ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
- khun_parinya
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 91
ธุรกิจการเงินและนายหน้าครับ
ผมสนใจแต่ธุรกิจที่รีดดอกเบี้ยทบต้น กับธุรกิจที่เก็บค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าเท่านั้นครับ
ผมสนใจแต่ธุรกิจที่รีดดอกเบี้ยทบต้น กับธุรกิจที่เก็บค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าเท่านั้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 94
พอดีผมกำลังจะเริ่มธุรกิจนายหน้าพอดีเลย อืม.. ไม่นึกเลยว่าเราจะตาถึง 555khun_parinya เขียน:ธุรกิจการเงินและนายหน้าครับ
ผมสนใจแต่ธุรกิจที่รีดดอกเบี้ยทบต้น กับธุรกิจที่เก็บค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าเท่านั้นครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 96
คนไทยกลุ่มใหญ่ที่สุดตอนนี้มีอายุ 25-35 ปี อีกห้าปีข้างหน้าคนกลุ่มนี้จะมีอายุ 30-40 ปี ประกอบกับช่วงหลังๆ จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนของไทยกำลังลดลงอย่างรวดเร็วมาก คิดออกไหมว่าคนกลุ่มใช้เงิินไปกับอะไรมากที่สุด
ผมคิดว่าธุรกิจที่จะมาแรงใน 5 ปีข้างหน้านี้ก็คือธุรกิจทำโครงการบ้านราคาต่ำ ในระดับที่คนที่เพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปีสามารถผ่อนได้ครับ
ผมให้ธุรกิจนี้ดีน้อยกว่ารพ.แต่ดีมากกว่าค้าปลีกเสียอีกครับ
ผมคิดว่าธุรกิจที่จะมาแรงใน 5 ปีข้างหน้านี้ก็คือธุรกิจทำโครงการบ้านราคาต่ำ ในระดับที่คนที่เพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปีสามารถผ่อนได้ครับ
ผมให้ธุรกิจนี้ดีน้อยกว่ารพ.แต่ดีมากกว่าค้าปลีกเสียอีกครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 97
จิงๆแล้วผมยังคิดว่าพวกธุรกิจสื่อสารที่หันมาจับตลาดประเภท...internet everywhere ยังน่าจะเติบโตได้อีกมากในอนาคต <แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องลงทุนอีกมากเท่าไหร่>...เพราะผมคิดว่าคนไทยในอนาคตน่าจะมีนิสัย รักการอ่าน การค้นคว้ามากขึ้น...สิ่งอำนวยความสะดวกสร้างประโยชน์มากที่สุดก้อคือการที่เราสามารถติดต่อหรือupdateข่าวสารกับโลกภายนอกได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่จำกัดสถานที่
อย่างโทรศัพท์มือถือพวก pocket pc พวกนี้ก็น่าจะเป็นตัว จะเป็นตัวช่วยเสริมธุรกิจนี้ได้อีกมากเลยครับ
พวกธุรกิจ ที่ทำหนังสือ ร้านหนังสือ หรือ นสพ. ก็น่าจะเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆ...<ตามอัตราการเรียนรู้ของคนไทย>...และโดยเฉพาะตจว ที่ข้อมูลข่าวสารผ่านเข้าถึงได้ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับกทม...ถ้าปรับปรุงจุดนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น <กระจายความเจริญออกไป>...ก็น่าจะช่วยเสริมธุรกิจได้อีกเยอะ... :shock: :shock:
อย่างโทรศัพท์มือถือพวก pocket pc พวกนี้ก็น่าจะเป็นตัว จะเป็นตัวช่วยเสริมธุรกิจนี้ได้อีกมากเลยครับ
พวกธุรกิจ ที่ทำหนังสือ ร้านหนังสือ หรือ นสพ. ก็น่าจะเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆ...<ตามอัตราการเรียนรู้ของคนไทย>...และโดยเฉพาะตจว ที่ข้อมูลข่าวสารผ่านเข้าถึงได้ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับกทม...ถ้าปรับปรุงจุดนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น <กระจายความเจริญออกไป>...ก็น่าจะช่วยเสริมธุรกิจได้อีกเยอะ... :shock: :shock:
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 98
มีเหตุผลครับ ถ้าคนกลุ่มนี้ยังมีเงิน หรือ เครดิตอยู่ ตอนนี้ผมเกรงว่าคนกลุ่มนี้ ยังค้างชำระกันเยอะพอสมควร ถ้าหนี้เขาน้อยลงเมื่อไหร่ และสภาพธุรกิจเป็นใจ ก็น่าจะดีครับสุมาอี้ เขียน:คนไทยกลุ่มใหญ่ที่สุดตอนนี้มีอายุ 25-35 ปี อีกห้าปีข้างหน้าคนกลุ่มนี้จะมีอายุ 30-40 ปี ประกอบกับช่วงหลังๆ จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนของไทยกำลังลดลงอย่างรวดเร็วมาก คิดออกไหมว่าคนกลุ่มใช้เงิินไปกับอะไรมากที่สุด
ผมคิดว่าธุรกิจที่จะมาแรงใน 5 ปีข้างหน้านี้ก็คือธุรกิจทำโครงการบ้านราคาต่ำ ในระดับที่คนที่เพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปีสามารถผ่อนได้ครับ
ผมให้ธุรกิจนี้ดีน้อยกว่ารพ.แต่ดีมากกว่าค้าปลีกเสียอีกครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- jody4003
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 99
คุณสุมาอี้ ผู้เล่นที่ทำอยู่จะป้องกันรายใหม่ได้ยังไงครับ ??สุมาอี้ เขียน:คนไทยกลุ่มใหญ่ที่สุดตอนนี้มีอายุ 25-35 ปี อีกห้าปีข้างหน้าคนกลุ่มนี้จะมีอายุ 30-40 ปี ประกอบกับช่วงหลังๆ จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนของไทยกำลังลดลงอย่างรวดเร็วมาก คิดออกไหมว่าคนกลุ่มใช้เงิินไปกับอะไรมากที่สุด
ผมคิดว่าธุรกิจที่จะมาแรงใน 5 ปีข้างหน้านี้ก็คือธุรกิจทำโครงการบ้านราคาต่ำ ในระดับที่คนที่เพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปีสามารถผ่อนได้ครับ
ผมให้ธุรกิจนี้ดีน้อยกว่ารพ.แต่ดีมากกว่าค้าปลีกเสียอีกครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 100
เลือกผู้เล่นที่มี cost leadership ครับjody4003 เขียน: คุณสุมาอี้ ผู้เล่นที่ทำอยู่จะป้องกันรายใหม่ได้ยังไงครับ ??
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- metro
- Verified User
- โพสต์: 861
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 104
เอามาจากหนังสือนอกนะครับ .. เท่าที่หัวหน้าผมอ่านถึง มี 2 อย่างที่น่าสนใจ
1. พลังงานนิวเคลียร์ เพราะ เป็นพลังงานสะอาด + ราคาถูก สามารถลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ ก่อมลพิษน้อยช่วยลดปัญหาการเกิดสภาวะโลกร้อนได้
2. สุขภาพ เพราะ ปัจจุบัน การบริโภคที่ผิดๆ เช่น การทาน อาหารปิ้ง+ย่าง การใช้ชีวิตประจำวันที่ให้ความสะดวกสะบาย ทำให้คนเราทำงานหน้าจอคอมมากขึ้น ทำให้เกิดคนเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอ้วน ฯลฯ เยอะขึ้นมาก ในอนาคตการรักษาโรคจะง่ายขึ้น คล้ายๆกับการที่สมัยก่อนคนเป็นฝีดาษมักจะตายทุกคน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ จะมีการแก้ไขที่ง่ายมากขึ้น คนเราจะเข้าดรงพยาบาลมากขึ้นเพื่อป่วยน้อยลง ทานอาหารเสริมมากขึ้นเพื่อป่วยน้อยลง คนจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นครับ .....
1. พลังงานนิวเคลียร์ เพราะ เป็นพลังงานสะอาด + ราคาถูก สามารถลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ ก่อมลพิษน้อยช่วยลดปัญหาการเกิดสภาวะโลกร้อนได้
2. สุขภาพ เพราะ ปัจจุบัน การบริโภคที่ผิดๆ เช่น การทาน อาหารปิ้ง+ย่าง การใช้ชีวิตประจำวันที่ให้ความสะดวกสะบาย ทำให้คนเราทำงานหน้าจอคอมมากขึ้น ทำให้เกิดคนเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอ้วน ฯลฯ เยอะขึ้นมาก ในอนาคตการรักษาโรคจะง่ายขึ้น คล้ายๆกับการที่สมัยก่อนคนเป็นฝีดาษมักจะตายทุกคน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ จะมีการแก้ไขที่ง่ายมากขึ้น คนเราจะเข้าดรงพยาบาลมากขึ้นเพื่อป่วยน้อยลง ทานอาหารเสริมมากขึ้นเพื่อป่วยน้อยลง คนจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นครับ .....
-
- Verified User
- โพสต์: 139
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 105
เคยอ่านของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ครับบอกว่ามี 5 อย่าง ที่เป็นธุรกิจ
ดาวรุ่ง ในอนาคต (Maga Trend)
1. ธุรกิจว่าด้วยการประหยัดพลังงาน และการอนุรักษ์พลังงาน
อนาคตคนเยอะขึ้น พลังงานแพงขึ้นเรื่อยๆ ให้หาวิธีการทำให้ประหยัด
ได้คนนั้นรวยก่อนครับ แต่เป็นการบ้านให้คิดครับว่า ใครและหุ้นตัวไหน
อาจจะเป็น Logistic ,ขนส่ง หรือพลังงานทางเลือกก็ได้ครับ (แต่ผู้บริหารก็ต้องมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยนะครับ)
2. บริการการแพทย์และความสวยงาม ยุค Baby Boom คนแก่ขึ้น
คนมีเงินอยากจะสวยก็ต้องดึงหน้า เสริมความงาม ให้ดูที่รพ.ยันฮีครับ
แม้ว่ามีข่าวเสียหายเยอะ แต่ก็ Make Money สุดๆ แนวโน้มคนไทย
เป็นโรคหัวใจ, มะเร็งมากขึ้น จากอาหารการกิน รพ.รับทรัพย์อยู่แล้วครับ
3. เป็นธุรกิจค้าปลีก เพราะมีอำนาจเหนือตลาด และ Life Stye ของคนเรา
เปลี่ยนไป ประเภท Community Mall, Convenien Store แบบนี้ สะดวก
สบาย และประหยัดน้ำมันในยุคน้ำมันแพง
อีก 2 อย่างลืมไปแล้วครับ ต้องขอโทษด้วย พยายามหาอยู่เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าอ่านแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว
ถ้าหาเจอแล้วจะเอามา Post ต่อให้จบแล้วกันครับ
:D
ดาวรุ่ง ในอนาคต (Maga Trend)
1. ธุรกิจว่าด้วยการประหยัดพลังงาน และการอนุรักษ์พลังงาน
อนาคตคนเยอะขึ้น พลังงานแพงขึ้นเรื่อยๆ ให้หาวิธีการทำให้ประหยัด
ได้คนนั้นรวยก่อนครับ แต่เป็นการบ้านให้คิดครับว่า ใครและหุ้นตัวไหน
อาจจะเป็น Logistic ,ขนส่ง หรือพลังงานทางเลือกก็ได้ครับ (แต่ผู้บริหารก็ต้องมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยนะครับ)
2. บริการการแพทย์และความสวยงาม ยุค Baby Boom คนแก่ขึ้น
คนมีเงินอยากจะสวยก็ต้องดึงหน้า เสริมความงาม ให้ดูที่รพ.ยันฮีครับ
แม้ว่ามีข่าวเสียหายเยอะ แต่ก็ Make Money สุดๆ แนวโน้มคนไทย
เป็นโรคหัวใจ, มะเร็งมากขึ้น จากอาหารการกิน รพ.รับทรัพย์อยู่แล้วครับ
3. เป็นธุรกิจค้าปลีก เพราะมีอำนาจเหนือตลาด และ Life Stye ของคนเรา
เปลี่ยนไป ประเภท Community Mall, Convenien Store แบบนี้ สะดวก
สบาย และประหยัดน้ำมันในยุคน้ำมันแพง
อีก 2 อย่างลืมไปแล้วครับ ต้องขอโทษด้วย พยายามหาอยู่เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าอ่านแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว
ถ้าหาเจอแล้วจะเอามา Post ต่อให้จบแล้วกันครับ
:D
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 106
ไหนๆก็ขุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมขอยืนยันว่า ถ้าไม่คำนึงถึงเงินทุนหรือมรดก หรือทรัพยากรที่บางเจ้ามีอยู่แล้ว เปรียบเทียบเฉพาะธรรมชาติของธุรกิจล้วนๆ
ธุรกิจที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด กระแสเงินสดแน่นอนก็คือ....
อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าครับ
บนโลกใบนี้ ทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมกันสูงสุด
ไม่ใช่น้ำมัน
ไม่ใช่ทองคำ
.
.
.
แต่เป็นที่ดิน
ธุรกิจที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด กระแสเงินสดแน่นอนก็คือ....
อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าครับ
บนโลกใบนี้ ทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมกันสูงสุด
ไม่ใช่น้ำมัน
ไม่ใช่ทองคำ
.
.
.
แต่เป็นที่ดิน
-
- Verified User
- โพสต์: 146
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 107
ช่วงนี้โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่เกิดเยอะมาก แล้วบังเอิญได้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์เป็นหนังสือพิมพ์ของท้องถิ่นเค้าบอกว่าโรงแรมในเชียงใหม่เตรรียมเจ๊งเป็นแถว จากการสังเกตผมก็เห็นว่าช่วงนี้โรงแรมที่เชียงใหม่ลดราคากระหน่ำเลยครับ ตั้งแต่ราคา390-500บาท มีเยอะ แถมยังเป็นแถวๆในเมืองด้วยสิ คงเป็นเพราะว่าช่วงเทศกาลพืชสวนโลกมีโรงแรมเกิดใหม่เยอะแต่พอหมดเทศกาลแล้วนักท่องเที่ยวไม่ได้มีมากอย่างที่คิด
แต่ยังไงก็คงต้องดูกันต่อในระยะยาวครับ
แต่ยังไงก็คงต้องดูกันต่อในระยะยาวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 139
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 108
อ้อ อีกอันที่นึกขึ้นมาได้และมา Post เพิ่มเติมคือธุรกิจดาวรุ่งคือธุรกิจด้านการศึกษาครับ
ในยุคโลกาภิวัฒน์ นี้ผู้ปกครองจะใช้จ่ายค่าเรียนกับค่าศึกษาของ
บุตรหลานเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เด็กสามารถแข่งขันได้ รร.มีชื่อแปลกที่
ทำให้ความสามารถของเด็กพัฒนาขึ้น เช่น จิมโบลี และแนวโน้มเมือง
ไทยที่มาแรงคือ รร.สองภาษา ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมาก (รร.เช่น สารสาสน์
นี่มีการขยายมากและปัจจุบันมีนร.ประมาณ 20,000-30,000 แล้ว) และเริ่ม
มีรร.สามภาษา (รวมภาษาจีนขึ้นมาอีกหนึ่ง) คิดแล้วสงสารเด็กต้องแข่งขัน
กันตั้งแต่อนุบาล
ใน U.S.A. Classic Model ที่ผมคิดคือ Google นี่ละครับ คงต้องขอขอบ
คุณวิชั่นของ 2 หนุ่ม Price กับ Page ที่ประสานเรื่อง Internet เครือข่ายและความรู้อย่างลงตัว ทำให้ปัจจุบันนี้ผมต้องใช้ Google ทุกวัน (ติดงอม) เป็น Web ที่ต้องเข้ามากที่สุด จากเดิมผมจะทำรายงานหาข้อมูล ผมต้องเสียเวลาไปห้องสมุด แถมหาเจอบ้างไม่เจอบ้าง กับ Google นี้แค่คลิกก็หาเจอแล้ว สุดสะดวกจริงๆ ซึ่งได้ข่าวว่า Google จะนำหนังสือทั้งโลกมาลงใน Web ซึ่งจะ
ทำให้ Google เป็นมหาวิทยาลัยของโลก ถึงตอนนั้นไม่อยากจะคิดว่า Trafic ของ Google จะมีแค่ไหน Google จะรวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ เอาไว้หมด
ทั้งประหยัดเวลา แล้วก็หาข้อมูลได้ง่าย (ชอบจริงๆ)
อือม... คิดแล้วอยากจะซื้อหุ้น Google จริงๆ ถึงแม้ว่าจะแพง เข้าใจว่าขึ้นจาก IPO มา 4 เท่าแล้ว และอยากติดตามดู Vision ของ 2 คนนี้ ว่าจะพา Google ไปได้ถึงขนาดไหน
ในยุคโลกาภิวัฒน์ นี้ผู้ปกครองจะใช้จ่ายค่าเรียนกับค่าศึกษาของ
บุตรหลานเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เด็กสามารถแข่งขันได้ รร.มีชื่อแปลกที่
ทำให้ความสามารถของเด็กพัฒนาขึ้น เช่น จิมโบลี และแนวโน้มเมือง
ไทยที่มาแรงคือ รร.สองภาษา ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมาก (รร.เช่น สารสาสน์
นี่มีการขยายมากและปัจจุบันมีนร.ประมาณ 20,000-30,000 แล้ว) และเริ่ม
มีรร.สามภาษา (รวมภาษาจีนขึ้นมาอีกหนึ่ง) คิดแล้วสงสารเด็กต้องแข่งขัน
กันตั้งแต่อนุบาล
ใน U.S.A. Classic Model ที่ผมคิดคือ Google นี่ละครับ คงต้องขอขอบ
คุณวิชั่นของ 2 หนุ่ม Price กับ Page ที่ประสานเรื่อง Internet เครือข่ายและความรู้อย่างลงตัว ทำให้ปัจจุบันนี้ผมต้องใช้ Google ทุกวัน (ติดงอม) เป็น Web ที่ต้องเข้ามากที่สุด จากเดิมผมจะทำรายงานหาข้อมูล ผมต้องเสียเวลาไปห้องสมุด แถมหาเจอบ้างไม่เจอบ้าง กับ Google นี้แค่คลิกก็หาเจอแล้ว สุดสะดวกจริงๆ ซึ่งได้ข่าวว่า Google จะนำหนังสือทั้งโลกมาลงใน Web ซึ่งจะ
ทำให้ Google เป็นมหาวิทยาลัยของโลก ถึงตอนนั้นไม่อยากจะคิดว่า Trafic ของ Google จะมีแค่ไหน Google จะรวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ เอาไว้หมด
ทั้งประหยัดเวลา แล้วก็หาข้อมูลได้ง่าย (ชอบจริงๆ)
อือม... คิดแล้วอยากจะซื้อหุ้น Google จริงๆ ถึงแม้ว่าจะแพง เข้าใจว่าขึ้นจาก IPO มา 4 เท่าแล้ว และอยากติดตามดู Vision ของ 2 คนนี้ ว่าจะพา Google ไปได้ถึงขนาดไหน
-
- Verified User
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
^ ^
โพสต์ที่ 109
ธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาก็ดีนะ
สมัยนี้ค่าเทอมแพงมาก
เดียวนี้แต่ละมหาลัยออกหลักสูตรเยอะแยะมากมาย ค่าเล่าเรียนก็แพงแสนแพง
แต่คนก็ไปเรียนกันเยอะจริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าจำนวนเด็กวัยกำลังเรียนมีปริมาณเยอะแค่ไหนและจะมีผลในระยะยาวหรือเปล่า
เอ่อ แล้วในกระดานเนี่ยมีหุ้นเกี่ยวกับการศึกษาหรือเปล่าครับ - -
^ ^
สมัยนี้ค่าเทอมแพงมาก
เดียวนี้แต่ละมหาลัยออกหลักสูตรเยอะแยะมากมาย ค่าเล่าเรียนก็แพงแสนแพง
แต่คนก็ไปเรียนกันเยอะจริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าจำนวนเด็กวัยกำลังเรียนมีปริมาณเยอะแค่ไหนและจะมีผลในระยะยาวหรือเปล่า
เอ่อ แล้วในกระดานเนี่ยมีหุ้นเกี่ยวกับการศึกษาหรือเปล่าครับ - -
^ ^
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 111
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2256 27 ก.ย. - 29 ก.ย. 2550
ปัจจัยชี้ขาดธุรกิจดาวรุ่ง และทิศทางนโยบายการคลังใน 20-30 ปีข้างหน้า
ผมจะพยายามตอบคำถามสองคำถามที่เป็นคำถามระยะยาวซึ่งบางคนอาจจะไม่ให้ความสนใจเลย แต่หากได้อ่านคำตอบแล้วผมมีความมั่นใจว่า คนเหล่านั้นจะเริ่มกลับมาเห็นความสำคัญของสองคำถามนี้ทันที
คำถามแรก ได้แก่ เราควรจะทำธุรกิจอะไรในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ที่คาดว่าจะโดนใจผู้บริโภคและเป็นธุรกิจดาวรุ่งตามโมเดล บอสตัน ที่บรรดานักบริหารมืออาชีพได้พูดไว้ในหลายโอกาส หลายวาระ
และคำถามที่สองได้แก่ ทิศทางของการดำเนินนโยบายการคลังในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะถูกกำหนดโดยปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกรัฐบาลต้องคำนึงถึง และห้ามลืมเป็นอันขาด
เนื่องจากคำถามทั้งสองคำถามเป็นคำถามที่มีมิติด้านเวลาที่ยาวมากมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องก็น่าจะเป็นปัจจัยที่มีมิติระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน การตอบสองคำถามข้างต้นจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือโฉมหน้าของเศรษฐกิจและสังคมที่มีแนวโน้มว่าคงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก และจะเป็นปัจจัยที่กำหนดว่าธุรกิจใดน่าจะเป็นธุรกิจที่จะมีการเติบโตและมีส่วนแบ่งของตลาดสูงในอีก 20-30 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้หรือชุดหน้าต้องเข้ามาจัดทัพมาตรการการคลังใหม่ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อภาระและฐานะการคลังในอีก 20-30 ปีข้างหน้าด้วย
ปัจจัยที่ผมต้องการเน้นเพื่อตอบคำถามสองคำถามข้างต้น ได้แก่ ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่า ปัจจุบันนี้คนเราทั่วโลกมีอายุยืนยาวมากขึ้น หรือคนเราตายช้าลงนั่นเอง จากการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และของธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) พบว่า คนไทยโดยเฉพาะผู้หญิง จะมีอายุยืนยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 89 ปี ส่วนชายไทยโดยเฉลี่ยจะมีอายุยืนยาวประมาณ 85 ปี และการตายช้าลงหรือการมีอายุยืนยาวมากขึ้นจะผันแปรไปในทิศทางเดียวกันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้น รวมทั้งการสนใจและใส่ใจในสุขภาพของคนเรา หรือการไม่อยากหรือกลัวตายของคนเรามากขึ้น
นอกจากคนทั่วโลกจะตายช้าลงแล้ว คนทั่วโลกในประเทศต่างๆ ก็ยังมีอัตราการเกิดของเด็กทารกต่ำอีกด้วย ซึ่งในประเทศไทย ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา ได้หดตัวมาเป็นครอบครัวที่มีลูกหนึ่ง หรือลูกสองคนเป็นอย่างมากเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราคงคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่า สังคมต่อไปในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยคนสูงอายุหรือคนชรามากขึ้น โดยคนที่อยู่ในวัยแรงงานจะมีสัดส่วนลดลง
เมื่อท่านผู้อ่านได้เห็นโฉมหน้าของสังคมในอีก 20-30 ปีข้างหน้าแล้ว ว่าจะเป็นสังคมสีเทาและศีรษะเหน่งจำนวนมากแล้ว หากท่านเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดด้านการตลาด ท่านคงนึกถึงคำตอบของคำถามที่หนึ่งได้แล้วว่าธุรกิจอะไรในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตและมีส่วนแบ่งตลาดสูง(high growth and high market share – star business)
ผมขอใช้ความรู้ด้านการตลาดที่มีน้อยนิดสรุปฟันธงให้ท่านฟังว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า มีประเภทของธุรกิจอยู่ 3 ประเภทที่น่าจะเป็นหรือจะยังเป็น star businesses อยู่ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่โดนใจกลุ่มคนสูงอายุและคนชรา
ธุรกิจสามประเภทดังกล่าว ได้แก่ หนึ่ง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความกินดีอยู่ดี(customer well-being/wellness) หรือธุรกิจด้านการรักษาและบำรุงสุขภาพ รวมทั้งธุรกิจที่ดูแลและบริหารความมั่งคั่ง(healthcare/wealthcare) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจด้านโรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ และบริการด้านบริหารการเงินเพื่อคนสูงอายุ
สอง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อและบันเทิง(media and entertainment) ซึ่งได้แก่ธุรกิจด้านการเพิ่มความสุขและสุนทรียภาพต่างๆ ทั้งด้านการอ่าน การดู การฟัง และความท้าทายและความตื่นเต้นเร้าใจ(customer engagement) และ
สาม ธุรกิจด้านการต้อนรับขับสู้และการบริการด้วยจิตใจที่ดี(hospitality services) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจด้านโรงแรม สปา ร้านอาหาร และบริการด้านการท่องเที่ยว ดังนั้น ถ้าท่านใดยังไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไรดีเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ก็ขอให้พิจารณาเลือกเอาตามใจชอบครับ
คราวนี้กลับมาตอบคำถามที่สองว่าปัจจัยด้านคนชรากระทบอะไรกับภาระและฐานะทางการคลัง ผมรับประกันเลยว่าในอีก 20-30 ปีข้างหน้า รัฐบาลสมัยนั้นจะมีปัญหาด้านการคลังในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ต้องนำมาใช้เพื่อดูแลให้คนไทยปัจจุบันที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจำนวนมากในอนาคตสามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสภาพที่ควรจะได้รับการดูแลด้านอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม
ที่ผมสรุปเช่นนั้นก็เพราะว่า จากตัวเลขปัจจุบันที่ศึกษาโดย สศค. พบว่า ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ที่มีหลักประกันรายได้เพียงพอต่อการยังชีพเมื่อยามชราหรือเกษียณอายุ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ในระบบกองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุน Retirement Mutual Fund(RMF) เป็นต้น ดังนั้น คนไทยปัจจุบันจำนวนเกินครึ่งที่ไม่มีหลักประกันรายได้เพียงพอต่อการยังชีพเมื่อยามชรา ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงและคาดว่าจะเป็นภาระอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
กลุ่มคนที่น่าห่วงที่สุด ได้แก่ กลุ่มคนที่หาเช้ากินค่ำ มีรายได้ไม่คงที่ เช่น กลุ่มคนงานก่อสร้างและกลุ่มแรงงานที่เป็นนายจ้างตัวเองแต่มีกระแสรายรับต่ำ ได้แก่ คนขับรถรับจ้าง คนขายส้มตำ คนซ่อมนาฬิกา คนซ่อมรองเท้า วินมอเตอร์ไซด์ และเกษตรกรเป็นต้น
เมื่อเห็นตรงกันว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ปัญหาคนสูงอายุที่ไม่มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ จะเป็นปัญหาใหญ่หลวงทางการคลัง ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งเข้ามาจัดการกับปัญหาของอนาคต ซึ่งต้องไม่ใช่ไปจัดการตอนใกล้ 20 ปี การจัดการปัญหายิ่งช้าเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จได้เท่านั้น
รัฐบาลต้องเริ่มโจมตีปัญหานี้นับตั้งแต่บัดนี้ ต้องรีบสนับสนุนการออกมาตรการและแนวทางในการปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญของประเทศแบบบูรณาการครั้งใหญ่ตั้งแต่วินาทีนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะจากประสบการณ์ในต่างประเทศ การปฏิรูปในเรื่องดังกล่าว เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และเป็นกระบวนการที่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นด้วย ดังนั้น รัฐบาลต้องรีบตื่นขึ้นมาดำเนินการเรื่องนี้โดยด่วนด้วยเถอะครับ
ปัจจัยชี้ขาดธุรกิจดาวรุ่ง และทิศทางนโยบายการคลังใน 20-30 ปีข้างหน้า
ผมจะพยายามตอบคำถามสองคำถามที่เป็นคำถามระยะยาวซึ่งบางคนอาจจะไม่ให้ความสนใจเลย แต่หากได้อ่านคำตอบแล้วผมมีความมั่นใจว่า คนเหล่านั้นจะเริ่มกลับมาเห็นความสำคัญของสองคำถามนี้ทันที
คำถามแรก ได้แก่ เราควรจะทำธุรกิจอะไรในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ที่คาดว่าจะโดนใจผู้บริโภคและเป็นธุรกิจดาวรุ่งตามโมเดล บอสตัน ที่บรรดานักบริหารมืออาชีพได้พูดไว้ในหลายโอกาส หลายวาระ
และคำถามที่สองได้แก่ ทิศทางของการดำเนินนโยบายการคลังในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะถูกกำหนดโดยปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกรัฐบาลต้องคำนึงถึง และห้ามลืมเป็นอันขาด
เนื่องจากคำถามทั้งสองคำถามเป็นคำถามที่มีมิติด้านเวลาที่ยาวมากมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องก็น่าจะเป็นปัจจัยที่มีมิติระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน การตอบสองคำถามข้างต้นจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือโฉมหน้าของเศรษฐกิจและสังคมที่มีแนวโน้มว่าคงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก และจะเป็นปัจจัยที่กำหนดว่าธุรกิจใดน่าจะเป็นธุรกิจที่จะมีการเติบโตและมีส่วนแบ่งของตลาดสูงในอีก 20-30 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้หรือชุดหน้าต้องเข้ามาจัดทัพมาตรการการคลังใหม่ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อภาระและฐานะการคลังในอีก 20-30 ปีข้างหน้าด้วย
ปัจจัยที่ผมต้องการเน้นเพื่อตอบคำถามสองคำถามข้างต้น ได้แก่ ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่า ปัจจุบันนี้คนเราทั่วโลกมีอายุยืนยาวมากขึ้น หรือคนเราตายช้าลงนั่นเอง จากการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และของธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) พบว่า คนไทยโดยเฉพาะผู้หญิง จะมีอายุยืนยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 89 ปี ส่วนชายไทยโดยเฉลี่ยจะมีอายุยืนยาวประมาณ 85 ปี และการตายช้าลงหรือการมีอายุยืนยาวมากขึ้นจะผันแปรไปในทิศทางเดียวกันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้น รวมทั้งการสนใจและใส่ใจในสุขภาพของคนเรา หรือการไม่อยากหรือกลัวตายของคนเรามากขึ้น
นอกจากคนทั่วโลกจะตายช้าลงแล้ว คนทั่วโลกในประเทศต่างๆ ก็ยังมีอัตราการเกิดของเด็กทารกต่ำอีกด้วย ซึ่งในประเทศไทย ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา ได้หดตัวมาเป็นครอบครัวที่มีลูกหนึ่ง หรือลูกสองคนเป็นอย่างมากเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราคงคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่า สังคมต่อไปในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยคนสูงอายุหรือคนชรามากขึ้น โดยคนที่อยู่ในวัยแรงงานจะมีสัดส่วนลดลง
เมื่อท่านผู้อ่านได้เห็นโฉมหน้าของสังคมในอีก 20-30 ปีข้างหน้าแล้ว ว่าจะเป็นสังคมสีเทาและศีรษะเหน่งจำนวนมากแล้ว หากท่านเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดด้านการตลาด ท่านคงนึกถึงคำตอบของคำถามที่หนึ่งได้แล้วว่าธุรกิจอะไรในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตและมีส่วนแบ่งตลาดสูง(high growth and high market share – star business)
ผมขอใช้ความรู้ด้านการตลาดที่มีน้อยนิดสรุปฟันธงให้ท่านฟังว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า มีประเภทของธุรกิจอยู่ 3 ประเภทที่น่าจะเป็นหรือจะยังเป็น star businesses อยู่ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่โดนใจกลุ่มคนสูงอายุและคนชรา
ธุรกิจสามประเภทดังกล่าว ได้แก่ หนึ่ง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความกินดีอยู่ดี(customer well-being/wellness) หรือธุรกิจด้านการรักษาและบำรุงสุขภาพ รวมทั้งธุรกิจที่ดูแลและบริหารความมั่งคั่ง(healthcare/wealthcare) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจด้านโรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ และบริการด้านบริหารการเงินเพื่อคนสูงอายุ
สอง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อและบันเทิง(media and entertainment) ซึ่งได้แก่ธุรกิจด้านการเพิ่มความสุขและสุนทรียภาพต่างๆ ทั้งด้านการอ่าน การดู การฟัง และความท้าทายและความตื่นเต้นเร้าใจ(customer engagement) และ
สาม ธุรกิจด้านการต้อนรับขับสู้และการบริการด้วยจิตใจที่ดี(hospitality services) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจด้านโรงแรม สปา ร้านอาหาร และบริการด้านการท่องเที่ยว ดังนั้น ถ้าท่านใดยังไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไรดีเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ก็ขอให้พิจารณาเลือกเอาตามใจชอบครับ
คราวนี้กลับมาตอบคำถามที่สองว่าปัจจัยด้านคนชรากระทบอะไรกับภาระและฐานะทางการคลัง ผมรับประกันเลยว่าในอีก 20-30 ปีข้างหน้า รัฐบาลสมัยนั้นจะมีปัญหาด้านการคลังในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ต้องนำมาใช้เพื่อดูแลให้คนไทยปัจจุบันที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจำนวนมากในอนาคตสามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสภาพที่ควรจะได้รับการดูแลด้านอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม
ที่ผมสรุปเช่นนั้นก็เพราะว่า จากตัวเลขปัจจุบันที่ศึกษาโดย สศค. พบว่า ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ที่มีหลักประกันรายได้เพียงพอต่อการยังชีพเมื่อยามชราหรือเกษียณอายุ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ในระบบกองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุน Retirement Mutual Fund(RMF) เป็นต้น ดังนั้น คนไทยปัจจุบันจำนวนเกินครึ่งที่ไม่มีหลักประกันรายได้เพียงพอต่อการยังชีพเมื่อยามชรา ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงและคาดว่าจะเป็นภาระอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
กลุ่มคนที่น่าห่วงที่สุด ได้แก่ กลุ่มคนที่หาเช้ากินค่ำ มีรายได้ไม่คงที่ เช่น กลุ่มคนงานก่อสร้างและกลุ่มแรงงานที่เป็นนายจ้างตัวเองแต่มีกระแสรายรับต่ำ ได้แก่ คนขับรถรับจ้าง คนขายส้มตำ คนซ่อมนาฬิกา คนซ่อมรองเท้า วินมอเตอร์ไซด์ และเกษตรกรเป็นต้น
เมื่อเห็นตรงกันว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ปัญหาคนสูงอายุที่ไม่มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ จะเป็นปัญหาใหญ่หลวงทางการคลัง ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งเข้ามาจัดการกับปัญหาของอนาคต ซึ่งต้องไม่ใช่ไปจัดการตอนใกล้ 20 ปี การจัดการปัญหายิ่งช้าเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จได้เท่านั้น
รัฐบาลต้องเริ่มโจมตีปัญหานี้นับตั้งแต่บัดนี้ ต้องรีบสนับสนุนการออกมาตรการและแนวทางในการปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญของประเทศแบบบูรณาการครั้งใหญ่ตั้งแต่วินาทีนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะจากประสบการณ์ในต่างประเทศ การปฏิรูปในเรื่องดังกล่าว เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และเป็นกระบวนการที่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นด้วย ดังนั้น รัฐบาลต้องรีบตื่นขึ้นมาดำเนินการเรื่องนี้โดยด่วนด้วยเถอะครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- fountain
- Verified User
- โพสต์: 38
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 112
ธุรกิจนาโนเทคครับ
ประมาณการว่าอีก15-20ปีข้างหน้า มูลค่าของสินค้าเกษตรรวมกับธุรกิจสื่อสารทั้งหมดจะเทียบได้พอๆกันกับสินค้าที่ใช้ nanoสร้างขึ้น (ได้ยินเค้าว่ามา)
15ปีอาจจะนานไปสำหรับผู้ที่ต้องการจะลงทุนในบริษัทที่จะเกิดในตอนนั้น แต่ผมเ้องอายุ21และต้องการทำบริัษัทแบบนี้ จึงขอมองในช่วงเวลา15ปีละกันครับ
ประมาณการว่าอีก15-20ปีข้างหน้า มูลค่าของสินค้าเกษตรรวมกับธุรกิจสื่อสารทั้งหมดจะเทียบได้พอๆกันกับสินค้าที่ใช้ nanoสร้างขึ้น (ได้ยินเค้าว่ามา)
15ปีอาจจะนานไปสำหรับผู้ที่ต้องการจะลงทุนในบริษัทที่จะเกิดในตอนนั้น แต่ผมเ้องอายุ21และต้องการทำบริัษัทแบบนี้ จึงขอมองในช่วงเวลา15ปีละกันครับ
- fountain
- Verified User
- โพสต์: 38
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 113
crazyrisk เขียน:จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2256 27 ก.ย. - 29 ก.ย. 2550
ปัจจัยชี้ขาดธุรกิจดาวรุ่ง และทิศทางนโยบายการคลังใน 20-30 ปีข้างหน้า
ผมจะพยายามตอบคำถามสองคำถามที่เป็นคำถามระยะยาวซึ่งบางคนอาจจะไม่ให้ความสนใจเลย แต่หากได้อ่านคำตอบแล้วผมมีความมั่นใจว่า คนเหล่านั้นจะเริ่มกลับมาเห็นความสำคัญของสองคำถามนี้ทันที
คำถามแรก ได้แก่ เราควรจะทำธุรกิจอะไรในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ที่คาดว่าจะโดนใจผู้บริโภคและเป็นธุรกิจดาวรุ่งตามโมเดล บอสตัน ที่บรรดานักบริหารมืออาชีพได้พูดไว้ในหลายโอกาส หลายวาระ
และคำถามที่สองได้แก่ ทิศทางของการดำเนินนโยบายการคลังในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะถูกกำหนดโดยปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกรัฐบาลต้องคำนึงถึง และห้ามลืมเป็นอันขาด
เนื่องจากคำถามทั้งสองคำถามเป็นคำถามที่มีมิติด้านเวลาที่ยาวมากมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องก็น่าจะเป็นปัจจัยที่มีมิติระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน การตอบสองคำถามข้างต้นจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือโฉมหน้าของเศรษฐกิจและสังคมที่มีแนวโน้มว่าคงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก และจะเป็นปัจจัยที่กำหนดว่าธุรกิจใดน่าจะเป็นธุรกิจที่จะมีการเติบโตและมีส่วนแบ่งของตลาดสูงในอีก 20-30 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้หรือชุดหน้าต้องเข้ามาจัดทัพมาตรการการคลังใหม่ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อภาระและฐานะการคลังในอีก 20-30 ปีข้างหน้าด้วย
ปัจจัยที่ผมต้องการเน้นเพื่อตอบคำถามสองคำถามข้างต้น ได้แก่ ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่า ปัจจุบันนี้คนเราทั่วโลกมีอายุยืนยาวมากขึ้น หรือคนเราตายช้าลงนั่นเอง จากการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และของธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) พบว่า คนไทยโดยเฉพาะผู้หญิง จะมีอายุยืนยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 89 ปี ส่วนชายไทยโดยเฉลี่ยจะมีอายุยืนยาวประมาณ 85 ปี และการตายช้าลงหรือการมีอายุยืนยาวมากขึ้นจะผันแปรไปในทิศทางเดียวกันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้น รวมทั้งการสนใจและใส่ใจในสุขภาพของคนเรา หรือการไม่อยากหรือกลัวตายของคนเรามากขึ้น
นอกจากคนทั่วโลกจะตายช้าลงแล้ว คนทั่วโลกในประเทศต่างๆ ก็ยังมีอัตราการเกิดของเด็กทารกต่ำอีกด้วย ซึ่งในประเทศไทย ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา ได้หดตัวมาเป็นครอบครัวที่มีลูกหนึ่ง หรือลูกสองคนเป็นอย่างมากเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราคงคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่า สังคมต่อไปในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยคนสูงอายุหรือคนชรามากขึ้น โดยคนที่อยู่ในวัยแรงงานจะมีสัดส่วนลดลง
เมื่อท่านผู้อ่านได้เห็นโฉมหน้าของสังคมในอีก 20-30 ปีข้างหน้าแล้ว ว่าจะเป็นสังคมสีเทาและศีรษะเหน่งจำนวนมากแล้ว หากท่านเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดด้านการตลาด ท่านคงนึกถึงคำตอบของคำถามที่หนึ่งได้แล้วว่าธุรกิจอะไรในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตและมีส่วนแบ่งตลาดสูง(high growth and high market share – star business)
ผมขอใช้ความรู้ด้านการตลาดที่มีน้อยนิดสรุปฟันธงให้ท่านฟังว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า มีประเภทของธุรกิจอยู่ 3 ประเภทที่น่าจะเป็นหรือจะยังเป็น star businesses อยู่ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่โดนใจกลุ่มคนสูงอายุและคนชรา
ธุรกิจสามประเภทดังกล่าว ได้แก่ หนึ่ง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความกินดีอยู่ดี(customer well-being/wellness) หรือธุรกิจด้านการรักษาและบำรุงสุขภาพ รวมทั้งธุรกิจที่ดูแลและบริหารความมั่งคั่ง(healthcare/wealthcare) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจด้านโรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ และบริการด้านบริหารการเงินเพื่อคนสูงอายุ
สอง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อและบันเทิง(media and entertainment) ซึ่งได้แก่ธุรกิจด้านการเพิ่มความสุขและสุนทรียภาพต่างๆ ทั้งด้านการอ่าน การดู การฟัง และความท้าทายและความตื่นเต้นเร้าใจ(customer engagement) และ
สาม ธุรกิจด้านการต้อนรับขับสู้และการบริการด้วยจิตใจที่ดี(hospitality services) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจด้านโรงแรม สปา ร้านอาหาร และบริการด้านการท่องเที่ยว ดังนั้น ถ้าท่านใดยังไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไรดีเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ก็ขอให้พิจารณาเลือกเอาตามใจชอบครับ
คราวนี้กลับมาตอบคำถามที่สองว่าปัจจัยด้านคนชรากระทบอะไรกับภาระและฐานะทางการคลัง ผมรับประกันเลยว่าในอีก 20-30 ปีข้างหน้า รัฐบาลสมัยนั้นจะมีปัญหาด้านการคลังในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ต้องนำมาใช้เพื่อดูแลให้คนไทยปัจจุบันที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจำนวนมากในอนาคตสามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสภาพที่ควรจะได้รับการดูแลด้านอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม
ที่ผมสรุปเช่นนั้นก็เพราะว่า จากตัวเลขปัจจุบันที่ศึกษาโดย สศค. พบว่า ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ที่มีหลักประกันรายได้เพียงพอต่อการยังชีพเมื่อยามชราหรือเกษียณอายุ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ในระบบกองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุน Retirement Mutual Fund(RMF) เป็นต้น ดังนั้น คนไทยปัจจุบันจำนวนเกินครึ่งที่ไม่มีหลักประกันรายได้เพียงพอต่อการยังชีพเมื่อยามชรา ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงและคาดว่าจะเป็นภาระอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
กลุ่มคนที่น่าห่วงที่สุด ได้แก่ กลุ่มคนที่หาเช้ากินค่ำ มีรายได้ไม่คงที่ เช่น กลุ่มคนงานก่อสร้างและกลุ่มแรงงานที่เป็นนายจ้างตัวเองแต่มีกระแสรายรับต่ำ ได้แก่ คนขับรถรับจ้าง คนขายส้มตำ คนซ่อมนาฬิกา คนซ่อมรองเท้า วินมอเตอร์ไซด์ และเกษตรกรเป็นต้น
เมื่อเห็นตรงกันว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ปัญหาคนสูงอายุที่ไม่มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ จะเป็นปัญหาใหญ่หลวงทางการคลัง ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งเข้ามาจัดการกับปัญหาของอนาคต ซึ่งต้องไม่ใช่ไปจัดการตอนใกล้ 20 ปี การจัดการปัญหายิ่งช้าเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จได้เท่านั้น
รัฐบาลต้องเริ่มโจมตีปัญหานี้นับตั้งแต่บัดนี้ ต้องรีบสนับสนุนการออกมาตรการและแนวทางในการปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญของประเทศแบบบูรณาการครั้งใหญ่ตั้งแต่วินาทีนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะจากประสบการณ์ในต่างประเทศ การปฏิรูปในเรื่องดังกล่าว เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และเป็นกระบวนการที่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นด้วย ดังนั้น รัฐบาลต้องรีบตื่นขึ้นมาดำเนินการเรื่องนี้โดยด่วนด้วยเถอะครับ
เท่าที่ผมทราบ ปัจจุบัน โดยเฉลี่ยเเล้วคนเราอายุยืนยาวขึ้นสามเดือนทุกๆหนึ่งที่ผ่านไป (เทรนด์นี้เริ่มตั้งเเต่สมัย ร.5)
มีนักคาดการณ์อนาคต (futurist)ชื่อดังได้ทำนายไว้ว่า อีกยี่สิบปี อัตรานี้จะเพิ่มขึ้นกลายเป็นว่าทุกๆหนึ่งปีที่ผ่านไป คนเราจะอายุยืนขึ้นหนึ่งปี ก็คืออายุขัยเลื่อนหนีอายุเราไปเรื่อยๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นยุค Singularity ที่คนจะไมเเก่ไม่ตาย
ถ้าใช้ความคิดนี้เป็นพื้นฐา้ื้น คงได้ข้อสรุปที่ต่างออกไปมากเลยน่ะครับ
ข้อมูลจกงาน Singularity Summit 2007 ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 715
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 114
ธุรกิจที่น่าจะมาแรงในไทย และกำลังมาแรง ในกระแสโลก ก็คือ
Internet Advertisement ครับ รายได้หลักของ google ก็มาจาก adword และ adsense ซึ่งก็เป็น Internet Ads Service
ตอนนี้ ได้ยินว่า Budget โมษณา ก็จะ shift มาทาง internet เรื่่อยๆ คนที่ ยึดหัวหาด ครองเป็น provider ทางด้าน Internet Ads ได้ก่อน ก็สบายไป
Internet Advertisement ครับ รายได้หลักของ google ก็มาจาก adword และ adsense ซึ่งก็เป็น Internet Ads Service
ตอนนี้ ได้ยินว่า Budget โมษณา ก็จะ shift มาทาง internet เรื่่อยๆ คนที่ ยึดหัวหาด ครองเป็น provider ทางด้าน Internet Ads ได้ก่อน ก็สบายไป
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 115
ธุรกิจนี้มันแข่งขันรุ่นแรงมากจนทะเลแดงฉานไปด้วยเลือดแล้วครับEnt' เขียน:ธุรกิจที่น่าจะมาแรงในไทย และกำลังมาแรง ในกระแสโลก ก็คือ
Internet Advertisement ครับ รายได้หลักของ google ก็มาจาก adword และ adsense ซึ่งก็เป็น Internet Ads Service
ตอนนี้ ได้ยินว่า Budget โมษณา ก็จะ shift มาทาง internet เรื่่อยๆ คนที่ ยึดหัวหาด ครองเป็น provider ทางด้าน Internet Ads ได้ก่อน ก็สบายไป
-
- Verified User
- โพสต์: 139
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 117
ขอเพิ่มเติมครับ ถ้าใครอยากจะรู้รายละเอียดเรื่อง Google (เจ้าลูกแก้วมหัศจรรย์) เพิ่มเติม มีหนังสือแปลออกมาแล้วครับชื่อ The searh หน้าปกสีดำ มีลูกโลกอยู่ด้วย ราคา 300 บาท แต่คุ้มค่าเกินราคามาก เหมาะสำหรับผู้ประกอบการรวมทั้งนักลงทุนทุกคนครับ ให้อะไรหลายๆ อย่างรวมทั้งภาพในการมองอนาคตข้างหน้าได้ดีมากๆ ต้องขอขอบคุณคุณไพรัตน์ พงศ์พาณิชย์ มากครับ ที่แปลออกมาให้อ่านกัน เป็นงานแปลที่คิดว่ายากมาก แต่ก็แปลออกมาอ่านแล้วเข้าใจได้ดีครับ
หุ้น Google ราคา IPO คือ USD 85 ครับ ปัจจุบัน USD 600 แล้ว และมีแนวโน้มจะทำ New High ได้เรื่อยๆ
ถ้าอยากรู้เรื่องราว Google และจะรักษาความสำเร็จต่อไปได้อย่างไร ก็ต้องลองอ่านดูครับ
ปล. ไม่ได้ค่าโฆษณาหรือมีส่วนกับผู้แปลแต่อย่างใดนะครับ
หุ้น Google ราคา IPO คือ USD 85 ครับ ปัจจุบัน USD 600 แล้ว และมีแนวโน้มจะทำ New High ได้เรื่อยๆ
ถ้าอยากรู้เรื่องราว Google และจะรักษาความสำเร็จต่อไปได้อย่างไร ก็ต้องลองอ่านดูครับ
ปล. ไม่ได้ค่าโฆษณาหรือมีส่วนกับผู้แปลแต่อย่างใดนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 118
ถ้าถามว่าธุรกิจอะไรที่น่าจะเป็น trend ของโลกในอนาคต
ส่วนตัวผมคิดว่าคงไม่เกินพวก support system ทั้งหลายครับ
อะไรที่ทำให้ ต้นทุนลด ทำให้ได้เปรียบทางการค้า รวมไป
ถึงการประกันความเสี่ยงทั้งในแนวส่วนตัว และ ธุรกิจครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าคงไม่เกินพวก support system ทั้งหลายครับ
อะไรที่ทำให้ ต้นทุนลด ทำให้ได้เปรียบทางการค้า รวมไป
ถึงการประกันความเสี่ยงทั้งในแนวส่วนตัว และ ธุรกิจครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re:
โพสต์ที่ 119
นิวเคลียร์...พลังงานสองด้านmetro เขียน:เอามาจากหนังสือนอกนะครับ .. เท่าที่หัวหน้าผมอ่านถึง มี 2 อย่างที่น่าสนใจ
1. พลังงานนิวเคลียร์ เพราะ เป็นพลังงานสะอาด + ราคาถูก สามารถลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ ก่อมลพิษน้อยช่วยลดปัญหาการเกิดสภาวะโลกร้อนได้
2. สุขภาพ เพราะ ปัจจุบัน การบริโภคที่ผิดๆ เช่น การทาน อาหารปิ้ง+ย่าง การใช้ชีวิตประจำวันที่ให้ความสะดวกสะบาย ทำให้คนเราทำงานหน้าจอคอมมากขึ้น ทำให้เกิดคนเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอ้วน ฯลฯ เยอะขึ้นมาก ในอนาคตการรักษาโรคจะง่ายขึ้น คล้ายๆกับการที่สมัยก่อนคนเป็นฝีดาษมักจะตายทุกคน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ จะมีการแก้ไขที่ง่ายมากขึ้น คนเราจะเข้าดรงพยาบาลมากขึ้นเพื่อป่วยน้อยลง ทานอาหารเสริมมากขึ้นเพื่อป่วยน้อยลง คนจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นครับ .....
นายสุชาติ วชิรศักดิ์ชัย เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกเครื่องมือวัด ฝ่ายซ่อมบำรุง บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของบริษัททีพีไอ มีการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์เข้ามาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตซีเมนต์ตั้งแต่ก่อตั้งโรงงานเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เพื่อลดความเสี่ยงของแรงงานคนในบางขั้นตอนที่ไม่สามารถใช้แรงงานมนุษย์ได้ โดยผลที่ได้เกิดความคุ้มค่าจากการลงทุนระยะยาวมากกว่านำเข้าอุปกรณ์เฉพาะทางจากต่างประเทศซึ่งอาจมีราคาแพงกว่ามาก ปัจจุบันบริษัทนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์กว่า 30 รายการ อาทิเช่น โคบอลต์-60 โดยนำมาใช้ในส่วนของการตรวจสอบการอุดตันของวัตถุดิบในเครื่องจักรระหว่างกระบวนการผลิต รวมถึงการนำไปใช้เพื่อตรวจสอบองค์ประกอบของวัตถุดิบตั้งต้น ก่อนส่งเข้าสู่กระบวนการผลิตว่ามีคุณภาพได้มาตรฐานจริง สำหรับซีเซียม-137 ถูกมาใช้ในขั้นตอนป้อนเชื้อเพลิงเข้าเตาเผา เพื่อตรวจวัดอัตราการไหลของวัตถุดิบที่ระดับตันต่อชั่วโมงขณะลำเลียงเชื้อเพลิง และลำเลียงวัตถุดิบสำหรับผลิตปูน และยังมีแคลิฟอร์เนียม ที่นำมาใช้ในการตรวจสอบธาตุในวัตถุดิบก่อนการผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้บริษัททีพีไอ โพลีน ยังนำเครื่องเอ็กซเรย์มาประยุกต์ใช้สำหรับสุ่มตรวจสินค้าที่ผลิตได้แต่ละล็อต เพื่อคัดกรองผลิตภัณฑ์ก่อนส่งถึงมือผู้บริโภคหรือพ่อค้าคนกลางว่าได้มาตรฐานจริงตามที่ตั้งไว้หรือไม่ หากไม่ตรงมาตรฐานที่วางไว้จะได้วางแผนแก้ปัญหาได้ทัน ความคุ้มค่าที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในอุตสาหกรรมการผลิต คือ กระบวนการผลิตที่แม่นยำเที่ยงตรง ทุ่นค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร ซึ่งอาจต้องใช้เงินบำรุงรักษารายปีสูง อีกทั้งวิธีดังกล่าวยังมีความปลอดภัยในการใช้งาน เมื่อมีการใช้งานรังสีเสร็จหรือหมดอายุของแต่ละรายการแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเข้ามาตรวจสอบและนำไปทำลายให้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการใช้งานเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ศูนย์มะเร็ง ธัญบุรี ที่หลากหลาย เช่น การฉายรังสีด้วยเครื่องโคบอลต์-60 การให้บริการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องเร่งอนุภาค (Linac) การใส่แร่ (Ir-192) การดูแลด้วยเคมีบำบัด การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย การตรวจรักษาด้านหู คอ จมูกและคัดกรองมะเร็ง คลินิกระงับปวด รวมทั้งการนำไปใช้วินิจฉัยและการรักษาทำได้สะดวกยิ่งขึ้น แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างของร่างกาย การทำงานของอวัยวะแต่ละระบบของคนไข้ และรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."