะมีความผันผวนบ้าง แต่แนวโน้มยังมีปัจจัยบวกด้านความต้องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เช่น รถไฟฟ้า เข้ามาหนุนดัชนี
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น นำโดยตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น 235% ตลาดหุ้นเอเชียเฉลี่ยโต 30-35% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 17%
สาเหตุหลักเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกมีการเติบโต และสภาพคล่องที่มีอยู่สูงทั่วโลก โดยเงินทุนส่วนใหญ่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะตัวเลขสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ย. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 85 สัปดาห์ ไหลเข้าตลาดหุ้นของประเทศเกิดใหม่ 83% ของเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกประมาณ 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือเข้าไปตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ นายก้องเกียรติ คาดว่า กนง.จะตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงจังหวะเหมาะสมที่จะลดดอกเบี้ย และอัตราดอกเบี้ยของไทยขณะนี้อยู่ในระดับต่ำมากแล้ว
เราเหลือกระสุนน้อยเต็มทีที่จะลดดอกเบี้ย ต่างจากสหรัฐซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปรับขึ้นมาสูงมากทำให้มี กระสุนไว้เยอะ และหากเราลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรและต้องคิดถึงผู้ออมในระบบด้วย อาจทำให้ไม่กล้าบริโภค แต่ เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจจะต้องลดอีกแต่อย่างมากเพียง 0.25%
ขณะที่นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ กนง.จะลดดอกเบี้ยลง 0.25%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196539
โพสต์ทูเดย์ ก้องเกียรติ ฟันธงหุ้นโลกปีหน้าลดความร้อนแรง อย่างเก่งดัชนีเพิ่มขึ้น 20-30% หลังปีนี้ กระทิงขวิดแรง ส่วนดัชนีไทย แตะ 1 พันจุด
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส (ASP) กล่าวในงานเสวนา โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ของ บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า ยังมีโอกาสทำกำไร แต่แนวโน้มในปีหน้า ดัชนีหุ้นทั่วโลกคงจะปรับตัวขึ้นได้ไม่มากเหมือนปีนี้ โดยคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 20-25%
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากผลประกอบการของโลก ตลาดมีสัดส่วนราคาต่อกำไร หรือพี/อี เฉลี่ย 14 เท่า และราคาหุ้นคิดกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี ซึ่งถือว่ายังไม่แพง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ในต้นปีหน้ามีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1 พันจุด โดยจะเริ่มเห็นสัญญาที่ชัดเจนได้หลังจากเกิดการเลือกตั้ง แม้ระหว่างทางดัชนีอาจจะมีความผันผวนบ้าง แต่แนวโน้มยังมีปัจจัยบวกด้านความต้องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เช่น รถไฟฟ้า เข้ามาหนุนดัชนี
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น นำโดยตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น 235% ตลาดหุ้นเอเชียเฉลี่ยโต 30-35% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 17%
สาเหตุหลักเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกมีการเติบโต และสภาพคล่องที่มีอยู่สูงทั่วโลก โดยเงินทุนส่วนใหญ่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะตัวเลขสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ย. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 85 สัปดาห์ ไหลเข้าตลาดหุ้นของประเทศเกิดใหม่ 83% ของเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกประมาณ 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือเข้าไปตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ นายก้องเกียรติ คาดว่า กนง.จะตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงจังหวะเหมาะสมที่จะลดดอกเบี้ย และอัตราดอกเบี้ยของไทยขณะนี้อยู่ในระดับต่ำมากแล้ว
เราเหลือกระสุนน้อยเต็มทีที่จะลดดอกเบี้ย ต่างจากสหรัฐซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปรับขึ้นมาสูงมากทำให้มี กระสุนไว้เยอะ และหากเราลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรและต้องคิดถึงผู้ออมในระบบด้วย อาจทำให้ไม่กล้าบริโภค แต่ เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจจะต้องลดอีกแต่อย่างมากเพียง 0.25%
ขณะที่นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ กนง.จะลดดอกเบี้ยลง 0.25%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196539
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/10/07
โพสต์ที่ 326
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงสุดในรอบ10ปี เงินนอกไหลเข้าทะลัก
11 ตุลาคม พ.ศ. 2550 17:36:00
หุ้นไทยพุ่งกระฉูดสูงสุดในรอบ 10 ปี เงินนอกไหลเข้าทะลุก-วอลุ่มสูงสุดในรอบ 2 เดือน แรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน-แบงก์ หนาแน่น โบรกฯแนะจับตางินทุนนอก ดันดันดัชนี
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ค่อนข้างคึกคัก โดยมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้นกลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน ปิดตลาดดัชนีอยู่ที่ 889.06 จุด บวก 13.96 จุด เพิ่มขึ้น 1.60% ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุดที่ 891.27 จุด ปรับตัวสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 33,920.76 ล้านบาท สูงสุดเมื่อเทียบกับ 34,868.70 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 ก.ค.50
สำหรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ซื้อสุทธิกว่า 2,838.82 ล้านบาท
"ตลาดที่ขึ้นมาแรง เชื่อว่า น่าจะเกิดจาก fund flow จากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นบ้านเรา โดยเฉพาะช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมาพบว่าไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยและอินโดนีเซียค่อนข้างมาก" นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันซ่า กล่าว
สำหรับสาเหตุที่มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดเอเซีย ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยลงอีก
นอกจากนี้ การปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมา ถือได้ว่าปรับตัวน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค ดังนั้นจึงถือได้ว่ามีความเสี่ยงที่น้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (12 ต.ค.) คงต้องติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนจากต่างประเทศ รวมถึงทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่จะเป็นปัจจัยชี้นำตลาดหุ้นไทย
ทรีนีตี้คาดหุ้นไทยสิ้นปีมีลุ้น1,000จุด
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวในงานสัมมนาเรื่องจัดพอร์ตโกยกำไร...รับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการจัดร่วมกันระหว่างนิตยสาร Money & Wealth และ HSBC Premier ว่า สิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,000 จุด แต่อาจจะผันผวนรุนแรง ซึ่งขึ้นกับปัจจัยภายนอกและภายใน เช่น การตัดสินใจปรับลด หรือคงไว้ของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ หากเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ย จะมีเงินไหลกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐ แต่หากปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง เงินทุนจะไหลออก เนื่องจากประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงย่ำแย่
สำหรับหุ้นไทยในช่วง 2-3 สัปดาห์จากนี้ อาจปรับขึ้นไป 900-940 จุด โดยจะต้องพิจารณาแนวโน้มภาวะการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งภายในประเทศ หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ในเดือนธ.ค.โดยไม่มีการเลื่อนเวลาออกไป คาดว่าเงินทุนก็ยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
"ตอนนี้เงินทุนของนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศไม่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่เงินที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นเงินต่างชาติเกือบทั้งหมด คนที่จะได้ประโยชน์จากตลาดหุ้นรอบนี้ก็จะเป็นต่างชาติ"
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า หลังเกิดปัญหาซับไพร์ม เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ และเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่และลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ ส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่ เช่น ปตท. (PTT) และปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตาในวันที่ 17 ตุลาฯที่สหรัฐจะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ และวันที่ 31 ตุลาฯ ที่เฟดจะพิจารณาเรื่องดอกเบี้ย
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังเข้ามาซื้อสัญญาในตลาดล่วงหน้าของตลาดอนุพันธ์ (TFEX) อย่งต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงสภาพคล่องของเงินจำนวนมากที่ไหลเข้ามาในตลาดไทย ซึ่งรวมถึงตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด
สำหรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุน นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ควรจัดพอร์ตการลงทุนโดยถือครองหุ้น 50% ตลาดสารหนี้ และเงินสด 50%
โดยหุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์และปรับตัวสูงขึ้นก่อนการเลือกตั้ง คือ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มสื่อสาร
ทั้งนี้ จากสถิติการเลือกตั้งย้อนหลังไป 3 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นกลุ่มธนาคารสูงขึ้นและให้ผลตอบแทน 9.2% กลุ่มไฟแนนซ์ 8.5% กลุ่มสื่อสาร 7.7% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทน 9.9%
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 900 จุด บวกลบเล็กน้อย และปีหน้าจะอยู่ที่ 1,000 จุด เนื่องจากได้รับประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า เพราะเงินดอลลาร์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงในอนาคต รวมทั้งคาดว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นภายในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ หรือเลื่อนออกไปไม่มาก
สำหรับหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มบันเทิง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่หลังการเลือกตั้ง กลุ่มสื่อสารจะได้รับผลประโยชน์
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=191308
11 ตุลาคม พ.ศ. 2550 17:36:00
หุ้นไทยพุ่งกระฉูดสูงสุดในรอบ 10 ปี เงินนอกไหลเข้าทะลุก-วอลุ่มสูงสุดในรอบ 2 เดือน แรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน-แบงก์ หนาแน่น โบรกฯแนะจับตางินทุนนอก ดันดันดัชนี
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ค่อนข้างคึกคัก โดยมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้นกลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน ปิดตลาดดัชนีอยู่ที่ 889.06 จุด บวก 13.96 จุด เพิ่มขึ้น 1.60% ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุดที่ 891.27 จุด ปรับตัวสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 33,920.76 ล้านบาท สูงสุดเมื่อเทียบกับ 34,868.70 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 ก.ค.50
สำหรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ซื้อสุทธิกว่า 2,838.82 ล้านบาท
"ตลาดที่ขึ้นมาแรง เชื่อว่า น่าจะเกิดจาก fund flow จากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นบ้านเรา โดยเฉพาะช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมาพบว่าไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยและอินโดนีเซียค่อนข้างมาก" นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันซ่า กล่าว
สำหรับสาเหตุที่มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดเอเซีย ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยลงอีก
นอกจากนี้ การปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมา ถือได้ว่าปรับตัวน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค ดังนั้นจึงถือได้ว่ามีความเสี่ยงที่น้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (12 ต.ค.) คงต้องติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนจากต่างประเทศ รวมถึงทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่จะเป็นปัจจัยชี้นำตลาดหุ้นไทย
ทรีนีตี้คาดหุ้นไทยสิ้นปีมีลุ้น1,000จุด
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวในงานสัมมนาเรื่องจัดพอร์ตโกยกำไร...รับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการจัดร่วมกันระหว่างนิตยสาร Money & Wealth และ HSBC Premier ว่า สิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,000 จุด แต่อาจจะผันผวนรุนแรง ซึ่งขึ้นกับปัจจัยภายนอกและภายใน เช่น การตัดสินใจปรับลด หรือคงไว้ของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ หากเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ย จะมีเงินไหลกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐ แต่หากปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง เงินทุนจะไหลออก เนื่องจากประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงย่ำแย่
สำหรับหุ้นไทยในช่วง 2-3 สัปดาห์จากนี้ อาจปรับขึ้นไป 900-940 จุด โดยจะต้องพิจารณาแนวโน้มภาวะการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งภายในประเทศ หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ในเดือนธ.ค.โดยไม่มีการเลื่อนเวลาออกไป คาดว่าเงินทุนก็ยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
"ตอนนี้เงินทุนของนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศไม่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่เงินที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นเงินต่างชาติเกือบทั้งหมด คนที่จะได้ประโยชน์จากตลาดหุ้นรอบนี้ก็จะเป็นต่างชาติ"
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า หลังเกิดปัญหาซับไพร์ม เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ และเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่และลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ ส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่ เช่น ปตท. (PTT) และปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตาในวันที่ 17 ตุลาฯที่สหรัฐจะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ และวันที่ 31 ตุลาฯ ที่เฟดจะพิจารณาเรื่องดอกเบี้ย
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังเข้ามาซื้อสัญญาในตลาดล่วงหน้าของตลาดอนุพันธ์ (TFEX) อย่งต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงสภาพคล่องของเงินจำนวนมากที่ไหลเข้ามาในตลาดไทย ซึ่งรวมถึงตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด
สำหรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุน นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ควรจัดพอร์ตการลงทุนโดยถือครองหุ้น 50% ตลาดสารหนี้ และเงินสด 50%
โดยหุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์และปรับตัวสูงขึ้นก่อนการเลือกตั้ง คือ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มสื่อสาร
ทั้งนี้ จากสถิติการเลือกตั้งย้อนหลังไป 3 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นกลุ่มธนาคารสูงขึ้นและให้ผลตอบแทน 9.2% กลุ่มไฟแนนซ์ 8.5% กลุ่มสื่อสาร 7.7% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทน 9.9%
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 900 จุด บวกลบเล็กน้อย และปีหน้าจะอยู่ที่ 1,000 จุด เนื่องจากได้รับประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า เพราะเงินดอลลาร์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงในอนาคต รวมทั้งคาดว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นภายในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ หรือเลื่อนออกไปไม่มาก
สำหรับหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มบันเทิง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่หลังการเลือกตั้ง กลุ่มสื่อสารจะได้รับผลประโยชน์
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=191308
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/01/07
โพสต์ที่ 327
คลังชี้ทุนนอกทะลักเข้าไทยเฉียด 1 หมื่น ล.ดอลลาร์ คาดต่อเนื่องถึงปีหน้า
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2550 16:10 น.
สศค.คาด ปีนี้เม็ดเงินต่างประเทศ จะไหลเข้ามาลงทุนในไทย ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับปี 49 ที่ไหลเข้ามา 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ชี้เงินดอลลาร์ขาดเสถียรภาพ-สหรัฐฯขาดดุลบัญชีการคลัง ต้นเหตุสำคัญเงินนอกทะลักเข้าเอเชีย คาดต่อเนื่องถึงปีหน้า
วันนี้ (11 ต.ค.) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง คาดว่า ภายในปีนี้น่าจะเห็นเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในไทยที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าปีก่อนที่มีไหลเข้ามา 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาแล้วประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ คาดกันว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงไม่มั่นใจในเรื่องเสถียรภาพค่าเงินดอลลาร์ อันเป็นผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จึงทำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังขาดดุลบัญชีการคลัง จึงทำให้เม็ดเงินยังไหลเข้ามาในตลาดภูมิภาคเอเชีย และไทยต่อเนื่องจนถึงปีหน้า
นอกจากนี้ ปัจจุบันตลาดภูมิภาคเอเชียถือเป็นตลาดที่น่าสนใจในการลงทุน เพราะมีภาคการส่งออกที่แข็งแกร่ง และเศรษฐกิจขยายตัวสูงจึงทำให้มีเงินสำรองสูง ทำให้ค่าเงินในแถบภูมิภาคเอเชียจะมีเสถียรภาพดีกว่าสหรัฐฯ และค่า P/E Ratio ในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียก็มีระดับต่ำกว่าด้วย
นายเวทางค์ ยังคาดว่า ในปี 2551 จะเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงในตลาดหุ้นไทย ในระดับที่มากกว่าปีนี้
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000120634
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2550 16:10 น.
สศค.คาด ปีนี้เม็ดเงินต่างประเทศ จะไหลเข้ามาลงทุนในไทย ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับปี 49 ที่ไหลเข้ามา 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ชี้เงินดอลลาร์ขาดเสถียรภาพ-สหรัฐฯขาดดุลบัญชีการคลัง ต้นเหตุสำคัญเงินนอกทะลักเข้าเอเชีย คาดต่อเนื่องถึงปีหน้า
วันนี้ (11 ต.ค.) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง คาดว่า ภายในปีนี้น่าจะเห็นเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในไทยที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าปีก่อนที่มีไหลเข้ามา 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาแล้วประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ คาดกันว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงไม่มั่นใจในเรื่องเสถียรภาพค่าเงินดอลลาร์ อันเป็นผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จึงทำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังขาดดุลบัญชีการคลัง จึงทำให้เม็ดเงินยังไหลเข้ามาในตลาดภูมิภาคเอเชีย และไทยต่อเนื่องจนถึงปีหน้า
นอกจากนี้ ปัจจุบันตลาดภูมิภาคเอเชียถือเป็นตลาดที่น่าสนใจในการลงทุน เพราะมีภาคการส่งออกที่แข็งแกร่ง และเศรษฐกิจขยายตัวสูงจึงทำให้มีเงินสำรองสูง ทำให้ค่าเงินในแถบภูมิภาคเอเชียจะมีเสถียรภาพดีกว่าสหรัฐฯ และค่า P/E Ratio ในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียก็มีระดับต่ำกว่าด้วย
นายเวทางค์ ยังคาดว่า ในปี 2551 จะเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงในตลาดหุ้นไทย ในระดับที่มากกว่าปีนี้
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000120634
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/10/07
โพสต์ที่ 328
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน ข่าว 18.00 น.
Posted on Thursday, October 11, 2007
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกันยายนปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 75.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ในระดับ 75.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 69.2 ลดลงจากระดับ 69.5 ในเดือนก่อน
โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการกำหนดวันเลือกตั้งในปลายปีนี้ ส่งผลต่อจิตวิทยาของผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่การส่งออกยังขยายตัวได้ดี รวมถึงตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับปัจจัยลบที่ผู้บริโภคยังกังวล คือ ปัญหาบาทแข็งปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันแพง ภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน รวมถึงความกังวลจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในสถานที่ต่าง ๆ
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 4/50 จะยังไม่ฟื้นตัว ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน เพราะเป็นช่วงที่ความเชื่อมั่นของประชาชนอยู่ในระดับต่ำสุดและจะไม่ต่ำกว่านี้อีกหากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น ไม่มีการเลือกตั้งตามที่กำหนด ราคาน้ำมันดีเซลสูงเกิน 30 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซินสูงเกิน 32 บาทต่อลิตร ราคาสินค้าปรับสูงขึ้นมาก
นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคาดหวังกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ เพราะจะทำให้ประเทศกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ และหลังจากนั้นภาวะเศรษฐกิจ การลงทุน การบริโภคของประชาชนจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ภายในไตรมาส 1/51
นายธนวรรธน์บอกด้วยว่า รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งเบิกจ่ายงบอยู่ดีมีสุขจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท ให้ถึงมือรากหญ้า ขณะที่พรรคการเมืองก็ต้องเร่งหาเสียง เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียน 2- 3 หมื่นล้านบาท ช่วยกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจในไตรมาส 4/50
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Thursday, October 11, 2007
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกันยายนปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 75.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ในระดับ 75.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 69.2 ลดลงจากระดับ 69.5 ในเดือนก่อน
โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการกำหนดวันเลือกตั้งในปลายปีนี้ ส่งผลต่อจิตวิทยาของผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่การส่งออกยังขยายตัวได้ดี รวมถึงตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับปัจจัยลบที่ผู้บริโภคยังกังวล คือ ปัญหาบาทแข็งปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันแพง ภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน รวมถึงความกังวลจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในสถานที่ต่าง ๆ
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 4/50 จะยังไม่ฟื้นตัว ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน เพราะเป็นช่วงที่ความเชื่อมั่นของประชาชนอยู่ในระดับต่ำสุดและจะไม่ต่ำกว่านี้อีกหากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น ไม่มีการเลือกตั้งตามที่กำหนด ราคาน้ำมันดีเซลสูงเกิน 30 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซินสูงเกิน 32 บาทต่อลิตร ราคาสินค้าปรับสูงขึ้นมาก
นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคาดหวังกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ เพราะจะทำให้ประเทศกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ และหลังจากนั้นภาวะเศรษฐกิจ การลงทุน การบริโภคของประชาชนจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ภายในไตรมาส 1/51
นายธนวรรธน์บอกด้วยว่า รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งเบิกจ่ายงบอยู่ดีมีสุขจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท ให้ถึงมือรากหญ้า ขณะที่พรรคการเมืองก็ต้องเร่งหาเสียง เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียน 2- 3 หมื่นล้านบาท ช่วยกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจในไตรมาส 4/50
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/10/07
โพสต์ที่ 329
โฆสิต ชี้ 2 ปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไตรมาส 3 ฟื้นตัวชัดเจน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 ตุลาคม 2550 17:00 น.
โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ระบุมี 2 ปัจจัยช่วยสร้างเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปีนี้ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ประเมินปีหน้า การลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะจะมีการลงทุนมากขึ้น ขณะที่การลงทุน 9 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 446,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 พร้อมคาดว่าจะมีบริษัทรถยนต์สนใจขออนุมัติลงทุนผลิตรถยนต์อีโคคาร์เพิ่มขึ้น
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เช้าวันนี้ (12 ต.ค.) กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการรายงานภาวะเศรษฐกิจต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ฟื้นตัวขึ้นชัดเจน เพราะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้ การใช้จ่ายของภาครัฐผ่านงบประมาณก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย ซึ่งถือว่าเป็นไปตามกรอบที่คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมคาดหมายไว้ และคาดว่าไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันผลักดันต่อไปด้วย
นายโฆสิต กล่าวต่อว่า ในปีหน้า การลงทุนจะเริ่มมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกกลไกหนึ่ง โดยคาดว่าไตรมาส 2 จะเริ่มเห็นผลชัดเจนจากการลงทุนพร้อมทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการลงทุนจากเอกชนในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น
นายโฆสิต กล่าวถึงภาวะการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ว่า มีมูลค่าการลงทุนรวม 446,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่า 362,300 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 23 ส่วนจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นกว่าปี 2549 จาก 955 โครงการ เป็น 959 โครงการ ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 158,000 คน
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีผู้สนใจขอรับส่งเสริมลงทุนมากอันดับหนึ่ง คือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ กิจการขนส่งทางท่อ กิจการขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเล กิจการทำวิจัยและพัฒนายางรถยนต์ กิจการโลจิสติกส์ และโรงแรม ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมสูงถึงกว่า 137,500 ล้านบาท อันดับรองเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กระดาษ และพลาสติก โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 97,600 ล้านบาท อันดับ 3 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 68,100 ล้านบาท
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเป้าหมาย 6 ประเภท ที่กำหนดไว้ 9 เดือนแรกปีนี้ มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน รวม 605 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 63 ของจำนวนโครงการทั้งหมด มูลค่าการลงทุนรวม 202,800 ล้านบาท โดยมีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไอซีที มีการลงทุนมากที่สุดมูลค่า 62,800 ล้านบาท
ภาวะการลงทุนปลายปีนี้เชื่อว่าจะขยายตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะนักลงทุนจากญี่ปุ่น สหรัฐ และกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) โดยนักลงทุนญี่ปุ่นยังลงทุนในประเทศไทยสูงสุดมูลค่ากว่า 83,100 ล้านบาท และมีจำนวนโครงการคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39 ของจำนวนโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว
ส่วนนโยบายส่งเสริมการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) นายโฆสิต กล่าวว่า รัฐบาลได้วางกรอบเงื่อนไขต่าง ๆ และมีนักลงทุนสนใจเข้ามาผลิตรถยนต์ดังกล่าว ล่าสุดมีการอนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีการวางแผนผลิต 120,000 คันต่อปี มูลค่าลงทุนรวม 6,700 ล้านบาท ผลิตเพื่อการส่งออกร้อยละ 50 และคาดว่าเร็ว ๆ นี้จะมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม เพราะขณะนี้มีผู้ประกอบการรถยนต์รายอื่น ๆ อีก 2-3 ราย อยู่ระหว่างการหารือเงื่อนไขการลงทุนกับบีโอไอ
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000121199
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 ตุลาคม 2550 17:00 น.
โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ระบุมี 2 ปัจจัยช่วยสร้างเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปีนี้ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ประเมินปีหน้า การลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะจะมีการลงทุนมากขึ้น ขณะที่การลงทุน 9 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 446,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 พร้อมคาดว่าจะมีบริษัทรถยนต์สนใจขออนุมัติลงทุนผลิตรถยนต์อีโคคาร์เพิ่มขึ้น
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เช้าวันนี้ (12 ต.ค.) กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการรายงานภาวะเศรษฐกิจต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ฟื้นตัวขึ้นชัดเจน เพราะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้ การใช้จ่ายของภาครัฐผ่านงบประมาณก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย ซึ่งถือว่าเป็นไปตามกรอบที่คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมคาดหมายไว้ และคาดว่าไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันผลักดันต่อไปด้วย
นายโฆสิต กล่าวต่อว่า ในปีหน้า การลงทุนจะเริ่มมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกกลไกหนึ่ง โดยคาดว่าไตรมาส 2 จะเริ่มเห็นผลชัดเจนจากการลงทุนพร้อมทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการลงทุนจากเอกชนในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น
นายโฆสิต กล่าวถึงภาวะการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ว่า มีมูลค่าการลงทุนรวม 446,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่า 362,300 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 23 ส่วนจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นกว่าปี 2549 จาก 955 โครงการ เป็น 959 โครงการ ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 158,000 คน
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีผู้สนใจขอรับส่งเสริมลงทุนมากอันดับหนึ่ง คือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ กิจการขนส่งทางท่อ กิจการขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเล กิจการทำวิจัยและพัฒนายางรถยนต์ กิจการโลจิสติกส์ และโรงแรม ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมสูงถึงกว่า 137,500 ล้านบาท อันดับรองเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กระดาษ และพลาสติก โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 97,600 ล้านบาท อันดับ 3 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 68,100 ล้านบาท
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเป้าหมาย 6 ประเภท ที่กำหนดไว้ 9 เดือนแรกปีนี้ มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน รวม 605 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 63 ของจำนวนโครงการทั้งหมด มูลค่าการลงทุนรวม 202,800 ล้านบาท โดยมีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไอซีที มีการลงทุนมากที่สุดมูลค่า 62,800 ล้านบาท
ภาวะการลงทุนปลายปีนี้เชื่อว่าจะขยายตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะนักลงทุนจากญี่ปุ่น สหรัฐ และกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) โดยนักลงทุนญี่ปุ่นยังลงทุนในประเทศไทยสูงสุดมูลค่ากว่า 83,100 ล้านบาท และมีจำนวนโครงการคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39 ของจำนวนโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว
ส่วนนโยบายส่งเสริมการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) นายโฆสิต กล่าวว่า รัฐบาลได้วางกรอบเงื่อนไขต่าง ๆ และมีนักลงทุนสนใจเข้ามาผลิตรถยนต์ดังกล่าว ล่าสุดมีการอนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีการวางแผนผลิต 120,000 คันต่อปี มูลค่าลงทุนรวม 6,700 ล้านบาท ผลิตเพื่อการส่งออกร้อยละ 50 และคาดว่าเร็ว ๆ นี้จะมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม เพราะขณะนี้มีผู้ประกอบการรถยนต์รายอื่น ๆ อีก 2-3 ราย อยู่ระหว่างการหารือเงื่อนไขการลงทุนกับบีโอไอ
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000121199
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/10/07
โพสต์ที่ 330
หุ้นแบงก์-อสังหาฯ-ชิ้นส่วนดี๊ด๊า
รับความเชื่อมั่นฟื้นก่อนเลือกตั้ง
หุ้นแบงก์ อสังหาฯ-ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคและยานยนต์เริ่มโชยกลิ่นหอมหลังสัญญาณการบริโภคเริ่มฟื้นตัวรับเลือกตั้ง โบรกเกอร์มองหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามเงินทุนต่างชาติไหลเข้า แนะยังเก็งกำไรได้ ชู BBL KBANK และ SCB ยังมีอัพไซต์ได้ผลดีสินเชื่อโต ส่วน LPN AP QH และ BLS ฝรั่งไทยเทศรุมตอมไม่แพ้กัน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่าสัญญาณการบริโภคที่เริ่มฟื้นตัวจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มค้าปลีก รวมถึงกลุ่มหลักทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์ทางอ้อม โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าน่าจะได้ประโยชน์ในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยแต่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้ในระดับที่น่าพอใจ
สำหรับราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มองว่ายังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกพอสมควร โดยแนะนำ ซื้อ หุ้นของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL ที่ราคาเป้าหมาย 147.00 บาท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK ที่ราคาเป้าหมาย 93.00 บาท และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB ที่ราคาเป้าหมาย 91.00 บาท
ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังคงแนะนำ ซื้อหุ้น บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) AP บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) LPN และบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) QH ส่วนกลุ่มค้าปลีกแนะนำ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO และกลุ่มหลักทรัพย์แนะนำ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด(มหาชน) BLS
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ถือว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน แต่ไม่ถือว่าปรับตัวลดลงมากจนเกินไป เนื่องจากทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตได้ประมาณ 4% สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตยังคงเป็นกลุ่มส่งออก เช่นกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ในขณะที่กลุ่มเกี่ยวกับการบริโภคยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนการครองชีพกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งค่าก๊าซหุงต้ม และราคาอาหาร
อย่างไรก็ตามด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงขยายตัว จากความมั่นใจว่าปีหน้าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เกิดขึ้น ซึ่งความมั่นใจดังกล่าวจะส่งผลบวกด้านจิตวิทยาต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มค้าปลีก รวมถึงกลุ่มพลังงานที่ได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเพราะจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งหุ้นที่จะได้รับผลดีมากที่สุดคือกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตามมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวมากเพราะแนวโน้มค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่สัญญาณการปรับตัวขึ้นของราคายังคงมีต่อเนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติที่ยังมีอยู่ นักวิเคราะห์กล่าว
ทั้งนี้มองว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันปรับขึ้นตามการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ไม่ได้เป็นการปรับขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานแต่มองว่ายังสามารถเล่นเก็งกำไรได้ เนื่องจากสัญญาณการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติยังมีต่อเนื่อง
สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คงไว้ที่ 3.25% ในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงที่ไปอีก 2-3 เดือน แต่หากราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเงินเฟ้ออาจจะทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนคต
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 984&ch=225
รับความเชื่อมั่นฟื้นก่อนเลือกตั้ง
หุ้นแบงก์ อสังหาฯ-ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคและยานยนต์เริ่มโชยกลิ่นหอมหลังสัญญาณการบริโภคเริ่มฟื้นตัวรับเลือกตั้ง โบรกเกอร์มองหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามเงินทุนต่างชาติไหลเข้า แนะยังเก็งกำไรได้ ชู BBL KBANK และ SCB ยังมีอัพไซต์ได้ผลดีสินเชื่อโต ส่วน LPN AP QH และ BLS ฝรั่งไทยเทศรุมตอมไม่แพ้กัน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่าสัญญาณการบริโภคที่เริ่มฟื้นตัวจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มค้าปลีก รวมถึงกลุ่มหลักทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์ทางอ้อม โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าน่าจะได้ประโยชน์ในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยแต่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้ในระดับที่น่าพอใจ
สำหรับราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มองว่ายังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกพอสมควร โดยแนะนำ ซื้อ หุ้นของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL ที่ราคาเป้าหมาย 147.00 บาท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK ที่ราคาเป้าหมาย 93.00 บาท และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB ที่ราคาเป้าหมาย 91.00 บาท
ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังคงแนะนำ ซื้อหุ้น บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) AP บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) LPN และบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) QH ส่วนกลุ่มค้าปลีกแนะนำ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO และกลุ่มหลักทรัพย์แนะนำ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด(มหาชน) BLS
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ถือว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน แต่ไม่ถือว่าปรับตัวลดลงมากจนเกินไป เนื่องจากทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตได้ประมาณ 4% สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตยังคงเป็นกลุ่มส่งออก เช่นกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ในขณะที่กลุ่มเกี่ยวกับการบริโภคยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนการครองชีพกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งค่าก๊าซหุงต้ม และราคาอาหาร
อย่างไรก็ตามด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงขยายตัว จากความมั่นใจว่าปีหน้าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เกิดขึ้น ซึ่งความมั่นใจดังกล่าวจะส่งผลบวกด้านจิตวิทยาต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มค้าปลีก รวมถึงกลุ่มพลังงานที่ได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเพราะจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งหุ้นที่จะได้รับผลดีมากที่สุดคือกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตามมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวมากเพราะแนวโน้มค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่สัญญาณการปรับตัวขึ้นของราคายังคงมีต่อเนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติที่ยังมีอยู่ นักวิเคราะห์กล่าว
ทั้งนี้มองว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันปรับขึ้นตามการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ไม่ได้เป็นการปรับขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานแต่มองว่ายังสามารถเล่นเก็งกำไรได้ เนื่องจากสัญญาณการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติยังมีต่อเนื่อง
สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คงไว้ที่ 3.25% ในการประชุมวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงที่ไปอีก 2-3 เดือน แต่หากราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเงินเฟ้ออาจจะทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนคต
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 984&ch=225